ภควัทคีตา


ภควัทคีตา (Bhagavad Gita) เป็นงานเขียนโบราณที่ให้ภูมิปัญญาทุกประเภทเกี่ยวกับการกระทำและประสพการณ์ชีวิตคือ การเดินทางของการค้นพบตนเองและการเรียนรู้ตนเอง (a journey of self-discovery and self-mastery)

ภควัทคีตา

Bhagavad Gita

พลตรี มารวย  ส่งทานินทร์

[email protected]

11 กรกฎาคม 2565

บทความเรื่อง ภควัทคีตา (Bhagavad Gita) ดัดแปลงมาจากหนังสือเรื่อง Bhagavad Gita ประพันธ์โดย ฤๅษีวยาสะ ประมาณ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช

ผู้ที่สนใจบทความนี้ในรูปแบบ PowerPoint สามารถ download ได้ที่  Bhagavad Gita.pptx (slideshare.net)

เกี่ยวกับผู้ประพันธ์ ฤๅษีวยาสะ (Vyasa)

  • วยาสะ (ผู้รวบรวม) หรือ เวท วยาสะ (ผู้รวบรวมพระเวท) หรือ ฤๅษีวยาสะ เป็นบุตรของนางสัตยวดี กับ ฤๅษีปราศร คลอดตรงบริเวณเกาะกลางแม่น้ำยมุนา มีชื่อเต็มว่า กฤษณะ ทไวปายณะ แปลว่าผู้มีผิวคล้ำเกิดบนเกาะ ต่อมาเปลี่ยนเป็น วยาสะ แล้วออกบวชตามบิดาอยู่ในป่าหิมาลัย
  • เป็นฤๅษีในตำนานที่ปรากฏในมหาภารตะ ซึ่งชาวฮินดูถือว่าเป็นผู้ประพันธ์มหาภารตะ และเป็นอวาตารของพระวิษณุ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าท่านเป็นผู้ประพันธ์มนตร์ในพระเวท, ปุราณะทั้ง 18 เล่ม, และพรหมสูตร ประมาณ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช

เกริ่นนำ

  • ชีวิตคือของขวัญล้ำค่าที่สุดที่เราได้รับในฐานะมนุษย์ ดังนั้นการใช้ประโยชน์สูงสุดจากชีวิตจึงมีความจำเป็น หากเราต้องการดำเนินชีวิตอย่างเต็มที่
  • ภควัทคีตา (Bhagavad Gita) เป็นงานเขียนโบราณที่ให้ภูมิปัญญาทุกประเภทเกี่ยวกับการกระทำและประสพการณ์ชีวิตคือ การเดินทางของการค้นพบตนเองและการเรียนรู้ตนเอง (a journey of self-discovery and self-mastery)
  • ตลอดการเดินทางนี้ จุดประสงค์ของเราในฐานะมนุษย์คือ การค้นหาว่าเราเป็นใคร และฆ่ามารร้ายในขณะที่เราทำตามเสียงเรียกร้องของเรา ถึงแม้จะท้าทาย แต่ประสบการณ์นี้จะนำไปสู่รูปแบบสูงสุดของการตระหนักรู้ในตนเอง และทำให้เราเกิดสันติสุขและปีติยินดี

ภควัทคีตา

  • ภควัทคีตา (Bhagavad Gita) หมายถึง 'เพลงของพระเจ้า' ได้รับการเปิดเผยโดยฤๅษี เวท วยาสะ (Veda Vyasa) ในการสนทนาอันศักดิ์สิทธิ์ระหว่าง พระกฤษณะ และ อรชุน (Lord Krishna and Arjuna) ซึ่งเป็นข้อความที่แทรกเข้ามาในบรรพที่ 6 (ภีษมบรรพ) แห่ง มหากาพย์มหาภารตะ
  • ภควัทคีตา กล่าวถึงเส้นทางโยคีที่สำคัญสามประการเพื่อบรรลุถึงความสูงสุด ได้แก่
    • 1. กรรมโยคะ (Karma Yoga) - เส้นทางแห่งการกระทำ (บทที่ 1-6)
    • 2. ภักติโยคะ (Bhakti Yoga) - เส้นทางแห่งความจงรักภักดี (บทที่ 7-12)
    • 3. ญานาโยคะ (Jnana Yoga) - เส้นทางแห่งความรู้ (บทที่ 13-18)

สาเหตุที่อรชุนเลือกพระกฤษณะแทนที่จะเลือกกองทัพ

  • เมื่อกฤษณะถามอรชุนว่า ทำไมเขาถึงเลือกพระองค์ในเมื่อพระองค์ไม่ทรงถืออาวุธ อรชุนกล่าวว่า "ข้าแต่พระเจ้า! พระองค์มีพลังที่จะทำลายล้างกองกำลังทั้งหมดด้วยสายตาเพียงเท่านั้น เหตุใดหม่อมฉันจึงควรชอบกองทัพไร้ค่านั้นมากกว่า หม่อมฉันมีความปรารถนาในใจมานานแล้วว่า ท่านควรทำหน้าที่เป็นสารถีรถรบของหม่อมฉัน กรุณาเติมเต็มความปรารถนาของหม่อมฉันในสงครามครั้งนี้"
  • พระเจ้าผู้เป็นที่รักของสาวกของพระองค์มากที่สุด ทรงตอบรับคำขอด้วยความยินดี และด้วยเหตุนี้ พระกฤษณะจึงทรงยินยอมเป็นสารถีราชรถของอรชุนในสงคราม มหาภารตะ (Mahabharata)

