รีวิว บ่มีวันจาก : The Long Way (2019) ภาพยนตร์สยองขวัญ-ไซไฟสุดล้ำจากประเทศลาว


รีวิว บ่มีวันจาก : The Long Way (2019) ภาพยนตร์สยองขวัญ-ไซไฟสุดล้ำจากประเทศลาว ที่จะทำให้คุณต้องตะลึงและยอมรับว่า หนังผีจากเพื่อนบ้านแซงหน้าหนังผีจากไทยไปแล้ว และนี่คือที่สุดของความลงตัวระหว่างปรัชญาศาสนา หลักวัฏสงสารเวียนว่ายตายเกิด กับทฤษฎี Butterfly Effect หรือเด็ดดอกไม้สะเทือนดวงดาว อย่างเหลือเชื่อ บ่มีวันจากเล่าเรื่องราวของอะไร และมีประเด็นไหนน่าสนใจบ้าง ขอเชิญทุกท่านติดตามจากบทความนี้ได้เลยครับ

ดูคลิปได้ที่นี่

#เรื่องย่อ #เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง #Spoiler
บ่มีวันจาก (The Long Walk) เล่าเรื่องราวในอนาคตอันใกล้ของประเทศลาว ในช่วงปี 2065 โดยเล่าเรื่องราวผ่านบุคคล 2 บุคลสำคัญคือลุง ชายแก่ที่สามารถติดต่อกับดวงวิญญาณผู้ล่วงลับได้ กับเด็กชายคนหนึ่งที่อยู่กัยพ่อกับแม่ฐานะยากจน แม่ทำอาชีพถูกปลูกผักขาย พ่อไม่ทำอะไรได้แต่บ่นลูก ทำร้ายเมีย

#เส้นเรื่องของลุง
ลุงคือชายสูงวัยอายุราว 60 ปี ใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว กิจวัตรประจําวันของเขานั้นหาเลี้ยงชีพโดยการเก็บเศษเหล็ก ของเก่า ซากรถและสายไฟเก่า ไปขายร้านชำร้านหนึ่งในตัวเมือง แม้เงินจากขายนั้นจะแสนน้อยเต็มทนแต่ลุงก็ไม่ได้บ่ายเบียงหรือหมิ่นเงินน้อยนั้น

กิจวัตรอีกอย่างหนึ่งของลุงก็คือ การเดินเท้าไปกลับระหว่างบ้านที่ตนอยู่กับตัวเมืองซึ่งมีระยะทางค่อนข้างไกล ระหว่างทางจะผ่านป่าขนาดเล็ก พี่ 2 ข้างทางนั้นมักจะมีผู้คนเสียชีวิต ลุงจะไหว้ศาลเพียงตาขนาดเล็ก ด้วยส้ม 1 ผลและธูปเทียนทุกวัน จุดนี้คือจุดที่หลายศพถูกนำมาฝังที่ตรงนี้ เหล่าวิญญาณหญิงสาวหลายดวงที่ทนทุกทรมาณไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ ร่างพวกเธอยังไม่นำไปประกอบพิธีทางศาสนา

ลุงสามารถมองเห็นวิญญาณที่อยู่ในป่านั้นได้ สามารถสนทนาสื่อสารได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือ มีดวงวิญญาณหญิงสาวตนหนึ่งเดินติดตามลุงไปทุกที่ ลุงสามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณหญิงสาวตนนี้ จับต้องได้สัมผัสได้ แต่วิญญาณของหญิงสาวไม่สามารถพูดได้ และดวงวิญญาณของหญิงสาวตอนนี้จะรับรู้กิจวัตรประจำวันของลุงทุกอย่างไป

อยู่มาวันหนึ่งลุง ได้ขึ้นไปบนบ้าน แล้วก็พบกับหญิงชราคนหนึ่งที่หายใจโรยรินกำลังจะเสียชีวิต แต่ลุงก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ไปมากกว่าการทำการุญยฆาต ให้เธอจากไปอย่างสงบ แล้วเธอก็สิ้นใจ ลุงทำได้เพียงนำร่างของเธอไปฝังบริเวณป่าข้างทาง ให้ดวงวิญญาณของเธอได้อยู่กับดวงวิญญาณก่อนหน้านี้อีกหลายสิบตนนี่คือสิ่งที่ลุงทำให้เธอได้โดยไม่ต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป

เมื่อฝังศพเสร็จแล้วลุงก็ได้กระทำพิธีกรรมบางอย่าง โดยการตัดนิ้วมือหญิงชรา 1 นิ้ว นำมาใส่น้ำยากัดเนื้อเยื้อ ให้เหลือแต่กระดูก แล้วก็เก็บกระดูกส่วนนิ้วมือเอาไว้โดยห่อผ้าพันด้วยได้ แล้วนำไปวางบนจานในตู้โชว์ของ รวมกับนิ้วมืออีกหลายนิ้วมือ ซึ่งก็มาจากร่างกายของหญิงทุกคนที่ลุงได้ทำการุณยฆาตช่วยเอาไว้นั่นเอง

วันต่อมามีตำรวจมาที่บ้านของลุง มาถามถึงหญิงชราที่สติเสียหายตัวไปก่อนหน้านี้ ซึ่งตำรวจได้แจ้งเบาะแสว่าหญิงชราคนนั้นเป็นหญิงเสียสติ ขายเฝออยู่ในเมือง ซึ่งตอนนี้ลูกสาวของเธอนั้นมาขายแทนแม่ไปพราง ๆ ระหว่างรอตำรวจทำคดี ตำรวจขอร้องลุงให้ช่วยตามหาศพของหญิงคนนั้น เพราะรู้ว่าลุงมีความสามารถพิเศษในการติดต่อกับดวงวิญญาณของผู้ตายได้นั่นเอง แต่ลุงก็ปฏิเสธตำรวจไป ไม่เต็มใจยอมช่วยเหลือ

แท้จริงแล้วลุงก็รู้อยู่เต็มอกว่าหญิงที่ลุงได้ทำการุณยฆาตนั้นก็คือคนที่ตำรวจตามหา ลุงตัดสินใจไปหาหญิงสาวผู้เป็นลูกที่ร้านเฝอ หญิงสาวได้เสนอเงินจำนวนหนึ่งขอร้องให้ลุงช่วยติดต่อกับดวงวิญญาณของแม่ เพราะเธอนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ค้างคาใจ โดยเฉพาะการกล่าวคำขอโทษในสิ่งที่เธอทำผิดพลาดไปตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ลุงก็ไม่ได้รับปากว่าจะตามหาให้

แต่ลุงเองก็ไม่อาจทนได้ วันต่อมาก็กลับไปหาหญิงสาวที่ร้านเฝออีกครั้ง หญิงสาวให้เงินจำนวนนั้นกับลุง ลุงได้ขอปากกากับกระดาษ แล้วก็จดบางสิ่งบางอย่างให้หญิงสาวอ่าน หญิงสาวค่อย ๆ เปิดกระดาษอ่านแล้ว ในกระดาษมีข้อความว่า "แม่ของเธอไม่ได้อยู่ที่นี่" หญิงสาวไม่พอใจกับคำตอบที่ได้แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ วันต่อมาเธอจัดการเรื่องร้าน แล้วก็ย้ายไปใช้ชีวิตอยู่กับลุงชั่วคราว

ทั้งสองอยู่ด้วยกันภายในบ้านหลังเก่า หญิงสาวก็ช่วยทำงานบ้านเป็นการตอบแทน แล้วเธอก็เปิดตู้โชว์ของลุงแล้วก็รับรู้ว่าลุงได้เก็บกระดูกนิ้วมือของคนหลายคนเอาไว้ในตู้ แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรมากมายนัก เพราะเข้าใจว่านี่อาจจะเป็นการช่วยเหลือดวงวิญญาณเหล่านั้นก็เป็นได้ ถึงอย่างไรเธอก็ยังสงสัยในพฤติกรรมของลุงคนนี้ และแม้แต่ตำรวจเองก็ตาม ก็ยังสงสัยเพราะในช่วงหลังที่ผ่านมานี้มีหญิงสาวหลายสิบคนที่หายตัวไปเป็นปริศนาที่ยังไม่สามารถตามได้

ท้ายที่สุดแล้ว ลุงก็ไปขุดศพหญิงชราที่ตัวเองจะทำการุณยฆาตในตอนต้นเรื่อง ซึ่งก็คือแม่ของหญิงสาวคนนี้นี่แหละ แล้วนำไปวางไว้ในที่แห่งหนึ่งที่ห่างจากจุดฝังศพ จากนั้นก็ไปแจ้งตำรวจ หญิงสาวได้ประกอบพิธีกรรมเผาศพแม่ตามคติของศาสนาพุทธสมใจ

หญิงสาวยังคงอาศัยอยู่กับลุงที่บ้าน จนวันหนึ่งเพิ่อนของหญิงสาวมาที่บ้านของลุง วันรุ่งขึ้นหญิงสาวลูกแม้ค้าขายเฝอเสียสติก็จากลุงไป

#เส้นเรื่องของเด็กชาย 
เด็กชายคนหนึ่งอาศัยอยู่กับพ่อและแม่ในบ้านที่ค่อนข้างแร้งแค้น แม่ปลูกผักขายได้เงินเพียงเล็กน้อย ซ้ำร้ายสุขภาพไม่ค่อยดีไอตลอดเวลา ร่างกายอ่อนแอ ส่วนพ่อนั้นไม่มีอาชีพแน่นอน ดูแลแปลงผัก กินเหล้า ด่าลูกเป็นกิจวัตร

เด็กชายใช้เวลาว่างจากการช่วยแม่ขายของ ชอบแอบเข้ามาเที่ยวเล่นในป่าข้างถนน ครึ่งวันหนึ่งเด็กชายได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่ในป่ากำลังจะขึ้นลมหายใจ เด็กชายก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ได้แต่มองหญิงสาวคนนั้นสิ้นลมไปต่อหน้า เด็กชายคนสัมภาระของหญิงสาวก็พบเงินจำนวนมาก เด็กชายเก็บเงินใส่กระเป๋า จากนั้นก็กลับมาที่ศพของหญิงสาวพบแหวนทองที่นิ้วมือก็เก็บแหวนนั้นไว้

เด็กชายเดินออกมาจากป่าผ่านทางศาลเพียงตาขนาดเล็ก ก็พบหญิงสาวคนหนึ่งยืนส่งยิ้มให้ เด็กชายกลัวมากก็รีบเดินหนี แต่หญิงสาวก็ยังเดินตามไปเรื่อย ๆ ตามไปทุกที ยืนมองเด็กชายกับแม่ขายผัก เดินตามกลับบ้านด้วย นานเข้าเด็กชายก็รับรับรู้ว่าเธอคือวิญญาณดี คือ วิญญาณของหญิงสาวนิรนามที่ตายอยู่ในป่าข้างถนน ที่เขานำเงินของเธอเอามาให้แม่

แล้วทั้งสองก็สนิทสนมกันดี เด็กชายไม่ได้กลัวโดนวิญญาณหญิงสาวคนนี้อีกต่อไป ทั้งสองเดินไปไหนด้วยกันตลอด แม้ดวงวิญญาณของหญิงสาวนั้นจะไม่สามารถพูดได้ แต่เด็กชายก็พูดคุยกับเธอตลอดเวลาดวงวิญาณหญิงสาวก็เอ็นดูเด็กชายคนนี้เสมอ ให้ส้มกับเด็กชายกิน ปลอบโยนเด็กชายเมื่อถูกพ่อทำร้าบ

โชคร้ายที่เด็กชาย ต้องทนอยู่กับพ่อผู้มีอารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรง และแม่ก็มีอาการเจ็บป่วยไอหนักอันเกิดจากวัณโรคและคิดว่าจะอยู่ไม่นาน

จนวันหนึ่งลุงก็มาพบเด็กชาย สอนเด็กชายให้ดูแลแม่ ให้สูตรยาบรรเทาอาการเจ็บป่วย บอกให้เงินกับแม่เอาไปรักษาตัว ห้ามให้พ่อรู้เรื่องเงินเด็ดขาด

ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ แล้ว เด็กชายกับลุงคือคนคนเดียวกัน เด็กชายคืออดีต ลุงคืออนาคต ที่ห่างช่วงเวลาการ 50 ปี ทั้งสองมีสองสิ่งที่เหมือนกันก็คือดวงวิญญาณของหญิงสาวที่ติดตามทั้งสองคนไปทุกที่ และทั้งสองคนส่มารถเดินทางข้ามเวลาได้ ซึ่งความสามารถในการเดินทางข้ามเวลานั้นเกิดขึ้นกับเด็กชายโดยที่ ดวงวิญญาณของหญิงสาวเป็นผู้ชี้นำ

แต่ความพลิกผันของเรื่องก็เกิดตรงที่ ลุงได้เห็นว่าแม่ของเด็กชาย ซึ่งก็เป็นแม่ของลุงเมื่อในอดีตเมื่อ 50 ปีที่แล้วนั่นแหละ กำลังทนทุกข์ทรมานกับการเป็นวัณโรค ลุงก็เลยผสมยาแก้ปวดขั้นรุนแรงให้แม่ของเด็กชายกิน ซึ่งเด็กชายก็รู้ดีว่าการผสมยาแก้ปวดใน ปริมาณมากนั้นมีผลอย่างไร ซึ่งนั่นก็เป็นการกระทำการุญยฆาตที่ลุงทำกับแม่ของตนเองผ่านเด็กชาย

การที่ลุงกระทำการุณยฆาตนั้น ก็คือสิ่งหนึ่งที่ลุง ต้องการกลับมาแก้ไขในอดีต เพราะไม่อยากให้แม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการเป็นวัณโรคมากเกินไปนั่นเอง

เด็กชายต้องทนทุกข์ทรมานหลังจากที่เสียแม่ไป ไม่ยอมนำศพของแม่ไปฝัง ในผืนดินแปลงดอกไม้ที่แม่ชอบมานั่งพัก ปล่อยร่างแม่ให้นอนนิ่งอยู่บนบ้านจนแทบเน่าเปื่อย จนชาวบ้านมาเห็น ก็เลยนำร่างของแม่ไปทำพิธีเผาตามคติศาสนา แล้วก็นำเด็กชายนั้นไปบวชเณร แต่การบวชเณรนั้นก็หาทำให้จิตใจของเด็กชายมีความสงบสุขไม่ ในขณะที่กำลังกวาดลาน เด็กชายก็วิ่งหนีออกมาทั้งผ้าเหลือง กลับมาที่บ้าน แล้วก็ถอดผ้าเหลืองออก ใส่ชุดเสื้อผ้าของฆราวาส แล้วก็อยู่ที่บ้านทำกิจวัตรตามที่เคยทำต่อไปด้วยจิตใจที่ไม่เป็นปกติตามเดิมอีกต่อไป

และนี่ก็คือพร็อพเรื่องหลักสำคัญที่เกิดขึ้นจากตัวละคร 2 ตัวที่เป็นคนคนเดียวกันแต่คนละช่วงวัยที่ห่างกัน 50 ปี ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่อาจเล่าทั้งหมดให้จบลง ณ ที่นี้ เพราะยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญ 5 หลัก ซึ่งผมจะขอขยายความในส่วนของการวิเคราะห์เนื้อหาท่าจะเหมาะกว่าการนำมาเล่าในเรื่องย่อนะครับ ถ้าหากใครสนใจซึมซับรายละเอียดทั้งหมดจาก บ่มีวันจาก ก็ขอแนะนำให้ชมทาง netflix ได้เลยนะครับ

#การวิเคราะห์เนื้อหาและสาส์นสำคัญของเรื่อง
บ่มีวันจาก คือผลงานของ ‘แมตตี้ โด’ ผู้กำกับหญิงจากประเทศลาว ที่มีหัวใจสำคัญของเรื่องอยู่ที่ว่าหากเราสามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้เราจะแก้ไขสิ่งใด" ซึ่งหนังเล่าเรื่องราวของลุงผู้มีความสามารถพิเศษในการเดินทางย้อนเวลาได้  สามารถติดต่อกับดวงวิญญาณของผู้ตายได้ ซึ่งลุงก็วนเวียนอยู่กับการเดินทางย้อนเวลาเพื่อกลับไปแก้ไขเรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตให้กับตนเองและให้กับผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน ทั้งยังสอดแทรกคติความเชื่อทางศาสนาพุทธเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด การชดใช้กรรม และเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ไม่ได้เป็นในตามแบบที่ควรจะเป็นด้วย ซึ่งหากลองพิจารณาให้ดีแล้ว บ่มีวันจาก มีประเด็นสำคัญอยู่หลายประเด็น ซึ่งแต่ละประเด็นนั้นล้วนแต่เป็นสาส์นสำคัญของเรื่อง ที่ดีงามมากกว่าการเป็นหนังผีสยองขวัญซะอีก เราจึงขอสรุปความหมายเชิงสัญลักษณ์และสาส์นสำคัญที่ได้จากหนังเรื่องนี้เอาไว้ดังนี้ครับ

#สัญลักษณ์และสาส์นสำคัญ
1. #การพัฒนาประเทศกับความเจริญทางด้านเทคโนโลยีที่สวนทางกับวิถีชีวิตของผู้คน จุดนี้หนังเขาทำให้เห็นว่าประเทศลาวในปี 2065 มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีบางอย่างที่ตะวันตกนำเข้ามาและมันดูย้อนแย้งกับวิถีชีวิตของผู้คนที่ปรับตัวไม่ทัน หรือเทคโนโลยีนั้นไม่สอดคล้องกับบริบทของผู้คน เช่น ที่ข้อมือของผู้คนนั้นเป็นเทคโนโลยีแบบฝัง สามารถใช้ดูเวลาได้ สามารถเป็นธนาคารดิจิทัล ใช้โอนเงินระหว่างกันได้โดยใช้ท้องแขนสัมผัสกัน คล้าย ๆ กับการโอนถ่ายในเวลาในหนังฝรั่งเรื่อง intime นั่นแหละ ทั้งยังทำให้เราเห็นรุ่นใหม่ที่สามารถดูคลิปวีดีโอได้ ก็ประมาณว่ายกโทรศัพท์มือถือใส่เข้าไว้ในแขนคนนั่นแหละ มีหลายครั้งที่ตัวละครบางตัวบอกว่าไม่เอาเงินแบบจากการโอนแบบนี้จะเอาเงินสดเท่านั้น เราได้เห็นเครื่องบินรบบินเหนือเสียงที่เรียกว่า Super Sonic ซึ่งประชาชนมองแล้วก็ไม่ได้มีความตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด เรามองเห็นภาพของเมืองหลวงเวียงจันทน์เต็มไปด้วยตึกระฟ้า แต่เมืองที่อยู่รอบนอกห่างกันเพียงแค่ไม่กี่กิโลเมตรกลับมีความธุระกันดารแห้งแล้ง และบ้านเมืองก็ยังเป็นแบบดั้งเดิม จุดนี้ก็แสดงถึงการพัฒนาแบบเมืองโตเดี่ยว มันจะกระจายไปสู่เมืองรอบนอกแต่อย่างใด อีกทั้งยังได้แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ผู้คนนั้นไม่ต้องการและไม่เหมาะกับวิถีชีวิตของผู้คน แต่กลับถูกยัดเยียดโดยรัฐหรือถูกยัดเยียดโดยสังคมโลกาภิวัฒน์ เช่นชาวต่างชาติได้นำเอาแผงโซล่าเซลล์มาติดไว้ที่บ้านของเด็กชาย ซึ่งพ่อได้บอกกับเด็กชายว่าสิ่งที่เขาอยากได้ไม่ใช่เครื่องโซล่าเซลล์หรือไฟฟ้า เขาอยากได้รถไถเอามาทำการเกษตรกรรมมากกว่า และเมื่อได้แผงโซล่าเซลล์และไฟฟ้ามาแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะไม่มีเงินไปจ่ายค่าไฟอยู่ดี สิ่งนี้เป็นการสะท้อนถึงการย้อนแย้ง ในสิ่งที่รัฐบาลหรือสังคมต้องการยัดเยียดซึ่งไม่สอดคล้องกับบริบทการใช้ชีวิตของประชาชนหรือผู้คนนั่นเอง

2. #คติเรื่องสังสารวัฏการเวียนว่ายตายเกิดและการรับผลจากการกระทำ หนังทำให้เราเห็นว่าเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปไกลมากแค่ไหน แต่ผู้คนนั้นก็ยังยึดถืออยู่ในความเชื่อดั้งเดิมที่อยู่ภายใต้ของศาสนาพุทธ ที่คนเอเชียและเอเชียตะวันอกเฉียงใต้มีความเชื่อร่วมกันคือการเวียนว่ายตายเกิด หากทำกรรมไม่ดีเมื่อตายไปชีวิตก็จะวนกลับมาเกิดอีกครั้ง วนเวียนกับการใช้ชีวิตแบบเดิม หรือแก้ไขเหตุการณ์บางอย่างให้มันดีขึ้น จึงจะหลุดพ้นสังสารวัฏนี้ไปได้ และหากใครกระทำกรรมไม่ดี ก็จะต้องรับผลจากการกระทำ เหมือนที่ลุงของเรื่องที่ทำกรรมหนักเอาไว้มาก ๆ โดยเฉพาะการระทำการุณยฆาตกับคนหลายคน รวมไปถึงการกระทำกังขัง ข่มขืน ฆ่าอำพรางศพ เมื่อละงตายไปแล้วก็ต้องกับมาวนเวียนใช้กรรมนี้หลายครั้งจนนับไม่ได้ ซึ่งหนังเข้าชาญฉลาดมากโดยการใช้ตัวละครผีของหญิงสาว เป็นตัวแทนของคนดูหนัง แล้วก็เป็นพยานในการวนเวียนว่ายตายเกิดมารับกรรมของลุงในหลายชาติพบ ซึ่งผีหญิงสาวบอกว่าเขาได้เฝ้ามองชีวิตของลุงเวียนว่ายตายเกิดนับครั้งไม่ถ้วน และทำเรื่องเดิม ๆ นับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน

3. #ความผิดบาปที่ติดอยู่ในใจ จุดนี้ก็เป็นประเด็นสำคัญที่เรื่องต้องการจะนำเสนอ โดยเฉพาะความผิดบาปที่อยู่ในใจของลุง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำการุณยฆาตคนหลายคน แล้วก็เอาศพไปฝังไว้ในจุดที่ตัวเองรับรู้ เมื่อมีลูกสาวของศพศพหนึ่งที่เขากระทำการุญฆาตไปมาขอความช่วยเหลือ ลุงก็ใช้เวลาในการไตร่ตรองสักพัก ก็ยอมที่จะช่วยเหลือ โดยเริ่มจาก ย้ายศพจากจุดที่ตัวเองฝังไปยังจุดอื่นเพื่อให้ตำรวจพบแล้วนำไปประกอบพิธีกรรม หนักเข้าก็เกิดความสงสารทำให้ต้องย้อนเวลากลับไปช่วยหญิงชราคนนั้นโดยที่เขาไม่ต้องการุญยฆาต นั่นเป็นการแสดงถึงการลบล้างความผิดบาปที่ติดอยู่ในใจ แต่ความผิดบาปที่ติดอยู่ในใจมากที่สุดก็คือ การที่ลุงย้อนเวลากลับไปช่วยตัวเขาเองตอนวัยเด็กเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นเด็กชายต้องประสบปัญหากับการดูแม่เจ็บป่วยต้องทนทุกข์ทรมานอย่าง ลุงก็เลยทำการุญยฆาตฆ่าแม่ของเด็ก ซึ่งก็เป็นแม่ของตัวเขาเองเมื่อ 50 ปีที่แล้วนั่นแหละ เพราะเขาไม่อาจทนเห็นแม่ต้องทรมานได้อีกต่อไป แต่การที่เขาย้อนกลับไปแล้วทำการุณยฆาตนั้น มันก็ทำให้เขารู้สึกผิดบาปติดอยู่ในใจมาตลอดตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยแก่นั่นเอง

4. #เด็ดดอกไม้สะเทือนดวงดาว การแก้ไขอดีตคือการเปลี่ยนแปลงปัจจุบันและอนาคต จุดนี้ถือว่าเป็นประเด็นสำคัญที่สุดของเรื่องเลยก็ว่าได้ โดยเริ่มจากลุงย้อนเวลากลับไปทำการการุญยฆาตแม่ของตัวเองเมื่อ 50 ปีที่แล้ว มันทำให้การตายของแม่นั้นมันติดตาติดใจเด็กชาย แม้ว่าลุงจะแนะนำให้เด็กชายนำศพของแม่ไปฝังยังสวนดอกไม้ที่แม่ชอบ แต่เด็กชายก็ยังเก็บศพของแม่เอาไว้บนบ้าน นานวันเข้าเมื่อชาวบ้านมาพบก็เลยนำศพแม่ไปทำพิธีกรรมทางศาสนา เด็กชายต้องทนทุกข์ทรมานต่อการลาจากของแม่ถึง 2 ครั้ง แม้จะนำเด็กชายไปบวช แต่การบวชก็ไม่ชวยรักษาบาดแผล ที่อยู่ภายในใจของเด็กชายได้ เด็กชายจึงหนีจากผ้าเหลืองแล้วกลับมาที่บ้าน แล้วนั่นมันก็ทำให้เด็กชายโตขึ้นกลายเป็นเด็กขาดความอบอุ่นจากแม่ แล้วก็พัฒนาจนกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีพฤติกรรมทางจิตไม่ปกติ ชอบกักขังหญิงสาว ข่มขืน ฆ่า ก่อนที่จะนำศพไปฝังก็จะตัดชิ้นส่วนของนิ้วเหยื่อ มาแช่น้ำยากัดเนื้อเลาะเอากระดูกมาเก็บไว้เป็นของที่ระลึก แล้วมันก็ยังส่งผลมาถึงปัจจุบัน ทำให้ลุงไม่สามารถจำเหตุการณ์ที่เขากระทำฆาตกรรมหญิงสาวหลายสิบรายได้ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าการเลาะเนื้อและเก็บกระดูกนิ้วมือนั้นเก็บไว้เพื่ออะไร แล้วหนังเขาก็ชาญฉลาดทำให้เราเห็นว่าหญิงสาวที่ลุงนำมาพักที่บ้านนั้น แท้จริงแล้วก็คือการลักพาตัวหญิงสาวคนนี้มากักขังเอาไว้ที่บ้านนั่นเอง แล้วหญิงสาวก็หาทางหลบหนีจากลุง แล้วเมื่อลุงจับกลับมาได้ก็จะตัดนิ้วหญิงสาวเอาไว้เพื่อเป็นการสั่งสอนและย้ำเตือนว่าอย่าพยายามหลหนีอีก ทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันเกิดจากการที่ลุงเข้าไปยุ่งย่ามกับการแก้ไขเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต ทุกครั้งที่ลุงกลับไปแก้ไขไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวเองหรือของใครก็ตาม มันก็จะส่งผลแบบใหม่ในปัจจุบันด้วย และสิ่งที่มันส่งผลนั้นมันก็เลวร้ายมากยิ่งกว่าเดิมหลายเท่านัก และยังมีข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ การที่ลุงกลับเข้าไปช่วยเหลือเด็กชายซึ่งเป็นตัวเองเมื่อสมัย 50 ปีที่แล้ว ก่อนที่จะทำการการุณยฆาตแม่ของตัวเอง ก็เข้าใจว่าน่าจะทำการฆาตรกรรมพ่อของตัวเองก่อนหน้านี้ด้วย เพราะพ่อชอบทุบตีแม่ซึ่งเขาไม่ชอบ ซึ่งในหนังทำให้รับรู้เพียงว่า พ่อหนีไปทำงานที่เวียงจันทร์ แต่เราก็ไม่เห็นภาพนั้นซึ่งเราอาจจะตีความว่าเกิดจากการฆาตกรรมก็เป็นได้

5. #ความถูกต้องของคนหนึ่งอาจไม่ถูกต้องสำหรับทุกคน ในจุดนี้เป็นการแสดงว่าคนเรานั้นคิดไม่เหมือนกัน ความถูกต้องของอีกคนหนึ่งอาจไม่ถูกต้องสำหรับใครหลายคนก็เป็นได้ ยกตัวอย่างเช่นการกระทำการุณยฆาตของลุง ลุงคิดว่าเป็นการช่วยเหลือหรือการปลดปล่อยหญิงสาวที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการบาดเจ็บจากโรคร้าย หากทำการกรุณยฆาตเสียแล้วคนเหล่านั้นก็ไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป แต่ในขณะที่เด็กชายซึ่งเป็นอดีตของลุงเมื่อ 50 ปีที่แล้วนั้นกลับมองว่าการกระทำการุณยฆาตนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บปวดใดก็ต้องรักษา แล้วถ้าหากเจ็บปวดมาก ๆ ก็ต้องปล่อยให้เสียชีวิตเองตามอาการ และอีกหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เห็นตัวละครของหญิงสาวตั้งข้อสังเกตุกับพฤติกรรมของลุงด้วย จุดนี้แม้ว่าหนังจะไม่บอกว่าความถูกต้องนั้นเป็นความถูกต้องที่แท้จริงหรือไม่ แต่มันก็เป็นหน้าที่ของคนดูที่จะทำหน้าที่ตัดสินเองว่าการกระทำของลุง ความคิดของลุง หรือความคิดของตัวละครหลายตัวนั้นสิ่งใด คือสิ่งที่ถูกต้องมากกว่ากัน

#การวิจารณ์ภาพยนตร์
นอกจากนี้ก็ยังมีจุดที่ชอบมากในหนังหลาย เช่นผีที่ไม่ได้น่ากลัว และแทบจะไม่มีจุดไหนที่ทำให้เรารู้สึกว่าหนังผีเรื่องนี้น่ากลัวเลย ผีออกมาแบบปกติ ออกมาทั้งทั้งวันแล้วกลางคืน แถมยังสื่อสารกับลุงได้แบบปกติ ดังนั้นบ่มีวันจากจึง เป็นหนังปรัชญา sci-fi โดยใช้บรรยากาศของหนังผีเคลือบเอาไว้เพียงเท่านั้น ก็เหมือนกับการที่เรากินยาขมโดยเคลือบน้ำตาลไว้ที่เม็ดยานั่นแหละ คนที่ชอบหนังผีสยองขวัญทำให้ตื่นเต้นตกใจทำให้ผีแลบลิ้นปลิ้นตาหรือพุ่งเข้าใส่นั้น อาจผิดหวังกับหนังเรื่องนี้ไม่น้อย

ชอบการเลือกโลเคชั่นของหนังมาก ๆ เป็นโลเคชั่นแบบบ้าน ๆ ชนบทของประเทศลาวอย่างแท้จริง แม้จะทำให้เห็นภาพของเมืองหลวงเวียงจันทน์ในอนาคต แต่นั่นมันก็เหมือนกับกูอยู่คนละโลก เพราะแม้ว่าเมืองหลวงจะเจริญเติบโตมากแค่ไหนเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมากแค่ไหน ประชาชนที่อยู่รอบนอกนั้นกลับไม่ได้รับความเจริญเหล่านั้นมาด้วย แล้วไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีมากแค่ไหนคนที่อยู่ในชนบทเขาก็ยังใช้ชีวิตอยู่แบบเดิมนั่นเอง

ชอบการเล่าเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะไม่เรียงลำดับ ทุกคนดูอาจจะมีความสับสนบ้างเล็กน้อย แต่เชื่อเธอว่าถ้าหากดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องมากมายหลายเหตุการณ์ที่มันตัดสลับกันแล้วตั้งแต่ต้นจนจบ เชื่อว่าจะดูหนังเรื่องนี้ได้เข้าใจไม่ยากเลย อาจจะมีสิ่งที่ยากเพียงอย่างเดียวก็คือการตีความเชิงสัญลักษณ์นั่นแหละ แล้วขอบอกว่าหากไม่ตีความก็ยังดูหนังเรื่องนี้สนุกอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

ชอบการแสดงของนักแสดงทุกคนเป็นอย่างมาก ยานนะวุดทิ จันทะลังสี ที่แสดงเป็นลุง เป็นการแสดงที่ถือว่ายอดเยี่ยม มีความลุ่มลึกทางอารมณ์สูง จะเป็นชายแก่ใจดีก็ได้ จะเป็นชายแก่ที่ดูโหดเหี้ยมก็ยังได้ จะเป็นชายแก่ที่โศกเศร้าเสียใจ หรือทนทุกข์ทรมานกับบาดแผลในอดีตหรือแสดงผ่านสีผน้าแววตาเพียงอย่างเดียวก็ยังได้ ถือว่าครบเครื่องที่สุด ต่อมาคือ ปอ สีลัดสา ที่รับบทเป็นเด็กชาย เด็กคนนี้ก็แสดงได้เก่งกาจจนไม่อยากจะเชื่อว่าเขาเป็นแค่เด็กชายคนหนึ่ง เหมือนกับว่าเคยแสดงหนังมาหลายสิบเรื่องแล้ว เรียกได้ว่าฝีมือด้านการแสดงนั้นเกินตัวอย่างแท้จริง และคนสุดท้ายที่จะขาดไม่ได้เลยคือ วิลุนา เพ็ดมะนี รับบทเป็นหญิงสาวที่ตามหาแม่ผู้เสียชีวิต ต้องยอมรับว่าเธอนั้นฝีไม้ลายมือในการแสดงช่ำชองมาก สามารถถ่ายทอดอารมณ์อันหลากหลายของตัวละครได้อย่างมีมิติ ตั้งแต่การแสดงถึงอารมณ์การกังวลใจเพียงเล็ก ไปจนถึงการแสดงแบบขั้นสุดกับความรู้สึกของคนที่ตกเป็นเหยื่อในท้ายเรื่อง สามคนนี้คือหนึ่งในที่สุดที่ทำให้หนังเรื่อง บ่อมีวันจาก ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

แล้วท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เล่าไปทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาหลักของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเชิงสัญลักษณ์ ทั้งหมดทั้งมวลนั้นหนังก็ไม่ได้สื่อกับเราโดยตรง เราในฐานะของคนดู นอกจากจะเสพงานศิลปะจากหนังเรื่องนี้แล้ว เรายังต้องตีความหนังเรื่องนี้ไปด้วย เพราะหลายเหตุการณ์เขาก็ไม่ได้บอก ไม่ได้บอกแม้กระทั่งว่าลุงนั้นคือฆาตกรโรคจิตด้วยซ้ำ และด้านการตีความนี้เองไม่ว่าจะถูกหรือผิดผมก็มองว่าเป็นจุดที่ดีงานที่สุดของ บ่มีวันจากอย่างแท้จริง

สุดท้ายนี้ก็อยากจะบอกว่า บ่มีวันจาก เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องค่อนข้างเนิบช้าอยู่พอสมควร ไม่ได้เน้นเรื่องราวของความเป็นผีสยองขวัญแต่อย่างใด เน้นปรัชญากับการสื่อสารสำคัญให้คนดูได้รับรู้และตีความ ดังนั้นจึงเป็นหนังที่ค่อนข้างเลือกคนดูอยู่พอสมควร ใครที่เป็นสายเสพงานศิลปะชอบตีความถอดสัญลักษณ์ก็อาจจะดูสนุก แต่ใครที่ชอบเสพหนังที่เน้นความบันเทิงมีอย่างเดียวก็ต้องขอบอกว่า เรื่องนี้ไม่เหมาะอย่างแรง

#บทสรุป
กล่าวโดยสรุปในฐานะที่เป็นคนไทย ดูหนังผีไทยมาตั้งแต่เด็กจนแก่ บอกเลยว่าหลังจากดู บ่มีวันจาก หนังผีจากลาวเรื่องนี้แล้ว โคตรอายคนลาวทำหนังเลย หนังผีไทยส่วนมากเอาแต่จั้มสแกร์ โหวกเหวกโวยวาย ตลกจนไม่เหลือความเป็นหนังผี บทตรงทื่อ ซ้ำซากจำแจ แต่บ่มีวันจากหลุดพ้นสิ่งเหล่านั้นไปแล้ว  โดยเฉพาะบทล้ำหน้าไทยไปหลายเท่า กล้าเล่ากล้าเล่น ไม่ต้องแคร์ว่าคนจะตีความยาก แม้จะยากแต่ก็ออกมาดูดีมาก นำหนังไปฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ก็ยังได้ ประทับใจ ขอคาราวะ ดูได้แล้วทาง netflix

9/10
@วาทิน ศานต์ สันติ


#SuprReviewChannel 
#บ่วันจาก
#TheLongWalk2019
#หนังผีจากลาว
#หนังผีแนวปรัชญาศาสนา
#หนังผีแนวปรัชญาวิทยาศาสตร์

หมายเลขบันทึก: 706423เขียนเมื่อ 3 กันยายน 2022 07:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 กันยายน 2022 07:10 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท