เขตตูปมเปตวัตถุ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา
พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย เปตวัตถุ
_____________
๑. อุรควรรค
หมวดว่าด้วยอุปมาด้วยงูลอกคราบ
๑. เขตตูปมเปตวัตถุ
เรื่องพระอรหันต์เปรียบเหมือนนาย่อมมีอุปการะแก่เปรตและทายก
(พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า)
[๑] พระอรหันต์ทั้งหลายเปรียบเหมือนนา ทายกทั้งหลายเปรียบเหมือนชาวนา ไทยธรรมเปรียบเหมือนพืช ผลทานย่อมเกิดจากการที่ทายกบริจาคไทยธรรมแก่ปฏิคาหก
[๒] เหตุ ๓ อย่างนี้ คือ พืช การหว่าน นา ย่อมมีอุปการะแก่พวกเปรตและทายก เปรตทั้งหลายย่อมบริโภคผลนั้น ทายกย่อมเจริญด้วยบุญ
[๓] ทายกทำกุศลในอัตภาพนี้แล้วอุทิศให้พวกเปรต ครั้นทำกรรมดีแล้วย่อมไปสวรรค์
เขตตูปมเปตวัตถุที่ ๑ จบ
---------------------------------------
คำอธิบายเพิ่มเติมนี้ นำมาจากบางส่วนของ
อรรถกถา ขุททกนิกาย เปตวัตถุ ปฐมวรรค
๑. เขตตูปมาเปตวัตถุ
อุรควรรคที่ ๑
อรรถกถาเขตตูปมาเปตวัตถุที่ ๑
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน กลันทกนิวาปวิหาร ใกล้กรุงราชคฤห์ จึงทรงปรารภเปรตบุตรเศรษฐีคนหนึ่ง จึงตรัสพระคาถานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ในกรุงราชคฤห์ ได้มีเศรษฐีคนหนึ่ง เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีเครื่องอุปกรณ์แห่งทรัพย์ที่น่าปลื้มใจอย่างมากมาย สั่งสมทรัพย์ไว้เป็นจำนวนหลายโกฏิ. ได้มีบุตรคนเดียว น่ารัก น่าชอบใจ.
เมื่อบุตรนั้นรู้เดียงสา บิดามารดาจึงพากันคิดอย่างนี้ว่า เมื่อบุตรของเราจ่ายทรัพย์ให้สิ้นเปลืองไปวันละ ๑,๐๐๐ ทุกวันแม้ถึงร้อยปี ทรัพย์ที่สั่งสมไว้นี้ก็ไม่หมดสิ้นไป. จะประโยชน์อะไร ด้วยการที่จะให้บุตรนี้ลำบากในการศึกษาศิลปะ ขอให้บุตรนี้จงมีความไม่ลำบากกายและจิต บริโภคโภคสมบัติตามสบายเถิด ดังนี้แล้วจึงไม่ให้บุตรศึกษาศิลปะ.
ก็เมื่อบุตรเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาได้นำหญิงสาวแรกรุ่น ผู้สมบูรณ์ด้วยสกุล รูปร่างความเป็นสาวและความงาม ผู้เอิบอิ่มด้วยกามคุณ บ่ายหน้าออกจากธรรมสัญญา. เขาอภิรมย์อยู่กับหญิงสาวนั้น ไม่ให้เกิดแม้ความคิดถึงธรรม ไม่มีความเอื้อเฟื้อในสมณพราหมณ์และคนที่ควรเคารพ ห้อมล้อมด้วยพวกนักเลง กำหนัดยินดี ติดอยู่ในกามคุณ ๕ เป็นผู้มืดมนธ์ไปด้วยโมหะ ให้เวลาผ่านไป.
เมื่อมารดาบิดาถึงแก่กรรมลง ให้สิ่งที่ปรารถนาแก่นักรำนักร้องเป็นต้น ผลาญทรัพย์ให้วอดวายไป ไม่นานเท่าไรนักก็สิ้นเนื้อประดาตัว (เที่ยว) ขอยืม (เงิน) เลี้ยงชีวิต ยืมหนี้ไม่ได้อีก ถูกพวกเจ้าหนี้ทวงถามก็ต้องให้ที่นาที่สวนและเรือนเป็นต้นของตนแก่พวกเจ้าหนี้เหล่านั้น ถือกระเบื้องเที่ยวขอทานกิน พักอยู่ที่ศาลาคนอนาถาในพระนครนั้นนั่นแล.
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พวกโจรมาประชุมกัน กล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า นายผู้เจริญ ท่านจะมีประโยชน์อะไรด้วยการเป็นอยู่ลำบากอย่างนี้ ท่านยังเป็นหนุ่มมีเรี่ยวแรงกำลังก็สมบูรณ์ เหตุไฉนท่านจึงอยู่เหมือนมีมือเท้าพิกล มาเถิด มาร่วมกับพวกเรา (เที่ยว) ปล้นทรัพย์พวกชาวบ้านแล้ว เป็นอยู่สบายดี.
ชายคนนั้นพูดว่า เราไม่รู้วิธีทำโจรกรรม.
พวกโจรตอบว่า พวกเราจะสอนให้เธอ ขอให้เธอจงเชื่อคำของพวกเราอย่างเดียว. ชายนั้นรับคำแล้วได้ไปกับพวกโจรเหล่านั้น.
ลำดับนั้น พวกโจรเหล่านั้นใช้ให้เขาถือค้อนใหญ่ ตัดช่องย่องขึ้นเรือน ให้เขายืนตรงที่ปากช่องแล้วสอนว่า ถ้าคนอื่นมาในที่นี้ เจ้าจงเอาไม้ค้อนนี้ทุบผู้นั้นทีเดียวให้ตายเลย. เขาเป็นคนบอดเขลา ไม่รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ได้ยืนอยู่แต่ในที่นั้น มองดูทางมาของคนเหล่าอื่นอย่างเดียว.
ฝ่ายพวกโจรเข้าไปยังเรือนแล้ว ถือเอาสิ่งของที่ควรถือเอาไปด้วย พอพวกคนในเรือนรู้ตัวเท่านั้นก็พากันหนีไปคนละทิศคนละทาง. พวกคนในเรือนลุกขึ้น ต่างก็พากันวิ่งขับโดยเร็ว พร้อมกับดูข้างโน้นข้างนี้ เห็นชายคนนั้นยืนอยู่ตรงช่องประตู เฮ้ย คนร้ายแล้วพากันจับไว้ เอาไม้ค้อนเป็นต้นทุบมือและเท้าแล้ว กราบทูลแสดงแด่พระราชาว่า ขอเดชะ คนนี้เป็นโจร ข้าพระองค์จับได้ที่ปากช่อง.
พระราชาทรงมีพระบัญชาให้ผู้รักษาพระนครลงโทษด้วยพระดำรัสว่า จงตัดศีรษะของผู้นี้. ผู้รักษาพระนครรับสนองพระบรมราชโองการแล้ว จึงให้จับชายคนนั้นแล้ว ให้มัดไพล่หลังอย่างมั่นคง ให้ตระเวนเขาผู้ถูกคล้องคอด้วยพวงมาลัยสีแดงห่างๆ มีศีรษะเปื้อนด้วยผงอิฐ ตามทางที่เขาแสดงด้วยกลอง ตีประจานโทษจากทางรถบรรจบทางรถ จากทางสี่แพร่งบรรจบทางสี่แพร่งแล้ว ให้เฆี่ยนด้วยหวายพลางนำไปยังสถานที่ประหารชีวิต.
ประชาชนพากันแตกตื่นว่า ในพระนครนี้ เขาจับโจรปล้นสะดมภ์คนนี้ได้.
ก็สมัยนั้นในพระนครนั้น มีหญิงงามเมืองคนหนึ่งชื่อว่าสุลสา ยืนอยู่ที่ปราสาทมองไปตามช่องหน้าต่าง เห็นชายคนนั้นถูกนำไปอย่างนั้น เธอเคยถูกชายผู้นั้นบำเรอมาในกาลก่อน จึงเกิดความสงสารชายคนนั้นขึ้นว่า ชายคนนี้เคยเสวยสมบัติเป็นอันมากในพระนครนี้เอง บัดนี้ถึงความพินาศวอดวายถึงเพียงนี้ จึงส่งขนมต้ม ๔ ลูกและน้ำดื่มไปให้. และได้แจ้งให้ผู้รักษาพระนครทราบว่า ขอเจ้านายจงรอจนถึงชายผู้นี้กินขนมต้มเหล่านี้ แล้วดื่มน้ำก่อน.
ครั้นในระหว่างนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะตรวจดูด้วยทิพยจักษุ เห็นชายคนนั้นจะถึงความวอดวาย ด้วยแรงกรุณาเตือนใจ คิดว่า ชายคนนี้ไม่เคยทำบุญ ทำแต่บาป เพราะฉะนั้น ชายผู้นี้จักเกิดในนรก ครั้นพอเราไป เขาถวายขนมต้มและน้ำดื่มแล้วจักเกิดในภุมมเทพ ไฉนหนอ เราจะพึงเป็นที่พึ่งของชายผู้นี้ ดังนี้แล้วได้ไปปรากฏข้างหน้าของชายผู้นั้น ในขณะที่เขานำน้ำดื่มและขนมต้มเข้าไปให้.
เขา ครั้นเห็นพระเถระก็มีจิตเลื่อมใส คิดว่าเราผู้จะถูกคนเหล่านี้ฆ่าในบัดนี้เอง จะมีประโยชน์อะไรด้วยขนมต้มที่เราจะกินเข้าไป ก็ผลทานนี้จักเป็นเสบียงสำหรับคนไปสู่ปรโลก จึงให้เขาถวายขนมต้มและน้ำดื่มแด่พระเถระ.
เพื่อจะเจริญความเลื่อมใสของชายผู้นั้น เมื่อชายผู้นั้นกำลังดูอยู่นั่นแหละ พระเถระจึงนั่งในที่เช่นนั้น ฉันขนมต้มและดื่มน้ำแล้ว ลุกจากอาสนะหลีกไป.
ฝ่ายชายผู้นั้นถูกเพชฌฆาตนำไปสู่ที่ประหาร แล้วให้ถึงการตัดศีรษะ ด้วยบุญที่เขาทำไว้ในพระมหาโมคคัลลานเถระผู้เป็นบุญเขตอย่างยอดเยี่ยม แม้จะเป็นผู้ควรจะเกิดในเทวโลกชั้นเยี่ยม แต่เพราะเหตุที่เธอมีจิตเศร้าหมองในเวลาใกล้จะตาย เพราะความเสน่หาที่มุ่งถึงนางสุลสาว่า เราได้ไทยธรรมนี้เพราะอาศัยนางสุลสา ฉะนั้น เมื่อจะเกิดเป็นหมู่เทพชั้นต่ำ จึงเกิดเป็นรุกขเทวดาที่ต้นไทรใหญ่ มีร่มเงาอันสนิท อันเกิดแทบภูเขา.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า
"ได้ยินว่า ถ้าในปฐมวัย เขาจักได้ขวนขวายในการดำรงวงศ์สกุลไซร้ เขาจักเป็นผู้เลิศกว่าเศรษฐีทั้งหลายในพระนครนั้นนั่นเอง ถ้าขวนขวายในมัชฌิมวัย เขาจักเป็นเศรษฐีวัยกลางคน ถ้าขวนขวายในปัจฉิมวัย เขาก็จักเป็นเศรษฐีในวัยสุดท้าย.
แต่ถ้าในปฐมวัยเขาจักได้บวชไซร้ เขาก็จักได้เป็นพระอรหันต์. ถ้าบวชในมัชฌิมวัย เขาก็จักได้เป็นพระสกทาคามีหรือพระอนาคามี. ถ้าบวชในปัจฉิมวัย เขาก็จักได้เป็นพระโสดาบัน.
แต่เพราะเขาคลุกคลีด้วยบาปมิตร เขาจึงเป็นนักเลงหญิง นักเลงสุรา ยินดีแต่ในทุจริต เป็นคนไม่เอื้อเฟื้อ เสื่อมจากสมบัติทั้งปวง ถึงความย่อยยับอย่างใหญ่หลวงโดยลำดับ."
ครั้นสมัยต่อมา เทพบุตรนั้นเห็นนางสุลสาไปสวน เกิดกามราคะ เนรมิตให้มืดแล้วนำนางไปยังภพของตน สำเร็จการอยู่ร่วมกับนางสิ้น ๗ วันและได้แนะนำตนแก่นาง. มารดาของนางเมื่อไม่เห็นนาง ร้องไห้พลางวิ่งพล่านไปข้างโน้นข้างนี้.
มหาชนเห็นเข้าจึงกล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้ามหาโมคคัลลานะเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก จะพึงรู้คติของนาง ท่านพึงเข้าไปหาท่านแล้วไต่ถามเถิด.
นางรับคำแล้วเข้าไปหาท่าน ถามความนั้น.
พระเถระกล่าวว่า ในวันที่ ๗ แต่วันนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมในพระเวฬุวันมหาวิหาร เธอจักเห็น ณ ที่สุดบริษัท.
ลำดับนั้น นางสุลสาได้กล่าวกะเทวบุตรนั้นว่า ข้อที่เราอยู่ในภพของท่านไม่สมควร วันนี้เป็นวันที่ ๗ มารดาของฉันเมื่อไม่เห็นฉันก็จักถึงความร่ำไรโศกเศร้า ดีละเทวดา ท่านจงพาฉันไปที่นั้นนั่นเถิด.
เทพบุตรพานางไปพักไว้ท้ายบริษัท ในเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ในพระเวฬุวัน ได้ยืนไม่ปรากฏตัว.
ลำดับนั้น มหาชนเห็นนางสุลสาแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า แม่สุลสา เธอไปไหนมาตลอดวันเท่านี้ มารดาของเธอเมื่อไม่เห็นเธอ ก็ได้ถึงความร่ำไรโศกเศร้าเหมือนคนบ้า. นางจึงแจ้งเรื่องนั้นแก่มหาชนและเมื่อมหาชนถามว่า อย่างไรบุรุษนั้นกระทำความขวนขวายแต่บาปเช่นนั้น ไม่ได้ทำกุศลไว้เลย ยังเกิดเป็นเทพได้.
นางสุลสากล่าวว่า เขาได้ถวายขนมต้มและน้ำดื่มที่เราให้แก่ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ด้วยบุญนั้นจึงได้เกิดเป็นเทพบุตร.
มหาชนได้ฟังดังนั้น จึงได้เกิดอัศจรรย์จิตไม่เคยมี จึงได้คิดว่า เขาได้กระทำบุญกรรมแม้น้อยในพระอรหันต์ทั้งหลายผู้ชื่อว่าเป็นบุญเขตอันยอดเยี่ยมของชาวโลก จึงนำสัตว์มาเกิดเป็นเทพบุตร ดังนี้แล้วจึงได้เสวยปีติและโสมนัสอันโอฬาร.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ลำดับนั้น เพราะอัตถุปปัติเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงภาษิตคาถาเหล่านี้ว่า :-
พระอรหันต์ทั้งหลาย เปรียบด้วยนา ทายกทายิกาทั้งหลาย เปรียบด้วยชาวนา ไทยธรรมเปรียบด้วยพืช ผลทานย่อมเกิดแต่การบริจาคไทยธรรมของทายกทายิกาผู้ให้แก่ปฏิคาหกผู้รับนั้น พืชนาและการหว่านพืชนี้ย่อมให้เกิดผลแก่พวกเปรตและทายกทายิกาผู้ให้ เปรตทั้งหลายย่อมพากันบริโภคผลนั้น ทายกทายิกาย่อมเจริญด้วยบุญ ทายกทายิกาทำกุศลในโลกนี้แล้วอุทิศให้เปรตทั้งหลาย ครั้นทำกรรมดีแล้ว ย่อมไปสวรรค์.
ในเวลาจบเทศนา สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ตั้งต้นแต่เทพบุตรและนางสุลสาได้ตรัสรู้ธรรมแล้วแล.
จบอรรถกถาเขตตูปมาเปตวัตถุที่ ๑
-----------------------------------------------------