ฝ่ายเการพตัดสินใจรบกับฝ่ายปาณฑพ

  • หลังจากการกลับของ ทุรโยธน์ (Duryodhana) และ อรชุน (Arjuna) จาก ทวารกะ (Dwaraka) องค์พระกฤษณะ (Lord Krishna) เอง ก็ได้เสด็จไปยังเมือง หัสตินปุระ (Hastinapura) อีกครั้งหนึ่ง ในฐานะทูตของ ปาณฑพ (Pandavas) และพยายามป้องกันสงคราม
  • แต่แล้วภายใต้การแนะนำของ สกุณี (Sakuni) ทุรโยธน์ผู้เห็นแก่ตัว ปฏิเสธที่จะเห็นด้วยกับสันติภาพและพยายามกักขังพระกฤษณะ พระกฤษณะจึงแสดงให้เห็น รูปแบบสูงสุดของพระองค์ (Viswarupa) แม้แต่ ธฤตราษฏร์ (Dhritarashtra) กษัตริย์ผู้ตาบอดก็เห็นโดยพระคุณของพระเจ้า
  • เนื่องจากความผูกพันกับพระโอรสของพระองค์ กษัตริย์ธฤตราษฏร์ไม่สามารถควบคุมพวกเขาได้ และทุรโยธน์หัวหน้าของ เการพ (Kaurava) จึงตัดสินใจรบกับปาณฑพ

บทบาทของพระฤๅษี เวท วยาสะ

  • เมื่อทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะเริ่มการต่อสู้ พระฤๅษี เวท วยาสะ (Veda Vyasa) เข้าพบธฤตราษฏร์กษัตริย์ผู้ตาบอดและกล่าวว่า "ถ้าท่านอยากเห็นการสังหารที่เลวร้ายนี้ด้วยตาของท่านเอง ฉันจะทำให้ท่านเห็นได้" 
  • กษัตริย์เการพทูลตอบว่า "โอ้ ท่านมหาฤๅษี! ข้าพเจ้าไม่ต้องการเห็นการสังหารครอบครัวของข้าพเจ้าด้วยตาตนเอง แต่ข้าพเจ้าอยากได้ยินรายละเอียดทั้งหมดของการต่อสู้"

ความเป็นทิพย์ของสัญชัย

  • จากนั้นฤาษีได้มอบนิมิตอันศักดิ์สิทธิ์แก่ สัญชัย (Sanjaya) ที่ปรึกษาที่เชื่อถือได้ของกษัตริย์ และบอกกับกษัตริย์ว่า "สัญชัยจะอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดของสงครามแก่ท่าน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสงคราม เขาจะเห็นโดยตรง ได้ยินหรือรับรู้ ไม่ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาหรือลับหลังของเขา ในเวลากลางวันหรือกลางคืน ในที่ส่วนตัวหรือในที่สาธารณะ และไม่ว่าจะเป็นการกระทำจริงหรือปรากฏเพียงในใจ ก็จะไม่อาจซ่อนเร้นจากทัศนะของเขาได้ เขาจะได้รู้ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นจริง ไม่มีอาวุธใดจะแตะต้องตัวเขาและเขาจะไม่รู้สึกเหนื่อย"

จุดเริ่มต้นภควัทคีตา

  • หลังจากสิบวันของการทำสงครามต่อเนื่อง ระหว่างพวกปาณฑพและพวกเการพ เมื่อ ภีษมะ (Bhishma) นักรบผู้ยิ่งใหญ่ถูกอรชุนยิงธนูจนหล่นลงจากรถม้า สัญชัยได้ประกาศข่าวนี้แก่ธฤตราษฏร์ 
  • ด้วยความทุกข์ทรมาน กษัตริย์ขอให้สัญชัยบรรยายรายละเอียดของสงครามสิบวันก่อนหน้า ตั้งแต่ต้นทั้งหมดตามที่เกิดขึ้น นี่คือจุดเริ่มต้นของ ภควัทคีตา (Bhagavad Gita)

3 บทเรียนที่ได้รับจากหนังสือ

  • 1. การใช้ชีวิตที่คุณถูกกำหนด การทำตามนำมาซึ่งความสงบสุข ในขณะที่ทำสิ่งที่ตรงกันข้าม ทำให้เกิดความเจ็บปวดและความไม่มั่นคง (Living life doing what you were destined to do brings peace, while the opposite breeds pain and insecurity.)
  • 2. ค้นหาความหมายในการเดินทางและปล่อยวางความข้องเกี่ยว (Find meaning in the journey and let go of constant anticipation.)
  • 3. การทำสมาธิช่วยให้คุณควบคุมความคิดและกลับมามีจุดเน้นได้ (Meditation can help you master thoughts and regain focus.)

