รีวิว มนต์รักนักพากษ์: Once Upon A Star (2023 netflix)


รีวิว มนต์รักนักพากษ์: Once Upon A Star (2023 netflix) 4 สมาชิกของคณะเร่ฉายหนังกลางแปลงสายขายยา ต่างก็พยายามไล่ตามความฝันของตนเอง ทำและพยายามรักษาในสิ่งที่ตนรัก และก็ที่พบกับความรักในแบบของตนเอง ในขณะตระเวนฉายหนังคลาสสิคไปทั่วประเทศไทย

#ดูรีวิวที่นี่

มนต์รักนักพากษ์ เล่าเรื่องราวย้อนกลับไปในปี 2513 เป็นยุคที่หนังไทยกำลังเฟื่องฟู และเป็นปีที่เราสูญเสียมิตร ชัยบัญชานักแสดงคนสำคัญของบ้านเรานะครับ

หน่วยฉายภาพยนตร์กลางแปลงจากบริษัทโอสถเทพยาดาจำกัด โดยมีหัวหน้าหน่วยและคนพากษ์เสียงเพียงคนเดียคือมานิตย์ุ ลุงหมานคนขับรถและคนติดตั้ง และไอ้เก่าวัยรุ่นเลือดร้อนที่ดูแลเรื่องการเปลี่ยนฟิล์ม โดยคณะกำลังออกเร่ฉายหนังขายยาทั่วภาคกลางตามปกติ

แต่ในช่วงเวลานี้ก็ต้องพบกับอุปสรรคมากมายที่ถาโถมเข้ามาไม่ว่าจะเป็น หนังของพวกเขานั้นล้าสมัย เน้นหนังดราม่า หนังรัก ไม่ตื่นเต้น คนพากย์เสียงก็มีเพียงคนเดียวคือมานิตย์ ที่พากย์ทุกเสียงแม้กระทั่งเสียงของผู้หญิง ทำให้ผู้ชมไม่พอใจเมื่อตัวละครผู้หญิงออกมา

ไหนจะต้องมาต่อสู่กับคณะบริษัที่ฉายหนังล้อมผ้าเก็บเงิน อย่างบริษัทกัมปนาท ที่เลือกแต่หนังแอ๊คชั่น สร้างความสนุกสนานและความตื่นเต้น แถมทีมพากษ์ก็มีหลายคน ผู้ชายก็พากย์เสียงผู้ชาย ผู้หญิงก็พากย์เสียงผู้หญิง

แต่ที่เป็นอุปสรรคกับคณะเร่ฉายหนังโอสถเทพยดามากที่สุดก็คือ วัฒนธรรมการเสพสื่อเพื่อความบันเทิงของผู้คนนั้นเปลี่ยนไปพร้อมกับยุคสมัย และเทคโนโลยีที่เข้ามาไม่ว่าจะเป็นวิทยุ ที่มีทั้งละครและเพลง รวมถึงโทรทัศน์ที่มีภาพและเสียงอยู่ในจอแก้ว

ทั้งหมดทำให้ชาวคณะ ประสบปัญหาด้านการเงินร่อยหรอ ไม่มีผู้คนมาดูหนังของพวกเขา ไม่ประทับใจกับการใช้คนเดียวพากย์เสียงอีกต่อไป และที่เลวร้ายที่สุดก็คือคนดูหนังแล้วไม่ยอมซื้อยา ชาวคณะจึงได้แต่เงินเดือนแต่ไม่ได้ค่าคอมมิชชั่น

ดังนั้นชาวคณะจึงจำเป็นต้องทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและหาวิธีก้าวไปให้ทันโลกยุคสมัยใหม่ที่มันเปลี่ยนวิถีชีวิตและรสนิยมการเสพภาพยนตร์ตามกาลเวลา โดยอันดับแรกที่พวกเขาต้องการมากที่สุดก็คืออยากได้นักพากย์ที่เป็นผู้หญิง เพื่อมาช่วยพากย์เสียงตัวละครหญิงจริง ๆ

แต่แล้วก็เปรียบเสมือนกับฟ้าประธาน เรืองแขหญิงสาวสวยไฉลัยแต่งตัวทันสมัยมาขอสมัครเป็นนักพากษ์กับหน่วยฉายหนังของมานิตย์ ซึ่งเธอไม่ใช่คนธรรมดามีประสบการณ์ในการพากย์เสียงหนังมาแล้วถึง 3 ปีกับคณะฉายหนังล้อมผ้า แต่จำเป็นต้องออกมาด้วยเหตุผลส่วน ท้ายที่สุดแล้วมานิตย์ก็รับเรืองแขเข้ามาเป็นนักพากษ์โดยเริ่มทดลองงาน ซึ่งในคืนแรกที่เรื่องแขนพากย์เสียงให้กับคณะโอสถเทพยดานั้น ก็ที่สร้างความประทับใจให้กับทีมงานเป็นอย่างมาก คนดูชื่นชอบเธอ และที่สำคัญคือยาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เรืองแขก็คือสิ่งเติมเต็มที่บริษัท โอสถเทพยดา หน่วยเร่ฉายหนังขายยาของมานิตต้องการมาโดยตลอด

