องค์ท่านเคยให้ โอวาทธรรม ไว้
"จริงๆแล้วขณะทำงานหรืออยู่บ้านเราก็สามารถภาวนาได้ โดยให้มีเมตตา ไม่ตำหนิใคร ไม่อิจฉาริษยาใคร เป็นต้น ทำแค่นี้ก็สามารถบรรลุธรรมได้"
วันนี้ผมเริ่มเข้าใจมากขึ้นแล้วครับว่า
ท่านนั้นเจตนาให้ผมเข้าใจ กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม ไปพร้อมกัน นั่นหมายความว่า...ศีลเราก็จะไม่พร่องทั้งกาย วาจา และใจ
โดยเฉพาะเรื่องใจที่เป็นมโนกรรม (ตัวนี้ร้าย)ท่านกำลังสอนผมว่า.. อย่าส่งจิตของเราออกไปข้างนอก ไปตำหนิใคร ไปว่าใคร ไปอิจฉาใคร ซึ่งความคิดนี่แหละ!! ที่มันปรุงแต่งไปไม่รู้จบ มันเป็นเหตุที่ทำให้เราทุกข์
ทุกข์ตัวนี้เป็นกิเลสตัวใหญ่ทีเดียวที่เราจะผ่านมันไปได้ยากถ้าเรามองแบบผิวๆ
วันนี้ผมได้เข้าใจมากขึ้นในคำสอนของท่าน ครับว่า... อย่ามองทุกข์เพียงแค่ความลำบาก ความไม่สบายใจ แต่ท่านกำลังบอกผมให้มองทุกข์ที่มันเกิดขึ้นจากความคิดปรุงแต่งของเราเองด้วย ที่เราไปอิจฉาคนนั้นคนนี้ ไปตำหนิคนนั้นคนนี้ ไปว่าคนนั้นคนนี้ เพราะเราคิดไปเอง..ถ้าเราหยุดคิดนี้ได้ นั่นเท่ากับว่าศีลเราบริบูรณ์โดยที่เราไม่ต้องไปขอศีลจากพระหรือจากใครที่ไหนเลย
เมื่อศีลบริบูรณ์ มีสมาธิเป็นบาทฐานแล้ว ตัวปัญญาก็จะเกิดกับเราเพราะเรามีสติ ไม่คิดปรุงแต่งนั่นเอง
มิน่าละ...องค์ท่านถึงพูดกับผมว่า. ..."เราก็สามารถบรรลุธรรมได้"
น้อมกราบสาธุในคำสอนขององค์ท่าน
ขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงครับ
ไม่มีความเห็น