บทเรียนที่ 1: เราทุกคนมีธรรมะของเราที่จะเติมเต็ม หากเราต้องการรู้ถึงความสุขและความสงบสุข

  • อะไรคือจุดประสงค์ในชีวิตของมนุษย์ นี่คือคำถามนิรันดร์ของมนุษยชาติตลอดเวลาที่ผ่านมา
  • ศาสนา วิทยาศาสตร์ ความเชื่อ และความศรัทธาต่างๆ ได้พยายามตอบคำถามที่เป็นภาระนี้ ดูเหมือนว่าคำตอบจะมาบรรจบกันที่จุดร่วมว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติสัมปชัญญะ มีวิจารณญาณว่าสิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว และเราทุกคนล้วนดิ้นรนเพื่อความสุข 
  • วิธีที่เราทำคือ การไล่ตามสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขและวิ่งหนีจากจุดที่เจ็บปวดทรมาน เห็นได้ชัดว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด ดังนั้นพวกเราส่วนใหญ่จึงหลงทาง
  • ตามทฤษฎีแล้ว เงินที่มากขึ้นทำให้เรามีอิสระมากขึ้น ซึ่งช่วยให้เรามุ่งมั่นเพื่อความสุขที่แท้จริงโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการดิ้นรนในแต่ละวัน ในทางปฏิบัติ การแข่งขันที่ไม่สิ้นสุดนี้ต้องหยุดลง 
  • ธรรมะคือธรรมชาติที่เรียบง่ายของความเป็นจริง และสำหรับปัจเจกบุคคล ธรรมะคือเสียงเรียกร้องและจุดมุ่งหมายในชีวิต หรือชีวิตควรดำเนินตามธรรมชาติอย่างไร
  • ทุกคนมีธรรมะเพื่อให้สมปรารถนา แนวคิดอันทรงพลังนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสุขของมนุษย์ และชี้ไปยังสิ่งที่เราควรจะมุ่งมั่น ดังนั้นการกระทำในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น และเผชิญหน้ากับมารร้าย ความทุกข์ (หรือสิ่งใด ๆ ที่คุณต้องการเรียก) เป็นกุญแจสู่ชีวิตที่เติมเต็ม

บทเรียนที่ 2: ใช้ใจที่มุ่งมั่นของคุณและสนุกกับการเดินทาง

  • ส่วนหนึ่งของการขาดสัมฤทธิผลและความทุกข์ยากของเรา มาจากการไม่ได้สัมผัสชีวิตอย่างเต็มที่ 
  • โดยธรรมชาติแล้ว การไม่ปฏิบัติตามธรรมะจะทำร้ายจิตใจคุณ ที่แย่ไปกว่านั้น การทำตามธรรมะของคนอื่น อาจทำให้คุณเจ็บปวดและเสียใจ 
  • อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณจะอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต ก็ยังมีแง่มุมที่สำคัญอีกประการหนึ่งในการเดินทางที่ต้องพิจารณา สิ่งที่ว่านั้นคืออะไร? คือการเดินทาง (ไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทาง)! 
  • การรักษาตัวเองให้อยู่นิ่งและค้นหาความหมายในงานประจำวันอาจเป็นเรื่องยาก เมื่อจิตใจของคุณนึกถึงรางวัลใหญ่อยู่เสมอ แนวทางการใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้เราลำบาก ไม่สนุก และไม่มีความสุข
  • แทนที่จะไปข้องเกี่ยวอยู่เสมอ สิ่งสำคัญคือ คุณต้องพบกับความสุขในการเดินทาง สุขและทุกข์เป็นบทเรียนชีวิต กิจกรรมประจำวันจะให้ความหมายและเนื้อหาแก่คุณ และการบรรลุวัตถุประสงค์เล็กๆ น้อยๆ จะเตรียมคุณให้พร้อมสำหรับชัยชนะสุดท้าย 
  • ปัญญาที่แท้จริง อยู่ในการค้นหาความสุขที่นี่ตอนนี้ (finding happiness right here right now) ไม่ใช่แค่ชั่วขณะหนึ่งในอนาคตที่สำเร็จ

บทเรียนที่ 3: การทำสมาธิคือการเรียนรู้วิธีควบคุมจิตใจ

  • การทำสมาธิเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการควบคุมจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณของคุณเอง การทำสมาธิคือการหมกมุ่นอยู่กับปัจจุบันขณะ โดยปล่อยวางชีวิตที่ควรจะเป็น และโอบรับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่
  • การควบคุมจิตใจให้หยุดคิดในแง่ลบและฝึกตัวเองให้จดจ่อกับสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการปฏิบัติที่ทรงพลัง 
  • นอกจากนี้ เมื่อศึกษาประเด็นทั่วไปของทุกศาสนาและความเชื่อ คุณจะสังเกตเห็นว่า ทุกศาสนาแนะนำให้มีความเชี่ยวชาญในตนเองและพัฒนาอุปนิสัยของคุณ
  • ผู้ที่สามารถควบคุมตนเองและควบคุมความคิดของตนได้ สามารถพิชิตทุกสิ่งได้ 
  • ตราบใดที่คุณเก็บความสุขไว้ในใจ คุณจะสามารถเรียนรู้ที่จะขยาย ใช้ รู้สึก และโอบรับมันได้นานเท่าที่คุณต้องการ 
  • การทำสมาธิยังช่วยให้คุณกำหนดเป้าหมายความพยายามได้ง่ายขึ้น และทำให้จิตวิญญาณของคุณจดจ่ออยู่กับธรรมะ

สรุป

  • ภควัทคีตา สอนให้เราบรรลุถึงความเชี่ยวชาญในจิตใจของเรา ความสำคัญของการใฝ่หาธรรมะของเราตามความเป็นจริงและไม่ย่อท้อ และวิธีโอบรับชีวิตในสิ่งที่เป็นอยู่ 
  • หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ เราก็สามารถเข้าใจภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่ห่อหุ้มไว้ได้อย่างเต็มที่ โดยพื้นฐานแล้ว นี่คือแนวทางสู่ชีวิตที่มีความหมายและอีกมากมาย

*******************************

ภาพโดยรวมของ ภควัทคีตา

  • ภควัทคีตา (อ่านว่า "พะ-คะ-วัด-คี-ตา") เป็นชื่อคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู โดยเฉพาะสำหรับนิกายไวษณพ หรือผู้ที่ยกย่องพระวิษณุ (พระนารายณ์) เป็นพระเจ้าสูงสุด 
  • ชื่อคัมภีร์ ภควัทคีตา (ภควตฺ + คีตา) แปลว่า "บทเพลง (หรือลำนำ) แห่งพระผู้เป็นเจ้า" นำเรื่องราวส่วนหนึ่งมาจากมหากาพย์มหาภารตะ 
  • คัมภีร์นี้มิได้มีลักษณะเป็นเอกเทศ คือมิได้แต่งขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยวเป็นเล่มเฉพาะเหมือนดังคัมภีร์พระเวทแต่ละเล่ม แท้ที่จริง เป็นเพียงบทสนทนาโต้ตอบระหว่างบุคคล 2 คน ฝ่ายที่ถามปัญหาคือพระอรชุน เจ้าชายฝ่ายปาณฑพ แห่งจันทรวงศ์ ซึ่งเป็นผู้นำกองทัพใหญ่ มาทำสงครามแย่งชิงเมืองหัสตินาปุระ จากฝ่ายเการพ แห่งจันทรวงศ์เช่นเดียวกัน ที่มีเจ้าชายทุรโยธน์และกองทัพพันธมิตรมากมายเป็นศัตรูคู่สงครามด้วย 
  • ฝ่ายที่ตอบปัญหาทั้งหมดและเป็นผู้อธิบายตลอดทั้งเรื่องก็คือ พระกฤษณะ ซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายราชสกุลจันทรวงศ์ สาขายาทพ
  • ในขณะที่ตอบปัญหาอันล้ำลึกดังกล่าวนั้น พระกฤษณะกำลังทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถศึกให้พระอรชุน บทสนทนาโต้ตอบนี้ถ่ายทอดออกมาโดยสัญชัย ผู้เป็นเสวกามาตย์ของพระเจ้าธฤตราษฏร์ พระราชาพระเนตรบอดแห่งเมืองหัสตินาปุระ 
  • โดยมหาฤษีวยาสหรือพระฤาษีกฤษณไทวปายน เป็นผู้ให้ตาทิพย์แก่สัญชัย เพื่อแลเห็นเหตุการณ์รบพุ่งในมหาสงครามครั้งนั้นอย่างแจ่มแจ้งทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่ในพระราชวัง และคอยกราบทูลพระเจ้าธฤตราษฎร์ให้ทราบการเคลื่อนไหวทุกขณะในสมรภูมิ
  • ถ้าจะกล่าวโดยแท้จริงแล้ว คำสอนในคัมภีร์ภควัทคีตา เกือบครึ่งเล่มเป็นคำสอนในคัมภีร์อุปนิษัท และอีกกว่าครึ่งเล่มเป็นคำสอนแบบของเหล่าภาควตะ ซึ่งไหว้พระกฤษณะเป็นเทพสูงสุดในนิกายของตน 
  • และคำสอนแบบดังกล่าวนี้มีมานานแล้วในหมู่เหล่าภาควตะ อันเป็นชนอารยันอินเดียกลุ่มหนึ่ง ต่อมาเหล่านิกายไวษณพ หรือเหล่าที่นับถือพระวิษณุเป็นพระเจ้าสูงสุด ได้ผนวกเอาพระกฤษณะเข้าไปเป็นพระวิษณุอวตาร หรือนารายณ์อวตารปางที่ 8
  • คำสอนของเหล่าภาควตะซึ่งเน้นในเรื่องความนับถือพระกฤษณะเป็นเทพสูงสุด ก็ถูกกลืนเข้าไปผสมผสานกับแนวความคิดของเหล่าไวษณพ ที่มีส่วนในการแต่งมหากาพย์มหาภารตะอยู่มากมายหลายตอน จึงปรากฏออกมาในรูปภควัทคีตาดังที่ปรากฏเป็นที่รู้จักกันทุกวันนี้ 
  • และการที่จะเรียกหนังสือศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ว่า ภควัทคีโตปนิษัท หรือ ภควัทคีตา หรือ คีตา เฉย ๆ ก็ย่อมเป็นที่เข้าใจกันว่า หมายถึงคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของคนอินเดียนิกายไวษณพ ในรูปแบบของบทสนทนาที่มีข้อความเกือบทั้งหมด เป็นคำอธิบายเรื่องวิถีทางไปสู่พระผู้เป็นเจ้าอันสูงสุด 

ภควัทคีตา โดยย่อ

  • คำว่า "ภควัท" หมายถึงผู้ที่เป็นที่เคารพอย่างสูง นาย หรือพระเจ้า ส่วน "คีตา" แปลว่า เพลง ดังนั้น "ภควัทคีตา" จึงอาจแปลได้ว่า เพลงของพระเจ้า หมายถึงคำสอนที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์ เพื่อชี้ทางให้เข้าถึงพระเจ้า
  • ภควัทคีตา เป็นตอนหนึ่งของภีษมบรรพในมหากาพย์ มหาภารตะ อาจพูดได้ว่า ภควัทคีตา มีความสมบูรณ์ในตัวเอง แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องมหากาพย์ มหาภารตะ 
  • มหาภารตะเป็นเรื่องของการสงครามระหว่างลูกพี่ลูกน้องเพื่อชิงอำนาจกัน ฝ่ายพี่เรียกว่าฝ่ายเการพ ถือเป็นเสมือนตัวแทนของฝ่ายอธรรม ฝ่ายน้องเรียกว่าฝ่ายปาณฑพ ถือเป็นเสมือนตัวแทนของฝ่ายธรรมะ อรชุนซึ่งเป็นฝ่ายปาณฑพเกิดความท้อใจที่จะต้องรบและฆ่าฟันญาติมิตร ครูอาจารย์ของตนเอง ซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้าม จึงปรึกษาปรับทุกข์กับกฤษณะ ซึ่งเป็นมิตรที่อรชุนนับถือมากและกำลังทำหน้าที่เป็นสารถีให้อรชุน กฤษณะได้สั่งสอนอรชุนให้มีกำลังใจรบ คำสอนของกฤษณะ คือ ภควัทคีตา
  • กฤษณะในเนื้อเรื่องนั้น มีบทบาทเป็นทั้งญาติและพันธมิตรของทั้งฝ่ายเการพและปาณฑพ จึงตกลงช่วยเหลือทั้งสองฝ่าย โดยให้ฝ่ายหนึ่งเลือกเอาระหว่างกองทัพของเขากับตัวเขาเอง (ซึ่งจะไม่ยอมแตะต้องอาวุธในการรบครั้งนี้) 
  • ปรากฏว่าฝ่ายเการพเลือกเอากองทัพ ส่วนฝ่ายปาณฑพเลือกตัวกฤษณะ เพราะเห็นว่ามิตรย่อมมีค่าสูงกว่าไพร่พล
  • เนื่องจาก ภควัทคีตา เป็นส่วนหนึ่งของมหากาพย์ มหาภารตะ ฉะนั้นการศึกษาปรัชญาใน ภควัทคีตา จึงควรนำสถานการณ์ในเรื่องมาพิจารณาประกอบด้วยจึงจะเข้าใจชัดเจน 
  • อรชุนกำลังอยู่ในนาทีวิกฤต หมดกำลังใจที่จะสู้รบกับผู้ที่เป็นญาติมิตรและครูอาจารย์ซึ่งเป็นที่รักของเขาแต่อยู่ฝ่ายตรงข้าม เขาไม่แน่ใจว่า ควรจะทำอย่างไรดีจึงจะเป็นการกระทำที่ถูก จึงหันเข้าหามิตรคือ กฤษณะ เพื่อขอคำแนะนำว่า "ข้าพเจ้าคือศิษย์ของท่าน โปรดสอนข้าพเจ้าผู้ยึดท่านเป็นที่พึ่ง"
  • กฤษณะนี้ แท้จริงก็คือพระเจ้า ซึ่งมาในลักษณะมิตรของอรชุน ลักษณะที่สำคัญของพระเจ้าแห่ง ภควัทคีตา คือเป็นผู้ที่มนุษย์สามารถรักและยึดเป็นที่พึ่งได้ในยามคับขัน ตามท้องเรื่องนั้นจุดมุ่งหมายที่สำคัญของกฤษณะคือ ชักชวนให้อรชุนเลิกท้อใจ และทำการรบด้วยความมั่นใจว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง
  • ฉะนั้นในขั้นแรก กฤษณะจึงชี้ให้อรชุนเห็นความจริงว่า มนุษย์มีทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ร่างกายเน่าเปื่อยได้แต่จิตวิญญาณนั้นเป็นอมตะ จิตวิญญาณนี้ย่อมฆ่าไม่ตาย เมื่อร่างกายถูกฆ่า จิตวิญญาณจะเปลี่ยนร่างใหม่ได้เช่นเดียวกับคนเปลี่ยนเสื้อผ้า ดังนั้น จึงไม่ควรโศกเศร้าถึงผู้ใด เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้ อรชุนไม่ต้องกลัวว่าในการรบครั้งนี้ เขาจะทำให้ญาติมิตรและอาจารย์ล้มตาย เพราะความจริงนั้นจิตวิญญาณของเขาเหล่านั้นมิได้ตาย
  • ในขั้นต่อมา กฤษณะก็กล่าวถึงความสำคัญของหน้าที่ อรชุนอยู่ในวรรณะนักรบ จึงต้องรบตามหน้าที่ของวรรณะ มิฉะนั้นจะเป็นการละทิ้งหน้าที่ เสียเกียรติและเป็นบาป นักรบที่ยิ่งใหญ่อื่น ๆ ก็จะคิดว่าอรชุนไม่รบเพราะความขลาดกลัว จึงเลิกนับถืออรชุน ศัตรูก็จะว่าให้ได้อาย ฉะนั้นอรชุนต้องตัดสินใจรบ หากตายก็จะได้ไปสวรรค์ หากชนะก็จะได้ครองโลก
  • แต่กฤษณะก็ทราบดีว่าอรชุนไม่สนใจสวรรค์ ซึ่งตามท้องเรื่องเขาได้ไปเห็นแล้ว และไม่สนใจในการครองโลกเช่นกัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะสุขในสวรรค์ก็ดี ความยิ่งใหญ่ในโลกก็ดี ต่างมีวันสิ้นสุด 
  • อรชุนและปราชญ์อินเดียโดยทั่วไปไม่พอใจในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ดังนั้นกฤษณะจึงต้องหาสิ่งที่น่าปรารถนายิ่งกว่าโลกและสวรรค์มาชักนำให้อรชุนยินยอมรบ สิ่งนั้นคือ ทางที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดซึ่งเป็นทุกข์ เนื่องจากอรชุนเป็นนักรบซึ่งถือว่ามีบทบาทสำคัญต่อสังคม สิ่งที่กฤษณะจะแนะให้ จึงต้องเป็นสิ่งที่นักรบใช้ได้
  • ฉะนั้น ปรัชญาที่กฤษณะสอนแก่อรชุน จึงเป็นปรัชญาที่เหมาะสำหรับผู้มีหน้าที่ต่อสังคม คือมนุษย์โดยทั่วไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคม มิใช่สำหรับพวกที่ออกป่า นักบวช หรือนักศึกษาธรรมขั้นสูงแบบคำสอนใน อุปนิษัท
  • ปรัชญาภควัทคีตา เป็นปรัชญาที่เน้นถึงการกระทำว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่มีใครเลยที่จะอยู่ได้แม้แต่ชั่วขณะโดยไม่กระทำอะไรเลย เพราะทุกคนย่อมถูกบังคับให้ประกอบกรรม โดยแรงผลักดันของธรรมชาติ ผู้ที่ไม่กระทำด้วยกายแต่คิดกระทำอยู่ในใจถือว่าเป็นผู้ประพฤติลวง 
  • ส่วนผู้ที่ประกอบกรรมโดยสำรวมใจมิให้มุ่งหวังผลถือว่าเป็นคนดีพิเศษ ฉะนั้นการกระทำจึงดีกว่าการอยู่นิ่ง ควรประกอบกรรมประหนึ่งเป็นเครื่องสังเวยแด่พระเจ้า ไม่พะวงผูกพันกับผล การกระทำสิ่งที่ควรกระทำไปเรื่อย ๆ โดยไม่หวังผลตอบแทน จะนำผู้กระทำไปสู่ความจริงสูงสุด
  • ในขณะที่ อุปนิษัท สอนให้คนมุ่งถึงความหลุดพ้นส่วนบุคคลเป็นสำคัญ ภควัทคีตา สอนว่ามนุษย์จะต้องคำนึงถึงสังคมด้วย มนุษย์มีหน้าที่ที่จะต้องกระทำเพื่อรักษาความมั่นคงของสังคม มนุษย์ต้องคำนึงว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม มีหน้าที่ต่อสังคมซึ่งตนได้รับมอบหมาย การทำตามหน้าที่ของตนถึงจะทำได้ไม่ดี ก็ยังดีกว่าทำหน้าที่ของคนอื่นซึ่งทำได้ง่ายกว่า
  • ภควัทคีตา อาจแบ่งเนื้อหาออกได้กว้าง ๆ เป็น 3 ตอนคือ บทที่ 1-6 กล่าวถึงทางที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด บทที่ 7-11 กล่าวถึงลักษณะและการปรากฏองค์ของพระเจ้า บทที่ 12-18 สอนหลักใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในลัทธิฮินดู คือสอนถึงพระเจ้าที่มีความรักต่อมวลมนุษย์ที่ประพฤติชอบและจงรักภักดีต่อพระเจ้า
  • ในเรื่องทางไปสู่ความหลุดพ้นนั้น ภควัทคีตา ได้กล่าวไว้หลายทาง คือ ทางแห่งความรู้ (สางขยโยค) ทางแห่งกระทำ (กรรมโยค) ทางแห่งญาณ (ชญานกรรมสันยาสโยค) ทางแห่งการสละกรรม (กรรมสันยาสโยค) และ ทางแห่งโยคี (ธยานโยค) ในบรรดาทางทั้งหลายนี้ ทางแห่งการกระทำ ถือว่าดีที่สุดดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น 
  • ทางแห่งความรู้ หมายถึงรู้ในความจริงเกี่ยวกับจิตวิญญาณซึ่งไม่ตายไปกับร่าง รู้จักลักษณะต่าง ๆ ของปราชญ์ เช่น ปราชญ์รู้จักข่มอินทรีย์ไว้ใต้อำนาจ 
  • ทางแห่งญาณ คือรู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ไม่เกิดไม่ตาย เป็นเจ้าแห่งสัตว์โลกทั้งปวง เมื่อใดธรรมะเสื่อมและอธรรมเจริญ พระเจ้าจะอวตารลงมาเพื่อปกป้องสาธุชน ปราบทุรชน และสถาปนาธรรมในแต่ละยุค ผู้ใดรู้จักการอวตารและผลงานของพระเจ้า ผู้นั้นจะไม่เกิดอีก เมื่อตายแล้วก็จะไปถึงพระเจ้า แม้ผู้ที่มีบาปมากที่สุดก็จะข้ามห้วงมหาสมุทรแห่งความชั่วไปได้ด้วยเรือแห่งญาณ ผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าปราศจากศรัทธา มีแต่ความสงสัย ก็จะประสบความหายนะเพราะจิตวิญญาณที่มีแต่ความสงสัย จะไม่พบความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
  • ทางแห่งการสละกรรม ใช้ควบคู่กับทางแห่งการกระทำ การสละกรรมหมายถึงการเป็นสันนยาสี คือไม่มีความยินดียินร้าย ไม่หวังผลใด ๆ มีจิตบริสุทธิ์ ชนะตนเองและอินทรีย์ได้แล้ว ฉะนั้นเมื่อประกอบกรรมใดก็สละความประสงค์ผลได้ 
  • ทางแห่งโยคี เป็นเสมือนการสอนหลักสมาธิหรือการเข้าฌาณ โยคีซึ่งควบคุมจิตได้ เมื่อประกอบตนไว้เช่นนี้เสมอแล้ว จะบรรลุถึงศานติ คือนิพพานอันประเสริฐซึ่งอยู่ในพระเจ้า
  • ส่วนเรื่องลักษณะและการปรากฏองค์ของพระเจ้านั้น ถือว่าเป็นความรู้ขั้นสูงสุดซึ่งเปิดเผยให้แก่ผู้ที่พระเจ้าโปรดปรานเป็นพิเศษ พระเจ้าเป็นที่มาของทุกสิ่งในโลกและจักรวาล เป็นทั้งผู้ให้กำเนิดและผู้ทำลาย ไม่มีอะไรที่ใหญ่ยิ่งไปกว่าพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น เป็นแสงสว่างในดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ เป็นความร้อนในไฟ เป็นปัญญาของนักปราชญ์ เป็นเดชของผู้มีเดชานุภาพ 
  • ภาวะที่เกิดจาก สัตตวะ (ความดี) รชะ (พลังงาน) และ ตมะ (ความเฉื่อย) ล้วนมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น (ผู้มีสัตตวะมากกว่าคุณอื่นได้แก่พราหมณ์ ผู้มีรชะมากคือกษัตริย์ ผู้มีตมะมากคือศูทร ส่วนผู้มีรชะกับตมะมากพอ ๆ กันคือไวศยะเป็นต้น ในการกระทำต่างๆ คุณทั้ง 3 จะเป็นผู้กระทำ ฉะนั้นผู้รู้ความจริงข้อนี้ ก็จะไม่ผูกพันกับการกระทำ)
  • พระเจ้ามิได้อยู่ในคุณทั้ง 3 นี้ แต่คุณทั้งสามอยู่ในพระเจ้า อำนาจหรือมายาของพระเจ้าประกอบด้วยคุณทั้งสาม ยากที่ใครจะเข้าใจได้ ผู้ที่ยึดพระเจ้าเป็นที่พึ่งจึงจะข้ามพ้นมายานี้ได้