แต่เรืองแข หาใช่สิ่งที่มาเติมเต็มคณะเร่ฉายหนังเพียงอย่างเดียวแล้วกิจการขายหนังฉายยาจะราบรื่นรุ่งโรจน์ไม่ เพราะชาวคณะยังต้องประสบอุปสรรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการแย่งคนดู เรื่องการสร้างความนิยม การต่อสู้กับกระแสสายทานของยุคสมัยความนิยมที่กำลังไหลบ่าเข้ามาอย่างราวเร็ว และสิ่งสำคัญที่สุดเปรียบเสมือนกับระเบิดเวลาของวงการ นักพากย์หนังกลางแปลงเร่ฉายหนังก็คือ เทคโนโลยีฟิล์ม 16 mm ที่มีเสียงในฟิล์ม หรือการฉายหนังในโรงภาพยนตร์ ซึ่งต่อไปนั้นก็จะเป็นแค่การฉายหนังเพียงอย่างเดียว แล้วก็ขายยาโดยที่ไม่ต้องมีนักพากย์อีกต่อไป

เรื่องราวของมนต์รักนักพากษ์ หนังที่อยู่ในระดับยอดเยี่ยมระดับขึ้นหิ้งของประเทศไทยในปี 2023 นี้จะเป็นอย่างไรต่อไป หน่วยเร่ฉายหนังขายยาคณะโอสถเทพยดาจะต้องประสบพบเจอและต่อสู้กับอุปสรรค์อะไรบ้าง ก็ของให้ทุกท่านเชิญติดตามสะดับทัศนาต่อได้ทาง netflix เลยจ้า

#บทวิจารณ์ภาพยนตร์
มนต์รักนักพากษ์ (2023 netflix) โดยส่วนตัวของเราแล้วถือว่าเป็นหนังที่มีความสมบูรณ์แบบ มีอารมณ์แบบครบรส feel good เศร้า ตื่นเต้น ลุ้น เอาใจช่วย เศร้าโศกเสียใจ หนังสามารถพาเราไปอารมณ์ที่หนังต้องการจะถ่ายทอดได้ในแบบที่เราไม่ขัดขืนอะไรเลย แถมยังเขย่าอารมณ์เราได้ตลอดเวลาด้วยก็นับตั้งแต่ "15 ค่ำเดือน 11" "โหมโรง" และ "มหา'ลัยเหมืองแร่" เป็นต้นมา ก็ยังมองไม่เห็นเลยว่าหนังไทยเรื่องไหนจะทำได้

หนังนำเสนอภาพการพยายามดิ้นรนเพื่อเดินตามความฝันได้ดี ต้องค้นหาสิ่งที่เรารักให้เจอก่อนถึงจะเดินตามความฝันได้ และการเดินตามความฝันนั้นจำเป็นจะต้องมีปรับตัวด้วย เช่นปรับตัวของคณะเร่หนังขายยา จากพากษ์คนเดียวที่เป็นผู้ชาย แล้วพอมาพากษ์เสียงผู้หญิงคนก็จะไม่อินตาม จึงจำเป็นเพิ่มผู้หญิงเข้ามา แล้วก็ต้องปรับกลยุทธ์อีกหลายอย่าง เช่นการต่อสู้กับหนังฟิล์ม 16 มิลลิเมตร ที่มีเสียงในฟิล์มแล้ว แต่คนพากษ์หนังก็ยังจะต้องทำอาชีพนี้ต่อไป และในมนต์รักนักพากย์เองก็สามารถแสดงถึงการปรับในจุดนี้ได้ดีมาก

มีอารมณ์ของความเป็นหนังไทยมาก รัก อิจฉา แก่งแย่งชิงดี การต่อสู้กัน และก็จบลงด้วยมิตรภาพนั่นเอง

