ผลพวงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 ส่งผลให้ในปีการศึกษา 2564 เป็นปีที่กิจกรรมนิสิตของมหาวิทยาลัยมหาสารคามดูจะซบเซาไม่แพ้ปีการศึกษาที่ผ่านมา แต่ก็ยังพบว่ามีองค์กรนิสิตจำนวนหนึ่ง ถึงจะไม่มากนักยังคงมุ่งมั่นที่จะออกไปจัดกิจกรรมนอกสถานที่ (กิจกรรมนอกหลักสูตร) เพื่อเรียนรู้ที่จะพัฒนาตนเอง คู่ไปกับการช่วยเหลือสังคม ตามกรอบ “เรียนรู้คู่บริการ”
หนึ่งในองค์กรที่ว่านั้นก็คือ ชมรมกู้ภัยราชพฤกษ์ โดยจัดโครงการ “กู้ภัยราชพฤกษ์อาสาพัฒนาโรงเรียน” ขึ้นเมื่อวันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2565 ณ โรงเรียนบ้านโคกลิ่น ตำบลโนนภิบาล อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม ประกอบด้วยวัตถุประสงค์หลัก 3 ประเด็น คือ
เหตุผลหลักๆ ที่นิสิตเลือกไปจัดกิจกรรม ณ ที่ตรงนี้ก็คือ เป็นโรงเรียนขนาดเล็กและเคยสุ่มเสี่ยงจะถูกยุบ จึงไม่ค่อยมีใครอยากเข้าไปจัดกิจกรรมสักเท่าไหร่ กอปรกับเมื่อลงพื้นที่สำรวจค่ายแล้วพบว่า สิ่งที่โรงเรียนและชุมชนต้องการ (โจทย์) ก็คือการซ่อมแซมห้องปฐมพยาบาล
และนั่นก็ตรงกับแนวทางการทำงานของชมรมกู้ภัยราชพฤกษ์พอดี
กิจกรรมครั้งนี้ ไม่ได้จัดขึ้นเฉพาะแค่การปรับปรุงและซ่อมแซมห้องพยาบาลเท่านั้น หากแต่บูรณาการกิจกรรมต่างๆ เข้ามาอีกจำนวนหนึ่ง เป็นต้นว่า
โครงการนี้ ขับเคลื่อนภายใต้กรอบแนวคิด หรือทฤษฎีการจัดกิจกรรมที่สำคัญๆ เช่น ระบบคุณภาพ PDCA การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning) การเรียนรู้เชิงรุก / การเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Learning by doing) เพื่อก่อให้เกิดสมดุลระหว่างความรู้กับทักษะ และขับเคลื่อนด้วยสไตล์บันเทิงเริงปัญญา
หรือแม้แต่การยึดโยงอยู่กับนโยบายการพัฒนานิสิต ที่ว่าอัตลักษณ์นิสิต คือ “นิสิตกับการช่วยเหลือสังคมและชุมชน”
จากกิจกรรมข้างต้นนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า กิจกรรมดังกล่าวยึดโยงอยู่กับแนวทางอันเป็นอัตลักษณ์ หรือตัวตนของชมรมกู้ภัยราชพฤกษ์อย่างไม่ผิดเพี้ยน เพราะปรากฏชัดว่ากิจกรรมทั้งหมด ล้วนถูกออกแบบในลักษณะของการบริการสังคมควบคู่ไปกับการพัฒนาตนเอง ดังจะเห็นได้จากกระบวนการอบรมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยการปฐมพยาบาลเบื้องต้น-ช่วยชีวิตเบื้องต้น และการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย นอกจากโรงเรียนและชุมชนจะได้รับความรู้แล้ว นิสิตที่เข้าร่วมโครงการก็ได้เรียนรู้ไปด้วย -
