หะดีษซอเฮี๊ยห์เล่มที่9


 

มารยาท วิกฤตการณ์ต่าง ๆ
เครื่องหมายต่าง ๆ ของกิยามะห์
กิยามะห์ สวรรค์ นรก


 

 

ภาคมารยาท

มีเจ็ดบท และ บทสุดท้าย

บทที่หนึ่ง การขออนุญาต

อัลเลาะห์ตะอาลา ทรงตรัสว่า “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธา ท่านทั้งหลายอย่าเข้าไปในบ้าน ที่ไม่ใช่เป็นบ้านของพวกท่าน จนกว่าจะได้ขออนุญาต และกล่าวสลามแก่เจ้าบ้านเสียก่อน นั่น เป็นการดีสำหรับพวกท่าน แน่แท้พวกท่านจะต้องรับคำตักเตือน ดังนั้น ถ้าหากพวกท่านไม่พบ ว่ามีผู้ใดอยู่ในบ้าน พวกท่านอย่าเข้าไป นอกจากพวกท่านจะได้รับอนุญาตไว้ก่อน และถ้าหาก มีผู้กล่าวแก่พวกท่านว่า จงกลับไป ก็ให้พวกท่านจงกลับไป มันเป็นความบริสุทธิ้ยิ่งสำหรับ พวกท่าน และอัลเลาะห์ทรงรู้สิ่งที่พวกท่านปฏิบัติ” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงมีสัจจะ

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้านั่งอยู่ในที่ชุมนุมหนึ่งจากบรรดาที่ชุมนุม ของชาวอันซอร อะบู มูซาได้มายังพวกเราอย่างตื่นตระหนก พวกเราได้ถามว่า ท่านเป็นอะไร หรือ เขาตอบว่า แท้จริงอุมัรได้ส่งคนมาตามฉันให้ไปหาเขา ฉันก็ไปถึงประตูบ้านของเขา

ได้กล่าวสลามสามครั้ง ไม่มีผู้ใดตอบสลามฉัน ฉันจึงกลับ (ต่อมาเขาได้ส่งคนมาตามฉันอีก ฉันก็ได้ไป) อุมัรกล่าวขึ้นว่า อะไรฉุดรั้งท่านไว้ที่จะมาหาเรา ฉันตอบว่า ฉันได้มาหาท่าน แล้ว ได้กล่าวสลามที่ประตูบ้านของท่านสามครั้ง แต่คนในบ้านไม่ตอบสลามฉัน ฉันจึงกลับไป และความจริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนหนึงของพวกท่าน ได้ขออนุญาตสามครั้งแล้วเขาไม่ได้รับอนุญาต ให้เขาจงกลับไป อุมัรได้กล่าวว่า ท่านจงไปเอา พยานมา และล้าไม่เข้นนั้นฉันจะต้องทำให้ท่านเจ็บตัว อุบัยย์ บุตร กะอับ ได้กล่าวขึ้นว่า จะไม่มีใครไปกับเขานอกจากคนที่มีอายุน้อยที่สุดของพวกนั้น[1] อะบู สะอีดได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ฉันเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุด เขาได้กล่าวว่า จงเอาตัวเขาไป ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้น ไปหาอุมัรแล้วกล่าวขึ้นว่า ความจริง ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี ซ.ล. พูดเช่นนึ้ และใน บางรายงานว่า อุบัยย์ได้มาหาอุมัร และได้ให้การเป็นพยานในเรื่องตังกล่าว แล้วพูดว่า โอ้ (อุมัร) บุตรค๊อตตอบ ท่านอย่าเข้มงวดเอากับบรรดาอัครสาวกของมูฮัมมัด ซ.ล. เลย อุมัร ได้กล่าวว่า ถวายบริสุทธิ้แต่อัลเลาะห์ แท้ที่จริงฉันได้ยินสิ่งหนึ่งมาและฉันก็ต้องการหาความ แน่นอน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และได้มีชายคนหนึ่งขออนุญาตเข้าพบท่านนบี ซ.ล. ขณะท่านอยู่ในบ้าน เขากล่าวว่า ฉันจะเข้าไปได้ไหม ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่คนรับใช้ของท่านว่า เจ้าจงออกไปหาคน

คนนี้ และสอนวิธีการขออนุญาตให้เขา จงบอกเขาว่า เจ้าจงกล่าวว่า ขอความสันติจงมีแด่พวก ท่าน ฉันจะเข้าไปได้ไหม ชายคนนั้นได้ยิน จึงกล่าวว่า ขอความสันติจงมีแด่พวกท่าน ฉันจะเข้าไปได้ไหม ท่านนบี ซ.ล. จึงอนุญาตให้เขา และเขาก็ได้เข้าไป 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และอุมัรได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เคยขออนุญาตเข้าพบท่านนบี ซ.ล. สามครั้ง ท่าน จึงอนุญาตให้ฉัน[2]

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้ห้ามพวกเขาเคาะประตู เรียกภรรยาในยามค่ำคืน ต่อมาได้มีผู้ชายสองคนเคาะประตูเรียกภายหลังจากห้ามแล้ว แต่ละคน จากทั้งสองนั้นได้พบชายชู้อยู่กับภรรยาของเขา[3] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี ซ.ล. ในเรื่องหนี้สินที่ติด อยู่ที่บิดาของข้าพเจ้า ฉันได้เคาะประตูบ้าน ท่านได้ถามว่า ใคร ฉันตอบว่า ฉันเอง ท่านนบีได้กล่าวว่า ฉันเอง ฉันเอง คล้ายท่านไม่พอใจคำพูดเช่นนี้[4] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และได้มีชายคนหนึ่งขออนุญาตเข้าพบ ท่านนบี ซ.ล. เขายืนอยู่ที่ประตู โดยหันหน้า เข้าสู่ประตู ท่านนบี ซ.ล. ได้ออกมาเพื่อต้อนรับเขา ท่านได้กล่าวว่า ท่านจะต้องออกห่าง การกระทำเช่นนี้และอย่างนี้ เพราะแท้จริงการขออนุญาตนั้นก็เพื่อป้องกันการมอง[5]

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร บิชร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. เมื่อท่านมาที่ประตู บ้านของพวกหนึ่ง ท่านจะไม่หันหน้าตรงกับประตูบ้าน แต่ท่านจะยืนอยู่มุมประตูด้านขวา หรือ ด้านซ้าย 

รายงานหะดีษทั้งสอง โดย อะบู ดาวูด

การอนุญาต เพื่อป้องกันการมอง

เล่าจากสะฮัล บุตรสะอัด ร.ฎ. ว่า แท้จริงชายคนหนึ่งได้มองเข้าไปจากรูที่ประตู บ้านของท่านนบี ซ.ล. โดยท่านนบี ซ.ล. มีหวีที่กำลังใช้หวีผมอยู่ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขาว่า ถ้าหากฉันรู้ว่าท่านกำลังมองอยู่ ฉันจะใช้มันแทงตาท่าน ความจริง ที่อัลเลาะห์ทรงกำหนดเรื่องการอนุญาตก็เพราะมีต้นเหตุมาจากการมอง และในรายงานหนึ่งว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ลุกขึ้นไปหาเขาพร้อมด้วยลูกธนู ข้าพเจ้ามองดูท่านรอซูลุลเลาะห์คล้าย ท่านกำลังพยายามจะลอบแทงเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ทูตของชาย

คนหนึ่งที่ส่งไปหาชายอีกคนหนึ่งเป็นคำอนุญาตของเขา[6] 

รายงานโดยบุคอรี และอะบู ดาวูด

เล่าจากอิรบาด บุตร ซารียะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ลงพักกับท่านนบี ซ.ล. ที่คอยบัร และโดยที่เจ้าของคอยบัรนั้นเป็นคนยะโสและชั่วร้าย เขาได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ มุฮัมมัด เป็นชื่อนุมัติให้พวกท่านหรือที่จะเชือดลาของเรา[7] กินผลไม้ของเรา และทุบตีผู้หญิงของพวกเรา ท่านนบี ซ.ล. โกรธ และกล่าวว่า โอ้ บุตรของเอาห์เ เจ้าจงขี่ม้า และประกาศว่า โปรดทราบ แท้จริงสวรรค์นั้นจะไม่อนุมัติ (แก่ผู้ใด) นอกจากแก่ผู้ มีศรัทธาเท่านั้น และให้พวกท่านจงมาละหมาดร่วมกัน ต่อมาพวกเขาจึงได้มาชุมนุมกัน และ ท่านนบี ซ.ล. ก็ได้ละหมาดร่วมกับพวกเขา หลังจากนั้นท่านได้ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า ใครคนหนึ่งจากพวกท่านคิดหรือว่า จะนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงของเขา บางทีเขาอาจคาดว่า อัลเลาะห์ไม่ได้ทรงห้ามสิ่งใดๆ นอกจากสิ่งที่อยู่ในอัลกุรอานนี่ พึงทราบเถิด แท้จริงตัวฉัน ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ฉันได้ทำการสั่งสอน ได้ใช้ได้ห้ามเรื่องต่างๆ ซึ่งความจริงมัน (สิ่ง ที่ฉันสั่งสอนที่ใช้และห้ามนั้น) เท่ากับที่มีอยู่ในอัลกุรอานหรือมากกว่า และแท้จริง อัลเลาะห์ ตะอาลา ไม่อนุมัติให้พวกท่านเข้าบ้านของชาวคัมภีร์นอกจากจะได้รับอนุญาต และไม่อนุมัติ ให้ตีพวกผู้หญิงของพวกเขา ไม่อนุมัติให้กินผลไม้ของพวกเขา เมื่อพวกเขาได้จ่ายให้แก่พวกท่าน สิ่งที่ติดอยู่เหนือพวกเขา[8]

รายงานโดย อะบู ดาวูด ในเรื่องยิซยะห์

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่ฉันว่า การอนุญาตแก่ท่าน ให้เข้ามาหาฉันก็คือ ม่านจะถูกยกขึ้น และคือการที่ท่านไดยินความลับของ ฉันจนกว่าฉันจะห้ามท่าน[9]

รายงานโดย มุสลิม

เลือดของคนที่มองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นเลือดที่เสียเปล่า

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้มองเข้าไป ในบ้านของพวกหนึ่ง โดยที่คนพวกนั้นไม่ได้อนุญาต ดังนั้นยอมให้พวกเขาควักตาของเขาได้ 

รายงานโดยมุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากมีชายคนหนึ่ง มองดูท่านโดยไม่ได้อนุญาต ท่านได้ขว้างเขาด้วยก้อนหิน และท่านได้ทำให้ตาของเขาแตก ท่านจะไม่มีบาปใด ๆ 

รายงานโดยมุสลิม และอะห์มัด

เล่าจากอะบี ซัรร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้เปิดม่าน และส่งสายตา ของเขาเข้าไปในบ้าน ก่อนที่เขาจะได้รับอนุญาต เขาได้เห็นสิ่งที่พึงสงวนของเจ้าบ้านนั้นเท่ากับ เขาได้ก่อบาปที่ไม่อนุมัติให้เขาก่อมันขึ้น ถ้าหากขณะที่เขาส่งสายตาเข้าไปนั้น ได้มีชายคนหนึ่ง หันมาพบ และเขาได้ทำให้ตาคนมองแตก ฉันก็จะไม่ตำหนิเขาเลย และถ้าหากมีชายคนหนึง ผ่านประดูบ้าน โดยไม่มีม่าน และประตูก็ไม่ได้ปิด ชายคนนั้นได้มองเข้าไป จะไม่มีความผิด ใดๆ เถิดกับเขา ความจริงความผิดนั้นจะเกิดีษก่คนในบ้าน[10] 

รายงานโดยติรมิซี

อนุญาตให้มองเพราะมีความจำเป็น

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ว่า แท้จริงอุมม์ ซะละมะห์ ได้ขออนุญาตท่านนบี ซ.ล. ในการ กรอกเลือด ต่อมาท่านนบีได้ใช้อะบู ตอยบะห์ให้กรอกเลือดนาง ผู้เล่าได้กล่าวว่า ฉันคิดว่าเขาเป็นพี่น้องของนางจากการร่วมดื่มนมเดียวกัน หรือเป็นเด็กที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะ*

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้นำทาสชายคนหนึ่งมาหาฟาติมะห์ โดยท่านได้มอบทาสชายคนนั้นให้นาง อะนัสได้กล่าวว่า บนร่างของฟาติมะห์มีผ้าผืนหนึ่ง เมื่อ นางใช่มันคลุมศีรษะของนางมันจะไม่ถึงเท้าทั้งสองข้างของนาง .และเมือนางใช้มันคลุมเท้า ทั้งสองข้างของนาง มันก็จะไม่ถึงศีรษะ เมื่อท่านนบี ซ.ล. ได้เห็นสิงทีฟาติมะห์กำลังพบอยู่ ท่านจึงกล่าวว่า ความจริงมันไม่เป็นอะไรหรอกสำหรับเธอ ความจริงคนที่เธอกำลังอายนั้น คือบิดาของเธอ และทาสของเธอเอง[11] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยอะบูดาวูต ในเรื่องเครื่องนุ่งห่ม

เล่าจากอุมม์ ซะละมะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันอยู่ทีท่านนบี ซ.ล. และท่านนบีก็มีมัยมูนะห์ อยู่ด้วย อิบนุ อุมมิ มักตูมได้มุ่งหน้ามา และนั่นก็หลังจากพวกเราได้ถูกบัญชาให้ปก ปิดอย่างมิดชิดจากเขา (อุมมิ มักตูม) พวกเราได้เราได้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ เขามิใช่คนตาบอด หรือที่เขามองไม่เห็นเรา และจะไม่รู้จักเรา ท่านได้กล่าวว่า เธอทั้งสองตาบอดหรือ เธอทั้งสองคนจะไม่เห็นเขาหรือ[12]

รายงานโดยอะบู ดาวูด และติรมิซี ด้วยสายรายงานทเศาะฮีหะห์

เล่าจากอะบี อุซัยด์ อัลอันซอรีย์ ว่า เขาไดยินท่านนบี ซ.ล. กล่าวแก่พวกผู้หญิง[13] ว่า พวกเธอจะต้องอยู่ข้างหลัง เพราะจะไม่ยอมให้พวกเธอเดินกลางทางสัญจร[14] พวกเธอ จะต้องอยู่ริมทาง และได้เคยปรากฏว่าผู้หญิงจะเบียดกำแพงจนผ้าของหล่อนจะแขวนติดอยู่ กับกำแพง เพราะหล่อนเดินเบียดกับมัน

และอิบนุ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ห้ามผู้ชายเดินแทรกอยู่ระหว่าง ผู้หญิงสองคน[15] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด

หะดีษในเรื่องโรงอาบน้ำ

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่มีศรัทธาต่ออัลเลาะห์และ วันสุดท้าย เขาจะต้องไม่เข้าโรงอาบนํ้าโดยไม่มีผ้านุ่ง[16] และผู้ใดที่มีศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และวันสุดท้าย เขาจะต้องไม่ให้ภรรยาของเขาเข้าโรงอาบนํ้า  และผู้ใดที่มีศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และวันสุดท้าย          เขาจะต้องไม่นั่งที่สำรับอาหารที่มีสุราวนเวียนอยู่ [17] 

รายงานโดยติรมิซี และะฮากีม ด้วยสายรายงานที่หะซัน

บทที่สองการกล่าวสลาม

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า       “และเมื่อพวกท่านลูกกล่าวคำคารวะหนึ่ง พวกท่านจง

กล่าวตอบด้วยคำคารวะที่ดีกว่านั้น หรือจงตอบมันเท่าๆ กัน[18] แน่แท้ อัลเลาะห์ทรงคิด คำนวณทุกสิ่ง”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “บรรดาทูตของเราได้มาหาอิบรอฮีมพร้อมด้วยข่าวดี พวกเขาได้กล่าวสลาม (แก่อิบรอฮีม) เขา (อิบรอฮีม) ก็ได้กล่าวสลาม (แก่พวกเขา) และอีก ไม่นานอิบรอฮีมก็ได้นำลูกวัวย่างมา”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “พวกเขาจะได้รับผลไม้ในสวรรค์ และพวกเขาจะได้ รับตามที่ขอ สลามเป็นคำที่มาจากพระผู้อภิบาลผู้ทรงเมตตา” [19] อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิต ของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า พวกท่านจะไม่ได้เข้าสวรรค์ จนกว่าพวกท่านจะมี ศรัทธา และพวกท่านจะยังไม่มีศรัทธา จนกว่าพวกท่านจะรักกัน พึงทราบเถิด ข้าพเจ้าจะชี้นำให้พวกท่านถึงงานชิ้นหนึ่ง เมื่อพวกท่านได้ปฏิบัติมัน พวกท่านจะมีความรักกัน พวกท่าน จงทำให้สลามแพร่หลายไปในระหว่างพวกท่าน 

รายงานโดยมุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อิมรอน บุตร ฮุศอยน์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า ขอความสันติจงมืแด่พวกท่าน ท่านนบีได้ตอบสลามเขา จากนั้นเขาได้นั่งลง และท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  สิบ[20] หลังจากนั้นได้มีชายอีกคนหนึ่งมาแล้วกล่าวว่า ขอ ความสันติและความเมตตาของอัลเลาะห์ จงมืแด่พวกท่าน ท่านนบีได้ตอบสลามเขา หลังจาก นั้นเขาได้นั่งลง ท่านนบีได้กล่าวว่า ยี่สิบ[21] หลังจากนั้นได้มีชายอีกคนหนึ่งมาแล้วกล่าวว่า ขอความสันติ ความเมตตา และความเพิ่มพูนของอัลเลาะห์จงมีแด่พวกท่าน ท่านนบีได้ตอบสลามเขา หลังจากนั้นเขาได้นั่งลง ท่านนบีได้กล่าวว่า สามสิบ[22]

เล่าจากอะบี อุมามะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงมนุษย์ที่ใกล้ชิด กับอัลเลาะห์ตะอาลามากที่สุดคือคนที่เริ่มกล่าวสลามก่อนคนอื่นๆ

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจงสักการะ พระผู้ทรงเมตตา จงเลี้ยงอาหาร และจงทำให้การกล่าวสลามแพร่หลาย[23] พวกท่านจะได้เข้า สวรรค์ด้วยความสันติ 

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

กล่าวสลามก่อนพูด และกล่าวสลามแก่ครอบครัว

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า กล่าวสลามก่อนจะพูด[24] 

และเล่าจากเขา (ญาบิร) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านอย่าเชิญใครมาร่วม รับประทานอาหารจนกว่าเขาจะกล่าวสลาม[25] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี ด้วยสายรายงาน เดียวกัน

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนที่ขับขี่จะต้องสลามคนเดินเท้า และคนเดินเท้าจะต้องสลามคนนั่ง และคนจำนวนน้อยจะต้องสลามคน จำนวนมาก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า โอ้ ลูกน้อย เมื่อเจ้าเข้าไปหาครอบครัวของเจ้า ให้เจ้ากล่าวสลาม มันจะเป็นความเพิ่มพูนให้เจ้า และแก่ ในครอบครัวของเจ้า 

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

กล่าวสลามเก่เด็กและผู้หญิง[26]

เล่าจากซัยยาร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเดินอยู่กับซาบิต อ้ลบุนานีย์ ต่อมา เขาได้ ผ่านกลุ่มเด็ก ๆ และเขาได้กล่าวสลามแก่พวกเด็กๆ นั้น และได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเดินอยู่กับ อะนัส ร.ฎ. เขาได้ผ่านกลุ่มเด็ก *1 และเขากัใด้กล่าวสลามแก่พวกเด็กๆ และอะนัสได้เล่าว่า เขาเคยเดินอยู่กับท่านนบี ซ.ล. ท่านได้ผ่านกลุ่มเด็กๆ และท่านได้กล่าวสลามแก่เด็ก [27]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มาถึงพวกเราโดยข้าพเจ้าเป็นเด็กคนหนึ่งอยู่ในกลุ่มเด็ก [28]  ท่านได้กล่าวสลามพวกเรา จากนั้นท่านได้จับมือข้าพเจ้า หรือจับหูข้าพเจ้า และได้มอบให้ข้าพเจ้านำสาสน์ฉบับหนึ่งไปส่ง และท่านได้นั่งคอยอยู่ใน เงาของกำแพง หรือผู้เล่าได้กล่าวว่า พิงกำแพง จนกระทั่งข้าพเจ้าได้กลับมาหาท่าน 

รายงาน โดย อะบู ดาวูด และอิบนุ มายะห์

อัสมาอฺ บุตรสาว ยะซีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ผ่านพวกเราที่อยู่กันในมัสยิดในวันหนึ่ง โดยมีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ และท่านได้โบกมือของท่านพร้อมกล่าวสลาม และอับดุล ฮะมีดก็ได้ใช้มือของเขาทำท่า

รายงานโดยอะบู ดาวูด และติรมิซี 371

การฝากกล่าวสลาม

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า โอ้ อาอิชะห์ นึ่คือยิบรืล ได้ฝากกล่าวสลามถึงเธอ อาอิชะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ขอความสันติ ความเมตตาของอัลเลาะห์ และความเพิ่มพูนของพระองค์จงมีแด่เขา ท่านเห็น ในสิ่งที่พวกเราไม่เห็น โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์378 รายงานโดยลคน

เล่าจากฆอลิบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า          พวกเรานั่งกันอยู่ที่ประตูบ้านของหะซัน ร.ฎ. ได้มี

ชายคนหนึ่งมา แล้วกล่าวว่า     บิดาของฉันได้เล่าให้ฉันฟังจากปู่ของฉันได้กล่าวว่า      บิดาของฉัน

ได้ส่งฉันไปหาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. แล้วกล่าวว่า           จงไปหาท่าน และจงบอกสลามแก่ท่าน

เขาได้กล่าวว่า ฉันได้ไปหาท่านนบี แล้วกล่าวว่า          แท้จริงบิดาของฉัน ฝากกล่าวสลามแก่ท่าน

ท่านนบีได้กล่าวว่า ขอความสันติจงมีแด่ท่านและบิดาของท่าน[29] 

รายงานโดยอะบู ดาวูด

สิ่งที่ไม่ควรกระทำในการกล่าวสลาม

เล่าจากอะบียุรอยย์ อัลฮุยัยมีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. แล้วกล่าวว่า ให้ท่านได้รับความสันติ โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่า ท่าน อย่ากล่าวว่า ให้ท่านได้รับความสันติ เพราะคำว่า ให้ท่านได้รับความสันตินั้นเป็นคำคารวะ คนตาย 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และติรมีซีได้เพิ่มเติมว่า หลังจากนั้น ท่านได้หันมาทางข้าพเจ้า แล้วกล่าวว่า เมื่อชายคนหนึ่งพบกับพี่น้องของเขาทีเป็นมุสลิม ให้เขาจงกล่าวว่าขอความสันติ และความเมตตาของอัลเลาะห์ จงมีแด่พวกท่าน

และอิบนุ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้กล่าวสลามแก่ท่านนบี ซ.ล. ขณะที่ท่านกำลังปัสสาวะ และท่านไม่ได้ตอบสลามเขา[30] 

รายงานโดยอะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อัมร์ บุตร  ชุอัยบ์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่ใช่เป็นพวกเรา ผู้ที่ทำตัวเหมือนผู้อื่นจากเรา, ท่านทั้งหลายอย่าทำตัวเหมือน พวกยะฮูด และอย่าทำตัวเหมือนพวกนะซอรอ ความจริง การกล่าวสลามของพวกนะซอรอ คือ การทำท่าด้วยฝ่ามือ[31] 

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ดออีฟ

กล่าวสลามแก่ชาวคัมภีร์

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าเริ่มสลามแก่พวกยะฮูด และอย่าเริ่มแก่พวกนะซอรอ และเมื่อพวกท่านพบคนหนึ่งคนใดของพวก เขาในทางสัญจร ให้พวกท่านจงเบียดเขาไปสู่ทางทีแคบทีสุด[32] 

รายงานโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และมีอัครสาวกบางคนของท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่ท่านว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริงชาวคัมภีร์จะกล่าวสลามแก่พวกเรา และพวกเราจะตอบพวกเขาอย่างไร ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงกล่าวว่า และจงมีแด่พวกท่าน รายงานโดย มุสลิม และอะIเดาวูด

เลาจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อพวกยะฮูด ได้กล่าวสลาม แก่พวกท่าน ความจริงคนใดคนหนึ่งของพวกเขาจะกล่าวว่า ความตายจงเถิดกับท่าน ดังนั้นให้ ท่านกล่าวว่า และจงเถิดกับท่าน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้มีคนพวกหนึ่งจากพวกยะฮูดเข้ามาหาท่าน รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. พวกเขาได้กล่าวว่า ความตายจงเถิดกับท่าน ฉันเข้าใจคำพูดนั้น ฉันจึง กล่าวว่าขอให้ความตายและห่างไกลความเมตตาจงเถิดกับพวกท่าน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ช้าก่อน อาอิชะห์ แท้จริงอัลเลาะห์รักความอ่อนโยนในกิจการทั้งปวง ข้าพเจ้าจึง กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านไม่ได้ยินที่พวกเขาพูดหรือ ท่านกล่าวว่า ความจริง ฉัน ได้กล่าวแล้วว่า และจงเถิดกับพวกท่าน 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และในรายงานหนึ่งของมุสลิมว่า อาอิชะห์ได้ยิน จึงได้ด่าพวกเขา ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ช้าก่อน โอ้ อาอิชะห์ แท้จริงอัลเลาะห์ไม่รักความหยาบคาย และไม่รัก ความลามก ดังนั้นอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรจึงได้ประทานลงมาว่า “และเมื่อพวก เขามาหาท่าน กล่าวคำคารวะต่อท่านด้วยถ้อยคำที่อัลเลาะห์ไม่ได้ให้ท่านใช้มันเป็นคำคารวะ” จนจบอายะห์

เล่าจาก อุซามะห์ บุตร เซด ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้ผ่านที่ชุมนุมหนึ่ง ในที่ชุมนุมแห่งนั้นมีปะปนกันอยู่ระหว่างมุสลิมกับพวกยะฮูด ท่านได้กล่าวสลามแก่พวกเขา

รายงานโดยบุคอรี และติรมิซี

ข้อกำหนดการกล่าวสลามและตอบสลาม[33]

 เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ห้าประการที่จำเป็นแก่ มุสลิมต้องปฎิบ้ติต่อพี่น้องของเขาคือ การตอบสลาม, การกล่าวตอบคำของคนที่จาม, การตอบรับคำเชิญ, การเยิ่ยมผู้ป่วย และการติดตามศพ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะลี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พอแล้ว สำหรับคนกลุ่มหนึ่ง เมื่อพวกเขาผ่านมา ที่จะมีคนหนึ่งของพวกเขากล่าวสลาม และพอแล้วที่กลุ่มคนนั่งจะมีคนหนึ่ง ของพวกเขาตอบสลาม 

รายงานโดยอะบู ดาวูด

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อคนหนึ่งของพวก ท่านมาถึงที่ชุมนุม ให้เขาจงกล่าวสลาม และเมื่อเขาประสงค์จะลุกขึ้นยืน ให้เขาจงกล่าวสลาม และไม่ใช่ครั้งแรก ควรทำยิ่งกว่าครั้งหลัง[34] 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ไม่มีการกล่าวสลามแก่พวกที่ตามอารมณ์

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลาย อย่ากล่าวสลามแก่คนที่ดื่มสุรา และอย่าเยี่ยมพวกเขาเมื่อพวกเขาป่วย และอย่าละหมาดให้พวก เขาเมื่อพวกเขาตาย385 สะอีด บุตร มันซูร ได้รายงานอย่างนื้ บุคอรีได้รายงานเป็นหะดีษเมากูฟ แต่บุคอรีได้รายงานโดยมีสายรายงานต่อเนื่องในเรื่องมารยาท และได้กล่าวมาแล้วในการอธิบาย ความหมายของซูเราะห์ อัตเตาบะห์ คำพูดของกะอับ บุตรมาลิก ร.ฎ. เมื่อเขาไม่ได้ออกไป ร่วมรบในสมรภมิที่ตะบุก ว่า และท่านนบี ซ.ล. ได้ห้ามมวลมุสลิมจากการพูดจากับพวกเรา

เล่าจากอัมมาร บุตร ยาซีร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันได้มาหาครอบครัวของฉัน โดยที่มีอทั้งสองข้างของฉันแตก พวกเขาจึงได้ชะโลมฉันด้วยหญ้าฝรั่น และในตอนเข้าฉันได้ไป หาท่านนบี ซ.ล. ฉันได้กล่าวสลามแก่ท่าน แต่ท่านไม่ตอบ และท่านได้กล่าวว่า เจ้าจงไป และล้างสิ่งนี้ออกไปจากเจ้า386 

รายงานโดย อะบู ดาวูด ในเรื่อง ซุนนะห์

และได้มีชายคนหนึ่งผ่านท่านนบี ซ.ล. ไป บนร่างของเขามีผ้าสีแดงสองผืน เขาได้ กล่าวสลามแก่ท่านนบี ซ.ล. แต่ท่านไม่ตอบเขา38

รายงานโดย อะบู ดาวูด แตะติรมิซี ในเรื่อง เครื่องนุ่งห่ม

การเขียนและระเบียบของการเขียน

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า            “เจ้าจงอ่าน และพระผู้อภิบาลของเจ้านั้นทรงเกียรติยิ่ง

พระผู้ซึ่งทรงสอนด้วยปากกา, ทรงสอนมนุษย์สิ่งที่มนุษย์ยังไม่รู้”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสเป็นการบอกกล่าวถึงสาส์นของนบีสุลัยมาน อ.ล, ที่มีไปยังบิลกีส ราชินีแห่งสะบะอฺว่า                                                   “แท้จริงมัน(สาส์นนี้) ไปจากสุลัยมาน และแท้จริงมันเริ่ม

ด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตายิ่ง ผู้ทรงกรุณายิ่ง พวกเจ้าจะต้องไม่ละเมิดฉัน และต้อง มาหาฉันอย่างเป็นผู้ยอมจำนน”

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ร.ฎ. จากท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ว่า ความจริงท่านได้กล่าว ถึงชายคนหนึ่งจากพวกบะนีอิสรออีลว่า เขาได้เอาไม้มาแผ่นหนึ่งแล้วเจาะมัน และได้เอา หนึ่งพันเหรียญดีนาร์ใส่เข้าไป พร้อมด้วยสาส์นฉบับหนึ่งจากเขาถึงเจ้าของเงินนั้น เขาได้เขียน ไปในสาส์นฉบับนั้นว่า จากคนนั้นๆ ถึงคนนั้นๆ388 

รายงานโดย บุคอรี [35]

เล่าจากอะบี ซุฟยาน ร.ฎ. ว่า แท้จริงฮิรอกล์ได้ส่งตัวแทนไปหาเขาซึ่งอยู่ในกลุ่มชนชาว กุเรช พวกเขาเป็นพ่อค้าไปยังชาม พวกเขาได้มายังฮิรอกล์ หลังจากนั้นเขาได้เรียกเอาสาส์น จากท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ต่อมามันจึงลูกอ่าน ในนั้นมีข้อความว่า ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตายิ่ง ผู้ทรงกรุณายิ่ง จากมุฮัมมัด บ่าวของอัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์ ถึงฮิรอกล์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโรม ขอความสันติจงมีแด่ผู้ที่ดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้อง อซึ่ง ภายหลัง จากนั้น ข้าพเจ้าขอเรียกร้องท่านด้วยการเรียกร้องสู่อิสลาม[36] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี

เล่าจากเซด บุตร ซาบิต ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.

และเบื้องหน้าของท่านนั้นมีอาลักษณ์อยู่ ฉันไดํยินท่านกล่าวว่า จงวางปากกาไว้เหนือหูของท่าน เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้ผู้บอกให้เขียนนึกออกได้ดี

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า             เมื่อนบีของอัลเลาะฮ์ ซ.ล. ต้องการจะเขียน (สาส์น)

ไปถึงคนที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ ได้มีผู้กล่าวแก่ท่านว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับ นอกจากสาส์นที่มีดวง ตราประทับ ต่อมาท่านจึงได้ทำดวงตราประทับ อะนัสได้กล่าวว่า คล้ายข้าพเจ้ากำลังมองดู

ความขาวของมันอยู่ในฝ่ามือของท่าน 

รายงานโดย ติรมิซี

ผู้ใดเรียนภาษาของคนพวกหนึ่ง เขาจะรอดพ้นจากความชั่วของคนพวกนั้น

เล่าจากเซด บุตร ซาบิต ร.ฎ. ได้กล่าวว่า            ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้บัญชาข้าพเจ้า

ให้ศึกษาการเขียนของพวกยะฮูดให้ท่าน ท่านได้กล่าวว่า           แท้จริงขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า

ฉันจะไม่ไว้ใจพวกยะฮูดต่อข้อเขียนใดๆ เซดได้กล่าวว่า            ยังไม่ทันผ่านข้าพเจ้าไปครึ่งเดือน

จนข้าพเจ้าได้ศึกษามันเพื่อท่านนบี และเมื่อฉันได้ศึกษามันแล้ว เมื่อท่านนบีส่งสาส์นไปถึง พวกยะฮูด ฉันก็จะเขียนมันไปหาพวกเขา และเมื่อพวกเขาเขียนมาหาท่าน ฉันก็จะเป็นผู้อ่าน สาส์นของพวกเขาให้ท่าน 

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ซอเหียะห์เศาะฮีหะห์

ตอนที่สาม

การแสดงความคารวะประเภทต่าง ๆ ได้แก่
การยืนตรงให้แก่ผู้ที่มีเกียรติ

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ว่า พวกกุรอยเดาะห์ได้ยอมให้สะอัด บุตรมุอาชตัดสิน ท่าน นบี ซ.ล. จึงได้ส่งตัวแทนไปหาสะอัด เมื่อเขามา ท่านนบีได้กล่าวว่า พวกท่านจงลุกขึ้นยืน ให้เกียรติแก่ผู้นำของพวกท่าน หรือได้กล่าวว่าคนดีของพวกท่าน และเขาได้นั่งลงพร้อมกับ ท่านนบี ซ.ล. ท่านนบีได้กล่าวว่า คนพวกนี้ยอมให้ท่านตัดสิน สะอัดได้กล่าวว่า ความจริงฉันขอตัดสินว่า นักรบของพวกเขาต้องถูกฆ่า และเด็กๆ ของพวกเขาต้องลูกจับเป็นเชลย ท่านนบีได้กล่าวว่า ความจริงท่านได้ตัดสินตรงตามที่ผู้ทรงกรรมสิทธิ์ได้ตัดสินไว้ 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

ตัวบทของอะบู ดาวูดว่า       สะอัดได้มาโดยขี่อยู่บนลาขาว เมื่อเขาเข้ามาใกล้มัสยิด ท่าน

นบีได้กล่าวแก่ชาวอันชอรว่า พวกท่านจงลุกขึ้นยืน ให้เกียรติแก่ผู้นำของพวกท่าน

อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันไม่เคยเห็นใครสักคนหนึ่งที่จะเหมือนทั้งด้านขบวน

อาการและความประพฤติปฏิบ้ติ กับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ยิ่งกว่าฟาติมะห์ ขออัลเลาะห์ ให้ใบหน้าของนางงดงาม ปรากฏว่าฟาติมะห์นั้นเมื่อเข้าไปหาท่านนบี ท่านจะลุกขึ้นและคว้ามือ ของนางไปจูบ และจับให้นางนั่งลงในที่นั้งของท่าน และปรากฏว่าท่านนบีนั้นเมื่อเข้าไปหานาง นางก็จะลุกขึ้นมาหาท่านคว้ามือของท่านแล้วเอาไปจูบ และให้ท่านนั่งลงในที่นั่งของนาง 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบู มิจลัซ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มุอาวิยะห์ได้ออกไปหาอิบนุ ซุบัยร์ และอิบนุ

อามิร, อิบนุอามิรได้ลุกขึ้นยืนแต่อิบนุชุบัยร์นั่ง มุอาวิยะห์ได้กล่าวแกอิบนุอามิรว่าจงนั่งลง

เถิด เพราะความจริงข้าพเจ้าไดยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดปรารกนาจะให้

พวกผู้ชายยกย่องเขาด้วยการยืน ให้เขาจงเตรียมที่พำนักของเขาจากไฟนรกเถิด

รายงานโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

และตัวบทข£)งติรมิซีว่า      ผู้ใดภูมิใจจะให้พวกผู้ชายให้เกียรติแก่เขาด้วยการยืนแล้ว

ให้เขาจงเตรียมที่พำนักของเขาจากไฟนรก เถิด[37]

เล่าจากอะบี อุมามะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า            ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ออกมาหา

พวกเรา โดยท้าวอยู่บนไม้ท้าว พวกเราได้ลุกขึ้นยืนไปหาท่าน และท่านได้กล่าวว่า            พวกท่าน

อย่ายืนเหมือนบุคคลที่ไม่ใช่ชาวอาหรับลุกขึ้นยืน โดยที่บางคนยกย่องอีกบางคน 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และอิบนุ มายะห์

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ไม่มีใครที่จะเป็นที่รักของพวกเขายิ่งกว่าท่านนบี

ซ.ล. และพวกเขาเมื่อเห็นท่าน พวกเขาจะไม่ลุกขึ้นยืน เพราะพวกเขารู้ว่าท่านไม่พอใจให้ ทำเช่นนั้น[38] 

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

การให้ผู้คนได้อยู่ในฐานะที่เหมาะสมกับพวกเขา

อัลเลาะห์ตาอาลาตรัสว่า “และพระองค์เป็นผู้ทรงบันดาลพวกเจ้าให้เป็นผู้สืบทอด อำนาจปกครองแผ่นดิน และทรงยกย่องพวกเจ้าบางส่วนให้เหนือกว่าอีกบางส่วน หลายขั้น[39] เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบพวกเจ้าในสิ่งที่พระองค์ได้ประทานให้แก่พวกเจ้า แท้จริงผู้อภิบาล ของท่าน ทรงลงโทษอย่างรวดเร็ว และแน่แท้พระองค์ทรงอภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง” อัลเลาะห์ ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ว่า ได้มีชายขอทานคนหนึ่งผ่านมาที่นาง และนางได้ให้เศษ ขนมบังแก่เขา และได้มีชายอีกคนหนึ่งผ่านมา บนร่างของเขามีเสื้อผ้าและดูมีความสำคัญ นาง จึงให้เขานั่งลง และเขาได้รับประทาน ต่อมาเขาได้ถามนางถึงการกระทำดังกล่าว นางได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงให้ผู้คนได้อยู่ในฐานะที่เหมาะสมกับพวกเขา393 

รายงานโดยมุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจากอะบี มูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงนับเป็นการถวายความ

ยิ่งใหญ่แด่อัลเลาะห์ คือ การยกย่องมุสลิมผู้อาวุโส และยกย่องผู้ท่องจำอัลกุรอาน สิ่งไม่ เลยเถิดในอัลกุรอานและเหินห่างจากอัลกุรอาน และคือการยกย่องผู้มีอำนาจที่มีดวามยุติธรรม 

รายงานโดย อะบู ดาวูด ด้วยสายรายงานที่หะซัน

การสัมผัสมือกัน

อิบนุ มัสอูด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า              ท่านนบี ซ.ล. ได้สอนตะชะห์ฮุดให้ข้าพเจ้า โดย

ฝ่ามือของฉันอยู่ในอุ้งมือทั้งสองข้างของท่าน

รายงานโดย บุคอรี

กอตาดะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่อะนัสว่า                  การสัมผัสมือกันเคยมีใน

สมัยอัครสาวกของท่านนบี ซ.ล. ไหม เขาตอบว่า ครับ (เคยมี)[40] รายงานโดย บุคอรี

และติรมิซี

เล่าจากอัลบะรออฺ บุตรอาซิบ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีมุสลิมสองคน ที่ได้พบกันและสัมผัสมือกัน นอกจากเขาทั้งสองจะได้รับการอภัย ก่อนที่เขาทั้งสองคนจะจากกัน 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อัลบะรออุ) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                เมื่อมุสลิมสองคนพบกัน

ได้สัมผัสมือกัน ได้กล่าวสรรเสริญอัลเลาะห์ และเขาทั้งสองได้วิงวอนขออภัยโทษต่อพระองค์ เขาทั้งสองจะได้รับการอภัยโทษ 

รายงานโดย อะบูดาวูด และอิบนุซุนนีย์

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อชาวยะมันได้มา ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า        ชาวยะมันได้มาแล้ว และพวกเขาเป็นพวกแรกที่ได้สัมผัสมือกัน 

รายงานโดย อะบู ดาวูด

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ชายคนหนึ่งของพวกเราได้พบกับพี่น้องของเขาหรือมิตรสหายของเขา เขาจะก้มให้ (พี่น้อง หรือมิตรสหาย) ได้ไหม ท่านตอบว่า ไม่, เขาได้กล่าวว่า จะเข้าสวมกอดีษละจูบเขาไหม ท่านตอบว่า ไม่[41] เขากล่าวว่าจะจับมือและสัมผัสมือกับเขาไหม ท่านตอบว่า ได้(ให้ทำเช่นนั้น)

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. เมื่อมีชายคนหนึ่งมุ่งหน้ามาที่ท่าน และสัมผัสมือกับท่าน, ท่านนบีจะไม่ถอนมือของท่านออกจากมือของเขา จนกว่าชายคนนั้น จะเป็นผู้ถอนออก และท่านจะไม่เบือนหน้าหนีหน้าเขา จนกว่าชายคนนั้นจะเป็นผู้เบือนหนี ท่าน และจะไม่เห็นท่านยื่นหัวเข่าทั้งสองของท่านไปข้างหน้าผู้ร่วมนั่งอยู่กับท่าน[42]

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า นับเป็นการแสดงความคารวะ อย่างสมบูรณ์ นั่นคือการจับมือ 

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดย ติรมิซี

การสวมกอด [43]

ได้มีผู้ถามอะบี ซัรร์ ร.ฎ. ว่า             ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เคยสัมผัสมือกับพวกท่าน

ไหม เมื่อพวกท่านได้พบกับท่าน เขากล่าวว่า             ฉันไม่ได้พบกับท่านนบืเลยนอกจากท่านจะ

สัมผัสมือกันกับฉัน และในวันหนึ่งท่านได้ส่งคนไปหาฉัน แต่ฉันไม่ได้อยู่กับครอบครัว เมื่อ ฉันมาฉันกึได้รับการบอกเล่าว่า ท่านนบืได้ส่งคนมาตามฉัน ฉันจึงได้ไปหาท่านโดยท่านอยู่ บนเตียง ท่านได้สวมกอดฉัน และการกระทำเช่นนั้นตียิ่งและตียิ่ง[44] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และอิหม่ามอะห์มัด

และอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า               เซด บุตร ฮาริษะห์ ร.ฎ. ได้มาถึงนครมะตีนะห็

ขณะที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. อยู่ในบ้านของฉัน ต่อมาเซดได้มาหาท่าน เขาได้เคาะประตู บ้าน ท่านนบี ซ.ล. ได้ลุกขึ้นไปหาเขาในสภาพเปลือยกายที่กำลังลากผ้านุ่ง[45] สาบานต่อ อัลเลาะห์ว่า ฉันไม่เคยเห็นท่านอยู่ในสภาพเปลือยกายก่อนหน้านี้ และหลังจากนี้ ท่านได้สวม กอดเขาและจูบเขา[46] 

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานทิ่หะซัน

การจูบมือและเท้า[47]

เล่าจากซอฟวาน บุตร อัซซาล ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชาวยะฮูดคนหนึ่งได้กล่าวแก่เพื่อน ของเขาว่า จงไปหานบีคนนี้กับเรา เพื่อนของเขาได้กล่าวว่า ท่านอย่าพูดว่า นบี เพราะความจริงถ้าพวกเขาได้ยินท่านพูด เขาจะมีสี่ตา ต่อมาเขาทั้งสองได้มาหาท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้ถามท่านถึงเก้าเครื่องหมายที่แจ้งชัด[48] ท่านตอบว่า ท่านทั้งหลายอย่านำสิ่งใดตั้งภาคีกับอัลเลาะห์, อย่าลักขโมย, อย่าละเมิดประเวณี, อย่าสังหารชีวิตที่อัลเลาะห์ทรงหวงห้ามนอกจากโดยเป็นธรรม, อย่านำคนบริสุทธิ์ไปหาผู้มีอำนาจเพื่อให้ฆ่าเขา อย่าให้คุณไสย, อย่ากินดอกเบี้ย อย่าใส่ร้ายผู้หญิงบริสุทธิ๋, อย่าหันหนีในวันที่เคลื่อนทัพ และพวกท่านจะต้อง ยึดถือข้อปฏิบัติของพวกยะฮูดโดยเฉพาะ คือ พวกเจ้าจะต้องไม่ละเมิดในวันเสาร์ ผู้เล่าได้ กล่าวว่า พวกเขาได้จูบมือและเท้าท่าน และคนทั้งสองได้กล่าวว่า                                                                                              เราขอปฏิญาณว่าท่านเป็นนบี ท่านนบีได้กล่าวว่า อะไรห้ามท่านไม่ให้ปฏิบัติตามฉัน พวกเขาตอบว่านบีดาวูด อ.ล. ได้วิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของเขาว่า ให้ลูกหลานของเขามีนบีอยู่ต่อไป และพวกเรา ก็กลัวว่า ถ้าหากเราปฏิบัติตามท่าน พวกยะฮูดจะสังหารพวกเรา 

รายงานโดย ติรมิซี และอะบู ดาวูด

เล่าจากอุมม์ อะบาน บุตรี อัลวาซิอฺ บุตร ซาริอฺ จากปู่ของหล่อน ร.ฎ. โดยที่ปู่ ของหล่อนอยู่ในคณะของพวก อับดิลกอยส์ได้กล่าวว่า เมื่อพวกเราได้เข้ามาสู่นครมะดีนะห์พวกเราได้รีบออกจากพาหนะของพวกเรา และจูบมือของท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. และจูบ เท้าของท่าน ส่วนอัลมุนซิร อัลอะชัจญ์ ได้คอยอยู่จนได้นำหีบใส่อาภรณ์ของเขามา และเขา ก็ได้สวมใส่เสื้อผ้าของเขาทั้งสองชิ้นนั้น จากนั้นได้ไปหาท่านนบี ซ.ล. ท่านได้กล่าวแก่เขาว่า ความจริงในตัวท่านมีสองประการที่อัลเลาะห์ทรงรักมันทั้งสอง คือ ความขันติ และความสุขุม อัลมุนซิรได้กล่าวว่า                     โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ฉันมีนิสัยทั้งสองอย่างนั้นเอง หรืออัลเลาะห์ได้ให้มันทั้งสองเป็นนิสัยของฉัน ท่านนบีตอบว่าแด่อัลเลาะห์ได้ให้ท่านมีนิสัยทั้งสองอย่างนั้น อัลมุนซิรได้กล่าวว่า    มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ ผู้ซึ่งได้ให้ทั้งสองประการนั้นเป็นนิสัยของฉันที่อัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์รักมันทั้งสองประการ[49] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

การจูบร่าง และระหว่างตาทั้งสองข้าง

เล่าจากอับติรเราะห์มาน บุตรอะบีลัยลา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อุซัยด์ บุตรฮุดอยร์ เคยเล่าให้พวกพ้องฟัง และทำให้พวกเขาหัวเราะ เพราะคำพูดสัพยอกที่มีอยู่ในตัวเขา ต่อมาท่าน นบี ซ.ล. ได้ใช้ไม้จิ้มเข้าที่สะเอวของเขา เขาได้กล่าวว่า ท่านจงให้ฉันแก้ตัว โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่า เจ้าจงแก้ตัวเถิด เขาได้กล่าวว่า ความจริงท่านสวมเสื้อโดยที่ฉัน ไม่มีเสื้อ ท่านนบี ซ.ล. จึงกลกเสื้อฃื้น เขาได้กอดรัดท่าน และจูบสีข้างของท่าน แล้วกล่าวว่า นี่แหละเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารกนา โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์

เล่าจากชะอฺบีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้พบกับยะอฺฟัร บุตรอะบีตอลิบ ท่านได้กอดเขาและจูบหว่างตาทั้งสองข้างของเขา[50] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด

คำกล่าวว่า ยินดีต้อนริบคนนั้น ๆ

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่ฟาติมะห์ อ.ล. ว่ายินดีต้อนรับบุตรสาวของฉัน

อุมม์ ฮานิอฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันได้มาหาท่านนบี ซ.ล. และท่านได้กล่าวว่า ยินดีต้อนรับ โอ้อุมม์ฮานิอฺ

อิกริมะห์ บุตรอะบียะฮั้ล ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.

ท่านได้กล่าวว่า     ยินดีต้อนรับ ผู้ขับขี่ชื่อพยพ[51] 

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ดออีฟ

คำกล่าวว่า ลับบัยก์ วะ ซะอุดัยก์[52]

เล่าจากอะบีอับดิรเราะห์มาน อัลฟิห์รีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า                ข้าพเจ้าได้ปรากฏตัวใน

สมรภูมิอุนัยน์ร่วมกับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ในวันที่ร้อนจัดที่สุด พวกเราได้ลงพักใต้ร่มไม้ และเมื่อตะวันคล้อย ข้าพเจ้าได้สวมเสื้อเกราะ ไดํขึ้นขี่ม้า และได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ขณะนั้นท่านกำลังอยู่ในกระโจมของท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ขอความสันติ ความเมตตาและเพิ่มพูนของอัลเลาะห์ จงมีแต่ท่านโอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ ได้เวลาเดินทางในตอนเย็นแล้ว ท่านตอบว่า   ใช่แล้ว จากนั้นท่านได้กล่าวว่า ลุกขึ้นเถิด บิลาล ลุกขึ้นเถิด บิลาล และบิลาลได้ลุกขึ้นจากใต้ร่มไม้คล้ายกับเงาของเขาเป็นเงาที่บินได้[53] เขาได้กล่าวว่า ครับท่าน พร้อมแล้วครับท่าน และข้าพเจ้าเป็นค่าไก่ตัวท่าน ท่านนบีได้กล่าวว่า จงผูกอานม้าให้ฉัน บิลาลจึงเอาอานออกมา เป็นอานที่ด้านข้างทั้งสองของมันทำจากใยอินทผลัม โดยไม่มีความ เย่อหยิ่งและผยองอยู่ในสองด้านของมันเลย[54] ท่านได้ขึ้นขี่และพวกเราก็ใด้ขึ้นขี่

เล่าจากอะบี ซัรร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า      ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า โอ้อะบา ซัรร์ ข้าพเจ้าตอบว่า ครับท่าน พร้อมแล้วครับท่าน โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ และข้าพเจ้าเป็นค่าไถ่ตัวท่าน หรือไถ่ตัวท่าน 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด

คำกล่าว บิดามารดาของฉํนเป็นค่าไถ่ตํวท่าน[55]

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า

“บิดามารดาของฉันเป็นค่าไก่ตัวท่าน” แก่ผู้ใดนอกจากแก่สะอัด ข้าพเจ้าได้ยินท่านกล่าวว่า จงยิงเถิด บิดามารดาของฉันเป็นค่าไก่ตัวท่าน[56] 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และตัวบทของติรมีซีว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ไม่เคยรวมบิดาและมารดาของท่านแก่ผู้ใด นอกจากแก่สะอัดบุตรอะบีวักกอส ท่านได้กล่าวแก่เขาในวันอุฮุดว่า   จงยิงเถิด

บิดามารดาของฉันเป็นค่าไก่ตัวท่าน, จงยิงเถิด โอ้เด็กหนุ่มวัยแรง

อะบูบักร์ ร.ฎ. ได้กล่าวแก่ท่านนบี ซ.ล. ว่า เราขอไถ่ตัวท่านด้วยบิดาและมารดา

ของเรา[57] 

รายงานโดย บุคอรี

คำกล่าว ขออัลเลาะห์ทรงคุ้มครองท่าน[58]

เล่าจากอะบี กอตาดะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. เคยอยู่ในการเดินทาง และ พวกเขาเถิดความกระหายนํ้า ประชาชนพากันรีบออกเดินทาง ข้าพเจ้าตามติดอยู่กับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ในคืนนั้น ท่านได้กล่าวว่า ขออัลเลาะห์ทรงคุ้มครองท่าน ด้วยสิ่งที่ท่านใช้ คุ้มครองนบีของท่านด้วยสิ่งนั้น[59]  

รายงานโดย มุสลิม และอะบู ดาวูด

คำกล่าว ขออัลเลาะห์ทรงให้ท่านหัวเราะเห็นฟัน

เล่าจากอับบาส บุตร มิรดาส จากบิดาของเขา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์

ซ.ล. หัวเราะ อะบูบักร์หรืออุมัรได้กล่าวแก่ท่านว่า ขออัลเลาะห์ทรงให้ท่านหัวเราะเห็น

ฟัน โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์415 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และอิบนุ มายะห์

ตอนที่สี่ มารยาทของการนั่งในสถานที่ต่าง ๆ

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาแล้วทั้งหลาย เมื่อมีผู้กล่าวแก่พวกท่านว่า จงขยายวงนั่งประชุม พวกท่านจงขยายเถิด แล้วอัลเลาะห์จะทรงให้พวกท่านได้รับ ความกว้างขวาง และเมื่อมีผู้กล่าวว่า จงแยกย้ายกันไป พวกท่านจงแยกย้ายเถิด[60] อัลเลาะห์ จะทรงยกฐานะของบรรดาผู้มีศรัทธาของพวกท่าน และบรรดาผู้มีความรู้ขึ้นหลายขั้น และ อัลเลาะห์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกกระทำ”

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                พวกเจ้าจะต้องระมัดระวัง

การนั่งตามทางสัญจร พวกเราได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ เราจำเป็นต้องให้เป็นที่นั่งพูด คุยกันในตามทาง ท่านได้กล่าวว่า                                                   ดังนั้นเมื่อพวกท่านไม่มีทางอื่น นอกจากต้องนั่งแล้ว พวก

ท่านก็จะต้องให้แก่ทางสัญจรนั้น สิทธิของมัน พวกเราได้ถามว่า สิทธิของมันคืออะไร ท่านตอบว่า คือ การลดสายตา ไม่แสดงอาการคุกคาม ตอบสลาม ให้ด้วยการดี ห้ามจากความชั่ว

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งจะต้องไม่จับให้ชายอีกคนหนึ่งลุกขึ้นจากที่นั่งของเขา แล้วเขานั่งลงแทนในที่นั้น[61] แต่พวกท่านจงขยายวง และทำให้กว้าง 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี

และมุสลิมได้เพิ่มเติมในรายงานหนึ่งว่า        อิบนุ อุมัรนั้น เมื่อมีชายคนใดลุกขึ้นจากที่นั่ง

ของเขาเพื่อให้เขานั่ง อิบนุ อุมัรจะไม่นั่งลงในที่นั่งนั้น[62]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดลุกขึ้นจากที่นั่งของเขา แล้วกลับมายังที่เดิมลือว่าเขามีสิทธิในที่นั้นยิ่งกว่า (คนอื่น)[63] 

รายงาน โดย มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากญาบิร บุตรซะมุเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเมื่อได้ไปหาท่านนบี ซ.ล. คนหนึ่งคนใดของพวกเราก็จะนั่งลงในที่ๆ เขาไปสุดลง[64] รายงานโดย เจาของสนน

และเล่าจากเขา (ญาบิร) ได้กล่าวว่า        ฉันเห็นท่านนบี ซ.ล. เอกเขนกอยู่บนหมอน

ทางด้านซ้ายของท่าน

รายงานโดย ติรมิซี

และเล่าจากเขา (ญาบิร) ได้กล่าวว่า           ท่านนบี ซ.ล. เมื่อได้ละหมาดฟัจร์แล้ว ท่าน

จะนั่งขัดสมาธิอยู่ในที่นั่งของท่าน จนกระทั่งตะวันขึ้นอย่างชัดเจน[65] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด 

อะบู สะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า               ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เมื่อท่านนั่งลง ท่านจะ

โอบเข่าด้วยมือทั้งสองข้างของท่าน[66] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และบขขาร

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตรอัมร์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่ยอมให้ชายคนใดีษยกระหว่างคนสองคน นอกจากจะได้รับอนุญาตจากบุคคลทั้งสอง[67] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และดรมข

และตัวบทของติรมีซีว่า ชายคนหนึ่งจะไม่ถูกนำ (ละหมาด) ในพื้นที่ๆ เขามีอำนาจ

อยู่ และจะต้องไม่มีใครนั่งบนสถานที่ๆ จำเพาะสำหรับเขา นอกจากโดยได้รับอนุญาตจาก เขาเสียก่อน[68]

การตั้งวงและขยายที่นั่งประชุม[69]

เล่าจากญาบิร บุตร ซะมุเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เข้าไปในมัสยิด ได้พบพวกเขานั่งล้อมวงเป็นวง ๆ ท่านได้กล่าวว่า ไม่สมควรที่ข้าพเจ้าจะพบเห็นพวกท่านแยกเป็นวง [70] 

รายงานโดยมุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจากอะบีสะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ที่นั่งประชุมที่ดีที่สุด คือที่ที่กว้างขวาง[71] 

รายงานโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอะบีมิจลัช ร.ฎ. ว่า มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่กลางวง ฮุซัยฟะห์ได้กล่าวว่า ถูกสาปแช่งโดยลิ้นของมุฮัมมัด หรืออัลเลาะห์ได้สาบแช่งโดยลิ้นของมุฮัมมัด ซ.ล. ผู้ที่นั่งอยู่ กลางวง 

รายงานโดย ติรมีซี และอะบู ดาวูด

ท่านั่งที่มักรูห์

เล่าจากชะรีด บุตร สุวัยด์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ผ่านฉัน ขณะที่ฉันกำลังนั่งอยู่อย่างนี้ คือ ฉันได้วางมือซ้ายของฉันไว้ข้างหลังฉัน และฉันได้ท้าวอยู่บนสะโพกมือ[72] ท่านได้กล่าวว่า ท่านจะนั่งด้วยท่านั่งของบรรดาผู้ที่ถูกโกรธกริ้วหรือ

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะบุ้ลกอซิม ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อคนหนึ่งคนใดของพวกท่านอยู่ในร่ม ต่อมาร่มนั้นได้ถอยห่างไปจากเขา ส่วนหนึ่งของเขาอยู่ ในกลางแดด และอีกส่วนหนึ่งอยู่ในร่ม ให้เขาจงลุกขึ้น 

รายงานหะดีษทั้งสอง โดย อะบู ดาวูด

การกระซิบ

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย เมื่อพวกท่านกระซิบกัน พวกท่านอย่ากระซิบกันด้วยบาปและความเป็นศัตรู และขัดขืนศาสนทูต แต่ให้พวกท่านจงกระซิบ

กันด้วยความดี และด้วยการยำเกรงอัลเลาะห์ และท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลเลาะห์ ผู้ซึ่งพวก ท่านจะต้องถูกนำไปรวมยังพระองค์”

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อพวกท่านมีสามคนสองคน

จะต้องไม่กระซิบกัน โดยที่คนที่สามของเขาทั้งสองไม่รู้ เพราะการเช่นนั้นจะทำให้เขาเข้าใจผิด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า          ท่านนบี ซ.ล. ได้กระซิบกับฉัน และฉันก็ไม่ได้

เล่ามันแก่ผู้ใด อุมม์สุลัยมีได้ถามฉัน แด่ฉันก็ไม่บอกมันแก่หล่อน[73] 

รายงานโดย บุคอรี และ มุสลิม

การจามและการกล่าวตอบคนที่จาม

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า          มีชายสองคนได้จามที่ท่านนบี ซ.ล. ท่านได้กล่าว

ตอบคำของคนหนึ่งจากในสอง โดยท่านไม่ได้กล่าวตอบคำของอีกคนหนึ่ง ผู้ที่ท่านไม่ได้กล่าวตอบ คำของเขาได้ถามว่า        ชายคนหนึ่งได้จาม และท่านได้กล่าวตอบคำของเขา ข้าพเจ้าก็จามแต่

ท่านไม่กล่าวตอบข้าพเจ้า ท่านนบีได้กล่าวว่า        ความจริงคนนี้เขาได้กล่าวคำสรรเสริญอัลเลาะห์

ส่วนท่านไม่ได้กล่าวคำสรรเสริญอัลเลาะห์[74] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. นั้น เมื่อท่านจามท่าน

จะเอามือหรือผ้าปิดหน้าของท่าน และใช่มันลดเสียงของท่าน 

รายงานโดยอะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะบีอัยยูบ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อคนหนึ่งคนใดของพวกท่านจามให้เขาจงกล่าวว่า “มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ทุกกรณี” และให้ผู้ที่จะตอบเขากล่าวว่า “ขออัลเลาะห์ได้โปรดเมตตาท่าน” และให้ตัวเขาเองกล่าวว่า “ขออัลเลาะห์ได้โปรดชี้นำแก่พวกท่าน และให้พวกท่านมีสภาพที่ดี”[75] 

รายงานโดย บุคอรี อะบู ดาวูด และติรมิซี 

ได้มีชายคนหนึ่งจามที่อิบนิ อุมัร ร.ฎ. แล้วเขาได้กล่าวว่า “มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ และขอความสันติจงมีแด่ท่านรอซูลุลเลาะห์” อิบนุ อุมัรได้กล่าวว่า และข้าพเจ้าก็จะต้องกล่าวว่า “มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ และขอความสันติจงมีแต่ท่านรอซูลุลเลาะห์” หรืออย่างนี้ท่านนบี ซ.ล. ไม่เคยสอนพวกเรา แด่ท่านได้สอนพวกเราให้กล่าวว่า      “มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ทุกกรณี” 

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจากซาลิม บุตร อุบัยด์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า[76] ชายคนหนึ่งได้จามที่ท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่าขอความสันติจงมีแด่พวกท่าน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า จงมีแด่ท่านและมารดาของท่านด้วย เมื่อคนหนึ่งของพวกท่านได้จามให้เขาจงกล่าวว่า “มวลการสรรเสริญ เป็นของอัลเลาะห้ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก” และให้ผู้ที่จะตอบเขากล่าวแก่เขาว่า “ขออัลเลาะห้โปรดเมตตาท่าน” และให้ตัวเขากล่าวว่า                                                                                              ขออัลเลาะห์โปรดอภัยให้พวกเรา และพวกท่าน 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จำนวนครั้งของการกล่าวตอบคนที่จาม [77]

เล่าจากซะละมะห์ บุตร อัลอักวะอุ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้จามที่ท่านนบี ซ.ล. ท่านได้กล่าวแก่เขาว่า “ขออัลเลาะห์โปรดเมตตาท่าน” หลังจากนั้นเขาได้จามอีกครั้ง

หนึ่ง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขาว่า ชายคนนี้เป็นหวัด 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และเล่าจากเขา (ซะละมะห์) ได้กล่าวว่า         ชายคนหนึ่งได้จามที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.