  • คำว่ามายาใน ภควัทคีตา หมายถึงอำนาจของพระเจ้าหรือสิ่งที่เกิดด้วยอำนาจของพระเจ้า หาใช่แปลว่าภาพลวงตาดังในปรัชญาอทไวตเวทานตะของศังกระไม่ ศังกระเปรียบมายาเหมือนการหลงว่าเชือกในความมืดเป็นงู คืองูเป็นมายาหรือภาพลวงตา ส่วนมายาในภควัทคีตา เป็นที่สิ่งที่บังพระเจ้าไว้มิให้มนุษย์แลเห็นและรู้แจ้งว่าพระเจ้าเป็นผู้ไม่เกิดและไม่เปลี่ยนแปลง
  • พระเจ้าเป็นผู้บันดาลให้โลกดำเนินไปตามความประสงค์ของพระองค์ พราหมณ์ซึ่งบูชาพระเจ้าด้วยยัญพิธีเพื่อให้ได้ไปสวรรค์ ก็จะได้ไปสู่สวรรค์ของพระอินทร์ แต่หลังจากสู่สวรรค์จนหมดบุญแล้วก็จะกลับมาเกิดใหม่ ส่วนผู้ที่บูชาพระเจ้าโดยไม่คิดมุ่งหวังสิ่งใด พระเจ้าจะประทานสิ่งที่ยังไม่ได้และจะรักษาสิ่งที่ได้มาแล้ว แม้ผู้ที่บูชาเทพอื่นด้วยใจศรัทธา ยัญพิธีที่เขากระทำก็จะไปสู่พระเจ้า ถึงแม้จะเป็นการกระทำที่ไม่ถูกหลัก ทั้งนี้เพราะพระเจ้าเป็นผู้บริโภคยัญพิธีและเป็นเจ้าแห่งยัญพิธี
  • อย่างไรก็ดีผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าที่แท้จริงก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
  • เมื่ออรชุนขอดูร่างที่แท้จริงของพระเจ้า กฤษณะต้องให้ตาทิพย์แก่อรชุน เพราะตามนุษย์ธรรมดาไม่อาจเห็นร่างแท้จริงของพระเจ้าได้ ในร่างของพระเจ้านั้น อรชุนได้เห็นจักรวาลทั้งหมด เห็นความใหญ่กว้างที่ไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า พระเจ้าคือบุรุษอมตะที่พรรณนาในบุรุษสูกตะใน ฤคเวทสังหิตา ซึ่งเป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวที่ปรากฎใน ฤคเวท 
  • เมื่ออรชุนแลเห็นบรรดานักรบแห่งทุ่งกุรุเกษตรกำลังพากันกรูเข้าไปในปากอันน่าสพึงกลัวของพระเจ้า ก็ถามถึงความมุ่งหมายของพระเจ้า กฤษณะจึงอธิบายว่าพระเจ้าคือกาลเวลา ซึ่งกำลังทำลายโลก ถึงแม้อรชุนจะไม่รบ พวกนักรบที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามก็คงถูกทำลายอยู่นั่นเอง ฉะนั้นขอให้อรชุนลุกขึ้นรับเกียรติในการมีชัยต่อศัตรูและเสวยราชสมบัติอันมั่งคั่ง พวกศัตรูถูกสังหารโดยพระเจ้า อรชุนเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น
  • ฉะนั้นในการปรากฏองค์ของพระเจ้า อรชุนจึงทราบถึงบทบาทของมนุษย์ว่าคือเครื่องมือของพระเจ้า เพราะทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามความประสงค์ของพระเจ้า ถึงมนุษย์จะทำตามหน้าที่หรือหลีกเลี่ยง ก็จะเกิดผลเท่ากันในโลก แต่การทำตามหน้าที่ย่อมมีผลดีแก่มนุษย์ และเป็นการแสดงถึงศรัทธาที่มนุษย์มีต่อพระเจ้า
  • หลังจากตระหนักในความประเสริฐสุดของพระเจ้า อรชุนก็น้อมกายเคารพและกล่าวขอให้พระเจ้าอภัยแก่เขา ดังเช่นบิดาอภัยต่อบุตร มิตรอภัยต่อมิตร และคู่รักอภัยต่อคู่รัก 
  • อรชุนมีความกลัวร่างอันแท้จริงของพระเจ้ามาก จึงขอให้พระเจ้ากลับร่างเป็นวิษณุ 4 กร นี่เป็นการอธิบายว่า เหตุใดพระเจ้าจึงมิได้ปรากฏร่างที่แท้จริงแก่มนุษย์ เพราะจะทำให้มนุษย์กลัวจนทำอะไรไม่ถูก มนุษย์รักร่างพระเจ้าแบบมี 4 กรมากกว่า ร่างที่แท้จริงนั้นพระเจ้ามิได้ให้ใครเห็นยกเว้นอรชุน แม้ผู้รู้พระเวท ผู้บำเพ็ญตบะ ผู้ทำยัญพิธี ก็ไม่อาจเห็นได้ ผู้ที่มีความภักดีอย่างแน่วแน่ในพระเจ้าเท่านั้นจึงอาจเห็นและเข้าถึงได้
  • ลักษณะเช่นนี้ของพระเจ้าไม่ปรากฏใน อุปนิษัท ซึ่งมีจุดหมายสำคัญคือ สอนให้มนุษย์เข้าสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพรหมอันเป็นอมตะ ส่วน ภควัทคีตา สอนว่า ผู้ที่ฝักใฝ่ในพรหม ถึงความหลุดพ้นได้ยากกว่าผู้ฝักใฝ่ในพระเจ้า เพราะมนุษย์ที่มีร่างนั้น ย่อมเข้าใจพรหมที่ไม่มีรูปร่างได้ยากกว่าเข้าใจพระเจ้า 
  • ฉะนั้นทางแห่งความภักดีต่อพระเจ้าจึงเป็นทางที่นำไปสู่ความหลุดพ้นได้ง่ายกว่า ผู้ที่อุทิศการกระทำทั้งปวงให้แก่พระเจ้า คิดถึงพระเจ้า บูชาพระเจ้า โดยสมาธิแน่วแน่ด้วยความภักดีที่ไม่เปลี่ยนแปลง ทำจิตให้ตั้งอยู่ในพระเจ้า พระเจ้าจะฉุดขึ้นจากสมุทรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดทันที
  • พระเจ้ารักผู้ที่ภักดีต่อพระเจ้า และถือพระเจ้าเป็นจุดหมายสูงสุด
  • ภควัทคีตา กล่าวว่า พระเจ้าคือที่ตั้งของพรหม ความเป็นอมตะและความไม่เสื่อมสูญธรรมอันยั่งยืนและความสุขสูงสุด ฉะนั้นพระเจ้าจึงสูงกว่าพรหม ไม่มีอะไรสูงสุดหรือใหญ่ยิ่งเกินกว่าพระเจ้า 
  • เมื่ออรชุนได้ฟังคำสอนของกฤษณะจบลง ก็สิ้นความหลงและได้สติ มีจิตมั่นคงไม่สงสัยลังเลอีกต่อไป และตัดสินใจทำตามบัญชาของพระเจ้าคือรบกับศัตรู