การปรับที่สำคัญของเรื่องนอกจากจะปรับกลยุทธ์การนำเสนอภาพยนตร์และการพากษ์แล้ว มนต์รักนักพากษ์ก็ยังมีความเป็นหนัง road movie ด้วย ดังนั้นทุกการเดินทางของตัวละครคณะนักพากย์นั้นจะต้องปรับความเข้าใจกัน ปรับจูนเข้าหากันตลอดการเดินทางด้วย โดยใส่อุปสรรคและสิ่งที่เจอระหว่างการเดินทาง การได้เรียนรู้ซึ่งกัน อะไรที่เป็นจุดขัดแย้งก็เอาโยนมันทิ้งเสีย อย่างเช่นพิมพ์ดีดที่เป็นตัวขัดแย้งระหว่างมานิตย์กับไอ้เก่าที่เรืองแขโยนทิ้งที่ค่ายทหารเพชรบูรณ์ในแหละ และการค่อย ๆ ปรับตัวนั้นมันจะนำไปสู่การเดินทางครั้งสุดท้ายที่สร้างความประทับใจให้คนดูได้แบบตราตรึง และการปรับตัวน่ะ จะต้องมีจุดขัดแย้งของหนังที่ลงตัว ซึ่งหนังวางจุดนี้ไว้ได้อย่างพอเหมาะเจาะ และเขาก็รู้ว่าอันไหนที่มันทำร้ายจิตใจคนดูมากเกินไปเขาก็สามารถดึงกลับมาได้แบบชาญฉลาดแบบถูกจังหวะจริง ๆ ก็อย่างเช่นตัวละครนักพากย์ของคณะขายยา ดันไปขัดแย้งกันในค่ายทหารนั่นแหละ

การนำเสนอถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดก็คือ การเปลี่ยนแปลงพระเอกภาพยนตร์คนสำคัญของประเทศไทย จากมิตรชัย บัญชา เป็นสมบัติ เมทนี นั่นมันทำให้เห็นว่า หากเรายึดติดอยู่กับสิ่งเก่า หรืออะไรแบบเดิมๆเราก็จะไม่สามารถเดินหน้าไปได้ สุดท้ายเราก็ต้องตายไปกับสิ่งนั่น และการนำเสนอในประเด็นนี้ก็ถูกถ่ายทอดในช่วงท้ายได้ดีอีกด้วย

ชอบการนำเสนอการภาพและบรรยากาศเปลี่ยนแปลงวิธีการเสพสื่อบันเทิงของผู้คน จากการดูหนังกลางแปลงขายยา ดูหนังแบบล้อมผ้า ดูหนังแบบมีเสียงในฟิล์ม ดูหนังในโรงภาพยนตร์ หรือแม้แต่การนำเสนอภาพในโทรทัศน์ ที่ผู้ชมอาจจะชื่นชอบแต่มันก็สร้างความเตือนใจให้กับอาชีพนักพากษ์หนังได้ไม่น้อยเลย

ชอบการนำเสนอในเชิงสัญลักษณ์ เช่นการแข่งกันในวงการภาพยนตร์และนักพากษ์ ที่บริษัทรถเร่ที่ดีกว่ามักจะวิ่งตัดบริษัทรถเร่ของโอสดเทพพยาดาเสมอ การเปรียบเทียบความนิยมโดยใช้มิตร ชัยบัญชาในแบบ "มิตรถือปืน มิตรถือผ้าเช็ดหน้า" การสร้างจุดขัดแย้งให้กับตัวละครโดยให้ตัวละครไปอยู่ในสถานที่ความขัดแย้งในอุดมการณ์ทางการเมืองที่เพชรบูรณ์ หรือการเลือกปีที่ตัวละครใช้ชีวิตในช่วงปี 2513 เป็นปีที่ไม่ใช้บัญชาเสียชีวิต และเมื่อถึงวันที่เกิดเหตุ หนังก็สามารถใช้เหตุการณ์ดังกล่าวกับจุดผลิกของเรื่องได้ดี และการใช้ปีนี้ยังสามารถอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมบันเทิงไทยที่เปลี่ยนไปได้ดีอีกด้วย เป็นปีที่ลงตัวที่สุดแล้ว

แต่สัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดก็คือชื่อของมิตร ชัยบัญชา ที่หนังย้ำกับเราถึง 2 ครั้งว่า พระเอกคนนี้ไม่ได้ชื่อมิตรชัยบัญชาแต่เป็นชื่อที่ผู้กำกับตั้งให้ เพราะเขาให้ความสำคัญกับเพื่อนมากที่สุด และแน่นอนว่าคณะหนังเร่โอสถเทพยดาที่มีด้วยกัน 4 คนนั้น การจะผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ก็ต้องใช้มิตรภาพที่ดีระหว่างเพื่อนนั่นแหละ ไหนจะเรื่องการดูแลตอนไม่สบาย ไหนจะเรื่องการช่วยกันพากษ์เสียง ช่วยกันเข็นรถติดหล่มเป็นต้น แต่ทั้ง 4 คนนั้นก็มีเรี่ยวแรงกำลังใจในการทำงานเพราะว่า ไม่ได้มีแค่ 4 คน แต่มีมิตรชัยบัญชาร่วมเดินทางไปด้วยทุกครั่งนั่นเอง หนังจึงนำคำว่า "มิตร" มาใช้ได้กับหลายมิติ

ชอบการนำเสนอวิถีชีวิตของคณะเร่ฉายหนังกลางแปลง แบบค่ำไหนนอนนั่น มีอะไรก็กินกันไป การพูดถึงระบบของสายหนัง ระบบของ Supervisor ที่ดูแลสายหนัง ระบบการควบคุมสายหนังด้วย นอกจากนี้ก็ยังจิกกัดยาของบริษัทยาที่ฉายหนัง เพราะเมื่อถึงเวลาที่เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาจริงๆแล้ว ยาที่ขายนั้นก็ไม่สามารถใช้งานได้มีประสิทธิภาพ แล้วจะต้องหามไปโรงพยาบาลทุกที และหนังเขาก็ใช้จุดนี้โจมตีกับหัวหน้ารถฉายหนังซะเลย แต่เนื่องจากยาที่ขายนั้นได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ก็เพราะว่ามันเป็นการสะท้อนภาพผู้ชนต่างจังหวัดในการเข้าถึงระบบสาธารณสุขไม่ดีนัก จึงจำเป็นจะต้องพึ่งยาสามัญประจำบ้านจากรถเร่ฉายหนังนั่นเอง

ชอบการคืนภาพชีวิตของคนยุค 60's ร้าน รวง ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าหน้าผม เครื่องดืมคอหมอ บุกรี่เกล็ดทอง การกินสไปร์ทใส่ไข่ดิบ บรรยากาศไนท์คลับ เพลงประกอบ โลเคชั่นเก่า โรงแรมเก่า รถเก่าคือได้หมด โดยเฉพาะรถเร่เก่าที่ยังวิ่งได้อยู่ก็คือดีงาม มันก็เหมือนกับฉากที่การเนรมิตเรือขุดแร่ในหนังเรื่องมหา'ลัยเหมืองแร่นั่นแหละ

ฉากประชันการพากย์หนังมีความสนุกและดีงามไม่แพ้ฉากประชันระนาดในเรื่องโหมโรงเลย และการประชันไม่จำเป็นต้องดุเดือดด้วย เรียบง่ายแต่มันดูแล้วโคตรมีความสุข มันคือการประชันการพากษ์เสียงที่เต็มไปด้วยความรัก เป็นหนังที่ผมดูแล้วมีความสุขที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมาเลย

นักแสดงทุกคน คือของขวัญจากหนัง คือการการเพาะบ่มของวงการภาพยนตร์ไทยอย่างแท้จริง เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ รับบทเป็นมานิตย์หัวหน้าที่แบกคณะเร่หนังได้อย่างแท้จริง ทุกสีหน้าได้แววตาเรารู้เลยว่านอกจากจะแบกเรื่องยอดของการขายยาแล้วยังแบบความฝันของทุกคนในคณะเร่ฉายหนังไว้อีกด้วย ส่วนหนูนา หนึ่งธิดา โสภณ รับบทเป็นเรืองแขนี่คือการแสดงที่ดีที่สุดของเธอ ส่วน เก้าจิรายุ ละอองมณี รับบทเป็นอเก่า รับบทเป็นคนหัวร้อนที่กลับมาเป็นคนสุขุมและพัฒนาตัวเองได้ดี และ สามารถ พยัคฆ์อรุณ ที่รับบทเป็น ลุงหมาน นี่ก็เล่นเป็นคนสูงอายุที่เก๋ามาก 4 คนนี้เล่นเข้าขากันดีมาก นับเป็นการคัดเลือกนักแสดงที่ลงตัวที่สุด ส่งให้หนังเรื่องนี้ดีงามอย่างสมบูรณ์

#บทสรุป
นี่คือหนึ่งในที่สุดของนนทรีย์ นิมิบุตร ที่สามารถดึงเอาอารมณ์และบรรยากาศของวัฒนธรรมบันเทิงไทย โดยเฉพาะวัฒนธรรมการฉายภาพ ในช่วงยุคปี 60's มาได้อย่างดีงาม อิ่มเอมกับมิตรภาพและความรักที่ไม่ได้มีแค่ชู้สาวเท่านั้น สร้างอารมณ์โหยหาอดีตได้ดีจนอินไปกับทุกรายละเอียดของหนัง และต้องขอบอกว่า มนต์รักนักพากษ์คือสารรักจากคนรักหนังไทยสู่อุตสาหกรรมหนังไทยอย่างแท้จริง คือสารรักของคนรักหนังไทยที่ส่งต่อให้กับมิตร ชัยบัญชาอย่างแท้จริง

10/10 
@วาทิน ศานติ์ สันติ

#มนต์รักนักพากษ์
#มนต์รักนักพากษ์2023
#มนต์รักนักพากษ์Netflix
#OnceUponAStar2023

หมายเลขบันทึก: 714911เขียนเมื่อ 12 ตุลาคม 2023 08:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 ตุลาคม 2023 09:18 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท