รีวิว สปอยล์ The Fall of the House of Usher บ้านปีศาจ (2023 tv-series netflix)


รีวิว สปอยล์ The Fall of the House of Usher บ้านปีศาจ (2023 tv-series netflix) ซีรีส์แนวระทึกขวัญสยองขวัญบรรยากาศแบบโกธิก สร้างสรรค์โดยไมค์ เฟเนเกน ขาประจำซีรีส์แนวระทึกขวัญที่สร้างงานให้เรารับชมกันทาง netflix ทุกปี ซีรี่ส์ติดตามครอบครัวมหาเศรษฐี ผู้นำในแวดวงธุรกิจยา ที่ต้องมาพบกับชะตากรรมอันเลวร้าย ที่ไม่สามารถอธิบายได้กับการสูญเสียสมาชิกของครอบครัวไปทีละคนแบบสยดสยอง

ดูคลิปบรรยายที่นี่

#เรื่องย่อช่วงต้น
ซีรีส์เปิดเรื่องด้วยฉากงานศพของครอบครัวอัสเชอร์เจ้าของธุรกิจยาแก้ปวดที่ทำจากฝิ่นมูลค่าหลายพันล้าน ซึ่งต่อมาบรรดาลูกทั้งหกคนที่เกิดขึ้นกับภรรยาทั้งห้าของร็อดเดอริก อัชเชอร์ก็ค่อย ๆ ทยอยตายจากไปทั้งหกคนภายในแค่ 2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการตายแบบผิดธรรมชาติทั้งสิ้น

ในขณะเดียวกันร็อดเดอริก อัชเชอรก็ถูกรัฐบาลฟ้องร้องว่ายาของพวกเขามีผลข้างเคียงร้ายแรงต่อผู้คนสังคมจนมำให้ใครหลายคนเสียชีวิต จนทำให้อัยการดูปองนำเรื่องขึ้นต่อศาลเพื่อดำเนินคดีต่อ ร็อดเดอริก อัชเชอร์ ซึ่งในวันนั้นเองเขาได้วางระเบิดเวลาตูมใหญ่เอาไว้ให้กับครอบครัวอัชเชอร์คือ มีผู้คนจากวงในใกล้ชิดครอบครัวนี้เป็นคนให้ข่าวกับเขาแลกกับการกันตัวเป็นพยาน จนสถานการณ์ในบ้านอัชเชอร์เลวร้าย บรรดาพี่น้องต่างโทษกันไปมาหาว่าใครคือสายข่าว ซ้ำร้ายร็อดเดอริกเองก็ได้ประกาศบอกกับทุกคนในครอบครัวว่าถ้าใครหาสายข่าวคนนั้นได้จะได้เงิน 50 ล้านดอลลาร์ นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้สมาชิกในครอบครัวเสียชีวิตไปทีละคนก็เป็นได้

หลังหายนะของตระกูลที่ลูกของเขาเสียชีวิตไปหมดแล้ว ร็อดเดอริกก็ได้เชิญอัยการดูปองมาหาในบ้านร้างที่เขาเคยเติบโตในวัยเด็ก และเริ่มเล่าคำสารภาพว่าลูก ๆ ของเขานั้นล้วนตายเพราะฝีมือเขาเอง เขาจะยอมสารภาพทั้งหมด แต่ก่อนอื่นก็ค่อยๆเล่าเรื่องราวชีวิตในวัยเด็กในวันที่แม่เสียชีวิตให้กับอัยการฟัง ร็อดเดอริก และเมเดิรีน น้องสาวได้ทำการฝังศพแม่ของพวกเขาไว้ที่สวนของบ้าน แต่ในค่ำคืนนี้ฝนตกหนักนั้นแม่ของพวกเขาได้ฟื้นขึ้นมาแล้วไปฆ่าเจ้าของบริษัทยาที่คิดว่าน่าจะเป็นพ่อของพวกเขา

จากนั้นก็เริ่มเล่าการเสียขีวิตลฑกของเขาไปทีละคน เริ่มจากแพรี่ ลูกชายคนหนึ่ง ที่ต้องการจะพิสูจน์ให้ครอบครัวเห็นว่าธุรกิจบันเทิงของเขานั้นสามารถไปถึงเงินล้านได้ แต่ก็โชคร้ายในการจัดงานที่โรงงานเก่าแห่งหนึ่งของครอบครัว เขาและผู้คนหลายสิบคนเสียชีวิตจากน้ำกรดที่เขาคิดว่าคือน้ำเปล่าที่เปิดตอนงานเลี้ยงเข้าในจุดสุดเหวี่ยง

คนที่สองคือ คาเมล ลูกสาวที่ทำหน้าที่ดูแลภาพลักษณ์ของครอบครัว เสียชีวิตจากลิงทดลองเกี่ยวกับระบบหัวใจที่สมาชิกของคนในครอบครัวทดลองอย่างโหดเหี้ยม

คนที่สาม ลีโอ ลูกชายที่ทำธุรกิจบริษัทเกมส์ ก็เริ่มประสาทหลอนหลังจากมีการเสพยาเกินขนาด ถูกแมวดำของแฟนหนุ่มจู่โจมบ่อยครั้ง เขาอาฆาตแมวตัวนั้นทำการรื้อบ้านและท้ายที่สุดก็ตกไปจากระเบียงบ้านเพราะเห็นแมวอยู่บนระเบียง

คนที่สี่ วิคติเรียน ลูกสาวคนหนึ่ง ซึ่งถูกพ่อคือร็อดเดอริก กดดันอย่างหนัก ในการทดสอบเทคโนโลยีหัวใจ เธอจึงตัดสินใจทดสอบกับผู้ป่วยที่เป็นคนจริง ๆ แต่เธอกลับมีปากเสียงกับ แพทย์สาว หัวใจที่เป็นแฟนของเธอ จนเธอพลั้งมือทำให้แฟนสาวเสียชีวิต แล้วเธอเองก็ทำอัตวินิบาตกรรมตามแฟนสาวไป

คนที่ห้า แทเมอร์แลนด์ลูกสาสคนหนึ่ง ทำธุรกิจเกี่ยวกับเคเบิ้ลทีวี และธุรกิจความงาม มีอาการประสาทหลอนมักจะเห็นสามีอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่งอยู่เสมอ และในวันเปิดตัวเคเบิ้ลทีวีของเธอ เธอมีอาการประสาทหลอนอย่างรุนแรง แล้วเมื่อกลับไปบ้านเธอก็อาละวาดทำลายกระจกจนทำให้เธอเสียชีวิต

คนที่หกแฟเดอรริก ลูกชายคนโต คนที่เป็นความหวังของครอบครัวและเชื่อว่าตัวเองนั้นจะขยับขึ้นมาเป็น CEO บริษัทยาได้ เขามีความเครียดสะสมเนื่องจากภรรยาของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในงานปาร์ตี้ของน้องชาย เขาไม่ไว้ใจภรรยาของตัวเอง แต่เนื่องจากพ่อใช้ให้ไปทำลายโรงงานนั้น เขาพบกับผู้หญิงปริศนาคนหนึ่ง ได้เสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยมภายในโรงงานนั้น

นั่นก็คือเรื่องราวการเสียชีวิตของบรรดาลูก ๆ ร็อดเดอริก ที่เขาเล่าให้อัยการของฟัง แต่มันก็ไม่ใช่แค่นั้น เขาเล่าให้ฟังว่าจุดเริ่มต้นของการพังทลายของครอบครัวนั้นมันเริ่มมาจากความทะเยอทะยานของเขาเองในการก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่ในบริษัทยา ว่าเขามีวิธีการสกปรกจนก้าวเข้ามาเป็นใหญ่ในบริษัทได้อย่างไร