ท้ายที่สุด

  • ภควัทคีตา คือคัมภีร์ที่เรียกได้ว่าเป็นบทสรุปแห่งคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์พระเวท ฤคเวท สามเวท ยชุรเวท อาถรรพ์เวท คัมภีร์สังหิตา พราหมณะ อารัณยกะ คัมภีร์อุปนิษัท เวทานตะ ปุราณะ ฯลฯ
  • ปรัชญาในภควัทคีตาเป็นการรวบยอด เอาคำสอนที่กระจัดกระจายในคัมภีร์ต่างๆ ดังกล่าว มารวมไว้ในเล่มเดียว ภควัทคีตาจึงเปรียบได้ว่าเป็นหัวใจแห่งคำสอนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูก็ไม่ผิดนัก
  • เนื่องด้วยภควัทคีตานี้เป็นส่วนหนึ่งใน มหากาพย์มหาภารตะ เมื่ออ่านจบแล้ว เราก็ควรอ่านและศึกษาเรื่องมหาภารตะเพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจในปรัชญาของชีวิตอย่างเข้มข้น การอ่านภควัทคีตาให้จบก่อนมหาภารตะ ก็ไม่เป็นการผิดขั้นตอนแต่อย่างใด

*********************************

 

 

คำสำคัญ (Tags): #Bhagavad Gita#ภควัทคีตา
หมายเลขบันทึก: 703822เขียนเมื่อ 11 กรกฎาคม 2022 12:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กรกฎาคม 2022 12:50 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท