เว็บไซต์ ของ McKinsey เสนอเรื่อง The art of storytelling : 10 must-see insights ที่แนะนำการเล่าเรื่องด้วยภาพ เพื่อการสื่อสารปัญญาสมัยใหม่ ที่เมื่อเข้าไปอ่านเรื่องแรก From poverty to empowerment : Raising the bar for sustainable and inclusive growth ก็พบว่าเป็นรายงานที่ยาวพอควร เล่าเรื่องใหญ่ของโลก เพื่อความอยู่รอดร่วมกันของมนุษยชาติ โดยเสนอเรื่องการหนุนให้พลโลกส่วนที่อยู่ใต้ “เส้นชีวิตที่ดีพอควร” (empowerment line … มีรายได้วันละ US $ 12) ที่มีอยู่ร้อยละ ๖๑ ของพลโลก หรือ ๔.๗ พันล้านคน กับเรื่องการบรรลุ net zero ด้านคาร์บอนของโลก
เป็นการเล่าเรื่องด้วย multimedia ที่ช่วยให้สามัญชนที่มีไม่มีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ พอจะตามประเด็นได้ ช่วยให้มองเห็นภาพใหญ่ของความท้าทายระดับโลกที่ผู้คนต้องร่วมกันเอาชนะ ที่คนอย่างผมก็ตามได้แบบเข้าใจได้ไม่แจ่มชัด เพราะมีเวลาน้อย ถ้าจะละเลียดก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อเรื่องเดียว
ผมจึงขยับไปอ่านเรื่องที่ ๘ Mindsets for success : Lessons from top CEOs ที่บอกข้อสรุปว่า ในยุคนี้ ซีอีโอ ต้องสวมวิญญาณ service-minded leadership ซึ่งหมายความว่า ใช้ตา และสมองให้มาก ใช้ปากน้อยๆ (แหม ผมกำลังฝึกอยู่พอดี) มองให้เห็นคน และเห็นเส้นทางของกิจการในอนาคต นี่ตีความจากภาพเดียวตรงหัวข้อเรื่องนะครับ
นี่คือ ตัวอย่างการ “เล่าเรื่องด้วยภาพ” ตัวจริง ที่สามารถได้สาระสำคัญภายใน ๕ นาที โดยดู infographic ๕ แผ่น ตามด้วยแผ่นที่ ๖ เชิญชวนอ่าน ๓ บทความ ใช้เวลา ๕๐ นาที ผมขอเชิญชวนผู้สนใจเทคนิคการเล่าเรื่องด้วยภาพ หรือด้วย multimedia เข้าไปชม เป็นการนำเสนอเรื่องแบบ customer-focused สุดสุด
ผมจึงลองไปที่ประเด็นที่ ๑๐ ซึ่งเป็นประเด็นสุดท้าย 2023 Summer Reading Guide ก็พบวิธีนำเสนออีกรูปแบบหนึ่ง ต้องเข้าไปดูเอง จะเห็นว่า เป็นวิธีนำเสนอที่ user friendly อย่างไร
ลองไปที่เรื่องที่ ๓ The State of Organization 2023 : Ten shifts transforming organizations ก็พบว่าเขามีรายงานฉบับเต็ม ๙๒ หน้าให้ และมี infographic สรุปแต่ละประเด็นสำคัญรวม ๑๐ ประเด็นให้ ผมติดใจที่ประเด็นที่ ๖ เรื่อง talent ที่เขาบอกว่าจากผลงานวิจัยพบว่า top performer มีผลงานสูงเป็น ๘ เท่าของค่าเฉลี่ย ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อกว่า ๔๐ ปีก่อน ตอนที่ผมทำงานที่คณะแพทยศาสตร์ มอ. ที่หาดใหญ่ ผมปลอบใจตนเองว่า สภาพที่อยู่และการทำงานน่าจะช่วยให้ผมมีเวลาทุ่มเทกับงานมากกว่าคนที่กรุงเทพ ๓ เท่า ผลงานไม่ดีให้มันรู้ไป
เรื่องที่สอง The art of data : Empowering arts institutions with data and analytics ผมสนใจในฐานะนักชมพิพิธภัณฑ์ ภาพแรกเป็นภาพเด็ก ๒ คนกำลังชมโมเดลเรือใบสมัยโบราณ มีผู้ใหญ่คนหนึ่งกำลังชี้มือ สะท้อนการเสวนาเรื่องเรือใบโบราณ ที่ชวนให้ผมสะท้อนคิดว่า ข้อมูลที่ควรเก็บคือ customer journey data ที่ควรเก็บในรูปของวิดีทัศน์กิจกรรมหรือพฤติกรรมของผู้ชม นำมาคัดเลือกเป็น “ผู้ชมแห่งวัน” ที่มีการตั้งคำถามและเรียนรู้จากสิ่งจัดแสดงแต่ละชิ้นอย่างมีพลัง นำมาสังเคราะห์ตัดต่อเป็นวิดีทัศน์ของจุดหรือประเด็นเรียนรู้สำคัญของสิ่งจัดแสดงชิ้นนั้น ทำเป็น QR Code สองชิ้น ที่ชิ้นแรกนำสู่คำอธิบายสั้นๆ สองสามนาที สำหรับคนทั่วไป ชิ้นที่สองนำสู่คำอธิบายยาว ๑๐ - ๑๕ นาที สำหรับผู้สนใจจริงๆ งานนี้ พิพิธภัณฑ์น่าจะร่วมมือกับคณะโบราณคดี หรือภาควิชาประวัติศาสตร์ ให้นักศึกษาทำเป็นโครงการวิจัยได้
กิจกรรมด้านศิลปะและวัฒนธรรม เป็นเรื่องที่ผมบอดสนิท แต่ก็มีความเห็นว่า เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้คนมีที่พักผ่อนหย่อนใจ และได้รับการกล่อมเกลาด้านสุนทรียะ เป็นเรื่องที่ อปท. ควรเอาใจใส่ และควรมีการวิจัยว่าแต่ละกิจกรรมมีส่วนสร้างสังคมที่ดีอย่างไร กิจกรรมแบบไหนให้ผลบวก กิจกรรมแบบไหนให้ผลลบ
สรุปว่า การนำเสนอเรื่องของ McKinsey ด้วยภาพและพหุสื่อ น่าจะมีส่วนกระตุ้นจินตนาการ และการสะท้อนคิดของผู้เสพข่าวได้ดีกว่าการนำเสนอด้วยตัวหนังสือล้วนๆ
วิจารณ์ พานิช
๖ ก.พ. ๖๗
ไม่มีความเห็น