หรือจะเรียกว่านิสิตต่างเดินทางมาฝึกอบรมนอกสถานที่ก็ว่าได้ ….แถมยังเป็นการฝึกอบรมในแบบ “เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ” หรือการเรียนรู้เชิงลึกที่เน้น “เรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นทีม” ยิ่งตอกย้ำให้เห็นมิติการเรียนรู้คู่บริการที่ฉายชัดถึงความรู้ที่คลุกเคล้าเป็นเนื้อเดียวกับความสุข-ความสนุกสนาน
ซึ่งผมมักเรียกกระบวนการ หรือแนวคิดนี้ว่า “บันเทิงเริงปัญญา”
มองในมิติของโรงเรียนและชุมชน ก็พอจะมองออกว่า ผลของการขับเคลื่อนกิจกรรมในครั้งนี้ โรงเรียนและชุมชนมีห้องพยาบาลไว้ใช้บริการอย่างไม่ต้องสงสัย -
แน่นอนครับ เป็นการใช้บริการในแบบฉุกเฉิน หรือจำเป็นจริงๆ มิใช่สร้างขึ้นมา เพราะอยากให้ใครๆ ล้มป่วยแล้วทะลักไหลเข้ามาใช้ประโยชน์เป็นว่าเล่น ตรงกันข้ามคือสร้างขึ้นมาเพื่อ “ป้องกัน-สร้างภูมิต้านทาน" หรือ "การตัดไฟแต่ต้นลม" นั่นแหล่ะ
ในทำนองเดียวกัน เมื่อมองในมุมที่นิสิตได้รับจากกระบวนการเรียนรู้คู่บริการในครั้งนี้ ก็มีหลายประเด็น เป็นต้นว่า
ทุกครั้งที่ลงมือทำ ย่อมได้เรียนรู้ในหลักธรรมที่ว่า “ไม่เคยมีการงานใดที่ปราศจากปัญหาและอุปสรรค” ซึ่งภายหลังการพูดร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ก็พบว่ากิจกรรมครั้งนี้ นิสิตได้ทำการสู้รบปรบมืออยู่หลายประเด็น เป็นต้นว่า ….
1.ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโร่น่า 2019 : จนต้องจำกัดจำนวนคนเข้าร่วมและนิสิตบางคนตรวจ ATK ไม่ผ่าน ทำผู้เข้าร่วมต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ต้องเข้มงวดตามมาตรการทางสังคม ทำให้เกิดความวิตกกังวลในระหว่างการจัดกิจกรรม
2.ปัญหาแกนนำนิสิตและนิสิต : ยกตัวอย่างเช่น แกนนำนิสิตขาดความรู้ที่ชัดเจนเรื่องการบริหารโครงการและงบประมาณโครงการ รวมถึงแกนนำนิสิตขาดประสบการณ์เชิงลึกเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมร่วมกับชุมชน โดยเฉพาะเรื่องแนวคิดการเรียนรู้คู่บริการ
3.ปัญหาในระบบมหาวิทยาลัย : ผู้บริหารสั่งให้ชะลอการจัดกิจกรรม ขณะที่โรงเรียนได้เตรียมการรองรับทุกอย่างแล้วในราว 80% ซึ่งต้องมีการชี้แจงเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษเรื่องมาตรการทางสังคม
4.ปัญหาในระบบโรงเรียนและชุมชน : ไม่มีน้ำใช้ในวันเตรียมค่าย เพราะน้ำไม่ไหล ยังผลให้ผู้บริหารโรงเรียนต้องเร่งประสานขอความช่วยเหลือจากเทศบาลฯ เป็นการเร่งด่วน
ภายใต้ปัญหาและอุปสรรคข้างต้น มองมุมกลับ พบว่าทุกอย่างถูกคลี่คลายและผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ซึ่งนิสิตได้สะท้อนถึงปัจจัยที่ช่วยให้กิจกรรมสำเร็จลุล่วงไปตามวัตถุประสงค์ นั่นคือ
ไม่มีความเห็น