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดก็คือคืนวันสิ้นปี 1979 ที่เขาและน้องสาว ได้กระทำการอันโหดเหี้ยมต่อ CEO บริษัทยาอย่างไร และในคืนทั้งสองคนพี่น้องได้เข้าไปในไนท์คลับแห่งหนึ่งได้พบกับหญิงสาวบาร์เทนเดอร์ปริศนา ที่ได้ให้สัญญากับทั้งสองพี่น้องว่าหากรับปากแล้วทั้งสองพี่น้องจะกลายเป็นมหาเศรษฐี มีทุกอย่างในชีวิต มีเงินกองล้นบ้าน บรรดาลูก ๆ ของพวกเขานั้นจะสะดวกสบาย ไม่ลำบาก แต่ถ้ารับปากแล้วมันมีราคาที่ต้องจ่ายมหาศาลไม่แพ้กัน และหญิงสาวผู้เป็นปริศนาคนนี้จะมาเอาคืนในภายหลังกับร็อดเดอริก แมเดอรลีน และตระกูลอัชเชอร์ทุกคน ซึ่งทั้งหมดนี้มันเป็นการเล่าเรื่องสลับกันไปมาของร๊อดเดอริกให้อัยการฟัง

#บทวิจารณ์
The Fall of the House of Usher นี้คือหนึ่งในผลงานอันยอดเยี่ยมของฟลานาแกนในการเล่าเรื่องราวที่สลับซับซ้อน เหตุการณ์ยิบย่อยจำนวนมหาศาลที่ถูกนำมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน ทำให้ผู้คนนั้นไม่งงเลย และด้วยเอกลักษณ์ในการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างเรียบและเชื่องชา แต่นั่นมันก็คือวิธีการให้คนดูเก็บรายละเอียดสิ่งละอันพาราน้อยที่ผู้กำกับต้องการบรรจงใส่ไว้ในซีรีส์ที่มีความยาวถึง 8 ตอนได้อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่แว๊บไปแว๊บมา ผีที่โผล่ไปโผล่มา วัตถุสิ่งของอะไรก็ตามที่มันโผล่เข้ามาในฉาก ล้วนแต่มีความหมายและมีผลต่อเรื่องราวในซีรีส์แทบสิ้น เรียกได้ว่าเราไม่อาจละสายตาจากจุดไหนของซีรีส์ได้เลย และเขามีความเชี่ยวชาญมากในการใส่บรรยากาศความสยองขวัญแบบเย็นเยี่ยมตามสไตล์แบบโกธิก ที่เน้นบรรยากาศความลึกลับของบ้านเอาไว้อย่างเก่งกาจ โดยเฉพาะในฉากที่ร๊อดเดอริกนั่งคุยกับอัยการในบ้าน แล้วเล่าเรื่องราวการเสียชีวิตของลูกของเขาในทีละคนนั้น มันจะมีอะไรแบบเฉพาะตัวของหนังสยองขวัญโกธิกนี้สอดแทรกเข้ามาในระหว่างการเล่าเรื่อง แม้ผีจะไม่ได้น่ากลัว แต่มาแต่ละทีก็ทำเอาหลอนไม่น้อย เชื่อเถอะความอัจฉริยะในการเล่าเรื่องเหล่านี้เป็นรองก็เพียงแค่ The Hunting of Hill House ที่เขาสร้างเอาไว้เช่นกัน

ซีรีส์มี 8 ตอนมีจุดพีกในแต่ละคือการเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยมของลูก ๆ แต่ละคน แต่ละตอนมีจุดยึดโยงเพื่อกลืนทุกตอนให้เป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้คุณดูนั้นอยากดูต่อไปอีกเรื่อย ๆ

ซีรีส์มีการตัดสลับหลายช่วงเวลา ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน โดยไม่เรียงลำดับเวลา ทั้งตอนร็อดเดอริกยังเด็ก ช่วงเริ่มทำงาน และช่วงชรา ถูกประสานด้วยการเสียชีวิตของลูก ๆ ทีละคน โดยมีจุดศูนย์กลางของการเล่าเรื่องอยู่ในบ้านร้างในสมัยที่เขาอาศัยในวัยเด็ก ร็อดเดอริกนั่งคุยกับอัยการรัฐ

ซึ่งเมื่อเราดูไปแล้วเราก็จะตั้งคำถามว่าผู้หญิงปริศนาที่เป็นบาร์เทนเดอร์ในปี 1979 นั้นมีความสำคัญอะไรกับผู้คนทุกคนของอัเชอร์ เพราะทุกความตายของทุกคนนั้นจะมีเธอเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ เธอคือใคร เธอคือเวรกรรม เธอคือยมทูต หรือเธอคือปีศาจกันแน่ จุดนี้แหละเป็นการกระตุ้นความสงสัยให้คนดูสงสัยใคร่รู้เป็นมาก ในแต่ละตอนจะค่อย ๆ เผยความลับที่เกี่ยวพันกับผู้หญิงคนนี้ในความทรงจำของเขาและน้องสาวที่เป็นปริศนาชวนสงสัยจนตอนสุดท้ายเราถึงจะมั่นใจได้ว่าเธอคือใครกันแน่

แล้วเมื่อเราดูจบแล้วเราจะรู้ว่าเพราะเหตุใดครอบครัวอัชเขอร์ถึงต้องมาเจอเรื่องสยองขวัญแบบนี้ ก็นั่นเป็นการบ่งบอกว่าทุกการกระทำมีผลของมัน ทุกสิ่งที่ได้มาอย่างง่ายดายนั้นมันมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ และครอบครัวอัชเชอร์ก็ไม่อาจหลีกหนีไปได้

นักแสดงทุกคนในเรื่องนั้นเล่นได้ดีมากโดยเฉพาะ คาร์ลา กูจิโน ที่ มารับบทสาวปริศนา ที่ถูกเปลี่ยนตัวตนของเธอไปแต่ละตอน ในเรื่องนี้ถือว่าเป็นการแสดงขั้นสูงสุดของเธอ สมแล้วที่เธอเป็นนักแสดงหญิงคู่บุญของไมค์อย่างแท้จริง ที่ทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ Gerald's Game (2017) เธอเอาเรื่องนี้อยู่หมัดแบบสุด ๆ ส่วน บรูซ กรีนวูด (Bruce Greenwood) มาแบกทั้งเรื่องด้วยบทร็อดเดอริก ทีหน้าท่าทางและอารมณ์สมบูรณ์แบบสุด ๆ เป็นแยกอย่างแท้จริง

ในด้านการใช้สัญลักษ์ถืออว่าดีเยี่ยม โดยเฉพาะการใช้บ้านในวัยเด็กที่แทบจะพังทลายมาเปฮนสัญลักษณ์ของครอบครัวอัชเชอร์ ในขณะที่เรื่องราวดำเนินไประหว่างการสนทนาของอัยการกับร๊อดเดอริก อัยการจะรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นจากเหตุการณ์ประหลาดภายในบ้าน แล้วเมื่อการเล่าถึงการเสียชีวิตของลูกร๊อดเดอรริกทีละคน จะเพิ่มความรู้สึกถึงหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น

เมื่อเรื่องราวมาถึงจุดไคลแม็กซ์ บ้านเริ่มพังทลายและพังทลายลง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการล่มสลายครั้งใหญ่ที่สุดของตระกูลอัชเชอร์ อัยการสามารถหลบหนีได้ทันเวลา โดยได้เห็นการทำลายล้างครั้งใหญ่ของบ้านและการสิ้นสุดอันน่าเศร้าของครอบครัวอัชเชอร์นั่นเอง

#การคาราวะนักเขียนชั้นครู
The Fall of the House of Usher ไมค์เล่าเรื่องโดยถอยออกจากเรื่องราวทางศาสนาออกไปไม่น้อย ซึ่งต่างจากซีรีส์หลายเรื่องที่เขาฝากผลงานเอาไว้ใน Netflix ครั้งนี้เป็นการนำเสนอถึงการคารวะเอ็ดการ์ อัลลัน โพ (Edgar Allan Poe) กวีและนักเขียนเรื่องสั้นสยองขวัญแนวโกธิกชั้นครูชาวอเมริกัน ซึ่งมีการนำอนุภาคหลายอย่าง ทั้งเหตุการณ์ บทกวีจากงานเขียนโพ มาดัดแปลงกับซีรีส์ด้วยเช่น The Masque of the Red Death ที่เป็นเรื่องเล่าเจ้าชายยุคกลางผู้เสเพล ปิดตายปราสาทจัดงานเลี้ยง จนตัวเองเสียชีวิต ซึ่งถูกดัดแปลงมาเป็นงานเลี้ยงในคืนปีใหม่ CEO บริษัทยาถูกปิดตายในห้องดินโดยสองพี่น้องอัชเชอร์ หรือแม้แต่การนำเรื่อง The Raven อีกหนึ่งในงานเขียนอันโด่งดังโพมาใช้ในเรื่อง โดยเฉพาะอีกา ที่เป็นสัญลักษณ์ของความตายมาใช้ตลอดทั้งเรื่อง

แต่โครงเรื่องหลักก็คือการนำงานเขียนเรื่อง The Fall of the House of Usher มาใช้ โดยเป็นฉากการสนทนาระหว่างอัยการรัฐกับอัชเชอร์ในบ้านร้างใกล้พัง เล่าเรื่องราวโศกนาฏกรรมครอบครัวอัชเชอร์ ซึ่ง The Fall of the House of Usher ของโพ มีเรื่องดังนี้

The Fall of the House of Usher หรือ "การล่มสลายของบ้านอัชเชอร์" เป็นนิทานกอทิกที่เขียนโดย เอ็ดการ์ อัลลัน โพ เรื่องราวของผู้บรรยาย ซึ่งไปเยี่ยมชมคฤหาสน์ที่ผุพังของเพื่อนสมัยเด็กของเขา คือร๊อดเดอริก อัชเชอร์ เมื่อการเล่าเรื่องดำเนินไป ก็เห็นได้ชัดว่าครอบครัวอัชเชอร์ต้องทนทุกข์ทรมานจากคำสาปที่กระทบต่อความเป็นอยู่ที่มีทั้งทางร่างกายและจิตใจของอัชเขอร์และตัวผู้บรรยายเอง

ร๊อดเดอริก ซึ่งเป็นทายาทชายคนสุดท้ายของตระกูลอัชเชอร์ เป็นคนที่อ่อนไหวและวิตกกังวลอย่างมาก เขาเปิดเผยให้ผู้บรรยายฟังว่า แมดเดอลีนน้องสาวฝาแฝดของเขาป่วยเป็นโรคลึกลับและใกล้จะตาย ผู้บรรยายพยายามปลอบใจร็อดเดอริกในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้

เมื่อเวลาผ่านไป บรรยากาศภายในคฤหาสน์ก็น่าขนลุกมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงและความรู้สึกแปลก ๆ แทรกซึมอยู่ในอากาศของบ้านทุกอนู เพิ่มความรู้สึกท่วมท้นของหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น ผู้บรรยายค้นพบว่าร็อดเดอริกเชื่อว่าบ้านหลังนี้มีชีวิตอยู่และมันเก็บความลับดำมืดไว้ที่กำลังจะถูกเปิดเผยในไม่ช้า

ในที่สุด เมเดอลีนก็เสียชีวิต และร็อดเดอริกยืนกรานที่จะเก็บศพของเธอไว้ในห้องนิรภัยภายในบ้าน ผู้บรรยายรู้สึกไม่สบายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขามากขึ้น คืนหนึ่งพายุโหมกระหน่ำข้างนอก และผู้บรรยายพยายามพูดเรื่องอื่นให้ร็อดเดอริกฟังเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความโศกเศร้าน้องสาว ขณะนั้นทั้งคู่ได้ยินเสียงแปลก ๆ เล็ดลอดออกมาจากบ้าน

ทันใดนั้น แมเดลีนก็ปรากฏตัวขึ้น เลือดโชกท่วมตัว และโจมตีร็อดเดอริก ผู้บรรยายพยายามเข้าช่วยแต่ไม่สำเร็จ พี่น้องล้มกันตายคาพื้นด้วยกัน ขณะที่ผู้บรรยายหนีออกจากคฤหาสน์ที่พังทลาย เขาก็มองย้อนกลับไปและเห็นบ้านของอัชเชอร์แตกออกเป็นสองส่วนและจมลงในผืนน้ำมืดในที่ล้อมรอบ

ผู้บรรยายเห็นถึงความความบ้าคลั่ง พลังแห่งจิตใต้สำนึกแห่งการสูญเสียและความเสื่อมสลายของทั้งบุคคลและสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และไมค์ก็ได้นำภาพบรรยาการใน The Fall of the House of Usher มาใช้เป็นกระดูกสันหลังหลักของเรื่อง ดัดแปลงตอนจบนิดหน่อย ให้แมดเดอลีนเสียชีวิตจากน้ำมือของร๊อดเดอริก ตกแต่งศพให้เป็นดั่งราชินีอียิปต์นั่นเอง

ซีรีส์อาจจะมีข้อบกพร่องอยู่บ้างตรงที่การดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างช้า และด้วยเนื้อหาอันหนักหน่วงจึงทำให้เรารู้สึกว่าไม่สามารถดูแบบติดต่อได้แต่ตอนรวด เพราะมันซึมได้ยาก ย่อยยาก รายการเข้าถึงเนื้อหาของเรื่องนั้นก็ต้องใช้เวลาตกผลึกพอสมควร ตลอดทั้งเรื่องเน้นไปด้วยบทสนทนาที่ยืดยาวเป็นหลัก ทำให้คนที่ไม่แข็งแรงด้านภาษาอังกฤษเวลาดู Soundtrack แล้วปวดตามาก โชคดีที่ทาง netflix นั้นทำเสียงภาษาไทยมาให้กับเรา แต่ก็อาจจะมีการขาดตกบกพร่องในการแปลเนื้อความโดยเฉพาะการนำกวีนิพนธ์ของอลัน โพมาใช้ แต่ถ้าดู การพรากเป็นภาษาไทยก็จะรู้สึกชอบมาก เพราะทีมพากษ์ Netflix เขาใส่ไม่ยั้งเลย ทั้งคำหยาบ คำด่า เขามาเต็มสะใจดี

#บทสรุป
เป็นที่น่าเสียด่ายมากกว่า The Fall of the House of Usher จะเป็นซีรีส์ชิ้นสุดท้ายที่ฟลานาแกนจำได้ทำกับทาง Netflix แล้ว เพราะเขาได้ทำสัญญาไว้เพียงเท่านี้ ก่อนจะไปมีผลงานกับทางไพรม์วิดีโอแทน แล้วก็ถือว่าเป็นงานทิ้งทวนกับการฝากผีมือการเล่าเรื่องอันสุดแสนจะอัจฉริยะที่ทรงคุณค่าเป็นอย่างมาก นับเปฌนซีรีส์แนวลึกลับ สยองขวัญที่งดงามอย่างยิ่ง ภาพสวย บรรยากาศดี ความเย็นยะเยียบตามแบบฉบับโกธิกมาเต็ม และส่วนตัวขอบอกว่า งานภายใต้การสร้างสรรค์ของไมค์ ฟราเนเกน ไม่มีเรื่องนี้ไม่ได้เลย และใน The Fall of the House of Usher คือเครื่องการันตีว่า เขาคือผู้กำกับอัจฉริยะตามที่ สตีเฟ่น คิง เจ้าพ่องานเขียนสยองขวัญเคยกล่าวชมเอาไว้ตอนที่เขาสร้าง The Hunting of Hill House อย่างแท้จริง

9/10
@วาทิน ศานติ์ สันติ

#SuperReviewChannel
#TheFallOfTheHouseOfUsher
#บ้านปีศาจ
#ซีรีส์แนวโกธิก
#ไมค์ฟลานาแกน
#ซีรีส์Netflix

หมายเลขบันทึก: 715202เขียนเมื่อ 21 ตุลาคม 2023 22:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 ตุลาคม 2023 22:52 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท