ปัญจาวุธชาดก


ว่าด้วยพระกุมารผู้มีอาวุธ ๕ อย่าง

ปัญจาวุธชาดก

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๕. ปัญจาวุธชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๕๕)

ว่าด้วยพระกุมารผู้มีอาวุธ ๕ อย่าง

             (พระศาสดาทรงประมวลพระธรรมเทศนา (ธรรม ในที่นี้หมายถึงโพธิปักขิยธรรม คือธรรมที่เป็นฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้ มี ๓๗ ประการ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘) มาตรัสพระคาถานี้ว่า)

             [๕๕] นรชนใดมีจิตไม่ย่อท้อ มีใจไม่หดหู่ บำเพ็ญกุศลธรรมเพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ (โยคะ หมายถึงสภาวะที่ประกอบสัตว์ไว้ในภพ มี ๔ ประการ คือ (๑) กามโยคะ โยคะคือกาม (๒) ภวโยคะ โยคะคือภพ (๓) ทิฏฐิโยคะ โยคะคือทิฏฐิ (๔) อวิชชาโยคะ โยคะคืออวิชชา) นรชนนั้นพึงบรรลุความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ (สังโยชน์ หมายถึงกิเลสที่ผูกใจสัตว์ มี ๑๐ ประการ คือ (๑) สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน (๒) วิจิกิจฉา ความสงสัย (๓) สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลและพรต (๔) กามฉันทะ ความพอใจในกาม (๕) พยาบาท ความคิดร้าย (๖) รูปราคะ ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน (๗) อรูปราคะ ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน (๘) มานะ ความถือตน (๙) อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน (๑๐) อวิชชา ความไม่รู้จริง) ทั้งปวงได้โดยลำดับ

ปัญจาวุธชาดกที่ ๕ จบ

-------------------------

 

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

เอกกนิบาตชาดก อาสิงสวรรค

๕. ปัญจาวุธชาดก ว่าด้วยการบรรลุธรรมอันเกษม

               พระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้มีความเพียรย่อหย่อนรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               พระบรมศาสดาตรัสเรียกภิกษุนั้นมาแล้ว ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ จริงหรือที่เขาว่าเธอเป็นผู้มีความเพียรย่อหย่อน. เมื่อเธอกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ แม้ในกาลก่อนบัณฑิตทั้งหลายกระทำความเพียรในที่ๆ ควรประกอบความเพียร ก็ได้บรรลุถึงราชสมบัติได้.
               แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
               ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี.
               พระโพธิสัตว์บังเกิดในคัพโภทรพระอัครมเหสี ของพระราชาพระองค์นั้น. ในวันที่จะถวายพระนามพระโพธิสัตว์ ราชตระกูลได้เลี้ยงพราหมณ์ ๑๐๘ ให้อิ่มหนำด้วยของที่น่าปรารถนาทุกๆ ประการ แล้วสอบถามลักษณะของพระกุมาร. พวกพราหมณ์ผู้ฉลาดในการทำนายลักษณะ เห็นความสมบูรณ์ด้วยลักษณะแล้ว ก็พากันทำนายว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระกุมารสมบูรณ์ด้วยบุญญาธิการ เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว จักต้องได้ครองราชสมบัติ จักมีชื่อเสียงปรากฏด้วยการใช้อาวุธ ๕ ชนิด เป็นอรรคบุรุษในชมพูทวีปทั้งสิ้น. เพราะเหตุได้ฟังคำทำนายของพราหมณ์ทั้งหลาย เมื่อจะขนานพระนามก็เลยขนานให้ว่า “ปัญจาวุธกุมาร”.
               ครั้นพระกุมารนั้นถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว มีพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา พระราชาตรัสเรียกมา แล้วรับสั่งว่า ลูกรัก เจ้าจงเรียนศิลปศาสตร์เถิด. พระกุมารกราบทูลถามว่า กระหม่อมฉันจะเรียนในสำนักของใครเล่าพระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งว่า ไปเถิดลูก จงไปเรียนในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ณ ตักกสิลานคร แคว้นคันธาระ และพึงให้ทรัพย์นี้เป็นค่าบูชาคุณอาจารย์แก่ท่านด้วย แล้วพระราชทานทรัพย์หนึ่งพันส่งไปแล้ว.
               พระราชกุมารเสด็จไปในสำนักทิศาปาโมกข์นั้น ทรงศึกษาศิลปะ รับอาวุธ ๕ ชนิดที่อาจารย์ให้ กราบลาอาจารย์ออกจากนครตักกสิลา เหน็บอาวุธทั้ง ๕ กับพระกาย เสด็จดำเนินไปทางเมืองพาราณสี. พระองค์เสด็จมาถึงดงตำบลหนึ่ง เป็นดงที่สิเลสโลมยักษ์สิงสถิตย์อยู่. ครั้งนั้น พวกมนุษย์เห็นพระกุมารที่ปากดง พากันห้ามว่า พ่อมาณพผู้เจริญท่านอย่าเข้าไปสู่ดงนี้ ในดงนั้นมียักษ์ชื่อ สิเลสโลมะ สิงอยู่ มันทำให้คนที่มันพบเห็นตายมามากแล้ว.
               พระโพธิสัตว์ระวังพระองค์ไม่ครั่นคร้ามเลย มุ่งเข้าดงถ่ายเดียวเหมือนไกรสรราชสีห์ผู้ไม่ครั่นคร้ามฉะนั้น. พอไปถึงกลางดง ยักษ์ตนนั้นมันก็แปลงกายสูงชั่วลำตาล ศีรษะเท่าเรือนยอด นัยน์ตาแต่ละข้างขนาดเท่าล้อเกวียน เขี้ยวทั้งสองแต่ละข้างขนาดเท่าหัวปลีตูม หน้าขาว ท้องด่าง มือเท้าเขียว แล้วสำแดงตนให้พระโพธิสัตว์เห็น ร้องว่า เจ้าจะไปไหน? หยุดนะ เจ้าต้องเป็นอาหารของเรา.
               ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ตวาดมันว่า ไอ้ยักษ์ เราเตรียมตัวแล้วจึงเข้ามาในดง เจ้าอย่าเผลอตัวเข้ามาใกล้เรา เพราะเราจะยิงเจ้าด้วยลูกศรอาบยาพิษให้ล้มลงตรงนั้นแหละ แล้วใส่ลูกศรอาบยาพิษอย่างแรงยิงไป. ลูกศรไปติดอยู่ที่ขนของยักษ์ทั้งหมด. พระโพธิสัตว์ปล่อยลูกศรไปติดๆ กัน ลูกแล้วลูกเล่าทะยอยออกไปด้วยอาการอย่างนี้ สิ้นลูกศรถึง ๕๐ ลูก ทุกๆ ลูกไปติดอยู่ที่ขนของมันเท่านั้น ยักษ์สลัดลูกศรทั้งหมด ให้ตกลงที่ใกล้ๆ เท้าของมันนั่นแหละ แล้วรี่เข้าหาพระโพธิสัตว์.
               พระโพธิสัตว์กลับตวาดมันอีก แล้วชักพระขรรค์ออกฟัน. พระขรรค์ยาว ๓๓ นิ้วก็ติดขนมันอีก. ที่นั้นจึงแทงมันด้วยหอกซัด แม้หอกซัดก็ติดอยู่ที่ขนนั่นเอง. ครั้นพระโพธิสัตว์ทราบอาการที่มันมีขนเหนียวแล้ว จึงตีด้วยตระบอง แม้ตระบองก็ไปติดที่ขนของมันอีกนั่นแหละ. พระโพธิสัตว์ทราบอาการที่มันมีตัวเหนียวเป็นตัว ก็สำแดงสีหนาทอย่างไม่ครั่นคร้าม ประกาศก้องร้องว่า เฮ้ยไอ้ยักษ์ เจ้าไม่เคยได้ยินชื่อเรา ผู้ชื่อว่าปัญจาวุธกุมารเลยหรือ? เมื่อเราจะเข้าดงที่เจ้าสิงอยู่ ก็เตรียมอาวุธมีธนูเป็นต้นเข้ามา เราเตรียมพร้อมเข้ามาแล้วทีเดียว วันนี้ เราจักตีเจ้าให้แหลกเป็นจุณวิจุณไปเลย พลางโถมเข้าต่อยด้วยมือข้างขวา มือข้างขวาก็ติดขน ต่อยด้วยมือซ้าย มือซ้ายก็ติดอีก เตะด้วยเท้าขวา เท้าขวาก็ติด เตะด้วยเท้าซ้าย เท้าซ้ายก็ติด คิดว่าต้องกระแทกให้มันแหลกด้วยศีรษะ แล้วก็กระแทกด้วยศีรษะ แม้ศีรษะก็ไปติดที่ขนของมันเหมือนกัน.
               พระโพธิสัตว์ติดตรึงแล้วในที่ทั้ง ๕ แม้จะห้อยโตงเตงอยู่ ก็ไม่กลัว ไม่สะทกสะท้านเลย.
               ยักษ์จึงคิดว่า บุรุษนี้เป็นเอก เป็นดุจบุรุษสีหะ เป็นบุรุษอาชาไนย ไม่ใช่บุรุษธรรมดา ถึงจะถูกยักษ์อย่างเราจับไว้ แม้มาตรว่าความสะดุ้งก็หามีไม่ ในทางนี้เราฆ่าคนมามาก ไม่เคยเห็นบุรุษอย่างนี้สักคนหนึ่งเลย เพราะเหตุไรหนอบุรุษนี้จึงไม่กลัว? ยักษ์ไม่อาจจะกินพระโพธิสัตว์ได้ จึงถามว่า ดูก่อนมาณพ เพราะเหตุไรหนอท่านจึงไม่กลัวตาย.
               พระโพธิสัตว์ตอบว่า ยักษ์เอ๋ย ทำไมเราจักต้องกลัว เพราะในอัตภาพหนึ่ง ความตายนั้นเป็นของแน่นอนทีเดียว อีกประการหนึ่ง ในท้องของเรามีวชิราวุธ ถ้าเจ้ากินเรา ก็จักไม่สามารถทำให้อาวุธนั้นย่อยได้ อาวุธนั้นจักต้องบาดใส้พุงของเจ้าให้ขาดเป็นชิ้นๆ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ทำให้เจ้าถึงสิ้นชีวิตได้ ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้เราก็ต้องตายกันทั้งสองคน ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่กลัวตาย.
               นัยว่า คำว่า วชิราวุธนี้ พระโพธิสัตว์ตรัสหมายถึง อาวุธ คือญาณในภายในของพระองค์. ยักษ์ฟังคำนั้นแล้วคิดว่า มาณพนี้คงพูดจริงทั้งนั้น ชิ้นเนื้อแม้ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว จากร่างกายของบุรุษสีหะผู้นี้ ถ้าเรากินเข้าไปในท้องแล้ว จักไม่อาจให้ย่อยได้ เราจักปล่อยเขาไปดังนี้แล้ว เกิดกลัวตายจึงปล่อยพระโพธิสัตว์ กล่าวว่า พ่อมาณพ ท่านเป็นบุรุษสีหะเราจักไม่กินเนื้อของท่านละ ท่านพ้นจากเงื้อมมือของเรา เหมือนดวงจันทร์พ้นจากปากราหู เชิญท่านไปเถิดมวลญาติมิตรจะได้ดีใจ.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงตรัสกะยักษ์ว่า ดูก่อนยักษ์ เราต้องไปก่อน ส่วนท่านได้กระทำอกุศลไว้ในครั้งก่อนแล้วจึงได้เกิดเป็นผู้ร้ายกาจ มืออาบด้วยเลือด มีเลือดเนื้อของคนอื่นเป็นภักษา แม้ถ้าท่านดำรงอยู่ในอัตภาพนี้ ยังจักกระทำอกุศลกรรมอยู่อีก ก็จักไปสู่ความมืดมนจากความมืดมน นับแต่ท่านพบเราแล้ว เราไม่อาจปล่อยให้ท่านทำอกุศลกรรมอยู่ได้.
               แล้วจึงตรัสโทษของทุศีลกรรมทั้ง ๕ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ขึ้นชื่อว่า กรรม คือการยังสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป ย่อมทำสัตว์ให้เกิดในนรก ในกำเนิดเดียรัจฉาน ในเปตวิสัย และในอสุรกาย. ครั้นมาเกิดในมนุษย์เล่า ก็ทำให้เป็นคนมีอายุสั้น. แล้วทรงแสดงอานิสงส์ของศีลทั้ง ๕ ขู่ยักษ์ด้วยเหตุต่างๆ ทรงแสดงธรรม ทรมานจนหมดพยศร้าย ชักจูงให้ดำรงอยู่ในศีล ๕ กระทำยักษ์นั้นให้เป็นเทวดารับพลีกรรมในดงนั้น แล้วตักเตือนด้วยอัปปมาทธรรม ออกจากดง บอกแก่มนุษย์ที่ปากดง สอดอาวุธทั้ง ๕ ประจำพระองค์ เสด็จไปสู่กรุงพาราณสี เฝ้าพระราชบิดา พระราชมารดา ภายหลังได้ครองราชย์ ก็ทรงปกครองโดยธรรม ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น เสด็จไปตามยถากรรม.
               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ครั้นตรัสรู้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ ใจความว่า 
               “ นรชนผู้ใด มีจิตไม่ท้อแท้ มีใจไม่หดหู่ บำเพ็ญกุศลธรรม เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ นรชนผู้นั้น พึงบรรลุความสิ้นสังโยชน์ทุกอย่าง โดยลำดับ ” ดังนี้.
               ในพระคาถานั้น ประมวลความได้ดังนี้ 
               บุรุษใด มีใจไม่หดหู่ คือไม่ท้อแท้รวนเร มีใจไม่หดหู่โดยปกติ เป็นผู้มีอัธยาศัยแน่วแน่มั่นคง จำเริญเพิ่มพูนธรรมที่ได้ชื่อว่ากุศล ได้แก่ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ เพราะเป็นธรรมที่ปราศจากโทษ บำเพ็ญวิปัสสนาด้วยจิตอันกว้างขวาง เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะทั้ง ๔ คือ พระนิพพาน.
               บุรุษนั้นยกขึ้นซึ่งไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในสังขารทั้งมวลอย่างนี้แล้ว ยังโพธิปักขิยธรรมที่เกิดขึ้น จำเดิมแต่วิปัสสนายังอ่อนให้เจริญ พึงบรรลุพระอรหัตผลอันถึงการนั้นว่าความสิ้นสังโยชน์ทุกอย่าง เพราะบังเกิดแล้วในที่สุดแห่งมรรคทั้ง ๔ อันเป็นเหตุสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งหมด มิได้เหลือเลยแม้สักสังโยชน์เดียวโดยลำดับ.
               พระบรมศาสดาทรงถือเอายอดพระธรรมเทศนาด้วยพระอรหัตผลด้วยประการฉะนี้.
               ในที่สุด ทรงประกาศจตุราริยสัจ (อริยสัจ ๔).
               ในเวลาจบสัจธรรม ภิกษุนั้นได้บรรลุพระอรหัตผล.
               แม้พระบรมศาสดาก็ทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า
               ยักษ์ในครั้งนั้นได้มาเป็น พระองคุลิมาล
               ส่วนปัญจาวุธกุมาร ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

               -------------------------------------------

 

หมายเลขบันทึก: 716470เขียนเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2023 05:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2023 05:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท