โครงการ “ปันน้ำใจ สู้ภัยโควิด” ที่ดำเนินการโดย สโมสรนิสิตคณะนิติศาสตร์ ปีการศึกษา 2564 เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ผมมองว่า “ง่าย-งาม” เพราะเป็นการขับเคลื่อนเรื่องจิตอาสาที่ไม่ได้พะรุงพะรังกับระบบขั้นตอนอะไรให้มากความ เป็นการทำงานแบบมีส่วนร่วมของประชากรในคณะ และเป็นการทำงานในแบบ “ใจนำพา ศรัทธานำทาง” ขนานแท้
เป็นที่รู้กันดีว่าปีการศึกษา 2564 เป็นอีกปีที่กิจกรรมนอกหลักสูตรดูจะเงียบเหงาเป็นพิเศษ เพราะจะขยับอะไรก็ลำบาก เนื่องจากพะว้าพะวงอยู่กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนที่พอจะทำได้ก็เป็นกิจกรรมในลักษณะ “ออนไลน์” เสียมากกว่า แม้จะมีบางกิจกรรมที่จัดในแบบ “ออนไซด์” ได้ แต่ก็ถูกมัดแน่นด้วยจำนวนคนและรูปแบบตามมาตรการ “ระยะห่างทางสังคม”
และนั่นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า กิจกรรมในมิติของการออกไปสู่ชุมชนในแบบเรียนรู้คู่บริการก็ชะงักงัน และออกอาการประหนึ่งเลื่อนลอย-ไร้ฝั่ง
ถึงแม้องค์กรนิสิตในมหาวิทยาลัยมหาสารคามหลายองค์กร จะชะลอการจัดกิจกรรมร่วมกับชุมชน แต่สำหรับสโมสรนิสิตคณะนิติศาสตร์ กลับมองในมุมตรงกันข้าม ฉกฉวยเอาวิกฤตมาแปรเป็นโอกาส บนฐานคิดของการจัดกิจกรรมจิตอาสาอันง่าย-งาม ภายใต้ชื่อ “ปันน้ำใจ สู้ภัยโควิด”
ผมเรียกกิจกรรมนี้ในลักษณะ “ง่าย-งาม” เพราะจัดขึ้นง่ายๆ ไม่พะรุงพะรังกับระบบหลักการ -โครงสร้างให้เสียเวลา กล่าวคือ แกนนำนิสิตตัดสินใจหารือเจ้าหน้าที่และผู้บริหารภายในคณะเรื่องการ “แจกจ่ายข้าวของช่วยผู้ประสบภัย” ในลักษณะของ “ตู้ปันสุขเคลื่อนที่”
การหารือที่ว่านั้นเป็นไปอย่างเรียบง่ายและกระชับ นำมาซึ่งบทสรุปสั้นๆ คือ ระดมทุนภายในคณะเท่าที่พึงกระทำได้ แล้วนำงบประมาณดังกล่าวไปจัดซื้อวัตถุดิบต่างๆ มาประกอบเป็นอาหารส่งมอบให้กับ “นิสิต” และ “ชาวบ้าน” เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 โดยปักหมุดฐานที่มั่นอยู่บริเวณสวนสุขภาพหน้ามหาวิทยาลัยฯ
หรือที่ชาว “มมส.” เรียกในแบบกันเองว่า “สวนสัตว์”
ความง่ายที่ว่านั้น ไม่ใช่ความมักง่าย ผมยืนยันว่าเป็นความง่ายที่งดงาม เพราะคิดและทำบนฐานใจล้วนๆ เป็นการคิดและทำบนบริบทของตนเอง ประหนึ่งการทำงานบนหน้าตัก หรือทำงานในระยะสุดสายตาของตนเอง เป็นการทำงานบนต้นทุนของตนเองและเป็นการทำงานที่แข่งกับเวลา
ในความง่ายที่ว่านั้น ผมเห็นความร่วมมือร่วมใจของนิสิตกับนิสิต หรือกระทั่งนิสิตกับเจ้าหน้าที่และผู้บริหารของคณะอย่างเด่นชัด เป็นการทำงานในแบบไร้ศักดินา ทั้งเจ้าหน้าที่และผู้บริหารลงมาฝังตัวทำงานกับนิสิต ถึงขั้นเข้าครัวเป็นผู้ประกอบอาหารด้วยตนเองเลยทีเดียว
ส่วนกรณีคำว่า “งาม” นั้น คงไม่ต้องอธิบายใดๆ อีกก็ได้ เพราะกิจกรรมที่ว่าด้วยการ “ให้” ย่อมงดงามและมีคุณค่าในตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย ความงามของกิจกรรมนี้ ฉายถึงความคิดและการกระทำของนิสิตและผู้ที่เกี่ยวข้องที่ลุกขึ้นมาโอบกอดสังคมร่วมกัน โดยไม่ปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องเผชิญชะตากรรมอย่างลำพัง
แม้จะเป็นการงานเล็กๆ ในระยะสั้นๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะบอกว่า เป็นกิจกรรมที่ “งดงาม” – หรือ “ง่ายงาม”
เมื่อมานั่งถกคิดกึ่งถอดบทเรียนกับผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงไม่แปลกที่โครงการนี้ถูกขับเคลื่อนจากฐานคิดหลักในเชิงทฤษฎีอันเป็นกรอบแนวคิดการเรียนรู้ว่าด้วยกิจกรรมนอกหลักสูตร คือ
และกรอบแนวคิดทั้งปวงนั้นก็คือ เรื่องจิตอาสา – จิตสาธารณะ หรือการบ่มเพาะความเป็นพลเมืองของสังคมดีๆ นั่นเอง
ด้วยวิธีคิดเช่นนั้น ผนวกกับสถานการณ์ของสังคม กิจกรรมจึงถูกออกแบบในมิติ “ง่ายงาม” และ “ไม่ซับซ้อนซ่อนปม” นั่นคือ แจกข้าวห่อไก่ทอด-หมูทอดต่อนิสิตและประชาชน จำนวน 400-500 ชุด รวมถึงส่งมอบสิ่งของอื่นๆ เช่น น้ำดื่ม นมกล่อง มาม่า ขนมกล้วยไข่
ผมเชื่อเหลือเกินว่า กิจกรรมที่เกิดขึ้น ทั้งนิสิตและชาวบ้านในชุมชนเทศบาลขามเรียง-เทศบาลท่าขอนยาง ที่ประสบภัยโควิด-19 ย่อมได้รับการดูแลช่วยเหลือทั้งทางจิตใจและการอุปโภคบริโภคไปในตัว ถึงจะไม่มากมายนัก แต่นั่นคือการบรรเทาทุกข์บำรุงสุข เพื่อให้แต่ละคนมีแรงกายและแรงใจในการสู้ต่อ ถึงแม้จะเป็นการสู้ต่อในชนิด “วันต่อวัน” ก็เถอะ
ส่วนแกนนำนิสิตที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้แบบไม่ลังเลนั้น ผมก็เชื่อว่า พวกเขาทั้งหลายย่อมได้เรียนรู้เรื่องภาวะความเป็นผู้นำผ่านการลงมือทำจริงร่วมกันอย่างเป็นทีม โดยใช้สถานการณ์โควิด-19 เป็นโจทย์การเรียนรู้
ตลอดจนการได้เรียนรู้แนวคิดการเป็นผู้ให้ที่สัมพันธ์กับค่านิยมการเป็นนิสิต (MSU FOR ALL : นิสิตพึ่งได้) อัตลักษณ์การเป็นนิสิต (นิสิตกับการช่วยเหลือสังคมและชุมชน) ไปโดยปริยายด้วยเหมือนกัน
และถึงแม้ว่า ในช่วงของการดำเนินการจะมีฝนตกบ้างในบางช่วง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาหลักที่จะทำให้กิจกรรมอันง่ายงามนี้ปิดตัวลง ทุกอย่างยังคงเดินหน้าและไปถึงซึ่งจุดหมายที่ปักธงไว้
ในทำนองเดียวกัน เมื่อพิจารณาถึงมูลเหตุแห่งความสำเร็จ (ปัจจัยความสำเร็จ) ของกิจกรรม จึงร้อยรัดอยู่กับประเด็นเหล่านี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ
และเท่าที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน สิ่งที่ทุกคนมองไปในทิศทางเดียวกันก็คือ เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ควรจัดกิจกรรมในลักษณะของจิตอาสาอย่างต่อเนื่องในรูปแบบต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดแต่เฉพาะเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อให้นิสิตได้ตระหนักถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมและมีทักษะในการดำเนินงานด้านจิตอาสา หรืออาสาสมัครเพื่อสังคม
รวมถึงการจัดกิจกรรมลงสู่ชุมชน เพื่อให้ได้เรียนรู้สถานการณ์จริงในชุมชน
นี่คือกิจกรรมอันง่ายงามอีกกิจกรรมที่ผมอดที่จะนำมาบอกเล่าไม่ได้
เรื่อง : พนัส ปรีวาสนา
ภาพ : สโมสรนิสิตคณะนิสิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ไม่มีความเห็น