วลาหกัสสชาดก


ว่าด้วยความปลอดภัยเกิดจากม้าวลาหก

วลาหกัสสชาดก

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๖. วลาหกัสสชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๑๙๖)

ว่าด้วยความปลอดภัยเกิดจากม้าวลาหก

             (พระศาสดาทรงนำอดีตนิทานมาแสดงแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า)

             [๙๑] คนเหล่าใดไม่ทำตามโอวาทที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ คนเหล่านั้นจักถึงความพินาศ เหมือนพวกพ่อค้าที่ถูกพวกนางรากษสประเล้าประโลม

             [๙๒] ส่วนคนเหล่าใดทำตามโอวาทที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ คนเหล่านั้นจักปลอดภัย เหมือนพวกพ่อค้าที่เชื่อฟังคำของพญาม้าวลาหก

วลาหกัสสชาดกที่ ๖ จบ

-----------------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

วลาหกัสสชาดก

ว่าด้วย ความสวัสดี

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี ดังนี้.
               ความย่อมีอยู่ว่า ภิกษุนั้น เมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุเธอกระสันจริงหรือ กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัสถามว่า เพราะเหตุไร กราบทูลว่า เพราะเห็นมาตุคามแต่งตัวงดงามคนหนึ่ง จึงกระสันด้วยอำนาจกิเลส.
               ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ธรรมดาหญิงเหล่านี้เล้าโลมชายด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และด้วยมารยาหญิง กระทำให้อยู่ในอำนาจของตน เขาเรียกว่านางยักษิณี เพราะเล้าโลมชายด้วยกรีดกราย ครั้นรู้ว่าชายนั้นตกอยู่ในอำนาจแล้ว ก็จะให้ถึงความพินาศแห่งศีล และความพินาศแห่งขนบประเพณี
               จริงอยู่ แม้แต่ก่อน พวกนางยักษิณีเข้าไปหาพวกผู้ชายหมู่หนึ่งด้วยมารยาหญิง แล้วเล้าโลมพวกพ่อค้าทำให้อยู่ในอำนาจของตน ครั้นเห็นชายอื่นอีก ก็ฆ่าพวกพ่อค้าเหล่านั้นทั้งหมดให้ถึงแก่ความตาย เคี้ยวกินหมุบๆ ทั้งมีเลือดไหลออกจากด้านคางทั้งสองข้าง
               แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
               ในอดีตกาล ที่เกาะตามพปัณณิ มีเมืองยักษ์ชื่อ สิริสวัตถุ. พวกนางยักษิณีอาศัยอยู่ในเมืองนั้น. ในเวลาที่พวกพ่อค้าเรืออับปาง นางยักษิณีเหล่านั้นก็พากันประดับตกแต่งร่างกาย ให้ถือของเคี้ยวของบริโภค มีหมู่ทาสีแวดล้อม อุ้มทารกเข้าไปหาพวกพ่อค้าเพื่อให้คนเหล่านั้นทราบว่า พวกเราก็มาที่อยู่ของมนุษย์ จึงแสดงกิจเป็นต้นว่า พวกมนุษย์ ฝูงโค สุนัข กำลังทำกสิกรรม โครักขกรรม เป็นต้นในที่นั้นๆ แล้วเข้าไปหาพวกพ่อค้ากล่าวว่า เชิญดื่มข้าวยาคูนี้ เชิญบริโภคอาหารนี้ เชิญเคี้ยวของเคี้ยวนี้. พวกพ่อค้าขาดไหวพริบ บริโภคอาหารที่นางยักษิณีเหล่านั้นให้แล้วๆ. ครั้นถึงเวลาที่พวกเขาเคี้ยวบริโภคดื่มเสร็จแล้วพักผ่อน ยักษิณีจึงถามว่า พวกท่านอยู่ที่ไหน มาจากไหน จะไปไหน มาทำอะไรที่นี่. เมื่อพวกพ่อค้าตอบว่า พวกเราเรืออับปาง จึงพากันมาที่นี่ นางยักษิณีกล่าวว่า ดีละพ่อคุณ แม้สามีของพวกเราก็ขึ้นเรือไป ล่วงไปสามเดือนแล้ว ชะรอยเขาจักตายกันหมด แม้พวกท่านก็เป็นพ่อค้าเหมือนกัน พวกเราจะเป็นหญิงรับใช้พวกท่าน แล้วเล้าโลมพวกพ่อค้าเหล่านั้นด้วยมารยา หัวเราะ และจริตของสตรี พาไปเมืองยักษ์ หากมีพวกมนุษย์ที่ถูกจับไปไว้ก่อน ก็จองจำมนุษย์เหล่านั้นด้วยโซ่กายสิทธิ์ ขังไว้ในห้องคุมขัง กระทำมนุษย์ที่จับได้ภายหลังให้เป็นสามีของตน แต่เมื่อไม่ได้มนุษย์เรืออับปางในที่พักของตน ก็เที่ยววนเวียนอยู่ฝั่งสมุทร คือเกาะไม้ขานางฝั่งโน้น เกาะไม้กากะทิงฝั่งนี้. นี่เป็นธรรมดาของพวกยักษิณี.
               อยู่มาวันหนึ่ง พ่อค้าเรืออับปาง ๕๐๐ พากันขึ้นไปใกล้เมืองของยักษิณี. ยักษิณีเหล่านั้นจึงไปหาพวกพ่อค้าเล้าโลม แล้วนำมาเมืองยักษ์ ล่ามพวกมนุษย์ที่จับไว้ครั้งแรกด้วยโซ่กายสิทธิ์ ขังไว้ในที่คุมขัง หัวหน้านางยักษิณีก็ให้หัวหน้าพ่อค้าเป็นสามี ยักษิณีที่เหลือก็ให้พ่อค้านอกนั้นเป็นสามี เป็นอันยักษิณี ๕๐๐ ได้ทำให้พ่อค้า ๕๐๐ เป็นสามีของตนด้วยประการฉะนี้.
               ต่อมา นางยักษิณีหัวหน้านั้น ครั้นเวลากลางคืน เมื่อพ่อค้าหลับ จึงลุกขึ้นไปฆ่ามนุษย์ทั้งหลายในเรือนคุมขัง กินเนื้อเสร็จแล้วก็กลับมา แม้ยักษิณีที่เหลือก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน ในเวลาที่หัวหน้ายักษิณีกินเนื้อมนุษย์ แล้วกลับมาร่างกายมักเย็น. หัวหน้าพ่อค้าคอยสังเกตอยู่ ครั้นรู้ว่ามันเป็นยักษิณี จึงรำพึงต่อไปว่า หญิง ๕๐๐ เหล่านี้น่าจะเป็นยักษิณี พวกเราควรจะหนีไปเสีย รุ่งเช้าเดินไปเพื่อล้างหน้า จึงบอกแก่พวกพ่อค้าว่า หญิงเหล่านี้เป็นยักษิณี มิใช่หญิงมนุษย์ ในเวลาที่พวกอื่นเรืออับปางมา พวกมันจะให้คนเหล่านั้นเป็นสามีมัน แล้วก็กินพวกเราเสีย. มาเถิดพวกเราพากันหนีไปเถิด.
               ในพวกพ่อค้าเหล่านั้น พ่อค้าสองร้อยห้าสิบคนกล่าวว่า เราไม่อาจละทิ้งหญิงเหล่านี้ไปได้ดอก พวกท่านไปกันเถิด พวกเราจักไม่หนีไปละ. หัวหน้าพ่อค้าก็พาพวกพ่อค้าสองร้อยห้าสิบคน ซึ่งเชื่อฟังคำของตน กลัวยักษิณีเหล่านั้นหนีไป.
               ก็ในเวลานั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดม้าวลาหก ม้านั้นมีสีขาวปลอด มีศีรษะเหมือนกา ผมเป็นปอย มีฤทธิ์เหาะเหินได้. ม้าวลาหกนั้นเหาะมาจากเขาหิมพานต์ ไปยังเกาะตามพปัณณิ บริโภคข้าวสาลีที่เกิดเองในเปือกตม ใกล้สระตามพปัณณินั้น แล้วกลับไป. อนึ่ง เมื่อเหาะไปนั้นก็พูดเป็นภาษามนุษย์ ซึ่งได้อบรมมาด้วยความกรุณา สามครั้งว่า มีผู้ประสงค์จะไปชนบทไหม มีผู้ประสงค์จะไปชนบทไหม มีผู้ประสงค์จะไปชนบทไหม. พวกพ่อค้าเหล่านั้นได้ยินคำของม้านั้น จึงพากันเข้าไปหาประคองอัญชลี กล่าวว่า พวกข้าพเจ้าจักไปชนบท. ม้าบอกว่า ถ้าเช่นนั้น จงขึ้นหลังเราเถิด. ครั้นแล้วพ่อค้าบางพวกก็ขึ้นหลัง บางพวกก็จับหาง บางพวกยืนประคองอัญชลี. พระโพธิสัตว์จึงพาพวกพ่อค้าทั้งหมด แม้ที่สุดพวกที่ยืนประคองอัญชลีไปสู่ชนบท ด้วยอานุภาพของตน ให้ทุกคนอยู่ในที่ของตนๆ แล้วก็ไปที่อยู่ของตน. นางยักษิณีเหล่านั้น ในเวลาที่พวกอื่นมาถึง ก็ฆ่ามนุษย์สองร้อยห้าสิบคนที่ทิ้งไว้ในที่นั้นกินเสีย.
               พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกพ่อค้าที่ตกอยู่ในอำนาจของยักษิณีได้สิ้นชีวิตลง พวกที่เชื่อคำของพญาม้าวลาหก ก็กลับไปอยู่ในที่ของตนๆ ฉันใด. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งไม่ทำตามโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมถึงความทุกข์ใหญ่ในอบายสี่ เป็นต้นว่า เครื่องจองจำห้าประการ และเครื่องกรรมกรณ์ ส่วนผู้ที่เชื่อฟังโอวาทย่อมบรรลุฐานะเหล่านี้ คือกุลสมบัติ ๓ สวรรค์ชั้นกามาพจร ๖ พรหมโลก ๒๐ แล้วทำให้แจ้งอมตมหานฤพาน เสวยสุขเป็นอันมาก.
               ครั้นพระองค์ตรัสรู้อภิสัมโพธิญาณแล้ว จึงตรัสคาถาเหล่านี้ว่า :-
               นรชนเหล่าใดไม่ทำตามโอวาทที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ นรชนเหล่านั้นจักต้องถึงความพินาศ เหมือนพ่อค้าทั้งหลายถูกนางผีเสื้อหลอกลวงให้อยู่ในอำนาจ ฉะนั้น.
               นรชนเหล่าใดทำตามโอวาทอันพระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว นรชนเหล่านั้นจักถึงฝั่งสวัสดี ดุจพ่อค้าทั้งหลายทำตามถ้อยคำที่ม้าวลาหกกล่าวแล้ว ฉะนั้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอายอดแห่งพระธรรมเทศนาด้วยอมตมหานฤพานว่า ชนทั้งหลายผู้เชื่อฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมถึงนิพพานอันเป็นฝั่งแห่งสงสาร เหมือนพ่อค้าเหล่านั้นไปถึงฝั่งแห่งมหาสมุทรแล้ว ก็ได้ไปในที่ของตนๆ.
               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ทรงประชุมชาดก. เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.
               ภิกษุอื่นหลายรูปได้บรรลุโสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผลและอรหัตตผล.
               พ่อค้าสองร้อยห้าสิบคนที่เชื่อฟังคำของม้าวลาหกในครั้งนั้นได้เป็นพุทธบริษัทในครั้งนี้.
               ส่วนพญาม้าวลาหกะ คือ เราตถาคต นี้แล.

-----------------------------------

คำสำคัญ (Tags): #พญาม้าวลาหกะ
หมายเลขบันทึก: 717949เขียนเมื่อ 23 เมษายน 2024 04:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 เมษายน 2024 04:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท