เป็นข้อสะท้อนคิดจากการสนทนาแบบกัลยาณมิตรผู้มีความเชื่อถือไว้วางใจระหว่างกัน ช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๗ ว่าผู้มีอำนาจทางการเมืองในรัฐบาล เสนอต่อเขาว่า ขอให้หันมาทำงานวิจัยตอบโจทย์ของรัฐบาล ไม่ต้องไปคิดโจทย์ ววน. ให้ยุ่งยาก
ชวนให้ผมหวนไปรำลึกถึงเหตุการณ์ในปี ๒๕๔๕ ที่ผมพ้นจากหน้าที่ ผอ. สกว. แล้ว แต่ ผอ. ท่านต่อมา (คือ ศ. ดร. ปิยะวัติ บุญ-หลง) ขอให้ยังเป็นที่ปรึกษา วันหนึ่งประธานคณะกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัย (ศ. นพ. จรัส สุวรรณเวลา) และคณะผู้บริหาร สกว. นัดไปเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อไปเรียนท่านว่า สกว. จะทำหน้าที่หนุนการพัฒนาประเทศอย่างไร ผมติดตามไปด้วย ในฐานะที่ปรึกษา เหตุการณ์ชั่วโมงเศษที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรียังตราตรึงอยู่ในความทรงจำมาจนบัดนี้
ออกมาจากห้องประชุม อ. หมอจรัสอุทานว่า “คนคนนี้พิเศษมาก มีแต่ปาก ไม่มีหู” คือตลอดเวลาชั่วโมงเศษที่คณะของ สกว. เข้าพบนายกรัฐมนตรี คณะผู้เข้ารายงาน ได้มีเวลารายงานประมาณ ๑๐ นาทีเท่านั้น หลังจากกนั้นเป็นเวลาราวๆ ๑ ชั่วโมง ท่านนายกรัฐมนตรีเล่าเรื่องความรอบรู้ของท่านเกี่ยวกับการวิจัย ที่เป็นความรู้เกี่ยวกับการวิจัยด้านนิติศาสตร์และความยุติธรรม ที่ท่านมีความรอบรู้อย่างน่าชื่นชม
ช่วยยืนยันความเชื่อ และวิถีปฏิบัติของผมตลอดเวลา ๘ ปีที่ทำหน้าที่บริหาร สกว. ว่า ต้องระวังไม่ตกหลุมมุมมองและอำนาจทางการเมืองที่แคบเพื่อการเอาชนะการเลือกตั้ง เอามาครอบงำวงการทางวิชาการ สกว. ต้องมุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจ และสมรรถนะในสังคมที่นำสู่การพัฒนาประเทศและสังคมวงกว้างอย่างแท้จริง
คน สกว. โดยเฉพาะ ผู้อำนวยการต้องมีอุดมกาณ์ ไม่เข้าไปรับใช้การเมือง เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน คือโอกาสได้รับตำแหน่งสูงขึ้น นี่คือสติสัมปชัญญะของผมในช่วงนั้น และยึดถือมาตลอดชีวิต
สาระสำคัญที่ท่านนายกรัฐมนตรีท่านนั้นบอกพวกเราคือ หากต้องการงบประมาณสนับสนุนการวิจัย อย่าไปคิดโจทย์ให้ยุ่งยาก ให้มุ่งสนับสนุนการวิจัยเพื่อสนองนโยบายของรัฐบาล ที่ตรงกันข้ามกับอุดมการณ์ของผมอย่างสิ้นเชิง
ไม่ได้หมายความว่า ผมมุ่งสนับสนุนงานวิจัยที่คัดค้านนโยบายของรัฐบาล ลำดับความสำคัญของโจทย์วิจัยและพัฒนาหรือสร้างนวัตกรรมให้แก่บ้านเมือง มีทั้งที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และที่เป็นเรื่องระยายาวหรือการวางรากฐาน ที่การเมืองไปไม่ถึง เพราะการเมืองเขาเน้น quick win เพื่อเอาชนะทางการเมือง ภาควิชาการต้องเน้นรับใช้บ้านเมือง มากกว่ารับใช้การเมือง และที่สำคัญที่สุดคือ ผู้บริหารระดับสูงของภาควิชาการต้องไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก
หันกลับมาที่พฤติกรรมของนักการเมืองไทย ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาลในขณะนี้ ที่เราจะเห็นพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ ไม่น่าเชื่อถือ อย่างโจ่งแจ้ง ที่ผู้นำตัวจริงหายจากความเจ็บป่วยรุนแรงจนต้องไปรับการบริการที่โรงพยาบาลตำรวจได้อย่างมหัศจรรย์เมื่อออกจากโรงพยาบาล
ความไว้วางใจต่อความซื่อสัตย์ของพรรคแกนนำรัฐบาลของผมและคนไทยทั่วไป จึงไม่มี เป็นหลักฐานหนุนว่า คนไทยที่รักชาติ และมีบทบาทสำคัญต่อบ้านเมืองได้ ต้องไม่หลงทำตามนโยบายของรัฐบาลเสมอไป ต้องมีวิจารณญาณ
วิจารณ์ พานิช
๑๖ ก.ค. ๖๗
“There are none so blind as those who will not see” –John Heywood 1546 (English Playwright, Poet & Satirist during the reign of Henry VIII )