โดยข้าพเจ้าปรากฏตัวอยู่ด้วย ท่านได้กล่าวแก่เขาว่า “ขออัลเลาะห้โปรดเมตตาท่าน” หลัง

จากนั้นเขาได้จามอีกเป็นครั้งที่สอง และเป็นครั้งที่สาม ท่านจึงกล่าวว่า ชายคนนี้เป็นหวัด[78] 

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจากริฟาอะห์ อัซซุรอกีย์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การกล่าวตอบคำของคนที่จามนั้นสามครั้ง ดังนั้นถ้าหากท่านต้องการกล่าวตอบคำของเขาก็จงกล่าวตอบเถิด และถ้าหากท่านต้องการก็จงหยุดเถิด

รายงานโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี*35

อะบู ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า             จงกล่าวตอบคำพี่น้องของท่าน (ที่จาม) สามครั้ง

และที่เกินจากนั้นถือว่าเขาเป็นหวัด 

รายงานโดย อะบู ดาวูด

การกล่าวตอบกำของกาฟิรซิมมีย์ที่จาม

เล่าจากอะบี มูซา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า             พวกยะฮูดเคยจามที่ท่านนบี ซ.ล. โดยพวกเขา

หวังจะให้ท่านกล่าวแก่พวกเขาว่า      ขออัลเลาะห์โปรดเมตตาพวกท่าน แต่ท่านกล่าวว่า ขออัลเลาะห์โปรดนำพวกท่าน และให้พวกท่านมีสภาพที่ดี 

รายงานโดยอะบู ดาวูด ติรมิซี และฮากีม 

อัลเลาะห์รักการจาม และรังเกียจการหาวนอน[79] 

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ รักการจามและรังเกียจการหาวนอน ดังนั้นเมื่อคนใดของพวกท่านจาม และได้กล่าวคำสรรเสริญ อัลเลาะห์ เป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนที่ได้ยินจะต้องกล่าวแก่เขาว่า “ขออัลเลาะห้โปรดเมตตา ท่าน”[80] ส่วนการหาวนอนนั้น แน่แท้มันมาจากชัยฏอน ดังนั้นเมื่อคนใดของพวกท่านหาวนอน ให้เขาจงฝืนมันเท่าที่สามารถ และความจริงคนใดของพวกท่านเมื่อได้หาวนอน ชัยฏอนจะ หัวเราะเยาะเขา 

รายงานโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การหาวนอนมาจากชัยฏอน ดังนั้นเมื่อคนใดของพวกท่านหาวนอน ให้เขาจงระงับเท่าที่สามารถ และในรายงานหนึ่งว่า เมื่อคนใดของพวกท่านหาวนอนให้เขาจงฝืนมันเท่าที่สามารถ และเขาอย่าออกเสียงว่า ฮา ฮา เพราะความจริงการเช่นนั้นมันมาจากชัยฏอน ที่มันจะหัวเราะเยาะเขา  

รายงานโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะดีย์ บุตร ซาบิต จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การจาม การง่วงนอน และการหาวนอนในละหมาด เลือดระดู อาเจียน และ เลือดกำเดานั้นมาจากชัยฏอน[81] 

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานทฆอรีบ

ตอนที่ห้า ชื่อต่างๆ
ชื่อที่อัลเลาะห์ตาอาลารักที่สุด

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “พวกท่านจงเรียกพวกเขา โดยพาดพิงถึงบิดาของพวก เขา นั่นเป็นความยุติธรรมยิ่งสำหรับอัลเลาะห์ ถ้าหากพวกท่านไม่รู้จักพ่อของพวกเขา ให้เรียก พวกเขาเป็นพี่น้องของพวกท่านในเรื่องศาสนา และเป็นบริวารของพวกท่าน”

เล่าจากอะบี ดัรดาอฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริงพวกท่านจะถูกเรียกขานในวันกิยามะห์ด้วยชื่อของพวกท่าน และชื่อบิดาของพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจงตั้งชื่อของพวกท่านให้ดี 

รายงานโดย อะบู ดาวูด

อิบนุอับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า              แท้จริงอัลเลาะห์จะเรียกมนุษย์ในวันกิยามะห์ด้วย

ชื่อมารดาของพวกเขา เป็นการปกปิดจากพระองค์เหนือบ่าวของพระองค์[82] 

รายงานโดย ตอบรอนีย์ 

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงชื่อของพวกท่านที่อัลเลาะห์รักยิ่งคือ อับดุลเลาะห์ และ อับตุรเราะห์มาน 

รายงานโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจากอะบี วะหับ อัลญุชะอีย์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจงตั้งนามด้วยนามของบรรดานบี และนามที่อัลเลาะห์รักยิ่ง คือ อับดุลเลาะห์ และอับดุรเราะห์มาน และชื่อที่เป็นจริงที่สุดคือ ฮาริษและฮัมมาม[83] และชื่อที่น่าเกลียดที่สุดคือ ฮัรบ์และมุรเราะห[84] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และนะซาอี

ไม่ยินยอมให้ตั้งกุนยะห์[85]ด้วยอะบัลกอซิม

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า          ชายคนหนึ่งของพวกเราได้ลูกผู้ชาย และเขาได้ตั้งชื่อ

ลูกชายว่า อัลกอซิม ต่อมาพวกเขา (อัครสาวก) ได้กล่าวว่า พวกเราจะไม่ตั้งกุนยะห์ให้เขา

จนกว่าเราจะได้ถามท่านนบี ซ.ล. ท่านนบีได้กล่าวว่า พวกท่านจงตั้งชื่อด้วยชื่อของฉัน

แต่พวกท่านอย่าตั้งกุนยะห์ด้วยกุนยะห์ของฉัน444 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้เรียกแล้วกล่าวว่า โอ้ อะบั้ลกอซิม ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้หันไปทางเขา เขาได้กล่าวว่า                                          โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริงฉันไม่ได้ตั้งใจเรียกท่าน แท้ที่จริงฉันตั้งใจเรียกคนนั้นๆ ท่านนบีของอัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจงตั้งนามด้วยนามของฉัน แต่พวกท่านอย่าตั้งกุนยะห์ด้วยกุนยะห์ของฉัน 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งของพวกเราได้ลูกผู้ชาย และเขาได้ตั้งชื่อ ลูกชายของเขาว่า อัลกอซิม พวกเขาได้กล่าวว่า เราจะไม่เรียกกุนยะห์ของท่านว่า อะบิ้ลกอซิม และเราจะไม่ทำให้ท่านสบายใจ (ด้วยกุนยะห์นี้) ต่อมาเขาได้มาหาท่านนบี ซ.ล. และได้เล่า เรื่องนี้ให้ท่านฟัง ท่านได้กล่าวว่า จงตั้งนามบุตรชายของท่านว่า อับดุรเราะห์มาน[86] 

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

และเล่าจากเขา (ญาบิร) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดมีชื่อเหมือนฉัน ดังนั้นเขาอย่ามีกุนยะห์เหมือนกุนยะห์ของฉัน และผู้ใดมีกุนยะห์เหมือนฉัน ดังนั้นเขาอย่ามีนามเหมือน ฉัน

และอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า             โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ถ้าหากฉันได้ลูกผู้ชายภายหลังจาก

ท่านจากไป ฉันจะตั้งชื่อเขาว่ามุฮัมมัด และตั้งกุนยะห์ให้เขาด้วยกุนยะห์ของท่านได้ไหม ท่านได้กล่าวว่าได้  อะลีได้กล่าวว่า นั่นเป็นข้อผ่อนผันให้ฉัน[87] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยอะบู ดาวูด และติรมิซี

ชื่อที่ต้องห้าม[88]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชื่อที่ตกตํ่าที่สุดในวันกิยามะห์สำหรับอัลเลาะห์ คือ ชายคนหนึ่งที่มีนามว่า มะลิกุ้ล อัมลาก[89] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี 

และมุสลิมได้เพิ่มเติมว่า ไม่มีใครเป็นผู้มีอำนาจปกครองแท้จริงนอกจากอัลเลาะห์ตาอาลา[90]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                   ชายที่อัลเลาะห์

ทรงกริ้วที่สุดในวันกิยามะห์ และเป็นคนที่น่าขยะแขยงที่สุด ที่ถูกโกรธกริ้วที่สุด คือ ชายคนหนึ่ง ที่ถูกตั้งชื่อว่า “มะลิกุ้ลอัมลาก” ไม่มีผู้มือำนาจปกครองแท้จริง นอกจากอัลเลาะห์ตาอาลา 

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจากซะมุเราะห์ บุตร ญุนดุบ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คำที่อัลเลาะห์รักยิ่งมีสี่คือ[91] ถวายบริสุทธํ่แด่อัลเลาะห์, มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์, ไม่มีพระเจ้า ที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์, และอัลเลาะห์ทรงยิ่งใหญ่ จะไม่เป็นภัยแก่ท่าน ที่ท่านจะเริ่มด้วยประการใดจากทั้งสี่นั้น และท่านอย่าตั้งนามเด็กของท่านว่า ยะซาร อย่าตั้ง นามว่า รอบาห์ อย่าตั้งนามว่า นะยีห์ และอย่าตั้งนามว่า อัฟละห์ เพราะความจริงเมึ่อท่าน ถามว่า เขาอยู่ทีนั่นไหม และเขาไม่ได้อยู่ทีนั่น ก็จะมีผู้ตอบว่าไม่อยู่[92] ความจริงมันมีเพียงสี่ พวกท่านอย่าเพิ่มเติมให้ฉัน[93] 

รายงานโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ตั้งใจจะห้ามตั้งชื่อว่า ยะอฺลา, บะรอกะห์, อัฟละห์, ยะชาร, นาฟิอฺ และชื่อในทำนองนี้ หลังจากนั้นฉันเห็นท่านนิ่งเกี่ยวกับข้อเหล่านี้ โดยท่านไม่ได้พูดใดๆ จนกระทั่งถูกเก็บชีวิต[94] และอุมัรก็ตั้งใจจะห้ามจากการตั้งนามดังกล่าว แต่ในภายหลังก็ปล่อยมัน 

รายงานโดย มุสลิม และอะบู ดาวูด

ตัวบทของอะบุดาวูดว่า           ถ้าหากฉันมีชีวิตอยู่ ถ้าหากอัลเลาะห์ตาอาลาทรงประสงค์

ฉันจะห้ามประชากรของฉันที่พวกเขาจะถูกตั้งชื่อว่า “นาฟิอฺ, อัฟละห์, บะรอกะห์” เพราะชายคนหนึงเมื่อมาถามว่าที่นั่นมีบะรอกะห์ไหม ? พวกเขาจะตอบว่า ไม่มี

การตั้งชื่อทารกแรกคลอดและตะห์นีก ด้วยอินทผลัม[95] 

เล่าจากอะบี มูซา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันได้ลูกผู้ชายคนหนึ่ง จึงได้นำไปหาท่านนบี

ซ.ล. ท่านได้ตั้งนามให้ว่า อิบรอฮีม และท่านได้ตะห์นีกเด็กนั้นด้วยอินทผลัม และได้ขอดุอาอฺให้เด็กนั้นได้รับความเพิ่มพูน และท่านได้ส่งเด็กคืนให้ฉัน และปรากฎว่าเขาเป็นลูกคนโต ของฉัน 

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากซะมุเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เด็กทุกคนถูกประกันอยู่ด้วยอะกีเกาะห์ของเขา ที่จะต้องเชือดให้เด็กนั้น.ในวันที่เจ็ดจากวันคลอด และจะถูกโกนหัว และตั้งชื่อ 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี *55

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันได้นำอับดุลเลาะห์ บุตรอะบีตอลฮะห์ ไปหาท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ขณะที่คลอดออกมา และท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. อยู่ในเสื้อคลุม กำลังทาอูฐของท่านด้วยนํ้ามันดิน ท่านได้กล่าวว่า ท่านมีอินทผลัมไหม  ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า มีครับ ฉันได็ยื่นอินทผลัมหลายผลให้ท่าน และท่านได้โยนมันเข้าปากและเคี้ยวมัน หลังจากนั้นท่านได้เปิดปากเด็ก และบวนมันลงในปากเด็ก เด็กก็เริ่มขยับลี้นดูดมัน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า สิ่งที่ชาวอันชอรรักมาก คือ อินทผลัม และท่านได้ตั้งชื่อเขาว่า อับดุลเลาะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

และท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เคยมีเด็กถูกนำมาหาท่าน ท่านจะขอดุอาอให้ความเพิ่ม พูนแก่เด็กๆ และจะตะห์นีกให้พวกเขา 

รายงานโดย มุสลิม

เปลี่ยนชื่อที่น่าเกลียด ด้วยชื่อที่ดี

เล่าจากสะอีด บุตรมุซัยยิบ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ร.ฎ. ว่า เขาได้มาหาท่าน นบี ซ.ล. ท่านได้ถามว่า ท่านชื่ออะไร                                        เขาตอบว่า ชื่อฮัซน์ (ที่ดอน) ท่านนบีได้กล่าวว่าท่านชื่อสะฮั้ล (ที่ราบ) เขาได้กล่าวว่า ฉันจะไม่ยอมเปลี่ยนชื่อที่บิดาของฉันได้ตั้งให้ฉัน บุตรมุซัยยิบกล่าวว่า        ความยากลำบาก ยังคงอยู่กับพวกเราต่อไปภายหลังจากเขา 

รายงานโดย มุคอรี อะบู ดาวูด และอะห์มัด

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ลูกสาวคนหนึ่งของอุมัรถูกตั้งชื่อว่า อาซิยะห์(หญิงชั่ว) ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ตั้งชื่อให้หล่อนว่า ญะมีละห์ (หญิงที่งดงาม) 

รายงาน โดย มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากมุฮัมมัด บุตรอัมร์ บุตรอะตออฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งชื่อบุตรสาวของข้าพเจ้าว่า บัรเราะห์ (ความดี) ซัยนับ บุตรสาวอะบีซะละมะห์ ได้กล่าวแก่ฉันว่า แท้จริง ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้ห้ามชื่อนี้ โดยที่ฉันก็ถูกตั้งชื่อว่าบิรเราะห์ ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านอย่ารับรองตัวของพวกท่านเองว่าบริสุทธิ้ อัลเลาะห์ทรงทราบดี ว่าใครเป็นคนดีของพวกท่าน พวกเขาจึงกล่าวว่า เราจะตั้งชื่อหล่อนว่าอะไร ท่านตอบว่าพวกท่านจงตั้งชื่อหล่อนว่า ซัยนับ (หญิงที่อ้วนท้วน)

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ยุวัยริยะห์ ก็เคยมีชื่อว่า บัรเราะห์ ท่าน

รอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้ตั้งชื่อให้หล่อนว่า ยุวัยริยะห์ ท่านรังเกียจที่จะมีผู้กล่าวว่า ท่านได้ ออกมาจากบัรเราะห์ (ความดี) 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจากอุซามะห์ บุตร อัคดะรีย์ ร.ฎ. ว่า ชายคนหนึ่งถูกตั้งชื่อว่า อัศรอม (ขาด) เขา เป็นคนหนึ่งของคณะที่มาหาท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านชื่ออะไร เขาตอบว่า ฉันชื่ออัศรอม ท่านนบีได้กล่าวว่า แต่ท่านชื่อซุรอะห์ (เมล็ดพืช)

เล่าจากชุรอยห์ บุตร ฮานิอฺ จากบิดาของเขา ร.ฎ. ว่า เมื่อเขาได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์ พร้อมกับพวกพ้องของเขา ท่านได้ยินพวกนั้นเรียกกุนยะห์ของเขาว่า อะบิ้ลฮะกัม (บิดา ของผู้ยุติธรรม ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เรียกเขามาแล้วกล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์คือ

อัลฮะกัม (ผู้ทรงยุติธรรม)[96] และการตัดสินต้องกลับคืนสู่พระองค์ เหตุใดท่านจึงถูกตั้งกุนยะห์ว่า อะบิ้ลฮะกัม เขาตอบว่า เพราะพวกพ้องของฉัน เมื่อพวกเขาขัดแย้งกันในเรื่องใด ก็จะพากัน

มาหาฉัน และฉันก็จะทำหน้าที่ตัดสินระหว่างพวกเขา และทั้งสองฝ่ายก็พอใจ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ช่างดีอะไรเช่นนี้ ท่านมีลูกชายไหม เขาตอบว่า ฉันมีลูกชายชื่อ ชุรอยห์,

มุสลิม และอับดุลเลาะห์ ท่านถามว่า ใครเป็นคนโตที่สุด ฉันตอบว่า ชุรอยห์ ท่านนบีจึงกล่าวว่า ท่านคือ อะบูชุรอยห์[97]

มัสรูกได้กล่าวว่า        ฉันได้พบกับอุมัร ร.ฎ. เขาได้ถามว่า ท่านคือใคร ฉันตอบว่า มัสรูก บุตร อัลอัจดะอฺ อุมัรได้กล่าวว่า                                        ฉันได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า อัลอัจดะอฺ คือ ชัยฏอน[98]

รายงานหะดีษทั้งสามโดย อะบู ดาวูด

และท่านนบี ซ.ล. ได้เปลี่ยนชื่อ อัลอาส, อะซีซ, อะตะละห์, ชัยฏอน, อัลฮะกัม, ฆุรอบ, ฮุบาบ[99] และซิฮาบ ท่านได้ตั้ชื่อเขาว่าฮิชาม[100] และได้ตั้งชื่อฮัรบ์ (สงคราม) ว่า ซัลม์ (สันติ) ได้ตั้งชื่อ มุดตอยิอฺ (นอน) ว่า มุนบะอิช (ลุกขึ้น) และแผ่นดินที่ถูกเรียกว่า อะฟิเราะห์ ท่านก็ได้เปลี่ยนเป็น คอดิเราะห์[101] และแผ่นที่ดินที่มีชื่อว่าทางในหุบเขาที่หลงผิด ท่าน ได้ตั้งชื่อว่า ทางในหุบเขาที่ชี้นำ ตระกูลซินยะห์และตระกูลมุฆวิยะห์ ได้ตั้งชื่อทั้งสองว่า ตระกูล ริชดะห์[102] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด

ฉายาและกุนยะห์[103]

เล่าจากอะบี ยะบีเราะห์ บุตร อัดดอห์หาก ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ในหมู่พวกเราในตระกูล ซะละมะห์ อายะห์นี้ได้ลงมา ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เข้ามาหาเรา โดยไม่มีใครในหมู่ พวกเราเลย นอกจากจะมีคนละสองชื่อหรือสามชื่อ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า โอ้คนนั้นคนนั้น พวกเขาจะกล่าวว่า อย่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริงเขาจะโกรธจากการ เรียกชื่อนื้ อายะห์นี้จึงได้ลงมาว่า “พวกท่านอย่าเรียกกันด้วยฉายาต่างๆ นับเป็นความชั่วที่สุด คือ การเรียกขานด้วยชื่อที่ชั่วช้าภายหลังจากศรัทธาแล้ว[104]  

รายงานโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากสะหั้ล บุตร สะอัด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ความจริงชื่อที่อะลี ร.ฎ. รักที่สุดคือ อะบูตุรอบ (พ่อดิน) และเขาจะดีใจมากที่ถูกเรียกด้วยชื่อนี้ และไม่มีใครตั้งชื่อเขาว่าอะบูตุรอบ นอกจากท่านนบี ซ.ล. วันหนึ่งอะลีเคืองกับฟาติมะห์ จึงออกไปนอนตะแคงอยู่ชิดกำแพงใน มัสยิด ท่านนบี ซ.ล. ได้ตามเขาไป และพบว่าอะลีนอนตะแคง หลังเต็มไปด้วยฝน ท่านนบี ซ.ล. จึงลูบฝุ่นออกจากหลังของเขา แล้วกล่าวว่า จงลุกขึ้นนั่งเถิด โอ้ อะบูตุรอบ 

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เข้ามาหาพวกเรา ฉัน มีน้องชายคนหนึ่งมีกุนยะห์ (ชื่อเล่น) ว่า อะบูอุมัยร์ เขามีนกเล็กๆ ตัวหนึ่งที่กำลังเล่นอยู่กับมัน46J และต่อมามันได้ตายไป ท่านนบี ซ.ล. เข้ามาหาพวกเรา แลเห็นเขากำลังโศกเศร้า ท่านจึง กล่าวขึ้นว่า เขาเป็นอะไรไปพวกเขาตอบว่า นกของเขาตาย ท่านนบีได้กล่าวว่า โอ้อะบูอุมัยร์ นกน้อยมันทำอะไร

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ เพื่อนหญิงของฉันทุกคนมี กุนยะห์ ท่านนบีได้กล่าวว่า เธอจงตั้งกุนยะห์ด้วยบุตรชายของเธอ อับตุลเลาะห์เถิด ต่อมา อาอิชะห์จึงถูกตั้งกุนยะห์ว่า อุมม์ อับดิ้ลลาห์[105] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด ด้วยสายรายงานที่ศอลิฮะห์

ยินยอมให้เรียกชื่อด้วยการตัดอิกษรท้ายออก

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่ฉันว่า โอ้ อาอิชุ นี่คือญิบรีล ฝากบอกสลามมายังเธอ ฉันได้กล่าวว่า ขอความสันติและความเมตตา ของอัลเลาะห์จงมีแด่เขา

อะบูฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่ฉันว่า โอ้อะบูฮิรร์

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อุมม์สุลัยม์ ได้รวมอยู่ในสัมภาระของการเดินทาง

และมีอันยะชะห์ ทาสของท่านนบี ซ.ล. ไล่ต้อนอูฐที่บรรทุกพวกหล่อน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า โอ้ อันยัช จงไล่ต้อนขวดช้าๆ หน่อย467 

รายงานโดย บุดอรี ในเรื่องนี้ และมุสลิมในเรื่องความประเสริฐต่างๆ

ตอนที่หก

โคลงกลอน ลำนำเพลง และที่เหมือนกบทั้งสอง โคลงกลอนในต้นตอของมนนั้นไม่สมควร [106]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และเราไม่ได้สอนโคลงกลอนให้แก่เขา และมันไม่ควร แก่เขา สิ่งที่ถูกนำมายังเขาไม่ใช่อื่นใด นอกจากคำสอน และกุรอานอันแจ้งชัด”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และบรรดานักโคลงกลอนทั้งหลาย จะมีก็แต่บรรดา ผู้ล่วงละเมิดเท่านั้นที่คล้อยตามพวกเขา[107] เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเขาจะกระทำการละเมิดในทุกแหล่งชุมนุม[108] และพวกเขาจะพูดสิ่งที่ไม่ทำ นอกจากบรรดาผู้มีศรัทธา ปฏิบัติคุณความดี ต่างๆ รำลึกถึงอัลเลาะห์อย่างมากมาย และพวกเขาป้องกันตัวเองไว้ได้ภายหลังจากลูกละเมิด” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การที่ท้องของใครจากพวกท่านจะเต็มด้วยนํ้าหนอง ก็ยังดีสำหรับเขายิ่งกว่าท้องของเขาเต็มด้วยโคลงกลอน[109] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะที่พวกเราเดินทางร่วมกับท่านนบี ซ.ล. ที่อัรจ์นั้น[110] ได้มีนักกวีคนหนึ่งขับโคลงกลอน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจงจับชัยฏอนหรือจงคว้าชัยฏอนไว้[111] การที่ท้องของใครคนหนึ่งจะเต็มด้วยน้ำหนองจะ เป็นการดีแก่เขายิ่งกว่าเต็มท้องด้วยโคลงกลอน 

รายงานโดย มุสลิม

ท่านนบีซ.ล. ได้กล่าวโคลงกลอนโดยการเลียนแบบ

เล่าจากญุนดุบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะที่ท่านนบี ซ.ล. กำลังเดินอยู่ ได้มีหินก้อนหนึ่งมาโดนท่าน และท่านก็ล้มลง นิ้วของท่านมีเลือดไหล ท่านได้กล่าว (เป็นโคลง) ว่า เธอ ไม่ใช่อื่น นอกจากเป็นนิ้วที่เลือดไหล และสิ่งที่เธอประสพก็อยู่ในวิถีทางของอัลเลาะห์ 

รายงานโดย บุคอรี

และอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้ถูกถามว่า ท่านนบี ซ.ล. เคยเลียนแบบคำโคลงกลอนบ้างไหม            อาอิชะห์ตอบว่า ท่านนบีเคยเลียนแบบคำโคลงของอิบนิรอวาฮะห์ โดยท่านจะเลียนแบบกล่าวว่า และจะนำข่าวมาสู่ท่าน ผู้ที่ท่านไม่ได้ขอร้อง 

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า คำที่สัจจะที่สุดที่นักกวีได้พูดไว้ก็คือ คำของละบีดที่ว่า พึงทราบเถิด ทุกสิ่งนอกจากอัลเลาะห์เป็นสิ่งเหลวไหล, และอุมัยยะห์ บุตร ศอลต์ เกือบเข้ารับอิสลาม[112]  

รายงานโดย บุคอรึ มุสลิม และติรมิซี

ส่วนหนึ่งของคำโคลงเป็นปรัชญา[113]

เล่าจากอุบัยย์ บุตรกะอับ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว ส่วนหนึ่งของคำกวีนั้นเป็น ปรัชญา [114] 

รายงานโดย บุคอรี อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อาหรับชนบทคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ.ล. และได้เริ่มพูดโดยใช้ถ้อยคำหนึ่ง[115] ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงส่วนหนึ่งของการพรรณานั้นเป็นมนต์สะกด[116] แท้จริงส่วนหนึ่งของความรู้นั้นคือความไม่รู้ และแท้จริง ส่วนหนึ่งของคำโคลงนั้นคือปรัชญา และส่วนหนึ่งของถ้อยคำนั้นคือความอับจน ศออฺศออะห์ ได้กล่าวว่า          คำพูดของท่านนบีที่ว่า “แท้จริงส่วนหนึ่งของการพรรณานั้นเป็นคุณไสย์” คือชายคนหนึ่งมีหนิ้สิน แต่เขาพรรณาเก่งกว่าเจ้าหนี้ เท่ากับเขาได้ใช้มนต์สะกดผู้คนด้วยการพรรณา ของเขา และเขาก็ได้สิทธินั้นไป ส่วนคำของท่านนบีที่ว่า “แท้จริงส่วนหนึ่งของความรู้ คือ ความไม่รู้” คนที่มีความรู้นั้นอาจตกเป็นภาระแก่ความรู้ของเขาสิ่งที่เขาไม่รู้ และการเช่นนั้น ก์จะทำให้เขาไม่รู้480 ส่วนคำพูดของท่านนบีที่ว่า “แท้จริงส่วนหนึ่งของคำโคลงเป็นปรัชญา” คือ เป็นคำสอน เป็นอุธาหรณ์ที่ประชาชนจะให้เป็นบทเรียน ส่วนคำของท่านทีว่า “แท้จริง ส่วนหนึ่งของถ้อยคำนั้นเป็นความอับจน” คือการที่ท่านเสนอถ้อยคำของท่านกับคนทีไม่มีกิจใน เรื่องนั้น หรือกับคนที่ไม่ต้องการถ้อยคำนั้น[117]  

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด

การว่ากาพย์กลอนต่อหน้าท่านนบี ซ.ล.

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริงพี่น้องของพวกท่านจะไม่พูดถ้อยคำหยาบคาย เขาคืออิบนุ รอวาฮะห์ ร.ฎ. เขาได้กล่าวว่า [118]

ในหมู่เรามีท่านรอซูลุลเลาะห์อ่านคัมภีร์ของอัลเลาะห์

ขณะเมื่อมีแสงอรุณที่รู้จักดีกระจายแสงขื้นมา[119] 

ท่านทำให้พวกเราเห็นทางนำ หลังความมืดบอด และหัวใจของเรา[120] 

เชื่อมั่นต่อท่านว่า สิ่งที่ท่านได้พูดไว้นั้นต้องเถิดขื้นจริง 

ท่านจะนอนโดยสีข้างของท่านห่างจากที่นอน

เมื่อยามที่สีข้างของพวกผู้ไร้ศรัทธาหนักอยู่บนที่นอน[121] 

รายงานโดย บุคอรี 

เล่าจากฮัชชาน บุตร ซาบิต (ร.•ด.) ว่า เขาใต้กล่าวแก่อะบีฮ1รอยเราะห์ว่า ฉันขอถาม ท่านด้วยอัลเลาะห์ว่า ท่านเคยได้ยินท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. พูดไหมว่า “โอ้ ฮัชชาน เจ้าจงโต้ตอบป้องกันศาสนทูตของอัลเลาะห์[122] ข้าแต่อัลเลาะห์ได้โปรดสนับสนุนเขาด้วยวิญญาณ บริสุทธิ์[123] อะบุฮุรอยเราะห์ตอบว่า ครับ เคยได้ยิน

และเล่าจากเขา (ฮัชซาน) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ขออนุญาตท่านนบี ซ.ล. ในการด่าพวกผู้ตั้งภาคี ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ถามว่า แล้วตระกูลของฉันจะเป็นอย่างไร ฉันตอบว่า ฉันจะต้องถอนท่านออกจากพวกเขา เหมือนเส้นขนที่ถูกถอนออกจากแป้งทีนวดแล้ว[124]

อุรวะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันได้ไปด่าฮัซซานที่อาอิชะห์ ร.ฎ. อาอิชะห์ได้กล่าวว่า อย่าด่าเขา เพราะความจริงเขาได้เคยปกป้องท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. มาแล้ว 

รายงานหะดีษ ทั้งสามโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. เคยตั้งมิมบัรไว้ให้ฮัชซานในมัสยิด เพื่อให้เขายืนโอ้อวดและปกป้องท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.[125] และท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. จะกล่าวว่าแท้จริงอัลเลาะห์จะทรงสนับสนุนฮัซซานด้วยวิญญาณบริสุทธิ์ ในสิ่งที่เขาโอ้อวด และปกป้องรอซูลุลเลาะห์ 

รายงานโดยอะบู ดาวูด และติรมิซี 

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้เข้าสู่,มักกะห์ในการประกอบพิธี อุมเราะห์กอดออฺ (ชดใช้) โดยมีอับดุลเลาะห์ บุตร รอวาฮะห์ เดินอยู่ข้างหน้าท่าน กล่าวว่า 

โอ้ตระกูลพวกผู้ไร้ศรัทธาจงเปิดทางให้ท่านนบี

ในวันนี้ เราจะฟันพวกท่านโดยอัลกุรอาน 

เป็นการฟันที่จะทำให้หัวหายจากที่ตั้งของมัน

จะทำให้เพื่อนรักพลัดพรากจากเพื่อนรักของเขา

อุมัรได้กล่าวแก่เขาว่า         โอ้ อิบนุรอวาฮะห์ ท่านอยู่ต่อหน้าท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. อยู่ในแผ่นดินศักดิ้สิทธิ์ของอัลเลาะห์ โดยท่านกล่าวคำกลอน (หรือ) ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว แก่อุมัรว่า ปล่อยเขาเถิด โอ้อุมัร ถ้อยคำเหล่านี้มันรวดเรืวยิ่งกว่าคมธนูเสียอีก[126]

ญาบิร บุตร ซะมุเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันได้นั่งร่วมกับท่านนบี ซ.ล. มากกว่าร้อยครั้ง โดยบรรดาอัครสาวกของท่านกล่าวคำกลอน[127] และทบทวนสิงต่างๆ ทีเป็นเรื่อง ในสมัยญาฮิลียะห์ โดยท่านนบีนิ่งเฉย และบางครั้งท่านก็ยิ้มพร้อมกับพวกเขา[128]

รายงามหะดีษ ทั้งสองโดย ติรมิซี

เล่าจากอัมร์ บุตร ชะรีด ร.ฎ. จากบิดาของเขาได้กล่าวว่า ฉันได้น้งไปข้างหลังท่านนบี ซ.ล. ต่อมาท่านได้กล่าวว่า ท่านจำคำกลอนของอุมัยยะห์ บุตร บะนีอัศศอลต์ได้บ้างไหม                                     ฉันตอบว่า ครับ จำได้ ท่านได้กล่าวว่า จงกล่าวมันเถิด ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวมันบาทหนึ่ง ท่านได้กล่าวว่า                                          จงกล่าวมันเถิด จากนั้นฉันก็ได้กล่าวมันอีกบาทหนึง ท่านได้

กล่าวว่า จงกล่าวมันเถิด ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวมันหนึ่งร้อยบาท[129]

รายงามโดย มุสลิม

ขยายความเกินความจำเป็นควรแก่การตำหนิ 

และการใช้คำพูดเท่าที่จำเป็นควรแก่การสรรเสริญ[130]

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ทรงพิโรธคนที่มีคำพูดลึกซึ้งจากพวกผู้ชายที่ใช้ลิ้นของเขาแทรก เหมือนที่วัวใช้ลิ้นของมัน แทรก[131] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดศึกษาเล่าเรียน การใช้คำพูด เพื่อใช้มันผูกมัดจิตใจของพวกผู้ชายหรือผู้คน อัลเลาะห์จะไม่รับจากเขาในวันกิยามะห์ทั้งการอะมั้ลที่เป็นฟัรฎู และสุนัด 

รายงานโดย อะบู ดาวูด

อิบนุ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายสองคนมาจากทางตะวันออก และได้กล่าวสุนทรพจน์ ประชาชนพากันหลงใหล ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงส่วนหนึ่งของการ พรรณานั้นเป็นมนต์สะกด หรือแท้จริงบางส่วนของการพรรณานั้นเป็นมนต์สะกด[132]  

รายงาน โดยบุคอรี และอะบู ดาวูด

ชายคนหนึ่งได้ลุกขึ้นยืนและพูดมาก อัมร์ บุตร อัลอาส ได้กล่าวว่า ถ้าหากเขาจะพูดแต่เพียงปานกลาง มันก็จะเป็นการดีแก่เขา ข้าพเจ้าไดยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าเห็นว่า หรือข้าพเจ้าถูกบัญชาให้ใช้คำพูดเท่าที่จำเป็น เพราะความจริงการใช้ คำพูดเท่าที่จำเป็นนั้นเป็นความดี 

รายงานโดย อะบู ดาวูด ด้วยสายรายงานทศอลิฮะห์

การไล่ต้อนอูฐโดยใช้เสียงเพลง

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. อยู่ในการเดินทางโดย ท่านมีทาสผิวดำคนหนึ่งมีข้อเรียกว่า อันญะชะห์ เขาไล่ต้อนอูฐโดยใช้เสียงเพลง ท่านรอซูลุลเลาะห์

ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขาว่า พ่อมหาจำเริญ โอ้อันญะชะห์ เจ้าจงทำช้าๆ กับบรรดาขวด[133]

รายงาน โดย บุคอรี และมุสลิม

รุบัยยิอฺ บุตรสาว มุเอาวิซ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มาและเข้ามาหาฉัน ในตอนเช้าที่ฉันถูกส่งตัว ท่านได้นั่งบนที่นอนของฉันเหมือนที่ท่านนั่งอยู่กับฉัน บรรดาทาสหญิงได้เริ่มตีกลองของพวกหล่อน และรำพันถึงบรรพบุรุษของฉันที่ถูกสังหารใน วันบัดร์จนถึงที่ทาสหญิงคนหนึ่งได้กล่าวว่า และในหมู่พวกเรามีนบีทีรู้สิ่งจะเถิดขึ้นในวันพรุ่ง ท่านนบีไดักล่าวว่า เธอจงทิ้งสิ่งนี้ และให้เธอกล่าวสิ่งที่เธอได้เคยกล่าวมาก่อน[134] 

รายงานโดยบุคอรี อะบุดาวูด และติรมิซี 

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงลำนำเพลงนั้นจะทำให้อาการตีสองหน้างอกงามในหัวใจ[135] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และอิบนุ อะบิดดุนยา

เล่าจากอะบี อุมามะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าขายทาสหญิงที่ขับร้อง และอย่าซื้อพวกหล่อน และอย่าสอนพวกหล่อน ไม่มีความดีใดๆ ในการ ซื้อขายพวกหล่อน ราคาของพวกหล่อนเป็นสิ่งต้องห้าม ในเรื่องดังกล่าวที่อายะห์นี้ลูกประทาน ลงมา “และมนุษย์บางคนนั้นคือผู้ที่ซื้อคำพูดไร้สาระ เพื่อจะทำให้หลงผิดจากวิถีทางของอัลเลาะห์ จนจบอายะห์[136] 

รายงานโดย ติรมิซี และอหม่ามอะห์มัด

การเล่นลูกเตาและนกพิราบ เบีนส่งต้องห้าม[137]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า       “โอ้ บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย แท้จริงสุรา การพนัน

การเชื่อดสัตว์บูชายันต์ การเสี่ยงทาย เป็นสิ่งโสโครกจากกิจกรรมของชัยฏอน พวกท่านจงออก ห่างมัน แน่นอนพวกท่านจะประสบความสำเร็จ” อัลเลาะห์ผู้ยิงใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากบุรอยดะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดเล่นลูกเต๋า เหมือนกับ เอามือของเขาชุบในเนื้อสุกรและเลือดของมัน[138] 

รายงานโดย มุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจากอะบี มูซา ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดเล่นลูกเต๋า เท่ากับผู้นั้นทรยศต่ออัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์[139]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้เห็นชายคน หนึ่งติดตามนกพิราบตัวเมีย ท่านได้กล่าวว่า ชัยฏอนตัวผู้กำลังติดตามชัยฏอนตัวเมีย[140] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด และอิบนุ มายะห์

การละเล่นที่ศาสนาอนุมัติ[141]

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ในวันอีดที่ฉันได้มีพวกซูดานกำลังละเล่นด้วย

โล่และหอก     บางทีฉันอาจถามท่านรอซูลุลเลาะห์ และบางทีท่านได้กล่าวว่า เธออยากดูหรือ      ฉันตอบว่า ค่ะ อยากดู ท่านนบีจึงจับฉันยืนอยู่ข้างหลังท่านโดยแก้มของฉันแนบอยู่

กับแก้มของท่าน และท่านกล่าวว่า เล่นต่อไป โอ้พวกบะนีอัรฟิดะห์[142] จนกระทั่งเมื่อฉัน

เบื่อท่านจึงกล่าวว่า      พอเถิด ฉันตอบว่า ค่ะ ท่านได้กล่าวว่า เธอจงไปได้แล้ว[143] 

รายงานโดย บุคอร และมุสลิม

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อท่านรอซูลัลเลาะห์ได้มายังนครมะตีนะห์ พวก ฮะบะชะห็ได้ละเล่นด้วยหอกของพวกเขา เพราะดีใจที่ท่านมา[144] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า        ฉันเคยเล่นตุ๊กตารูปผู้หญิง บางครั้งท่านรอซูลุลเลาะห์

ซ.ล. เข้ามาหาฉัน โดยที่ฉันยังมีพวกเด็กผู้หญิงอยู่ด้วย เมื่อท่านเข้ามาเด็กผู้หญิงเหล่านั้นก็ จะออกไป และเมื่อท่านนบีออกไป เด็กผู้หญิงเหล่านั้นก็จะเข้ามา[145] 

รายงานโดยบุคอรี และอะบู ดาวูด 

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กลับเข้ามาหานางจากสงคราม ตะบูกหรือคอยบัร โดยที่หิ้งวางของของนางมีม่านปิดอยู่ ลมได้พัดทำให้ม่านเปิดออกเห็นเด็ก ผู้หญิงของอา!)1ชะห์ที่เป็นของเล่น[146] ท่านได้ถามว่า อะไรนึ่ โอ้อาอิชะห์ อาอิชะห์ตอบว่า ลูกสาวของฉันเอง[147] และท่านนบีได้เห็นอยู่ในท่ามกลางตุ๊กตาเด็กผู้หญิง ม้ามีสองปีกทำจากเศษผ้า ท่านได้ถามว่าฉันเห็นอะไรอยู่ตรงกลางตุ๊กตาเหล่านั้น อาอิชะห์ตอบว่า ม้าท่านได้กล่าวว่า        อะไรที่อยู่บนตัวม้า อาอิชะห์ตอบว่า ปีกสองข้าง ท่านนบีกล่าวว่า ม้ามีสองปีกหรือ อาอิชะห์ตอบว่า                                           ท่านไม่เคยได้ยินหรือว่า ม้าของนบีสุลัยมานนั้นมีหลายปีก อาอิชะห์กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. หัวเราะจนฉันเห็นฟันของท่าน 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า            พวกเจ้าได้เข้ามาสู่นครมะตีนะห์ และได้

ลงพักอยู่ที่ตระกูลบะนีอัลฮาริษ บุตร คอชรอจ613 สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ฉันได้อยู่บนเปลที่ อยู่ระหว่างเสาสองต้น ต่อมาแม่ของฉันได้มาและจับฉันลง โดยฉันมีผมห้อยลงมาถึงหู614 และใน รายงานหนึ่งว่า         และมารดาของฉันได้นำฉันเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง มีผู้หญิงชาวอันชอรอยู่

หลายคน พวกผู้หญิงเหล่านั้นได้กล่าวขอความตีและมีศิริมงคล ให้มีโชคตี และมารดาของฉัน ได้มอบตัวฉันให้แกพวกผู้หญิงเหล่านั้น พวกหล่อนได้สระหัวฉัน และทำให้ฉันดูตีขึ้น และไม่ มีใครทำให้ฉันกลัว นอกจากท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ในตอนเช้า615 

รายงานโดยบุคอรี และอะบู ดาวูด

ตอนที่เจ็ด

ถ้อยคำที่นับว่าเป็นมารยาท616 ได้แก่คำที่พวกเขากล่าวว่า อํมมาบะอฺดุ617

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ออกไปในคืนหนึ่ง กลางเดือน รอมาดอน เมื่อท่านได้ละหมาดพัจร์แล้วได้หันหน้ามาทางประชาชน ได้กล่าวคำปฏิญาณแล้ว กล่าวว่า     อัมมาบะอุตุ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจากเซด บุตร อัรกอม ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้ลุกขึ้นยืนในท่ามกลางพวกเรา กล่าวสุนทรพจน์ ท่านได้กล่าวคำสรรเสริญอัลเลาะห์ สดุดีพระองค์ อบรมและตักเตือน หลังจากนั้นได้กล่าวว่า อัมมาบะอฺดุ 

รายงานโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า               ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวสุนทรพจน์ในตอนเย็น ท่านได้กล่าวคำสรรเสริญอัลเลาะห์ได้สดุดีพระองค์ แล้วกล่าวว่า  อัมมาบะอฺดุ จะมีสภาพเป็นอย่างไร พวกผู้ชายที่ตั้งเงื่อนไขต่างๆ ขึ้น โดยที่มันไม่มีอยู่ในคัมภีร์ของอัลเลาะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ได้แก่คำที่พวกเขากล่าวว่า พวกเขาคาดว่า

อุมม์ ฮานิอฺ บุตรสาว อะบีตอลิบ ได้เข้ามาหาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ในปีที่พิชิต มักกะห์นางได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ลูกชายมารดาของฉัน[148] คาดหมายว่า เขาจะฆ่าชายคนหนึ่งที่ฉันได้ให้ความปลอดภัยแก่เขาแล้ว ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า เราจะให้ความปลอดภัยแก่คนที่เธอได้ให้ความปลอดภัย โอ้อุมม์ฮานิอุ[149] 

รายงานโดย บุคอรี และ อะบู ดาวูด

เล่าจากอะบีมัสอูด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า พาหนะที่เลวของชายคนหนึ่งก็คือคำที่ว่า พวกเขาคาดว่า[150] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ อิหม่ามอะห์มัด

ได้แก่คำที่พวกเขากล่าวว่าเจ้าจงพินาศ[151]หรือพ่อมหาจำเริญ

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้เห็นชายคนหนึ่งไล่ต้อนอูฐตัวเมีย ท่าน ได้กล่าวว่าจงขี่มันเถิด เขากล่าวว่า มันเป็นอูฐตัวเมีย ท่านกล่าวว่า จงขี่มันเถิด เขากล่าวว่า มันเป็นอูฐตัวเมีย ท่านกล่าวว่า จงขี่มันเถิด เจ้าจะพินาศ 

รายงานโดย บุคอรี

และได้กล่าวมาแล้วในเรื่องการไล่ต้อนอูฐด้วยเสียงเพลงว่า “พ่อมหาจำเริญ”[152] โอ้ อันญะชะห์ จงช้าๆ กับบรรดาขวด

ได้แก่คำที่พวกเขากล่าวว่า มือขวาของท่านจะกระทบดิน[153]

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ลุงของฉันที่เถิดจากการดื่มนมได้ขออนุญาตเข้ามาหาฉัน หลังจากเรื่องฮิญาบได้ลูกประทานลงมา ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า                         สาบานต่ออัลเลาะห์ ฉันจะ ไม่อนุญาตให้เขา จนกว่าจะได้ถามท่านนบี ซ.ล. เพราะเขาไม่ได้ให้นมฉันดื่ม แต่ผู้ที่ให้นมฉัน ดื่ม คือภรรยาของน้องชายเขา ฉันจึงได้ถามท่านนบี ซ.ล. ท่านตอบว่า เธอจงอนุญาตให้เขาเถิด เพราะความจริงเขาเป็นลุงของเธอ มือขวาของเธอจะต้องกระทบดิน[154] 

รายงานโดย บุคอรี

ได้แก่คำที่คนหนึ่งกล่าวแก่อีกคนหนึ่งว่า “ไปให้ไกล”

อัลเลาะฮ์ตะอาลา ได้ตรัสแก่ชาวนรกว่า “พวกเจ้าจงไปให้ไกลในขุมนรก พวกเจ้าอย่า มาเจรจากับเรา”

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่อิบนิ ซออิดว่า ความจริงฉันได้ซ่อนสิ่งหนึ่งไว้เพื่อเจ้า มันคืออะไร เขาตอบว่า ดุคค์ ท่านได้กล่าวว่า จงไปให้ไกล625 

รายงานโดย บุคอรี และอิหม่ามอะห์มัด

ผู้เป็นนายอย่าพูดว่า “ทาสของฉัน” และทาสก็อย่าพูดว่า “ผู้ครอบครองของฉัน” 

เล่าจากอะบีฮรอยเราะฮ์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนหนึงคนใดของพวก ท่านจะต้องไม่พูดว่า “ทาสชายของฉัน” และ “ทาสหญิงของฉัน” พวกท่านทุกคนเป็นข้าทาส ผู้ชายของอัลเลาะฮ์ และบรรดาผู้หญิงของพวกท่านทุกคน ก็เป็นข้าทาสหญิงของอัลเลาะฮ์ แต่ ให้เขาจงพูดว่า[155] “เด็กผู้ชายของฉัน” และ “เด็กผู้หญิงของฉัน” และ “ชายหนุ่มของฉัน” และ “หญิงสาวของฉัน” 

รายงานโดย มุสลิม และ อะบู ดาวูด

ตัวบทของอะบู ดาวูดว่า คนหนึ่งคนใดของพวกท่านจะต้องไม่พูดว่า “ทาสชายของฉัน” และ “ทาสหญิงของฉัน” และทาสจะต้องไม่กล่าวว่า “ผู้ครอบครองที่เป็นชายของฉัน” และ “ผู้ครอบครองที่เป็นหญิงของฉัน” แต่ให้ผู้เป็นเจ้าของกล่าวว่า “ชายหนุ่มของฉัน” และ “หญิง สาวของฉัน” และให้ทาสกล่าวว่า “นายผู้ชายของฉัน” และ “นายผู้หญิงของฉัน” เพราะความ จริงพวกท่านถูกปกครอง และผู้ครอบครองก็คือ อัลเลาะฮ์ตะอาลา

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะฮ์) จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า คนหนึ่งคนใดของ พวกท่านอย่าพูดว่า จงให้นํ้าดื่มแก่ผู้ครอบครองของท่าน จงให้อาหารแก่ผู้ครอบครองท่าน และ จงจุดไฟให้แสงสว่างแก่ผู้ครอบครองท่าน และคนหนึ่งคนใดของพวกท่านอย่าพูดว่า “ผู้ครอบครองฉัน” แต่ให้เขาจงพูดว่า “นายของฉัน” และ “เจ้านายของฉัน” และคนหนึงคนใดของพวก ท่านอย่าพูดว่า “ทาสชายของฉัน” และทาสหญิงของฉัน แต่ให้เขาจงกล่าวว่า “เด็กหนุ่มของฉัน” “เด็กสาวของฉัน” “เด็กของฉัน”[156] 

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากบุรอยดะฮ์ ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านรอซูลลุ้ลเลาะฮ์ ซ.ล. ได้ทล่าวว่า ท่านทั้ง หลายอย่ากล่าวแก่คนตีสองหน้าว่า “นาย” เพราะท้าหากเขาเป็นนาย ความจริงพวกท่านได้ทำ ให้พระผู้อภิบาลของพวกท่าน ผู้ทรงยิ่งใหญ่ และเกรียงไกร กริ้วโกรธ[157] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ นะซาอี

ท่านทั้งหลายอย่าด่ากาลเวลา[158]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะฮ์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ตะอาลา ได้ ตรัสว่า พวกลูกหลานของอาดัมจะด่ากาลเวลา ทั้งที่เราคือกาลเวลา ทั้งกลางคืนและกลางวัน อยู่ในมือของเรา[159]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรตรัสว่า ลูกหลานของอาดัมคุกคามเรา โดยด่ากาลเวลา ทั้งที่เราคือกาลเวลา เราจะพลิกผันกลางคืนและกลางวัน[160]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะฮ์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ และเกรียงไกรตรัสว่า ลูกหลานของอาดัม คุกคามเราโดยจะกล่าวว่า โอ้ กาลเวลาที่ชั่วร้าย ดังนั้น คนใดคนหนึ่งของพวกท่าน จะต้องไม่กล่าวว่า โอ้ กาลเวลาที่ชั่วร้าย เพราะความจริง เราคือกาลเวลา[161] และเราจะพลิกผันเวลากลางคืนและเวลากลางวัน และถ้าเราประสงค์ก็จะ จับมันทั้งสองไว้[162] 

รายงานโดย มุสลิม และ อหม่ามอะห์มัด

อย่าพูดว่า “อารมณ์ของฉํนชั่วร้าย” และอย่าเรียกองุ่นว่า “กะรอม”

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนหนึ่งคนใดของพวกท่านจะ ต้องไม่พูดว่า “อารมณ์ของฉันชั่วร้าย” แต่ให้เขาจงพูดว่า “อารมณ์ของฉันปั่นป่วน”[163]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะฮ์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าเรียก องุ่นว่า “กะรอม” เพราะ.ความจริง “กะรอม” นั้น คือผู้ชายมุสลิม[164]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะฮ์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนหนึ่งคนใดของ พวกท่านจะต้องไมพูดว่า “กะรอม” เพราะแท้จริง “กะรอม” นั้น คือ หัวใจของผู้มีศรัทธา636

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

อย่าพูดว่า เป็นสิ่งที่อัลเลาะฮ์ และคนๆ นั้น ประสงค์

เล่าจากฮุซัยฟะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าพูดว่า “เป็นสิ่งที่อัลเลาะฮ์และคน ๆ นั้นประสงค์” แต่จงพูดว่า “เป็นสิ่งที่อัลเลาะฮ์ต่อมาก็คนๆ นั้น ประสงค์”637

เล่าจากอะบี อัลมะลีห์ ร.ฎ. จากชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า ฉันนั่งซ้อนท้ายอยู่บนสัตว์

ตัวเดียวกับท่านนบี ซ.ล. ต่อมาสัตว์พาหนะของท่านก็พลาด ฉันได้กล่าวขึ้นว่า ชัยฎอนจงพินาศ ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านอย่าพูดว่า ชัยฏอนจงพินาศ เพราะความจริงเมื่อท่านกล่าวเช่น นั้น ชัยฏอนจะลำพองตัวจนใหญ่เหมือนบ้าน และมันจะกล่าวว่า ด้วยพลังของข้า638 แต่ให้ ท่านกล่าวว่า “ด้วยพระนามของอัลเลาะฮ์” เพราะความจริงเมื่อท่านกล่าวเช่นนั้น ชัยฏอนจะ ต้อยตํ่าลง จนเหมือนกับแมลงวัน639 

รายงานหะดิษทั้งสองโดยอะบดาวูด และนะซาอี

บทสุดท้าย

ในเรื่องการกำเนิดสรรพสิ่งต่าง ๆ

เล่าจาก อุบาดะห์ บุตร ซอมิต ร.ฎ. ว่า เขาได้กล่าวแก่บุตรของเขาว่า โอ้ลูกรัก ความจริงเจ้าจะไม่ได้พบกับแก่นแท้ ของการศรัทธา จนกว่าเจ้าจะรู้ว่า แท้จริงสิ่งที่ได้เถิดกับเจ้านั้น มันจะไม่พลาดไปจากเจ้า และสิ่งที่พลาดไปจากเจ้ามันก็จะไม่เถิดขึ้นกับเจ้า ฉันได้ยิน ท่านรอซูลุลเลาะฮ์ ซ.ล. กล่าวว่า แท้จริง สิ่งแรกที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ทรงสร้างขึ้นก็คือ ปากกา640 พระองค์ได้ตรัสแก่มันว่า เจ้าจงเขียนเถิด ปากกาได้กล่าวว่า ข้าแต่ผู้อภิบาลของข้าฯ ข้าฯจะเขียนสิ่งใดๆ พระองค์ตรัสว่า เจ้าจงเขียนกำหนดการของทุกสิ่งจนกว่าจะถึงวันกิยามะฮ์ โอ้ลูกรัก แท้จริงฉันได้ยินท่านรอซูลัลเลาะฮ์ ซ.ล. กล่าวว่า ผู้ใดเสียขีวิตไป โดยไม่ได้ยึดมั่น ต่อสิ่งนื้เขาก็ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของฉัน 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี [165]

เล่าจาก อิมรอน บุตร ฮุศอยน์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เข้าไปหาท่านนบี ซ.ล. และข้าพเจ้าได้ผูกอูฐของข้าพเจ้าไว้ที่ประตู ต่อมาได้มีประชาชนจากพวกตระกูลบะนีตะมีมมาหาท่าน และท่านได้กล่าวว่า จงรับข่าวดีเถิด โอ้พวกตระกูลบะนีตะมีม641 พวกเขาได้กล่าวว่า ความจริง ท่านได้แจ้งข่าวดีแก่เราแล้ว ดังนั้นท่านจงให้แก่พวกเราสองเท่าเถิด642  หลังจากนั้นได้มีประชาชนจากชาวยะมัน เข้ามาหาท่าน และท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงรับข่าว ดีเถิด โอ้ ชาวยะมันในเมื่อพวกบะนีตะมีมไม่ยอมรับมัน พวกเขาได้กล่าวว่า เรายอมรับแล้ว โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะฮ์ พวกเขาได้กล่าวว่า ที่พวกเรามาหาท่านก็เพื่อจะเรียนถามท่านถึงเรื่องนี้643 ท่านได้กล่าวว่า อัลเลาะฮ์ทรงมีอยู่แล้ว โดยไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากพระองค์ และบัลลังก์ ของพระองค์อยู่เหนือนํ้า และพระองค์ได้บันทึกทุกสิ่งไวํในซิกร์644 และพระองค์ได้ทรงสร้าง ชั้นฟ้าและแผ่นดิน ต่อมาได้มีผู้ร้องเรียกขึ้นว่า อูฐของเจ้าไปแล้ว โอ้ บตรของฮุซอยน์ ข้าพเจ้า จึงได้ออกไปและพบว่า มันได้ถูกเปลวแดดตัดขาดไปเสียแล้ว645

อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า             ท่านนบี ซ.ล. ไดํยืนขึ้นในท่ามกลางพวกเรา ณ ที่แห่งหนึ่ง

และท่านได้บอกแก่พวกเราถึงการเริ่มกำเนิด จนถึงชาวสวรรค์ได้เข้าสู่ที่พำนักของพวกเขา และ ชาวนรกได้เข้าสู่ที่พำนักของพวกเขา ได้จดจำเรื่องนี้เอาไว้ได้ผู้ที่จดจำ และลืมมันผู้ที่ลืม 

รายงาน หะดีษทั้งสองโดยบุคอรี ในเรื่องเริ่มสร้าง

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มะลาอิกะห์ถูกสร้างขึ้นจากรัศมี และ “ญาณ” ถูกสร้างจากเปลวไฟ646 และอาตัม ถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่ได้ถูกพรรณา ลักษณะไว้แก่พวกท่านในคำดำรัสของอัลเลาะห์ตะอาลา ที่ว่า และ “แน่แท้เราได้สร้างมนุษย์ ขึ้นมาจากต้นกำเนิดที่มาจากดิน” 

รายงานโดยมุสลิม และ อิหม่ามอะห์มัด

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่ออัลเลาะห์ได้สร้างอาดัมขึ้น และเป่าวิญญาณเข้าไปในร่างของอาตัม เขาได้จามแล้วกล่าวว่า มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ เขาได้กล่าวคำสรรเสริญอัลเลาะห์ โดยอนุมัติของพระองค์ พระผู้อภิบาล ของอาดัม ได้กล่าวแก่เขาว่า อัลเลาะห์ไดํให้ความเมตตาแก่ท่านแล้ว โอ้ อาดัม เจ้าจงไปยังมวล มะลาอิกะฮ์เหล่านั้น ไปยังพวกหนึ่ง ของมะมาอิกะฮ์ที่นั่งอยู่ เจ้าจงกล่าวว่า ขอความสันติ จงมีแด่พวกท่าน647 พวกเขาได้กล่าวว่า : และความสันติและความเมตตาของอัลเลาะฮ์จงมี แด่ท่าน จากนั้นอาดัมได้กลับไปหาพระผู้อภิบาลของเขา และพระองค์ได้ตรัสขึ้นว่า แท้จริง นี่[166] คือ คำคารวะของท่านและเป็นคำคารวะของลูกหลานของท่านในหมู่พวกเขากันเอง และอัลเลาะฮ์ได้ตรัสแก่อาดัม โดยที่สองมือของพระองค์กำอยู่ว่า เจ้าจงเลือกเอาข้างหนึ่งจากทั้ง สองตามที่เจ้าต้องการ อาดัมได้กล่าวว่า ฉันได้เลือกเอามือขวาของพระผู้อภิบาลของฉัน โดย มือทั้งสองข้างของพระผู้อภิบาลของฉันเป็นความโปรดปรานและมีมงคลหลังจากนั้น พระองค์ ได้แบมือขวาออก ได้พบว่า ในนั้นมีอาดัมและลูกหลานของเขา อาดัมได้กล่าวว่า ข้าแด่พระผู้ อภิบาลของฉัน พวกเขาเหล่านี้เป็นใคร "อัลเลาะฮ์ตรัสว่า พวกเขาเหล่านี้ คือ ลูกหลานของท่าน ได้พบว่ามนุษย์ทุกคนได้ถูกบันทีกอายุของเขาอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้างของเขา และ ได้พบว่า ในหมู่พวกเขามีชายคนหนึ่งที่มีรัศมีที่สุดในหมู่พวกเขา หรือ เป็นคนที่มีรัศมีที่สุด ของพวกเขา อาดัมได้กล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาล ผู้นี้เปันใคร พระองค์ตอบว่า ผู้นี้เป็น ลูกหลานของท่าน เขาคือดาวูด เราได้กำหนดให้เขามีอายุสี่สิบปี อาดัมได้กล่าวว่า ข้าแด่พระผู้ อภิบาลได้โปรดเพิ่มอายุให้เขา พระองค์ตรัสว่า นั่นเป็นสิ่งที่เราได้กำหนดให้เขาแล้ว อาดัมได้ กล่าวว่า       ข้าแด่พระผู้อภิบาล แท้จริงฉันขอยกอายุให้เขาหกสิบปี พระองค์ตรัสว่า เราได้จัดการให้ท่านแล้ว ผู้เล่าได้กล่าวว่าหลังจากนั้น อาดัมได้ถูกให้พำนักอยู่ในสวรรค์ เท่าที่อัลเลาะฮ์ประสงค์ ต่อมาเขาก็ถูกขับออกจากสวรรค์ และอาดัมก็ได้นับ (อายุ) ของตัวเอง ผู้เล่า ได้กล่าวว่า ต่อมามะละกุ้ลเมาต์ก็ได้มาหาอาดัม[167] และอาดัมได้กล่าวแก่ มะละกุ้ลเมาค์ว่า ท่านรีบต่วน เกินไป ความจริงข้าพจ้าถูกกำหนดให้มีอายุหนึงพันปี มะละกุ้ลเมาต์กล่าวว่า ถูกแล้ว แต่ท่านได้ ยกให้แก่บุตรของท่าน คือ ดาวูด หกสิบปี อาดัมได้ปฏิเสธ และลูกหลานของเขาก็ปฏิเสธ อาดัม ลืมและลูกหลานของเขาก็ลืม ผู้เล่าได้กล่าวว่า และนับตั้งแต่วันนั้น ก็ได้ถูกบัญชาให้มีการบันทึก และให้มีพยาน 

รายงานโดย ติรมิซี ในตอนท้ายของการบรรยายอัลกุรอานด้วยสายรายงานที่หะซัน

ชั้นต่าง ๆ ของลูกหลานอาดัม[168]

เล่าจากอะบี มูซา ร.ฎ. ว่า ท่านรอซูลุลเลาะฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะฮ์ ได้ทรงสร้างอาดัมจากกำหนึ่งที่พระองค์ได้กำมันขึ้นมาจากแผ่นดินทั้งหมด ลูกหลานของอาดัม จึงขึ้นอยู่ทับขนาดของแผ่นดิน มีบางคนผิวแดง ผิวขาว และผิวดำ และปานกลาง อยู่ระหว่าง นั้น มีคนเรียบง่ายเศร้าโศก ชั่วร้าย ดีงามและปานกลางอยู่ระหว่างนั้น 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะบี สะอีด อัลคุดรีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะฮ์ ซ.ล. ได้ละหมาดกับพวกเราในวันหนึ่งเป็นละหมาดอัสร์ จากนั้นท่านได้ลุกขึ้นยืนกล่าวสุนทรพจน์ ท่านไม่ได้ ทิ้งสิ่งใดไว้ ที่จะเถิดขึ้นจนถึงวันกิยามะฮ์ นอกจากท่านได้แจ้งให้พวกเราทราบถึงมัน จดจำมัน ไว้ได้บุคคลที่จดจำมันได้และลืมมัน บุคคลที่ลืมมัน และปรากฏอยู่ในสิ่งที่ท่านได้พูดก็คือพึง ทราบเถิด แท้จริงลูกหลานของอาดัม ถูกบังเถิดขึ้นมามีหลายชั้นต่าง ๆ กัน บางคนของพวกเขา คลอดออกมาเป็นผู้มีศรัทธา มีชีวิตอยู่อย่างผู้มีศรัทธา และเสียชีวิตอย่างผู้มีศรัทธา บางคน ของพวกเขาคลอดออกมาเป็นผู้ไร้ศรัทธา มีชีวิตอยู่อย่างผู้ไร้ศรัทธา และเสียชีวิตอย่างผู้ไร้ศรัทธา บางคนของพวกเขาคลอดออกมา เป็นผู้,มีศรัทธา มีชีวิตอยู่อย่างผู้มีศรัทธา และเสียชีวิตอย่างผู้ ไร้ศรัทธา และบางคนของพวกเขา คลอดออกมาเป็นผู้ไร้ศรัทธา มีชีวิตอย่อยางผู้ไร้ศรัทธา และเสียชีวิตอย่างผู้มีศรัทธา พึงทราบเถิด แท้จริงพวกเขาบางคนโกรธยาก หายเร็ว[169] บางคน โกรธง่าย หายเร็ว ดังนั้น ประการนี้ ทดแทนด้วยประการนั้น[170] พึงทราบเถิด แท้จริงพวกเขาบางคน โกรธง่าย หายยาก พึงทราบเถิด และคนที่ดีที่สุดของพวกเขาคือ คนที่โกรธยากหายเร็ว พึงทราบเถิด และคนที่เลวที่สุดของพวกเขากิคือ คนที่โกรธง่าย หายยาก พึงทราบเถิด และแท้จริงบางคนของพวกเขา เป็นคนชดใช้ที่ดี ทวงถามที่ดี[171] บางคนของพวกเขา เป็นคนชดใช้ที่เลว ทวงถามที่ดี ดังนั้น ประการนี้ แลกเปลี่ยนกับประการนั้น พึงทราบเถิด และแท้จริงบางคนของพวกเขา เป็นคนชดใท้ที่เลว ทวงถามที่เลว พึงทราบเถิด และคนที่คีที่สุดของพวกเขา คือ คนชดใท้ที่ดี ทวงถามที่ดี และ บางคนชอบพวกเขาเป็นคนชดใช้ที่ดี ทวงถามที่เลว ดังนั้น ประการนี้แลกเปลี่ยนกับประการนั้น พึงทราบเถิด และคนที่มีชั่วที่สุดของพวกเขา คือ คนชดใท้ที่เลว ทวงถามที่เลว[172] พึงทราบ เถิดว่า และแท้จริงความโกรธนั้นคือถ่านไฟที่อยู่ในหัวใจของลูกหลานอาดัม[173] พวกท่านไม่เห็น ถ่านไฟในดวงตาทั้งสองข้าง และเส้นข้างลำคอที่พองโตของเขาหรือ ดังนั้นผู้ใดที่รู้สึกถึงสิ่งหนึ่ง จากการดังกล่าว ให้เขาจงติดอยู่กับพื้นดิน อะบูสะอีด ได้กล่าวว่า พวกเราหันมองดูดวงตะวัน ว่า ยังคงเหลืออยู่อีกบ้างไหม ท่านรอซูลุลเลาะฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า พึงทราบเถิด ความจริง ไม่ได้เหลืออยู่อีกแล้ว จากโลกดุนยานี้ ในสิ่งที่พ้นจากมัน นอกจากเหมือนกับสิ่งที่ยังคงเหลือ อยู่ในวันนี้ ในส่วนที่มันได้ผ่านพ้นไป[174]  

รายงานโดย ติรมิซี ในเรื่องวิกฤติการณ์ต่างๆ ด้วยสาย รายงานที่เศาะฮีหะห์

ภาควิกฤติการณ์ต่าง ๆ และเครื่องหมายต่าง ๆ ของกิยามะห์656

มีเจ็ดบทและบทสุดท้าย

บทที่หนึ่ง เตือนให้ระวังวิกฤติการณ์ต่าง ๆ

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และพวณจ้าจงกลัววิกฤติภารณ์ที่มันจะไม่ประสพแก่บรรดา ผู้ทุจริต จากพวกเจ้าเป็นการเฉพาะ และพวกเจ้าพึงทราบเถิดว่า แน่แท้อัลเลาะห์นั้นทรงลงโทษ อย่างรุนแรง[175] อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ ทรงสัจจะ

เล่าจากซัยนับ บุตร ญะห์ชฺ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ตื่นนอนโดยมีใบหน้า แดงกลํ่า พลางกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์ ความพินาศ จะเป็นของชาวอาหรับ อันเนื่องมาจากความชั่วที่ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ได้ถูกเปิดแล้ว ในวันนั้น เขื่อนที่กั้น ยะอฺญูจ และ มะอฺญูจ เท่านี้และซุฟยานได้กำมือทำเป็นรูปเก้าสิบหรือหนึ่งร้อย[176]โดยมีผู้ถามว่าพวกเราจะพินาศไหม ทั้งที่ในหมู่[177]พวกเราคนที่ดีๆ เขาตอบว่า ใช่ ต้องพินาศ เมื่อมีความชั่วร้ายมากมาย 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี 

เล่าจากอุมม์ ซะละมะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ตื่นนอนใน

คืนหนึ่งอย่างตกใจ พลางกล่าวว่า       ถวายบริสุทธิ้แด่อัลเลาะห์ อะไรบ้างที่อัลเลาะห์ได้ประทาน

ลงมา จาก คลังสมบัติต่างๆ 659 และอะไรบ้างที่พระองค์ ได้ประทานลงมาจากวิกฤติการณ์ ต่างๆ660 ใครบ้างจะปลุกเจ้าของห้องหับเหล่านี้[178] มีเป็นจำนวนมาก ผู้ที่สวมใส่อาภรณ์ในโลก นี้ เป็นผู้เปลือยกายในอาคิเราะห[179] 

รายงานโดย บุคอรี และ ฅิรมิซี

เล่าจาก อาอิซะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ร่างของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. สะดุ้ง ขณะท่าน นอนหลับ พวกเราจึงได้ถามท่าน และท่านได้ตอบว่า ส่างประหลาดเหลือ ที่มีมนุษย์กลุ่ม หนึ่งจากประชากรของฉันที่พวกเขาจะมุ่งมายังบัยดุ้ลเลาะฮ์แห่งนี้[180] พร้อมด้วยชายคนหนึ่ง

จากเผ่าทุเรซ ที่ความจริงเขาได้ลี้ภัยมาอยู่ ณ บุ้ยตุลเลาะฮ์ จนกระทั่งเมื่อพวกเขาอยู่ในทุ่งกว้าง พวกเขาจะถูกแผ่นดินสูบ พวกเขาได้กล่าวขึ้นว่า                                              โอ้ท่าน-ร่อ1ซูลุลเลาะฮ์ แท้จริงหนทางนั้น บางที

มันจะรวบรวมมนุษย์ ท่านกล่าวว่า    ถูกแล้ว ในหมู่พวกเขามีทั้งผู้ทีเห็นสัจธรรม มีทั้งคนทีถูก

บังคับ และคนที่เดินทาง พวกเขาจะพินาศในรูปแบบเดียวกัน และพวกเขาจะออกมาจากแผ่นดิน แหล่งต่าง ฤ กัน อัลเลาะห์จะบังเถิดพวกเขาขึ้นมาอีก ตามเจตนาของพวกเขา[181] รา(หานโด!]?เคน เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                                                                                                     เมื่ออัลเลาะฮ์ได้ลงโทษ

พวกใด การลงโทษนั้น จะประสบกับผู้คนในพวกนั้นทุกคนหลังจากนั้นพวกเขาจะถูกบังเถิดขึ้น มาอีกตามผลงานของพวกเขาที่ได้ทำไว้[182] รา!เงานโด!] บุคอร และ มุสลิม

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เวลานั้นจะร่นใกล้เข้ามา[183] การงานจะหย่อนยาน[184] ความตระหนี่จะถูกโยน[185] วิกถูดิการณ์ต่าง ๆ จะปรากฏ ออกมา ฮัรจ์จะเถิดขึ้นอย่างมากมาย พวกเขาได้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลัลเลาะส์ ซ.ล. ฮัรจ์ คืออะไร ท่านตอบว่า คือ การฆ่า และการฆ่า

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ว่า แท้จริง ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า : ต่อไปจะต้องเถิดวิกฤติการณ์ต่าง ๆ ขึ้น คนที่นั่งในวิกฤติการณ์ต่างๆ นั้น จะดีกว่าคนยืน[186] และคนยืนจะดีกว่าคนเดิน และคนเดินจะดีกว่าคนวิ่ง ผู้ใดโผล่ไปหามัน มันจะคว่ำเขาลง ดังนั้น ผู้ใดพบที่ลี้ภัย หรือที่ป้องกันให้เขา จงใช่มันป้องกันเถิด 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยรายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี 

เล่าจากอะบีบักเราะฮ์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริงมันจะต้อง เถิดวิกฤติการณ์ต่างๆ  ขึ้น[187] พึงทราบเถิดว่า ต่อไปก็จะต้องเถิดวิกฤติการณ์ขึ้น คนที่นังอยู่ใน วิกฤติการณ์นั้น ดีกว่าคนที่เดินอยู่ในนั้น และคนทีเดินอยู่ในนั้นก็ดีกว่าคนทีวิ่งเข้ามาหามัน พึง ทราบเถิด เมื่อมันได้ลงมา หรือได้เถิดขึ้น ดังนั้น ผู้ใดที่มีอูฐให้เขาจงติดตามมัน[188] และผู้ใด มีแพะให้เขาจงติดตามมัน และผู้ใดมีแผ่นดินให้เขาจงอยู่ในแผ่นดินของเขา[189] ชายคนหนึงได้ กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ จงบอกข้าพเจ้าเถิด บุคคลทีเขาไม่มีอูฐ ไม่มีแพะ และไม่มีแผ่นดิน ท่านนบีได้กล่าวว่า ให้เขาไปยังดาบของเขา และทุบคมของมันด้วยหิน หลังจากนั้น ให้เขาจงหนีไปให้พ้น ถ้าสามารกจะไปให้พ้นได้673 ข้าแด่อัลเลาะฮ์ ข้าพเจ้าได้แจ้งให้ทราบแล้ว ข้าแด่อัลเลาะฮ์ ข้าพเจ้าได้แจ้งให้ทราบแล้ว ข้าแด่อัลเลาะฮ์ ข้าพเจ้าได้แจ้งให้ทราบแล้ว ชายคน หนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ถ้าหากฉันถูกบังคับ และฉันได้ถูกนำตัวไปยังแถวทหารทั้งสองฝ่าย หรือหนึ่งจากในสองฝ่าย และชายคนหนึ่งได้ฟันฉันด้วยดาบของเขา หรือมี ลูกธนูมาสังหารฉัน ท่านได้กล่าวว่า เขาจะกลับไปพร้อมด้วยบาปของเขา และบาปของท่าน และเขาก็จะเป็นชาวนรก 

รายงานโดย มุสลิม และอะบู ดาวูด

สะอัด บุตรอะบี วักกอส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลลุลเลาะห์ บอกข้าพเจ้า

เถิดว่า ถ้าหากเขาเข้าบ้านของฉัน และยื่นมือของเขามายังฉัน เพื่อฆ่าฉัน ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านจงเป็นเหมือนลูกของอาดัมที่ได้กล่าวว่า “แม้ว่าเจ้ายื่นมือของเจ้ามาหาฉัน เพื่อจะฆ่าฉัน ฉันจะ ไม่ยื่นมือของฉันไปหาเจ้า เพื่อฆ่าเจ้า” 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจากอะบี บักเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า674 ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า       เมื่อมุสลิมสองคนเผชิญหน้ากันด้วยดาบของคนทั้งสอง เขาทั้งสองเป็นชาวนรก ได้มีผู้ถามว่า นึ่คือผู้ฆ่า675 แล้วผู้ที่ถูกฆ่าเล่าเป็นอย่างไร ท่านตอบว่า เขาก็ต้องการจะฆ่าเพื่อนของเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

ตัวบทของมุสลิมว่า เมื่อมุสลิมสองคน คนหนึ่งจากในสองถืออาวุธเข้าหํ้าหั่นพี่น้องของ เขา คนทั้งสองอยู่บนขอบขุมนรกญะฮันนัม เมื่อคนหนึ่งจากในสองได้ฆ่าเพื่อนของเขา คนทั้งสอง ก็จะเข้านรกทั้งหมด 

ตัวบทของอะบี ดาวูด และ ติรมิซี ว่า แท้จริงจะต้องเถิดวิกลูดิการณ์ขึ้นอย่างแน่นอน

ซึ่งมันจะถอนรากถอนโคนชาวอาหรับ คนที่ถูกฆ่าในวิกลูดิการณ์อยู่ในขุมนรก ลิ้นในวิกฤติการณ์ นั้นร้ายแรงกว่าคมดาบ

และตัวบทของอะบีดาวูดว่า แท้จริงคนที่มีความสุขนั้น ได้แก่บุคคลที่ถุกกีดกันให้ออกห่างวิกฤติการณ์ต่างๆ แท้จริงคนที่มีความสุขนั้น ได้แก่บุคคลที่ถูกกีดกันให้ออกห่างวิกลูติการณ์ ต่างๆ แท้จริงคนที่มีความสุขนั้น ได้แก่บุคคลที่ถูกกีดกันให้ออกห่างวิกลูดิการณ์ต่างๆ และ ได้แก่บุคคลทีถูกทดลอง และเขามีความอดทน ดังนั้น ความโศกเศร้าจะตกเป็นผู้ที่ได้สัมผัส กับวิกฤติการณ์

.....................................................24มค62/1

เล่าจาก เซาบาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ ได้รวบแผ่นดินให้แก่ฉัน และฉันได้เห็นตะวันออก และตะวันตกของมัน และความจริงประชากรของ ฉันนั้นอำนาจการปกครองของพวกเขา จะขยายไปจนถึงสิ่งที่แผ่นดินได้ลูกรวบมาให้ฉัน และ ฉันจะได้รับสองคลังสมบัติ ทั้งแดง และขาว[190] และความจริงฉันได้ขอต่อพระผู้อภิบาลของฉัน ไม่ให้พระองค์ทำลายพวกเขาด้วยความแห้งแล้งทั่วไป[191] และไม่ให้พระองค์แต่งตั้งศัตรู ให้มาปกครองพวกเขา นอกจากพวกเขากันเอง อันจะเป็นเหตุให้ศัตรูถือเอาบ้านเรือนของพวกเขา เป็นที่อนุมัติ และความจริงพระผู้อภิบาลของฉันได้กล่าวว่า โอ้ มูฮำหมัด ความจริงเมื่อเราได้กำหนดสิ่งใดไปแล้ว มันจะไม่ถูกปฏิเสธ และแท้จริงเราได้มอบให้ท่าน เพื่อประชากรของ ท่านแล้วว่า เราจะไม่ทำลายพวกเขา ด้วยความแห้งแล้งทั่วไป และเราจะไม่ให้ศัตรูเข้าปกครอง พวกเขา นอกจากพวกเขากันเอง[192] ที่จะถือเอาบ้านเรือนของพวกเขาว่าเป็นที่อนุมัติ และแม้ว่า ผู้ที่อยู่ในดินแดนของพวกเขาหรือผู้ที่อยู่ระหว่างดินแดนของพวกเขา จะร่วมชุมนุมกันเพื่อ ทำลายพวกเขาก็ตาม นอกจาก พวกเขาบางส่วนจะทำลายอีกบางส่วน และพวกเขาบางส่วนจะ จับอีกบางส่วนเป็นเชลย 

รายงานโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และอะบู ดาวูดได้รายงานเพิ่มเติมว่า         และความจริงทีฉันกลัวว่า จะเป็นภัยแก่ประชากร

ของฉันก็คือ บรรดาผู้นำที่ทำให้หลงผิด และเมื่อดาบถูกวางลงในประชากรของฉัน มันจะไม่ ถูกยกออกไปจนกว่าจะถึงวันกิยามะห์[193] และวันกิยามะห์จะยังไม่เถิดขึ้น จนกว่าจะมีหลายเผ่า จากประชากรของฉันจะติดตามไปอยู่กับพวกผู้ตั้งภาคี[194] และจนกว่าหลายเผ่าจากประชากรของ ฉันจะสักการะ รูปเคารพ และแน่แท้ต่อไปจะต้องมีจอมโกหกสามสิบคน[195] เถิดขึ้นในประชากร ของฉัน ทุกคนจะต้องอ้างว่าเป็นนบี ทั้งที่ฉันเป็นนบีสุดท้าย ไม่มีนบีอีกหลังจากฉัน และจะ ยังคงมีบุคคลจำพวกหนึ่งจากประชากรของฉัน ยืนหยัดช่วยเหลือสัจธรรม ผู้ที่ขัดแย้งกับพวกเขาจะทำร้ายพวกเขาไม่ได้ จนกว่าคำสั่งของอัลเลาะฮ์จะมีมา

เล่าจากอะบี มูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวในเรื่องวิกฤติการณ์ว่า จงหักคันธนูของพวกท่าน จงตัดสายธนูของพวกท่าน จงอยู่แด่ภายในบ้านของพวกท่านและจงเป็น เช่นบุตรของอาดัม 

รายงานโดยอะบู ดาวูด และติรมิซี

และได้มีผู้ถามว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ใครคือคนดีที่สุดในยามที่เถิดวิกฤติการณ์ ท่านตอบว่า ชายคนหนึ่งที่เขาอยู่ในฝูงสัตว์ของเขา ปฏิบัติตามควรแก่ฝูงสัตว์ของเขา และ สักการะพระผู้อภิบาลของเขา และชายคนหนึ่งที่กุมหัวม้าของเขา ทำให้ศัตรูของเขาหวาดหวั่น และศัตรูก็ทำให้เขาหวาดหวั่น682

และท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่สมควรที่ผู้มีศรัทธา จะทำให้ตัวเองตกตํ่าพวกเขาได้ถามว่า จะทำให้ตัวเองตกตํ่าอย่างไร ท่านนบีตอบว่า เขาเผขัญกับภัยพิบัติโดยที่เขาไม่มีความสามารก683

และเมื่ออะลีได้ขอร้อง อะห์บาน บุตร ซอยฟีย์ อัลฆิฟารีย์ ให้ออกไปกับเขาอะห์บาน ได้กล่าวว่า   แท้จริงเพื่อนสนิทของฉัน และเป็นลูกลุงของท่าน ได้บอกฉันว่าเมื่อประชาชน

เถิดขัดแย้งกัน ให้ท่านจงคว้าดาบที่ทำด้วยไม้ และความจริงฉันก็ได้คว้ามันไว้แล้ว และถ้าหาก ท่านต้องการฉันก็จะนำมันออกไปร่วมกับท่าน อะลี ร.ฎ. จึงทิ้งเขาไว้684 

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดย ติรมิซี

การแจ้งข่าวว่า จะเถิดวิกฤติการณ์ต่างๆและประเภทของวิกฤติการณ์

เล่าจาก ฮุซัยฟะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ลุกขึ้นยืนอยู่ในที่หนึ่งในหมู่พวกเรา ท่านไม่ได้ทิ้งสิ่งใดไว้ ที่จะเถิดขึ้นในที่ของมันนั้น จนถึงวันกิยามะห์ นอกจาก ท่านได้นำมาเอาสิ่งนั้นมาบอกกล่าว จดจำมันไว้ได้ ผู้ที่จดจำมัน และลืมมันไปผู้ที่ลืมมัน โดยที่เพื่อนๆ ของฉันเหล่านี้รู้จักมัน และความจริงมันจะต้องมีสิ่งหนึ่งเถิดขึ้น ที่ฉันได้ลืมมันไปแล้ว ต่อมาฉันได้เห็นมัน และนึกถึงมันได้เหมือนชายคนหนึ่งนึกใบหน้าของชายอีกคนหนึ่งที่หายหน้าไป ต่อมาเมื่อเขาเห็นชายคนนั้นก็รู้จักเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

และเล่าจากเขา (ฮุซัยฟะห์) ได้กล่าว สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ฉันเป็นคนที่รู้ดีที่สุด ต่อทุกวิกฤติการณ์ที่จะเถิดขึ้นระหว่างฉันกับวันกิย1มะห์ ไม่ใช่เพราะฉันเป็นอะไรหรอก นอกจากการที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กระซิบบอกฉันในเรื่องดังกล่าว สิ่งหนึ่งที่ท่านไม่เคยเล่ามันให้ใคร ฟังนอกจากฉัน685 แต่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เล่าให้พวกเราฟังในที่ชุมนุมหนึ่ง เกี่ยวกับ เรื่องวิกฤติการณ์ต่าง ๆ และท่านได้นับมันแล้วกล่าวว่า จากวิกฤติการณ์ต่างๆ นั้น มีสาม

ประการที่มันเกือบไม่ทิ้งสิ่งใดไว้เลย และส่วนหนึ่งของวิกฤติการณ์เหล่านั้น มีวิกฤติการณ์ที่ เหมือนลมพายุในฤดูร้อน บางวิกฤติการณ์เล็ก บางวิกฤติการณ์ใหญ่ ฮุซัยฟะห์ ได้กล่าวว่า ประชากรเหล่านั้นได้ไปกันหมดนอกจากฉัน

และเล่าจากเขา (ฮุซัยฟะห์) ได้กล่าวว่า               ท่านรอซูล้ลเลาะห์ ซ.ล. ได้บอกฉันถึง

สิ่งที่จะเถิดขึ้น จนถึงวันกิยามะฮ์ ไม่มีสิ่งใดของมัน นอกจากฉันได้ถามท่าน ยกเว้นฉันไม่ได้ ถามท่านถึงสิ่งที่จะขับชาวมะตีนะฮ์ออกจากนครมะดีนะฮ์

เล่าจากอัมร์ บุตร อัคตอบ ร.ฎ. ได้กล่าว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ละหมาดฟัจร์ร่วมกับพวกเรา และท่านได้ขึ้นมิมบัร ได้แสดงสุนทรพจน์แก่พวกเราจนกระทั่งถึงเวลา ดุห์ริ ท่านจึงลงมาละหมาด หลังจากนั้น ไดขึ้นมิมบัร และแสดงสุนทรพจน์แก่พวกเรา จนถึง เวลาอัสร์ หลังจากนั้นได้ลงมาละหมาด แล้วขึ้นมิมบัรและแสดงสุนทรพจน์แก่พวกเรา จนถึง ตะวันตก ท่านได้แจ้งให้พวกเราทราบถึงสิ่งที่เถิดมาแล้ว และจะเถิดขึ้น คนที่รู้ที่สุดของพวกเราคือคนที่จดจำที่สุดของพวกเรา

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะฮ์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของ ข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ ดุนยาจะยังไม่สลายไปจนกว่าจะมีวันหนึ่งมาถึงมนุษย์ชาติ ที่ผู้ฆ่าไม่รู้ว่าเหตุใดที่เขาฆ่า และคนที่ถูกฆ่าไม่รู้ว่า เหตุใดที่เขาถูกฆ่า ได้มีผู้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. การเช่นนั้นจะเถิดขึ้นได้อย่างไร ท่านตอบว่า ฮัรจ์ 686 ทั้งผู้ฆ่าและถูกฆ่าอยู่ในนรก

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความแห้งแล้งไม่ใช่การที่พวกท่านไม่ได้รับนํ้าฝน แต่ความแห้งแล้ง คือการที่พวกท่าน1ได้รับนํ้าฝน และได้ รับนํ้าฝน แต่ผืนแผ่นดินไม่งอกสิ่งใดออกมา 

รายงานหะดีษทั้งห้านี้โดย มุสลิม

เล่าจากฮุซัยฟะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่าฉันไม่รู้ว่า มิตรสหายของฉันลืม หรือพวกเขาทำแกล้งลืม สาบานต่ออัลเลาะห์ ว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ไม่ได้ทิ้งผู้นำวิกฤติการณ์ คนใดไว้จนกว่าโลกตุนยานี้จะสิ้นที่มีบริวารอยู่กับเขา สามร้อยคนขึ้นไป นอกจากท่านจะเอ่ยนาม เขาให้พวกเราทราบ ด้วยนามของเขา นามบิดาของเขาและชื่อเผ่าของเขา[196] 

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะเถิดขึ้นในประชากรนี้สิ่วิกฤติการณ์ ในวิกฤติการณ์ครั้งสุดท้าย คือ ความสูญเสีย[197]

รายงานหะดีษทั้งสอง โดยอะบู ดาวูด 

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราอยู่กับท่านนบี ซ.ล. ท่านได้กล่าวถึงวิกฤติการณ์ต่างๆ และท่านได้กล่าวถึงมันอย่างมากมาย จนได้กล่าวถึงวิกฤตการณ์ อะห์ลาส ได้มีคนหนึ่งถามขึ้นว่า โอ้ ท่านรอซูลัลเลาะห์ วิกฤติการณ์อะห์ลาส คือ อะไร ท่านตอบว่า คือการหลบหนี และการแย่งชิง[198] หลังจากนั้นก็คือวิกฤติการณ์แห่งความสุข ที่ควันของ มันมาจากใต้ฝ่าเท้าทั้งสองของชายคนหนึ่งจากคนในครอบครัวของฉัน เขาคิดว่า เขาเป็นส่วน หนึ่งของฉัน ทั้งที่เขาไม่ใช่เป็นส่วนหนี่งของฉัน[199] และความจริงคนรักของฉันคือบรรดาผู้ที่ มีความยำเกรง หลังจากนั้น ประชาชนจะประนีประนอมให้สัตยาบันแก่ชายคนหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับการวางสิ่งหนึ่งลงบนซี่โครงที่โก่งงอ[200] หลังจากนั้น ก็คือวิกฤติการณ์ ดุฮัยมาอฺ ซึ่งมันจะไม่ทิ้ง ผู้ใดจากประชากรนี้เลย นอกจากมันจะตบเขาโดยแรง และเมื่อมีผู้กล่าวว่า มันสุดสิ้นแล้ว มันจะยังคงอยู่เรื่อยไป ในวิกฤติการณ์ ชายคนหนึ่งในเวลาเช้าเขาเป็นผู้มีศรัทธา และเป็นผู้ใร้ศรัทธา ในเวลาเย็น จนกระทั่งประชากรจะกลายเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มชนที่ศรัทธาที่ไม่มีการตีสองหน้าอยู่ในนั้น อีกกลุ่มชนหนึ่งเป็นกลุ่มชนที่ตีสองหน้าไม่มีศรัทธาอยู่ในนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นให้พวกท่านจงคอย ดัจญาลเถิด ในวันนั้นหรือวันรุ่งขึ้น[201]

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ ฮากีม

เล่าจากฮุซัยฟะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า วันกิยามะห์จะยังไม่เถิดขึ้น จนกว่าพวกท่าน จะสังหารผู้นำของพวกท่าน และประหัตประหารกันด้วยดาบของพวกท่าน และคนชั่วในหมู่พวกท่าน จะใต้รับช่วงดุนยา ของพวกท่าน 

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

บทที่สอง

การรวมอยู่กับคนหมู่มาก [202]

เล่าจากฮุซัยฟะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ประชาชนได้ถามท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ถึง คุณความดี แต่ฉันได้ถามท่านถึงความชั่ว เพราะกลัวมันจะเถิดขึ้นกับฉัน ฉันได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ พวกเราเคยอยู่ในยุคญาฮิลียะห์ และความชั่ว ต่อมาอัลเลาะห์ได้นำความ ดีนี้มาสู่พวกเรา จะมีความชั่วภายหลังจากความดีนี้ไหม ท่านตอบว่า มี, ฉันได้กล่าวว่า และจะมีความดีไหม ภายหลังจากความชั่วนั้นท่านตอบว่า มี. และในความดีนั้นมีควัน ฉันได้ถามว่า อะไรคือควันของมัน ท่านตอบว่า พวกหนึ่งจะชี้นำโดยไม่มีความรู้ ซึ่งท่านอาจยอมรับพวกเขาและปฏิเสธ ฉันได้กล่าวว่า จะมีความชั่วมา ภายหลังจากความดีนั้นไหม ท่านตอบ ว่า มี, คือพวกที่เชิญชวนอยู่บนประตูนรกญะฮันนัม ผู้ใดตอบรับพวกเขาไปสู่ขุมนรก พวกนั้น ก็จะจับเขาโยนลงในขุมนรก ฉันได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ จงบอกลักษณะของพวกเขา ท่านได้กล่าวว่า พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับพวกเรา พูดด้วยภาษาของพวกเรา ฉันได้กล่าวว่าดังนั้นท่านจะใช้ให้ทำอะไร ถ้าหากการเช่นนั้นได้พบกับฉัน ท่านกล่าวว่า ท่านต้องติดตามอยู่กับกลุ่มชนมุสลิม และผู้นำของพวกเขา ฉันได้กล่าวว่า ถ้าหากพวกเขาไม่มี

ทั้งกลุ่มชนและผู้นำ ท่านได้กล่าวว่า ท่านจงปลีกตัวออกจากพวกต่าง ๆ เหล่านั้นทั้งหมด

และแม้ว่าท่านจะต้องกัดโคนต้นไม้จนความตายมาประสบกับท่าน โดยที่ท่านอยู่ในสภาพเช่นนั้น ก็ตาม 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ว่าท่านได้กล่าวแก่พวกเราว่า แน่แท้ต่อไปพวกท่านจะต้องแลเห็นหลังจากฉันจากไป ความเห็นแก่ตัว และกิจกรรมต่าง ๆ ที่พวกท่าน ปฏิเสธมัน พวกเขาได้กล่าวว่า ดังนั้น ท่านจะใช้พวกเราให้ทำอย่างไร โอ้ท่านรอซูลุลเลาะฮ์

ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงให้สิทธิของพวกเขาแก่พวกเขา และขอสิทธิของพวกท่าน

ต่ออัลเลาะฮ์เถิด[203]

ซุบัยร์ อิบนุ อะดีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ร้องเรียนต่อ อะนัส บุตร มาลิกถึงสิ่งที่พวกเราได้พบกับ ฮัจยาจ[204] เขาได้กล่าวว่าพวกท่านจงอดทน และความจริงมันจะไม่มีเวลาใด มาสู่พวกท่าน นอกจากที่จะมีความชั่วยิ่งกว่าเถิดขื้นภายหลังจากนั้นจนกว่า พวก ท่านจะพบกับผู้อภิบาลของพวกท่าน ฉันได้ยินมันมาจากนบีของพวกท่าน ซ.ล. 

รายงานหะดีษ ทั้งสอง โดยบุคอร และ ติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า โม่ของอิสลามจะหมุนไป

เป็นเวลาสามสิบห้า หรือ สามสิบหกหรือสามสิบเจ็ดปี[205] ถ้าหากพวกเขาพินาศ ก็เป็นแนวทางของผู้ที่พินาศ[206] และถ้าหากศาสนาของพวกเขาจะดำรงอยู่เพื่อพวกเขา มันก็จะดำรงอยู่ เพื่อพวกเขาเจ็ดสิบปี ฉันได้ถามว่า จากสิ่งที่เหลืออยู่หรือสิ่งที่ได้ผ่านพันไปแล้ว ท่านตอบว่า จากสิ่งที่ได้ผ่านพันไปแล้ว[207]

เล่าจากอะบี ซัรร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดแยกตัวออกจากกลุ่มชนเพียงคืบเดียว เท่ากับเขาได้ถอดห่วงอิสลามออกจากต้นคอของเขา[208]

เล่าจากเขา (อะบีซัรร์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านและบรรดาผู้นำภายหลังจากฉันจะเป็นอย่างไร ที่พวกเขามีความเห็นแก่ตัวในทรัพย์สงครามที่ได้มาโดยง่ายนี้[209] ฉันได้กล่าวว่า พึงทราบเถิด สาบานต่อผู้ซึ่งได้แต่งตั้งท่านด้วยสัจจธรรม ฉันจะวางดาบของฉันลงบนไหล่ของฉัน หลังจากนั้นก็จะใช้มันพันจนกว่าฉันจะพบกับท่าน ท่านนบีได้กล่าวว่า ฉันจะไม่ชี้ให้พวกท่านถึงสิ่งที่ดีกว่านั้นหรือ คือท่านจะต้องอดทน จนกว่าจะพบกับฉัน

รายงานทั้งสามหะดีษนี้ โดย อะบู ดาวูด

อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ญาบิยะห์ โดยได้กล่าวว่า ประชาชนทั้งหลาย ความจริงฉันได้ยืนอยู่ในท่ามกลางพวกท่าน เหมือนที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ยืนอยู่ในหมู่พวกเรา และท่านได้กล่าวว่า ฉันขอสั่งเสียพวกท่านต่ออัครสาวกของฉัน และบรรดาบุคคลที่อยู่ถัดพวกเขาไป ต่อไป การโกหกจะแพร่หลาย จนถึงขนาดที่คนหนึ่งจะสาบาน โดยที่เขาไม่ได้ถูกขอ ให้สาบาน เขาจะให้การเป็นพยาน โดยที่เขาไม่ได้ถูกขอร้องให้เป็นพยาน พึงทราบเถิดชายคนหนึ่งจะไม่ได้อยู่กับผู้หญิงตามลำฟัง นอกจากจะมีชัยฏอนเป็นบุคคลที่สามของเขาทั้งสอง พวก ท่านจะต้องติดตามอยู่กับกลุ่มชน และพวกท่านจะต้องระวังการแตกแยก เพราะแท้จริงชัยฏอน นั้นจะอยู่กับคนๆ เดียว[210] และชัยฏอนนั้นจะออกห่างไกลยิ่ง จากคนสองคน ผู้ใดปรารถนา สวรรค์ชั้นดี ให้เขาจงติดตามอยู่กับกลุ่มชน ผู้ใดที่ความดีของเขาทำให้เขาดีใจ และความชั่ว ของเขาทำให้เขารู้สึกไม่ดี นั่นแหละเขาคือผู้มีศรัทธา

และได้มีผู้,ลามท่านนบี ซ.ล. ว่า โปรดบอกฉันเถิดว่า ถ้าหากพวกเรามีผู้นำที่หวงห้ามสิทธิของพวกเรา และเรียกร้องเอาสิทธิของพวกเขาจากพวกเรา ท่านได้กล่าวว่า จงเชื่อฟังและปฏิบัติตาม เพราะความจริงจะตกหนักแก่พวกเขาสิ่งที่พวกเขารับภาระ และจะตกหนัก แก่พวกท่าน สิ่งที่พวกท่านรับภาระ

รายงานหะดีษทั้งสอง โดย ติรมิซี

วิกฤติการณ์เริ่มต้นเมื่อไหร่และมาจากไหน

เล่าจากฮุซัยฟะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า          พวกเราอยู่ที่อุมัร ร.ฎ. เขาได้กล่าวขื้นว่า มีใครบ้างในหมู่พวกท่านที่ได้ยินท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวถึงวิกฤติการณ์ต่างๆ มีคนพวก หนึ่งได้กล่าวขื้นว่า พวกเราได้ยินท่านนบี, อุมัรได้กล่าวว่า พวกท่านคงหมายถึงวิกฤติการณ์ของผู้ชายภายในครอบครัวของเขา และเพื่อนบ้านของเขา พวกเขาตอบว่า : ถูกแล้ว, อุมัร ได้ กล่าวว่าวิกฤติการณ์อย่างนั้นละหมาด การถือศิลอด และ การทำทานจะสามารถลบล้างมันได้ แต่มีใครในหมู่พวกท่านบ้าง ที่ได้ยินวิกฤติการณ์ที่ปั่นป่วนเหมือนคลื่นทะเล ฮุซัยฟะห์ ได้กล่าวว่า ผู้คนพากันซึ่งเงียบ ฉันจึงได้กล่าวขื้นว่า ฉันเอง, อุมัร กล่าวว่า ท่านหรือ บิดาของท่านช่างดีจริง[211] ฉันได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลเลาะฮ ซ.ล. กล่าวว่า วิกฤติการณ์ต่างๆ ถูกนำมาประทับอยู่ที่หัวใจทั้งหลายเหมือนเสื่อเป็นเส้น[212] หัวใจใด ที่ดูดดื่มมันก็จะ มีจุดดำงอกขึ้นในหัวใจนั้น และหัวใจใดที่ปฏิเสธมัน จะมีจุดขาวงอกขึ้นในหัวใจนั้น จนหัวใจ ต่างๆ จะกลายเป็นหัวใจสองดวง ดวงหนึ่งขาวเหมือนความใสสะอาด วิกฤติการณ์ใดๆ จะ ทำร้ายมันไม่ได้ตราบฟ้าดินยังคงอยู่และอีกดวงหนึ่งดำ อย่างหมองคลํ้าเหมือนเหยือกที่ควํ่าอยู่ ไม่รู้จักความดี และไม่ปฏิเสธความชั่ว นอกจากสิ่งที่มันได้ดื่มเข้าไป จากอารมณ์ใฝ่ตํ่าของมัน ฮุซัยฟะห์ได้กล่าวว่า                                                           และฉันได้เล่าให้เขาฟังว่า ความจริงระหว่างตัวท่านกับวิกฤติการณ์นั้นมีประดูที่ถูกใส่สลักขวางกั้นอยู่ โดยมันใกล้จะแตกหักแล้ว อุมัรได้กล่าวว่า     มันจะแตกหักหรือโอ้ คนที่ไม่มีพ่อ ถ้าหากมันถูกเปิด มันก็อาจลูกปิดกลับดังเดิมได้ฉันได้กล่าวว่า                      แต่มันต้องแตกหัก และฉันได้เล่าให้เขาฟังว่า ความจริงประดูนั้นก็คือ ชายคนหนึ่งต้องถูกฆ่าหรือต้องตาย ไป เป็นหะดีษที่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลเลย[213]

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก สะอีด บุตร อัมร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันเคยนั่งอยู่กับอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ในมัสญิดนบี ซ.ล. พร้อมกับเรามีมัรวาน อะบู ฮุรอยเราะฮ์ ได้กล่าวขึ้นว่า ฉันได้ยินผู้มีสัจธรรมทีถูกยืนยันว่ามีสัจจธรรมกล่าวว่า ความพินาศของประชากรฉันอยู่ในมือทั้งสองข้างของกลุ่มเด็กหนุ่มจากเผ่ากุเรซ[214] มัรวาน ได้กล่าวว่า ขออัลเลาะห์โปรดสาปแช่งพวกเขาที่เป็นกลุ่มเด็กหนุ่ม อะบุ ฮุรอยเราะห์ ได้กล่าวว่า ถ้าหากฉันต้องการ จะบอกว่า เป็นตระกูลของคนนั้น ตระกูลของคนนั้นแล้ว ฉันก็จะกระทำ,[215] อัมร์ บุตร ยะห์ยา ได้กล่าวว่า ฉันเคยออกไปกับ ปู่ ของฉัน[216] ไปหาพวกตระกูล บะนี มัรวาน ขณะที่พวกเขาได้ปกครอง ชาม เมื่อเขาเห็นเด็กหนุ่มๆ อายุยังน้อยๆ เขาจะได้กล่าวแก่พวกเราว่า คิดว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของพวกนั้น พวกเราได้กล่าวว่า   ท่านรู้ดี708

รายงานโดย บุคอร มุสลิม และอะห์มัด

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่าเขาได้ยินท่านนบี ซ.ล. ขณะที่ท่านผินหน้าสู่,ทิศตะวันออก กล่าวว่า พึงทราบเถิดว่าแท้จริงวิกฤติการณ์อยู่ที่โน่น จากที่ซึ่งเขาของชัยฎอนจะโผล่ขึ้นมา[217] 

รายงานโดย บุคอร มุสลิม และ ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าแต่อัลเลาะห์ได้โปรดให้ความเพิ่มพูนแก่พวกเราใน ชาม ของเรา ข้าแด่อัลเลาะฮ์ ได้โปรดให้ความเพิ่มพูนแก่พวก เราใน ยะมัน ของเรา พวกเขาได้กล่าวว่า และใน นัจด์ ของพวกเราด้วยท่านนบีไดักล่าวว่า

ข้าแด่อัลเลาะฮ์ได้โปรดให้ความเพิ่มพูนแก่พวกเราใน ชามของเรา ข้าแด่พระองค์อัลเลาะฮ์ได้ โปรดให้ความเพิ่มพูนแก่พวกเราใน ยะมัน ของเรา พวกเขาได้กล่าวว่า และใน นัจด์1ของเรา ฉันค่อนข้างแน่ใจว่า ท่านนบีได้กล่าวในครั้งที่สามว่า ที่โน่นจะเถิดแผ่นดินไหว และวิกฤติการณ์ ต่างๆ และทีนั่น เขาของชัยฎอนจะโผล่ออกมา[218] 

รายงานโดย บุคอรี และ ฅิรมิซี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ได้กล่าวว่า          ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ออกมาจาก

บ้านของอาอิซะห์ แล้วกล่าวว่า          หัวของความไร้ศรัทธา (กุฟร์) มาจากทางโน้น จากที่ซึ่ง

เขาของนัยฎอน จะโผล่ออกมา ท่านหมายถึงตะวันออก[219] 

รายงานโดย มุสลิม

บทที่สาม

พวกคอวาริจ และ พวกนอกศาสนา[220] 

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า               อะลี บุตร อะบีตอลิบ ร.ฎ. ได้ส่งไปยัง

ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. จาก ยะมัน ด้วยทองคำที่ยังไม่ได้แยกเอาฝ่นดินออกบรรจุอยู่ในแผ่น หนังสือที่ฟอกแล้ว ด้วยด้นกอร์ซ และท่านได้แบ่งมันแก่สี่คน แบ่งให้แก่อุยัยนะห์ บุตร บัดร, อักเราะอุ บุตร ฮาบิส, เซด อัลคอยล์, และอัลกอมะฮ์ บุตร อุลาชะห์ ได้มีชายคนหนึ่งจาก บรรดาอัครสาวกของท่านกล่าวขึ้นว่า ฉันมีสิทธิในทองคำนี ยิงกว่าคนพวกนัน คำพูดดังกล่าวล่วงไปถึงท่านนบี ซ.ล. ท่านจึงกล่าวว่า    พวกท่านไม่ไว้ใจฉันหรือ ทั้งที่ ฉันเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ของผู้ที่อยู่ในฟากฟ้า ข่าวจากฟากฟ้า มาข่าวสู่ฉันทั้งเวลาเช้า และเวลาเย็น ชายคนหนึงได้ลุก ขึ้นยืน เขาเป็นคนที่ตาทั้งสองข้างลึก โหนกแก้มทั้งสองข้างสูง หน้าผากโหนก เคราหนา โกน หัว ผ้านุ่งกลกสูง เขาได้กล่าวว่า           โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ จงยำเกรงอัลเลาะฮ์ตาอาลาเถิด ท่านนบี ได้กล่าวว่า ความพินาศจะต้องเถิดกับเจ้า ฉันมิใช่หรือที่สมควรยิ่งของชาวดิน ที่จะมีความยำเกรงอัลเลาะห์ ผู้เล่าได้กล่าวว่า  หลังจากนั้นชายคนนั้นได้หันหลังจากไป คอลิด บุตร อัลวะลีด ได้กล่าวว่า      โอ้ท่านรอซูลลุลเลาะห์ ฉันจะไม่ฟันคอเขาหรือ ท่านตอบว่า    ไม่, เพราะเขาอาจจะละหมาด คอลิดได้กล่าวว่า มีเป็นจำนวนมากผู้ที่ละหมาดแต่เพียงลิ้น โดยไม่ได้เข้าสู่จิตใจของเขา ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า        ความจริงฉันไม่ได้ถูกใช้ให้เจาะหัวใจของมนุษย์ และผ่าท้องของพวกเขา จากนั้น ท่านนบีได้มองดูเขา ขณะที่เขาหันต้นคอจากไป ท่าน ได้กล่าวว่า          ความจริงจะออกมาจากด้นตอของชายคนนี้ กลุ่มชนหนึ่งที่พวกเขาจะอ่านคัมภีร์

ของอัลเลาะห์ สดๆ[221] โดยคัมภีร์นั้น จะไม่ล่วงเลยลำคอของพวกเขาเข้าไป พวกเขาจะออก จากศาสนา เหมือนลูกธนูที่ทะลุผ่านเป้าออกไป ผู้เล่าได้กล่าวว่า                                                                 ฉันค่อนข้างแน่ใจว่า ท่าน

นบีได้กล่าวว่า ถ้าหากท่านได้พบพวกนั้น ท่านจะต้องฆ่าคนพวกนั้น เหมือนฆ่าพวกซะมูด

และเล่าจากเขา (อะบี สะอีด) ได้กล่าวว่า อะลี ขณะอยู่ที่ยะมัน ได้ส่งทองคำทียัง

อยู่ปนกับดินไปยังท่านรอซูลุลเลาะฮ์ ซ.ล. ท่านใต้แบ่งมันแก่สี่คน คืออุยัยนะห์ อักเราะอุ, เซดอัลคอยล์ และ อัลกอมะห์ พวกกุเรซ โมโหได้กล่าวขึ้นว่า เขาจะให้พวกหัวหน้าของนัจดฺ และทิ้งพวกเราอย่างนั้นหรือ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริงที่ฉันทำเช่นนั้นก็เพื่อทำความสนิทสนมแก่พวกเขา ต่อมามีชายคนหนึ่งมาเขาเป็นคน เคราหนา โหนกแก้มสูง ตาทั้งสองข้างลึก หน้าผากโหนภ โกนหัวแล้วกล่าวว่า จงยำเกรงอัลเลาะห์ โอ้มุฮัมมัด ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าดังนั้น ผู้ใดเล่าที่จะสวามิภักดิ์ต่ออัลเลาะห์ ถ้าหากฉันฝ่าฝืนพระองค์ พระองค์ไว้ใจฉันยิ่งกว่าชาวดินทั้งหลาย และพวกท่านไม่ไว้ใจฉันหรือ จากนั้น ชายคนนั้นได้หันหลังกลับไป ได้มีชายคนหนึ่งของพวกนั้น ขออนุญาตฆ่าเขา ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า    แท้จริงจากด้นตอของชายคนนี้ จะมีพวกหนึงอ่านอัลกุรอาน โดยทีอัลกุรอานจะไม่เลยลำคอของพวกเขาไป พวกเขาจะสังหารชายอิสลาม จะปล่อยพวกที่สักการะรูปเคารพ พวกเขาจะออกจากอิสลาม เหมือนลูกธนูที่หลุดออกจากเป้า ถ้าหากฉันพบพวกเขา ฉันจะต้อง ฆ่าพวกเขา เหมือนฆ่าพวกอาด

รายงานหะดีษทั้งสอง โดย บุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี สะอีด) ได้กล่าวว่า ในระหว่างที่พวกเราอยู่กับท่านนบี ซ.ล. ขณะที่ท่านทำการ แบ่งในครั้งหนึ่ง[222] ซุลคุวัยซิเราะห์ ได้มาที่ท่านเขาเป็นชายคนหนึง จากตระกูลบะนีตะมีม แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ จงมีความยุติธรรม ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความพินาศจะต้องเถิดกับเจ้า ใครเล่าจะยุติธรรม ถ้าหากฉันไม่มีความยุติธรรม และฉัน (ท่าน) จะต้องคดโกง และขาดทุน ถ้าหากฉัน (ท่าน) ไม่มีความยุติธรรม อุมัร บุตร ค๊อตต๊อบ ได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ อนุญาตให้ฉันเถิด ฉันจะฟันคอเขา ท่านนบีได้ กล่าวว่า ปล่อยเขาเถิด เพราะความจริงเขามีสมัครพรรคพวก ที่คนหนึ่งคนใดของพวกท่าน จะชิงชังละหมาดของเขา ร่วมกับละหมาดของพวกนั้น การถือศิลอดของเขาร่วมกับศิลอดของ พวกนั้น พวกนั้นจะอ่านอัลกุรอาน โดยที่อัลกุรอานจะไม่ล่วงเลยลำคอของพวกเขา พวกเขาจะ ออกจากอิสลาม เหมือนลูกธนูที่ทะลุออกจากเป้า มองไปที่หัวธนูก็ไม่พบสิ่งใด แล้วมองไปที่ๆ หัวธนูเจาะเข้าไปก็ไม่พบสิ่งใด แล้วมองไปที่ถูกธนูที่ยังไม่ติดตัวและใส่หาง ก็ไม่พบสิ่งใด แล้ว มองไปที่หางธนู ก็ไม่พบสิ่งใด ลูกธนูมันได้เลยผ่านขี้และเลือด[223] เครื่องหมายของพวกเขา คือ ชายผิวดำคนหนึ่ง ที่ต้นแขนข้างหนึ่งจากในสองของเขา เหมือนเต้านม ผู้หญิงหรือเหมือน ก้อนเนื้อที่กระเพื่อมอยู่[224] พวกเขาจะออกมาในยุคที่ประชาชนแตกแยกกัน[225]  อะบู สะอีด ได้กล่าวว่า ฉันขอยืนยันว่า    แท้จริงฉันได้ยินหะดีษนื้มาจากท่านนบี ซ.ล.            และขอยืนยันว่า แท้จริงอะลื ร.ฎ. ได้ทำสงครามกับพวกเขา โดยฉันอยู่กับอะลี เขาได้มีคำสั่งให้จัดการกับชายคนนื้ ชายคนนื้จึงถูกตามหาตัว และได้ลูกนำตัวมา ฉันมองดูเขา พบว่ามีลักษณะตามที่ท่าน รอซูลุลเลาะฮ์ ซ.ล. ได้บรรยายลักษณะไว้[226] 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

การสู้รบกับพวกคอวาริจ เป็นหน้าที่ของทุกคน

เล่าจาก อะบี ซัรร์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริง ภายหลังจากฉันจะมีประชากรของฉัน หรือจะเถิดขึ้นภายหลังจากฉันมีพวกหนึ่งจากประชากร ของฉัน พวกเขาจะอ่านอัลกุรอาน โดยที่อัลกุรอานจะไม่เลยลูกกระเดือกของพวกเขา พวกเขา จะออกจากศาสนา เหมือนลูกธนูออกจากเป้า แล้วพวกเขาจะไม่กลับมาลู่ศาสนาอีก พวกเขา เป็นสรรพสิ่งรวมทั้งมนุษย์และสัตว์ที่เลวที่สุด 

รายงานโดย มุสลิม และอะบู ดาวูด

ตัวบทของอะบู ดาวูดว่า ต่อไปจะเถิดความขัดแย้ง และแตกแยกขึ้นในประชากรของฉัน พวกหนึ่งจะดืแต่พูด แต่เลวในการกระทำ พวกเขาจะอ่านอัลกุรอาน โดยที่อัลกรอาน จะไม่ เลยลูกกระเดือกของพวกเขา พวกเขาจะออกจากศาสนา เหมือนลูกธนูที่ออกจากเป้า พวกเขา จะไม่กลับมาอีกนอกเสียจากลูกธนูจะกลับมาสู่แหล่งเดิมของมัน[227] พวกเขาเป็นสรรพสิงรวม ทั้งมนุษย์และสัตว์ที่เลวที่สุด โชคดีจะเป็นของผู้ทีฆ่าพวกเขา และทีพวกเขาได้ฆ่าผู้นั้น พวกเขา จะเรียกร้องมาสู่คัมภีร์ของอัลเลาะห์ ทั้งที่พวกเขาไม่มีสิ่งใดจากคัมภีร์เลย ผู้ใดสู้รบกับพวกเขา เขาเป็นคนดืสำหรับอัลเลาะห์ยิ่งกว่าพวกเขา, พวกเขา (อัครสาวก) ได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ อะไรคือความหมายของพวกเขา ท่านตอบว่าคือ การโกนหัว[228]

เล่าจากอุบัยดิลลาห์ บุตร อะบีรอฟิอฺ ร.ฎ.[229] ว่า ความจริง พวกฮะรูรียะห์เมื่อ แยกตัวออกไปเป็นศัตรูกับ อะลี ร.ฎ.[230] นั้นพวกเขาได้กล่าวว่า ไม่มีการตัดสินนอกจาก โดยอัลเลาะฮ์เท่านั้น อะลีได้กล่าวว่า เป็นคำพูดที่สัจจะ แต่แฝงเร้นด้วยความมดเท็จ แท้จริง ท่านรอซูลัลเลาะฮ์ ซ.ล. ได้พรรณาลักษณะของมนุษย์จำพวกหนึ่งไว้ ความจริงฉันรู้จัก ลักษณะของพวกเขาได้ดื พวกเขาเหล่านี้พูดด้วยถ้อยคำที่เป็นสัจจะด้วยลิ้นของพวกเขา ซึ่งมัน จะไม่เลยผ่านกระเดือกของพวกเขา ผู้ที่อัลเลาะฮ์โกรธกริ้วยิ่งจากพวกเขา คือ พวกคนผิวดำ ที่มีอข้างหนึ่งจากในสองข้างของเขามี (เนื้องอก) เหมือนเด้านมแพะ หรือ หัวนม ต่อมาเมื่อ อะลีได้สังหารพวกเขา ก็ได้พบผู้นั้น[231] 

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจาก เซค บุตร วะฮับ อัลญุฮะนีย์ ร.ฎ. ขณะที่เขาอยู่ในกองทหารซึ่งเดินทางไป กับ อะลี ร.ฎ. สู่พวก คอวาริจ อะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ประชาชนทั้งหลาย แท้จริงฉัน ได้ยินท่านรอซูลัลเลาะฮ์ ซ.ล. กล่าวว่า จะมีคนพวกหนึ่งออกมาจากประชากรของฉัน พวก เขาจะอ่านอัลกุรอาน การอ่านของพวกท่านกับการอ่านของพวกเขา เทียบกันไม่ได้เลย ละหมาด ของพวกท่านกับละหมาดของพวกเขาก็เทียบกันไม่ได้ การถือศิลอดของพวกท่านกับการถือศิลอด ของพวกเขาก็เทียบกันไม่ได้ พวกเขาอ่านอัลกุรอานโดยคาดเอาว่า จะเป็นประโยชน์แก่พวกเขา ทั้งที่อัลกุรอานนั้นเป็นภัยกับพวกเขา, ละหมาดของพวกเขาไม่เลยลูกกระเดือกของพวกเขา, พวกเขาจะออกจากอิสลามเหมือนลูกธนูออกจากเป้า ถ้าหากกองทหารซึ่งจะบุกพวกเขารู้สิ่งที่ ได้ลูกกำหนดไว้ แก่พวกเขาแล้ว โดยผ่านลิ้นนบีของพวกเขา แน่นอน พวกเขาจะต้องเพิกเฉย จากการทำอะมั้ล[232] และเครื่องหมายของการเช่นนั้นก็คือ แท้จริงในหมู่พวกเขา มีชายคนหนึ่งที่ต้นแขนของเขาไม่มีข้อศอก บนต้นแขนของเขามีคล้าย หัวนม บนนั้นมีขนสีขาว[233] ดังนั้น พวกท่านจะเดินทางไปหามุอาวิยะห์ และ ชาวชาม โดยทิ้งพวกเขาไว้ ให้พวกเขาจะมาดูแล ลูกหลานและทรัพย์สมบัติของพวกท่านแทนพวกท่านหรือ สาบานต่ออัลเลาะฮ์ ความจริง ฉันหวังว่า พวกเขาคือ คนพวกนั้น เพราะพวกเขาได้ทำให้เลือดที่ต้องห้ามหลั่งนองและพวก เขาได้เข้าโจมตีฝูงสัตว์ของประชาชน[234] ดังนั้นพวกท่านจงออกเดินทางเถิด ด้วยนามของอัลเลาะห์ เซต บุตร วะฮับได้กล่าวว่า พวกเราได้เดินทางไป และได้ลงพักในสกานที่แห่งหนึ่ง จนพวก เราได้ผ่านสะพานแห่งหนึ่ง และเมื่อพวกเราได้พบกัน โดยในวันนั้นพวก คอวาริจ มี อับดุล เลาะฮ์ บุตร วะอับ อัรรอสีบีย์ เป็นหัวหน้า (อะลี) ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านจงโยนหอกทิ้งไป และเปลือยดาบของพวกท่านออกจากฝักของมัน ฉันกลัวว่าพวกเขาจะขอร้องพวกท่านเหมือน ที่ได้เคยขอร้องพวกท่านมาแล้ว ในวันฮะรูรออุ ดังนั้นพวกเขาจึงกลับ และได้ขว้างหอกของ พวกเขาทิ้งไป และเปลือยดาบของพวกเขา ประชาชนได้ใช้หอกของพวกเขาจู่โจมพวกนั้น และ บางส่วนของพวกเขาก็ถูกฆ่า ทับบนอีกพวกหนึ่ง โดยที่กองทหารของพวกเรา ไม่มีผู้ใดใต้รับ บาดเจ็บ นอกจากมีเพียงผู้ชายสองคนเท่านั้น อะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกท่านจงค้นหา คน ที่ข้อศอกพิการในหมู่พวกเขา พวกทหารได้ค้นหาเขา แต่ก็ไม่พบ อะลี จึงได้ลุกขื้นด้วยตัวเอง จนได้มาถึงกลุ่มชนที่บางส่วนของพวกเขา ลูกฆ่าทับถมอีกบางส่วน อะลี ได้กล่าวว่า พวกท่าน จงเอาพวกเขาไวัทีหลัง และต่อมาก็ได้พบเขาติดอยู่กับแผ่นดิน อะลี ได้กล่าว ตักบีร แล้วกล่าวว่า อัลเลาะฮ์ทรงสัจจะ และศาสนทูตของพระองค์ได้ประกาศทั่วถึงแล้ว อะบีดะห์ อัซซัลมะนีย์ได้ลุกขื้นไปหาอะลี แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านผู้นำของมวลผู้ศรัทธา ฉันขอถามท่าน ด้วยอัลเลาะฮ์ ผู้ซึ่งไม่มีพรเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้ นอกจากพระองค์ว่า ท่านได้ยิน หะตีษนี้มาจากท่านรอซูลุลเลาะฮ์ ซ.ล. หรือ  อะลี ตอบว่า ถูกแล้ว ขอสาบานต่ออัลเลาะฮ์ ผู้ซึ่งไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะฮ์จนได้ขอให้เขาสาบานสามครั้ง โดย ที่เขาก็สาบานให้[235]

รายงานโดย มุสลิม และ อะบู ดาวูด

ถ้อยคำเกี่ยวกับสงครามอูฐ[236]

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร ซิยาด อัลอะซะตีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อ ตอลฮะห์, ซุบัยร์ และ อาอิซะฮ์ ได้เดินทางไปยัง บัสเราะฮ์ อะลี ได้ส่ง อัมมาร บุตร ยาสีร และ หะซัน บุตร อะลีไปยังกูฟะห์ เพื่อเรียกร้องให้ประชาชนออกไปสงคราม[237]  หะซันได้ขึ้นบนมิมบัรในส่วนที่สูงสุดของมัน ส่วน อัมมัร ยืนอยู่ตํ่ากว่าหะซัน พวกเราจึงได้มาชุมนุมกัน ฉันได้ยิน อัมมาร กล่าวว่า แท้จริง อาอิชะห์ได้เดินทางไปยังบัสเราะห์ และขอสาบานต่ออัลเลาะฮ์ว่า แท้จริงอาอิชะห์เป็นภรรยาของนบีของพวกท่าน ทั้งในดุนยาและอาคีเราะฮ์ แต่อัลเลาะฮ์ได้ ทรงทดลองพวกท่านด้วยนาง เพื่อพระองค์จะได้ทรงทราบว่า พวกท่านจะเชื้อฟังพระองค์ หรือเชื้อฟังนาง 

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจากอะบีบักเราะฮ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อัลเลาะฮ์ได้ให้ฉันได้รับประโยชน์ด้วยถ้อยคำ หนึ่ง ในวันสงครามอูฐ เมื่อท่านนบี ซ.ล. ได้ทราบข่าวว่า พวกเปอร์เซียได้สถาปนาแต่งตั้ง บุตรสาวของกิสรอเป็นกษัตริย์[238] ท่านได้กล่าวว่า จะไม่ได้รับความสำเร็จ คนพวกหนึ่งทีได้ มอบกิจการของพวกเขาให้ผู้หญิงปกครอง[239] 

รายงานโดย บุคอรี

อิมริอัล กอยส์ ได้กล่าวว่า สงครามนั้นเริ่มแรกเหมือนหญิงงาม มันจะใช้เครื่องประดับของมันลวงคนโง่ทุกคน จนเมื่อมันลุกโชนและเปลวเพลิงของมันลุกโพลงขึ้น มันได้กลายสภาพเป็นหญิงชราที่ หาคนเหลียวแลไม่ได้ ผมขาวโพลน สีของมันน่า"ยังและแปรเปลี่ยนเป็นที่น่ารังเกียจแก่การดมและชมเชย

บทที่สี่ ผู้ที่อ้างตัวเป็นนบี[240]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะฮ์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า วันกิยามะฮ์ จะยัง ไม่เถิดชื้น จนกว่าพวก ดัจญาล จอมโกหก จะถูกบังเถิดชื้นมาเกือบสามสิบคน ทั้งหมดนั้น อ้างตัวเป็นคาสนทูตของอัลเลาะฮ์[241]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากเซาบาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า วันกิยามะฮ์จะยังไม่เถิดชื้น จนกว่าจะมีหลายเผ่าจากประชากรของฉันติดตามไปอยู่กับพวกผู้ตั้งภาคี และจนกว่าพวกเขา จะสักการะ รูปเคารพ และแท้จริงจะปรากฏชื้นในประชากรของฉัน สามสิบจอมโกหก พวก เขาทั้งหมดจะอ้างตัวว่าเป็นนบี ทั้งที่ฉันเป็นนบีสุดท้ายจะไม่มีอีกภายหลังจากฉัน 

รายงานโดย ติรมิซี และอะบู ดาวูด

มุซัยลิมะห์ และอัลอันซีย์ จอมโกหกทั้งสอง

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มุซัยลิมะห์ จอมโกหก ได้มายังนครมะตีนะห์ ในสมัยท่านนบี ซ.ล. และได้กล่าวว่า ถ้าหากมูฮัมมัด จะมอบงานชิ้นนี้ให้ฉัน ภายหลังจาก เขา ฉันก็จะยอมตามเขา และเขาได้มาสู่นครมะตีนะห์ ในท่ามกลางผู้คนเป็นจำนวนมาก ที่เป็น พวกพ้องของเขา[242] ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มุ่งหน้ามาหาเขา พร้อมด้วย ซาบิต บุตร กอยส์ บุตร ซัมมาส[243] โดย,ในมือของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. มีก้านอินทผลัมท่อนหนึ่ง จนท่านได้มาหยุดที่ มุซัยสิมะห์ ซึ่งอยู่ในท่ามกลางสาวกของเขา ท่านนบีได้กล่าวว่า ถ้าหาก เจ้าขอฉัน ก้านอินทผลัมท่อนนี้ ฉันก็จะไม่ให้มันแก่เจ้า และเจ้าจะไม่สามารกทำให้คำบัญชา ของอัลเลาะห์ หลุดพ้นเจ้าไปได้ และถ้าแม้นว่าเจ้าจะผินหลังให้ อัลเลาะฮ์ก็จะต้องเชือดเจ้า อย่างแน่นอน และความจริงฉันจะให้ท่านเห็นสิ่งซึ่งฉันถูกให้ฝันเห็นตามสิ่งที่ฉันได้เห็น[244] และ นี่คือ ซาบิต เขาจะโต้ตอบเจ้าแทนฉัน จากนั้นท่านนบีได้หันออกจากเขา อิบนุ อับบาส ได้ กล่าวว่า ฉันได้ถามอะบู ฮุรอยเราะห์ ถึงคำพูดของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ที่ได้กล่าวว่า ความจริงฉันจะให้ท่านเห็นสิ่งซึ่งฉันถูกให้ฝันเห็นตามสิ่งที่ฉันได้เห็น อะบู ฮุรอยเราะห์กล่าวว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขณะที่ฉันกำลังนอนหลับ ได้ฝันเห็นว่า ในมือทั้งสองข้างของฉัน มีกำไลทองสองวง สภาพของมันทั้งสอง ทำให้ฉันหม่นใจ จึงได้มี วะฮีย์มายังฉันในขณะหลับนั้นว่า จงเป่ามันทั้งสอง ฉันได้เป่ามันทั้งสองและมันทั้งสองก็ได้ ปลิวไป และฉันได้แก้ฝันว่า มันทั้งสองนั้น คือ จอมโกหกสองคนที่เถิดขื้นภายหลังจากฉัน หนึ่งจากในสองคือ อัลอันซีย์ และอีกคนหนึ่ง คือ มุซัยลิมะห์ และในรายงานหนึ่งว่า ฉันได้ แก้ฝันว่า มันทั้งสอง คือ จอมโกหกสองคน ซึ่งฉันอยู่ระหว่างเขาทั้งสอง คนหนึ่งอยู่ที่ ชอนอาอ์ และอีกคนหนึ่งอยู่ที่ ยะมามะห์ [245] 

รายงานโดย บุคอรี และ มุสลิม

กล่าวถึง อิบนุ ศอยยาด[246]

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร อุมัร ร.ฎ. ว่า แท้จริง อุมัร บุตร ค๊อตต๊อบ ร.ฎ. ได้เดิน ทางไปกับท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ในชนกลุ่มหนึ่ง มุ่งตรงไปหา อิบนุ ซอยยาดจนท่านนบีได้พบเขากำลังเล่นอยู่กับเด็กๆ อยู่บนป้อมสูงของตระกูล บะนี มะฆอละห์ในวันนั้นเขาเกือบ บรรลุศาสนภาวะแล้ว โดยที่เขาก็ไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้ใช้มือของ ท่านตบหลังเขา หลังจากนั้นท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านจะปฏิญาณไหมว่า ฉันเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ อิบนุ ศอยยาด มองดูท่านแล้วกล่าวว่า      ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า แท้จริงท่านเป็นศาสนทูตของพวกอุมมียีน[247] หลังจากนั้นอิบนุศอยยาดได้กล่าวว่า        ท่านจะปฏิญาณไหมว่า ฉันเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์  ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ปฏิเสธเขา[248] และได้กล่าวว่า ฉันศรัทธาต่ออัลเลาะฮ์ ต่อ บรรดาศาสนทูตของพระองค์ จากนั้น ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ถามเขาว่า     ท่านเห็นอะไรบ้าง[249] เขาตอบว่า มีทั้งจริงและเท็จมาสู่ฉัน[250] ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า  งานนี้ได้เถิดสับสนกับท่านแล้ว[251] หลังจากนั้นท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.

ได้กล่าวแก่เขาว่า ความจริงฉันได้ซ่อนสิ่งหนึ่งไว้ให้กับท่าน[252] เขากล่าวว่า มันคือ ดุคค์ ท่าน

รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า              จงไปให้พัน ท่านจะไม่อาจล่วงเลยขนาดของท่าน (ที่รู้)

ไปได้ อุมัร บุตร คือตต๊อบ ได้กล่าวว่า              ปล่อยฉันเถิด โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ฉัน

จะฟันต้นคอเขา ท่านนบีได้กล่าวแก่ อุมัรว่า ถ้าหาก อิบนุ ศอยยาด เป็น ดัจญาล แล้ว ท่านก็ จะไม่อาจข่มขี่เขาได้ และถ้าหากเขาไม่ใช่ ดัจญาล ก็ไม่มีความดีใดๆ แก่ท่านในการฆ่าเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี 

และมุสลิม ได้รายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากนั้น ท่านนบี ซ.ล. และ อุบัยย์ บุตร กะอับ กำบังตัว โดยพลางตัวเข้าไปฟังสิ่งหนึ่ง จากอิบนุศอยยาด ก่อนทีอิบนุศอยยาด จะเห็นท่าน ขณะที่เขากำลังนอนตะแคง อยู่บนที่นอน ในผ้ากำมะหยี่ของเขา ในนั้นมีเสียงพึมพำ[253]มารดาของ อินบุ ศอยยาด เห็นนบี ซ.ล. ขณะทีท่านใช้กิ่งอินทผลัมกำบังตัวอยู่ หล่อนจึงได้ กล่าวแก่บุตรชายของหล่อนว่า โอ้ ซอฟ์ นึ่คือ มูฮัมมัด, อิบนุ ศอยยาด จึงตื่นขึ้น ท่านรอ ซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากหล่อนปล่อยเขาไว้ เขาก็คงจะบรรยาย

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. อะบูบักร์ และอุมัรได้พบกับ เขา[254] ในบางเส้นทางของนครมะดีนะห์ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขาว่า . ท่านจะปฏิญาณไหมว่า ฉันเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ เขาได้กล่าวว่า ท่านจะปฏิญาณไหมว่าฉันเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์  ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ฉันศรัทธาต่ออัลเลาะฮ์ ต่อบรรดามะลาอิกะห์ ต่อบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ ท่านเห็นอะไรบ้าง เขาตอบว่า ฉันเห็นบัลลังก์ (อัรช์) อยู่บนนํ้า         ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านกำลังเห็น บัลลังก์ของอิบลีส อยู่บนทะเล และท่านเห็นอะไรอีก                 เขากล่าวว่าฉันเห็นสองสิ่งที่สัจจะ และสิ่งหนึ่งที่เป็นเทีจหรือสองสิ่งที่เป็นเท็จ และสิ่งหนึ่งที่สัจจะ ท่านนบีได้กล่าวว่า เขาสับสนแล้ว พวกท่านจงปล่อยเขาเถิด[255]

และเล่าจากเขา (อะบี สะอีด) ได้กล่าวว่า          พวกเขาได้ออกไปประกอบพิธีฮัจย์ หรือ

อุมเราะฮ์ โดยมีอิบนุซออิดร่วมไปกับพวกเราด้วย ต่อมาพวกเราได้ลงพักที่สกานที่แห่งหนึ่ง ประชาชนได้แยกย้ายกันไป โดยมีฉันอยู่กับเขา ฉันรู้สึกหวาดกลัวเขาอย่างหนัก อันเนึ่องมาจาก สิ่งที่มีผู้พูดเกี่ยวกับตัวเขา[256] อะบู สะอีด ได้กล่าวว่า เขาได้นำข้าวของของเขามาวางรวมกับ

ข้าวของของฉัน ฉันจึงได้กล่าวว่า         ความจริง (แดด) ร้อนจัด หากท่านจะวางข้าวของไว้ใต้

ต้นไม้นั้น(ก็จะเป็นการดี) เขาจึงได้ปฏิบัติ อะบู สะอีดได้กล่าวว่า         ต่อมาได้ปรากฏแพะตัวหนึ่ง

แก่เรา เขาได้ไปและนำเอานํ้านมมา แล้วกล่าวว่า           จงดื่มเถิด อะบู สะอีด, ฉันได้กล่าวว่า

แท้จริงร้อนจัด และนมก็ร้อน ฉันไม่มีอะไร นอกจากรังเกียจที่จะดื่ม (นม) จากมือของเขา หรือ (รังเกียจ) ที่จะเอาจากมือของเขาต่อมาอิบนุซออิดได้กล่าวว่า                                                     โอ้อะบูสะอีด ฉันตั้งใจจะเอา

เชือกมาเส้นหนึ่งแขวนกับต้นไม้ แล้วผูกคอตาย อันเนื่องมาจาก สิ่งที่ประชาชนได้พูดถึงตัวฉัน โอ้อะบู สะอีด มีใครบ้างที่ไม่ทราบหะดีษของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. พวกท่านที่เป็นชาว อันชอรทุกคนก็ทราบดีตัวท่านไม่ใช่หรือที่รู้หะดีษของท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ยิ่งกว่าใครๆ ความจริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าว (ในเรื่องดัจญาล) ไม่ใช่หรือ ดัจญาลนั้นเป็นกาฟิรแต่ฉันเป็นมุสลิม ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวไว้ไม่ใช่หรือว่า ดัจญาลเป็นหมัน ไม่มีบุตร แต่ฉันทิ้งบุตรของฉันไว้ที่มะดีนะห์ ได้กล่าวถึงเขาไม่ใช่หรือว่าจะไม่เข้ามะดีนะห์และ มักกะห์ แต่ความจริงฉันได้มาจากมะดีนะห์ และกำลังมุ่งหน้าสู่มักกะห์ อะบู สะอีด ได้กล่าว ว่า จนฉันเกือบจะขอโทษเขา แต่หลังจากนั้นเขาได้กล่าวว่า พึงทราบเถิด สาบานต่ออัลเลาะห์ฉันรู้จักดัจญาล ฉันรู้ที่กำเนิดของเขา และรู้ว่าเขาอยู่ดูที่ไหนขณะนี้ อะบู สะอีด ได้กล่าวว่า ฉันได้กล่าวแก่เขาว่า ความพินาศจงเถิดแก่เจ้าทุกวันไป

รายงานหะดีษทั้งสอง โดยมุสลิม และติรมิซี

ขณะที่อิบนุ อุมัร ร.ฎ. เดินอยู่ ก็ได้พบกับ อิบนุซออิด ในบางเส้นทางของนครมะดีนะห์ อิบนุ อุมัรได้พูดกับเขาโดยใช้ถ้อยคำที่ทำให้เขาโกรธ และเขาได้ขยายตัวออกจนเต็มทางเดิน อิบนุ อุมัรได้เข้าไปหาฮัฟเซาะห์ และแจ้งให้หล่อนทราบ หล่อนได้กล่าวแก่เขาว่า ขออัลเลาะห์ ทรงเมตตาท่าน ท่านประสงค์อะไรจาก อิบนุ ซออิด ท่านไม่ทราบหรือว่า ท่านรอซูลลุลเลาะฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า เขาจะปรากฏตัว เนื่องจากความโกรธจัด

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ได้กล่าวว่า ฉันได้พบเขาอีกครั้งหนึ่ง โดยที่ตาของเขาโปนออกมา ฉันได้ถามว่า ตาของท่านเป็นอย่างนี้ตามที่ฉันกำลังเห็นตั้งแต่เมือไหร่                    เขาตอบว่า ไม่รู้ ฉันกล่าวว่า ท่านไม่รู้หรือทั้งที่มันอยู่ที่หัวของท่าน เขาได้กล่าวว่า                                                                ถ้าหากอัลเลาะห์ประสงค์ พระองค์ก็จะสร้างมันขื้นมาให้อยู่ที่ไม้เท้าของท่านนี้ อิบนุ อุมัรได้กล่าวว่า เขาได้ส่งเสียงร้องเหมือนลาตัวที่ส่งเสียงดังที่สุดที่ฉันเคยได้ยิน อิบนุ อุมัรได้กล่าวว่า เพื่อนๆ ของฉันบางคนคิดว่าฉันตีเขาด้วยไม้เท้าที่ฉันมีอยู่จนมันหัก สำหรับตัวฉันขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ว่า ฉันไม่ทันรู้สึก, จากนั้นฉันได้เข้าไปหามารดาของมวลผู้ศรัทธา และได้เล่าให้นางฟัง นาง ได้กล่าวว่าท่านประสงค์อะไรจากเขา ท่านไม่ทราบหรือ ความจริงเขา (ท่านนบี) ได้กล่าวว่า แท้จริงสิ่งแรก ที่เขาจะแสดงมันแก่ประชาชน คือ ความโกรธจัด 

รายงานหะดีษทั้งสอง โดยมุสลิม

เล่าจาก มุฮัมมัด บุตรอัลมุนกะดิร ได้กล่าว่า ฉันได้เห็นญาบิร บุตรอับดิลลาห์ ร.ฎ. สาบานต่ออัลเลาะห์ ว่า อิบนุ ซออิด คือ ดัจญาล ฉันได้กล่าวว่า                                                    ท่านสาบานต่ออัลเลาะห์

หรือ     เขาได้กล่าวว่า แท้จริง ฉันไดยินอุมัรสาบานเช่นนั้นที่ท่านนบี ซ.ล. โดยท่านไม่ปฏิเสธ

เขา[257]

รายงานโดยมุสลิม และ อะบู ดาวูด

ในพวกซะกีฟนั้นมีจอมโกหกและจอมทำลาย

เล่าจาก อะบี เนาฟัล ร.ฎ. ได้กล่าวว่า             ฉันได้เห็นอับดุลเลาะห์ บุตร ซุบัยร์ ร.ฎ.

ลูกจับตรึงอยู่ที่เส้นทางไปมะตีนะห์[258] พวกกุเรซและประชาชนได้เดินผ่านเขาไป จนอับดุลเลาะห์ บุตรอุมัรผ่านมา เขาได้หยุดแล้วกล่าวว่า                                                   ขอความสันติจงมืแต่ท่าน โอ้ อะบู คุบัยบ์[259] และ

เขาได้กล่าวซ้ำถึงสามครั้ง[260] พึงทราบเถิดขอสาบานต่ออัลเลาะฮ์ว่า ฉันได้เคยห้ามท่านแล้ว จากการนี้ และเขาได้กล่าวซ้ำถึงสามครั้ง พึงทราบเถิดความจริงตัวท่านตามที่ฉันรู้ เป็นคนตีที่ ถือศีลอด เป็นคนที่ตื่นขึ้นมาทำอิบาดะห์ เป็นคนที่ติดต่อสัมพันธ์กับวงศ์ญาติ[261] พึงทราบเถิด ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ มีประชากรหนึ่ง ซึ่งท่านเป็นคนชั่วที่สุดนั้น เป็นประชากรที่ดี หลังจากนั้น อิบนุ อุมัรก็ได้ใป ต่อมาฮัจยาจ ได้ทราบท่าทีของอับดุลเลาะห์ (อิบนุ อุมัร) และคำพูดของเขา จึงได้ ส่งคนไปยังเขา (อับดุลเลาะฮ์ บุตร ซุบัยร์) ร่างของเขาจึงได้ลูกนำลงจากต้นอิทผลัม และถูกนำ ไปโยนลงในที่ฝังศพของพวกยะฮูด จากนั้นฮัจยาลได้ส่งคนไปหามารดาของเขาคืออัสมาอุ บุตรี อะบูบักร์ ร.ฎ. แต่หล่อนไม่ยอมมาหาฮัจยาล เขาได้ส่งทูตกลับไปหาอีกว่า เธอจะต้องมาหา ฉัน หรือ ฉันจะต้องส่งคนไปฉุดเธอด้วยเขาของเธอ ทูตได้กล่าวว่า หล่อนไม่ยอมมา และ หล่อนยังได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะฮ์ ฉันจะไม่ไปหาท่านจนกว่าท่านจะส่งคนไปฉุดฉันด้วย เขาของฉัน ผู้เล่าได้กล่าวว่า ฮัจยาจ ได้กล่าวขึ้นว่าพวกเจ้าจงไปเอารองเท้าของฉันมา ต่อมาเขาได้สวมรองเท้าแล้วเดินทางไปอย่างรีบร้อนและวางท่า จนได้เข้าไปหาหล่อนแล้วกล่าว ว่า          เธอเห็นว่าฉันได้กระทำอย่างไรต่อศัตรูของอัลเลาะห์ อัสมาอุ ตอบว่า ฉันเห็นว่าท่านได้ทำลายดุนยาของเขาและเขาได้ทำลายอาคีเราะห์ของท่าน, ฉันได้ทราบว่าท่านได้กล่าวแก่เขา ว่า โอ้ลูกของหญิงทีมีผ้าคาดเอวสองผืน, ฉันเอง ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ฉันคือ หญิงทีมี ผ้าคาดเอวสองผืน ผืนหนึ่งนั้น ฉันใช่มันรัดอาหารของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. และอาหาร ของอะบูบักรให้ติดกับสัตว์พาหนะ ส่วนอีกผืนหนึ่งมันเป็นผ้าคาดเอวของผู้หญิงที่ต้องมี พึง ทราบเถิดว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เล่าให้พวกเราฟังว่า ในพวกชะกีฟนั้นมีจอม โกหกและจอมทำลายสำหรับจอมโกหกนั้น พวกเราได้เห็นเขาแล้ว[262] ส่วนจอมทำลายนั้น ฉันไม่ คิดว่าเป็นใครอื่นนอกจากตัวท่าน[263] ผู้เล่าได้กล่าวว่า  ฮัจยาจ ได้ลุกขึ้นออกไปจากหล่อน โดย

ไม่ได้โต้เถียงหล่อน

รายงานโดย มุสลิม และ ติรมิซี

บทที่ 5

ศึกใหญ่ระหว่างมุสลิมกับกาฟิร
สงครามกับตุรก์และฮะบะชะห[264]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า วันกิยามะห์จะยังไม่

เถิดขึ้น จนกว่าพวกท่านจะต้องสู้รบกับพวก ตุรกี ที่มีตาเล็ก หน้าแดง จมูกสั้นแบนใบหน้า ของพวกเขาคล้ายโล่หนัง[265] และวันกิยามะห์ จะยังไม่เถิดขึ้น จนกว่าพวกท่านจะสู้รบกับกลุ่ม ชนหนึ่งที่รองเท้าของพวกเขาเป็นขน[266] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ในเรื่อง ญิฮาด

และตัวบทของอะบีดาวูด ในเรื่องนี้และนะซาอีในเรื่องญิฮาด ว่า พวกท่านจงทิ้ง

พวกฮะบะชะห์ ตราบเท่าที่พวกเขาทิ้งพวกท่าน และพวกท่านจงปล่อยพวกตุรก์ ตราบเท่าที่ พวกเขาปล่อยพวกท่าน[267]

และตัวบทของอะบีดาวูดว่า        พวกท่านจงทิ้งพวกฮะบะซะห์ ตราบเท่าที่พวกเขาทิ้ง

พวกท่าน เพราะความจริง จะไม่มีใครนำเอาคลังของกะอ์บะห์ ออกมาได้ นอกจากผู้ที่มีสอง แข้งเล็กๆ จากพวกฮะบะชะห[268]

การสงครามกับฮินด์ และชนชาติที่ไม่ใช่ชาวอาหรบ

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้สัญญาไว้ กับพวกเราว่า จะต้องทำสงครามกับ ฮินด์ และถ้าหากฉันได้พบกับมัน ฉันจะสละชีวิตและ ทรัพย์สินของฉัน และถ้าหากฉันถูกฆ่า ฉันก็จะเป็นนักรบชะฮีดที่ประเสริฐที่สุด และถ้าหาก ฉันกลับมา ฉันก็คือ อะบูฮุรอยเราะห์ ผู้ถูกปลดปล่อย[269]

และในรายงานหนึ่งว่า สองพวกจากประชากรของฉัน ทิ้อัลเลาะห์คุ้มครองพวกเขาทั้ง สองให้พ้นจากไฟนรก พวกหนึ่งได้ทำสงครามกับ ฮินด์ และอีกพวกหนึ่งอยู่กัปอีซาบุตร ม้รยัม อ.ล. รายงานหะด!/ทั้งลองํ โดยน่าขาอในเรอง ญิฮาด

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า วันกิยามะห์จะยังไม่เถิดขึ้น จนกว่าพวกท่านจะสู้รบกัน คุชและกิรมาน ที่ไม่ใช่เป็นชนชาวอาหรับ[270] พวก เขาหน้าแดง จมูกแบน ตาเล็ก ใบหน้าของพวกเขาเหมือนโล่หนัง รองเท้าของพวกเขาเป็น ขน 

รายงานโดย บุคคอรี ในเรื่อง ตำแหน่งนบี

การสู้รบกับพวกโรมัน และที่ลี้กัยของมวลมุสลิมคือ
อัลฆูเตาะห์ และ บัสเราะห[271]

เล่าจาก ซี มิคบัร ร.ฎ. ความจริงเขาถูกถามถึงเรื่องสัญญาสงบศึก[272] เขาตอบว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า ต่อไปพวกท่านจะประนีประนอมที่ให้ความปลอดภัย พวกท่านจะทำสงครามกับศัตรูด้วยตัวของพวกท่าน โดยมีพวกเขาอยู่เบื้องหลังพวก ท่าน พวกท่านจะได้ชัยชนะ จะได้ทรัพย์สงครามและปลอดภัย หลังจากนั้นพวกท่านจะกลับ มา, จนลงพักอยู่ ณ สถานที่กว้างที่มีเนินทรายหลายแห่ง[273] ผู้ชายชาวนัสรอนี คนหนึ่งจะยก ไม้กางเขนขื้น แล้วกล่าวว่า ไม้กางเขนมีชัยชนะแล้ว ชายคนหนึ่งจากพวกมุสลิม จะเถิดความโกรธ และทุบทำลายมัน และในขณะนั้นเอง พวกโรมันก็จะผิดสัญญาและระดมกำลังเพื่อทำสงคราม ใหญ่ มวลมุสลิมก็จะลุกขึ้นจับอาวุธของพวกเขา และเข้าทำสงคราม อัลเลาะห์จะให้เกียรติคน พวกนี้ด้วยการเป็นนักรบชะฮีด 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ ฮากีม

เล่าจาก อะบี ดัรดาอฺ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า                     กระโจม

ของมวลมุสลิมในวันสงครามใหญ่ อยู่ที่อัรฆูเดาะห์77 อยู่ใกล้ชิดกับเมืองหนึ่ง ที่มีชื่อเรียกว่า ติมัชก์ ซึ่งเป็นเมืองที่ดีที่สุดของชามเล่าจาก อะบีบักเราะฮ์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ กล่าวว่า ประชาชนจากประชากรของฉันจะลงพัก ณ ที่ลุ่มแห่งหนึ่งที่พวกเขาเรียกมันว่า บัสเราะฮ์ อยู่ใกล้แม่นํ้าที่มีนึ่อเรียกว่า ดิจละห์ (ไทกิส) จะมีสะพานทอดข้ามแม่น้ำนั้น และมีผู้อาศัยอยู่มาก และมันจะเป็นหัวเมืองหนึ่งของมวลมุสลิม และเมื่อใกล้ถึงวาระสุดท้าย จะมีพวกบะนู กอนตูรออุ[274] มา พวกเขามีใบหน้ากว้าง ตาเล็ก จนกระทั่งพวกเขาจะลงพักอยู่กึ่งกลางแม่น้ำ และประชาชน ที่อาศัยอยู่ก็จะแบ่งออกเป็นสามพวก พวกหนึ่งจะเอาหางวัว และอยู่บนบก และพวกเขาก็พินาศ[275]พวกหนึ่งเอาความปลอดภัยแก่ตัวเอง และกลายเป็นผู้ไร้ศรัทธา[276] และอีกพวกหนึ่ง จะเอาลูกหลานของพวกเขาไว้ข้างหลังและสู้รับกับพวกนั้น โดยพวกเขาเป็นนักรบชะฮีด

เล่าจากเซาบาน ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า เกือบแล้วที่ประชากรต่าง วุ จะเรียกร้องกันมารุมทำร้ายพวกท่าน เหมือนกับผู้รับประทานจะเรียกกันมารุมถาดอาหารของพวกเขา[277] ได้มีผู้กล่าวว่า พวกเรามีน้อยหรือในวันนั้น โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านนบีได้กล่าวว่า แต่พวกท่านในวันนั้นมีเป็นจำนวนมาก แต่พวกท่านเป็นฟองเหมือนฟองนํ้าบ่า[278] และแน่นอนอัลเลาะห์จะต้องถอดความเกรงขามพวกท่านออกจากหัวใจของศัตรูพวก ท่าน[279] และจะต้องขว้างความอ่อนแอ เข้าสู่หัวใจของพวกท่าน ได้มีผู้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ อะไรคือความอ่อนแอ ท่านตอบว่า คือรักดุนยาและรังเกียจความตาย[280] 

รายงานหะดีษทั้งสามโดย อะบู ดาวูด

มสยิดอัลอัซซาร ณ อะบุ้ลละห์[281]

เล่าจาก ซอลิห์ บุตร ดิรฮัม ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ออกเดินทางไปทำฮัจย์ โดยมีชายคนหนึ่งมาพบกับพวกเรา แล้วกล่าวว่า ใกล้ๆ กับพวกท่านมีตำบลหนึงมีข้อเรียกว่า อัลอุบุลละห์ หรือพวกเราตอบว่า ถูกแล้ว เขาได้กล่าวว่า ใครบ้างจากพวกท่านที่จะคํ้าประกันให้ฉันที่เขาจะละหมาดให้ฉันสองรอกาอัต หรือ สี่ และเขากล่าวว่านึ่เป็นของอะบี ฮุรอยเราะห์[282] เพราะความจริงฉันได้ยินมิตรสนิทของฉัน คือ อะบั้ลกอซิมกล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ จะส่งนักรบชะฮีดออกจากมัสยิดอัลอัซชาร ในวันกียามะห์ จะไม่มีผู้ใดยืนร่วมกับ บรรดานักรบชะฮีด ในวันบัดร์ นอกจากพวกเขาเท่านั้น 

รายงานโดย อะบู ดาวูด ด้วยสายรายงาน ที่ซอและห์

ความรุ่งเรืองของบ้ยตุล มักดิส คือความเสื่อมโทรมของยัษริบ[283]

เล่าจากมุอ๊าช บุตร ยะบั้ล (ร.ค.) ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความรุ่งเรืองของบ้ยติ้ลมักดิส คือความเสื่อมโทรมของยัษริบ78และความเสื่อมโทรมของยัษรีบ

คือ เทิดสงครามใหญ่ และเทิดสงครามใหญ่คือ การเข้าพิชิต กุสตอนตีนียะห์ และการเข้าพิชิต กุสตอนตีนียะห์ คือการออกมาของดัจญาล หลังจากนั้นท่านใช่มือของท่านตบลงบนขาอ่อนของ ผู้ที่ท่านได้เล่าให้เขาฟัง หรือตบลงบนบ่าของเขา แล้วกล่าวว่า                                                                                                แท้จริง สิงนีเป็นสัจธรรม

เหมือนกับการที่ท่านอยู่ที่นึ่ หรือเหมือนกับการทีท่านนังอยู่ (ทีนี) รายงานโดยอะบู ดาวูด

และเล่าจากเขา (มุอำช) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สงครามใหญ่, การเข้าพิชิต กุสตอนตีนียะห์ และการปรากฏตัวออกมาของดัจญาลอยู่ในเจ็ดเดือน รายงานโดยอะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร บุสร์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าว ว่า บ่วงระหว่างสงคราม-ใหญ่-กับพิชิต มะดีนะห[284] นั้น หกปีและมะซิห์ ดัจญาล จะออกมาในปีที่เจ็ด 

รายงานโดยอะบู ดาวูดด้วยสายรายงานที่ซอและห์

การพิชิตคุสตอนตีนียะห[285][286]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านฺรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า วันกิยามะห์จะไม่เถิดขึ้น จนกว่าพวกโรมันจะลงพักที่ อะอฺมาก หรือ ดาบิก และจะมี กองทหารจากนครมะดินะฮ์ ที่เป็นคนดีของชาวดินในวันนั้นออกไปยงพวกเขา และเมื่อพวก เขาตั้งแถว พวกโรมันจะกล่าวว่า พวกเจ้าจงเปิดทางระหว่างพวกเรา กับพวกที่ได้จับพวก เราเป็นเชลยศึก พวกเราจะสู้รบกับพวกนั้น ฝ่ายมุสลิมจะกล่าวว่า ไม่สาบานต่ออัลเลาะห์ ว่า พวกเราจะไม่เปิดทางระหว่างพวกท่านกับพวกพี่น้องของเรา ดังนั้นฝ่ายมุสลิมจึงสู้รบ กับพวกโรมัน เศษหนึ่งส่วนสามพ่ายแพ้ โดยอัลเลาะห์ จะไม่รับเตาบะห์ของพวกเขาตลอด ไป[287] เศษหนึ่งส่วนสามของพวกเขาลูกฆ่า ในฐานะนักรบชะฮีดที่ดีเยี่ยมสำหรับอัลเลาะห์[288] และอีกเศษหนึ่งส่วนสามจะได้รับชแะ โดยที่พวกเขาจะไม่ประสพกับวิกฤติการณ์ร้ายแรงตลอดไป และพวกเขาก็จะเข้าพิชิต กุสตอนตีนียะย[289] ขณะที่พวกเขากำลังแบ่งสรรทรัพย์สงครามกัน นั้น พวกเขาได้แขวนดาบของพวกเขาไว้ที่ต้นมะกอกทันใดนั้นชัยฏอนได้ส่งเสียงตะโกนขึ้นเว่า แท้จริงมะซืห์ ได้ย้อนหลังพวกท่านไปในครอบครัวของพวกท่านแล้ว, และพวกเขาก็จะออกไป โดยที่มันเป็นเรื่องเท็จ[290] และขณะที่พวกเขามาถึงชาม มะชิห์ก็จะออกมา ขณะที่พวกเขากำลัง เตรียมตัวทำสงคราม กำลังจัดแถว ก็ถึงเวลาละหมาด อีซา บุตรมัรยัม ซ.ล. จะลงมาและนำพวก เขาละหมาด[291] และเมื่อศัตรูของอัลเลาะห์เห็นเขา ก็จะละลายเหมือนเกลือที่อยู่ในนํ้ากำลังละลาย และถ้าหากอีซา ปล่อยมันไป มันก็จะต้องละลายไปเองจนพินาศไป แต้อัลเลาะห์ จะสังหาร มันโดยนํ้ามือของอีซา อีซาจะให้ประชาชนได้เห็นเลือดของมันอยู่ที่หอกเขา[292]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านเคยได้

ยินไหมถึงเมืองๆ หนึ่งที่ด้านหนึ่งอยูบนบก และอีกต้านหนึ่งอยู่ในทะเลพวกเขาได้กล่าวว่า ครับ เคยได้ยิน โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห[293]  ท่านนบีได้กล่าวว่า วันกิยามะห์จะยังไม่เถิดขึ้น จนกว่าจะมีจำนวนเจ็ดสิบพันคนจากลูกหลานของอิสหาก79, ทำสงครามกับเมืองนั้น และเมื่อพวก เขาถึงเมืองนั้น ก็จะลงพัก พวกเขาจะไม่สู้รบด้วยอาวุธและไม่ยิงธนู พวกเขาจะกล่าวว่า         ไม่

มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ และอัลเลาะห์ทรงเกรียงไกรยิ่ง ต้านหนึ่ง จากสองด้าน ของเมืองนั้นที่อยู่ในทะเลก็จะล่มลงหลังจากนั้น พวกเขาจะกล่าวขึ้นเป็นครั้งที่ สองว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์ และอัลเลาะห์ทรงเกรียงไกร ยิ่ง อีกด้านหนึ่งของเมืองก็จะล่มลงไปอีกหลังจากนั้นพวกเขาก็จะกล่าวขึ้นเป็นครั้งที่สามว่า ไม่ มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์ และอัลเลาะห์ทรงเกรียงไกรยิ่งพวกเขา จะถูกเปิดชื่องให้ พวกเขาก็จะเข้าไปในเมืองนั้น และเก็บทรัพย์สงคราม ขณะที่พวกเขากำลัง แบ่งสรรทรัพย์สงครามกันนั้น ได้มีผู้ตะโกนมายังพวกเขาว่า แท้จริง ดัจญาล ได้ออกมาแล้ว พวกเขาจะทิ้งทุกสิ่งและกลับไป 

รายงาน หะดีษทั้งสอง โดยมุสลิม

พวกโรมันในยามนั้นมีมาก แต่ชัยชนะเป็นของมุสลิม

เล่าจาก อัลมุสเตาริด อัลกุรอซีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวขณะอยู่ที่อัมร์ บุตร อาสว่า ฉันไดยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า วันกิยามะห์จะเถิดขึ้น โดยที่พวกโรมันมีจำนวนมากมาย ที่สุดในหมู่มนุษย์ อัมร์ ได้กล่าวแก่เขาว่า จงชี้แจงสิ่งที่ท่านกล่าว เขาได้กล่าวว่า ฉันกล่าวถึงสิ่งที่ฉันได้ยินมาจากท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. อัมร์ ได้กล่าวว่า ถ้าหากท่านกล่าวเท่นนั้น ความจริงในตัวพวกนั้น มืสิ่ประการ คือ ความจริงพวกนั้นเป็นมนุษย์ที่มีขันติที่สุดในยามที่เถิด วิกฤติการณ์ร้ายแรง หายตกตลึงเร็วที่สุดในยามที่ประสพภัยพิบัติ และจู่โจมได้รวดเร็วหลังจาก เผ่นหนี พวกเขาเป็นคนดีของคนยากจนอ่อนแอ และเด็กกำพร้า และประการที่ห้า ดี และงดงาม พวกเขาจะยับยั้งจากการที่ผู้อยู่ใต้ปกครองถูกกดขี่

เล่าจาก นาฟิอฺ บุตร อุตบะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราอยู่กับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ในสงครามหนึ่ง ได้มีคนพวกหนึ่งมาหาท่านนบีจากทางตะวันตก บนร่างของพวกเขามีเสื้อผ้าที่ ทำจากขนสัตว์ และพวกเขาได้ตามมาทันท่านที่เนินสูงแห่งหนึ่ง พวกเขายืน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. นั่ง นาฟิอฺได้กล่าวว่า ฉันรำพึงกับตนเองว่า จงไปหาพวกเขา และยืนขวางระหว่างพวกเขากับท่านนบี เพื่อไม่ให้พวกเขาลอบฆ่าท่านนบี หลังจากนั้น ฉันได้กล่าวว่า ท่านนบีคงกระซิบกับพวกเขา ต่อมาฉันจึงไปที่พวกเขา ยืนขวางพวกเขาจากท่านนบี และฉันจดจำมา จากท่านนบี สี่ถ้อยคำที่ฉันได้นับมันด้วยมือฉันเอง ท่านนบีได้กล่าวว่า พวกท่านจะทำสงครามในคาบสมุทรอาหรับ และอัลเลาะห์ก็จะพิชิตมัน หลังจากนั้นก็พวกเปอร์เชีย อัลเลาะห์ก็จะพิชิต มัน หลังจากนั้นพวกท่านจะทำสงครามกับพวกโรมัน และอัลเลาะห์ก็จะพิชิตมัน หลังจากนั้น พวกท่านก็จะทำสงครามกับ ดัจญาล และอัลเลาะห์ก็จะเป็นฝ่ายที่พิชิตมัน ผู้เล่าได้กล่าวว่า นาฟิอฺได้กล่าวว่า โอ้ญาบิรพวกเราจะไม่ได้เห็นดัจญาลออกมา จนกว่าโรมันจะถูกพิชิต[294] 

รายงาน หะดีษทั้งสอง โดยมุสลิม

บทที่หก

สัญญาณของวันกิยามะห์[295]

เล่าจากสะหัล ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ฉันถูกแต่งตั้งมา ตัวฉันกับวันกิยามะห์ นั้น อยู่ในสภาพอย่างนี้ โดยท่านทำท่าด้วยนี้วทั้งสองของท่าน และท่านได้ยืดมัน ทั้งสอง และในรายงานหนึ่งว่า ฉันถูกแต่งตั้งมา ตัวฉันกับวันกิยามะห์ มีสภาพเหมือนสองนี้วนี้ ท่านได้รวมนี้วชี้กับนี้วกลางเข้าด้วยกัน[296] 

รายงานโดยบุคคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริงชายคนหนึ่งได้ถามท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ว่า เมื่อ ไหร่วันกิมายะฮ์จะเถิดขื้น โดยที่มีเด็กชายคนหนึ่งชื่อมุฮัมมัดอยู่กับเขา ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าถ้าหากเด็กคนนี้มีชีวิตอยู่ คิดว่าความชรายังไม่ทันจะเถิดกับเขา นอกจาก

วันกิยามะห์ จะต้องเถิดขื้น[297]

รายงานโดยมุสลิม

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า วันกิยามะห์จะยังไม่ เถิดขื้น จนกว่าจะมีคนผ่านหลุมศพของคนหนึ่ง และเขาจะกล่าวว่า ฉันอยากลงไปอยู่แทนเขา[298] 

ราพานโดย บุคอรี และมุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า วันกิยามะห์จะยังไม่เถิดขึ้น จนกว่าจะมีไฟออกมาจากแผ่นดินฮิญาซ ที่มันจะส่องแสงเห็นคออูฐที่อยู่ ณ บุสรอ[299]

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮูรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า วันกิยามะห์จะยังไม่เถิดขึ้นจนกว่าสะโพกของพวกผู้หญิงเผ่าเดาส์จะส่ายอยู่รอบๆ ซิลคอละเซาะฮ์ ซิลคอละเซาะฮ์ เคยเป็นรูปเคารพที่เผ่าเดาส์เคยสักการะในสมัย ญาฮิลียะห์ อยู่ที่ตะบาละห[300] 

รายงาน โดย บุคอรี และ มุสลิม

และตัวบทของมุสลิมว่า          กลางคืน และ กลางวัน จะยังไม่หายไปจนกว่า ลาด และอุชชา จะถูกสักการะ อาอีซะห์ ได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ฉันคิดว่า ขณะที่อัลเลาะห์ ได้ทรงประทานลงมาว่า “พระองค์เป็นผู้ทรงส่งศาสนทูตของพระองค์มา พร้อมด้วยทางนำ และศาสนาที่เที่ยงธรรม เพื่อให้ได้ชัยชนะเหนือศาสนาอื่นๆ ทั้งหมด แม้พวกผู้ตั้งภาคี จะไม่พอใจก็ตาม” แท้จริงการเช่นนั้นได้สมบูรณ์แล้ว ท่านนบีได้กล่าวว่า         ความจริงมันจะต้องเถิดขึ้นจากการเช่นนั้นตามแต่อัลเลาะห์ทรงประสงค์ หลังจากนั้นอัลเลาะห์จะส่งลมที่ดี และทุก คนที่มีอยู่ในหัวใจของเขาเพียงเท่าเมล็ดผักกาด จากความศรัทธาก็จะตายไป และจะยังคงมีชีวิต อยู่ต่อไป ผู้ทีไม่มีความดีใด ๆ อยู่ในตัวเขา และ พวกเขาก็จะกลับไปสู่ศาสนาบรรพบุรุษของ พวกเขา

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เกือบแล้วที่แม่นํ้าฟุรอด (ยูเฟรติส) จะคลายคลังสมบัติที่เป็นทองคำออกมา และผู้ที่มาสู่มัน ก็จะไม่เอาสิ่ง ใดไปจากมันเลย[301] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผืนแผ่นดินจะคายขุมทรัพย์จากเลือดเนื้อของมันออกมา เหมือนแท่งเสาหินทั้งที่เป็นทองคำ และเงิน ผู้เล่าได้กล่าวว่าขโมยจะมาแล้ว กล่าวว่าในเสมือนสิ่งนี่แหละที่มีอของฉันถูกตัด ฆาตกร จะมาแล้ว กล่าวว่า     ในสิ่งนื้แหละที่ฉันฆ่า คนที่ตัดสัมพันธ์กับเครือญาติจะมาแล้วกล่าวว่า           ในสิ่งนื้แหละที่ฉันตัดสัมพันธ์กับเครือญาติของฉัน หลังจากนั้นพวกเขาจะทิ้งมันไม่เอาสิ่งใดจากมันเลย[302]

รายงานโดย ติรมีซีในเรื่องนื้ และมุสลิมในเรื่องสละโลกีย์

เล่าจากเอาฟ์ บุตร มาลิก ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันได้มาหาท่านนบี ซ.ล. ในสงครามตะบูก ขณะที่ท่านอยู่ในกระโจมที่ทำจากหนังดิบ ท่านได้กล่าวว่า                                                     เจ้าจงนับหกประการที่มันอยู่เบื้องหน้าของวันกิยามฺะห์ คือ ความตายของฉัน จากนั้น คือการเข้าพิชิตบัยตุ้ลมักดิสจากนั้น คือ หนอนตัวเล็กๆ  ที่จะมาปรากฏแก่พวกท่าน ซึ่งเหมือนกับโรคกุอาสทีเถิดกับแพะ601 จากนั้นคือทรัพย์ที่เหลือล้นจนถึงขนาดที่ชายคนหนึงได้รับหนึ่งร้อยเหรียญทองเขาจะยังดูถูกจากนั้น คือ วิกฤติการณ์ ที่จะไม่มีบ้านใดของชาวอาหรับ รอดพ้นนอกจากมันจะเข้าไป จากนั้นคือการสงบ ศึกที่จะเถิดขึ้นระหว่างพวกท่านกับพวกผิวเหลือง602 และพวกนั้นจะละเมิดสัญญา พวกเขาจะ มายังพวกท่านภายใต้จำนวนแปดสิบธงรบ แต่ละธงรบมีจำนวนทหารหนึงหมื่นสองพ้นคน 

รายงาน โดยบุคอรี ในเรื่องสงคราม

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า วันกิยามะห์ จะยังไม่เถิดขึ้นจนกว่าจะมีผู้ชายคนหนึ่งออกมาจากกอห์ตอน เขาจะไล่ต้อนมนุษย์ด้วยไม้เท้าของเขา[303] 

รายงานโดยบุคอรี และ มุสลิม

และเล่าจาก (อะบี ฮูรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า กลางวันและกลางคืนจะยังไม่หายไป จนกว่าชายคนหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า ยะห์ยาห์ ขึ้นปกครอง 

รายงานโดย มุสลิม และ ติรมิซี

และตัวบทของติรมีรีว่า กลางคืนและกลางวัน จะยังไม่หายไปจนกว่าชายคนหนึ่งจาก ตระกูลทาส ที่มีชื่อเรียกว่า ยะห์ยาห์ ขึ้นปกครอง[304] 

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า วันกิยามะห์ จะยังไม่เถิดขึ้นจนกว่าสองกลุ่มชนที่ยิ่งใหญ่จะทำสงครามกัน โดยจะปรากฏคนตายเป็นจำนวนมาก ระหว่างทั้งสองกลุ่มนั้น โดยที่คำเรียกร้องของสองกลุ่มชนนั้น เป็นคำเรียกร้องเดียวกัน และ จนกว่าพวกดัจญาล จอมโกหก มีจำนวนเกือบสามสิบคนลูกบังเถิดขึ้น ทั้งหมดอ้างตนว่าเป็น ศาสนทูต และจนกว่าวิชาการจะถูกเก็บ แผ่นดินไหวจะเถิดขึ้นมาก เวลาจะสั้นลงวิกฤติการณ ร้ายแรงต่างๆ จะเถิดขึ้น ฮัรจ์ จะมีมากซึ่งก็คือการฆ่า และจนกว่าทรัพย์สินจะมีมากมายในหมู่พวกท่าน และมันจะล้นเหลือ จนเจ้าของทรัพย์ให้ความสำคัญกับผู้ทีจะรับการบริจาคของเขา และจนเจ้าของทรัพย์ต้องเอาทรัพย์ไปเสนอให้ และผู้ที่เขานำทรัพย์ไปเสนอให้นั้นก็จะกล่าวว่า ฉันไม่มีความจำเป็นต้องเอามัน และจนกว่าประชาชนจะพากันแข่งขันสร้างอาคารสูง และ จนกว่าคนหนึ่งจะผ่านหลุมฝังศพของคนหนึ่ง แล้วเขาจะกล่าวว่า ฉันอยากจะไปอยู่แทนที่เขา และจนกว่าตะวันจะขึ้นจากทิศที่มันตก เมื่อมันขึ้นและประชาชนได้เห็นมัน พวกเขาก็จะมีความ ศรัทธาทั้งหมดทุกคน และนั่นแหละคือขณะที่จะไม่เถิดประโยชน์แก่ชีวิตใด ความศรัทธาของ เขาที่ไม่เคยมีศรัทธามาก่อน หรือที่ไม่ได้ขวนขวายหาความดีในความศรัทธาของเขา และวันกิยามะฮ์ ก็จะต้องเถิดขึ้น โดยที่ความจริงชายสองคนได้คลี่ผ้าของเขาทั้งสองออกแก่กันแล้ว แต่เขาทั้งสอง จะไม่ทันได้ซื้อขายมันและไม่ทันที่จะพับมัน และวันกิยามะฮ์จะต้องเถิดขึ้นโดยที่ความจริงชาย คนหนึงได้มุ่งมาด้วยนมอูฐของเขา โดยที่เขาจะไม่ได้ดื่มมัน และวันกิยามะฮ์จะต้องเถิดขึ้น โดย ทีเขาได้ซ่อมแซมบ่อนํ้าของเขาไว้แล้ว แต่เขาจะไม่ทันได้ใช้นํ้าในบ่อนั้น และวันกิยามะฮ์จะต้อง เถิดขึ้น โดยทีเขาได้ยกอาหารของเขาขึ้นมาที่ปากแล้ว แต่เขาจะไม่ทันได้รับประทนมัน[305] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากฮุซัยฟะห์ อัลฆิฟารีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบีได้โผล่เข้ามาที่พวกเราขณะที่ พวกเรากำลังทบทวนกัน ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านทบทวนอะไรกัน พวกเขาได้กล่าวว่า พวกเรากำลังทบทวนถึงวันกิยามะห์ ท่านได้กล่าวว่า            แท้จริงวันกิยามาะห์จะยังไม่เถิดขึ้นจนกว่าพวกท่านจะได้พบเห็นก่อนจากมัน สิบเครื่องหมาย ท่านได้กล่าวถึง ควัน ดัจญาล สัตว์[306] ตะวันขึ้นจากทางทิศที่มันตก อีซา บุตร มัรยัม จะลงมา ยะอฺมูจ กับ มะอฺยูจ[307] และเถิดธรณี สูบ สามครั้ง ธรณีสูบเถิดทางตะวันออก ธรณีสูบเถิดทางตะวันตก และธรณีสูบที่คาบสมุทรอาหรับ

และท้ายสุดคือไฟที่จะออกมาจาก ยะมัน มันจะขับไล่ผู้คนไปสู่แหล่งรวม 

รายงานโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี 

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า วันกิยามาะห์ จะยังไม่เถิดขึ้น จนกว่า มุสลิมจะทำสงครามกับ ยะฮูด และ มุสลิมจะสังหารพวก ยะฮูดจนแม้แต่คนยะฮูดี จะไปซ่อนอยู่ข้างหลังก้อนหินและต้นไม้ ก้อนหินหรือต้นไม้นั้นก็จะ กล่าวว่า โอ้มุสลิม โอ้บ่าวของพระองค์อัลเลาะห์ ยะฮูดี คนนี้อยู่ข้างหลังฉัน จงมาฆ่าเขา[308]

นอกจากต้นฆอรก็อด เพราะความจริงมันเป็นต้นไม้ของพวกยะฮูด[309] 

รายงานโดย มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า บ้านเรือนจะแผ่ขยายไปถึง อิฮาบ หรือ ยะฮาบ[310] รายงานโดย มุสลิม และอะบู ดาวูด ตัวบทของอะบู ดาวูด ว่า เกือบแล้วที่มุสลิม จะถูกปิดล้อมที่นครมะดีนะฮ์ จนปรากฏว่า ที่มั่นของมุสลิมที่ไกลที่สุด คือซะลาฮ์[311]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อิสลาม ปรากฏ อย่างคนแปลกหน้า และจะกลับมาปรากฏอย่างคนแปลลหน้า และโชคดีจะเป็นของบรรดาคนแปลก หน้า[312] 

รายงานโดยมุสลิม และ ติรมิซี

ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงศาสนาจะขดตัวไปสู่ ฮิยาช เหมือน งูที่ขดตัวสู่รูของมัน และศาสนาจะต้องตั้งมันอยู่ที ฮิยาช เหมือนสถานทีๆ แพะภูเขาตั้งมันอยู่ ที่ยอดเขา แท้จริงศาสนาปรากฏอย่างคนแปลกหน้า และจะกลับคืนอย่างคนแปลกหน้า โชคดี จะเป็นของคนแปลกหน้าที่ปรับปรุงสิ่งที่ผู้คนทำเสื่อมเสียภายหลังจากฉันจากไป ตามแนวทาง ของฉัน[313] 

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะพูดคุยกับพวกท่านด้วยหะดีษหนึ่งที่ฉัน ได้ยินมันมาจากท่านรอซูลลุลเลาะห์ ซ.ล. ซึ่งจะไม่มีผู้ใดพูดคุยถึงมันให้พวกท่านฟังอีกหลังจากฉัน เขาได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงส่วนหนึ่งจากสัญญาณของ วันกิยามะห์ก็คือ วิชาการจะลูกยกขึ้นไป ความโง่เขลาจะปรากฏ ซินาจะแพร่หลายสุราจะลูกดื่ม ผู้หญิงจะมีมาก ผู้ชายจะมีน้อย ถึงขนาดทีผู้หญิงห้าสิบคนจะมีผู้ดูแลเพียงคนเดียว

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ชึงชีวิต ของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า วันกิยามะห์ จะยังไม่เถิดขึ้น จนกว่าเสือสิงห์จะพูด กับมนุษย์ และจนกว่าหัวไม้เท้าของชายคนหนึ่ง และสายรัดรองเท้าของเขาจะพูดกับเขา และ ขาอ่อนของเขาจะบอกเขาถึงสิ่งที่ครอบครัวของเขาได้กระทำหลังจากเขา 

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดย ติรมิซี

เล่าจากอะบี ซัรร์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว ในวันหนึ่งว่า พวกท่านรู้ไหมว่า ตะวันดวงนี้จะใปที่ไหน พวกเขากล่าวว่าอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ทราบดี ท่านบีได้กล่าวว่า แท้จริงดวงตะวันนีจะโคจรไป จนไปสุดอยู่ทีๆ  ของมันใต้บัลลังก์(อัรช์) และมันจะทรุดลงกราบ และคงอยู่อย่างนั้นจนมีผู้กล่าวแก่มันว่า จงเงยขึ้น จงกลับไปยังที่ๆ เจ้ามา และมันก็จะกลับไป และโผล่ขึ้นในตอนเช้าจากที่ขึ้นของมันหลังจากนั้นมันก็ จะโคจรไปจนไปสุดอยู่ที่ๆ ของมันใต้บัลลังก์ และมันจะทรุดลงกราบ และคงอยู่อย่างนั้น จน มีผู้กล่าวแก่มันว่า จงเงยขื้น จงกลับไปยังที่ๆ เจ้ามา มันก็จะกลับไปและโผล่ขื้นในตอนเช้า จากที่ ขึ้นของมันหลังจากนั้นมันก็จะโคจรไป โดยมนุษย์จะไม่ปฏิเสธสิ่งใดจากมัน จนมันได้ไปสุดลง ยังที่ตั้งของมัน นั่นคือใต้บัลลังก์ (อัรช์) ก็จะมีผู้กล่าวแก่มันว่าจงเงยขึ้น และโผล่ขึ้นในตอนเช้า จากทิศที่เจ้าตก ตะวันก็จะโผล่ขึ้นในตอนเช้าจากทิศที่มันตก ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าว ว่า พวกท่านทราบไหมว่า นั่นจะเถิดขึ้นเมื่อใด นั่นคือขณะที่ความศรัทธาของชีวิตใดจะไม่เถิดประโยชน์แก่เขา โดยที่ชีวิตนั้นไม่เคยศรัทธามาก่อน หรือได้ขวนขวายความดีในขณะทีมี ศรัทธามาก่อน[314] 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจากอัลดิ้ลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันจำมาจากรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. หะดีษหนึ่งที่ฉันไม่เคยลืมมันเลย หลังจากได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ กล่าวว่า แท้จริงสัญญาณ แรก ที่จะปรากฏ.ออกมา คือ การที่ตะวันจะขึ้นจากทิศที่มันตก และสัตว์จะออกมาเป็นภัยแก่ มนุษย์ในเวลาสาย และสิ่งใดจากในสองที่เถิดขึ้นก่อน อีกสิ่งหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งก็จะเถิดตามมา อย่างใกล้ชิด 

รายงานโดย มุสลิม และ อะบู ดาวูด ได้เพิมเติมว่า           อับดุลเลาะหได้กล่าวโดยทีเขา

เคยอ่าน บรรดาคัมภีร์ต่างๆ ทีถูกประทานลงมาว่า        และฉันคิดว่าประการแรกจากทั้งสองประการคือตะวันขึ้นจากทิศที่มันตก

และตัวบทของมุสลิมในเรื่องศรัทธาว่า แท้จริง อัลเลาะห์จะส่ง ลม มาจากยะมัน นุ่ม กว่าผ้าไหม มันจะไม่ทิ้งคนใดไว้โดยที่ในหัวใจของเขามีนํ้าหนักเพียงธุลีจากศรัทธานอกเสียจาก มันจะเก็บเอาเขาไป

และตัวบทของบุคอรีและมุสลิมว่า            วันกิยามะฮ์จะยังไม่เถิดขึ้น นอกจากจะเถิดกับ

มนุษย์ที่เลวๆ

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า วันกิยามะห์จะยังไม่เถิดขึ้น จน กว่าจะไม่มีกล่าวในหน้าแผ่นดินว่า อัลเลาะห์ อัลเลาะห์ 

รายงานโดย มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจากฮุซัยฟะห์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า        วันกิยามะห์

จะยังไม่เถิดขื้น จนกว่าจะปรากฏว่า คนที่มีความสุขที่สุดในดุนยานี้ คือ ลุกะอ. บุตร ลุกะอ.818 

รายงานโดย ติรมิซี และด้วยรายงานที่ หะซัน

ความประเสริฐของอิบาดะห์ ในยุคสุดท้าย

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่าแท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ยืนอยู่ท่ามกลาง ประชาชนที่นั่งอยู่ แล้วกล่าวว่า  ฉันจะบอกแก่พวกท่านไหม ถึงคนที่ดีที่สุดของพวกท่าน จาก

คนเลวที่สุดของพวกท่าน อะบู ฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า         พวกเขานั่งเงียบ ท่านนบีได้กล่าวเช่น

นั้น สามครั้ง ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า         หามิได้ครับ โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ได้โปรดบอกพวก

เราเถิดถึงคนดีที่สุดของพวกเรา จากคนชั่วที่สุดของพวกเรา ท่านได้กล่าวว่า              คนดีที่สุดของ

พวกท่าน คือ ผู้ที่ความดีของเขาถูกมุ่งหวัง และความชั่วของเขาถูกทำให้ปลอดภัย และคนชั่ว ที่สุดของพวกท่าน คือผู้ที่ ความดีของเขาไม่ถูกมุ่งหวัง และความชั่วของเขาไม่ถูกทำให้ปลอดภัย

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะมียุคหนึ่งมาถึงมวลมนุษย์ คนที่มีความอดทนต่อเรื่องศาสนาในหม่พวกเขา จะมีสภาพเหมือนผู้ที่กำถ่านไฟไว้819

รายงานหะดีษทั้งสอง โดย ติรมิซี

เล่าจาก มะอฺกิล บุตร ยะซาร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อิบาดะห์ในยามที่มีแต่ฆาตกรรม เหมือนกับการอพยพมาสู่ฉัน 

รายงานโดย มุสลิม และติรมีซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงพวกท่านอยู่

ในยุคหนึ่งซึ่งผู้ใดละทิ้งเศษหนึงส่วนสิบ ของสิ่งที่เขาถูกบัญชาให้ จะเป็นผู้ที่พินาศ820 หลัง จากนั้น จะถึงยุคหนึ่งที่ผู้ใดจากพวกท่านปฏิบัติเพียงเศษหนึงส่วนสิบ ทีเขาถูกบัญชาให้เขาจะ พ้นภัย821 

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ฆอรีบ

จะเถิดธรณีสูบ การสาป และภิยพิบัติประเภทต่าง ๆ เพราะ

ความชั่วมีมาก

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะเถิดขึ้นในยุคท้ายของประชากรนี้ ธรณีสูบ การสาปและถล่ม ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ พวกเราจะพินาศหรือ ทั้งที่ในหมู่พวกเรามีคนที่ดีๆ ท่านตอบว่า ถูกแล้วเมื่อความชั่วปรากฏขึ้น

เล่าจาก อิมรอน บุตร ฮุชอยน์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ในประชากรนี้ จะมี ธรณีสูบ การสาป และการกล่ม ชายมุสลิมคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ เมื่อไหร่การเช่นนั้นจะเถิดขึ้น ท่านตอบว่า     เมื่อมีนักร้องหญิง และเครื่องละเล่น และสุราได้ถูกดื่มกิน[315]

เล่าจากอะลี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อประชากรของฉันได้กระทำ สิบห้าประการ ความวิบัติก็จะเถิดชื้นกับพวกเขา มีผู้,ถามว่า มันคืออะไรบ้าง โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านตอบว่า   เมื่อทรัพย์สินของประเทศตกเป็นคนพวกหนึ่ง[316] ความไว้วางใจเป็นทรัพย์เชลย[317] ซะกาตเป็นค่าปรับ[318] ผู้ชายจะเชื้อฟังภรรยาของเขา[319] เขาจะเนรคุณมารดาของเขา ทำดีกับ เพื่อนฝูง หยาบคายต่อบิดาของเขา เสียงจะดังในมัสญิด หัวหน้ากลุ่มชนจะได้แก่คนทีต้อยต่ำที่สุด ของพวกเขา ผู้คนจะถูกยกย่องเพราะความหวั่นเกรงในความชั่วร้ายของเขา สุราจะถูกดื่มกิน ผ้าไหมจะถูกสวมใส่, นักร้องหญิง และเครื่องละเล่นจะได้รับความนิยม ยุคท้ายของประชากร นี้ จะสาปแช่ง ยุคแรกของประชากร ดังนั้น ให้พวกเขาจงคอยเถิดในขณะนั้น ลมแดง หรือ ธรณีสูบ หรือการสาป

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อประชากรของฉันเดิน

วางท่า และลูกหลานของบรรดากษัตริย์ อันได้แก่ลูกหลานของเปอร์เชียและโรมันจะมาเป็น คนรับใช้ของพวกเขา คนชั่วของพวกเขาจะถูกแต่งตั้งให้ปกครองคนดีของพวกเขา 

รายเงานหะดีษทั้งสี่ โดย ติรมิซี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า โอ้อะนัส แท้จริงประชาชนจะตั้งถิ่นฐานอยู่ในหัวเมืองต่างๆ และมีหัวเมืองหนึ่ง เรียกว่า บัสเราะห์ หรือ บุซอยเราะห์ ถ้าหากท่านผ่านหัวเมืองนี้ หรือเข้าไปในมัน ให้ท่านจงออกห่างจากทุ่งโล่งที่ดินเค็ม กิลาอฺของมัน ตลาดของมัน และประตูเจ้าเมืองของมัน[320] และให้ท่านจงอยู่ชานเมืองของมัน เพราะ ความจริงมันจะเถิดขึ้นที่หัวเมืองนั้น ธรณีสูบ การกล่ม และแผ่นดินไหว และจะมีพวกหนึ่งอยู่ในเวลากลางคืน พอรุ่งเข้าขึ้นมา พวกเขาจะกลายเป็นลิงและหมู 

รายงานโดย อะบู ดาวูด ในเมืองสงครามใหญ่

บทที่เจ็ด

คอลีฟะห์ มะห์ดีย์ ร.ฎ.[321]

เล่า จากอุบัยดิลลาห์ บุตร อัลกิบตียะฮ์ ได้กล่าวว่า ฮาริษ บุตร อะบี รอบีอะห์ และอับดุลเลาะห์ บุตร ศอฟวาน ร.ฎ. โดยมีตัวฉันร่วมไปกับคนทั้งสองด้วย ได้เข้าไปหา อุมม์ ซะละมะห์ ร.ฎ. คนทั้งสองได้ถาม อุมม์ ซะละมะห์ ถึงกองทหารที่จะลูกธรณีสูบ และการดังกล่าวนั้นเถิดขึ้นในยุคของ อิบนุ ซุเบร, อุมม์ ซะละมะฮ์ ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะมีคนหนึ่งเข้ามาอาศัย บัยตุลเลาะฮ์เป็นมั่น และจะมีกองทหารถูกส่งมายังเขา ขณะที่พวกเขาอยู่ในทุ่งโล่ง พวกเขาก็จะถูกธรณีสูบ ข้าพเจ้าได้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ จะเป็นอย่างไร สำหรับคนที่ไม่เต็มใจ[322] ท่านกล่าวว่าเขาก็จะถูกธรณีสูบไปพร้อมกับกองทหารนั้น แต่เขาจะถูกบังเถิดขึ้นในวันกิยามะห์ ตามเจตนาของเขา และในรายงานหนึ่งว่า อับดุลเลาะห์ บุตร ศอฟวาน ได้กล่าวว่า พึงทราบเถิด สาบานต่ออัลเลาะห์ มันไม่ใช่กองทหารนี้ที่มาเพื่อสู้รบกับอิบนุ ซุเบร[323] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อุมม์ ซะละมะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะเถิดการขัดแย้งขึ้น ขณะที่คอลีฟะห์คนหนึ่งเสียชีวิตลง จะมีชายคนหนึ่งจากชาวมะดีนะห์ หนีไปยังมักกะห์[324] ประชาชนชาวมักกะห์จะมาหาเขา จะนำตัวเขาออกไป โดยที่เขาไม่เต็มใจ และสถาปนาเขา (ขึ้นเป็นคอลีฟะห์) ที่ระหว่างมุม (หินดำ) กับ มะกอม และกองทหารหนี่งจากชามจะถูกส่ง มายังเขา พวกเขาจะถูกธรณีสูบที่ทุ่งโล่ง ระหว่างมักกะห์ กับ มะดีนะห์ และเมื่อประชาชน เห็นเช่นนั้น ตัวแทนต่างๆ  ของ ชาม และคนที่ดีๆ  ชาวอิรัคก็จะมายังเขา และให้สัตยาบัน แก่เขา[325] หลังจากนั้นจะมีชายคนหนึ่งเถิดจากเผ่ากุเรซ พี่น้องฝ่ายมารดาของเขาคือ ตระกูล กัลบ์ เขาจะส่งกองทหารมายังพวกนั้น และกองทหาร (ของมะห์ดีย์) ก็จะมีชัยชนะเหนือพวกเขา และนั่นเป็นกองทหารของตระกูลกัลบ์ และความขาดทุนก็จะเถิดกับผู้ทีไม่ได้ปรากฏตัว ที่ทรัพย์สงครามของตระกูล กัลบ์[326] เขาจะแบ่งทรัพย์ และปฏิบัติต่อประชาชนตามซุนนะห์นบี ของพวกเขา ซ.ล. และอิสลามก็จะยื่นคอของมันลงสู่พื้น[327] เขาจะอยู่เจ็ดปีหลังจากนั้นก็จะ ตายไป และมวลมุสลีมจะละหมาดให้เขา 

รายงานโดย อะบู ดาวูด

เล่าจากอะบี นัดเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราอยู่ที่ญาบิร ร.ฎ.. เขาได้กล่าวว่าเกือบแล้วที่ชาวอิรัคจะไม่ถูกเก็บไปจากพวกเขา เป็นกอฟิซ และ ดิรฮัม[328] พวกเราถามว่าอย่างที่ ว่านั้นจะเถิดจากที่ไหน เขาตอบว่า พวกที่ไม่ใช่ชาวอาหรับจะหวงห้ามการเช่นนั้น หลังจากนั้นเขาได้กล่าวว่าเกือบแล้วที่ชาวชาม จะไม่ถูกเก็บรวบรวมจากพวกเขาเป็นดีนาร และ มุดย์[329]พวกเราถามว่า           อย่างที่ว่านั้นจะเถิดจากที่ไหน เขาตอบว่า จากพวกโรมัน หลังจากนั้น เขาได้นิ่งครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า     ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะมีคอลีฟะห์คนหนึ่งเถิดขึ้นในยุคท้ายของประชากรของฉัน เขาจะโกยทรัพย์ให้อย่างมากมาย โดยไม่ต้องนับมัน ฉัน ได้กล่าวแก่ อะบี นัดเราะห์ว่า                                               ท่านเห็นว่าเขาคือ อุมัร บุตร อับดิล อะซีซ ไหม เขาตอบว่า ไม่

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะมีคอลีฟะห์คนหนึ่ง จากบรรดาคอลีฟะฮ์ของพวกท่าน เขาจะโกยทรัพย์ให้อย่างมากมาย โดยไม่ต้องนับมัน[330] 

รายงานหะดีษทั้งสอง โดย มุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี สะอีด) ได้กล่าวว่า เรากลัวว่า จะมีเหตุการณ์เถิดขึ้นภายหลังจากนบีของเรา และพวกเขาได้ถามนบีของอัลเลาะห์ ซ.บ. ท่านได้กล่าวว่า แท้จริงในประชากรของฉันมีมะห์ดีย์ เขาจะมีชีวิตอยู่ ห้า เจ็ด หรือ เก้า[331] เขาได้กล่าวว่า พวกเราได้ถามว่า อะไร ท่านตอบว่า ปี ท่านนบีได้กล่าวว่า ต่อไปจะมีชายคนหนึ่งมาหาเขา แล้วกล่าวว่า     โอ้ มะห์ดีย์ จงให้ฉัน จงให้ฉัน ท่านนบีได้กล่าวว่า มะห็ดีย์ จะโกยให้เขาใส่ผ้าของเขาจนเขาไม่สามารถแบกมันไหว 

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากไม่มีเวลาเหลือให้โลกตุนยานี้ นอกจากเวลาเพียงวันเดียว อัลเลาะห์ก็จะต้องให้วันนั้นยาวออกไปจนกว่าพระองค์ จะส่งชายคนหนึ่งออกมาจากฉัน หรือจากคนในครอบครัวของฉัน ชื่อของเขาจะตรงกับชื่อฉัน ชื่อ บิดาของเขา จะตรงกับชื่อบิดาของฉัน เขาจะทำให้เทิดความยุติธรรม และเที่ยงธรรมขึ้น เต็มแผ่นดิน เหมือนที่ผืนแผ่นดินเคยเต็มไปด้วยความทุจริต และฉัอฉล[332] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่ามะห์ดีย์ มาจากฉันหน้าผากกว้าง จมูกโด่ง เขาจะทำให้เทิดความยุติธรรม และเที่ยงธรรมขึ้นเต็มแผ่นดิน เหมือนบีผืนแผ่นดินเคยเต็มไปด้วยความทุจริต และ ฉ้อฉล และเขาจะปกครองอยู่เบีนเวลาเจ็ดบี

เล่าจากอุมม์ ซะละมะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มะห์ดีย์ มาจากครอบครัวของฉัน จากลูกหลานของฟาติมะห์ 

รายงานหะดีษทั้งสอง โดย ฮากีม

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวขณะที่เขามองดูลูกชายของเขาคือ หะซัน ว่า แท้จริงลูก ของฉันคนนี้เขาคือผู้นำ เหมือนที่ท่านนบี ซ.ล. ได้เรียกเขาไว้ และต่อไปจะเถิดออกมาจาก ไขสันหลังของเขา ชายคนหนึ่งจะมีชื่อเรียกเหมือนชื่อนบีของพวกท่าน เขาจะเหมือนกับนบีใน จริยธรรม แต่ไม่เหมือนในด้านรูปร่าง

และเล่าจากเขา (อะลี) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะมีชายคนหนึ่งออกมาจากโพ้นแม่น้ำ มีชื่อเรียกว่า อัลฮาริษ บุตร ฮัรรอษ โดยมีชายคนหนึ่งมีชื่อเรียกว่า มันซูร บัญชาการ ทหารกองหน้าของเขา เขาจะปูทางหรือๆ ช่วยเหลือ วงศ์วานของมุฮัมมัด เหมือนที่พวกกุเรช ให้ความช่วยเหลือแก่ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. จำเป็นที่ผู้มีศรัทธาทุกคนต้องให้ความช่วยเหลือ เขา หรือตอบสนองคำเรียกร้องของเขา 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด

จะยังมีคนพวกหนึ่งตั้งอยู่บนสัจจธรรนจนเกือบถึงกิยามะห์

เล่าจาก เซาบาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะยังคงมีพวกหนึ่งจากประชากร ฉันช่วยผดุงสัจจธรรม ผู้ที่ละเลยพวกเขาจะไม่เป็นภัยกับพวกเขา จนกว่าคำบัญชาของอัลเลาะฮ์ จะมีมา 

รายงานโดยมุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี  

และมุสลิม ได้รายงานเพิ่มเติมว่า และ อีซา บุตร มัรยัม ซ.ล. จะลงมาผู้นำของพวก เขาจะกล่าวว่า จงมาละหมาด นำพวกเราเถิด อีซา จะกล่าวว่า ไม่, แท้จริงพวกท่าน บางส่วนเป็นผู้นำของอีกบางส่วน เป็นการให้เกียรติของอัลเลาะห์แก่ประชากรนี้

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงพวกท่านจะถูกช่วยเหลือ จะประสบภัยพิบัติ จะได้รับชัยชนะ[333] ดังนั้น ผู้โดจากพวกท่านที่ทันได้พบเหตุการณ์ นั้น ให้เขาจงยำเกรงอัลเลาะห์ จงใช้ด้วยการดี และจงห้ามจากการชั่ว และผู้ใดที่ป้ายสีฉันโดย เจตนา ให้เขาจงเตรียมที่พำนักของเขาที่ขุมนรกไว้

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อได้ปรากฏว่า บรรดา ผู้นำของพวกท่านคือคนดีของพวกท่าน, บรรดาคนรวยของพวกท่านใจบุญ กิจการต่างๆ ของพวกท่านมีการปรึกษาหารือกันในระหว่างพวกท่าน, หลังแผ่นดินก็จะเป็นสิ่งที่ดีแก่พวกท่านยิ่งกว่าท้องของมัน[334] และเมื่อบรรดาผู้นำของพวกท่าน คือ คนเลวของพวกท่านบรรดาคนรวยของพวกท่าน เป็นคนขี้เหนียว และกิจการต่างๆ ของพวกท่านขี้นอยู่กับผู้หญิงของพวกท่าน ท้องแผ่นดินก็จะเป็นสิ่งที่ดีแก่พวกท่านยิ่งกว่าหลังของมัน 

รายงานหะดีษทั้งสอง โดย ติรมิซี

ดัจญาล ปัจจุบันนอยู่ที่เกาะ ถูกล่ามด้วยเหล็ก

เล่าจาก ฟาติมะห์ บุตรสาว กอยส์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันละหมาดร่วมกันกับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ฉันอยู่ในแกวของพวกผู้หญิง สิ่งอยู่ติดกับข้างหลังของคนพวกนั้น เมื่อท่าน รอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. เสร็จละหมาด ท่านได้นั่งลงบนมิมบัรพลางหัวเราะแล้วกล่าวว่า                                                                                       ขอให้ทุกคนอยู่ ณ ที่ละหมาดของเขา หลังจากนั้นได้กล่าวว่า พวกท่านทราบไหมว่า ทำไมฉันจึงให้พวกท่านมารวมกัน พวกเขาตอบว่า อัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ทราบดี ท่านได้กล่าวว่า                                                                                       แท้จริงฉันขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ฉันไม่ได้ให้พวกท่านมารวมกัน ไม่ใช่เพราะชอบ และไม่ให้เพราะกลัว แต่ฉันให้พวกท่านมารวมกัน ก็เพราะความจริง ตะมีม อัดอารีย์ เขาเป็นชาวนัสรอนีย์ ได้มา ได้ให้สัตยาบัน และเข้ารับอิสลาม และเขาได้เล่าหะดีษหนึ่งให้ฉันฟัง มันตรงกับหะดีษที่ฉันได้เคยเล่าให้พวกท่านฟังมาแล้ว เกี่ยวกับมฺะซี้หิ ดัจญาล เขาได้เล่า ให้ฉันฟังว่า เขาได้โดยสารไปในเรือทะเลลำหนึ่ง พร้อมกับผู้ชายจำนวนสามสิบคน จากเผ่าลักฆ์ และ ยุชาม คลื่นได้กล่มพวกเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือนอยู่ในทะเล หลังจากนั้นพวกเขาได้ ไปเกยตื้นที่เกาะแห่งหนี่งในทะเล ขณะที่ตะวันกำลังจะตก พวกเขาได้นั่งอยู่ในเรือบดของเรือใหญ่ และได้เข้าไปยังเกาะ ได้มีสัตว์ตัวหนึ่งมีขนรุงรัง คือ ขนดก พวกเขาไม่สามารกแยกด้าน หน้าของมันจากด้านหลังของมันได้ เนื่องจากขนที่มีมาก พวกเขาได้กล่าวว่าความพินาศจงเถิดกับเจ้า เจ้าเป็นอะไร สัตว์นั้นตอบว่า ฉันคือ ญัซซาซะห์[335] พวกเราถามว่า ญัซซาซะห์

คืออะไร มันได้กล่าวว่า โอ้กลุ่มชนนี้ พวกเจ้าจงไปหาชายคนนั้นที่อยู่ในปราสาทเถิด เพราะ

ความจริงเขากำลังอยากรู้ข่าวของพวกท่าน ตะมีม ได้กล่าวว่า เมื่อสัตว์นั้นได้เอ่ยแก่พวกเรา

ถึงชายคนหนึ่ง พวกเราก็เถิดกลัวสัตว์ตัวนั้นว่า จะเป็นชัยฏอน ตะมีม ได้กล่าวว่า พวกเรา

ได้รีบไป จนเข้าไปถึงปราสาทนั้น ทันใดในนั้น มีมนุษย์ร่างใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยเห็น และถูก พันธนาการอย่างแน่นหนาที่สุด มือทั้งสองข้างของเขาถูกมัดรวมกันอยู่ที่ตันคอของเขากับสิ่งที่อยู่ระหว่างเข่าทั้งสองข้างของเขา กับตาตุ่มทั้งสองข้างด้วยเหล็ก พวกเราได้กล่าวว่า ความพินาศจงเถิดกับเจ้า เจ้าเป็นใคร เขาตอบว่า ความจริงพวกเจ้าได้ล่วงรู้ข่าวของข้าแลัว พวกเจ้าจงบอกข้าเถิดว่า พวกเจ้าเป็นใคร พวกเขาได้กล่าวว่า พวกเราเป็นกลุ่มชนที่เป็นชาวอาหรับ พวกเราได้โดยสารเรือเดินทะเลและโดนคลื่น ขณะที่คลื่นลมจัด และคลื่นได้ถล่มพวกเราเป็น เวลาหนึ่งเดือน หลังจากนั้นพวกเราได้มาเกยตื้นอยู่ที่เกาะของท่านนี้ พวกเราได้ลงเรือบดของ เรือใหญ่ และได้เข้าสู่เกาะและสัตว์ที่มีขนรุงซึ่งมีขนดก ได้พบกับพวกเรา โดยแยกไม่ถูกว่าอะไร คือข้างหน้า มันจากข้างหลังของมัน เนื่องจากขนมีมากพวกเราได้กล่าวว่า ความพินาศจงเถิดกับเจ้า เจ้าเป็นอะไร มันตอบว่า ข้าคือ ญัซซาซะห์ พวกเราถามว่ายัซชาซะห์ คืออะไร มันกล่าวว่า พวกเจ้าจงไปพบชายคนนั้นที่อยู่ในปราสาทเถิด เพราะความจริงเขากำลังอยากรู้ข่าว ของพวกท่าน พวกเราจึงได้รีบมายังเจ้า และเราก็กลัวมัน และไม่ไว์ใจว่ามันจะเป็น ชัยฏอน ต่อมาเขาได้กล่าวว่า พวกเจ้าจงบอกข้าเถิดเกี่ยวกับต้นอินผลัมแห่งบัยซาน[336] พวกเราได้กล่าวว่า เจ้าถามมันเกี่ยวกับอะไร เขากล่าวว่า ข้าถามพวกเจ้าเกี่ยวกับต้นอินทผลัมของมันว่า ออกผลไหม พวกเราตอบว่า ถูกแล้วมันออกผล เขากล่าวว่า จงรับทราบเถิดว่า มัน เกือบจะไม่ออกผลแล้ว[337] เขาได้กล่าวว่า พวกเจ้าจงบอกข้าเถิดเกี่ยวกับทะเลสาบตอบะรียะอ[338] พวกเราได้กล่าวว่า เจ้าถามมันเกี่ยวกับอะไร เขาตอบว่า มันมีน้ำไหม พวกเราตอบว่า มันมีน้ำมาก เขากล่าวว่าจงรับทราบเถิดว่า น้ำของมันเกือบจะเหือดหายไปแล้ว เขาได้กล่าวว่า พวกเจ้าจงบอกข้าเถิดเกี่ยวกับตาน้ำ ซุฆอร[339] พวกเขาได้กล่าวว่า เจ้าถามมันเกี่ยวกับอะไร เขาตอบว่า ในตานํ้านั้นมีน้ำไหมและผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั้น ยังใช้น้ำจากตาน้ำนั้นเพาะปลูกอยู่ไหม พวกเราตอบเขาว่า ถูกแล้วมันยังมีนํ้าอยู่มาก และผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่น ก็ยังใช่น้ำของมันเพาะปลูก เขาได้กล่าวว่า พวกเจ้าจงบอกข้าเถิดเกี่ยวกับนบีของพวกที่ไม่รู้หนังสือว่า เขาได้ทำอย่างไรบ้าง พวกเขาตอบว่า นบีนั้นได้ออกมาแล้วจากมักกะห์ และได้ลงพักที่ ยัษริบ[340] เขาได้กล่าวว่า ชาวอาหรับทำสงครามกับเขาไหม พวกเราตอบว่า ถูกแล้ว (ชาวอาหรับทำสงครามกับเขา) เขากล่าวว่า นบีนั้นทำอย่างไรกับพวกอาหรับ พวกเราตอบเขาว่าเขา

ช่วยเหลือคนที่ติดตามเขาจากชาวอาหรับ และชาวอาหรับเหล่านั้นก็เชื่อฟังเขา เขาได้กล่าวว่า

เหตุการณ์อย่างนั้นได้เถิดขื้นแล้วหรือ [341] พวกเราตอบว่า ได้เถิดขึ้นแล้ว เขากล่าวว่า จงรับทราบเถิด แท้จริงการเช่นนั้น เป็นการดีแก่พวกเขาที่จะเชื่อฟังเขา และข้าขอบอกให้พวกเจ้า ทราบเกี่ยวกับตัวข้าว่า แท้จริงข้า คือ มะซีห์ ดัจญาล และความจริงเกือบแล้ว ที่ข้าจะได้รับ อนุญาตให้ออกไป และข้าก็จะออกไป และเดินทางไปในหน้าแผ่นดิน โดยข้าจะไม่ปล่อยตำบล ใดไว้ นอกจากข้าจะต้องย่างกรายเข้าไป ภายในสี่สิบวัน นอกจากมักกะห์ และตอยบะห์ ทั้งสองแห่งนั้นเป็นสี่งต้องห้ามแก่ข้าทั้งสองแห่งนั้นทุกครั้งที่ข้าต้องการจะเข้าไปในหนื่งจากในสองแห่ง จะมีมะลาอิกะห์มาต้อนรับข้า พร้อมด้วยดาบเปลือยฝักในมือ ขัดขวางข้าจากมัน และทุกๆ ทางที่จะเข้าไปสู่มันก็จะมีมะลาอีกะห์คอยเฝ้าไว้ (ฟาติมะฮ์) ผู้เล่าได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวพลางใช้ไม้เท้าของท่านทิ่มลงที่มิมบัรว่า นี่คือดอยบะฮ์ นี่คือ ดอยบฺะฮ์ นี่คือ ดอยบะฮ์ ท่านหมายถึง มะตีนะฮ์ โปรดทราบฉันได้เล่าเรื่องนี้ให้พวกท่านฟังแล้วใช่ไหม ประชาชนได้พากันกล่าวว่า ใช่ครับ ท่านได้กล่าวว่า ความจริงหะดีษตะมีมทำให้ฉันพอใจมาก เพราะมันตรงกับที่ฉันได้เคยเล่าให้พวกท่านฟังเกี่ยวกับมัน เกี่ยวกับมะดีนะห์และมักกะห์ หลังจากนั้นท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า           โปรดทราบแท้จริงมันอยู่ในทะเล ชาม หรือทะเลยะมัน[342] ไม่ใช่แต่อยู่ทางตะวันออก แน่นอนมันมาจากทางตะวันออก แน่นอนมันมาจากทาง ตะวันออกแน่นอนและท่านได้ใช้มือของท่านทำท่าชี้ไปทางตะวันออก[343] ฟาติมะห์ได้กล่าวว่า ฉันจำหะตีษนี้มาจากท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. 

รายงานโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมีซี

และ ตัวบทของ ติรมีซี ว่า ตะมีม อัดดารีย์ ร.ฎ. ได้เล่าให้ฉันฟังว่า แท้จริงประชาชนชาวปาเลสไตน์ ได้โดยสารเรือไปในทะเล และเรือได้พาพวกเขาตะเวนไป จนได้นำพวกเขาไปยังเกาะแห่งหนึ่ง จากบรรดาหมู่เกาะในทะเล พวกเขาได้พบกับสัตว์ตัวหนึ่งที่ชวนสงสัย[344] มีขนกระจัดกระจาย พวกเขาได้ถามว่า เจ้าเป็นอะไร มันตอบว่า ข้าคือ ญัซซาซะห์ พวกเขากล่าวว่า เจ้า

จงบอกพวกเราเถิด มันกล่าวว่า        ข้าจะไม่บอกพวกเจ้า และจะไม่ถามพวกเจ้า แต่พวกเจ้าจง

ไปให้สุดถิ่นนั้น เพราะที่นั่นจะมีผู้บอกพวกเจ้า และถามพวกเจ้า ดังนั้นพวกเราจึงไปจนสุดถิ่นนั้น ก็ได้พบชายคนหนึ่ง ถูกพันธนาการด้วยโซ่ เขาได้กล่าวว่า                                               พวกเจ้าจงบอกข้าเกียวกับตาน้ำ

ซุฆอร พวกเรากล่าวว่า       เต็มเปียม มีนํ้าพุ่งเขากล่าวว่า      พวกเจ้าจงบอกข้าเกี่ยวกับ ทะเลสาป

นั้น พวกเรากล่าวว่า       เต็มเปียม มีน้ำทะลัก เขากล่าวว่า          พวกเจ้าจงบอกข้าเกี่ยวกับนบีท่าน

นั้น เขาถูกแต่งตั้งแล้วใช่ไหม พวกเราตอบว่า              ถูกแต่งตั้งแล้ว เขากล่าวว่า พวกเจ้าจง

บอกข้าว่า ประชาชนไปสู่เขาอย่างไร     พวกเราตอบว่า        รีบต่วน[345] เขากล่าวว่า เขา (ดัจญาล)

กระโดดอย่างแรงจนเกือบจะ[346] พวกเราได้กล่าวว่า             เจ้าเป็นใคร       เขากล่าวว่า        เขาคือ

ดัจญาล และแท้จริงเขาจะต้องออกไปสู่เมืองต่างๆ ทั้งหมดนอกจาก ตอยบะห์ และตอยบะห์ ก็คือ มะดีนะห์[347] ขออัลเลาะห์ทรงอวยพรแก่ผู้อาศัยอยู่ในตอยบะห์ และให้ความสันติ

ดัจญาล จะปรากฏจากทางตะวินออก เขาจะมีประชาชนจำนวนมากเป็นบริวาร

เล่าจากอะนัส บุตร มาลิก ร.ฎ. ว่าแท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ที่จะเป็นบริวารของดัจญาลคือชาวยะฮูดที่อัซบิฮาน, จำนวนเจ็ดหมื่นคน โดยบนร่างของพวก เขาสวม ดอยละชาน[348]  

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจาก อะบีบักร์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ดัจญาลจะออกมาจากแผ่นดิน ทางด้านตะวันออก เรียกว่า คุรอซาน จะมีหลายกลุ่มชน ตกเป็นบริวาร ของมัน ใบหน้าของพวกเขาเหมือนโล่ที่ทำจากแผ่นหนัง

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า               จะออกมาจากแผ่นดิน

คุรอซาน ธงดำหลายผืนจะไม่มีสิ่งใดขัดขวางมันได้ จนกว่ามันจะถูกนำไปตั้งที่ อีลิยาอฺร60 

ราย งานหะดีษทั้งสอง โดย ติรมิซี

เล่าจาก อุมม์ ชะรีก ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ประชาชนจะพากันหลบหนี ดัจญาล ไปในภูเขา อุมม์ซะรีก ได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ อาหรับอยู่ที่ไหนในวันนั้น ท่านตอบว่าพวกเขามีน้อย 

รายงานโดย มุสลิม และติรมิซี

ลักษณะต่างๆ ของมะซีห์ ดัจญาล ชึ่งเป็นวิกฤติการที่ใหญ่ที่สุด

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ลุกขื้นยืนใน ท่ามกลางประชาชน และได้สดุดีอัลเลาะห์อย่างสมเกียรติ หลังจากนั้นท่านได้กล่าวถึง ดัจญาล โดยกล่าวว่าแท้จริงฉันขอเตือนพวกท่านทั้งหลายให้ระมัดระวังมันไม่มีนบีท่านใด นอกเสียจากจะเตือนพวกพ้องของเขาให้ระวัง แต่ฉันจะพูดกับพวกท่านในเรื่องดัจญาลด้วยถ้อยคำที่ยัง ไม่มีนบีท่านใดพูด แก่พวกพ้องของเขา นั่นคือ แท้จริง ดัจญาล มีตาพิการข้างหนึ่ง และแท้ จริงอัลเลาะห์ไม่ใช่ผู้มีตาพิการข้างหนึ่ง

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีนบีใดนอกจากจะเตือนประชากรของเขาให้ระวังชายผู้ตาพิการข้างหนึ่งเป็นจอมโกหกพึงทราบเถิด แท้จริงดัจญาลนั้นมีตาพิการข้างหนึ่ง และแท้จริงพระผู้อภิบาลของพวกท่านไม่ใช่เป็นผู้ที่มีตาพิการ ข้างหนึ่ง ถูกจารึกไว้ระหว่างดวงตาทั้งสองข้างของมัน เป็นอักษร กาฟ ฟา รออ์ หมายความ ว่า กาฟิร (ผู้ใม่ศรัทธา) ซึ่งมุสลิมทุกคนจะอ่านได้ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขณะที่ฉันนอนหลับ ได้ฝันเห็นตัวเอง ตอวาฟ อยู่ทีกะอุบะห์ ได้พบชายคนหนึงผิวแดงผมยืด มีน้ำไหลหยดลงมาจากศีรษะของเขา862 ฉันถามว่า ผู้นี้เป็นใคร พวกเขาตอบว่า คือ บุตร มัรยัม หลังจากนั้น ฉันได้ใป เหลียวมองก็ได้พบชายคนหนึ่งร่างใหญ่ผิวแดง ผมหยิก มีตาพิการข้าง หนึ่ง ตาของเขาเหมือนเม็ดองุ่นทีโปนออกมา[349] พวกเขากล่าวว่า นี่คือ ดัจญาลคนที่เหมือนใกล้เคียงดัจญาลที่สุด คืออิบนุ กอตอน[350] ผู้ชายคนหนึ่งจาก คุซาอะห์ 

รายงานโดยบุคอรี และ มุสลิม 

และตัวบทของมุสลิมว่า ดัจญาล มีตาข้างซ้ายพิการ[351] ผมดก ดัจญาลมีทั้งสวรรค์และนรก นรกของมันคือ สวรรค์ และสวรรค์ของมันคือนรก[352]

และตัวบทของอะบีดาวูดว่า        แท้จริงมะซีห์ ดัจญาล เป็นชายร่างเตี้ย เดินขาถ่าง มี

ตาพิการ ตาถูกลบ ไม่โปน และไม่กลวง[353] ถ้าหากมันทำให้พวกท่านสับสน พึงทราบเถิดว่า แท้จริงพระผู้อภิบาลของพวกท่าน ไม่ใช่มีตาพิการ

เล่าจาก มุฆีเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า             ไม่มีใครถามท่านนบี ซ.ล. เกี่ยวกับดัจญาล

เหมือนที่ฉันถามท่าน และท่านนบีได้กล่าวแก่ฉันว่า        จะไม่เป็นภัยกับท่านจากมันฉันได้กล่าวว่า

เพราะความจริงพวกเขากล่าวว่า       แท้จริง ดัจญาล มีขนมปังกองเป็นภูเขาและมีแม่น้ำ ท่านนบี

ได้กล่าวว่า นั่นมันเล็กน้อยสำหรับอัลเลาะห์ ยิ่งกว่านั้น868

รายงานโดยบุคอรี และ มุสลิม

เล่าจาก ฮุซัยฟะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ฉันรู้ดีถึงสิ่งที่ดัจญาลมี มันมี

แม่นํ้าสองสายที่ไหลอยู่ สายหนึ่งจากในสองนั้น สายตาเห็นเป็นน้ำใส อีกสายหนึ่งนั้นสายตา เห็นเป็นไฟที่ลุกโพลง และถ้าแม้ว่ามีผู้ใดได้พบ ให้เขาจงมาสู่แน่นํ้าที่เขาเห็นว่าเป็นใฟ และให้ดำลงไป แล้วโผล่หัวขึ้นมา และดื่มมัน ความจริงมันเป็นนํ้าเย็น และแท้จริง ดัจญาล นั้น มี ดวงตาที่ถูกลบ[354] บนดวงตานั้นมีแผ่นหนังที่หนาคลุมอยู่ ลูกจารึกไว้ระหว่างดวงตาทั้งสองของ มันว่า กาฟิร (ผู้ไร้ศรัทธา) จะสามารกอ่านมันได้ ผู้มีศรัทธาทุกคน ทั้งที่เขียนเป็น และเขียน ไม่เป็น

และเล่าจากเขา (ฮุซัยฟะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงดัจญาลจะปรากฏ

ตัวออกมา ความจริงมันจะมีนํ้ากับไฟสำหรับสิ่งที่ประชาชนเห็นมันเป็นนํ้านั้นแท้ที่จริงมันคือ ไฟที่จะเผาผลาญ ส่วนสิ่งที่ประชาชนเห็นมันเป็นไฟนั้น แท้ที่จริงมันคือน้ำจืดที่ดี 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจาก อะบี อุบัยดะห์ ร.ฎ. ได้กล่าว ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้พรรณาลักษณะ ของดัจญาลแก่พวกเรา แล้วกล่าวว่า บางทีคนที่ได้พบกับฉัน หรือได้ยินคำพูดของ ฉันอาจได้พบกับมัน พวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ หัวใจของพวกเราจะเป็นอย่างไร ในวันนั้น มันจะเหมือนกับวันนี้ไหม ท่านกล่าวว่า หรือดีกว่า[355] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

ตัวบทของติรมีสิและมุสลิมว่า พวกท่านรู้ดีว่า จะไม่มีผู้ใดเห็นพระผู้อภิบาลของเขาจนกว่าเขาจะตายไป และความจริง ดัจญาล นั้นจะลูกจารึกลงระหว่างดวงตาทั้งสองของเขาว่า กาฟิร (ผู้ไรัศรัทธา) ผู้ที่รังเกียจพฤติการของมันจะสามารกอ่านได้

และตัวบทของอะบีดาวูดว่า ผู้ใดได้ยิน ดัจญาล ให้เขาจงออกห่างไกลมัน สาบานต่อ อัลเลาะห์ว่า แท้จริงจะมีคนมาหา ดัจญาล โดยคิดว่ามันเป็นผู้มีศรัทธา และยอมเป็นบริวาร ของมัน          จากสิ่งที่ถูกก่อขึ้นมาจากบรรดาสิ่งที่คลุมเครือทั้งหลาย (ซุบฮาต) หรือเพราะสิ่งที่ถูกก่อขึ้นมาจากบรรดาสิ่งที่คลุมเคลือทั้งหลาย

เล่าจากอะบี ดะห์มาอฺ และอะบี กอตาดะห์ ร.ฎ. พวกเขาได้กล่าวว่า พวกเราได้ผ่านฮิชาม บุตร อามิร และพวกเราได้ไปหา อิมรอน บุตร ฮุศอยน์ ต่อมา ฮิชามได้กล่าวใน วันหนึ่งว่า                                              แท้จริงพวกท่านได้เลยผ่านฉันไปหาคนที่ไม่ได้ร่วมอยู่กับท่านรอชุลุลเลาะห์ ซ.ล. ยิ่งกว่าฉัน และไม่รู้หะดีษของท่านยิ่งกว่าฉัน ฉันได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า ไม่มีงานชิ้นใดที่จะเถิดขึ้นระหว่างกำเนิดอาดัม จนเถิดวันกิยามะห์ยิ่งใหญ่กว่า ดัจญาล 

รายงาน โดยมุสลิม

เล่าจาก อะบี บักเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า พ่อและแม่ ของดัจญาล จะอยู่สามสิบปี โดยไม่มีบุตรเถิดแก่คนทั้งสองเลย ต่อมาจะเถิดบุตรแก่คนทั้งสองคนหนึ่ง มีตาพิการ ข้างหนึ่ง เป็นคนอันตราย มีประโยชน์น้อย สองตาของเขาจะหลับ แต่หัวใจไม่หลับ หลังจากนั้นท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้บรรยายลักษณะ บิดามารดาของเขา ให้พวกเราฟังว่า บิดาของเขาร่างสูง สมบูรณ์ไปด้วยเนื้อ จมูกของเขาคล้ายจงอย ส่วนมารดาของ เขา อ้วน มือทั้งสองข้างยาว ต่อมา อะบู บักเราะห์ ได้กล่าวว่า เราได้ยินว่ามีทารกคนหนึ่งของพวกยะฮูดคลอดที่นครมะดีนะห์ ตัวฉันกับซุบัยร์และบุตรอัลเอาวาม จึงได้เดินทางไปจน พวกเราได้เข้าไปหาบิดามารดาของทารกนั้น และได้พบว่าลักษณะที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้บรรยายไว้มีอยู่ในบุคคลทั้งสองนั้น พวกเราจึงถามว่า ท่านทั้งสองมีบุตรไหม เขาทั้งสองตอบว่า พวกเราอยู่มาสามสิบปี โดยไม่มีบุตรเถิดแก่เราเลย ต่อมาเราก็ได้บุตรคนหนึ่ง ที่เป็น อันตรายยิ่ง เป็นคนที่มีประโยชน์น้อยมาก ตาทั้งสองข้างของเขาจะหลับ โดยที่หัวใจของเขาไม่หลับ อะบีบักเราะห์ ได้กล่าวว่า พวกเราจึงได้ออกมาจากบุคคลทั้งสอง ได้พบเขา นอนอยู่ กลางแดด มีผ้าผืนหนึ่งคลุมอยู่ และมีเสียงพึมพัม ต่อมาเขาได้เปิดศีรษะของเขาออก แล้ว กล่าวว่า ท่านทั้งสองจะพูดอะไร พวกเรากล่าว่า และท่านได้ยินสิ่งที่พวกเราพูดไหม เขากล่าวว่า ไดิยินตาทั้งสองข้างฉันจะหลับ แต่ใจฉันไม่หลับ[356] 

รายงานโดย ติรมิซี

ดัจญาล จะเข้าสู่ทุกเมืองนอกจากมักกะห์กับมะดีนะห์

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีเมืองใด นอกจากดัจญาลจะย่ำเข้าไป ยกเว้นมักกะห์ กับ มะดีนะห์ และไม่มีเส้นทางใดจากบรรดาเส้นทางสู่มัน นอกจาก จะมีมะลาอิกะห์เข้าแถว คอยพิทักษ์รักษามันไว้ ดัจญาลจะลงพักอยู่ทีแผ่นดินทีไม่มีต้นไม้ขึ้น และมะตีนะห์ก็จะเถิดสั่นไหว ขึ้นสามครั้ง ทุกคนที่ไร้ศรัทธาและคนที่ดีสองหน้า ก็จะออกมา จากมะดีนะห์ไปหา ดัจญาล

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เล่าให้พวกเรา

ฟังในวันหนึ่งเป็นหะตีษที่ยาว เกี่ยวกับเรื่องดัจญาล และสิ่งหนึ่งที่ท่านได้เล่าให้พวกเราฟังก็คือ ท่านได้กล่าวว่า ดัจญาล จะลงมาโดยมันจะถูกห้าม เข้าสู่เส้นทางของมะตีนะห์ และมันก็จะมาสุดลงที่แผ่นดิน ที่ไม่มีต้นไม้ขึ้นแห่งหนึ่ง ที่ติดกับมะตีนะห์ และในวันนั้นจะมีชายคนหนึ่ง ออกไปหามัน เขาเป็นคนตีที่สุด หรือเป็นคนตีคนหนึ่งของมนุษย์ เขาจะกล่าวแก่ดัจญาลว่า ข้า ขอยืนยันว่า เจ้าคือดัจญาลที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เล่าข่าวของมันให้พวกเราฟัง ดัจญาล จะกล่าวว่า พวกเจ้าจงบอกข้าเถิด ถ้าหากฉันฆ่าคนๆ นื้ และชุบชีวิดเขาขึ้นมาอีก พวกเจ้าจะสงสัยในงานชิ้นนื้ไหม [357] พวกเขาจะกล่าวว่า ไม่ ท่านนบี ได้กล่าวว่า หลังจากนั้น ดัจญาลก็จะฆ่าเขา และคนที่ถูกฆ่าจะกล่าวขณะดัจญาลชุบชีวิตเขาขึ้นมาว่า สาบานตออัลเลาะห์ ฉันรู้จักท่านในขณะนี้ ได้ดีกว่าเวลาใด[358]  ท่านนบีได้กล่าวว่า ดัจญาล ต้องการจะฆ่าเขา แต่ไม่สามารกทำได้ 

รายงานหะดีษทั้งสอง โดยบุคอรี และมุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี สะอีด) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ดัจญาลจะปรากฏตัวออก มา และจะมีชายคนหนึ่งจากบรรดาผู้มีศรัทธามุ่งไปหาเขา กองกำลังติดอาวุธของดัจญาลได้พบกับเขา และกล่าวแก่เขาว่า เจ้าจะไปไหน เขาจะตอบว่า ฉันจะไปหาคนนี้ที่ได้ปรากฏตัวออกมา พวกเขาจะกล่าวแก่ชายคนนั้นว่า เจ้าศรัทธาต่อผู้อภิบาลของเราไหมฺ เขาจะกล่าวว่า     ผู้อภิบาลของเราจะไม่อำพรางหรอก พวกเขาจะกล่าวว่า จงฆ่าเขาเสีย บางคนของพวกเขาจะกล่าวแก่อีกบางคนว่า ผู้อภิบาลของพวกท่านได้เคยห้ามพวกท่านฆ่าคนใด โดยเขาไม่ได้สั่งไม่ใช่หรือ     ผู้เล่าได้กล่าวว่า ต่อมาพวกเขาก็พากันไปหาดัจญาล เมื่อผู้มีศรัทธาคนนั้น เห็นดัจญาล ได้กล่าวขึ้นว่า ประชาชนทั้งหลาย นี่คือ ดัจญาล ที่ท่านรอซูลุลเลาะฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวถึงมัน ผู้เล่าได้กล่าวว่า ดัจญาลก็จะใช้ให้จัดการกับเขาผู้นั้น เขาถูกจับขึงพืดนอนควํ่า ดัจญาล จะกล่าวว่า จงจับเขาและเฆี่ยนเขา หลังของเขาและท้องของเขาถูกเฆี่ยนอย่างมากมาย ดัจญาล จะกล่าวว่า เจ้าจะไม่ศรัทธาต่อข้าหรือ           ผู้เล่าได้กล่าวว่า เขาจะกล่าวว่า เจ้าคือ มะซีห์จอมโกหก ผู้เล่าได้กล่าวว่า เขาก็จะถูกบัญชา และถูกเลื่อยด้วยเลื่อยจากแสกหน้าของเขาจนถูกแยกออก (เป็นสองซีก) ระหว่างเท้าทั้งสองข้างของเขา หลังจากนั้นดัจญาลก็จะเดินไป ระหว่างสองซีกนั้น แล้วกล่าวแก่เขาว่า      จงลุกขึ้นยืน เขาก็จะลุกขึ้นยืน จากนั้นดัจญาลจะ

กล่าวแก่เขาว่า เจ้าจะศรัทธาต่อข้าไหม         ชายผู้นั้นจะกล่าวแก่ดัจญาลว่า ฉันไม่ได้มีสิ่งใดเพิ่มพูน

ขึ้นในตัวของเจ้านอกจาก รู้จักเจ้าอย่างเห็นแจ้งยิ่งขึ้น หลังจากนั้นเขาก็จะกล่าวว่าโอ้ประชาชน ทั้งหลาย แท้จริงเขาจะทำกับใครอีกไม่ได้ภายหลังจากฉัน ผู้เล่าได้กล่าวว่า ดัจญาล จะจับเขา เพื่อเอาไปเชือด เขาจะถูกสวมใส่ด้วยทองแดงระหว่างคอของเขากับไหปลาร้า แต่ดัจญาล ไม่มีทางไปถึงตัวเขาได้ ผู้เล่าได้กล่าวว่า ดัจญาล จะจับมือทั้งสองข้างและเท้าทั้งสองข้างของเขา และเอาเขาโยนลงไป ประชาชนคิดว่า ดัจญาล โยนเขาลงไปในไฟ แต่ความจริงแล้วเขา ลูกโยนลงเข้าไปในสวรรค์ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้นี้เป็นนักรบชะฮีดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สำหรับผู้อภิบาลสากลโลก 

รายงานโดยมุสลิม

ดัจญาล จะอยู่ในหน้าแผ่นดินสี่สิบวัน หลังจากนั้น อีซา อ.ล.

จะลงมา และฆ่าดัจญาลที่ชาม

เล่าจาก เนาวาส บุตร ซัมอาน ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ กล่าวถึง ดัจญาล ในเข้าวันหนึ่ง ท่านได้เหยียดหยาม และทำให้เห็นเป็นเรื่องใหญ่ในเรื่องของมัน จนเราคิดว่ามันอยู่ในหมู่ต้นอินทผลัม เมื่อพวกเราไปหาท่าน ท่านรู้ถึงการเช่นนั้นในพวกเรา874 ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง            พวกเราได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ ท่านได้กล่าวถึงดัจญาล ในเช้าวันหนึ่ง และท่านได้เหยียดหยามและทำให้เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ในเรื่องของมันจนพวกเราคิดว่ามันอยู่ในหมู่ต้นอินทผลัม ท่านได้กล่าวว่า นอกจากดัจญาลต่างหากที่ฉันกลัวจะประสบกับพวกท่าน ถ้าหากมันปรากฏออกมาขณะที่ยังมีฉันอยู่ในหมู่พวก ท่าน ฉันจะเป็นผู้พิสูจน์มันเอง โดยพวกท่านไม่ต้องยุ่งเกี่ยว และถ้าหากมันปรากฏออกมา โดย ไม่มีฉันอยู่ในหมู่พวกท่าน ใครก็เป็นผู้พิสูจน์มันได้ด้วยตัวเขาเอง อัลเลาะห์จะเป็นตัวแทนของ ฉันดูแลมุสลิมทุกคน แท้จริง ดัจญาลเป็นคนหนุ่ม ผมหยิก ตาของเขาไม่มีแวว ดูเหมือนว่า ฉันจะเปรียบเขาเหมือนกับอัลดุ้ลอุซซา บุตร กอตอน ดังนั้นผู้ใดจากพวกท่านที่ได้ทันพบดัจญาล ให้เขาจงอ่านใสดัจญาล ด้วยเริ่ม ๆ ของซูเราะฮ์อัลกะห์ฟฺ ความจริงมันจะปรากฏออกมาที่เส้น ทางระหว่างชามกับอิรัค และได้ทำความพินาศให้เถิดขึ้นทางด้านขวา และได้ทำความพินาศ ให้เถิดขึ้นทางด้านซ้าย โอ้บ่าวของอัลเลาะห์จงยืนหยัด พวกเราได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ เขาจะอยู่ในหน้าแผ่นดินกี่วัน ท่านกล่าวว่า สี่สิบวัน วันหนึ่งเท่ากับหนึ่งปี วันหนึ่งเท่ากับ หนึ่งเดือน และวันหนึ่งเท่ากับหนึ่งสัปดาห์ และวันอื่นๆ ก็จะเท่ากับวันของพวกท่าน พวกเราได้ กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ ดังนั้น วันที่เท่ากับหนึ่งปีนั้น จะเป็นการพอเพียงแก่พวกเรา ไหมการละหมาดหนึ่งวัน ท่านกล่าวว่า ไม่, พวกท่านจะต้องคำนวณหนึ่งวันนั้นให้เท่า

กับหนึ่งปี[359] พวกเราได้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ มันจะรวดเร็วปานใดในหน้าแผ่นดิน ท่านตอบว่า เหมือนเมฆฝนที่ลมหอบมันไป[360] มันจะมาหาพวกหนึ่งเรียกร้องพวกเขา และ พวกเขาก็จะศรัทธามัน และตอบรับมัน มันจะใช้ฟ้าฝนก็จะตก และใช้แผ่นดินก็จะงอกงาม และฝูงสัตว์จะกลับมาหาพวกเขา ในสภาพที่สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ และเต้านมเต่งตึง และสะโพกขยายกว้างที่สุด หลังจากนั้น มันจะไปหาคนพวกหนึ่ง เรียกร้องพวกเขา แต่พวกเขา ปฏิเสธคำพูดของมัน หันหนีมัน พวกเขาจะรุ่งเช้าขึ้นมาพบกับความแห้งแล้ง ไม่มีสิ่งใดอยู่ ในมือของพวกเขาเลยที่เป็นทรัพย์สิน และมันจะผ่านสถานที่ปรักหักพัง มันจะกล่าวกับสถานที่ นั้นว่า จงคายคลังสมบัติของเจ้าออกมา คลังสมบัติของสถานที่นั้นก็จะตามเขา เหมือนตามพญาผึ้ง หลังจากนั้นเขาจะเรียกชายหนุ่มคนหนึ่งมา จะฟันเขาด้วยดาบ และตัดออกเป็นสองท่อน ห่าง เท่าระยะยิงเป้า

หลังจากนั้น ดัจญาลก็จะเรียกเขา เขาจะหันมามีใบหน้าแจ่มใส หัวเราะขณะที่เขากำลัง อยู่ในสภาพอย่างนั้น อัลเลาะห์ก็ได้ส่งมาซีห์ บุตร มัรยัม อ.ล. มา เขาจะลงมาที่มะนาเราะห์ บัยดออฺ (หออะซานขาว) สิ่งอยู่ทางตะวันออกของ ดามัสกัด สวมอาภรณ์สองชิ้น โดยวางมือ ทั้งสองข้างบนปีกของมะลาอีกะฮ์สองท่าน เมื่อเขาสั่นศีรษะจะมีน้ำหยดลงมา และเมื่อเงย ศีรษะขึ้นก็จะมีไข่มุขร่วงลงมา87จะไม่มีผู้ไร้ศรัทธาคนใดที่ได้กลิ่นหายใจของอีซา รอดพ้นไปได้ นอกจากจะเสียชีวิต และลมหายใจของเขาจะไปถึงยังที่ๆ สายตาของเขามองไปถึง อีซาจะตาม หา ดัจญาล จนตามไปทันกันที่ประตู ลุดด์ และอีซาจะสังหารมัน หลังจากนั้นกึจะมีคนพวก หนึ่งที่อัลเลาะห์ได้คุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากดัจญาล มาหาอีซา บุตร มัรยัม เขาจะลูบหน้าคน พวกนั้น และพูดคุยกับคนพวกนั้นถึงขั้นต่าง ๆ ที่พวกเขาจะได้รับในสวรรค์ ขณะที่เขากำลัง อยู่ในสภาพเช่นนั้น อัลเลาะห์ได้วะฮีย์ลงมายังอีซา ว่า แท้จริงเราได้ให้บ่าวของเราออกมา ซึ่งไม่มีสองมือของผู้ใด จะสู้รบกับพวกเขาได้ ดังนั้น ท่านจงนำบ่าวของฉันไปยังภูเขาตูร และ อัลเลาะห์ก็จะส่ง ยะอญูจ และ มะอฺญูจ มา พวกเขาจะแพร่พันธุ์ไปทั่วทุกแห่ง รุ่นแรกของ พวกเขาจะผ่านมายัง ทะเลสาบ ตอบะรียะห์ พวกเขาจะดื่มสิ่งที่อยู่ในทะเลสาบนั้น และรุ่น สุดท้ายของพวกเขาจะผ่านมา พวกเขาจะกล่าวว่า ครั้งหนึ่งเคยมีนํ้าอยู่ที่นี่ นะบีของอัลเลาะฮ์ อีซา และสาวก จะถูกปิดล้อมจนกระทั่งการที่หัววัวจะเป็นของคนหนึ่งจากพวกเขาดียิ่งกว่าการ ที่คนหนึ่งของพวกท่านจะได้หนึ่งร้อยเหรียญทองในวันนี้ นบีของอัลเลาะฮ์ อีซา และสาวกจะ วิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ และอัลเลาะห์ก็จะส่งหนอนลงมาที่ด้นคอของพวกเขา (ยะอญูจและมะอฺญูจ) พอรุ่งเช้าพวกนั้นก็จะกลายเป็นศพเหมือนความตายของชีวิตเดียว หลังจากนั้น นบีของอัลเลาะห์ อีซา และสาวกก็จะลงมา (จากภูเขาตูร) สู่พื้นดิน พวกเขาไม่พบในหน้าแผ่นดินที่ว่างสักเพียง คืบเดียว นอกจากจะเตมไปด้วยกลิ่นเน่า และกลิ่นเหม็นของพวกนั้น นบีของอัลเลาะห์ อีซา และสาวก จะวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ อัลเลาะห์ก็จะส่งนกลงมาเหมือนคออูฐ ฝูงนกนั้นจะนำ ร่างของพวกนั้นไปทิ้งยังที่ๆ อัลเลาะส์ประสงค์ หลังจากนั้นอัลเลาะห์ก็จะส่งฝนลงมา ซึ่งจะ ไม่มีบ้านใดทั้งเป็นอาคาร และกระโจมรอดพ้นจากฝนนั้นได้ ฝนนั้นจะชำระล้างแผ่นดิน จน จะทิ้งแผ่นดินไว้เหมือนกระจก หลังจากนั้น แผ่นดินจะได้รับคำสั่งว่าเจ้าจงให้ผลของเจ้างอก เงยออกมา และจงคืนความเพิ่มพูนของเจ้า และในวันนั้นเองกลุ่มชนหนึ่งก็จะกินจากผลทับทิม เพียงหนึ่งผล และอาศัยร่มจากเปลือกของมัน และจะเถิดความเพิ่มพูนขึ้นในปศุสัตว์ นม ของอูฐตัวหนึ่งจะพอเพียงแก่กลุ่มชนหนึ่ง นมจากวัวตัวหนึ่งจะพอเพียงแก่คนเผ่าหนึ่ง นมจากแพะตัวหนึ่งจะพอแก่คนก๊กหนึ่ง ขณะที่พวกเขาอยู่ในเหตุการณ์อย่างนั้น อัลเลาะฮ์ก็ได้ส่งสายลม ที่ดีมา[361]  สายลมนั้นจะเข้าเล่นงานพวกเขาจากทางใต้รักแร้ของพวกเขา และมันก็จะเก็บวิญญาณ ของมุอฺมินทุกคน และมุสลิมทุกคนจะเหลือเพียงคนชั่ว พวกเขาจะร่วมประเวณีกับผู้หญิงเหมือน การร่วมกันของลา และวันกิยามะห์ก็จะเถิดขึ้นกับพวกเขา[362] 

รายงานโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และ ติรมิซี 

บทสุดท้าย

อีซา อ.ล. จะลงมาอยู่ในหน้าแผ่นดินชั่วระยะเวลาหนี่ง
และจะกลับไปสู่ความเมตตาและความพอพระทัยของ อัลเลาะห์

เล่าจากอะบีฮูรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า ใกล้แล้วที่ บุตร ของมัรยัม อ.ล. จะลงมาในหมู่ พวกท่าน เป็นผู้ตัดสินที่ยุติธรรม เขาจะมาทำลายไม้กางเขน จะฆ่าหมูมายกเลิก ยิชยะห์ ทรัพย์ จะเนืองนอง จนไม่มีใครจะรับจนถึงขนาดที่การสุหยูดเพียงครั้งเดียว จะดีกว่าดุนยาและสิ่ง ที่มีอยู่ในดุนยา หลังจากนั้น อะบูฮุรอยเราะห์ ได้กล่าวว่า พวกท่านจงอ่านเถิด หากต้องการ “ไม่มีชาวคัมภีร์คนใด นอกจากต้องมีศรัทธาต่อเขา (อีซา) ก่อนที่เขาจะตาย และในวันกิยามะห์ เขาจะเป็นพยานให้พวกเขา” 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจะเป็น อย่างไร เมื่อบุตรของมัรยัมลงมาในหมู่พวกท่าน โดยที่ผู้นำของพวกท่านมาจากพวกท่านเอง[363] 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และ อะห์มัด

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะฮ์ บุตร มัรยัม จะต้องลงมาเป็นผู้คัดสินที่มีความยุติธรรม เขาจะต้องทำลายไม้กางเขน จะต้องฆ่าหมู จะต้องยกเลิก ยิชยะห์ อูฐหนุ่มจะถูกปล่อยปละละเลย และไม่มีใครให้นํ้ามัน[364] ความรังเกียจ ชิงชังกัน และอิจฉาริษยากันจะพินาศไป และเขาจะเรียกไปสู่ทรัพย์สิน โดยไม่มี ผู้ใดรับมัน

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ดัจญาล จะออกมาในประชากรของฉัน มันจะมาอยู่เป็นเวลาสี่สิบ ฉันไม่รู้ว่าสี่สิบวัน หรือสี่สิบ เดือน หรือสี่สิบปี หลังจากนั้น อัลเลาะห์จะส่ง อีซา บุตร มัรยัมมา เขาดูคล้ายกับ อุรวะห์ บุตร มัสอูด[365] เขาจะตามหา ดัจญาล และทำลายมันลงได้ หลังจากนั้นประชาชนจะพำนัก อยู่เป็นเวลาเจ็ดปี โดยที่ไม่มีความเป็นศัตรูกัน ในระหว่างคนสองคน 

รายงานหะดีษทั้งสอง โดย มุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ระหว่างฉันกับอีซา อ.ล. ไม่มีนบีใดมาคั่นและความจริงเขาจะลงมา ดังนั้นเมื่อพวกท่านเห็นเขา พวกท่านจะรู้จักเขา เขาเป็นชาย ร่างสันทัด ผิวแดง ปนขาว อยู่ระหว่างอาภรณ์สองผืนสีเหลือง ศีรษะของเขาเหมือนมีนํ้าหยด แม้ศีรษะของเขาจะไม่ได้เปียกเลยก็ตาม เขาจะสู้รบกับประชาชน โดยยึดหลักอิสลาม เขาจะทุบไม้กางเขน จะฆ่าหมู จะยกเลิกยิซยะห์ และอัลเลาะฮ์จะทำลาย ศาสนาต่างๆ ทั้งหมดในยุคของเขา นอกจากอิสลาม และจะทำลาย มะสีห์ ดัจญาล (หลัง จากนั้น ความปลอดภัยจะเถิดขื้นบนหน้าแผ่นดิน จนสิงโต จะหากินร่วมกับ อูฐ เสือจะหากินร่วมกับวัว และหมาป่าจะหากินร่วมกับแพะ และเด็กๆ จะเล่นกับงู อีซา จะอยู่ในหน้าแผ่นดิน เป็นเวลาสี่สิบปี แล้วจะตาย มวลมุสลิมจะละหมาดให้เขา[366] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด ฮากีม และ อหม่าม อะห์มัด

และอับดุลเลาะห์ บุตร สลาม ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้ถูกจารึกอยู่ในคัมภีร์เตารอต ลักษณะของมุฮัมมัด และ ลักษณะของ อีซา บุตร มัรยัม ซ.ล. และอีซา จะถูกฝังร่วมกับ มูฮัมมัด ซ.ล.[367]  

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

ภาคกิยามะห์ สวรรค์ และ นรก885

การเป่าเขา

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “และเขาจะต้องถูกเป่าอย่างแน่นอน จากนั้น ผู้ที่อยู่ใน ฟากฟ้า และผู้ที่อยู่ในแผ่นดินก็จะล้มตายสิ้น ยกเว้นผู้ที่อัลเลาะห์ทรงประสงค์ หลังจากนั้น มันก็จะถูกเป่าอีกครั้งหนึ่ง พลันพวกเขาก็จะลุกขึ้นยืนมองดู” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ ทรงสัจจะ

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชาวอาหรับชนบทคนหนึ่งได้มาหา ท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซูรคืออะไร ? ท่านตอบว่า คือเขาสัตว์ ที่ใช้เป่า

รายงานโดยอะบู ดาวูด และติรมิซี 

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ฉันจะหาความสุขอย่างไร ทั้งที่เจ้าของเขาสัตว์ได้อมเขาไว้แล้ว และรอฟังคำอนุมัติว่า เมื่อไรจึงจะถูกบัญชาให้เป่า ก็จะ เป่า[368] การดังกล่าวดูเหมือนเป็นเรื่องที่หนักหน่วงแก่บรรดาสาวกของท่านนบี ซ.ล. ท่านจึง ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านจงกล่าวว่า “อัลเลาะฮ์ก็เพียงพอแล้วแก่พวกเรา และเป็นผู้แทนที่ดี และพวกเรามอบหมายให้อัลเลาะห์”[369]

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ว่า ท่านได้กล่าวถึง ดัจญาล จนท่านได้กล่าวว่า หลังจากนั้นเขาจะถูกเป่า ไม่มีใครได้ยินมัน นอกจากมันจะทำให้คอด้านหนึ่งตํ่าลง และอีกด้านหนึ่งสูงขึ้น[370] และบุคคลแรกที่จะได้ยิน (เสียงเป่า) เขานั้น คือชายคน หนึ่งที่ซ่อมแซมบ่อนํ้าสำหรับอฐของเขา และเขาก็สิ้นสติ (และตายไป) และประชาชนก็จะ เสียชีวิตกันหมด หลังจากนั้น อัลเลาะห์ก็จะส่งหรือ (ผู้เล่า) กล่าวว่า จะให้ฝนตกลงมา มัน เหมือนกับฝนตกปรอยๆ หรือเป็นร่มเงา และร่างของมนุษย์ก็จะงอกขึ้นจากฝนนั้น[371] หลัง จากนั้น เขาจะถูกเป่าอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาก็จะยืนขึ้นมองดู หลังจากนั้น จะมีผู้กล่าวว่า โอ้ ประชาชน ทั้งหลาย จงมาสู่ผู้อภิบาลของพวกท่าน และจงให้พวกเขาหยุดอยู่ เพราะพวกเขาจะต้องถูก สอบสวน หลังจากนั้นจะมีผู้กล่าวว่า จงเอาชาวนรกออกมา ได้มีผู้ถามว่า จากจำนวนเท่าไหร่ จะมีผู้กล่าวว่า จากทุกๆ จำนวนหนึ่งพันคนนั้นเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน ท่านนบีได้กล่าวว่า นั่นแหละในวันที่จะทำให้เด็กๆ ผมหงอก และนั่นแหละในวันที่เผยถึงหน้าแข้ง[372] 

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากทำนนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ระยะระหว่างการ เป่าทั้งสองครั้งนั้น สี่สิบ พวกเขากล่าวว่า โอ้ อะบูฮุรอยเราะห์ สี่สิบวันหรือ อะบูฮุรอย- เราะห์กล่าวว่า ฉันไม่รู้ พวกเขากล่าวว่า สี่สิบเดือนหรือ อะบู ฮุรอยเราะห์กล่าวว่า ฉันไม่รู้ พวกเขากล่าวว่า สี่สิบปีหรือ เขาตอบว่า ฉันไม่รู้ หลังจากนั้น อัลเลาะห์จะให้มีนํ้า ลงมาจากฟากฟ้า มนุษย์ก็จะงอกออกมาเหมือนผักที่งอกงามขึ้น ไม่มีส่วนใดของมนุษย์ นอกเสียจากจะผุฟังไปหมด นอกจากกระดูกชิ้นเดียว นั่นคือกระดูกก้นกบ และจากกระดูกก้นกบ ร่างจะถูกประกอบขึ้นในวันกิยามะห์[373] 

รายงานโดย บุคอรี และ มุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากทำนนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ลูกหลานของอาดัม ทุกคน ดินจะกินร่างของเขา นอกจากกระดูกก้นกบ[374] จากกระดูกก้นกบนี้ เขาจะถูกกำเนิดขึ้น และในกระดูกนี้ ที่จะถูกประกอบขึ้นมา[375] 

รายงานโดยมุสลิม และ อะบู ดาวูด

การบังเถิดใหม่ และร่วมชุมนุม [376]

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า             “ในวันที่อัลเลาะห์ จะทรงชุบชีวิตของพวกเขาทั้งหมด

ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พระองค์จะแจ้งแก่พวกเขาถึงสี่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ อัลเลาะห์ทรงสำรวจ มันไว้ทั้งหมด โดยที่พวกเขาได้ลืมมันไปแล้ว อัลเลาะห์ทรงประจักษ์ทุกสี่ง”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า        (ผู้ปฏิเสธการบังเถิดใหม่) ได้กล่าวว่า ใครจะเป็นผู้

ให้ชีวิตแก่กองกระดูกที่มันผุฟังไปแล้ว จงกล่าวเถิดว่า ผู้ที่ได้ให้กำเนิดมันในครั้งแรก จะเป็น ผู้ให้ชีวิตแก่มัน พระองค์ทรงรู้ทุกสี่งที่ถูกสร้างขึ้น”[377]

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า         “การกำเนิดพวกเจ้า และชุบชีวิตให้พวกเจ้าเถิดชื้น

ใหม่นั้น ไม่ใช่อื่นใด นอกจากเหมือนกับชีวิตเดียวเท่านั้น แน่แท้อัลเลาะห์ทรงได้ยินยิ่ง ทรงแล เห็นยิ่ง”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า         “และพวกเขาได้สาบานต่ออัลเลาะห์เป็นการสาบาน

อย่างจริงจังว่า อัลเลาะห์จะไม่ชุบชีวิตผู้ที่ตายไปแล้วชื้นมาอีก หามิได้ (พระองค์จะต้องบังเถิด พวกเขาชื้นมาอีก) เป็นสัญญาของอัลเลาะห์ ที่เป็นจริง แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “ในวันที่พวกเขาออกจากหลุมศพอย่างรวดเร็ว (ไปสู่ สถานที่ชุมนุม) คล้ายที่พวกเขารีบรุดไปยังแท่นบูชา โดยสายตาของพวกเขาละห้อย ความต่ำต้อย เข้าครอบงำพวกเขา วันนั้นเป็นวันที่พวกเขาเคยถูกสัญญาไว้” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ ทรงสัจจะ 

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า บ่าวทุกคนจะ อยู่บนสภาพที่เขาได้ตายไป ในสภาพนั้น[378] 

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ลุกขึ้นยืนใน ท่ามกลางพวกเขา กล่าวสุนทรพจน์ ด้วยคำสั่งสอน โดยกล่าวว่า โอ้ประชาชนทั้งหลาย แน่แท้ พวกท่านจะต้องถูกนำไปร่วมชุมนุมยังอัลเลาะห์ ในสภาพเปลือยเท้า เปลือยกาย หนังหุ้มปลาย ลึงค์ ยังไม่ได้ตัด-เหมือนสภาพที่เราได้ให้การเริ่มต้นในตอนแรกกำเนิด เราจะให้มันกลับคืนอีก เป็นสัญญาของเรา แท้จริงเราเป็นผู้กระทำ-และบุคคลแรกที่จะได้สวมใสอาภรณ์ในวัน กิยามะห์ คือ อิบรอฮีม อ.ล. พึงทราบเถิด ผู้คนจากประชากรของฉันจะถูกนำมา และพวก เขาจะถูกเอาตัวไปทางด้านซ้าย[379] ฉันจะกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้อภิบาล พวกเขาคืออัครสาวก ของฉันจะมีผู้กล่าวว่า ความจริงท่านไม่รู้ สิ่งที่พวกเขาได้ก่อขึ้นภายหลังจากท่าน ฉันจึงได้กล่าวเหมือนบ่าวที่ดีของอัลเลาะห[380] ได้กล่าวว่า และฉันจะเป็นพยานให้พวกเขา ตราบที่ฉัน ยังอยู่ในหมู่พวกเขา และเมื่อท่านให้ฉันเสียชีวิต ท่านก็เป็นผู้ดูแลพวกเขา และท่านเป็นผู้ประจักษ์ ทุกสิ่ง ถ้าหากท่านลงโทษพวกเขา แท้จริงพวกเขาก็เป็นบ่าวของท่าน และถ้าหากท่านอภัยให้แก่พวกเขา ท่านก็เป็นผู้พิชิต เป็นผู้ทรงเชี่ยวชาญ ท่านนบีได้กล่าวว่าจะมีผู้กล่าวแก่ฉันว่า แท้จริงพวกเขายังคงถอยหลังกลับ นับตั้งแต่ท่านได้จากพวกเขาไป[381]

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า มนุษย์จะถูกนำไปชุมนุมในวันกิยามะห์ ในสภาพเปลือยเท้า เปลือยกาย หนังหุ้มปลายลึงค์ยังไม่ถูกตัด ฉันได้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ผู้หญิงผู้ชายทั้งหมด โดยบางคนจะมองดูบางคนอย่างนั้นหรือ ท่านกล่าวว่า โอ้ อาอิชะห์ เหตุการณ์ที่เถิดขึ้นนั้นมันร้ายแรงยิ่งกว่าการที่บางคนจะ มองดูบางคน[382] 

รายงานหะดีษทั้งสอง โดยบุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มนุษย์จะถูกนำไปชุมนุมกันเป็นสามพวก มุ่งหวัง หวาดหวั่น[383] สองคนอย่บนอูฐตัวเดียว สามคนอย่บนอูฐตัวเดียว สี่คนอยู่บนอูฐตัวเดียว และสิบคนอยู่บนอูฐตัวเดียว[384] และไฟนรกจะต้อนคนที่เหลือ ไปรวมกัน มันจะแรมคืนอยู่กับพวกเขาในที่ๆ พวกเขาแรมคืน และจะนอนกลางวันอยู่กับพวก เขาในที่ๆ พวกเขานอนกลางวัน จะรุ่งเช้าอยู่กับพวกเขาในที่ๆ พวกเขารุ่งเช้า และจะอยู่ในเวลา เย็นกับพวกเขาในที่ๆ พวกเขาอยู่ในเวลาเย็น[385] 

รายงานโดย บุคอรี และ มุสลิม

เล่าจาก บะห์ซฺ บุตร ฮะกีม จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้า ได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า แท้จริงพวกท่านจะถูกนำไปรวมกัน มีทั้งผู้เดินเท้า และขี่พาหนะ และพวกท่านจะถูกฉุดลากควํ่าหน้าไป[386] 

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

การร่วมชุมนุมบนแผ่นดินใหม่[387]

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “ในวันที่แผ่นดินจะถูกเปลี่ยนไป นอกจากแผ่นดินเดิม และพวกเขาก็จะปรากฏตัวต่ออัลเลาะห์ ผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงข่มขู่”[388]
 

มัสรูก ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อาอิชะห์ ได้อ่าน อายะห์นี้[389] แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ มนุษย์จะอยู่ที่ไหน    ท่านตอบว่า อยู่บนสะพาน 

รายงานโดย มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก สะหัล ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ประชาชนจะถูกนำมารวมกัน ในวันกิยามะห์ บนแผ่นดินขาวสีฝุ่น เหมือนแผ่นขนมปังบริสุทธิ์ สะหัลหรือคนอื่นได้กล่าวว่า ไม่มีในหน้าแผ่นดินเครื่องหมายของผู้ใด[390]

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผืนแผ่นดินในวันกิยามะห์ นั้น จะเป็นขนมปังแผ่นเดียวกัน[391] ผู้ทรงอำนาจเด็ดขาดจะพลิกมันไปมาด้วยมือของพระองค์ เหมือนที่คนใดคนหนึ่งของพวกท่าน จะพลิกก้อนขนมปังของเขา (ทีท่าขึ้น) ในขณะเดินทาง เป็นการต้อนรับชาวสวรรค์[392] ต่อมาได้มีผู้ชายคนหนึ่งจากชาวยะฮูดได้มาหาท่านนบี แล้วกล่าว ว่า  ขอพระผู้ทรงเมตตา ประทานความเพิ่มพูนให้ท่าน โอ้ อะบั้ลกอซิม ฉันจะไม่บอกท่านเกี่ยวกับการต้อนรับชาวสวรรค์ในวันกิยามะห์หรือ  ท่านตอบว่า หามิได้ เขาได้กล่าวว่า แผ่นดินจะเป็นขนมปังแผ่นเดียว เหมือนที่ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว ท่านนบี ซ.ล. ได้มองดูพวกเรา จนเผยให้เห็นฟันของท่าน หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า   ฉันจะไม่บอกท่านเกียวกับ กับ (ข้าว)ของชาวสวรรค์หรือท่านได้กล่าวว่า กับข้าวของชาวสวรรค์ คือ บาลาม กับ นูน พวกเขา ได้ถามว่า มันคืออะไร          ท่านตอบว่า คือ วัว กับ ปลาวาฬ จะกินจากติ่งที่ตับของมันทั้งสองเจ็ดหมื่นคน[393]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และมุสลิม

คำดำรัสของอัลเลาะห์ ผู้ทรงสูงเกียรติ ในวันกิยามะห์

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “ไม่มีสิ่งใดจากพวกเขาจะข้อนเร้นต่ออัลเลาะห์ อำนาจ ปกครองในวันนี้เป็นของผู้ใด เป็นของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงอำนาจ[394] ในวันนี้ทุกชีวิต

ต้องลูกตอบแทนตามที่เขาได้พากเพียร ไม่มีการทุจริตในวันนี้ แท้จริงอัลเลาะห์ทรงสอบสวน อย่างฉับพลัน” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ ทรงสัจจะ

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์จะกำแผ่นดิน ในวันกิยามะฮ์ และพับฟ้าด้วยมือของพระองค์[395] หลังจากนั้นพระองค์จะกล่าวว่า ฉันคือผู้ ทรงกรรมสิทธิ๋ อยู่ที่ไหนเล่าบรรดาผู้ที่ปกครองแผ่นดิน 

รายงานโดยบุคอรี และ มุสลิม

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ได้กล่าวว่า            ท่านรอชุลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า

อัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ และเกรียงไกร จะพับนั้นฟ้าทั้งเจ็ดในวันกิยามะห์ หลังจากนั้นพระองค์จะคว้ามันด้วยมือของพระองค์ แล้วจะกล่าวว่า เราคือผู้ทรงกรรมสิทธิ์ ไหนเล่าบรรดาผู้ทรงอิทธิพล ไหนเล่าบรรดาผู้ยะโส หลังจากนั้นพระองค์จะพับแผ่นดินด้วยมือซ้าย ของพระองค์ แล้วจะกล่าวว่า เราคือผู้ทรงกรรมสิทธิ์ ไหนเล่าบรรดาผู้ทรงอิทธิพล ไหนเล่า บรรดาผู้ยะโส

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) โดยเขากล่าวถึงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ว่าได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ และ เกรียงไกร จะคว้าชั้นฟ้าของพระองค์ด้วยสองมือของพระองค์ แล้วกล่าวว่า เราคืออัลเลาะห์ พระองค์จะกำนิ้วและแบออก เราคือผู้ทรงกรรมสิทธิ จนฉัน ได้เห็นมิมบัร ที่กำลังสั่นจากโคนล่างของมัน จนฉันกลัวมันจะล้มลงมาพร้อมกับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.[396] 

รายงานโดยหะดิษทั้งตอง โดยมุสลิม

ความยุ่งยากของวันกิยามะห์[397]

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า        “โอ้ มวลมนุษย์ทั้งหลาย จงยำเกรงผู้อภิบาลของพวก

เจ้า เพราะแท้จริงความสั่นสะเทือนของวันกิยามะห์เป็นเรื่องใหญ่หลวง เป็นวันที่พวกเจ้าจะเห็น มัน แม่นมทุกคนจะลืมเด็กที่ตนให้นมอยู่ และหญิงมีครรภ์ทุกคนจะคลอดบุตรออกมาเอง และ เจ้าจะเห็นผู้คนทั้งหลายเมามาย ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่ใช่คนเมา แต่การลงโทษของอัลเลาะห์รุนแรง ยิ่ง”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า        “มีผู้หนึ่งได้ขอให้อุบัติการลงโทษที่มันต้องอุบัติขึ้น

สำหรับพวกผู้ใรัศรัทธา[398] จะไม่มีผู้ใดปัดป้องมันได้ มันมาจากอัลเลาะห์ผู้ทรงอำนาจในขั้น บันไดต่างๆ[399] ซึ่งมวลมะลาอิกะห์ และวิญญาณบริสุทธิ์ (ญิบรีล) จะขึ้นไปสู่พระองค์ในวันนั้น ซึ่งมันมีระยะถึงห้าหมื่นปี ดังนั้น เจ้าจงอดทนอย่างดีงามเถิด”[400]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า มนุษย์ชาติจะมีเหงื่อไหลออกในวันกิยามะห์ จนเหงื่อของพวกเขาจะซึมลงไปในแผ่นดินถึงเจ็ดสิบศอก[401] และจะท่วมพวกเขาจนถึงหูของพวกเขา[402] 

รายงานโดยบุคอรี และ มุสลิม

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ในวันที่มนุษย์ชาติจะลุกขึ้น

ยืน เพื่อผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ท่านได้กล่าวว่า คนหนึ่งของพวกเขาจะยืนอยู่ในเหงื่อของเขา ถึงกลางหูทั้งสองข้าง 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก มิกดาด บุตร อัสวัด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.

กล่าวว่า       ตะวันจะถูกนำเข้ามาใกล้สรรพสิ่งต่างๆ  ในวันกิยามะห์ จนมันจะอยู่ห่างจากพวก

เขา เท่ากับระยะเพียงหนึ่งไมล์ และมนุษย์ชาติก็จะขึ้นอยู่กับขนาดของผลงานของพวกเขาใน เรื่องเหงื่อ บางคนของพวกเขา จะมีเหงื่อถึงตาตุ่มทั้งสองข้าง บางคนของพวกเขาจะมีเหงื่อถึง หัวเข่าทั้งสองข้าง บางคนของพวกเขาจะมีเหงื่อถึงเอวทั้งสองข้างของเขา และบางคนของพวกเขา เหงื่อจะท่วมเขาจนมิด ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ไดใช่มือของท่านขึ้ไปที่ปากของท่าน[403] 

รายงานโดยมุสลิม และ ติรมิซี

อัลเลาะห์ทรงสอบสวนบ่าวของพระองค์

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า      “สำหรับผู้ที่ได้รับบันทึกของเขาด้วยมือขวานั้น ต่อไป

เขาจะลูกสอบสวนอย่างง่ายดายและเขาจะกลับสู่ครอบครัวของเขา (ในสวรรค์) อย่างภาคภูมิใจ”[404]

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า      “แน่แท้มาสู่เรานั้นคือที่กลับคืนของพวกเขา และเป็น

หน้าที่ของเราที่จะสอบสวนพวกเขา”[405]

เล่าจาก อะดีย์ บุตร ฮาติม ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าว

ว่า ไม่มีใครจากพวกท่าน นอกจากพระผู้อภิบาลของเขาจะพูดกับเขาในวันกิยามะห์ โดยไม่มี

ล่ามถ่ายภาษาระหว่างเขากับพระผู้อภิบาลของเขา925 เขาจะมองไปด้านขวาของเขา เขาจะไม่เห็น นอกจากสิ่งที่เขาได้ทำไว้จากผลงานของเขา และเขาจะมองไปทางด้านซ้ายของเขา ก็จะไม่เห็น นอกจากสิ่งที่เขาได้กระทำไว้ เขาจะมองไปเบื้องหน้าของเขา จะไม่เห็นนอกจากไฟนรกอยู่เบื้อง หน้าของเขา[406] ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงระมัดระวังไฟนรก แม้ด้วยอินทผลัมเพียงซีกเดียว[407] 

รายงานโดย บุคอร บุสลม และติรมิซี

และมีผู้ถาม อิบนุ อุมัร ร.ฎ. ว่า ท่านได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวถึงเรึ่องการกระซิบ[408] อย่างไรบ้าง เขากล่าวว่า ฉันได้ยินท่านนบีกล่าวว่า คนหนึ่งของพวกท่านจะเข้าใกล้ พระผู้อภิบาลของเขา จนพระองค์จะวางความสงสารของพระองค์ให้เขา[409] พระองค์จะกล่าว ว่า                                          ท่านได้กระทำอย่างนั้น อย่างนั้นหรือ เขาจะตอบว่า ครับลูกแล้ว และพระองค์จะกล่าวว่า ท่านได้กระทำอย่างนั้น อย่างนั้นหรือ เขาตอบว่า ถูกแล้ว เขาจะยืนยันมัน[410] หลังจากนั้นพระองค์จะกล่าวว่า เราได้ปกปิดท่านในโลกดุนยา และเราได้อภัยมันให้ท่านในวันนี้[411] หลังจากนั้นเขาจะได้รับ บัญชีความดีของเขา[412] ส่วนบรรดาผู้ไร้ศรัทธา[413] เขาจะถูกเรียกอยู่ เหนือหัวของประจักษ์พยานทั้งหลายว่า            พวกเหล่านี้เป็นพวกซึ่งมุสาต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขา พึงทราบเถิดว่า การสาปแช่งของอัลเลาะห์จะต้องเถิดกับบรรดาผู้ทุจริต 

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอาอิซะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีผู้ใดที่ถูกสอบสวนในวันภิยามะห์ นอกจากเขาจะต้องพินาศ ข้าพเจ้าได้ถามว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ทรงตรัสไว้ไม่ใช่หรือว่า “สำหรับผู้ที่ได้รับบันทึกของเขาด้วยมือขวานั้น ต่อไปเขาจะลูกสอบสวนอย่างง่ายดาย” ท่านได้กล่าวว่า ความจริง นั่นคือการเสนอ ไม่มีคนใดที่ถูกซักถามอย่าง ละเอียดในวันกิยามะห์ นอกจากเขาจะต้องถูกลงโทษ[414]

รายงานโดย บุคอรี และ ติรมิซี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริงนบีของอัลเลาะห์ ซ.ล. เคยกล่าวว่า ผู้ไร้ศรัทธาจะถูกนำมาในวันกิยามะห์ จะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า จงบอกเถิด ถ้าพวกเจ้ามีทองคำเต็มแผ่นดิน

เจ้าจะใช้มันไถ่ตัวไหม      เขาจะกล่าวว่า      แน่นอนครับ จะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า           ความจริงเจ้า

เคยถูกขอด้วยสิ่งที่ง่ายดายกว่านี้[415] 

รายงานโดย บุคอรี และ มุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า บุคคลแรกที่จะถูกเรียกในวันกิยามะห์คือ อาดัม ลูกหลานของอาดัม จะชะเง้อคอ[416] จะมีผู้,กล่าวว่า นี่บิดาของพวกท่าน คือ อาดัม เขาจะกล่าวว่า ขอรับ และยินดีขอรับพระองค์จะกล่าวว่า ท่านจงคัดชาวนรกออกจากลูกหลานของท่าน พระองค์จะกล่าวว่า ท่านจงคัดออกจากทุกๆ จำนวนหนึ่งร้อยนั้นเก้าสิบเก้าคน พวกเขาได้กล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ เมื่อพวกเขาถูกเอาตัวไปทุกๆ จำนวนหนึ่งร้อย ถึงเก้าสิบเก้าคนดังนั้น จะเหลืออะไร จากพวกเรา ท่านนบีได้กล่าวว่า แท้จริง ประชากรของฉันเมื่อเทียบกับประชากรต่างๆ แล้ว ก็เหมือนกับขนสีขาวในวัวดำเท่านั้น[417]

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจาก อะบีสะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์จะตรัสว่า โอ้ อาดัมเขาจะกล่าวว่า      ขอรับ และยินดีขอรับ ความดีอยู่ในสองมือของพระองค์ท่าน พระองค์จะกล่าวว่า ท่านจงคัดชาวนรกออก อาดัม ได้กล่าวว่า ใครคือชาวนรก พระองค์กล่าวว่า ทุก ๆ หนึ่งพันคนจะมีจำนวนเก้าร้อยเก้าสิบคน เหตุการณ์นั้นเถิดขึ้นขณะที่เด็กจะกลายเป็นคนแก่ และผู้หญิงที่มีครรภ์จะคลอดบุตรของหล่อนออกมา[418] และท่านจะเห็นมนุษย์ชาติเมามาย ทั้งที่พวกเขาไม่ เมามาย แต่เพราะการลงโทษของอัลเลาะห์รุนแรงยิ่งนัก การณ์เช่นนั้นจึงเถิดขึ้นอย่างร้ายแรงแก่ พวกเขา[419] ต่อมาพวกเขาได้กล่าวว่า            โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ใครของพวกเราที่เป็นคนๆ นั้น[420] ท่านนบีกล่าวว่า พวกท่านจงทราบข่าวดีเถิด แท้จริงจากพวกยะอฺญจและมะอญูจ จำนวนหนึ่งพัน และจากพวกท่าน คนเดียว[421] จากนั้นได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า แท้จริง ฉันปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้พวกท่านเป็นเศษหนึ่งส่วนสามของ ชาวสวรรค์ผู้เล่าได้กล่าวว่า พวกเราได้สรรเสริญ อัลเลาะห์ และกล่าวตักบีร ต่อมาท่านได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า ความจริงฉันมีความปรารกนาอย่างยิ่ง ที่จะให้พวกท่านเป็นครึ่งหนึ่งของชาวสวรรค์ ความจริงถ้าจะเปรียบพวกท่านกับประชากร ต่างๆ แล้ว ก็เหมือนกับเส้นขนสีขาวที่อยู่ในหนังวัวดำหรือ จุดดำที่ข้อพับของลา 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า            แท้จริง พวกเขาได้กล่าวว่า      โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์

เราจะได้เห็นผู้อภิบาลของเราไหมในวันกิยามะห์ ท่านตอบว่า       พวกท่านต้องได้รับความลำบาก

ไหม ในการมองดูตะวันในยามบ่าย โดยที่ตะวันนั้นไม่ได้อยู่ในก้อนเมฆ พวกเขาตอบว่า ไม่

ท่านได้กล่าวว่า       พวกท่านต้องได้รับความลำบากไหม ในการมองดูดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ

โดยที่ดวงจันทร์ไม่ได้อยู่ในก้อนเมฆ พวกเขาตอบว่า ไม่ ท่านนบีจึงกล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า พวกท่านจะไม่ได้รับความลำบากเลยในการมองดูพระผู้อภิบาลของพวกท่าน นอกจากเหมือนกับการที่พวกท่านจะได้รับความลำบากในการมองดู หนึ่งจากในสองนั้น ท่านนบีได้กล่าวว่า หลังจากนั้นอัลเลาะห์จะพบกับบ่าว พระองค์จะตรัสว่า โอ้ คนๆ นั้น เราไม่ได้ให้เกียรติเจ้าหรือ เราไม่ได้ให้เจ้าเป็นผู้นำหรือ เราไม่ได้ให้เจ้า มีคู่ครองหรือ เราไม่ได้ให้ม้าและอูฐเป็นความสะดวกแก่เจ้าหรือ และเราไม่ได้ปล่อยให้เจ้าเป็น หัวหน้าและสูงส่งหรือ เขาจะกล่าวว่าหามิได้ ท่านนบีได้กล่าวว่า และพระองค์จะตรัสว่า และเจ้าคาดคิดไหมว่า เจ้าจะต้องพบกับเรา เขาจะตอบว่า ไม่ พระองค์จะตรัสว่า ความจริงเราลืมเจ้าเหมือนที่เจ้าลืมเรา[422] หลังจากนั้นพระองค์จะได้พบกับคนที่สองพระองค์ จะตรัสว่า โอ้ คนๆ นั้น เราไม่ได้ให้เกียรติเจ้าหรือ เราไม่ได้ให้เจ้าเป็นผู้นำหรือ เราไม่ได้ให้เจ้ามีคู่ครองหรือ เราไม่ได้ให้ม้าและอูฐเป็นความสะดวกแก่เจ้าหรือ และเราไม่ได้ปล่อยให้ เจ้าเป็นหัวหน้าและสูงส่งหรือ เขาจะกล่าวว่า หามิได้ ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน พระองค์

จะกล่าวว่า เจ้าคาดคิดไหมว่า เจ้าจะต้องพบกับเรา เขาจะตอบว่า ไม่ พระองค์จะกล่าวว่า ความจริงเราลืมเจ้า เหมือนที่เจ้าลืมเรา[423] หลังจากนั้นพระองค์จะพบกับคนที่ สาม พระองค์ จะกล่าวแก่เขาเหมือนที่กล่าวมาแล้วนั้น[424] เขาจะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันศรัทธาต่อพระองค์ท่านต่อคัมภีร์ของพระองค์ท่าน ต่อศาสนทูตของพระองค์ท่าน ฉันได้ละหมาดได้ถือศีลอดได้บริจาค และเขาจะสรรเสริญด้วยความดีอย่างสุดความสามารถ พระองค์จะกล่าวว่า  ดังนั้น เจ้าจงหยุดอยู่ที่นี่[425] หลังจากนั้น จะมีผู้กล่าวแก่เขาว่าบัดนี้เราจะบังเถิดพยานของเจ้าที่จะปรักปรำเจ้า เขาจะครุ่นคิดในใจของเขาว่าใครที่จะมาเป็นพยานปรักปรำฉัน ต่อมา ปากของเขาก็จะถูกผนึก จะมีผู้กล่าวแก่ขาอ่อนของเขา แก่เนื้อและกระดูกของเขาว่า เจ้าจงพูด เถิด ขาอ่อนของเขา เนื้อของเขา และกระดูกของเขาก็จะพูดถึงการกระทำของเขา ทั้งนี้ เพื่อ ให้มันหักล้างข้อแก้ตัวของเขา[426] และคนนี้คือ คนตีสองหน้าที่อัลเลาะห์ทรงชิงชังเขา

รายงาน โดย มุสลิม

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราอยู่ที่ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ท่านได้

หัวเราะ หลังจากนั้นได้กล่าวว่า         พวกท่านทราบไหมว่า ฉันหัวเราะทำไม พวกเราได้กล่าว

ว่า     อัลเลาะห์และศาสนฑูตของพระองค์ทราบดี ท่านนบีได้กล่าวว่า             เนื่องมาจากคำที่บ่าว

โต้ตอบกับพระผู้อภิบาลของเขา บ่าวจะกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน พระองค์ท่านไม่ ได้คุ้มครองให้ฉันพ้นจากการทุจริตหรือ[427] ท่านนบีได้กล่าวว่า                                                          พระองค์จะตรัสว่า       หามิได้

ท่านนบีได้กล่าวว่า หลังจากนั้นพระองค์จะตรัสว่า ความจริงเราจะไม่อนุมัติให้เป็นภัยกับตัวเรา นอกจากจะมีพยานยืนยันให้เรา ท่านนบีได้กล่าวว่า                                                    พระองค์จะตรัสว่า        เพียงพอแก่ตัวเจ้า

แล้วที่ตัวเจ้าจะเป็นพยานปรักปรำตัวเจ้าเอง และที่มะลาอิกะห์ “กิรอมอัลกาติบีน” (มะลาอีกะห์ ทำหน้าที่บันทึก) จะเป็นพยาน ท่านนบีได้กล่าวว่า                                                         ต่อมาปากของเขาก็จะถูกผนึก[428] และ

จะมีผู้กล่าวแก่อวัยวะต่างๆ ของเขาว่า         เจ้าจงพูดเถิด ผู้เล่าได้กล่าวว่า           อวัยวะต่าง ๆ ของ

เขาก็จะพูดเกี่ยวกับการกระทำของเขา ผู้เล่าได้กล่าวว่า          หลังจากนั้น พระองค์จะเปิดโอกาส

ให้เขากับคำพูดเขาจะกล่าวว่า       พวกเจ้าจะไปให้ไกลและจงพินาศ ข้าคอยป้องกันพวกเจ้า (แต่

พวกเจ้ากลับมาปรักปรำข้า) 

รายงานโดย มุสลิม

และเล่าจากเขา (อะนัส) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ลูกหลานของอาดัมจะถูกนำมาโดยมีสภาพคล้ายลูกแกะ จะถูกนำมายืนอยู่เบื้องหน้าอัลเลาะห์ พระองค์จะกล่าวแก่เขาว่า                                    เราได้ให้เจ้า เราได้ให้ความกว้างขวางแก่เจ้า และให้ความโปรดปรานแก่เจ้า และเจ้าได้กระทำอะไรบ้าง เขาจะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันได้สะสมมันได้ทำให้มันออกผล และได้ทอดทิ้งมันไว้มากมาย ดังนั้น ได้โปรดให้ฉันกลับไป ฉันจะนำมันมาเสนอให้ ท่าน พระองค์จะกล่าวแก่เขาว่า            จงให้เราได้เห็นสิ่งที่เจ้าได้เสนอ เขาจะกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันได้สะสมมัน ได้ทำให้มันออกผล และได้ทอดทิ้งมันไว้มากมาย ดังนั้น ได้โปรดให้ฉันกลับไป ฉันจะนำมันมาเสนอให้ท่าน ดังนั้น เขาคือบ่าวทีไม่เคยได้เสนอความดี ใดๆ และต่อมาเขาก็จะถูกนำไปยังไฟนรก

เล่าจาก อะบี บัรซะห์ อัลอัสละมีย์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เท้าทั้งสองข้างของบ่าวจะยังอยู่ในที่เดิมในวันกิยามะห์ จนกว่าเขาจะถูกถามถึงอายุของเขาว่า เขาได้ใช้ มันหมดไปในทางใด และถึงการกระทำของเขา ว่า เขาได้กระทำในสิ่งใดบ้าง และถึงทรัพย์สิน ของเขา ว่าเขาได้ขวนขวายมาจากไหน และเขาใช่จ่ายมันไปในทางใด และถึงร่างกายของเขาว่า เขาได้ทำให้มันเสื่อมโทรมไปในทางใด 

รายงานหะดีษทั้งสอง โดย ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ซะอฺละบะห์ อัลคุชะนีย์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์จะไม่ทำให้ประชาชาตินี้อ่อนแอ (ที่จะหยุดรอการสอบสวน) เป็นเวลาครึ่งวัน[429]

เล่าจาก สะอีด บุตร อะบีวักกอส ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าว ว่า ความจริงฉันหวังว่า ประชากรของฉัน จะไม่หมดกำลังลงอยู่กับผู้อภิบาลของเขา ที่พระองค์ จะให้พวกเขาล้าหลังไปครึ่งวัน มีผู้ถามสะอีดว่า ครึ่งวันของวันนั้นเท่าไหร่ เขาตอบว่าห้าร้อยปี

รายงาน หะดีษทั้งสอง โดย อะบู ดาวูด

เล่าจาก อะบี อุมมามะฮ์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                     พระผู้อภิบาลของฉัน

ได้สัญญากับฉันว่า จะให้ประชากรของฉันจำนวนเจ็ดสิบพันคนเข้าสวรรค์ โดยไม่มีการสอบสวน พวกเขา และไม่มีการลงโทษ พร้อมกับทุกๆ จำนวนหนึ่งพันคน อีกเจ็ดสิบพันคน กับอีกสามกอบ จากการกอบของพระองค์ 

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

การ กิศอศ[430]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่มีสิ่งที่ได้มาโดยทุจริต ซึ่งเป็นของพี่น้องของเขา ให้เขาจงขออนุมัติจากพี่น้องของเขา จาก สิ่งฺนั้น เพราะความจริง ที่โน้น ไม่มีเหรียญทองและเหรียญเงินก่อนที่ความดีของเขาจะถูกยึด ไปให้แก่พี่น้องของเขา ถ้าหากเขาไม่มีความดี ความชั่ว จากพี่น้องของเขาก็จะถูกยึดเอามา และ ถูกโยนให้เขา[431] 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

และตัวบทของ ติรมีซี ว่า อัลเลาะห์ได้ให้ความเมตตาแก่บ่าว ที่เขามีสิ่งที่ได้มาโดย ทุจริต ซึ่งเป็นของพี่น้องของเขา ทั้งในเรื่องศักดิ์ศรี หรือ ทรัพย์สิน ต่อมาพี่น้องของเขาได้ มาหาเขา และเขาได้ขออนุมัติจากพี่น้องของเขา ก่อนที่เขาจะถูกเอาความผิดโดยที่ๆ โน่น ไม่มี เหรียญทองและเหรียญเงิน ดังนั้น ถ้าหากเขามีความดี ความดีของเขาก็จะถูกยึดเอาไป และถ้า พวกเขาไม่มีความดี พวกเขาก็จะให้คนผู้นั้นแบกเอาความชั่วของพวกเขาไป

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า บรรดาผู้มีศรัทธาจะพ้นจากไฟนรก และพวกเขาจะถูกกักขังอยู่บนสะพานระหว่างสวรรค์กับนรกบางส่วนของพวกเขา จะถูกกิศอศให้แก่อีกบางส่วน ในสิ่งที่ถูกทุจริตระหว่างพวกเขาในดุนยา[432] จนเมื่อพวกเขาถูก ขัดเกลา และถูกชำระจนสะอาด พวกเขาก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าสวรรค์ สาบานต่อผู้ที่ซึ่งชีวิตของมุฮัมมัด อยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า คนหนึ่งคนใดของพวกเขา (ชาวสวรรค์) รู้จักที่ พำนักของเขาในสวรรค์ดียิ่งกว่ารู้จักที่พำนักของเขาที่เคยอยู่ในโลกดุนยา

รายงานโดย บุคอรี ใน เรื่องสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้จิตใจอ่อนโยน

รับบันทึกผลการกระทำต่าง ๆ[433]

อัลเลาะฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า “สำหรับผู้ที่ได้รับบันทึกของเขาด้วยมือขวาของเขา เขา จะกล่าว (แก่พวกพ้องของเขาด้วยความดีใจ) ว่า พวกท่านจงเอาบันทึกของฉันไปอ่านเถิด[434] ฉันมั่นใจว่าฉันจะได้พบกับการสอบสวนของฉัน[435] [436] เขาก็จะมีชีวิตอย่างน่าพอใจ ในสวรรค์ ชั้นสูง ผลไม้ในสวรรค์อยู่ใกล้56 พวกเจ้าจงกินและจงดื่ม อย่างสะดวกคอ ด้วยผลตอบแทน ของสิ่งทีพวกเจ้าได้กระทำไว้ในวันเวลาทีผ่านพ้นมา (ในดุนยา) ส่วนผู้ที่ได้รับบันทกของเขา ด้วยมือซ้าย เขาก็จะกล่าวว่าฉันน่าจะไม่ได้รับบันทึกของฉันเลย และฉันไม่รู้เลยว่า อะไรคือ การสอบสวนของฉัน โอ้ มันน่าจะเป็นความตายที่ขาดตอน (ไม่ต้องฟื้นขึ้นอีก) ทรัพย์สินของฉัน ช่วยฉันไม่ได้เลย อำนาจของฉันสูญสิ้นไปจากฉันแล้ว (มะลาอิกะห์ที่เป็นเจ้าหน้าที่นรกจะ กล่าวว่า ) จงจับตัวเขาไว้ และสวมตรวนเขาไว้ด้วย หลังจากนั้นจงนำเขาเข้าไปในนรก หลังจากนั้นจงนำเขาเข้าไปล่ามไว้ในโซ่ที่มีความยาวเจ็ดสิบศอกเถิด เพราะแท้จริงเขาไม่ยอมศรัทธา ต่ออัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มนุษย์ชาติจะถูกเสนอตัวในวันกิยามะฮ์สามครั้ง [437] สำหรับสองครั้งนั้น คือ การโต้เถียง และข้อแก้ตัว ใน ขณะนั้น บันทึกต่างๆ จะปลิวอยู่ในมือ มีผู้ที่คว้ามันด้วยมือขวา และคว้ามันด้วยมือซ้าย 

รายงาน โดย ติรมิซี

ตาชั่ง[438]

อัลเลาะฮ์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “เราจะวางตาชั่งที่เที่ยงธรรมไว้เพื่อวันกิยามะห์ ดังนั้น จะไม่มีชีวิตใดที่ถูกทุจริตสักสิ่งเดียว แม้มันจะมีนํ้าหนักเพียงเมล็ดผักกาด เราก็จะนำมันมา และเราก็เพียงพอแล้วที่จะคิดคำนวณ” อัลเลาะห์ผู้ยงใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ว่า เธอระลึกถึงไฟนรก แล้วเธอก็ร้องไห้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่เธอว่า อะไรทำให้เธอร้องไห้ อาอิซะห์ กล่าวว่า ฉันระลึกถึงไฟนรก แล้วฉันก็ร้องไห้ พวกท่านจะนึกถึงครอบครัวของพวกท่านบ้างไหมในวันกิยามะห์ โอ้ท่าน รอซูลุลเลาะห์ ท่านกล่าวว่าสำหรับในสามแหล่งนี้ จะไม่มีใครนึกถึงใคร คือ ที่ตาชั่ง จนกว่าจะรู้ว่า ตาชั่งของเขาเบาหรือหนัก ในขณะที่เอาบันทึกขณะที่มีผู้กล่าวว่าพวกท่านจงเอาและอ่าน บันทึกของฉัน จนกว่าเขาจะรู้ว่า บันทึกของเขาตกอยู่ที่ใด ในมือขวาของเขาหรือมือซ้าย หรือ จากทางด้านหลังของเขา และที่สะพานเมื่อมันถูกทอดระหว่างสองฝั่งของนรกญะฮันนัม

รายงาน โดย อะบู ดาวูด

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ขอท่านนบี ซ.ล. ให้ช่วยเหลือข้าพเจ้า ในวันกิยามะห์ ท่านได้กล่าวว่า ฉันจะเป็นผู้กระทำ ฉันได้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ฉันจะหาท่านได้ที่ไหน ท่านตอบว่า จงไปหาฉัน ที่แรกที่ท่านจะไปหาฉันคือที่สะพาน ฉัน ถามว่า ถ้าหากฉันไม่พบท่านที่สะพาน ท่านตอบว่า จงไปหาฉันที่ตาชั่ง ฉันถามว่า ถ้าหากฉันไม่พบท่านที่ตาชั่ง ท่านตอบว่า จงไปหาฉันที่สระน้ำ เพราะแน่นอน ฉันจะต้องไม่ พลาดไปจากสถานที่ทั้งสามนี้[439]

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ จะให้ชายคนหนึ่งจากประชากรของฉันรอดพันไปเหนือศีรษะของมวลมนุษยชาติในวันกิยามะห์[440] และพระองค์จะนำแผ่นบันทึกมาแผ่แก่เขาจำนวนเก้าสิบเก้าแผ่นแต่ละแผ่น ยาวสุดสายตา หลัง จากนั้น อัลเลาะห์จะตรัสว่า เจ้าจะปฏิเสธสิ่งใดจากนี้บ้าง ผู้บันทึก ผู้ทำหน้าที่จดจำของเรา ได้ทุจริตเจ้าหรือเขาจะกล่าวว่า เปล่าเลย โอ้ พระผู้อภิบาลของฉัน พระองค์จะตรัสว่า เจ้ามีข้อแก้ตัวไหม เขาจะกล่าวว่า ไม่ โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน พระองค์จะตรัสว่า หามิได้ แท้จริงเจ้ายังมีความดีหนึ่งที่เราแท้จริงแล้ว ไม่มีการทุจริตใด ๆ ต่อเจ้าในวันนี้ ต่อมาบัตรใบหนึ่ง จะถูกนำออกมา ในนั้นมีข้อความว่า ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์ และข้าพเจ้า ขอปฏิญาณว่า แท้จริงมุฮำหมัดเป็นบ่าวและเป็นศาสนทูต ของพระองค์ หลังจากนั้น พระองค์จะกล่าวว่า เจ้าจงไปที่ตาชั่งของเจ้า เขาจะกล่าวว่า ข้า แด่พระผู้อภิบาลของฉัน บัตรใบนี้จะเอาไปชั่งกับบันทึกเหล่านี้ได้อย่างไร พระองค์กล่าวว่า ความจริงเจ้าจะไม่ถูกทุจริต ผู้เล่าได้กล่าวว่า บันทึกต่างๆ จะถูกวางลงในจานตาชั่งข้างหนึ่ง และบัตรลงในจานตาชั่งอีกข้างหนึ่ง บันทึกต่างๆ นั้นจะลอยขึ้น และบัตรใบนั้นจะหนัก ดังนั้น จะไม่มีสิ่งใดหนักเมื่ออยู่รวมกับนามของอัลเลาะห์ 

รายงานหะดีษทั้งสอง โดย ติรมิซี

ซิรอต คือ สะพานข้ามนรก[441]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว[442] ว่า หลังจากนั้นสะพานก็จะถูกทอดข้ามระหว่างสองฝั่งของญะฮันนัม ฉันจะเป็นคนแรกของบรรดาศาสนทูต ที่ข้ามไปกับประชากร จะไม่มีใครพูดในวันนั้น นอกจากบรรดาศาสนทูต และคำพูดของบรรดา ศาสนทูต ในวันนั้นคือ ข้าแด่อัลเลาะห์ ขอได้โปรดให้ความปลอดภัย ให้ความปลอดภัย 

รายงาน โดย บุคอรี และมุสลิม และต่อไปจะมีมาในหะดีษเรื่องการช่วยเหลือว่า และนบีของพวกท่านจะยืนอยู่บนสะพาน พลางกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน ได้โปรดให้ปลอดภัย ให้ปลอดภัย และทั้งสองฝังสะพานนั้นจะมีห่วงแขวนไว้ มันถูกบัญชาให้เกี่ยวคนที่มันถูกบัญชา บางคนถูก ข่วน แต่พันภัย และบางคนถูกทับถมอยู่ในญะฮันนัม[443]

เล่าจาก อัลมุฆีเราะห์ บุตร ชัวะอุบะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สัญ­ลักษณ์ ของผู้มีศรัทธาบนสะพาน คือ ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน ได้โปรดให้ปลอดภัย ให้ ปลอดภัย 

รายงานโดย ติรมิซี

สระน้ำที่ถูกระบุถึง[444] [445]

เล่าจาก ซะมุเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริงนบีทุกท่านมี สระนํ้า และความจริงพวกเขา จะโอ้อวดกันว่า ใคร ของพวกเขาจะมีผู้มาดื่มนํ้ามากที่สุด และ ความจริงฉันก็หวังว่า ฉันจะมีผู้มาดื่มนํ้ามากที่สุดของพวกเขา รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจาก อุกบะห์ บุตร อามิร ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ออกมา ในวันหนึ่ง ท่านได้ละหมาด ให้แก่ชาวอุฮุด เหมือนกับที่ท่านละหมาดให้คนตาย หลังจากนั้น ท่านก็กลับไปขึ้นมิมบัร แล้วกล่าวว่า ฉันเป็นมิ่งขวัญของพวกท่าน และฉันเป็นพยานให้พวก ท่าน และความจริง ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ฉันกำลังมองดูสระน้ำของฉันอยู่เดี๋ยวนี้ และ ความจริงฉันเคยได้รับกุญแจคลังสมบัติแผ่นดิน หรือกุญแจแผ่นดิน[446] และความจริงขอสาบาน ต่ออัลเลาะห์ว่า ฉันไม่กลัวว่าพวกท่านจะตั้งภาคีภายหลังจากฉันจากไป แต่ฉันกลัวว่าพวกท่าน จะแก่งแย่งกันในทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน 

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

และมุสลิม ได้เพิ่มเดิม ว่า และพวกท่านจะสู้รบกัน เป็นเหตุให้พวกท่านพินาศ เหมือนที่บุคคลในยุคก่อนพวกท่านได้พินาศไปแล้ว อุกบะห์ ได้กล่าวว่า และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เห็นท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. บนมิมบัร

เล่าจาก สะหั้ล บุตร สะอัด ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ฉันเป็นมิ่งขวัญของพวกท่านอยู่ที่สระน้ำ ใครที่ผ่านฉันเขาก็ได้ดื่ม และผู้ใดได้ดื่ม เขาจะไม่ กระหายน้ำอีกตลอดกาล จะต้องมีคนหลายพวกมาหาฉัน ซึ่งฉันรู้จักพวกเขา และพวกเขาก็ รู้จักฉัน หลังจากนั้น จะถูกกีดกัน ระหว่างฉันกับพวกเขา ฉันจะกล่าวว่า แท้จริงพวกเขา เป็นส่วนหนึ่งของฉัน[447] จะมีผู้กล่าวว่า ท่านไม่รู้สิ่งที่พวกเขาก่อขึ้นภายหลังจากท่าน ฉันจะ กล่าวว่า   ความพินาศ ความพินาศ จงเป็นของผู้ที่เปลียนแปลงภายหลังจากฉัน[448] 

รายงานโดยบุคอรี และ มุสลิม

และตัวบทของบุคอรีว่า ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่[449] ได้มีคนกลุ่มหนึ่งมา จนเมื่อ ฉันรู้จักพวกเขา ได้มีผู้ชายคนหนึ่ง โผล่ออกมาระหว่างฉันกับพวกเขา แล้วกล่าวว่า มานี่ ฉันถามว่า ไปไหน เขาตอบว่า ไปนรก ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ฉันถามว่า พวกเขาเป็นอย่างไร        เขาตอบว่า          พวกเขาได้ถอยหลังกลับ หลังจากท่านจากไป ฉันไม่คาดคิดว่าจะมีพวกเขารอดพ้น (ไฟนรก) นอกจากจะเหมือนกับอูฐที่หลงทาง[450]

เซต บุตร อัรกอม ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราอยู่กับท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ต่อมา พวกเราได้ลงพักยังสถานที่แห่งหนึ่ง และท่านได้กล่าวว่า พวกท่านยังไม่เท่ากับส่วนหนึ่ง ของหนึ่งแสนส่วน จากบุคคลที่จะมาหาฉันที่สระนํ้า ฉันกล่าวว่า พวกท่านมีเท่าไหร่ ในวันนั้น เขาตอบว่า พวกเรามีเจ็ดร้อย หรือแปดร้อยคน 

รายงานโดย อะบู ดาวูด

สักษณะของสระน้ำ และ น้ำดื่ม[451]

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง เบื้องหน้าของพวกท่าน เป็นสระน้ำ เท่ากับระยะระหว่าง ยัรบาอฺ กับ อัชรุห์[452] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจาก ฮาริษะห์ ร.ฎ.จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สระนํ้าเท่ากับระยะระหว่าง มะดีนะฮ์ กับ ศอนอาอฺ

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง ขนาดสระของฉันเท่ากับระยะระหว่าง อัยละห์ กับ ศอนอาอฺ แห่งยะมัน และความจริง ในสระนํ้า นั้นมีภาชนะที่ให้ตักเท่ากับจำนวนดวงดาวในท้องฟ้า[453] 

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

และตัวบทของบุคอรีว่า          สระนํ้าของฉันเท่ากับระยะเดินทางหนึ่งเดือน นํ้าของมัน

ขาวยิ่งกว่านม กลิ่นของมันหอมยิ่งกว่าชะมดเชียง และภาชนะที่ให้ตักของมันมีจำนวนเหมือน ดวงดาวในท้องฟ้า ผู้ใดได้ดื่มมัน เขาจะไม่รู้สึกกระหายนํ้าตลอดไป

เล่าจาก อะบี ซัรร์ ร.ฎ. ว่าฉันได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ภาชนะของสระนํ้า นั้นคืออะไร ท่านตอบว่า สาบานต่อผู้ให้ชีวิตของมุฮัมมัดอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า ภาชนะของมันมีมากกว่าจำนวนดวงดาวในท้องฟ้าและดวงดาราของมัน พึงทราบเถิด                  ในคืนที่มีดมิด สิ่งที่จะทำให้สว่างไสวก็คือ ภาชนะในสวรรค์ ผู้ใดได้ดื่มจากภาชนะนั้น เขาจะไม่ รู้สึกกระหายนํ้าต่อไปตลอดกาล จะไหลลงสู่สระนํ้านี้สองรางจากสวรรค์ ความกว้างของสระนํ้า เท่ากับระยะความยาวของมัน เท่ากับระยะระหว่าง อัมมาน ถึง อัยละห์ นํ้าของมันขาวกว่านํ้านม และหวานกว่าน้ำผื้ง 

รายงานโดย มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก เซาบาน ร.ฎ. ว่าแท้จริง ท่านนบี ของอัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง ฉันจะอยู่ที่ขอบสระนํ้าของฉัน คอยห้ามมนุษย์ให้ออกห่างจากมัน เพื่อชาวยะมัน ฉันจะตีด้วยไม้เท้า ของฉัน จนมันจะไหลไปหาพวกเขา (พวกยะมัน)[454] ต่อมาท่านนบีได้ถูกถามถึงความกว้างของ มัน ท่านได้กล่าวว่า จากตำแหน่งที่ฉันยืนอยู่ไปถึงอัมมาน และท่านได้ถูกถามถึงเครื่องดื่ม ของมัน ท่านตอบว่า ขาวจัดยิ่งกว่านํ้านม และหวานยิ่งกว่าน้ำผื้ง จะมีรางนํ้าสองรางที่ต่อมา จากสวรรค์ไหลลงสู่มัน รางหนึ่งจากในสองเป็นทองคำ อีกรางหนึ่งเป็นเงิน

เล่าจาก อะบี ซัลลาม อัลฮะบะชีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อุมัร บุตร อับดุลอะซีซ ได้ ส่งคนมาหาฉันและฉันก็ถูกนำตัวไปโดยม้าเร็ว เมื่อฉันเข้าไปพบเขา ฉันได้กล่าวว่า โอ้ ท่าน ผู้นำของมวลผู้ศรัทธา ความจริง การขี่ม้าเร็วทำให้ฉันต้องลำบาก[455] เขากล่าวว่า อะบู อัลลาม ฉันไม่ปรารกนา ให้ท่านต้องลำบาก แต่ฉันได้ทราบ หะตีษหนึ่งมาจากท่าน เกี่ยวกับเรื่องสระนํ้า และฉันต้องการให้ท่านเล่า ให้ฉันฟังจากปากของท่านเอง อะบู ซัลลาม ได้กล่าวว่า เซาบาน ได้เล่าให้ฉันฟังจากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สระนํ้าของฉัน มีขนาดจาก อะดัน ถึง อัมมาน อัลบัลกออุ นํ้าของมันขาวยิ่งกว่านํ้านม หวานยิ่งกว่านาผึ้ง และภาชนะที่ใช่ตักดื่ม มีจำนวน เท่ากับดวงดาวในท้องฟ้า ผู้ใดได้ดื่มจากมันหนึ่งอึก เขาจะไม่รู้สึกกระหายอีกเลย หลังจากนั้น คนแรกที่จะมาสู่สระนํ้า ก็คือ คนยากจนของพวกผู้อพยพที่ผมเป็นกระเซิง เสื้อผ้าเปือนเปรอะ ซึ่งพวกเขาจะไม่ได้แต่งงานกับบรรดาหญิงที่มีความสุข และประตูของเจ้าเมืองจะไม่ถูกเปิด ต้อนรับพวกเขา อุมัร ได้กล่าวว่า[456] แต่ฉันแต่งงานกับหญิงที่มีความสุข ประตูของเจ้าเมือง ถูกเปิดให้ฉัน ฉันได้แต่งงานกับฟาติมะห์ บุตรีอับดุลมะลิก คงไม่มีบาปที่ฉันจะไม่สระหัวของฉัน จนมันจะเป็นกระเข้ง จะไม่ข้กผ้าของฉันที่ติดอยู่กับตัวของฉันจนมันเปีอนเปรอะ 

รายงานโดย ติรมิซี

อัลเกาซัร

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เผลอหลับไป ต่อมา ท่านได้เงยหัวขื้นยิ้ม บางทีท่านอาจกล่าวแก่พวกเขา และอาจเป็นไปได้ที่พวกเขาได้ถามท่านว่า โอ้ท่าน รอซูลุลเลาะห์ ท่านหัวเราะทำไม ท่านตอบว่า ความจริง ได้มีซูเราะห์หนึ่งลงมายัง ฉันเดื๋ยวนื้เอง และท่านได้อ่าน “ด้วยนามของอัลเลาะฮ์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง แท้จริง เราได้ประทาน อัลเกาซัรให้แก่,ท่าน” จนจบซูเราะห์ เมื่อท่านได้อ่านแล้ว ท่านก็กล่าวว่า พวก ท่านทราบไหมว่า อัลเกาซัร คืออะไร พวกเขาตอบว่า อัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ ทราบดี ท่านได้กล่าวว่า    มันคือแม่นํ้าที่พระผู้อภิบาลของฉัน ผู้ทรงยิ่งใหญ่ และเกรียงไกร ได้สัญญามันให้แก่ฉันในสวรรค์ และเหนืออัลเกาสัรนั้นมีความดีมากมาย เหนือมันมีสระนํ้าที่ ประชากรนั้นต้องมาที่มันในวันกิยามะห์ ภาชนะตักนํ้าของมันมีจำนวนเท่ากับดวงดาว 

รายงานโดย อะบู ดาวูด

และเล่าจากเขา (อะนัส) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขณะที่ฉันเดินอยู่ในสวรรค์ฉันได้มาอยู่ที่แม่นํ้าสายหนึ่ง สองฝังของมันมีโดมไข่มุกที่เป็นโพลง ฉันถามว่า โอ้ ยิบรีลนี่คือ อะไร เขาตอบว่า นี่คืออัลเกาซัร ที่พระผู้อภิบาลของท่านได้มอบให้ท่าน และดินของมันหรือ พื้นของมัน เป็นชะมดเชียงบริสุทธิ์

รายงานโดย บุคอรี อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า อ้ลเกาซัร คือ แม่น้ำในสวรรค์ สองฝังของมันเป็นทองคำ ร่องนํ้าอยู่บนเพชรและทับทิม ดินของมันหอม กว่าชะมดเชียง นํ้าของมันหวานกว่านํ้าผื้ง และขาวกว่าหิมะ 

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงาน ที่ซอเหียะห์

การชะฟาอะห์(ช่วยเหลือ)เป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นจริง[457]

อัลเลาะห์ตาอาลา ทรงตรัสว่า “ไม่มีใครที่จะให้การช่วยเหลือ ณ พระองค์ได้ นอกจาก โดยอนุมัติของพระองค์ (แก่เขา)” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

อัลเลาะฮ์ตาอาลา ได้ตรัสผ่านลิ้นของพวกผู้ใรัศรัทธาบางคนว่า “และพวกเราไม่มีผู้ ให้การช่วยเหลือ และไม่มีมิตรสนิทเลย”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า  “และพวกเขาจะให้การช่วยเหลือไม่ได้ นอกจากแก่ผู้ที่ได้รับความพอพระทัย (จากอัลเลาะห์) และพวกเขามีความสำรวมตน เนื่องมาจากความยำเกรงพระองค์”

การช่วยเหลือของนบีของเรามุฮัมมัด ซ.ล.[458]

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การช่วยเหลือของฉัน จะได้แก่ พวกที่มีบาปใหญ่ จากประชากรของฉัน มุฮัมมัด บุตร อาลี ได้กล่าวว่า ญาบิร ได้กล่าวแก่

ฉันว่า โอ้ มุฮัมมัด ผู้ใดที่ไม่ใช่เป็นพวกที่มีบาปใหญ่ เขากับการช่วยเหลือนั้น ก็ไม่มีอะไร เกี่ยวข้องกัน 

รายงามโดยอะบู ดาวูด และ ติรมิซี 

เล่าจาก เอาฟ์ บุตร มาลิก ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มีผู้หนึ่งมาจากพระ ผู้อภิบาลของฉันได้มาหาฉัน[459] แล้วให้ฉันเลือกเอาระหว่างการที่จะให้ครึ่งหนึ่งของประชากร ของฉันได้เข้าสวรรค์ และระหว่างเอาการช่วยเหลือ ฉันได้เลือกเอาการช่วยเหลือ และการช่วยเหลือนั้น จะได้แก่ผู้ที่เสียชีวิตไป โดยเขาไม่ได้นำสิงใดไปตั้งภาคีกับอัลเลาะห์[460] 

รายงามโดย ติรมิซี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ฉันเป็นบุคคลที่จะให้การช่วยเหลือในสวรรค์[461] และ ฉันเป็นนบีที่มีบริวารมากที่สุด

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ และ ฮุซัยฟะห์ ร.ฎ. ทั้งสองได้กล่าวว่า ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ ผู้ทรงมีมงคลยิ่ง และ ผู้ทรงสูงส่ง จะรวมมนุษยชาติในวันกิยามะห์ บรรดาผู้มีศรัทธาจะยืนขึ้นจนพวกเขาลูกนำมาใกล้สวรรค์ พวกเขาจะพากันไปหาอาดัม และจะ กล่าวว่า โอ้ บิดาของเรา ขอได้โปรดเปิดสวรรค์ให้พวกเราเถิด อาดัมจะกล่าวว่า ไม่ได้ทำให้พวกท่านต้องการออกจากสวรรค์หรอก นอกจากความผิดของบิดาพวกท่านคือ อาดัม ฉันไม่ใช่ เป็นผู้ที่จะทำเช่นนั้นได้ พวกเจ้าจงไปหา ลูกของฉัน อิบรอฮีม มิตรสนิทของอัลเลาะห์เถิด ผ้เล่าได้กล่าวว่า อิบรอฮีม ซ.ล. ก็จะกล่าวว่า ฉันไม่ใช่เป็นผู้ที่จะทำเช่นนั้นได้ ความจริง ฉันเป็นมิตรสนิทที่อยู่เบื้องหลัง และเบื้องหลัง (เครื่องกั้น) พวกท่านจงไปหามูซา ซ.ล. ผู้ซึ่ง อัลเลาะห์ได้ทรงเจรจากับเขาอย่างจริงจัง พวกเขาได้ไปหามูซา และมูซาได้กล่าวว่า ฉันไม่ใช่ เป็นผู้ที่จะทำเช่นนั้นได้ พวกท่านจงไปหาอีซา ที่เป็นพระดำรัสของอัลเลาะห์ และ วิญญาณ จากพระองค์เถิด อีซา ก็จะกล่าวว่า ฉันไม่ใช่เป็นผู้ทีจะทำเช่นนันได้ จากนั้น พวกเขาก็จะไป หามุฮัมมัด ซ.ล. มูฮัมมัดจะยืนขึ้นและจะได้รับอนุญาต (ให้การช่วยเหลือ) ความซื่อสัตย์ และความเป็นเครือญาติจะถูกส่งมา ทั้งสองจะยืนอยู่สองด้านของสะพาน ทางด้านขวา และ ด้านข้าย[462] คนแรกของพวกท่านจะผ่านไปดุจสายฟ้าแลบ ผู้เล่าได้กล่าวว่า          ฉันได้ถามว่า ขอเอาบิดาและมารดาชองฉันเป็นค่าไถ่ตัวท่าน สิ่งใดที่จะรวดเร็วดุจสายฟ้าและ ท่านนบีกล่าวว่า พวกท่านไม่เคยเห็นฟ้าแลบหรือว่ามันผ่านไปและกลับมาได้อย่างไรภายในพริบตาเดียว หลังจากนั้นก็ เหมือนกับลมพัด หลังจากนั้นก็เหมือนกับนกบิน และเหมือนคนวิ่ง ที่ผลงานของพวกเขาจะ พาพวกเขาวิ่งไป โดยนบีของพวกท่านยืนอยู่บนสะพาน พลางกล่าววา       ข้าแตพระผู้อภิบาล จงให้ความปลอดภัย จงให้ความปลอดภัย จนกระทั่งผลงานของบ่าวจะอ่อนกำลัง จนถึงขนาด มีชายคนหนึ่งมา โดยไม่สามารณเดินได้ นอกจากกระเถิบไป ท่านนบีได้กล่าวว่า ในขอบทั้งสองด้านของสะพาน จะมีตาขอเหล็กแขวนไว้ มันถูกบัญชาให้เอาตัวผู้ที่มันถูกบัญชาให้เอา บางคน ถูกข่วนแต่พ้นภัย บางคนถูกเกี่ยวลงในนรก สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของอะบี ฮุรอยเราะห์อยู่ในเงื้อมมือ ของพระองค์ว่า แท้จริงก้นนรกญะฮันนัม นั้น ลึกเป็นระยะทางเจ็ดสิบปี[463] 

รายงานโดย หะดีษ ทั้งสอง โดยมุสลิม ในเรื่องศรัทธา

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ฉันเป็นนายของลูกหลาน อาดัม ในวันกิยามะห์ โดยไม่เป็นการโอ้อวด และในมือของฉันมีธงแห่งการสรรเสริญ โดยไม่ เป็นการโอ้อวด และไม่มีนบีท่านใดในวันนั้น ทั้งอาดัม และบุคคลอื่นจาก อาดัม เว้นแต่จะอยู่ ภายใต้ธงของฉัน และฉันเป็นบุคคลแรกที่แผ่นดินคลายออกมาจากมัน โดยไม่เป็นการโอ้อวด ท่านนบีได้กล่าวว่ามนุษย์ชาติจะตื่นตระหนกสามครั้ง พวกเขาจะพากันมาหา อาดัม อ.ล. แล้วกล่าวว่า ท่านคือบิดาของเรา ได้โปรดช่วยเหลือพวกเราต่อพระผู้อภิบาลของท่าน อาดัม จะกล่าวว่า ความจริงฉันได้ทำบาปหนึ่ง จึงถูกขับลงมายังแผ่นดิน เนื่องจากบาปนั้น[464] แต่ พวกท่านจงไปหา นัวฮ์เถิด พวกเขาจึงได้ไปหา นัวฮ์ อ.ล. นัวฮ์ก็จะกล่าวว่า ความจริงฉัน ได้วิงวอนครั้งหนึ่งที่เป็นภัยแก่ชาวดิน และพวกเขาก็ถูกทำลายหมด[465] แต่พวกท่านจงไปหา อิบรอฮีมเถิด พวกเขาจึงได้ไปหาอิบรอฮีม อ.ล. อิบรอฮีมจะกล่าวว่า ความจริงฉันได้เคย โกหกสามครั้ง[466] หลังจากนั้นท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า มันไม่ใช่เป็นการโกหก เลยสักครั้ง นอกจากเขาใช้มันป้องกันศาสนาของอัลเลาะห์ตาอาลา แต่พวกท่านจงไปหามูซาเถิด พวกเขาได้พากันไปหามูซา อ.ล. เขากล่าวว่า ความจริงฉันได้สังหารชีวิตหนึ่ง[467] แต่พวกท่าน จงไปหาอีซา อ.ล. พวกเขาได้ไปหาอีซา เขาจะกล่าวว่า ความจริงฉันเป็นสิ่งที่ถูกสักการะ นอกจากอัลเลาะห์ แต่พวกท่านจงไปหามุฮัมมัด ซ.ล. เถิด พวกเขาจึงได้มาหาฉัน และฉัน ก็จะไปพร้อมกับพวกเขา อะนัส ได้กล่าวว่า คล้ายกับฉันมองไปยังท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า    หลังจากนั้น ฉันได้จับห่วงประตูสวรรค์ และฉันได้เคาะมัน มีผู้ถามขื้นว่าผู้นี้เป็นใคร ก็มีผู้ตอบว่า คือ มุฮัมมัด จากนั้นพวกเขาก็เปิดประตูให้ฉัน และต้อนรับฉัน พวกเขาจะกล่าวว่า ยินดีต้อนรับ ฉันจะทรุดตัวลงกราบ (อัลเลาะห์) อัลเลาะห์ดลใจให้ฉันได้ กล่าวคำสดุดีและสรรเสริญ[468] มีผู้กล่าวแก่ฉันว่า จงเงยศีรษะของท่านเถิด จงขอท่านจะได้ จงขอความช่วยเหลือ ท่านจะได้ช่วยเหลือ จงพูด คำพูดของท่านจะถูกรับฟัง[469] และมันคือ ตำแหน่งที่ควรแก่การยกย่อง ซึ่งอัลเลาะฮ์ตาอาลาได้ตรัสไว้ว่า “แน่แท้ พระผู้อภิบาลของท่าน จะบังเถิดท่านขึ้นมาให้อยู่ในตำแหน่งที่ควรแก่การยกย่อง” 

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจาก มะอฺบัด บุตร ฮิลาล ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้เดินทางไปโดยมีซาบิต อัลบุนานีย์ ร่วมไปกับพวกเราในฐานะผู้ช่วยเหลือ ไปหาอะนัส บุตร มาลิก ร.ฎ. พวกเราได้ มาถึง อะนัส ขณะที่เขากำลังละหมาดดุฮา ซาบิตได้ขออนุญาตให้พวกเรา และพวกเราได้เข้า ไปหาเขา เขาได้ให้ซาบิตนั่งอยู่กับเขาบนเตียงของเขา หลังจากนั้น ซาบิตได้กล่าวแก่ อะนัสว่า โอ้ อะบุฮัมซะห์ แท้จริงพี่น้องของท่านจากชาวบัสเราะห์ ได้มาเพื่อถามถึงหะดีษที่เกี่ยวกับการ ช่วยเหลือ อะนัส ได้กล่าวว่า มุฮัมมัด ซ.ล. ได้เล่าให้พวกเราฟัง โดยกล่าวว่า เมื่อถึงวันกิยามะห์ มนุษย์ชาติบางส่วน กับ บางส่วนจะโถมเข้าหากันเหมือนคลื่น[470] พวกเขาจะพากัน ไปหาอาดัม และกล่าวแก่เขาว่า ท่านจงให้ความช่วยเหลือ แก่ลูกหลานของท่าน อาดัมจะกล่าวว่า ฉันไม่ใช่ผู้ที่จะให้การช่วยเหลือได้[471] แต่ให้พวกท่านไปหาอิบรอฮีม อ.ล. เพราะเขาเป็นมิตร สนิทของอัลเลาะห์ พวกเขาจึงไปหาอิบรอฮีม เขาก็จะกล่าวว่า ฉันไม่ใช่ผู้ที่จะให้การช่วยเหลือได้ แต่พวกท่านจงไปหามูซา อ.ล. เพราะเขาเป็นคู่สนทนาของอัลเลาะห์ มูซา ก็จะถูกมาหา เขา จะกล่าวว่า ฉันไม่ใช่ผู้ที่จะให้การช่วยเหลือ ได้ แต่พวกท่านจงไปหา อีซา อ.ล. เพราะเขาเป็น วิญญาณของอัลเลาะห์ และเป็นพระดำรัสของพระองค์ อีซาก็จะถูกมาหา เขาจะกล่าวว่า ฉัน ไม่ใช่เป็นผู้ที่จะให้การช่วยเหลือได้ แต่พวกท่านจงไปหามุฮัมมัด ซ.ล. มุฮัมมัดจึงถูกมาหา ฉันก็จะกฺล่าวว่า ฉันเองที่จะให้การช่วยเหลือ ฉันก็จะไปขออนุญาตเข้าพบผู้อกิบาล ฉันจะได้ รับอนุญาตให้เข้าไปพบ ฉันจะยืนอยู่ ณ เบื้องหน้าของพระองค์ ฉันจะสรรเสริญพระองค์ด้วย คำสรรเสริญต่างๆ ที่ฉันไม่อาจกล่าวมันได้เดี๋ยวนี้ ตามที่อัลเลาะห์ดลใจให้ฉัน หลังจากนั้นฉัน จะทรุดตัวลงกราบ จะมีผู้กล่าวว่าแก่ฉันว่า จงเงยหัวขึ้นเถิด โอ้ มุฮัมมัด จงพูด เจ้าจะถูกรับฟัง จงขอเจ้าจะได้ จงขอช่วยเหลือ เจ้าจะได้ช่วยเหลือ ฉันจะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อกิบาล ของฉัน ประชากรของฉัน ประชากรของฉัน[472] จะมีผู้กล่าวว่า เจ้าจงไปเถิด ผู้ใดที่ในหัวใจ ของเขา มีนํ้าหนักเพียงเมล็ดข้าวสาลี หรือข้าวบาเลย์ของความศรัทธา ให้ท่านจงนำเขาออกมา จากมัน ฉันจะไปและลงมือกระทำ แล้วกลับไปหาพระผู้อภิบาลของฉัน สรรเสริญพระองค์ด้วยคำสรรเสริญต่างๆ เหล่านั้น แล้วทรุดตัวลงกราบ จะมีผู้กล่าวแก่ฉันว่า โอ้ มุฮัมมัด จงเงยหัวขึ้น จงพูดเถิด เจ้าจะถูกรับฟัง จงขอเถิดเจ้าจะได้ จงขอช่วยเหลือเถิด เจ้าจะได้ช่วยเหลือ ฉันจะกล่าวว่า ประชากรของฉัน ประชากรของฉัน จะมีผู้กล่าวกล่าวแก่ฉันว่า  เจ้าจงไปเถิด ผู้ใดที่ในหัวใจของเขามีนํ้าหนักเพียงเมล็ดผักกาดของความศรัทธา ให้ท่านจงนำเขาออกมาจากมัน[473] ฉันจะไปและลงมือกระทำ แล้วกลับไปหาพระผู้อภิบาลของฉัน สรรเสริญพระองค์ ด้วยคำ สรรเสริญต่างๆ  เหล่านั้น แล้วทรุดตัวลงกราบ จะมีผู้กล่าวแก่ฉันว่า โอ้ มุฮัมมัด จงเงยหัวขึ้น จงพูดเถิด เจ้าจะถูกรับฟัง จงขอเถิดเจ้าจะได้ จงขอช่วยเหลือเถิด เจ้าจะได้ช่วยเหลือ ฉันจะ กล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน ประชากรของฉัน ประชากรของฉัน จะมีผู้กล่าวแก่ฉันว่า เจ้าจงไปเถิด ผู้ใดที่ในหัวใจของเขามีเล็กยิ่ง เล็กยิ่ง เล็กยิ่ง กว่าเมล็ดผักกาด ของความศรัทธา ให้ท่านจงนำเขาออกจากไฟนรกเถิด ฉันจะไปและลงมือกระทำ นี่คือ หะดีษ อะนัส ที่เขาได้ เล่าให้พวกเราฟัง ต่อมา เมื่อพวกเราได้ออกมาจากเขาแล้ว และเมื่อพวกเราได้มาอยู่ที่กลางทะเลทราย พวกเราได้กล่าวว่า พวกเราควรไปหาหะซัน และกล่าวสลามแก่เขา ขณะนั้นเขาซ่อนตัวอยู่ในบ้านของ อะบี คอลีฟะห์"[474] ผู้เล่าได้กล่าวว่า พวกเราได้เข้าไปหาเขา และสลามแก่เขา พวก เราได้กล่าวว่า โอ้ อะบา สะอีด พวกเรามาจากพี่น้องของท่าน คือ อะบีฮัมซะห์ พวกเราไม่ เคยได้ยินเหมือนหะดีษที่เขาเล่าเลยในเรื่องการช่วยเหลือ เขาได้กล่าวว่า จงนำหะดีษนั้นมาเล่าให้ฉันฟังเถิด[475] พวกเราได้เล่าหะดีษนั้นให้เขาฟัง เขาได้กล่าวว่า จงนำมันมาเล่าให้ฉันฟังเถิดพวกเราได้กล่าวว่า เขาไม่ได้เล่าเพี่มเติมให้พวกเราฟัง หะซัน ได้กล่าวว่า ความจริงเขาได้เล่าหะดีษนี้ให้พวกเราฟังเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ขณะนั้น เขายังเพรียบพร้อม และความจริงเขาได้ ละเลยในสิ่งหนึ่ง ฉันไม่รู้ว่า ผู้อาวุโสลืม หรือ ไม่ต้องการเล่ามันให้พวกท่านฟัง จะเป็นเหตุ ให้พวกท่านปล่อยวาง พวกเราได้กล่าวว่า จงเล่าให้พวกเราฟังเถิด เขาหัวเราะแล้วกล่าวว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาจากความรีบร้อน ฉันจะไม่เล่าสิ่งนี่ให้พวกท่านฟัง เว้นแต่เมื่อฉันต้องการ จะเล่าให้พวกท่านฟังเท่านั้น เขาได้กล่าวว่า[476] หลังจากนั้นฉันก็จะกลับไปยังพระผู้อภิบาลของฉันอีกเป็นครั้งที่สี่ ฉันจะสรรเสริญพระองค์ด้วยคำสรรเสริญเหล่านั้น แล้วฉันจะทรุดตัวลงกราบ จะมีผู้กล่าวแก่ฉันว่า โอ้ มุฮัมมัด จงเงยหัวขึ้น จงพูดเถิด เจ้าจะถูกรับฟัง จงขอเจ้าจะได้ จงขอช่วยเหลือเจ้าจะได้ช่วยเหลือฉันจะกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน ได้โปรด อนุญาตให้ฉัน ในผู้ที่กล่าวว่า “ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์” พระองค์

จะตรัสว่า นั่นไม่ใช่เป็นของเจ้า หรือว่า การเช่นนั้นจะไม่ไปสู่เจ้า แต่ขอสาบานต่ออำนาจของเรา ความยิ่งใหญ่ของเรา ความเกรียงไกรของเรา และด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จของเรา เราจะต้องเอาผู้ ที่ได้กล่าวว่า “ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะ โดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์” ออกมา 

รายงานโดยบุคอรี ในเรื่อง เตาฮีด และมุสลิม ในเรื่องความศรัทธา

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า อํลเลาะห์ จะรวมมนุษย์ชาติในวันกิยามะห์ พวกเขาจะมีความวิตกกับการด้งกล่าว โดยพวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราควรขอความช่วยเหลือต่อพระผู้อภิบาลของเรา เพื่อพระองค์จะให้เราสบายจากสกานการณ์ ของเรานี้997 ผู้เล่าได้กล่าวว่า พวกเขาจะไปหาอาดัม ซ.ล. แล้วกล่าวว่า ท่านคืออาดัมเป็น บิดาของมวลมนุษย์ ที่อัลเลาะห์ได้ทรงสร้างท่านด้วยมือของพระองค์ ได้เป่าวิญญาณจากพระองค์ เข้าไปในตัวท่าน และได้มีคำสั่งให้มวลมะลาอิกะห์กัมกราบท่าน ท่านจงให้การช่วยเหลือพวกเรา ต่อพระผู้อภิบาลของท่าน จนกว่าพระองค์จะให้พวกเราสบายจากสกานการณ์ของเรานี้ อาดัมจะ กล่าวว่า ฉันไม่ใช่ผู้ที่จะให้การช่วยเหลือของพวกท่าน และเขากล่าวถึงความผิดของตัวเขาทีเขา

ได้ก่อขื้น เขาละอายพระผู้อภิบาลของเขาต่อความผิดนั้น แต่พวกท่านจงไปหา นัวฮ์ ทีเป็น ศาสนทูตคนแรก ที่อัลเลาะห์ได้ส่งเขาไป ผู้เล่าได้กล่าวว่า พวกเขาจะพากันไปหานัวฮ์ ซ.ล. เขากึจะกล่าวว่าฉันไม่ใช่ผู้ที่จะให้การช่วยเหลือพวกท่าน และเขาจะกล่าวถึงความผิดของเขาที่เขาได้ก่อขึ้น เขาละอายพระผู้อภิบาลของเขาต่อความผิดนั้น แต่พวกท่านจงไปหาอิบรอฮีม ซ.ล. ซึ่งอัลเลาะห้ได้เอาเขาเป็นมิตรสนิท พวกเขาก็จะพากันไปหาอิบรอฮีม ซ.ล. เขาจะกล่าวว่า ฉันไม่ใช่ผู้ที่จะให้การช่วยเหลือพวกท่าน เขาจะกล่าวความผิดของเขาก็ที่ได้ก่อขึ้น เขาละอาย พระผู้อภิบาลของเขาต่อความผิดนั้น แต่พวกท่านจงไปหา มูซา ซึ่งอัลเลาะห์ ได้สนทนากับเขา และได้มอบคัมภีร์เตารอตแก่เขา ผู้เล่าได้กล่าวว่า พวกเขาจะพากันไปหา มูซา ซ.ล. เขาจะ กล่าวว่า ฉันไม่ใช่ผู้ที่จะให้การช่วยเหลือพวกท่าน เขาจะกล่าวความผิดของเขาที่ได้ก่อขึ้น เขา ละอายพระผู้อภิบาลฺของพวกเขาต่อความผิดนั้น       แต่พวกท่านจงไปหาอีซา ที่เป็นวิญญาณของอัลเลาะห์ และพระดำรัสของพระองค์ พวกเขาจะพากันไปหาอีซา ซ.ล. เขาจะกล่าวว่า ฉันไม่ใช่เป็นผู้ที่จะให้การช่วยเห่ลือพวกท่าน แต่พวกท่านจงไปหา มุฮัมมัด ซ.ล. ที่เป็นบ่าว ความจริงอัลเลาะห์ได้อภัยสิ่งที่เป็นบาปของเขาที่ผ่านพ้นมา และที่จะเถิดภายหลัง ผู้เล่าได้ กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกเขาจะพากันมาหาฉัน ฉันจะขออนุญาต ต่อพระผู้อภิบาลของฉัน และฉันก็จะได้รับอนุญาต ทันทีที่ฉันเห็นพระองค์ ฉันจะทรุดตัวลงกราบ และจะปล่อยฉันไว้ระยะหนึ่งเท่าที่อัลเลาะห์ประสงค์[477]  จากนั้นจะมีผู้กล่าวว่า โอ้ มุฮัมมัด จงพูดเถิด เจ้าจะถูรับฟัง จงขอเจ้าจะได้ จงขอช่วยเหลือ เจ้าจะได้ช่วยเหลือ ฉันจะเงยหัวขื้นกล่าวคำสรรเสริญ พระผู้อภิบาลของฉัน ด้วยคำสรรเสริญที่พระผู้อภิบาลของฉัน จะทรงสอนให้ฉัน หลังจากนั้น ฉันก็จะให้การช่วยเหลือ โดยพระองค์จะกำหนดขอบเขตให้ฉัน ฉันจะเอาพวกนั้นออกจากขุมนรก และนำพวกเขาเข้าสวรรค์ หลังจากนั้น ฉันจะกลับมา ก้มลงกราบ และจะปล่อยฉันไว้ระยะหนึ่งเท่าที่อัลเลาะห์ประสงค์จะปล่อยฉันไว้ หลังจากนั้นจะมีผู้ กล่าวแก่ฉันว่า จงเงยขึ้น โอ้ มุฮัมมัด จงพูดเถิด เจ้าจะถูกรับฟัง จงขอเจ้าจะได้ จงขอช่วยเหลือ เจ้าจะได้ช่วยเหลือ ฉันจะเงยหัวขึ้น กล่าวคำสรรเสริญพระผู้อภิบาลของฉัน ด้วยคำสรรเสริญที่พระองค์จะทรงสอนให้ฉัน หลังจากนั้นฉันก็ให้การช่วยเหลือ พระองค์จะกำหนด ขอบเขตให้ฉัน ฉันจะเอาพวกนั้นออกมาจากขุมนรก และนำพวกเขาเข้าสวรรค์ ผู้เล่าได้กล่าวว่า ฉันไม่รู้ว่าในครั้งที่สามหรือในครั้งที่สี่ ท่านได้กล่าวว่า     ฉันจะกล่าวว่า     ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉันไม่มีผู้ใดเหลืออยู่ในนรกเลยจากบุคคลที่อัลกุรอานได้กักขังเขาไว้ หมายความว่า ที่อัลกุรอาน ได้กำหนดว่าเขาต้องอยู่ในขุมนรกตลอดกาล (ได้แก่บรรดาผู้ไรัศรัทธา) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะฮ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ในวันหนึ่งได้มีผู้นำเนื้อมาให้ท่านรอซูลุลเลาะฮ์ ซ.ล. และส่วนน่องได้ถูกยกไปให้ท่าน และส่วนน่องนี้ เป็นที่พอใจของท่านมาก ท่านได้แทะมันครึ่งหนึ่ง แล้วก็กล่าวว่า ฉันเป็นผู้นำของมนุษย์ชาติในวันกิยามะห์ พวกท่าน ทราบไหมว่า เพราะอะไร อัลเลาะห์จึงได้รวมทั้งคนรุ่นแรกๆ และรุ่นหลังๆ ในวันกิยามะห์ไว้ในที่เดียวกัน คนที่ร้องเรียกจะสามารถทำให้พวกเขาไดยินทั่วถึงกันหมด และสายตาก็จะสามารถ มองได้ทั่วถึงกัน[478] ดวงตะวันจะเข้ามาใกล้ ความหม่นหมองและความวิตกกังวล จะทำให้ มนุษย์ชาติถึงขั้นที่ไม่สามารถอดทน และรับไว้ได้ บางคนจะกล่าวแก่อีกบางคนว่า จงไปหา อาดัมเถิด พวกเขาจะพากันไปหาอาดัม แล้วกล่าวว่า โอ้ อาดัม ท่านเป็นบิดาของมวลมนุษย์ อัลเลาะห์ได้ทรงสร้างท่านขึ้นมาด้วยมือของพระองค์ และเป่าวิญญาณจากพระองค์ลงไปในร่าง ของท่าน และได้มีคำสั่งแก่มวลมะลาอิกะห์ พวกเขาก็ได้ก้มลงกราบท่าน ดังนั้น ท่านจงให้การ ช่วยเหลือพวกเรา ต่อพระผู้อภิบาลของท่านเถิด ท่านไม่เห็นสิ่งที่พวกเรากำลังประสพอยู่หรือ ท่านไม่เห็นสิ่งที่เกิดกับเราจนถึงที่สุดหรือ อาดัม จะกล่าวว่าแท้จริง พระผู้อภิบาลของฉัน ได้เกิดความพิโรธในวันนึ่ เป็นความพิโรธที่ไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนอย่างนี้ก่อนหน้านี้เลย และพระองค์จะไม่พิโรธเหมือนเช่นนี้ หลังจากนี้อีกต่อไป ความจริงพระองค์ได้ห้ามฉันให้ออกห่าง ต้นไม้นั้น แต่ฉันได้ละเมิดพระองค์ ตัวใคร ตัวมันเถิด[479] พวกท่านจงไปหาคนอื่นเถิด พวก ท่านจงไปหานัวฮ์ พวกเขาก็จะไปหานัวฮ์ แล้วกล่าวว่า โอ้ นัวฮ์ ท่านเป็นศาสนทูตคนแรกที มาสู่พื้นแผ่นดิน และอัลเลาะห์ได้เรียกท่านว่า เป็นบ่าวที่รู้จักบุญคุณ ท่านจงให้การช่วยเหลือ พวกเรา ต่อพระผู้อภิบาลของท่านเถิด ท่านไม่เห็นสิ่งที่พวกเรากำลังประสพหรือ ท่านไม่เห็นสิ่งที่เกิดกับเราจนถึงที่สุดหรือ นัวฮ์ จะกล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริง พระผู้อภิบาลของฉัน ได้เกิดความพิโรธในวันนี้ เป็นความพิโรธที่ไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนอย่างนี้ก่อนหน้านี้เลย และ พระองค์จะไม่พิโรธเหมือนเช่นนี้ ภายหลังจากนี้อีกต่อไป และความจริงนั้นเคยมีคำวิงวอนหนึ่ง ที่ฉันได้ใช้มันวิงวอนให้เกิดความพินาศแก่พวกพ้องของฉัน ตัวใครตัวมันเถิด พวกท่านจงไปหา อิบรอฮีม ซ.ล. พวกเขาพากันไปหาอิบรอฮีม พวกเขาจะกล่าวว่า ท่านคือนบีของอัลเลาะห์ และเป็นมิตรสนิทของพระองค์ที่เป็นชาวดิน ท่านจงให้การย่วยเหลือพวกเราต่อพระผู้อภิบาล ของท่านเถิด ท่านไม่เห็นสิ่งที่ พวกเรากำลังประสพอยู่หรือ ท่านไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราจน ถึงที่สุดหรือ อิบรอฮีม จะกล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริง พระผู้อภิบาลของฉัน ได้เกิดความพิโรธ ขึ้นในวันนี้ เป็นความพิโรธที่ไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนอย่างนี้ก่อนหน้านี้เลย และพระองค์จะไม่พิโรธ เหมือนเช่นนี้ ภายหลังจากนี้อีกต่อไป และ อิบรอฮีม ได้กล่าวถึง การโกหกต่างๆ ของเขา ตัวใคร ตัวมันเถิด พวกท่านจงไปหาคนอื่นเถิด พวกท่านจงไปหา มูซา เถิด พวกเขาจะพาทันไปหามูซา ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ มูซา ท่านเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ที่พระองค์ได้ทรงโปรดปรานท่าน ด้วยศาสนาของพระองค์ และถ้อยคำสนทนาของพระองค์ เหนือกว่ามวลมนุษย์ ท่านจงให้การ ช่วยเหลือพวกเราต่อพระผู้อภิบาลของท่านเถิด ท่านไม่เห็นสิ่งที่พวกเรากำลังประสพอยู่หรือ ท่านไม่เห็นสิ่งที่เกิดกับเราจนถึงที่สุดหรือ มูซาจะกล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงพระผู้อภิบาลของฉัน ได้เกิดความพิโรธขึ้นในวันนี้ เป็นความพิโรธที่ไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนอย่างนี้ก่อนหน้านี้เลย และ พระองค์จะไม่พิโรธเหมือนเช่นนี้ หลังจากนี้อีกต่อไป และความจริง ฉันได้สังหารชีวิตหนึ่ง ที่ฉันไม่ได้ถูกบัญชาให้สังหารมัน ตัวใคร ตัวมันเถิด พวกท่านจงไปหา อีซา ซ.ล. เถิด พวกเขา จะพากันไปหาอีซา แล้วกล่าวว่า โอ้ อีซา ท่านเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ และท่านได้พูด กับมวลมนุษย์ ตั้งแต่อยู่ในวัยแบเบาะ และเป็นพระคำจากอัลเลาะห์ ที่พระองค์ได้ใส่ลงไปใน มัรยัม และเป็นวิญญาณจากพระองค์ ท่านจงให้ความช่วยเหลือพวกเรา ต่อพระผู้อภิบาลของ ท่านเถิด ท่านไม่เห็นสิ่งที่พวกเรากำลังประสพอยู่หรือ ท่านไม่เห็นสิ่งที่ได้เกิดกับพวกเราจน ถึงที่สุดหรือ อีซา จะกล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงพระผู้อภิบาลของฉันได้เกิดความพิโรธขึ้นใน วันนี้ เป็นความพิโรธที่ได้เคยเกิดขึ้นเหมือนอย่างนี้ ก่อนหน้านี้เลย และพระองค์จะไม่พิโรธ เหมือนเช่นนี้ หลังจากนี้อีกต่อไป โดยที่อีซา ไม่ได้กล่าวถึงความผิดของตน ตัวใคร ตัวมันเถิด พวกท่านจงไปหาคนอื่นเถิด พวกท่านจงไปหามุฮัมมัด ซ.ล. พวกเขาจะพาหันมาหาฉัน แล้วกล่าวว่า โอ้ มูฮัมมัด ท่านเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ และเป็นนบีสุดท้าย และอัลเลาะห์ ได้ทรงอภัยให้แก่ท่านแล้วในบาปของท่านที่ล่วงเลยมาและที่จะเกิดในภายหลัง ท่านจงให้การช่วยเหลือ พวกเราต่อพระผู้อภิบาลของท่านเถิด ท่านไม่เห็นสิ่งที่พวกเรากำลังประสพอยู่หรือ ท่านไม่เห็น สิ่งที่เกิดทับเราจนถึงที่สุดหรือ ฉันก็จะไป จนมาอยู่ใต้บัลลังก์ (อัรช์) ฉันจะทรุดตัวลงกราบ พระผู้อภิบาลของฉัน หลังจากนั้น อัลเลาะห์ จะเปิดใจให้ฉัน และดลใจฉันด้วยคำสรรเสริญ พระองค์ต่างๆ และด้วยคำสดุดีอย่างงดงามต่อพระองค์ เป็นสิ่งที่พระองค์ไม่เคยเปิดมันแก่ผู้ใด ก่อนจากฉัน หลังจากนั้น พระองค์จะกล่าวว่า โอ้ มุฮัมมัด จงเงยหัวขึ้น จงขอเจ้าจะได้ จงขอการช่วยเหลือ เจ้าจะได้ช่วยเหลือ ฉันจึงเงยหัวขึ้น แล้วกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน ประชากรของฉัน ประชากรของฉัน จะมีผู้กล่าวว่า โอ้มุฮัมมัด ท่านจงนำเข้าสู่สวรรค์ จาก ประชากรของท่าน ผู้ที่ไม่ต้องถูกสอบสวน จากด้านประตูขวา ของบรรดาประตูสวรรค์ และ พวกเขาจะร่วมกับมนุษยชาติ ในส่วนที่นอกจากนั้น จากบรรดาประตูต่างๆ สาบานต่อผู้ที่ซึ่งชีวิต ของมุฮัมมัดอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า แท้จริง ระยะที่อยู่ระหว่างประตูสองบานของประตู สวรรค์ จะเท่ากับระยะระหว่าง มักกะห์ และ ฮะยัร หรือ ระหว่างมักกะห์ กับ บุสรอ 

รายงาน โดย มุสลิม และ ติรมิซี

บรรดานบีและบรรดาผู้มีศรัทธาจะได้ช่วยเหลือโดยอนุมัติของอัลเลาะห์ตาอาลา[480]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “ในวันนั้นการช่วยเหลือ จะไม่เกิดประโยชน์ นอกจากผู้ที่พระผู้ทรงเมตตาอนุมัติให้เขา และยินดีในคำพูดของเขา”

เล่าจาก อับดิลลาห์ บิน ชะกีก ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันอยู่ร่วมกับคนกลุ่มหนึ่งที่อีลิยาอฺ ชายคนหนึ่งของพวกเขาได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า ส่วนใหญ่ของพวกบะนีตะมีมจะได้เข้าสวรรค์ด้วยการช่วยเหลือ ของชายคนหนึ่งจากประชากรของฉัน ได้ มีผู้ถามขึ้นว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ นอกจากท่านหรือ ท่านตอบว่า นอกจากฉัน เมื่อเขาลุกขึ้นยืน ฉันได้กล่าวว่า เขาคนนี้เป็นใคร พวกเขาตอบว่า เขาคนนี้ คือ บุตรของอะบี ยัดอาอุ[481]

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงจากประชากรของฉันนั้น จะมีผู้ที่ให้การช่วยเหลือผู้คนได้เป็นจำนวนมาก และจากพวกเขา จะมีผู้ที่ให้การช่วยเหลือ ผู้คนได้เผ่าหนึ่ง และจากพวกเขา จะมีผู้ที่ให้การช่วยเหลือผู้คนได้กลุ่มหนึ่ง และจากพวกเขา จะมีผู้ให้การช่วยเหลือ ผู้คนได้คนหนึ่ง จนกว่าพวกเขาจะเข้าสวรรค์

เล่าจาก หะซัน อัล บัสรีย์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อุสมาน บุตร อัฟฟาน จะให้การช่วยเหลือ ได้ในวันกิยามะห์ ผู้คนเท่ากับเผ่ารอบีอะห์และบุคอรี 

รายงานหะดีษทั้งสามนี้ โดย ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ดัรดาอุ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า นักรบชะฮีดจะให้การ ช่วยเหลือ คนในครอบครัวของเขาได้เจ็ดสิบคน 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อุสมาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ที่จะให้การช่วยเหลือ ได้ในวันกิยามะห์ มีสามจำพวก คือ บรรดานบี หลังจากนั้น คือ บรรดาผู้มีวิชาความรู้ หลังจากนั้น คือ บรรดานักรบชะฮีด 

รายงานโดย อิบนุ มายะห์ ด้วยสายรายงานที่หะซัน

เล่าจาก อะบี สะอีด อัลคุดรีย์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงประชาชน ได้พากันกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ พวกเราจะได้เห็นพระผู้อภิบาลของเราไหมในวันกิยามะห์ ท่านตอบว่า                ได้เห็น หลังจากนั้น ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านได้รับความเดือดร้อนไหม ในการมองดูดวงตะวันในยามบ่าย ที่มีบรรยากาศแจ่มใส ไม่มีเมฆบดบัง และพวกท่านจะได้รับความเดือดร้อนไหม  ในการมองดูดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญที่มีบรรยากาศแจ่มใส ไม่มีเมฆบดบัง พวกเขากล่าวว่า ไม่เลย โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจะไม่ได้รับความเดือดร้อนในการมองดูอัลเลาะห์ ผู้ทรงมีมงคลและสูงส่ง ในวันกิยามะฮ์ นอกจากเหมือนกับที่พวก ท่านได้รับความเดือดร้อน ในการมองดูหนึ่งจากในสองนั้น เมื่อถึงวันกิยามะห์ ผู้ประกาศจะ ทำหน้าที่ประกาศว่า ให้ทุกประชากรติดตามสิ่งที่พวกเขาสักการะ ดังนั้น จะไม่มีผู้ใดที่สักการะ สิ่งอื่นจากอัลเลาะห์ ถวายบริสุทธิ์แด่พระองค์และพระองค์ทรงสูงส่ง ที่เป็นรูปเคารพและสิ่งที่ประดิษฐานไว้เพื่อการเคารพ จะเหลืออยู่นอกจากพวกเขาจะหล่นลงสู่ไฟนรก จนกระทั่ง ไม่มีเหลืออยู่นอกจากผู้ที่สักการะพระองค์อัลเลาะห์ ทั้งที่เป็นคนดีและคนชั่ว และที่เหลืออยู่ ของชาวคัมภีร์พวกยะฮูดจะถูกเรียก จะมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า                                                                               พวกท่านสักการะสิ่งใด พวกเขากล่าวว่า พวกเราสักการะ อุซัยร์ บุตรของอัลเลาะห์ จะมีผู้กล่าวว่า พวกเจ้าโกหกอัลเลาะห์ ไม่ทรงมีคู่ครอง และไม่มีบุตร ดังนั้น พวกเจ้าต้องการสิ่งใด พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเรากระหายนํ้า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเรา ได้โปรดให้นํ้าเราดื่ม จะมีผู้ชี้มายังพวกเขาว่า พวกเจ้าจะไม่ได้ดื่มนํ้า หลังจากนั้น พวกเขาจะถูกนำไปรวมกันยังไฟนรกที่เหมือนกับเปลวแดด ซึ่งบางส่วนของมันปะทะกับบางส่วน และพวกเขาก็จะร่วงลงไปสู่ไฟนรก[482] หลังจากนั้น พวก น่าซอรอ จะถูกเรียกมา จะมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าสักการะสิ่งใด พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราสักการะ มะซีห์ บุตร ของอัลเลาะห์ จะมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าโกหก อัลเลาะห์ ไม่ทรงมีคู่ครอง และไม่มีบุตร จะมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าต้องการอะไร พวกเขาจะกล่าวว่า          พวกเรากระหายนํ้า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเราได้โปรดให้นํ้าเราดื่ม ผู้เล่าได้กล่าวว่า จะมีผู้ส่มายังพวกเขาว่า พวกเจ้าจะไม่ได้ดื่มนํ้า หลังจากนั้น พวกเขาจะถูกนำไปรวมกันยังนรกญะฮันนัม ที่เหมือนกับเปลวแดด ซึ่งบางส่วนของมันปะทะกับบางส่วน และพวกเขาก็จะร่วง ลงสู่ไฟนรก จนกระทั่งไม่เหลือ นอกจากผู้ที่สักการะอัลเลาะห์ตาอาลาเท่านั้น ทั้งคนดีและคนเลว พระผู้อภิบาลสากลโลก ถวายบริสุทธิ์แด่พระองค์ และพระองค์ทรงสูงส่ง เข้ามาหาพวกเขา ในรูปที่ต่ำกว่าที่พวกเขาเคยเห็นมาก่อน พระองค์ได้ตรัสว่า พวกเจ้ากำลังคอยอะไรทุกประชากรจะติดตามสิ่งที่พวกเขาสักการะ พวกเขาจะกล่าวว่า                                                      ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเรา พวกเราจากมนุษย์ชาติมาใดดุนยา ในสภาพที่พวกเราต้องการพึ่งพาพวกเขาอย่างที่สุดแต่พวกเราก็ไม่ ยอมคบพวกเขาเป็นเพื่อน[483] พระองค์จะตรัสว่า เราคือ พระผู้อภิบาลของพวกเจ้า พวก

เขาจะกล่าวว่า        เราขอป้องกันด้วยอัลเลาะห์จากเจ้าเราจะไม่นำสิ่งใดไปตั้งภาคีกับอัลเลาะห์

สองครั้งหรือสามครั้ง จนบางคนของพวกเขาเกือบจะเปลี่ยน (ศาสนา) พระองค์จะตรัสว่า ระหว่างพวกเจ้ากับอัลเลาะห์มีสิ่งใดเป็นเครื่องหมายไหม ที่พวกเจ้าจะอาศัยมันรู้จักพระองค์

พวกเขาจะกล่าวว่า      มีและเหตุการณ์ร้ายแรงก็เกิดขึ้น ไม่มีผู้ใดที่เคยก้มกราบ (อัลเลาะฮ์) ทั้ง

ด้วยความยำเกรง และทั้งต้องการให้ผู้อื่นเห็น (ริยาอุ) เหลืออยู่อีก นอกเสียจากอัลเลาะห์จะ ดลบันดาลให้หลังของเขาเป็นแผ่นเดียวกัน ทุกครั้งที่เขาต้องการจะก้มกราบ เขาก็จะควํ่าลงไป หลังจากนั้นพวกเขาจะเงยหัวขึ้นมา โดยที่พระองค์ได้แปลงไปอยู่ในรูปของพระองค์ ที่พวกเขา เคยเห็นในครั้งแรก พระองค์จะตรัสว่า เราคือพระผู้อภิบาลของพวกท่าน พวกเขาจะกล่าวว่า ท่านคือพระผู้อภิบาลของพวกเรา หลังจากนั้น สะพานก็จะลูกทอดข้ามไปบนนรกญะฮันนัม

และการช่วยเหลือก็จะเกิดขึ้น พวกเขาจะกล่าวว่า            ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดให้ความปลอดภัย

ได้มีผู้ถามว่า สะพานคืออะไร          ท่านนบีตอบว่า “ลื่น พลาด”[484] ในนั้นมีห่วงและตะขอ

และมีต้นหนามที่มีอยู่ในแคว้น นัจด์มันมีหนามเล็กๆ ที่เรียกกันว่า ต้น ชะอ์ดาน บรรดาผู้มี ศรัทธาจะผ่านไปเหมือนกระพริบตา และเหมือนสายฟ้าแลบ และเหมือนนกบิน และเหมือน ม้าศึก และสัตว์พาหนะต่างๆ ผู้ที่พ้นใปได้ คือ ผู้ที่ปลอดภัย และคนที่ถูกข่วนที่หลุดไปจาก เครื่องพันธนาการได้และที่ถูกฉุดลงในนรกญะฮันนัมจนเมื่อบรรดาผู้มีศรัทธาพ้นไปจากไฟนรกแล้ว สาบานต่อผู้สิ่งชีวิตของฉันอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า ไม่มีใครๆ จากพวกท่านที่จะรบเร้า ขอต่ออัลเลาะห์ ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียด ยิ่งไปกว่าบรรดาผู้มีศรัทธารบเร้า ต่ออัลเลาะห์ ในวันกิยามะห์ เพื่อพี่น้องของพวกเขาที่อยู่ในไฟนรก พวกเขาจะกล่าวว่า                                   ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา พวกเขาเคยถือศีลอด พร้อมกับพวกเรา พวกเขาละหมาดและประกอบ พิธีฮัจย์ จะมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า  พวกท่านจงนำพวกเขาออกมา เฉพาะคนที่พวกท่านรู้จัก

และรูปของพวกเขาก็จะถูกกันไปจากไฟนรก พวกเขาจะนำผู้คนจำนวนมากออกมา (จากไฟนรก) ที่ไฟนรกลุกท่วมถึงครึ่งหน้าแข้ง และถึงหัวเข่าของเขา หลังจากนั้น พวกเขาจะกล่าวว่า                                                         ข้าแต่

พระผู้อภิบาลของเรา ไม่มีใครเหลืออยู่ในไฟนรกเลย จากผู้ที่พระองค์ท่านไดใช้ให้พวกเรานำ เขาออกมา พระองค์จะตรัสว่า  พวกท่านจงกลับไป บุคคลใดที่พวกท่านพบว่าในหัวใจของเขา

มีน้ำหนักเท่าเหรียญดีนาร์ที่เป็นความดี ให้พวกท่านจงนำเขาออกมา[485] พวกเขาก็จะนำ

ผู้คนจำนวนมากออกมา หลังจากนั้นพวกเขาจะกล่าวว่า             ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเรา เรา

ไม่ได้ทิ้งผู้ใดไว้ในนรกเลยสักคนเดียว จากบุคคลที่พระองค์ท่านได้ไข้ให้นำเขาออกมา ต่อ มาพระองค์ก็จะตรัสว่า    พวกท่านจงกลับไป ผู้ใดที่พวกท่านพบว่าในหัวใจของเขามีนํ้าหนัก

เท่าครึ่งดีนาร์ ที่เป็นความดี ให้พวกท่านจงนำเขาออกมา พวกเขาก็จะนำผู้คนเป็นจำนวนมาก ออกมา หลังจากนั้นพวกเขาจะกล่าวว่า                                                         ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเรา เราไม่ได้ทิ้งผู้ใดไว้ในนรก

สักคนเดียว จากบุคคลที่พระองค์ท่านได้ใช่พวกเรา (ให้นำเขาออกมา) ต่อมาพระองค์จะตรัส ว่า    พวกท่านจงกลับไป ผู้ใดที่พวกท่านพบว่าในหัวใจของเขามีนํ้าหนักเท่าผงอณูที่เป็นความดี ให้พวกท่านจงนำเขาออกมา และพวกเขาก็จะนำผู้คนเป็นจำนวนมากออกมา หลังจากนั้น พวกเขาจะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเรา เราไม่ได้ทิ้งคนที่มีความดีไว้ในนรกเลย อะบู สะอีด ได้กล่าวว่า ถ้าหากพวกท่าน,ใม่เชื่อฉัน เกี่ยวกับหะดีษนื้ ให้พวกท่านจงอ่านเถิด ถ้าต้องการ

“แท้จริงอัลเลาะห์จะไม่ทุจริตนํ้าหนักแม้เพียงหนึ่งอณู และถ้าหากมันเป็นความดี พระองค์จะ เพิ่มพูนมันขึ้น และจะประทานผลบุญอันยิ่งใหญ่จากพระองค์เอง” และอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ และเกรียงไกรจะตรัสว่า      มวลมะลาอีกะห์ได้ให้การช่วยเหลือ บรรดานบี ได้ให้การช่วยเหลือ

บรรดาผู้มีศรัทธา ได้ให้การช่วยเหลือโดยจะไม่เหลืออยู่ นอกจากพระผู้ทรงเมตตายิ่งของบรรดา ผู้มีความเมตตาทั้งหลาย พระองค์จะกอบขึ้นมาจากไฟนรกกอบหนึ่ง พระองค์จะนำออกมาจาก ไฟนรก พวกหนึ่งที่ไม่เคยได้ทำความดีอะไรเลย โดยที่พวกเขากลับไปมีสภาพเหมือนถ่าน พระองค์ จะโยนพวกเขาลงในแม่นํ้าที่อยู่ ณ ปากทางเข้าสวรรค์ เรียกว่า “แม่นํ้าชีวิต” พวกเขาจะงอก งามเหมือนเมล็ดพีชที่อยู่ในดินที่ถูกน้ำป่าพามา พวกท่านไมเห็นมันหรือ เมล็ดพืช (ที่ถูกนํ้าพามา) นั้น บางทีก็ไปอยู่ที่ก้อนหิน หรือไปอยู่ที่ต้นไม้ เมล็ดพันธ์ที่ขึ้นอยู่กลางแดด ก็จะมีสีแกมเหลือง และแกมเขียว และเมล็ดพันธ์ที่ไปอยู่ในร่มก็จะมีสีขาว พวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ คล้ายกับท่านเคยเลี้ยงสัตว์อยู่ในทะเลทราย[486] ท่านนบีได้กล่าวว่า พวกเขาจะออกมามีสภาพเหมือนไข่มุก ที่ต้นคอของพวกเขามีตราประทับที่ชาวสวรรค์จะรู้จักพวกเขาว่าเป็นพวกที่อัลเลาะฮ์ ทรงปลดปล่อย เป็นพวกที่อัลเลาะห์ทรงให้พวกเขาเข้าสวรรค์โดยไม่มีผลงานใดๆ ที่พวกเขา

 _

ได้ปฏิบัติ และไม่มีความใด ๆ ที่พวกเขา ได้นำเสนอ หลังจากนั้น พระองคํจะตรัสวา พวกท่านจงเข้าไปสู่สวรรค์ สิ่งใดที่พวกท่านเห็น มันเป็นของพวกท่าน พวกเขาจะกล่าวว่า

ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเรา ท่านได้มอบให้แก่พวทเราด้วยสิ่งที่ท่านไม่เคยมอบให้แก่ผู้ใดจากชาว โลก พระองค์จะตรัสว่า พวกท่านจะได้รับจากเราประเสริฐยิ่งกว่านี้อีก พวกเขาจะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเรา สิ่งใดหรือจะประเสริฐยิ่งกว่านี้ พระองค์จะตรัสว่า คือความพอใจ ของเรา ดังนั้นเราจะไม่กริ้วโกรธพวกท่านอีกต่อไป หลังจากนี้ 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

ความกรุณาอันไพศาลของพระเจ้า และการนำเอาผู้มีเตาฮีดออกจากไฟนรก

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริง ประชาชนกลุ่มหนึ่งได้กล่าวแก่ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ พวกเราจะได้เห็นพระผู้อภิบาลของเราไหมในวันกิยามะห์ ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจะได้รับความเดือดร้อนไหมในการ มองดูดวงจันทร์ในคืนเพ็ญ พวกเขากล่าวว่า ไม่เลย โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจะได้รับความเดือดร้อนไหมใน (การมองดู) ดวงตะวัน ที่ไม่มีก้อนเมฆบดบัง พวกเขา กล่าวว่า ไม่เลย โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่า ดังนั้น ความจริงพวกท่านจะแลเห็น พระองค์ เข้นเดียวกันนั้น พระองค์อัลเลาะห์จะรวมมนุษยชาติในวันกิยามะห์ แล้วพระองค์ จะกล่าวว่า ใครที่เคยสักการะสิ่งใดให้เขาจงติดตามสิ่งนั้น ดังนั้น ผู้ที่สักการะดวงตะวันก็จะ ติดตามดวงตะวัน ผู้ใดที่สักการะดวงจันทร์ เขาก็จะติดตามดวงจันทร์ และผู้ใดที่สักการะสิ่งอื่น จากอัลเลาะห์ เขาก็จะติดตามสิ่งอื่นจากอัลเลาะห์ และประชากรนี้จะยังเหลืออยู่ โดยที่มีพวก ตีสองหน้าร่วมอยู่ในประชากรนี้ด้วย ต่อมาอัลเลาะห์ผู้ทรงมงคลและสูงส่ง จะมาหาพวกเขา ในรูปแบบที่ไม่ใช่รูปแบบที่พวกนั้นเคยรู้จัก (พระองค์) พระองค์จะกล่าวว่า เราคือ พระผู้อภิบาลของพวกท่าน พวกเขาจะกล่าวว่า      เราขอป้องกันด้วยอัลเลาะห์จากเจ้า พวกเรา

จะอยู่ที่นี่จนกว่าพระผู้อภิบาลของเราจะมาหาเรา (เมื่อพระองค์มา) พวกเราก็รู้จักพระองค์ ต่อมาอัลเลาะห์ผู้สูงส่ง ก็จะมาหาพวกเขาในรูปแบบของพระองค์ที่พวกเขารู้จัก พระองค์จะ กล่าวว่า เราคือพระผู้อภิบาลของพวกท่าน พวกเขาจะกล่าวว่า ท่านคือ พระผู้อภิบาลของเรา และพวกเขาก็จะติดตามพระองค์ และสะพานก็จะถูกนำมาทอดข้ามระหว่างสองฝังของญะฮันนัม ฉันกับประชากรของฉันจะเป็นคนแรกที่ข้ามพ้นไป และจะไม่มีใครพูดในวันนั้นนอกจาก บรรดาศาสนทูต และคำวิงวอนของบรรดาศาสนทูตในวันนั้น คือ ข้าแต่อัลเลาะห์ ได้โปรดให้ [487] ปลอดภัย ได้โปรดให้ปลอดภัย และในญะฮันนัมนั้นมีตาขอเหล็กเหมือนหนามของด้น สะอฺดาน1014 พวกท่านเคยเหนต้นสะอฺดานไหม พวกเขากล่าวว่า     เคยเห็นครับ โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่า ความจริงมันเหมือนกับต้นสะอุดาน แต่ไม่มีผู้ใดรู้ขนาดความ ใหญ่ของมันว่าเท่าใด นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น มันจะฉุดลากมนุษย์ตามแด่ผลงานของพวกเขา บางคนของพวกเขาต้องพินาศ เพราะผลงานของตัวเอง บางคนพ้นไปได้ด้วยความลำบาก จนทีสุด ก็พ้นภัย จนเมื่ออัลเลาะห์เสร็จสิ้นจากการตัดสินระหว่างบรรดาผู้เป็นบ่าว และพระองค์มี ประสงค์ จะเอาผู้ที่พระองค์ประสงค์ที่เป็นชาวนรกออกมาด้วยความเมตตาของพระองค์ พระองค์ จะบัญชาแก่มะลาอิกะห์ให้นำออกจากไฟนรก ผู้ที่ไม่เคยนำสิงใดมาตั้งภาคีกับพระองค์เลย จาก บรรดาบุคคลที่อัลเลาะห์ตาอาลาปรารกนาให้ความเมตตาแก่เขา จากผู้ที่กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าที่ ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ มะลาอิกะห์จะรู้จักบุคคลเหล่านั้นในนรกได้ ด้วย รอยสุหญูด ไฟนรกจะกินลูกหลานของอาดัมนอกจากรอยสุหญูด อัลเลาะห์ทรงห้ามไฟนรกกิน รอยสุหญูด1016 พวกเขาจะถูกนำตัวออกมาจากไฟนรก ในสภาพที่ไหม้เกรียม “นํ้าชีวิต” จะถูกราดลงบนพวกเขา พวกเขาจะงอกเงยขื้นเพราะน้ำนั้น เหมือนการงอกเงยของเมล็ดพืช ในที่ดินที่น้ำบ่าพามา หลังจากนั้น อัลเลาะห์ก็จะเสร็จจากการตัดสินในระหว่างผู้เป็นบ่าว  และจะเหลือชายคนหนึ่ง หันหน้าเข้าหาไฟนรก เขาเป็นคนสุดท้ายของชาวสวรรค์ทีจะได้เข้า สวรรค์ เขาจะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน จงผินหน้าของฉันออกจากไฟนรกเถิด เพราะความจริงกลิ่นของมันได้ทำให้ฉันพินาศและเปลวไฟของมันได้ท่าให้ฉันมอดไหม้แล้ว และเขาจะวิงวอนต่ออัลเลาะห์ ตามแต่พระองค์ประสงค์จะให้เขาวิงวอนขอ หลังจากนั้น อัลเลาะห์ผู้ทรงมงคลและสูงส่งจะกล่าวว่า เจ้าคิดไหมว่าถ้าหากเราทำกับเจ้าอย่างนั้นแล้ว เจ้าจะ วิงวอนขออื่นจากนั้นอีก เขาจะตอบว่า ฉันจะไม่วิงวอนขออื่นจากนั้นอีก และเขาจะให้สัญญา และข้อผูกมัดต่างๆ ตามแต่อัลเลาะห์ประสงค์ และอัลเลาะห์ก็จะผินใบหน้าของเขาออกจาก ไฟนรก และเมื่อเขาหันหน้ามาทางสวรรค์ และได้เห็นมัน เขาจะหยุดนิ่งเท่าที่อัลเลาะห์ประสงค์ [488]  ให้เขาหยุดนิ่ง หลังจากนั้นเขาจะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน ได้โปรดขยับให้ฉันใปสู่ ประตูสวรรค์เถิด อัลเลาะห์จะกล่าวแก่เขาว่า เจ้าไม่ได้ให้สัญญาและข้อผูกมัดต่างๆ ของเจ้า ไว้แล้วหรือว่า เจ้าจะไม่ขอนอกจากสิ่งที่เราได้ให้เจ้า ไม่น่าเลย โอ้ลูกหลานของอาดัม อะไร หนอทำให้เจ้าชอบผิดสัญญา เขาจะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน เขาจะวิงวอนขอต่อ อัลเลาะห์ จนพระองค์จะกล่าวแก่เขาว่า เจ้าคิดไหมว่าถ้าหากเราให้เจ้าเช่นนั้น เจ้าจะวิงวอน ขออื่นจากนั้นอีก เขาจะกล่าวว่า ไม่ ขอสาบานต่ออำนาจของท่าน และเขาก็จะให้สัญญาและ ข้อผูกมัดต่าง ๆ ตามแด่อัลเลาะห์ประสงค์ พระองค์ก็จะขยับเขาไปยังประตูสวรรค์ และเมื่อเขา ยืนอยู่ทีประตูสวรรค์ สวรรค์ได้เปิดกว้างแก่เขา และเขาก็ได้เห็นสิ่งที่มีอยู่ภายในสวรรค์ ทั้งความดี และความเบิกบานใจ เขาก็จะหยุดนิ่ง เท่าที่อัลเลาะห์จะให้เขาหยุดนิ่ง หลังจากนั้นเขา จะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน ได้โปรดให้ฉันเข้าสวรรค์เถิด อัลเลาะห์ผู้ทรงมงคล และสูงส่ง จะกล่าวแก่เขาว่า เจ้าไม่ได้ให้สัญญาและข้อผูกมัดด่างๆ ของเจ้าไว้แล้วหรือว่า เจ้าจะไม่ขอนอกจากที่เราได้ให้เจ้า ไม่น่าเลย โอ้ลูกหลานของอาดัม อะไรหนอ ทำให้เจ้าชอบ ผิดสัญญา เขาจะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันไม่ใช่เป็นคนชั่วที่สุดของสรรพสิ่ง ที่ท่านทรงสร้าง และเขาจะยังคงวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ จนอัลเลาะห์ผู้ทรงมงคลและสูงส่ง หัวเราะเขา และเมื่ออัลเลาะห์หัวเราะเขา พระองค์จะกล่าวว่า เจ้าจงเข้าสวรรค์เถิด และเมื่อ เขาเข้าสวรรค์ อัลเลาะห์จะกล่าวแก่เขาว่า เจ้าจงขอตามต้องการเถิด และเขาก็จะขอต่อพระผู้ อภิบาลของเขา และมีความอยากได้จนอัลเลาะห์จะเตือนเขาให้ขออย่างนั้น อย่างนี จนเมื่อ ความอยากได้ของเขาหมดแล้ว อัลเลาะห์ตาอาลาจะกล่าวว่า นั่นเป็นของเจ้า และอีกเท่าหนึ่ง ของมันพร้อมกันนั้น และโดยทีมี อะบู สะอีด อัลคุดรีย์ นั่งอยู่ด้วย ขณะที่อะบู ฮุรอยเราะห์เล่า หะดีษนี้ เขาได้กล่าวว่า ฉันขอยืนยันว่า ฉันจดจำมาจากท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ที่ท่าน พูดว่า นั่นเป็นของท่าน และอีกสิบเท่าของมัน อะบู ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉัน ไม่ได้จดจำมานอกจากคำพูดของท่านที่ว่า นั่นเป็นของท่าน และอีกเท่าหนึ่งของมันพร้อมกันนั้น 

รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม 

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ จะให้ชาวสวรรค์เข้าสวรรค์ พระองค์จะให้ผู้ที่พระองค์ประสงค์ (เข้าสวรรค์) ด้วยความเมตตา ของพระองค์ และพระองค์จะให้ชาวนรกเข้านรก หลังจากนั้นพระองค์จะกล่าว (แก่มะลาอิกะห์) ว่า พวกท่านจงไปมองตูเถิด ผู้ใดที่พวกท่านพบว่าในหัวใจของเขามีนํ้าหนักเท่าเมล็ต [489]  ผักกาด จากความศรัทธา ให้พวกท่านจงนำเขาออกมาเถิด ต่อมาพวกเขาก็จะนำ (ชาวนรก) ออกมาจากขุมนรกในสภาพเป็นถ่านที่ไหม้เกรียม และพวกเขาก็จะถูกโยนลงในแม่นํ้าแหงชีวิต หรือ (แม่น้ำแห่ง) ฮะยา พวกเขาก็จะงอกเงยขึ้น เหมือนเมล็ดพันธุ์ที่งอกเงยอยู่ใกล้ทางนํ้าบ่า พวกท่านไม่เห็นมันหรือว่า มันออกมาเป็นสีเหลืองที่คดเคี้ยวอย่างไร 

รายงานโดย มุสลิม และบุคอรี ในเรื่องสิ่งต่าง ๆ ที่จะทำให้หัวใจอ่อนโยน

และเล่าจากเขา (อะบีสะอีด) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สำหรับชาวนรกที่ พวกเขาเป็นชาวนรกจริงๆ นั้น พวกเขาจะไม่ตาย และไม่เป็นอยู่ในนรก แต่เป็นคนจำพวกหนึ่ง ที่ไฟนรกจะประสพกับพวกเขา เพราะบาปต่างๆ ของพวกเขา หรือท่านนบีได้กล่าวว่า เพราะ ความผิดต่างๆ ของพวกเขา ต่อมาไฟนรกจะทำให้พวกเขาตายไปจริงๆ จนเมื่อพวกเขาเป็นถ่าน ก็จะได้อนุมัติให้ช่วยเหลือ พวกเขาจะถูกนำมาเป็นพวกๆ และถูกหว่านลงบนแม่น้ำสวรรค์ หลังจากนั้นได้มีผู้กล่าวว่า โอ้ชาวสวรรค์ พวกท่านจงเทรดพวกเขาให้เจิ่งนอง และพวกเขาก็ จะงอกเงยขึ้นเหมือนการงอกเงยของเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในดินที่น้ำบ่าพามา ได้มีผู้อยู่ในที่นั้นบางคน กล่าวว่า คล้ายกับท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. เคยอยู่ในชนบทมาก่อน

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะได้ออกจาก ไฟนรก ผู้ที่กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น โดยที่ใน หัวใจของเขามีความดีน้ำหนักเท่ากับข้าวบาร์เล่หนึ่งเมล็ด หลังจากนั้นจะได้ออกจากไฟนรก ผู้ที่ กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น โดยที่ในหัวใจของเขา มีความดีนํ้าหนักเท่าข้าวสาลีหนึ่งเมล็ด หลังจากนั้นจะได้ออกจากไฟนรก ผู้ที่กล่าวว่า ไม่มี พระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น โดยที่ในหัวใจของเขามีความดีเท่า ข้าวโพดหนึ่งเมล็ด1024

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม และติรมิซี

ลักษณะของสวรรค์และคนรับใช้ในสวรรค์

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “จะมีเดีกรับใช่ชาวสวรรค์ผู้เป็นนิรันดร วนเวียนอยู่ที่พวก เขา พร้อมถ้วย กานำ และแก้วเครื่องดื่ม จากธารน้ำ ซึ่งพวกเขาจะไม่รู้สึกวิงเวียน และไม่ เมามาย เนื่องจากเสพมัน และ (พร้อมด้วย) ผลไม้ ที่พวกเขาจะเลือกสรรเอา และเนื้อนกที่ พวกเขาอยาก และมีนางฟ้า ประดุจดังไข่มุกที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างทนุถนอม เป็นการตอบแทน [490] สิ่งที่พวกเขาเคยกระทำไว้”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และมีบรรดาเด็กรับใช้ในสวรรค์ ผู้ซึ่งเป็นนิรันดร์ วนเวียนอยู่ที่พวกเขา เมื่อท่านได้เห็นพวกเขา ท่านก็จะคิดว่าพวกเขาเป็นไข่มุกที่ถูกหว่านไว้ และเมื่อท่านมองไปที่นั่น ท่านก็จะเห็นความบรมสุข และอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ พวกเขาสวมใส่ เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าไหมละเอียดและไหมหยาบสีเขียว และพวกเขาสวมใส่กำไลที่ทำมาจากเงิน และองค์อภิบาลของเขาได้ให้เครื่องดื่ม อันสะอาด แก่พวกเขาได้ดื่มกิน แท้จริงนี่เป็นสิ่งตอบแทน แก่พวกเจ้า และความพากเพียรของพวกเจ้าลูกรับรองแล้ว” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ และเกรียงไกรได้ตรัสว่า เราได้จัดเตรียมไว้ให้แก่บ่าวของเรา สิ่งที่ตาไม่เคยเห็น หูไม่เคยได้ยิน

และไม่เคยผ่านเข้าไปในหัวใจของมนุษย์คนใดเลย เพื่อเป็นมิ่งขวัญ จงทิ้งสิ่งที่อัลเลาะห์ได้ให้ พวกท่านเห็นมัน1,025 หลังจากนั้นท่านได้อ่าน                                                    “ดังนั้น ไม่มีชีวิตใดรู้สิ่งที่ถูกเก็บงำไว้ให้พวกเขา

จากความเย็นตา เป็นผลตอบแทนสิ่งที่พวกเขากระทำไว้”

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี 

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ระยะชั่วคันธนู ของคนหนึ่งคนใดของพวกท่านในสวรรค์นั้น เป็นความดียิ่งกว่าสิ่งที่ตะวันสาดแสงไปถึงมันทั้งหมด หรือที่ตะวันลับ (ผ่านมันไป)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากสะหั้ล ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า รอยเท่าไม้เรียวในสวรรค์ดียิ่ง กว่าดุนยา และสิ่งที่อยู่ในดุนยา 

รายงานโดยบุคอรี ในเรื่องเริ่มสร้าง

การสร้างสวรรค์ ก้อนกรวด และดินสวรรค์

เล่าจากอะบี อุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ สรรพสิ่ง ต่างๆ ถูกสร้างขึ้นจากสิ่งใด ท่านตอบว่า จากน้ำ พวกเราได้กล่าวว่า สวรรค์นันสร้างด้วย อะไร ท่านตอบว่า ก้อนอิฐที่เป็นทองคำ สิ่งที่นำมาฉาบมัน คือ ชะมดเขียงที่หอมฟุ้ง ก้อน กรวดของสวรรค์ คือ ไข่มุก และทับทิม ดินของมัน คือ หญ้าฝรั่น ผู้ใดเข้าสวรรค์ เขาจะได้ ความสุข และเขาจะไม่ประสพกับความยากลำบาก เขาจะอยู่ตลอดกาล ไม่ตาย เสือผ้าของ พวกเขาจะไม่เก่า ความหนุ่มของพวกเขาจะไม่เสื่อมโทรม หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า สาม บุคคลที่คำวิงวอนของพวกเขาจะไม่ถูกปฏิเสธ คือ ผู้นำที่ยุติธรรม ผู้ที่ถือศีลอด จนกว่าจะละศีลอด และคำวิงวอนของผู้ที่ถูกทุจริตจะยกมันขึ้นไปอยู่เหนือเมฆ ประตูฟ้าจะลูกเปิดต้อนรับมัน และ พระผู้อภิบาล ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรจะกล่าวว่า สาบานต่ออำนาจของเรา เราจะต้องช่วยเหลือ เจ้า แม้จะหลังจากนี้เพียงครู่เดียว 

รายงานโดยติรมิซี [491]

ชั้นต่างๆของสวรรค์ ประตูต่างๆของสวรรค์และขั้นต่างๆของสวรรค์ 1,026

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “แท้จริงบรรดาผู้มีศรัทธา และทำความดีต่าง ๆ พระผู้ อภิบาลของพวกเขาจะชี้นำพวกเขา ด้วยความมีศรัทธาของพวกเขา โดยมีสายนํ้าหลายสายไหล อยู่เบื้องล่างพวกเขา ในสวรรค์แห่งความบรมสุข”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และอัลเลาะห์จะทรงเชิญชวนสู่บ้านแห่งสันติ (สวรรค์) และจะทรงชี้นำบุคคลที่พระองค์ประสงค์ไปสู่แนวทางที่เที่ยงธรรม”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “แท้จริงบรรดาผู้มีศรัทธา และทำความดีต่าง ๆ พวกเขา จะได้สวรรค์ชั้น ฟิรเดาส์ เป็นที่พำนักอย่างถาวร โดยพวกเขาจะไม่หาทางออกจากมัน”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “ณ ซิดรอติ้ล มุนตะฮานั้น ณ ทีนั้น เป็นที่ตั้งของ สวรรค์ชั้นมะอุวา” และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “แท้จริงบรรดาผู้มีศรัทธาและทำความดี ต่าง ๆ พวกเขาเป็นมนุษย์ชาติที่ดี ผลตอบแทนของพวกเขา ณ พระผู้อภิบาลของพวกเขา คือ สวรรค์1ชั้นอัดน์ มีสายนํ้าหลายสายไหลอยู่เบื้องล่าง โดยพวกเขาเป็นอมตะอยู่ในนั้นตลอดไป อัลเลาะห์ทรงพอใจพวกเขา และพวกเขาพอใจพระองค์ นั้นแหละเป็นของผู้ที่ยำเกรงพระผู้อภิบาล ของเขา” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากสะหัล ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ในสวรรค์นั้นมีแปดประตู ใน นั้นมีประตูหนึ่งเรียกว่า อัรรอยยาน จะไม่ได้เข้าทางประตูนึ่ นอกจากผู้ที่ถือศีลอด 

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ประตูทีประชากรของฉัน จะเข้าสวรรค์ทางประตูนั้น ความกว้างของมันเท่ากับระยะเดินทางของม้าที่ใช่เป็นพาหนะสามวัน หลังจากนั้นพวกเขาก็จะเบียดกันเข้าไปทางประตูนั้น จนไหล่ของพวกเขาเกือบหัก1027

รายงานโดยติรมิซี

เล่าจากอุบาดะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ในสวรรค์ มีหนึ่งร้อยขั้น ระหว่างทุก ๆ สองขั้นห่างกันเท่ากับระยะระหว่างฟ้ากับแผ่นดิน และฟิรเดาส์นั้น เป็นขั้นสูงสุดของมัน และแม่น้ำสวรรค์ทั้งสี่สายจะไหลพุ่งออกจากฟิรเดาส์ และอัรช์ ก็จะอยู่ เหนือมันขั้นใป ดังนั้น เมื่อพวกท่านขอต่ออัลเลาะห์ใหัพวกท่านจงขอ ฟิรเดาส์ ต่อพระองค์เถิด 

รายงานโดยบุคอรี และติรมิซี [492]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ในสวรรค์มีหนึ่งร้อยขั้น ระหว่างทุกๆ สองขั้นห่างกันหนึ่งร้อยปี

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงในสวรรค์นั้นมีหนึ่งร้อยขั้น ถ้าหากชาวโลกจะชุมนุมกันอยู่ในขั้นหนึ่งของมัน ก็จะจุพวกเขาทั้งหมด1,028

และเล่าจากเขา (อะบี สะอีด) จากท่านนบี ซ.ล. ในคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลา ที่ว่า “และที่นอนที่ถูกยกขึ้นสูง” ท่านได้กล่าวว่า ความสูงของมัน จะเท่ากับระยะระหว่างฟ้า กับแผ่นดิน เป็นระยะห้าร้อยปี1,029 

รายงานหะดีษทั้งสามนโดยติรมิซี

สายน้ำของสวรรค์ และตาน้ำของมัน

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า          “ลักษณะของสวรรค์ ซึ่งผู้มีความยำเกรงได้ถูกสัญญาไว้

นั้น มีสายน้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างของมัน อาหารในสวรรค์นั้น เป็นอมตะ (ไม่เน่าเสีย) และร่มเงาของมัน (ก็เป็นอมตะ) นั่นคือ วาระสุดท้ายของบรรดาผู้ยำเกรง ส่วนวาระสุดท้าย ของพวกผู้ไร้ศรัทธานั้น คือ ขุมนรก”

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “ในสวรรค์ทั้งสองนั้น มีสองตานํ้าไหลอยู่”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “ลักษณะของสวรรค์ที่ถูกสัญญาไว้แก่บรรดาผู้มีความ ยำเกรงนั้น ในนั้นมีสายน้ำหลายสาย เป็นน้ำที่ไม่เปลี่ยนแปลงสภาพ และสายนํ้าอีกหลายสาย ที่เป็นนํ้านม ที่รสของมันไม่เปลี่ยนแปลง และมีสายนํ้าหลายสาย ที่เป็นสุราที่โอชะแก่ผู้ดื่ม และสายน้ำหลายสาย ที่เป็นนํ้าผึ้งบริสุทธิ๋” เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่าน รอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ลัยฮาน, ยัยฮาน, ฟุร๊อต และไนล์ ทั้งหมดเป็นสายน้ำของ สวรรค์1,030 

รายงานโดยมุสลิม

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ถูกถามถึงอัลเกาซัร ท่านตอบว่า นั่นเป็นสายนํ้า ที่อัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรมอบมันให้ฉันในสวรรค์ ขาวยิ่งกว่า น้ำนม หวานกว่าน้ำผื้ง ในนั้นมีนก ลำคอของมันเหมือนคออูฐ อุมัรได้กล่าว แท้จริงเหล่านี้ มีรสอร่อย ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนที่ดื่มกินมันชื่นบานกว่ามัน

เล่าจากฮะกีม บุตร มุอาวิยะห์ จากบิดาของเขา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงในสวรรค์นั้น มีทะเลน้ำจืด ทะเลน้ำผึ้ง ทะเลน้ำนม และทะเลสุรา หลังจากนั้นสายนํ้า ต่างๆ จะแยกออกไปภายหลัง1,031 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี [493]

ต้นไม้และผลไม่สวรรค์

อัลเลาะห์ตาอาล.าได้ตรัส,ว่า “และสำหรับผู้มีความกลัว การยืนอยู่ต่อหน้าพระผู้อภิบาล ของเขา (เพื่อการสอบสวน และเขาก็ทิ้งความชั่ว) ย่อมได้สองสวรรค์ แล้วยังมีความโปรดปรานใด ของผู้อภิบาลของเจ้าทั้งสอง ที่เจ้าทั้งสองว่าเป็นเท็จ (สวรรค์ทั้งสอง) มีต้นไม้และผลไม้หลาก ชนิด แล้วยังมีความโปรดปรานใดของผู้อภิบาลของเจ้าทั้งสอง ที่เจ้าทั้งสองว่าเป็นเท็จ ในสวรรค์ ทั้งสองนั้นมีสองตานํ้าที่ไหลอยู่แล้วยังมีความโปรดปรานใดของผู้อภิบาลของเจ้าทั้งสอง ที่เจ้า ทั้งสองว่าเป็นเท็จ ในสวรรค์ทั้งสองมีผลไม้ทุกชนิด เป็นคู่ๆ แล้วยังมีความโปรดปรานใดของ ผู้อภิบาลของเจ้าทั้งสอง ที่เจ้าทั้งสองว่าเป็นเท็จ พวกเขาต่างเอกเขนกอยู่บนที่นอน ซึ่งไส้ใน ของมันเป็นผ้าไหมชนิดหนา และผลไม้ของสองสวรรค์นั้นอยู่แค่เอื้อม แล้วยังมีความโปรดปรานใด ของผู้อภิบาลของเจ้าทั้งสองที่เจ้าทั้งสองว่าเป็นเท็จ”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ทรงตรัสว่า “และชาวขวา อะไรคือชาวขวา (พวกเขามีความสุข) อยู่ในสวนต้นพุทราที่ไร้หนาม และต้นกล้วยที่มีผลดกเต็มเครือ และร่มเงาที่ทอดยาว และนํ้า ที่ไหลอยู่เสมอ” และผลไม้อันมากมาย ซึ่งไม่ถูกตัดทอนและไม่ถูกห้าม”

เล่าจากสะหั้ล บุตร สะอัด ร.ฎ. จากท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า                       แท้จริง

ในสวรรค์มีต้นไม้ ซึ่งผู้ขับขี่ม้าที่ฝึกปรือไว้อย่างดี เป็นม้าเร็ว จะเดินทางไปหนึ่งร้อยป็ก็ไม่ สามารกพ้นมันไปได้ 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงในสวรรค์มีต้นไม้ ต้นหนึ่ง ซึ่งผู้ขับขี่ม้าเร็วที่ถูกฝึกปรือเป็นอย่างดีจะเดินทางไปเป็นเวลาหนึ่งร้อยปีก็จะไม่สามารก ตัดระยะทางพ้นมันไปได้1032 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อัสมาอฺ บุตรสาว อะบีบักร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวในเรื่อง ซิดรอตุ้ล มุนตะฮาว่า: พาหนะจะเดินทางไปในร่มเงาที่แผ่กิ่งก้านสาขา ของมันเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี หรือจะอยู่ในร่มเงาของมันได้จุหนึ่งร้อยตัวที่เป็นสัตว์พาหนะในนั้น มีผีเสื้อทองคำ ผลของมันขนาดกิลาล (โอ่ง) 

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

ห้องต่าง ๆ ของชาวสวรรค์

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “แต่บรรดาผู้ยำเกรงผู้อภิบาลของพวกเขานั้น พวกเขาจะ ได้ห้องหลายห้อง ซึ่งเหนือมันขื้นไปนั้นมีอีกหลายห้องที่ถูกก่อสร้างไว้ ซึ่งมีสายนํ้าหลายสาย ไหลอยู่เบื้องล่างมัน เป็นสัญญาของอัลเลาะห์ อัลเลาะห์ย่อมไม่ผิดคำสัญญา”1033 อัลเลาะห์ ผูยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ [494]

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า                         แท้จริง

ชาวสวรรค์จะชะเง้อดูชาว (สวรรค์ใน) ห้องต่างๆ ที่อยู่ถัดขึ้นไป เหมือนที่ท่านทั้งหลายจะ ชะเง้อดู ดาวประจำเมืองที่โคจรไปในขอบฟ้า จากทางตะวันออกหรือตะวันตก เพราะความ เหลื่อมลํ้าของพวกเขา พวกเขา (บรรดาอัครสาวก) ได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ นั่นคือ ตำแหน่งของบรรดานบีที่ผู้อื่นจะชื้นไปไม่ถึง ท่านได้กล่าวว่า หามิได้ สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของ ฉันอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า บรรดาผู้ชายที่มีศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และเชื้อมั่นต่อบรรดา ศาสนทูต1034 

รายงานโดย บุดอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะลี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงในสวรรค์นั้นมีหลายห้องที่จะมองเห็นด้านนอกของมันจากด้านในของมัน และ (มองเห็น) ด้านในของมันจากภายนอก ได้มีชาวอาหรับชนบทคนหนึ่งลุกขึ้นไปหาท่าน แล้วกล่าวว่า มันเป็นของใคร โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านกล่าวว่า มันเป็นของผู้ที่พูดดี เลี้ยงอาหาร ถือศีลอดเป็นประจำ และได้ละหมาด เพื่ออัลเลาะห์ในเวลากลางคืน ขณะที่มนุษย์หลับใหล1035 

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงาน ที่ฆอรีบ

กระโจมในสวรรค์

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า "คือ เหล่านางฟ้า ทีถูกจำกัดเขตอยู่ภายในกระโจม แล้ว

ยังมืความโปรดปรานใดของผู้อภิบาลของเจ้าทั้งสอง ที่เจ้าทั้งสองว่าเป็นเท็จ”

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร กอยส์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าว ว่า   ในสวรรค์มีกระโจมหนึ่ง ทำจากไข่มุกกลวง ความกว้างของมัน หกสิบไมล์ ในแต่ละมุม

ของมันมีผู้อาศัยอยู่ ซึ่งพวกเขาจะไม่เห็นผู้อื่น ผู้มีศรัทธาจะแวะเวียนมาหาพวกเขา 

และเล่าจากเขา (อับดิลลาห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า          แท้จริงจะมีกระโจม

หนึ่งในสวรรค์ทำจากไข่มุกกลวงเม็ดเดียว เป็นของผู้มืศรัทธา ความยาวของมันหกสิบไมล์ จะ มีครอบครัวของผู้มีศรัทธาอยู่ในนั้น ซึ่งจะมีผู้มีศรัทธาและเวียนมาที่พวกเขา โดยบางส่วนของ พวกเขา จะไม่เห็นอีกบางส่วน

รายงานหะดีษทั้งสองโดยบุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ตลาดของสวรรค์ 1036

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงใน สวรรค์นั้นมีตลาดที่พวกเขาจะมากันทุกๆ วันศุกร์ ลมเหนือจะพัดมา มันจะลูบไล้ใบหน้าของ [495] พวกเขา และเสื้อผ้าของพวกเขา พวกเขาจะมีความสวยและงดงามเพิ่มขึ้นต่อมาพวกเขาจะกลับไปสู่ ครอบครัวของพวกเขา โดยพวกเขามีความสวยและงดงามเพิ่มขึ้น และครอบครัวของพวกเขา จะกล่าวแก่พวกเขาว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า แท้ที่จริงพวกท่านมีความสวยและงดงามเพิ่มมากขึ้นหลังจาก (ได้จาก) พวกเรา (ไป) และพวกเขาจะกล่าวว่า และพวกท่านก็มีความสวย และงดงามเพิ่มขึ้น หลังจาก (ได้จาก) พวกเรา (ไป เช่นกัน)1037 

รายงานโดยมุสลิม

เล่าจากสะอีด บุตร มุซัยยิบ ร.ฎ. ว่า ความจริงเขาได้พบกับอะบี ฮุรอยเราะห์ และ อะบี ฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า ฉันได้ขอต่ออัลเลาะห์ให้พระองค์รวมฉันกับท่านในตลาดของสวรรค์ สะอีดได้กล่าวว่า ในสวรรค์มีดลาดหรือ      เขากล่าวว่า ลูกแล้ว ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้

บอกแก่ฉันว่า แท้จริงชาวสวรรค์นั้นเมื่อได้เข้าสวรรค์ พวกเขาจะได้เข้าพักในนั้นตามแต่ความ ประเสริฐของผลงานของพวกเขา1,038 หลังจากนั้น จะถูกอนุมัติ เท่ากับช่วงของวันศุกร์ จากวันในโลกดุนยา และพวกเขาก็จะไปเยี่ยมเยียนพระผู้อภิบาลของพวกเขา1039 และพระองค์จะ เผยอัรช์ ของพระองค์แก่พวกเขา และพระองค์จะเปิดเผยแก่พวกเขาในสวนหนึ่งจากบรรดา สวนสวรรค์1040 แท่นจากรัศมีจะถูกตั้งให้แก่พวกเขา แท่นจากไข่มุก แท่นจากทับทิม แท่น จากมรกต แท่นจากทองคำ และแท่นจากเงิน (ก็จะถูกนำมาตั้ง) และคนที่ด้อยตํ่าที่สุดของ พวกเขา                          โดยไม่มีความตํ่าต้อยอยู่ในพวกเขา  จะนั่งอยู่บนกองชะมดเชียงและการะบูน และพวกเขาจะไม่เห็นว่าพวกที่มีแท่นนั่งนั้น มีที่นั่งดีกว่าพวกเขา1041 อะบู ฮุรอยเราะห็ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ และเราจะได้เห็นพระผู้อภิบาลของเราไหม ท่าน ตอบว่า ลูกแล้ว (จะได้เห็น) พวกท่านจะลำบากที่จะเห็นตะวัน และดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ไหม? พวกเราได้กล่าวว่า ไม่เลย ท่านนบีได้กล่าวว่า เข่นเดียวกันนั้น พวกท่านจะไม่ต้องลำบากเลยในการเห็น พระผู้อภิบาลของพวกท่านและจะไม่มีใครเหลืออยู่ในสถานที่นั้น นอกจาก อัลเลาะห์จะให้เขารับรู้อย่างละเอียดในเรื่องส่วนตัวของเขา จนกระทั่งพระองค์จะกล่าวแก่ คนๆ หนึ่งของพวกเขาว่า โอ้คนนั้นบุตรของคนนั้น เจ้านึกถึงวันนั้น วันนั้นได้ไหม และพระองค์ ก็จะเตือนให้เขานึกถึงการผิดสัญญาบางข้อของเขาในดุนยา และเขาก็จะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน ท่านจะไม่อภัยโทษให้แก่ฉันหรือ พระองค์จะกล่าวว่า หามิได้ และด้วยความ

ไพศาลแห่งการอภัยโทษของเรา เจ้าได้ถึงแล้ว ซึ่งตำแหน่งของเจ้านี้ และขณะที่พวกเขากำลัง [496]  อยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น จะมีเมฆมาปกคลุมพวกเขาจากทางเบื้องบนของพวกเขา และโปรย ลงมาเป็นเครื่องหอม ซึ่งพวกเขาไม่เคยพบเห็น กลิ่นหอมของมันเลยสักสิ่งเดียว และพระผู้ อภิบาลของเราผู้ทรงมงคลและสูงส่งจะกล่าวว่า : พวกท่านจงลุกขื้นยืนไปสู่สิ่งที่เราได้เตรียมไว้ ให้แก่พวกท่านแล้ว ที่เป็นเกียรติยศ และพวกท่านจงรับเอาสิ่งที่พวกท่านอยากได้ จากนั้นพวกเรา ก็จะมาสู่ตลาดหนึ่ง ที่มีมะลาอิกะห์ห้อมล้อมมันอยู่ ซึ่งดวงตาไม่เคยได้เห็นเหมือนเช่นนั้นมาก่อน ที่หูไม่เคยได้ยิน และไม่เคยผ่านเข้ามาในหัวใจเลย และพระองค์ก็จะนำมาให้พวกเรา สิ่ง ที่พวกเราอยากได้ ในนั้นไม่มีขาย และไม่มีซื้อ1042 และในตลาดนั้น ชาวสวรรค์บางคน จะได้ พบกับอีกบางคน ผู้ชายที่อยู่ในตำแหน่งที่สูง และมุ่งมาและพบกับคนที่ตํ่ากว่าเขา — โดยที่ใน หมู่พวกเขาไม่มีความตํ่าด้อยใดๆ จะทำให้เขาวิตกสิ่งที่เขาเห็นอยู่บนร่างของเขา จากเครือง อาภรณ์ และยังไม่ทันที่จะหมดคำพูดสุดท้ายของเขา จนกระทั่งจะเกิดมโนภาพแก่เขา ถึงสิ่งที่ งดงามกว่านั้น และการเช่นนั้นก็คือ ไม่เหมาะสมแก่ผู้ใดที่จะเศร้าใจอยู่ในสวรรค์1043 หลัง จากนั้นพวกเราก็จะกลับไปยังสลานที่พำนักของพวกเรา และคู่ครองของพวกเราก็จะมาพบกับ พวกเรา พวกหล่อนจะกล่าวว่า ยินดีต้อนรับและขอเชิญ ความจริงท่านได้มา พร้อมกับความงดงาม ที่ประเสริฐยิ่งกว่า ตอนที่ท่านจากพวกเราไป และเขาก็จะกล่าวว่า : แท้จริงพวกเราได้ นั่งอยู่ในวันนี้ ข้าแด่พระผู้อภิบาลของพวกเรา ผู้ทรงศักดา และด้วยสิทธิของพวกเรา พวกเรา จะกลับมาอีกเหมือนที่เราได้กลับมาแล้ว

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงใน สวรรค์นั้น มีตลาดหนึ่ง ในนั้นไม่มีการซื้อ และไม่มีการขาย นอกจากรูปต่างของผู้ชายและผู้หญิง ดังนั้น เมื่อชายคนหนึ่งพอใจอยากได้รูปใด เขาก็จะเข้าไปสู่รูปนั้น 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

พืชพันธุ์และม้าจะได้แก่คนที่ต้องการ

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้เคยพูดคุยในวันหนึง โดยมี ชายชาวชนบทคนหนึ่งร่วมอยู่ด้วย ว่า: แท้จริงจะมีชายชาวสวรรค์คนหนึ่ง ขออนุญาตพระผู้อภิบาล ของเขาในการเพาะปลูก อัลเลาะห์จะกล่าวแก่เขาว่า : เจ้าไม่ได้ในสิงทีเจ้าต้องการหรือ เขากล่าวว่า: หามิได้ แต่ฉันรักการเพาะปลูก ต่อมาเขาจะรีบลงมือ และหว่านเมล็ดพันธุ์ และมันจะรีบ งอกเงยภายในพริบตาเดียว และมันจะตั้งตรง และเก็บเกี่ยวมันได้ และกองมันเป็นเหมือนภูเขา อัลเลาะห์ตาอาลาจะตรัสว่า : พอแล้ว โอ้ลูกหลานของอาดัม ความจริงมันจะไม่มีสิ่งใดทำให้ เจ้าอิ่ม ชาวอาหรับชนบทคนนั้นจะกล่าวว่า : โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านจะไม่พบคนๆ นี้ (ว่า [497]  เป็นใคร) นอกจากพบว่า เป็นชาวกุเรช หรือชาวอันซอร เพราะความจริงพวกเขาเป็นชาวเกษตร ส่วนพวกเราไม่ใช่ชาวเกษตร ท่านนบี ซ.ล. หัวเราะ 

รายงานโดยบุคอรี ในเรื่องเตาฮีด

เล่าจากบุรอยดะห์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงชายคนหนึ่งได้ถามท่านนบี ซ.ล. โดยกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ในสวรรค์มีม้าไหม? ท่านกล่าวว่า ถ้าหากอัลเลาะห์ได้ให้ท่านเข้าสวรรค์ มันจะเป็นของท่านภายในสวรรค์นั้น สิ่งที่อารมณ์ของท่านอยากได้ และ (สิ่งที่) ดวงตาของท่าน จะสำราญ

เล่าจากอะบี สะอีด อัลคุดรีย์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซุลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้มีศรัทธานั้นเมื่อเขาอยากได้ลูกในสวรรค์ การตั้งครรภ์ และคลอด และอายุของทารกนั้นจะ เถิดขึ้นภายในครู่เดียว เหมือนที่เขาอยากได้ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

ลักษณะฃองชาวสวรรค์

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “แท้จริงบรรดาผู้ยำเกรงนั้นอยู่ในสวรรค์ และตาน้ำ พวกเจ้า จงเข้าสู่สวรรค์ อย่างสันติ โดยปลอดภัย และเราได้ถอดสิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเขาออกไปจาก ความผูกพยาบาท อย่างเป็นพี่น้องกัน ต่างหันหน้าเข้าหากันบนเตียง ความเหนื่อยยาก จะไม่ สัมผัสกับพวกเขาในสวรรค์ และพวกเขาจะไม่ลูกขับออกจากสวรรค์”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า          “แท้จริงชาวสวรรค์ในวันนั้นต่างก็อยู่ในความบรมสุข

อันพึงพอใจ พวกเขาและคู่ครองของพวกเขาจะได้อยู่ในร่มเงาโดยเอกเขนกอยู่บนเตียงประดับ พวกเขาได้ผลไม้ในสวรรค์ และพวกเขาจะได้ตามที่ร้องขอ คำว่า “สันติ” เป็นถ้อยคำที่มาจาก ผู้อภิบาลผู้ทรงปรานี” อัลเลาะห์ผู้ยิงใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชาวสวรรค์นั้นปราศจากขนตามร่างกาย ไม่มีเคราขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างดำขลับ ความหนุ่มสาว ของพวกเขาจะไม่เสื่อมโทรมและเครื่องอาภรณ์สวมใสของพวกเขาจะไม่เก่า

เล่าจากมุอาช บุตรยะบั้ล ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชาวสวรรค์จะได้เข้าสวรรค์ในสภาพที่ปราศจากขนตามร่างกาย ไม่มีเคราขึ้น ดวงตาดำขลับ อยู่ในวัยสามสิบ หรือสามสิบสามปี

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                 ผู้ใดเสียชีวิตลง (ในดุนยา)

จากชาวสวรรค์ ไม่ว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่ พวกเขาจะมาสู่สวรรค์ในสภาพที่มีอายุสามสิบปี พวกเขา จะไม่มีอายุเกินกว่านั้นตลอดกาล และชาวนรกก็เช่นเดียวกัน 

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดยติรมิซี 

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงพวกแรกที่เข้าสวรรค์นั้น มีรูปเหมือนดวงจันทร์ในคืนเพ็ญ และพวกทีลัดมานั้นมีรูป เหมือนดาวประจำเมืองที่สุกใสในท้องฟ้า พวกเขาจะไม่ปัสสาวะ จะไม่ถ่ายอุจจาระ พวกเขา จะไม่มีเสมหะ พวกเขาจะไม่ถ่มน้ำลาย หวีของพวกเขาเป็นทองคำ และเหงื่อของพวกเขาเป็นชะมดเชียง เครื่องหอมรมควันของพวกเขา เป็นไม้ อะลูวะห1044 และคู่ครองของพวกเขา เป็นเทพธิดา อุปนิสัยของพวกเขา เป็นอุปนิสัยของคนๆ เดียวกัน1045 (พวกเขา) มีรูปร่าง เหมือนบิดาของพวกเขา คือ อาดัม สูงหกสิบศอก1046 ได้เพิ่มเติมในรายงานหนึ่งว่า    พวกเขา

แต่ละคนมีคู่ครองสองคน1047 จะมองเห็นไขในหน้าแข้งของเขาทั้งสองที่อยู่ใต้เนื้อ อันเนื่อง จากความงาม1048 พวกเขาไม่ขัดแย้งกัน และไม่โกรธเคืองกัน หัวใจของพวกเขาเหมือนหัวใจ ดวงเดียวกัน1049 พวกเขาจะกล่าวตัสบียะห์ ต่ออัลเลาะห์ ทั้งในยามเช้าและยามเย็น 

รายงาน โดยมุคอร มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า              ฉันได้ยินท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า ความจริงชาวสวรรค์จะรับประทานอยู่ในสวรรค์และดื่ม โดยพวกเขาจะไม่ถ่มนํ้าลาย ไม่ถ่ายปัสสาวะ ไม่ ถ่ายอุจจาระและไม่ขากเสมหะ บรรดาอัครสาวกกล่าวว่า อาหารเป็นอย่างไร ท่านตอบว่า คือเรอ และเหงื่อ เหมือนเหงื่อชะมดเชียง พวกเขาจะถูกดลใจให้กล่าวคำตัสเบียะห์ และตะห์มีด เหมือนถูกดลใจให้หายใจ1050 

รายงานโดยมุสลิม

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้มีศรัทธาในสวรรค์จะได้กำลังอย่างนั้น อย่างนั้นจากการร่วมเพศ ได้มีผู้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ เขาจะสามารล ดังกล่าวหรือ ท่านตอบว่า เขาจะได้เท่ากับกำลังหนึ่งร้อยคน1051

เล่าจากสะอัด บุตร อะบีวักกอส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                        ถ้าหากสิ่งที่

เล็บรับไว้ได้ จากสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ เผยออกมา (ในโลกนื้) มันจะส่องประกายสุกได้เติม สิ่งที่ อยู่ระหว่างต้านต่าง ๆ ของชั้นฟัาและแผ่นดิน และถ้าหากชายคนหนึ่งจากชาวสวรรค์ได้โผล่มา และปรากฏสีหน้าของเขา แน่นอนเขาจะลบแสงตะวันลงได้เหมือนที่ดวงตะวันลบแสงแห่งดวงดาว

รายงานหะดีษทั้งสองนี้โดยติรมิซี

ลักษณะของผู้หญิงชาวสวรรค์

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “ในบรรดาสวรรค์นั้นมีเหล่าสตรีที่จำกัดสายตา ทั้งมนุษย์และญินไม่เคยได้สัมผัสพวกนางก่อนพวกเขาเลย แล้วยังมีความโปรดปรานใดของผู้อภิบาลของ [498]  เจ้าทั้งสอง ที่เจ้าทั้งสองว่าเป็นเท็จ เหล่านางฟ้านั้นประหนึ่งทับทิม และไข่มุกเล็กๆ แล้วยังมี ความโปรดปรานใดของผู้อภิบาลของเจ้าทั้งสอง ที่เจ้าทั้งสองว่าเป็นเท็จ”

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า        “ในสวรรค์ (ทั้งสอง รวมทั้งสิ่งที่มีอยู่ในมันทั้งสอง) นั้น

มีหญิงที่มีมารยาทงาม รูปร่างงดงาม แล้วยังมีความโปรดปรานใดของผู้อภิบาลของเจ้าทั้งสอง ที่เจ้าทั้งสองว่าเป็นเท็จ พวกนางคือ เหล่านางฟ้าที่ถูกจำกัดเขตอยู่ในกระโจม แล้วยังมีความ โปรดปรานใดของผู้อภิบาลของเจ้าทั้งสอง ทีเจ้าทั้งสองว่าเป็นเท็จ ทั้งมนุษย์และญินไม่เคยสัมผัส พวกนางก่อนพวกเขา แล้วยังมีความโปรดปรานใดของผู้อภิบาลของเจ้าทั้งสอง ทีเจ้าทั้งสองว่า เป็นเท็จ และพระองค์ได้ตรัสว่า พวกเขาเอกเขนกอยู่บนหมอนสีเขียว และบนพรมที่สวยงาม แล้วยังมีความโปรดปรานใดของผู้อภิบาลของเจ้าทั้งสอง ทีเจ้าทั้งสองว่าเป็นเท็จ

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า         “แท้จริงเราได้สร้างพวกนาง (นางฟ้า) ขึ้นเป็นพิเศษโดยเราได้บันดาลพวกนางให้เป็นพรหมจารีย์ โดยมีความรัก (สามี) มีอายุเท่าๆ กัน เป็นของพวก (ที่ได้รับบันทึกด้วยมือ) ขวา” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ช่วงระหว่างคันธนูของใครคนหนึ่งของพวกท่าน หรือรอยเท่าฝ่าเท้าของใครคนหนึ่งจากสวรรค์นั้น ดียิ่งกว่าโลกนี้และสิ่งที่ มีอยู่ในโลก และถ้าหากผู้หญิงชาวสวรรค์คนหนึงโผล่มายังโลกนี้ มันจะทำให้สิ่งที่อยู่ระหว่าง ฟ้ากับแผ่นดินสว่างไสว และจะทำให้ระหว่างฟ้ากับแผ่นดินเต็มไปด้วยกลิ่นหอม และนะซีฟ ของหล่อน                                                                                                 หมายถึงผ้าคลุมหน้า ก็ดีกว่าดุนยา และสิ่งที่มีอยู่ในดุนยาทั้งหมด 

รายงานโดยบุคอรี และติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง ผู้หญิงคนหนึง จากผู้หญิงชาวสวรรค์นั้น จะเห็นความใสของหน้าแข้งของหล่อน จากเบืองหลังเสือผ้าเจ็ดสิบชั้น จนกระทั่งจะเห็นไขมันของหล่อน ทั้งนี้เพราะอัลเลาะห์กล่าวไว้ว่า พวกหล่อนนั้น เป็นเหมือน ทับทิม และไข่มุกเล็กๆ สำหรับทับทิมนั้นเป็นอัญมณี สิ่งถ้าหากท่านร้อยเส้นด้ายเข้าไป แล้ว ขัดให้มันใส ท่านก็จะต้องเห็นเส้นด้ายจากเบื้องหลังของมัน

เล่าจากอะลี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริงในสวรรค์นั้นมีที่ชุมนุม ของธิดาสวรรค์ พวกหล่อนจะส่งเสียง ซึ่งชาวโลกจะไม่เคยได้ยินเช่นนั้น พวกเธอจะกล่าวว่า พวกเราเป็นสตรีที่เป็นนิรันดร์ พวกเราจะไม่สูญสลาย พวกเราเป็นสตรีที่มีความงาม พวกเรา จะไม่เสื่อมโทรม และพวกเราเป็นสตรีทีมีความยินดี พวกเราจะไม่โกรธเคือง โชคดีจะเป็นของ บุคคลที่ตกเป็นของเรา และทีเราตกเป็นของเขา

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

บุคคลแรกที่จะเข้าสวรรค์ คือ ท่านนบีมุฮัมมัด ซ.ล. และประชากรของท่าน1053

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า : ฉันเป็นคนแรกที่จะได้ช่วยเหลือ [499]

ในสวรรค์ และฉันเป็นนบีที่มีบริวารมากที่สุด

และเล่าจากเขา (อะนัส) ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า                  ข้าพเจ้า

เป็นนบีที่มีบริวารมากที่สุดในวันกิยามะห์ และฉันเป็นคนแรกที่เคาะประตูสวรรค์1,054

และเล่าจากเขา (อะนัส) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า              ฉันเป็นคนแรกที่ให้การช่วย

เหลือในสวรรค์ ไม่มีนบีใดจากบรรดานบีทั้งหลายถูกเชื่อถือ เหมือนที่ฉันถูกเชื่อถือ และความจริง จากบรรดานบีต่าง มีนบีท่านหนึ่งที่ไม่มีคนเชื่อถือเขา นอกจากมีเพียงคนเดียวเท่านั้น

และเล่าจากเขา (อะนัส) ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า                  ฉันจะมา

ที่ประตูสวรรค์ในวันกิยามะห์ และฉันจะขอให้เปิด ผู้ดูแลจะกล่าวขื้นว่า ท่านเป็นใคร ฉัน จะตอบว่า(ฉันคือ) มุฮัมมัด เขาจะกล่าวว่า เพราะท่าน ที่ฉันถูกบัญชา โดยฉันจะไม่เปิดให้ใครก่อนหน้าท่าน

รายงานหะดีษทั้งสี่นี้โดยมุสลิม

เล่าจากสะหัล บุตร สะอัด ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะต้องได้เข้าสวรรค์จากประชากรของฉันจำนวนเจ็ดหมื่นคน หรือเจ็ดแสนคน1,055 พวกเขา จะเกาะเกี่ยวกัน โดยบางคนยึดอยู่กับอีกบางคน คนแรกของพวกเขาจะยังไม่ได้เข้า จนกว่าคน สุดท้ายของพวกเขาจะได้เข้า1,056 ใบหน้าของพวกเขาเหมือนดวงจันทร์ในคืนเพ็ญ

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

พวกที่จะเข้าสวรรค์โดยไม่มีการสอบสวน

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ประชาชาติต่าง ๆ ได้ ถูกนำมาเสนอแก่ฉัน นบีท่านหนึ่งจะผ่านมาพร้อมด้วยประชากรหนึ่ง นบีท่านหนึ่งจะผ่านมา พร้อมด้วยคนพวกหนึ่ง นบีท่านหนึ่งจะผ่านมาพร้อมด้วยคนสิบคน นบีท่านหนึ่งจะผ่านมาพร้อม ด้วยคนห้าคน และนบีท่านหนึ่งจะผ่านมาพร้อมด้วยคนเพียงคนเดียว1,057 ฉันได้มองไปก็พบ กลุ่มคนหมู่ใหญ่1,058 ฉันได้กล่าวว่า โอ้ ยิบรืล พวกนั้นคือประชากรของฉันใช่ไหม เขากล่าวว่า ไม่ใช่ แต่ท่านจงมองไปที่ขอบฟ้านั้น ฉันจึงมองไป ก็ได้พบกลุ่มชนหมู่ใหญ่ ยิบรีล กล่าวว่า พวกนั้นคือ ประชากรของท่าน และพวกเขาเจ็ดหมื่นคนที่นำหน้าอยู่ไม่ต้องถูกสอบสวน และไม่มีการลงโทษ ฉันได้กล่าวว่า ทำไม ยิบรีล กล่าวว่า พวกเขาไม่รักษา (โรค) ด้วยการ

ใช่เหล็กเผาไพนาบ, พวกเขาไม่ขอให้รักษา (อาการปวยไข้) ด้วยการเป่าคาถา, พวกเขาไม่เชื่อ [500] 

โชคลาง และพวกเขาจะมอบหมายกิจการทั้งปวงแก่พระผู้อภิบาลของพวกเขา ต่อมา อุกกาชะห์ บุตร มิฮ์ชอนได้ลุกขึ้นไปหาท่าน แล้วกล่าวว่า                                                        ได้โปรดวิงวอนต่ออัลเลาะห์ ให้ฉันเป็นคน

หนึ่งของพวกเขา ท่านได้กล่าวว่า         ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดให้เขาเป็นคนหนึ่งของพวกเขา

หลังจากนั้นได้มีชายอีกคนหนึ่งลุกขึ้นไปหาท่าน แล้วกล่าวว่า ได้โปรดวิงวอนต่ออัลเลาะห์ให้ ฉันเป็นคนหนึ่งของพวกเขา ท่านได้กล่าวว่า                                                         อุกกาชะห์ ได้คว้ามันไปก่อนท่านแล้ว 

รายงานโดยบุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ประชากรของมุฮัมมัด เป็นชาวสวรรค์มากที่สุด

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า                  พวกเราอยู่ร่วมกับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.

ในกระโจมหลังหนึ่งประมาณสี่สิบคน ท่านได้กล่าวว่า         พวกท่านจะยินดีไหม ที่พวกท่านจะ

เป็นเศษหนึ่งส่วนสี่ของชาวสวรรค์ ผู้เล่าได้กล่าวว่าพวกเราได้กล่าวว่า              ครับ ต่อมาท่านได้

กล่าวว่า     พวกท่านจะยินดีไหม ที่พวกท่านจะเป็นเศษหนึงส่วนสามของชาวสวรรค์ พวกเรา

กล่าวว่า ครับ ต่อมาท่านได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า แท้จริง ฉันหวังอย่างยิ่งว่า พวกท่านจะเป็นครึ่งหนึ่งของชาวสวรรค์ ทั้งนี้เพราะสวรรค์นั้น จะไม่ได้เข้าไปนอกจากชีวิตที่เป็นมุสลิม และพวกท่านไม่ได้อยู่ในพวกผู้ตั้งภาคี นอกจากมีสภาพ เหมือนเส้นขนสีขาวที่อยู่ในหนังวัวดำ หรือเหมือนเส้นขนสีดำในหนังวัวแตง1059

รายงานโดยบุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอิบนิ บุรอยดะห์ จากบิดาของเขา ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชาวสวรรค์มีหนึ่งร้อยยี่สิบแถว แปดสิบแถวจากจำนวนนั้น จากประชากรนี้ และ อีกสี่สิบแถวจากประชากรทั่วๆ ไป1060

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

อะไรคออาหารมอแรกของชาวสวรรค์และอะไรเ!เนเครองดมของพวกเขาหส์งอาหาร1,061

 เล่าจากเซาบาน ร.ฎ. ทาสของท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ฉันนังอยู่ที่ท่านนบี ซ.ล. ต่อมามีผู้รู้1คน,หนึ่งจากบรรดาผู้รู้,บองชาวยะฮูด ได้มาแล้วกล่าวว่า ขอความสันติจงมืแด่ท่าน โอ้มุฮัมมัด ฉันจึงผลักเขาอย่างแรง จนเขาเกือบล้มลงจากการผลักนั้น เขาได้กล่าวว่า ท่านผลักฉัน ทำไม ฉันกล่าวว่า ทำไมท่านจึงไม่พูดว่า โอ้ศาสนทูตของอัลเลาะห์ ยะฮูดีคนนั้นกล่าวว่า เราจะเรียกเขาด้วยชื่อที่ครอบครัวของเขาได้ตั้งชื่อให้เขา ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า [501]  แท้จริงชื่อของฉัน คือ มุฮัมมัด เป็นชื่อที่ครอบครัวของฉันได้ตั้งให้ฉัน ยะฮูดีคนนั้นได้กล่าวว่า                                              ฉันมาเพื่อถามท่าน ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขาว่า จะมีสิ่งใดเป็นประโยชน์แก่ท่านหรือ ถ้าหากฉันจะบอกให้ท่านฟัง เขาตอบว่า ฉันจะฟังด้วยสองหูของฉัน ท่านรอซู ลุ้ลเลาะห์ ซ.ล. ได้ให้ไม้ที่ท่านมีอยู่คุ้ยดินแล้วกล่าวว่าจงถามเถิด ยะฮูดีคนนั้นได้กล่าวว่า

มนุษย์จะอยู่ที่ไหนในวันที่แผ่นดินถูกเปลี่ยนเป็นแผ่นดินอื่น และฟ้ากิจะถูกเปลี่ยน ท่านรอซูลุล เลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกเขาอยู่ในความมืดบนสะพาน ยะฮูดีถามว่า ใครเป็นคนแรก ที่จะผ่านไป ท่านตอบว่า คนยากจนของพวกผู้อพยพ ยะฮูดีคนนั้นได้กล่าวว่า อะไรคือ ของขวัญของพวกเขา ขณะที่เข้าสวรรค์ ท่านตอบว่า ติ่งจากตับของปลาวาฬ เขาถามว่า อะไรคืออาหารของพวกเขา หลังจากนั้นท่านตอบว่า วัวสวรรค์จะถูกเชือดให้พวกเขา เป็นวัวที่เคย หากินอยู่รอบๆ สวรรค์ เขาถามว่า อะไรคือเครื่องดื่มของพวกเขา หลังจากนั้นท่านตอบว่า จากตาน้ำในสวรรค์ที่เรียกว่า ซัลซะบีล ยะฮูดีคนนั้นกล่าวว่า ท่านพูดถูก และฉันมาเพื่อถาม ท่านถึงสิ่งทีไม่มีใครที่เป็นชาวดินรู้ นอกจากนบี หรือผู้ชายคนหนึ่ง หรือผู้ชายสองคน (เท่านั้น ที่รู้) ท่านนบีได้กล่าวว่า มันจะเกิดประโยชน์กับท่านไหม ถ้าหากฉันบอกให้ท่านฟัง เขากล่าว ว่า          ฉันจะฟังด้วยหูทั้งสองของฉัน เขากล่าวว่าฉันมาเพื่อถามท่านถึงเรื่องเด็กผู้ชาย1,062 ท่านกล่าวว่า น้ำของผู้ชายสีขาว น้ำของผู้หญิงสีเหลือง เมื่อน้ำทั้งสองรวมกัน และอสุจิของ ผู้ชายอยู่เหนืออสุจิของผู้หญิง ทั้งสองนั้นก็จะกลายเป็นเพศชาย โดยอนุมัติของอัลเลาะห์ และ เมื่ออสุจิของผู้หญิงอยู่เหนืออสุจิของผู้ชาย ทั้งสองนั้นจะกลายเป็นเพศหญิง โดยอนุมัติของ อัลเลาะห์ ยะฮูดีคนนั้นได้กล่าวว่า แน่นอนท่านพูดถูก และท่านต้องเป็นนบีอย่างแน่นอน

หลังจากนั้นเขาได้หันกลับไป ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริงเขาได้ถามฉันถึงเรื่องนึ่ โดยที่ฉันไม่มีความรู้เลยสักอย่างเดียวจากเรื่องดังกล่าว จนกระทั่งอัลเลาะห์ได้นำมัน มาแจ้งแก่ฉัน 

รายงานโดย มุสลิม ในเรื่องการอาบน้ำ ในภาคความสะอาด

ชาวสวรรค์จะคงอยู่ในสวรรค์ตลอดกาล

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า      “ส่วนพวกทีมวาสนานั้น จะอยู่ในสวรรค์ ชั่วนิรันดร์

ตราบที่ฟัาและแผ่นดินยังคงอยู่ นอกจากผู้อภิบาลของท่านทรงประสงค์ให้เป็นของประทาน ที่ไม่ถูกตัดขาด” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อชาวสวรรค์ได้เข้าสวรรค์ และชาวนรกได้เข้าสู่นรก1[502] ความตายจะถูกนำมา จนได้มาอยู่ระหว่างสวรรค์กับนรก แล้ว มันจะถูกเชือด หลังจากนั้นจะมีผู้ประกาศทำการประกาศว่า โอ้ชาวสวรรค์ ไม่มีความตายอีกแล้ว โอ้ชาวนรกไม่มีความตายอีกแล้ว ชาวสวรรค์จะดีใจเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าความดีใจของพวกเขาที่มี แต่เดิม และชาวนรกก็จะเสียใจยิ่งขึ้นจากความเสียใจที่มีแต่เดิม 

รายงานโดยบุคอรีในเรื่องสิ่งต่างๆ ทีจะทำให้จิตใจอ่อนโยน และมุสลิมและติรมีสี และตัวบทของมุสลิมและดิรมีสีว่า เมื่อถึงวันกิยามะห์ ความตายจะถูกนำมาเหมือนแกะสีเทา มันจะถูกนำมายืนอยู่ระหว่างสวรรค์กับ นรก และมันก็จะถูกเชือด โดยพวกเขา (ชาวสวรรค์และชาวนรก) จะมองดู และถ้าหากจะมี ใครตาย เพราะความดีใจแล้ว แน่นอนผู้นั้นคือชาวสวรรค์ และถ้าหากจะมีใครตาย เพราะความ เสียใจแล้ว แน่นอนผู้นั้นคือ ชาวนรก และตัวบทของมุสลิมกับดิรมีสีว่า  เมื่ออัลเลาะห์ได้ให้

ชาวสวรรค์เข้าสวรรค์และให้ชาวนรกเข้านรกแล้ว ความตายจะถูกนำมา และมันจะถูกนำไปยืน อยู่บนกำแพง สี่งตั้งอยู่ระหว่างสวรรค์กับนรก หลังจากนั้นจะมีผู้กล่าวว่า โอ้ชาวสวรรค์ พวกเขา จะชะเง้อคอด้วยความหวาดกลัว หลังจากนั้นจะมีผู้กล่าวว่า โอ้ชาวนรก พวกเขาจะชะเง้อคอ ด้วยความยินดี มุ่งหวังความช่วยเหลือ จะมีผู้กล่าวแก่1ชาวสวรรค์ และชาวนรกว่า พวกท่านรู้จักสิ่งนี้ไหม พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเรารู้จักมัน โดยที่มันคือ ความตาย สี่งได้ถูกมอบหมายมาให้เรา มันจะถูกจับให้นอนลง และถูกเชือดอยู่บนกำแพง สี่งตั้งอยู่ระหว่างสวรรค์กับนรก หลังจากนั้นจะมีผู้กล่าวว่า โอ้ชาวสวรรค์ คงอยู่ตลอดไป โดยไม่มีความตายอีกต่อไป และโอ้ ชาวนรก คงอยู่ตลอดไป โดยไม่มีความตายอีกต่อไป หลังจากนั้นท่านได้อ่าน “และท่านจงเตือน พวกเขาเถิด (ให้ตระหนักถึง) วันแห่งเศร้าสลด เมื่อการงานได้ถูกตัดสิน โดยพวกเขาอยู่ใน ความหลงลืม โดยพวกเขาไม่ศรัทธา” และท่านได้ใช้มือชี้ไปยังโลกดุนยา

เล่าจากอะบี ฮุรอฺยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดเข้าสวรรค์ จะ ได้รับความสุข โดยไม่ลำบาก เสื้อผ้าของเขาจะไม่เก่า และความหนุ่มสาวของเขาจะไม่เสื่อมโทรม 

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะมีผู้ประกาศทำการประกาศในหมู่ชาวสวรรค์ว่า แท้จริงพวกท่านจะมีสุขภาพสมบูรณ์ และไม่เจ็บไข้ตลอดไป แท้จริงพวกท่านจะมีสีวิตอยู่ และไม่ตายตลอดไป แท้จริงพวกท่านจะอยู่ในวัยหนุ่มสาว และไม่ แก่ชราตลอดไป แท้จริงพวกท่านจะมีความสุข และจะไม่พบกับความเดือดร้อนตลอดไป และ นั่นแหละคือ คำดำรัสของอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรที่ว่า “และพวกเขาถูกร้องเรียกว่านั่นไง คือ สวรรค์ที่พวกเจ้าได้รับตกทอดมา ด้วยสาเหตุของสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้”1[503]

ราบงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม

เปีดม่านให้ชาวสวรรค์ พวกเขาจะได้เห็นพระผู้อภิบาลของพวกเขา ผู้ทรงยิ่งใหญ่ 1065

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “ในวันนั้นมีหลายดวงหน้าที่ชื่นบาน มองไปยังพระผู้อภิบาลของมัน

เล่าจากยะรีร บุตร อับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเรานั่งอยู่ที่ท่านนบี ซ.ล. ท่านได้มองดูดวงจันทร์ในคืนเพ็ญ แล้วกล่าวว่า ความจริงพวกท่านจะถูกนำเสนอต่อพระผู้อภิบาลของพวกท่าน และพวกท่านจะได้เห็นพระผู้อภิบาล เหมือนที่พวกท่านเห็นดวงจันทร์นี้ โดยพวกท่านจะไม่ลำบากเลยในการมองดูพระองค์ และถ้าแม้พวกท่านมีดวามสามารฺลที่จะไม่ ให้พวกท่านพ่ายแพ้ต่อละหมาดก่อนตะวันขึ้น และละหมาดก่อนตะวันตก ให้พวกท่านจงกระทำ เถิด หลังจากนั้นท่านได้อ่าน “และเจ้าจงถวายบริสุทธิ์ พร้อมด้วยสรรเสริญพระผู้อภิบาลของเจ้า ก่อนตะวันขึ้น และก่อนตะวันตก” 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร กอยส์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มีสองสวรรค์จากเงิน รวมทั้งภาชนะเครื่องใช้ของมันทั้งสอง และสิ่งที่มีอยู่ในมันทั้งสอง และมีสองสวรรค์ จากทองคำ รวมทั้งภาชนะเครื่องใช้,ของมันทั้งสองและสิ่งที่มีอยู่ในมันทั้งสอง และไม่มีอะไร ขวางกั้นระหว่างกลุ่มชนกับการที่เขาจะมองดูพระผู้อภิบาลของพวกเขา นอกจากผ้าคลุมแห่งความ ยิ่งใหญ่ที่อยู่บนพระพักตร์ของพระองค์ในสวรรค์อัดน์1066

รายงานโดยบุคอรี มุสลิม และติรมิซี 

เล่าจากศุฮัยบ์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้อ่าน อายะห็นี้ “สำหรับบรรดา ผู้ทำความดีนั้นจะได้ความดีตอบแทนและเกินกว่า” หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า เมือชาวสวรรค์ได้เข้าสวรรค์แล้ว อัลเลาะห์ผู้ทรงมงคลและสูงส่งจะตรัสว่า พวกท่านปรารถนาสิ่งใดบ้าง เราจะเพิ่มเติมให้พวกท่าน พวกเขาจะกล่าวว่า พระองค์ท่านไม่ได้ทำให้ใบหน้าของพวกเราผ่องใส

หรือ พระองค์ท่านไม่ได้ให้พวกเราเข้าสวรรค์หรือ และไม่ได้ให้พวกเราพ้นจากไพ่นรกหรือ ผู้เล่าได้กล่าวว่า และพระองค์จะเปิดม่านกั้นออก ดังนั้น ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาได้รับ จะเป็นสิ่งที่พวกเขาปรารถนายิ่งกว่าการมองดู พระผู้อภิบาลของพวกเขาผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร1,067

รายงานโดยมุสลิม และติรมิซี

อัลเลาะห์ทรงให้ความสงสารแก่ชาวสวรรค์ และให้ความยินดีแก่พวกเขา

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า        “อัลเลาะห์ทรงสัญญาแก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งชายและหญิง

ว่าจะได้สวรรค์ ซึ่งมีสายน้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างมัน โดยพวกเขาเป็นนิรันดร์อยู่ในนั้น และมีที่พำนักอันรื่นรมย์ในสวรรค์ อัดน์ และความพอใจของอัลเลาะห์นั้นยิ่งใหญ่ นั่นคือชัยชนะ อันใหญ่หลวง” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์จะตรัสแก่ชาวสวรรค์ว่า โอ้ชาวสวรรค์ พวกเขาจะตอบว่า ขอรับ ข้าแต่พระผู้ [504] อภิบาลของเรา และยินดีขอรับพระองค์ท่านความดีอยู่ในมือทั้งสองของพระองค์ท่าน พระองค์ จะตรัสว่า พวกท่านจะยินดีไหม พวกเขาจะกล่าวว่า ไม่สมควรที่พวกเราจะไม่ยินดี ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเรา ความจริงท่านได้ประทานให้เรา ด้วยสิ่งที่ท่านไม่เคยประทานให้แก่ผู้ใด[505] จากสรรพสิ่งที่พระองค์สร้างขื้นพระองค์จะตรัสว่า แล้วเราจะไม่ประทานสิ่งที่ดีกว่านั้นให้ แก่พวกท่านหรือ พวกเขาจะกล่าวว่า                                         ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา ยังมีสิ่งใดเล่าประเสริฐยิ่งกว่านั้น พระองค์จะตรัสว่า เราจะประทานความยินดีของเราให้เกิดแก่พวกเจ้า และเราก็จะไม่โกรธเคืองพวกเจ้าหลังจากนั้นอีกต่อไปเลย 

รานงานโดยบุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ไฟนรกประตูของมัน และลักษณะต่างๆ ของมัน

อัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ได้ตรัสว่า       “แท้จริงพวกผู้ตีสองหน้านั้น จะอยู่ในชั้นต่ำสุด

ของนรก และท่านจะไม่พบว่ามีผู้ช่วยสำหรับพวกเขา”

และอัลเลาะห์ได้ตรัสว่า “และความจริง ญะฮันนัมนั้น เป็นที่สัญญาของพวกเขาทั้งหมด มันมีเจ็ดประตู แต่ละประตู จะมีส่วนของพวกเขาที่แบ่งไว้แล้ว”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า       “และเราได้จัดเตรียมไว้ให้พวกเขาแล้ว เป็นการลงโทษ

ด้วยไฟนรก”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า            “(สิงที่เขาคิดนั้น) เป็นไปไม่ได้แท้จริงมันเป็นนรก

ที่ลุกโชน ซึ่งมันจะทำให้ผิวหนังร่วงหลุด มันจะเรียกหาผู้ที่หันหลังและหันเห และผู้ที่รวบรวม และกักตุน”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า            “เราจะให้เขาเข้าสู่นรก ชะก๊อร และอะไรทำให้

ท่านรู้ว่า อันใดคือนรก ซะก๊อร มันจะไม่ให้เหลืออยู่ และไม่ทิ้ง (สิ่งใดไว้) มันเผาไหม้ผิวหนังจน เกรียม มีมะลาอะกะห์สิบเก้าท่าน เฝ้ามัน”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “แท้จริงบรรดาคนดีนั้นย่อมได้อยู่ในบรมสุข และแท้จริงบรรดาคนชั่วนั้น ย่อมต้องได้อยู่ในนรกที่ลุกโชนที่พวกเขาต้องเข้าไปในนั้น ในวันตัดสิน” 

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “ส่วนผู้ที่ตาชั่งของเขาเบาแน่นอนที่พำนักของเขาคือ ขุมนรก ฮาวิยะห์ และอะไรบอกให้ท่านรู้ว่าอะไรคือ ฮาวิยะห์ มันเป็นไฟนรกอันร้อนแรง”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “หามิได้ ขอยืนยันแน่แท้พวกเขาจะถูกโยนลงไปใน อัลฮุตอมะห์ และอะไรบอกให้ท่านรู้ว่าอะไรคือ อัลฮุตอมะห์ มันคือไฟของอัลเลาะห์ที่ถูกจุด ไว้แล้ว ซึ่งมันจะแลบเข้าไปในหัวใจทั้งหลาย แท้จริงมันลูกปิดครอบไว้บนพวกเขา อยู่ในเสา อันยาวเหยียด”[506]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไฟของพวกท่านนี้

ซึ่งลูกหลานของอาดัมได้จุดขึ้น (ใช้กัน) เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากเจ็ดสิบส่วนของความร้อนของ นรกญะฮันนัม พวกเขาได้กล่าวว่า                                                      สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ความจริงมันก็เพียงพอแล้ว โอ้

ท่านรอซูลุลเลาะห์ท่านได้กล่าวว่า        ความจริงมัน (ไฟนรก) ได้ถูกทำให้เกินกว่ามัน (ไฟใน

ดุนยา) หกสิบเก้าส่วน แด่ละส่วนของมันร้อนเท่ากับไฟในดุนยา[507] 

รายงานโดยบุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไฟนรกได้ร้องเรียนต่อพระผู้อภิบาลของมันโดยได้กล่าวว่า ข้าแต่พระผู้อภิบาล บางส่วนของฉันได้กินกันเองแล้ว พระองค์จึงอนุมัติให้มันคลายลมหายใจได้สองครั้ง ลมหายใจครั้งหนึ่งในฤดูหนาว และ ลมหายใจอีกครั้งหนึ่งในฤดูร้อน และมันรุนแรงที่สุดที่พวกท่านจะได้พบจากความร้อน และรุนแรง ที่สุดที่พวกท่านจะได้พบจากความหนาว[508] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ตัวบทของมุสลิมและติรมีซีว่า นรกญะฮันนัมจะลูกนำมาในวันนั้น โดยมีโข้ล่ามเจ็ดสิบ เส้น แต่ละเส้นมีมะลาอิกะห์เจ็ดหมื่นลากฉุดมัน[509]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่า         พวกเราอยู่กับท่านนบี ซ.ล. ทันใด

นั้นท่านได้ยินเสียงเหมือนของหนักตกจากที่สูงท่านได้กล่าวว่า      พวกท่านทราบไหมว่านึ่คือเสียง

อะไร พวกเราได้กล่าวว่า         อัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์ทราบดี ท่านได้กล่าวว่า

นึ่คือ หินที่ถูกขว้างลงในไฟนรก ตั้งเจ็ดสิบปีมาแล้ว และมันก็จะดิ่งลงในไฟนรก จนถึงก้น ของมัน 

รายงานโดยมุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะมีต้นคอโผล่

ออกมาจากไฟนรก ในวันกิยามะห์ มันมีสองตาที่มองเห็น มีสองหูที่ไดียิน และมีลิ้นที่พูดได้ มันจะกล่าวว่า ข้าได้ถูกมอบหมายให้จัดการกับสามคน คือทุกจอมเผด็จการที่แข็งกร้าว ทุก

คนที่นำพระเจ้าอื่นมาสักการะร่วมกับสักการะอัลเลาะห์ และบรรดาผู้ที่ทำรูป[510]

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากก้อนหิน

เท่านี้ และท่านได้ทำท่าว่าเท่ากับกะโหลกศีรษะถูกส่งลงมาจากฟ้าถึงแผ่นดิน ซึ่งมีระยะเดิน ทางห้าร้อยปี มันจะต้องมาถึงแผ่นดินก่อนคืนนี้ และถ้าหากมันถูกส่งจากยอดโซ่ (ที่ล่ามนรก) มันจะเดินทางไปเป็นเวลาสี่สิบปีทั้งกลางคืนและกลางวันก่อนที่มันจะถึงโคนของมันหรือก้น ของมัน (นรก)

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไฟนรกได้ถูกจุดเป็น

เวลาหนึ่งพันปีจนเป็นสีแดง หลังจากนั้นมันถูกจุดเป็นเวลาหนึ่งพันปี จนกลายเป็นสีขาว หลัง จากนั้นมันได้ถูกจุดอยู่อีกหนึ่งพันปี จนกลายเป็นสีดำ และมันก็เป็นสีดำที่มีดมิด

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า              อาคารของนรกนั้น มีกำแพง

สี่ชั้น แต่ละชั้นระยะห่างกันเป็นระยะเดินทางสี่สิบปี

และเล่าจากเขา (อะบี สะอีด) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                 ซออูด เป็นภูเขาลูก

หนึง จากไฟนรก คนกาฟิรจะขึ้นไปใช่เวลาเจ็ดสิบปี และลงใช่เวลาเท่ากัน อยู่ในนั้นตลอดไป 

จาก อุดบะห์ บุตร ฆอซวาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าววา                              ความจริง

หินใหญ่จะลูกโยนลงไปจากปากนรกญะฮันนัม และมันจะหล่นลงไปในนั้นเป็นเวลาเจ็ดสิบปี โดย ยังไม่ถึงกันของมัน เขาได้กล่าวว่า และอุมัรเคยกล่าวว่า                                                      พวกท่านจงระลึกถึงไฟนรกให้มาก.

เถิด เพราะมันร้อนจัด ก้นมันลึก และความจริงตาขอของมันเป็นเหล็ก

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                    ฉันไม่เคยเห็นเช่น

ไฟนรกที่ผู้หนีมันหลับไหล และไม่ (เคยเห็น) เห็น สวรรค์ ที่ผู้แสวงหามันหลับไหล[511] 

รายงานทั้งเจ็ดหะดีษนี้โดยติรมิซี

สักษณะของชาวนรก

อัลเลาะห์ตาอาลาตรัสว่า          “แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธบรรดาอายะห์ต่างๆ ของเรา ต่อไป

เราจะให้พวกเขาเข้าสูไฟนรก ทุกครั้งที่ผิวหนังของพวกเขาไหม้เกรียม เราจะเปลี่ยนผิวหนังอื่น จากเดิมให้พวกเขาใหม่ เพื่อพวกเขาจะได้ลิ้มรสการลงโทษ แท้จริงอัลเลาะห์ทรงอำนาจยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง”

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ระหว่างไหล่ทั้งสอง ข้างของผู้ใร้ศรัทธาในนรกนั้นมีระยะทางสามวัน สำหรับผู้ข้บขี่พาหนะที่รวดเร็ว 

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                     ฟัน หรือเขี้ยว

ของผู้ใร้ศรัทธานั้น เท่ากับภูเขาอุฮุด และความหนาของผิวเท่ากับระยะเดินทางสาม (วัน) 

รายงาน โดยมุสลิม และติรมิซี 

และตัวบทของติรมิซี และตัวบทของติรมีห่ว่า                          แท้จริงความหนาของผิวหนัง

ของผู้ไร้ศรัทธานั้น สี่สิบสองศอก[512] และแท้จริงฟันของเขาเท่ากับภูเขาอุฮุด และแท้จริงที่ นั่งของเขา จากขุมนรกญะฮันนัม เหมือนระยะระหว่างมักกะห์กับมะดีนะห์[513]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า           ฟันของผู้ใรัศรัทธา

ในวันกิยามะห์ เท่ากับภูเขาอุฮุด และขาอ่อนของเขาเท่ากับ บัยดออ์[514] และที่นั่งของเขาจาก ไฟนรกเป็นระยะเดินทางสามวัน เท่ากับรอบะซะห์[515]

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                 แท้จริงผู้ไร้ศรัทธานั้น ลิ้น

ของเขาจะต้องถูกลากออกมา หนึ่งฟัรรัค และสองฟัรซัค ที่ผู้คนจะพากันเหยียบมัน[516]

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                     ไฟจะทำใหใบหน้าของ

พวกเขาไหม้เกรียม พวกเขาอยู่ในนั้นอย่างหม่นหมอง ท่านได้กล่าวว่า         ไฟจะย่างเขา และริม

ฝีเปากบนของเขาก็จะถลกขึ้นไปจนถึงกลางหัวของเขา และริมสืปากล่างของเขาก็จะห้อยลงมา จนตีสะดือของเขา 

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โคยติรมิซี

เครื่องดื่มของชาวนรกและอาหารของพวกเขา

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                   แท้จริงน้ำที่ร้อนจัด

จะถูกรดลงบนศีรษะของพวกเขา และมันก็จะทะลุผ่านไปจนถึงในท้องของเขา และมันก็จะทำ ให้สิ่งที่อยู่ในท้องขาดกระจุย จนทะลุลงมาอยู่ที่เท้าสองข้างของเขา และมันก็คือ “การละลาย” หลังจากนั้นมันก็จะถูกนำกลับไปอย่างเดิม[517]

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้อ่านอายะห์นี้ “พวก ท่านจงยำเกรงอัลเลาะห์อย่างเหมาะสมที่จะยำเกรงพระองค์เถิด และท่านทั้งหลายอย่าตาย นอกจาก พวกท่านเป็นผู้ยอมจำนน” หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า ถ้าหยอดหนึ่งจากด้นซักภูม หยดลง

ในโลกดุนยา มันจะต้องทำความพินาศแก่ชาวโลกในด้านการดำรงชีพของพวกเขา แล้วจะเป็น อย่างไรบุคคลที่ด้นซักกูมเป็นอาหารของเขา[518]

เล่าจากอะบี อุมามะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวในคำดำรัสของพระองค์ว่า “และเขาจะถูกบังคับให้ดื่มนํ้าหนอง ซึ่งเขาจะฝืนกลืนมัน แด่เขาก็เกือบจะกลืนมันไม่เข้า” ท่านได้

กล่าวว่า     มันจะถูกนำเข้าไปใกล้ปากของเขา และเขาก็ขยะแขยงมัน และเมื่อมันได้ถูกนำมาอยู่

ใกล้ใบหน้าของเขา มันจะลวกใบหน้าของเขา และหนังหัวของเขาจะหลุดออก และเมื่อเขาดื่ม มัน มันจะทำให้ไส้ของเขาขาดเป็นท่อนๆ จนไหลออกทางทวารหนักของเขา อัลเลาะห์จะตรัสว่า “และพวกเขาจะถูกบังคับให้ดื่มนํ้าร้อนจัด และมันก็จะทำให้ลำไล้ของพวกเขาขาดเป็นท่อนๆ”[519] และพระองค์จะตรัสว่า “และถ้าหากพวกเขาขอความช่วยเหลือ พวกเขาก็จะได้รับความช่วยเหลือ ด้วยนํ้าเหมือนขี้ตะกอนนํ้ามัน ที่มันจะลวกใบหน้าเหล่านั้น มันเป็นเครื่องดื่มที่เลวร้ายยิ่ง”

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า “ประหนึ่ง มุห์ลิ” คือ

ประหนึ่งขี้ตะกอนน้ำมัน และเมื่อมันถูกนำเข้ามาใกล้เขา หนังจากใบหน้าของเขาก็จะหลุดตก ลงไป และถ้าแม้นว่า กระป๋องหนึ่งจากนํ้าหนอง (ของชาวนรก) ถูกเทลงในโลกดุนยามันจะ ทำให้ชาวโลกต้องเหมืนเน่า 

รายงานหะดีษทั้งสี่โดยติรมิซี

ความตื่นตกใจของชาวนรก และการขอความช่วยเหลือของพวกเขา

เล่าจากอะบี ดัรดาอฺ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า                  ความหิว

จะถูกโยนลงไปให้เกิดกับชาวนรก และมันจะเท่ากับสิ่งที่พวกเขากำลังประสบอยู่จากการลงโทษ ชาวนรกจะขอความช่วยเหลือ และพวกเขาก็จะถูกช่วย ด้วยอาหารจากด้นดอเรียะอฺ ซึ่งจะไม่ ทำให้อ้วนขึ้น และไม่ทำให้หายหิว[520] พวกเขาก็จะขอความช่วยเหลือด้วยอาหาร พวกเขาก็จะ ถูกช่วยด้วยอาหารที่ทำให้ติดคอ และพวกเขาก็จะนึกขี้นได้ว่า พวกเขาเคยทำให้อาหารที่ติดคอ หลุดลงไปได้ในขณะที่อยู่ในโลกดุนยา ด้วยเครื่องดื่ม[521] พวกเขาจึงขอความช่วยเหลือด้วยเครื่องดื่ม นํ้าที่ร้อนจัดจะถูกยกไปให้พวกเขาด้วยตาขอเหล็ก และเมื่อมันเข้าใกล้ใบหน้าของพวกเขา มันจะทำให้ใบหน้าของพวกเขาไหม้เกรียม และเมื่อมันตกถึงท้องของพวกเขา มันก็จะทำให้สิ่ง ที่อยู่ในท้องของพวกเขาขาดเป็นท่อนๆ พวกเขาจะกล่าวว่า จงเรียกเจ้าหน้าที่ดูแลนรกญะฮันนัมมา[522] ต่อมาพวกเขา (เจ้าหน้าที่ดูแลนรก) จะกล่าวว่า ศาสนฑูตของพวกท่านไม่เคยมาหาพวกท่านพร้อมด้วยหลักฐานต่างๆ หรือ พวกนั้นตอบว่า หามิได้ พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเจ้าจงวิงวอนขอไปเถิด ไม่มีคำวิงวอนของพวกผู้ไร้ศรัทธานอกจากอยู่ในความหลงผิด[523] ผู้เล่าได้กล่าวว่า ต่อมาพวกเขาจะกล่าวว่า จงเรียกมาลิกมา พวกเขาจะกล่าวว่า มาลิกจะตอบพวกเขาว่า แท้จริงพวกเจ้าเป็นพวกที่ต้องพำนักอยู่[524] ผู้เล่าได้กล่าวว่า พวกเขาจะกล่าวว่า จงเรียกพระผู้อภิบาล ของพวกท่านมา ไม่มีใครดีกว่าพระผู้อภิบาลของพวกท่าน พวกเขาจะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเรา ความเลวทรามของเราสามารกข่มพวกเราได้ และพวกเราเป็นพวกที่หลงผิด ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา ได้โปรดให้พวกเราออกไปจากมัน (นรก) เถิด และถ้าหากพวกเรา ได้กลับมาอีกแน่นอนพวกเราเป็นผู้ที่ทุจริต ผู้เล่าได้กล่าวว่า มาลิกจะตอบพวกเขาว่า จงไปให้ไกลในขุมนรก และพวกเจ้าอย่ามาเจรจากับข้าผู้เล่าได้กล่าวว่า และในขณะนั้นพวกเขาก็จะหมดหวังจากทุกๆ ความดีและในขณะนั้น พวกเขาก็จะถอนหายใจ เศร้าสลด และพินาศ 

รายงานโดยติรมิซี

ชาวนรกที่มีโทษเบาที่สุด

เล่าจากนัวะอฺมาน บุตร บะชีร ร.ฎ. ว่าแท้จริงเขาได้กล่าวขณะกล่าวสุนทรพจน์ว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า                                                                  แท้จริง ชาวนรกที่มีโทษเบาที่สุด ในวันกิยามะห์

คือชายคนหนึงที่ถ่านไฟสองก้อนจะถูกวางลงในอุ้งเท้าทั้งสองข้างของเขา ซึ่งสมองจะเดือด เนื่อง จากถ่านไฟทั้งสองนั้น 

รายงานโดยบุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (นัวะอฺมาน) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                 ชาวนรกที่มีโทษเบาที่

สุด คือคนทีมีรองเท้าแตะสองข้างและสายรัดสองเส้นจากไฟนรก ซึ่งสมองจะเดือดเนื่องจาก มันทั้งสองเหมือนที่กาต้มนํ้าเดือด ยิ่งเขาจะไม่เห็นว่ามีใครถูกลงโทษหนักยิ่งกว่าเขา ทั้งที่เขา ถูกลงโทษเบาที่สุดในหมู่พวกเขา

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชาวนรก ที่มีโทษเบาที่สุดคือ อะบู ตอลิบโดยเขาได้สวมรองเท้าสองข้าง ซึ่งสมองของเขาจะเดือด เนื่อง จากมันทั้งสองข้าง[525] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม และอิหม่ามอะห์มัด

อัลเลาะห์ทรงเจรจากับชาวนรกบางคน[526]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห็ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงมีชายสองคน จากบุคคลที่เข้านรก เสียงหวีดร้องของคนทั้งสองดังมาก พระผู้อภิบาลผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ได้ตรัสว่า            พวกเจ้า (มะลาอิกะห์) จงนำคนทั้งสองออกมา เมื่อคนทั้งสองถูกนำตัวออกมาพระองค์ได้ตรัสแก่คนทั้งสองว่า เพราะเหตุใดเสียงหวีดร้องของเจ้าทั้งสองจึงตังมาก เขาทั้งสองกล่าวว่า เราได้กระทำดังกล่าวเพื่อพระองค์จะเมตตาเรา พระองค์ได้ตรัสว่า ความจริงความเมตตาของเราแก่เจ้าทั้งสองก็คือให้เจ้าทั้งสองไป และให้เจ้าทั้งสองโยนตัวเองลงไปในที่ๆ เจ้า ทั้งสองจะอยู่ในไฟนรก เขาทั้งสองจึงไปคนหนึ่งจากในสองจะโยนตัวเองลงไป พระองค์จะให้ เขาพบกับความเย็นและปลอดภัย อีกคนหนึ่งลุกขึ้นยืน แต่ไม่โยนตัวเอง พระผู้อภิบาลผู้ยิ่งใหญ่ และเกรียงไกรจะกล่าวแก่เขาว่าอะไรทำให้เจ้าไม่โยนตัวเองเหมือนที่เพื่อนของเจ้าได้โยน (ตัวเอง) เขาจะกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้อภิบาล ความจริงข้าพเจ้าหวังว่า พระองค์ท่านจะไม่ส่งข้าพเจ้ากลับเข้าไปในนรกอีก ภายหลังจากพระองค์ท่านได้ให้ข้าพเจ้าออกมาแล้วพระผู้อภิบาลจะตรัส แก่เขาว่า                เจ้าจะได้ตามที่เจ้าหวัง และบุคคลทั้งสองก็จะได้เข้าสวรรค์พร้อมกัน ด้วยความเมตตาของอัลเลาะห์ตาอาลา[527] 

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ตออีฟ

ตัวบทร่วมทั้งสวรรค์และนรก[528]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า             สวรรค์

กับนรกโต้หลักฐานกัน นรกกล่าวว่า ฉันโปรดปรานเฉพาะพวกที่แสดงความยิ่งใหญ่และพวก ที่กดขี่ และสวรรค์ก็ได้กล่าวว่า ไม่สมควรที่จะมีใครเข้ามาสู่ฉัน นอกจากมนุษย์ที่อ่อนแอ

มนุษย์ที่ตํ่าต้อย และมนุษย์ที่เผลอไผล [529] อัลเลาะห์ได้ตรัสแก่สวรรค์ว่า                 แท้ที่จริงเจ้าคือ

ความเมตตาของเรา ที่เราจะใช้เจ้าเป็นความเมตตาแก่ผู้ที่เราประสงค์จากบรรดาบ่าวของเรา และ พระองค์ได้กล่าวแก่ไฟนรกว่า                                                 แท้ที่จริงเจ้าคือ การลงโทษของเรา เราจะใช่เจ้าลงโทษผู้ที่

เราประสงค์จากบรรดาบ่าวของเรา และแต่ละแห่งจากเจ้าทั้งสองจะต้องเต็ม[530] สำหรับไฟ นรกนั้น จะยังไม่เต็ม จนกว่าอัลเลาะห์ผู้ทรงมงคลและสูงส่ง จะวางเท้าของพระองค์ลง (บน มัน) มันจะกล่าวว่า ก๊อตต์ ก๊อตต[531]  และ ณ บัดนั้นมันก็จะเต็ม และส่วนหนึ่งของมันจะถูกรวบเข้ากับอีกบางส่วน โดยอัลเลาะห์จะไม่ทุจริตผู้ใดจากสรรพสิ่งที่พระองค์ได้สร้างขึ้น ส่วนสวรรค์นั้น แท้จริงอัลเลาะห์จะสร้าง ผู้คนขึ้นมาเพื่อสวรรค์อีก 

รายงานโดยบุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า นรกญะฮันนัมจะยังคงถูกโยนใสเข้าไป มันจะกล่าวว่ามืเพิ่มอีกไหม จนกว่าพระผู้ทรงอำนาจจะวางเท้าของพระองค์ลงใน นรก บางส่วนกับอีกบางส่วนของมันลูกรวบเข้าด้วยกัน และมันจะกล่าวว่า ก๊อตต์ ก๊อตต์ โดยอำนาจของพระองค์ท่านและเกียรติของพระองค์ท่าน และจะยังคงมีสลานที่เหลืออยู่ในสวรรค์ จนกว่าอัลเลาะห์จะสร้างผู้คนขื้นเพื่อมันและพระองค์จะให้พวกเขาได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ของสวรรค์ ส่วนที่เหลือ1096 

รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนหนึ่งคนใดจะยังไม่ได้เข้าสวรรค์ นอกจากที่พำนักของเขาในนรกจะถูกนำมาให้เขาได้เห็น ถ้าหากเขาทำความชั่ว เพื่อเขาจะมีสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเพิ่มมากขื้น และคนหนึ่งคนใดจะยังไม่ได้เข้านรก นอกจากที่พำนักของเขาในสวรรค์จะถูกนำมาให้เขาเห็น ถ้าหากเขาทำความดี เพื่อมันจะทำให้ เขาเสียใจ[532]  

รายงานโดยบุคอรี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะฮ์)ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่ออัลเลาะห์ ได้สร้างสวรรค์และนรกแล้ว พระองค์ได้ส่งยิบรีลไปยังสวรรค์แล้วกล่าวว่า เจ้าจงมองดูมัน และ

มองดูสิ่งที่เราได้จัดเตรียมไว้ให้แก่ชาวสวรรค์ ในสวรรค์นั้น ยิบรีลได้ไปและมองดูมัน และ มองดูสิ่งที่อัลเลาะห์ได้เตรียมไว้ให้ชาวสวรรค์ ผู้เล่าได้กล่าวว่า                                                           ต่อมายิบรีลก็กลับไปหาอัลเลาะห์

แล้วกล่าวว่า      ขอสาบานต่ออำนาจของพระองค์ท่านว่า ไม่มีใครที่ได้ยินข่าวของมัน นอกจาก

เขาจะต้องพยายามเข้าไปในมัน และต่อมาพระองค์ได้มีคำสั่งไปที่มัน มันจึงลูกล้อมไว้ด้วยสิ่งต่างๆ ที่ต้องฝืนใจกระทำ ต่อมาอัลเลาะห์ได้ตรัสว่า                                                            (โอ้ยิบรีล) เจ้าจงกลับไปที่มัน และ

มองดูสิ่งที่เราได้จัดเตรียมไว้ให้แก่ชาวสวรรค์ในสวรรค์นั้น ผู้เล่าได้กล่าวว่า             ต่อมายิบรีลได้

กลับไปที่มัน และทันใดก็ได้พบว่ามันลูกห้อมล้อมไว้ด้วยสิ่งต่างๆ ทีต้องฝืนใจกระทำ[533] ยิบรีล ได้กลับไปหาพระองค์ แล้วกล่าวว่า                                                          สาบานต่ออำนาจของพระองค์ท่าน ฉันกลัวว่าจะไม่มี

ใครสักคนได้เข้ามันเลย[534] พระองค์ได้ตรัสว่า           เจ้าจงไปที่ไฟนรก เและมองดูมัน และมองดู

สิ่งที่เราได้จัดเตรียมไว้ให้ชาวนรกในนรกนั้น ยิบรีลได้ไปและทันใดก็ได้พบว่า บางส่วนของมัน กับอีกบางส่วนเกยกัน[535] เขาจึงกลับไปหาพระองค์แล้วกล่าวว่า                                                   สาบานต่ออำนาจของพระองค์

ท่าน ไม่มีใครที่ได้ยินเรื่องของมัน ที่จะอยากเข้ามัน[536] ต่อมาพระองค์ได้มีคำสั่งไปที่มัน มัน

จึงถูกห้อมล้อมไว้ด้วย สิ่งต่างๆ ที่เย้ายวนอารมณ์[537] พระองค์ได้ตรัสว่า                 เจ้าจงกลับไปหา

มันญิบรีลได้กลับไปหามัน ได้มองดูมันแล้วกล่าวว่า        สาบานต่ออำนาจของพระองค์ท่าน ฉัน

กลัวว่าจะไม่มีใครรอดพ้นมันไปได้ นอกเสียจากจะต้องเข้าไปในมัน[538] 

รายงานโดยติรมิซี และ เพื่อนทั้งสองของเขา ด้วยสายรายงานที่ซอเหียะห์

วาระสุดท้าย เราฃอต่ออัลเลาะห์ให้ได้ความดีของมัน

บุคคลสุดท้ายที่ออกจากนรกและได้เข้าสวรรค์[539]

เล่าจากอับดิ้ลลาห็ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริงฉันรู้คนสุดของชาวนรกที่ออกมาจากนรก และรู้คนสุดท้ายของชาวสวรรค์ที่ได้เข้าสวรรค์ คือชายคนหนึ่งจะออกจากนรก โดยคลานออกมา อัลเลาะห์ผู้ทรงมงคลและสูงส่งจะตรัสแก่เขา ว่า เจ้าจงไปเข้าสวรรค์ เขาจะมาที่สวรรค์ แต่เกิดมโนภาพแก่เขาว่า มันเต็ม เขาจึงกลับไป

และกล่าวว่า      ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันพบว่ามันเต็มเสียแล้ว อัลเลาะห์ผู้ทรงมงคลและ

สูงส่งจะตรัสแก่เขาว่า     เจ้าจงไปเข้าสวรรค์ ความจริงเจ้าจะได้เท่ากับโลกดุนยาและอีกสิบเท่า

ของมัน หรือ ความจริงเจ้าจะได้สิบเท่าของโลกดุนยา เขาจะกล่าวว่า           ท่านล้อเล่นกับฉันหรือ 

หรือท่านให้ฉันเป็นตัวตลก โดยที่ท่านมีอำนาจเต็ดขาด ผู้เล่าได้กล่าวว่า           ความจริงฉันได้เห็น

ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. หัวเราะจนเห็นฟันของท่าน[540] ผู้เล่าได้กล่าวว่า                    และบุคคลนั้น

แหละที่เคยถูกกล่าวว่าเป็นชาวสวรรค์ที่มีตำแหน่งตำที่สุด

รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม

และเล่าจากเขา (อับดิ้ลลาห์) ว่าแท้จริงท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริงฉันรู้ชาวนรกคนสุดท้ายที่ออกจากนรกคือ ชายคนหนึ่งที่จะออกจากนรก โดยคลานออก จะ มีผู้กล่าวแก่เขาว่าเจ้าจงไปเข้าสวรรค์เถิด เขาก็จะไปเข้าสวรรค์ แต่พบว่ามนุษย์ทั้งหลายได้จับจองเอาที่พำนักต่างๆ กันไว้แล้ว ก็จะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า เจ้าจำยุคที่เจ้าเคยอยู่ในยุคนั้นได้ไหม[541] เขาจะตอบว่า จำได้ จะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า เจ้าจงขอตามต้องการเถิด เขาก็จะขอ จะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า เจ้าจะได้สิ่งที่เจ้าขอ และอีกสิบเท่าของดุนยาท่านนบีได้กล่าวว่า ชายผู้นั้นจะกล่าวว่า ท่านจะล้อเล่นกับฉันหรือ ทั้งที่ท่านเป็นผู้ทรงอำนาจเด็ดขาด ผู้เล่าได้กล่าวว่า ความจริงฉันเห็นท่านนบี ซ.ล. หัวเราะจนเห็นฟันของท่าน

เล่าจากอะบี ซัรร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริงฉันรู้ คนสุดท้ายของชาวสวรรค์ที่จะได้เข้าสวรรค์ และคนสุดท้ายของชาวนรกที่จะได้ออกจากนรก คือชายคน หนึ่งที่จะถูกนำมาในวันกิยามะห์ จะมีผู้กล่ารว่า พวกเจ้า (มะลาอิกะห์) จงนำเอาบาปเล็ก ๆ ของเขามาแสดงให้เขาดู และพวกเจ้าจงยกเอาบาปใหญ่ออกไปให้พ้นเขา ดังนั้นบาปเล็กๆ ของเขา จึงได้ลูกนำมาแสดงให้เขาดู จะมีผู้กล่าวว่า ในวันนั้น วันนั้นเจ้าได้กระทำอย่างนั้นอย่างนั้น1107 และในวันนั้นวันนั้นเจ้าได้กระทำอย่างนั้นอย่างนั้น เขาจะตอบว่า ถูกแล้วครับเขาไม่สามารถปฏิเสธได้เลย โดยที่เขาจะมีใจจดจ่ออยู่กับบาปใหญ่ของเขาที่จะถูกนำมาแสดงแก่เขา และจะมี ผู้กล่าวแก่เขาว่า                                                                ความจริงเจ้าจะได้รับผลตอบแทนทุกๆ ความชั่ว หนึ่งความดี1108 เขาจะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน ความจริงฉันได้กระทำอีกหลายอย่าง ซึ่งฉันไม่เห็นมันในที่นี้1109 และความจริงฉันได้เห็นท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. หัวเราะจนเห็นฟันของท่าน 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร มัสอูด ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าว ว่า บุคคลสุดท้ายที่จะได้เข้าสวรรค์ คือชายคนหนึ่งเขาจะเดินเป็นบางครั้ง ควํ่าหน้าเป็นบางครั้ง และไฟลามเลียเขาเป็นบางครั้ง และเมื่อเขาพ้นมันไปได้ เขาจะหันไปมองมันแล้วกล่าว ว่า ทรงมีมงคล ผู้ซึ่งช่วยให้ข้าพ้นมาจากเจ้า แท้จริงอัลเลาะห์ได้มอบสิ่งหนึ่งแก่ฉัน ซึ่งพระองค์ ไม่เคยมอบมันให้ใครเลยทั้งในรุ่นก่อนและรุ่นหลัง ต้นไม้จะถูกยกมาให้เขาด้นหนึ่ง เขาจะกล่าว ว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน ได้โปรดขยับฉันให้เข้าใกล้ต้นไม้นี้ เพื่อฉันจะได้อาศัยร่มของ มัน และฉันจะได้ดื่มน้ำของมัน อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร จะกล่าวว่า โอ้ลูกหลานของอาดัม อาจเป็นได้ว่า ถ้าหากข้าให้มันแก่เจ้า เจ้าก็จะขออื่นจากมันต่อเราอีก เขาจะกล่าว ว่า ไม่หรอกข้าแด่พระผู้อภิบาล และเขาก็จะให้สัญญาแก่พระองค์ว่าจะไม่ขอสิ่งอื่นต่อพระองค์อีก โดยพระผู้อภิบาลของเขาพร้อมรับคำแก้ตัวของเขา เพราะเห็นว่าเขาจะไม่สามารกอดทน ต่อมันได้1110 พระองค์จะขยับเขาเข้ามาใกล้ไม้นั้น และเขาก็ได้อาศัยร่มเงาของมัน และดื่มน้ำ จากมัน หลังจากนั้นต้นไม้ (อีกตันหนึ่ง) ที่สวยงามกว่าด้นแรกถูกยกมาให้เขา เขาจะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาล ได้โปรดให้ฉันขยับเข้าไปใกล้ต้นไม้นี้เถิด เพื่อฉันจะได้ดื่มน้ำจากมัน และ อาศัยร่มเงาของมัน โดยฉันจะไม่ขออื่นจากมันต่อท่านอีก พระองค์จะตรัสว่า    โอ้ลูกหลานของอาดัม เจ้าไม่ได้ให้สัญญากับเราไว้หรือว่าจะไม่ขออื่นจากมันต่อเราอีก อาจเป็นได้ว่า ถ้า หากเราให้เจ้าเข้าใกล้มัน            เจ้าก็จะขออื่นจากมันต่อเราอีก หลังจากนั้นเขาจะให้สัญญากับพระองค์

ว่า จะไม่ขออื่นจากมันต่อพระองค์อีกโดยพระผู้อภิบาลของเขาจะรับฟังข้อแก้ตัวของเขา เพราะแท้จริงเขาเห็นสิ่งที่เขาไม่อาจอดทนต่อมันได้ พระองค์จึงให้เขาได้เข้าใกล้มัน และเขาได้อาศัย ร่มเงาของมันและได้ดื่มนํ้าจากมัน หลังจากนั้นต้นไม้อีกด้นหนึ่งจะถูกยกมาให้เขาอยู่ใกล้กับประตู สวรรค์ ซึ่งมันสวยกว่าสองด้นแรก เขาจะกล่าวว่า    ข้าแด่พระผู้อภิบาล ได้โปรดขยับฉันให้ได้เข้าใกล้ต้นไม้นี้ เพื่อฉันจะได้อาศัยร่มเงาของมัน และดื่มน้ำจากมัน ฉันจะไม่ขอท่านอื่นจาก มันอีก พระองค์จะตรัสว่า       โอ้ลูกหลานของอาดัม เจ้าไม่ได้โห้สัญญาไว้กับเราหรือว่าเจ้าจะไม่ขอเราอื่นจากมันอีก เขากล่าวว่า    หามิได้ ข้าแด่พระผู้อภิบาล ต้นนี้ข้าพเจ้าจะไม่ขอท่านอื่นจากมันอีก โดยพระผู้อภิบาลของเขาจะรับฟังข้อแก้ตัวของเขา เพราะความจริงเขาเห็นสิ่งที่ เขาไม่อาจอดทนต่อมันได้ พระองค์จะได้เขาได้เข้าใกล้มัน และเมื่อพระองค์ไดให้เขาเข้าใกล้ มัน เขาจะได้ยินเสียงชาวสวรรค์ เขาจะกล่าวว่าข้าแต่พระผู้อภิบาล ได้โปรดให้ฉันเข้าไปในสวรรค์เถิด พระองค์จะตรัสว่า โอ้ลูกหลานของอาดัม อะไรที่จะทำให้เจ้าเลิกขอเรา[542] เจ้าจะพอใจไหมที่เราจะมอบดุนยาให้เจ้า และอีกเท่าหนึ่งของมันพร้อมกัน เขาได้กล่าวว่า ข้า แด่พระผู้อภิบาล ท่านล้อเล่นฉันหรือ ทั้งที่ท่านเป็นผู้อภิบาลสากลโลก[543] อิบนุมัสอูด หัวเราะ แล้วกล่าวว่า      พวกท่านจะไม่ถามฉันหรือว่า ทำไมฉันจึงหัวเราะ พวกเขาจึงได้ถามเขา เขากล่าวว่า    อย่างนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. หัวเราะ พวกเขา (อัครสาวก) ได้ถามว่า   ท่านหัวเราะทำไม โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านตอบว่า       เนื่องจากการหัวเราะของผู้อภิบาลสากลโลกขณะที่ชายคนนั้นได้กล่าวว่า          ท่านล้อเล่นฉันหรือทั้งที่ท่านเป็นผู้อภิบาลสากลโลก พระองค์จะกล่าวว่า        ความจริงเราไม่ได้ล้อเล่นเจ้าหรอก แด่เรามีความสามารกเหนือสิ่งที่เราประสงค์[544]

รายงานโดยมุสลิม

ชาวสวรรค์ที่มีตำแหน่งต่ำที่สุด และที่มีเกียรติที่สุด ณ อัลเลาะห์ตาอาลา

เล่าจาก ชะอฺบีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินมุฆีเราะห์บุตร ชัวะอุบะห์ ขณะอยู่บนมิมบัร กล่าวว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า                                                มูซาได้ถามพระผู้อภิบาลของเขาว่า ใครคือชาวสวรรค์ที่มีตำแหน่งตํ่าที่สุด พระองค์ตอบว่า                                                คือชายคนหนึ่งที่จะมา

หลังจาก ชาวสวรรค์ถูกนำเข้าสวรรค์แล้ว จะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า            เจ้าจงเข้าสวรรค์เขาจะกล่าว

ว่า     ข้าแต่พระผู้อภิบาล อย่างไรเล่า โดยที่มนุษย์ทั้งหลายได้เข้าพำนักในที่พำนักของพวกเขา

แล้ว และได้สิ่งที่พวกเขาได้แล้วจะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า       เจ้าจะยินดีไหม ที่เจ้าจะได้เท่ากับอำนาจ

ปกครองของกษัตริย์องค์หนึ่งจากบรรดากษัตริย์ในโลกตุนยา[545] เขาจะกล่าวว่า           ฉันพอใจแล้ว

ข้าแด่พระผู้อภิบาล พระองค์จะตรัสว่า           เจ้าจะได้ตามนั้น และอีกเท่าหนึ่งของมัน และอีก

เท่าหนึ่งของมัน และอีกเท่าหนึ่งของมัน และอีกเท่าหนึ่งของมัน และเขาได้กล่าวในครั้งที่ห้า ว่า   ฉันพอใจแด้วข้าแด่พระผู้อภิบาล พระองค์จะตรัสว่า นึ่เป็นของเจ้าและอีกสิบเท่าของมัน[546] และเจ้าจะได้สิ่งที่อารมณ์ของเจ้าต้องการ และตาของเจ้ามีความสุข เขาจะกล่าวว่า ฉันพอใจแล้ว ข้าแด่พระผู้อภิบาล มูซาได้กล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาล ผู้ที่มีตำแหน่งสูงที่สุดของพวกเขา พระองค์ตอบว่า        คือพวกที่เราได้คัดเลือก (พวกเขาไว้แล้ว) เราได้ปลูกฝัง

ความมีเกียรติของพวกเขาด้วยมือของเราเอง และเราได้ผนึกลงบนความมีเกียรตินั้น อย่างที่ตา ไม่เคยเห็น หูไม่เคยได้ยิน และไม่เคยผ่านเข้ามาสู่หัวใจของมนุษย์คนใด ท่านนบีได้กล่าวว่า คำยืนยันในเรื่องนี้อยู่ในคัมภีร์ของอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรว่า “ที่จริงชีวิตหนึ่งย่อม ไม่รู้ถึงสิ่งที่ถูกซ่อนเร้นที่เตรียมไว้ให้พวกเขาแล้วจากความสุขที่สบายตา เป็นผลตอบแทนสิ่ง ที่พวกเขาได้กระทำไว้” 

รายงานโดยมุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงชาวสรรค์ที่มีตำแหน่งตํ่าที่สุด คือคนที่จะได้มองดู สวนของเขา คู่ครองของเขา เครื่องอำนวยความสุขของเขา คน รับใช่ของเขาและเตียงของเขาเท่ากับระยะเดินทางหนึ่งพันปี[547] และชาวสวรรค์ทีมเกียรติที่สุด ณ อัลเลาะห์นั้นคือคนที่จะได้มองดูใบหน้าของอัลเลาะห์ ทั้งในเวลาเข้า และเวลาเย็น หลังจากนั้น ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้อ่าน “มีหลายดวงหน้าในวันนั้นที่เบิกบาน มองดูผู้อภิบาลของมัน” 

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชาวสวรรค์ที่มีตำแหน่งตํ่าที่สุด คือผู้ที่มีคนรับใช่ (คอยบริการ) แปดหมื่นคน และมีคู่ครองเจ็ดสิบสองคน[548]  และ กระโจมที่ทำจากไข่มุก มรกตและทับทิมจะลูกตั้งให้เขา เท่ากับระยะระหว่าง ยาบิยะห์ ถึง ศอนอาอ์ แท้จริงมีมกุฏอยู่เหนือพวกเขา ความจริงไข่มุกอย่างตํ่าสุดของมันนั้นจะทำให้สว่าง ระหว่างตะวันออกกับตะวันตก 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                ผู้ใดขอสวรรค์ต่ออัลเลาะห์ สาม

ครั้ง สวรรค์จะกล่าวว่า        ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดให้เขาได้เข้าสวรรค์ และผู้ใดขอป้องกันจาก

ไฟนรกสามครั้ง ไฟนรกจะกล่าวว่าข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดคุ้มครองเขาให้พันจากไฟนรก[549] 

รายงานโดยติรมิซีและน่าซาอี อัลเลาะห์ตาอาลา ทรงรู้ยิ่ง


 

 

 


 

[1] คอให้คนที่อายุน้อยที่สุดไปเป็นพยานยืนยันหะดีษนี้ที่อุมัร ร.ฎ.

[2]       การกล่าวสลามก่อนขออนุญาต คือเป็นบทบัญญัติ

[3]       ท่านนบีได้ห้ามพวกเขาที่กลับมาจากการเดินทาง เข้าหาภรรยาในเวลากลางคืน โดยไม่แจ้งให้ภรรยาทราบก่อน ทั้งนี้เพื่อ ไม่ให้ปรากฎสิ่งที่พวกเขาอาจไม่พอใจขึ้น และเพื่อให้ภรรยาได้มีโอกาสเตรียมตัว

[4]      เพราะไม่แจ้งชัดว่าเป็นใครอยู่ที่ประตู ที่ดีควรบอกชื่อ

[5]       คือมองเข้าไปในบ้านเห็นอวัยวะพึงสงวนของคนในนั้น

  1. และในรายงานหนึ่งว่า เมื่อคนใดของพวกท่านถูกเชิญไปริบประทานอาหาร และเขาไค้มาพร้อมกับคนที่ถูกส่งไปเชิญ นั่นแหละคือ คำอนุญาต (ของเจ้าภาพ) ให้เขา คือให้เขาเขาไปพร้อมกับคนที่ถูกส่งไปเชิญ ไม่จำเป็นค้องขออนุญาตอีก

7 นี่หมายถึง ก่อนการห้ามกินเนื้อลา และความห์วโหยไค้เกิดขึ้นกับพวกเขา

[8] นั่นหมายถึง เมื่อีซา วคัมภีร์ไค้ปฎิบัติหน้าที่ฃองพวกเขาอย่างครบถ้วน พวกเขาย่อมมีสิทธิ์ สิ่งที่พวกเขามีสิทธิ์ และมีหน้าที่ ตามที่พวกเขามีหน้าที่

350 หมายความว่า เมื่อม่านถูกยก และท่านได้ยินความลับของฉัน นั้นเป็นการอนุญาตแก่ท่านให้เข้าไปจนกว่าฉันจะห้ามท่าน

[10]     เพราะเป็นความบกพร่อพองพวกเขาเอง

[11]  หมายความว่า ไม่มีสิ่งใดหรือกที่คนทั้งสองจะมองเธอ หะดีษนี้ชี้ว่า ยอมให้ผู้หญิงมองดูทาสผู้ชายของนาง และกลับก้น และ ให้ทาสผู้ชายอยู่ก้บนายผู้หญิงตามลำพิง และร่วมไปก้บนายผู้หญิงในการเดินทาง และยอมให้มองดูนายผู้หญิงเหมีอนเป็น คนที่ห้ามแต่งงาน ที่เป็นทัศนะของขอฮาบะห์และตาบอีนบางคน นักวิชาการส่วนใหญ่กล่าวว่า ทาสผู้ชายเป็นเหมีอน คนอื่นที่แต่งงานก้นได้ เพราะทาสผู้ชายแต่งงานก้บนายผู้หญิงได้ ภายหลํงจากปลดปล่อยแล้ว

[12]  ท่านนบีได้ห้ามคนทั้งสองนั่งอยู่ในที่ๆ มีอิบนุ อุมมี ม้กดูมขายตาบอดอยู่ด้วย เพราะ ฮะรอมที่ผู้หญิงจะมองดูผู้ชายแม้จะ เป็นชายตาบอดก็ตาม และการที่ผู้ชายจะมองดูผู้หญิงที่แต่งงานก้นได้ก็ถอว่า ฮะรอมแม้จะเป็นหญิงตาบอดก็ตาม

* และไม่มีข้อข้ดข้องถ้าหากเขาจะเป็นชายอีนที่บรรลุศาสนภาวะแล้ว เพราะเกิดความจ่าเป็น

  1. ขณะที่ท่านออกมาจากมัสญิด โดยที่ผู้หญิงกับผู้ชายเดินปะปนกัน
  2. คือขณะที่มีพวกผู้ชายร่วมเดินอยู่ด้วย
  3. และรวมถึงการนั่งแทรก และนอนด้วย เพราะมองได้ว่า เป็นทารกลุกคลีกันระหว่างชายหญิง
  4. ปกปิดอวัยวะที่พึงสงวน เพราะการเปีดอวัยวะที่พึงสงวนเป็นสิ่งด้องห้าม (ฮะรอม)
  5. แม้ว่าเขาจะไม่ดื่มก็ดาม เพราะเท่ากับเขายินดิ และพอใจในความชั่ว

300 ดํงนํ้นจ่าเป็นด้องตอบสลาม เท่ากับที่มีผู้กล่าวแก่เขาก่อน หรือตอบเกินกว่า ซึ่งถือว่าดิเยี่ยม

307 คำสลามจะมาสู่ชาวสวรรค์จากพระผู้อภิบาลเป็นครั้งคราว

[20]     คอเขาได้สิบกวามดีที่ได้กลาวคำว่า ขอความสันติจงมีแด่พวกท่าน

[21]     คือเขาได้ยี่สืบความดี เพราะเกินกว่าสสามแรก

[22]     ที่เป็นที่สุดของการกล่าวสลาม และสมบูรณ์ยิ่ง

[23]     จงทำตัวให้เคยชินกับการกระทำเข่นนั้น แล้วพวกท่านจะเป็นชาวสวรรค์

[24]     สลามด้องอยู่ก่อนคำพูด เพราะสสามคือความปลอดภ้ย และจะไม่มีคำพูดนอกจากได้มีความปลอดภัยแล้ว

[25]     เพราะสลามอยู่ในตำแหห์งที่หนึ่งของคำพูด

[26]      หมายความว่า การกระทำเช่นนั้น ถูกบัญญัติ และเป็นความต้องการของศาสนา

[27]     การกล่าวสลามแก่เด็กๆ เป็นบัญญัติศาสนา เพื่อขจัดความยะโส และเพื่อให้จักการถ่อมตน และเพื่อฝึกเด็กๆ ให้มึมารยาท

[28]     คือข้าพเจ้ากำลังเล่นอยู่กับเด็ก ๆ

[29]     จำเป็นต้องตอบสลามแก่คนที่ไม่อยู่ต่อหน้า ที่ดีควรให้ผู้นำสลามมาบอกได้ร่วมในค่าคอบด้วย เป็นกล่าวว่า            “ขอความ

สันติจงมึแด่ท่านเละแด่เขา"

[30]     เพราะท่านไม่อยู่ในสภาพที่จะท่าอย่างนั้นได้

[31]  ถ้าหากกล่าวสลามด้วยลิ้น พร้อมค่บใช้มือทำท่า ถือว่าไม่เป็นไร เพราะที่ถือว่า มักรูห์นั้นคือ การทำท่าอยางเดียวเหมือน ที่ชาวคัมภีร์กระทำ

[32]    ในกรณีที่ทางสัญจรนั้นมีผู้คนเบียดเสียด และถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องกระท่าด้งกล่าว

[33]    การเริ่มสลามเป็นชุนนะห์ฉพาะตัวสำหรับคน ๆ เดียว และเป็นชุนนะห์โดยส่วนรวมสำหรับหลายคน และการตอบสล่าม เป็นฟัรฎูเฉพาะตวส่าหร่บคนเดียว และเป็นฟัรดูโดยส่วนรวนสำหรับคนหลายคน

[34]    ควรกล่าวสลามแก่ผู้ร่วมชุมนุมกันเมื่อแรกเข้ามา และเมื่อต้องการจะออกไป

(88ธ) นี่เป็นการขู่ให้พวกนั้นกลัว หรือเมื่อพวกเขาถือว่าสุราอฺนุฟ้ตให้ดื่ม

(380) ท่านนบี ซ.ล. ไม่ตอบสลามเขา เนื่องจากเขาชะโลมมือทั้งสองข้างของเขาด้วยหญ้าฝนั่น ซึ่งเป็นเครื่องประทินของผู้หญิง และท่านนบีได้ห้ามเขา จากการทำตัวเหมือนผู้หญิง

[36]      ระเบียบในการเขึยนคือควรแนะนำตัวเองให้ผู้รับสาส์นได้รู้จักเสียก่อน

[37]      คือจะเปีนต้นเหตุให้ตัวเองลงนรก ตามตัวบทของหะตีษนี้ชี้ว่าห้ามลุกขึ้นยืนต้อนรับผู้ที่เข้ามา ฮาฟิซไต้กล่าวว่า : ในหะตีษ นี้ใม่ไต้ระบุไว้เช่นนั้น ที่จริงเป็นการขู่ให้ออกห่างไกลจากควานพอใจที่จะให้มีผู้อื่นให้เกีบรตีเขา บางทัศนะว่าเป็นข้อ,ห้ามลำหรับ ผู้ที่กล่าวว่าเขาจะทะนงตน

[38]      บรรดาอัครสาวก จะไม่ลุกขนยืนเพื่อให้เกีบรติแก่ท่านนบี ขณะที่ท่านไต้เข้ามาหาพวกเขา เพราะพวกเขารู้ว่าท่านไม่ขอบ ให่ยืน สรุปควานในเรื่องนี้ไต้ว่า มีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งกล่าวว่า การลุกขึ้นยืนให้เกียรติแก่ผู้เข้านาเป็นมักรูห์ โดยอาศัยตาบตัวบท ของหะตีษทั้งสามนี้ นักวิชาการส่วนใหญ่กล่าวว่า  ทัศนะดังกล่าวถูกปฎิเสธ เพราะหะตีษของอะบึ อุมามะห์จะนำมาเป็นหลักฐาน ไม่ไต้ และฮะตีษของอะบีมิจลัซก็ไม่ชัดเจนที่จะเป็นหลักฐานของพวกเขา ลำหรับหะตีษของอะนัส อาจตีความไต้ว่า สิ่งที่เกิดจาก ท่านนบี ซ.ล. นี้เป็นการเพิ่มความถ่อมตนของท่าน และกลัวว่าประชากรของท่านจะยกย่องท่านจนเลยเถิด ดังนั้นนักวิชาการส่วน ใหญ่จึงกล่าวว่า การยืนให้เตียรตีแก่ผู้ที่มีความประเสริฐนั้น เป็นสิ่งที่ควรกระท่า โดยอาศัยหลักฐานจากตัวบทของสองหะตีษแรก และเพราะการกระทำของนักวิชาการรุ่นก่อนและรุ่นหลัง โดยไม่มืผู้ปฎิเสธ

(892) ด้วยความศร'ทธา ความรู้ อำนาจ บารบ่ ทรัพย์สินและบริวาร

[40]      บรรดาอัครสาวก จะสัมผัสมือกันขณะที่พบกัน เหมือนที่พวกเขาเคยกระทำในสมัยท่านนบี ซ.ล.

[41]      คือก้มหัว หรือโค้งคำนับ ท่านตอบว่า ไม่ คือ ไม่อนุญาต

  1. เพราะจะไม่ทำเช่นนั้น นอกจากกับมิตรสหายบางคนที่พบกัน หลังจากไก้จากกันไปนาน หรือเพื่ออวยพรแก่คนที่อยู่ไกล

[42]      แด่ท่านนบี ซ.ล. เมื่ออยู่ด่อหน้าอัครสาวกของท่านจะรักษามารยาทอย่างที่สุด

[43]      การสวมกอด เป็นการคับไฟแห่งความคิดถึงระหว่างคนที่รักกัน เมื่อเขาที่งสองพบกัน หลังจากได้จากกันไปนาน หรือใน โอกาสด่าง ๆ ที่มิการเยี่ยมเยือน อันนำมาซึ่งความยินดี

[44]      ท่านได้กอดฉันและการกระทำเช่นนั้น เป็นการดีส์าหรืบข้าพเจ้ายิ่งกว่าการสัมผัสมิอ

[45]       และท่านได้สวมเสํ้อผ้าของท่านขณะออกไปพบเขา เพราะความคิดถึง เนื่องจากเขาอยู่ในการเดินทาง

[46]      ในหะดีษทั้งสอง ชี้ชัคว่าท่านนบี ซ.ล. ได้สวมกอด การสวมกอด ด้วยเหตุเช่นนั้น เป็นสิ่งอนุญาต เมื่อความคิดถึงเรืยกร้อง

[47]       การจูบมือและจูบเท้าเปีนสิ่งอนุมัติ

  1. และจำเป็นแก่มนุบย์ทุกยุคทุกสมัยต้องปฏิบัติ

[49] คำว่า อัลอะชัจญ์ แปลว่า คนหน้าบาก เพราะที่ใบหน้าของเขามืรอยแผลเป็น เขาชื่อ อัลมุนซีร บุตรฮาริษ เป็นหัวหน้าคณะ ทึ๋เข้าพบท่านนบี ซ.ล. เมื่อมาถึงท่านนบี คณะของเขาไดํรบผละจากพาหนะ และไปหาท่านนบี แต่เขาได้เปลี่ยนเปีนสวมเสิ้อผ้า ที่สะอาดสีขาว และได้เข้าไปหาท่านนบีด้วยอาการสงบและถ่อมตน ท่านนบีจงพูดก้บเขาด้วยถ้อยคำตังกล่าว

[50] ยะอฺฟ้รกลับจากเดินทางเมื่อท่านนปึ ซ.ล. พบเขา จงได้จูบเขาที่หว่างตา

(408) ทานนบื ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขาขณะที่เขามาถึงมะดินะห์ ในฐานะผู้อพยพ เปีนการคารวะต่อเขา

[52]      มีควานหมายว่า ข้าพเจ้าพร้อมรับคำสั่ง และปฎิบิตตาม

[53]      คือลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

[54]      คือไม่มีการทรยศต่อความโปรดปราน ที่งที่มันด้อยต่ำ

[55]      คือ ขอเอาบิดามารดาของฉันเป็นค่าไถ่ตัวท่าน คือเลือกเอาชึวิตของท่านไว้ ก่อนนิดามารดาของฉัน

[56]      คือเจ้าจงยิงศัตรูด้วยลูกธนูของเจ้า ฉันขอเอานิดามารดาของฉันเป็นค่าไถ่ตัวท่าน

[57]      คำๆนี้ เป็นคำที่ชาวอาหรับใช้กันติดปาก เพื่อแสดงความยกย่อง ให้เกียรติ และบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลเลาะห์

[58]      เป็นคำที่แสดงความยกย่องและเพื่อเพิ่มพูนความรักและความสนิทสนม

[59]      คือด้วยความพยายามของท่านที่จะปกป้องนบี

[60]      คือเมื่อมีผู้กล่าวว่า จงแยกย้ายกับไป เพื่อทำความดี เช่นละหมาดและอื่น ๆ ให้พวกท่านจงแยกย้ายกันไปเถิด และจงเชื่อฟัง

[61]      เป็นการห้ามที่อผู่ในขั้น ฮะรอม

[62]     ที่ว่านี้เพราะความเคร่งของเขา ถ้าไม่เช่นนั้น ถ้ามีคนอื่นลุกขึ้นให้นั่ง เป็นการให้เกยรติแก่เขา และเขาก็นั่งลง ก็ไม่เป็นอะไร

[63]        และถือว่า ฮะรอมที่คนอนจะไปนั่งแทนที่เขา และถือว่าเข้าอยู่ในเรื่องนี้ด้วยคือ บุคคลที่มีที่นั่งประจำในการละหมาด ญะมาอะห์ หรือในวงที่มีการสอนวิชา หรืออ่านอัลกุรอาน หรือซอลาวาตนบี ซ.ล. หรือซิกร์ เขาย่อมมีสิทธิ์ในสถานที่นั่งของเขา ยิ่งกว่าคนอื่น

[64]       คือโดยไม่เบียดเสียดผู้ใด

[65]      คือนั้งสนทนากับบรรดาอัครสาวกของท่านในเรื่องราวต่างๆ จนตะวันขึ้น

[66]       คือบางครั๊งท่านนบี ซ.ล. จะนั่งกอดเข่า

[67]      คือไม่ยอมให้นั่งแทรกระหว่างคนสองคนนอกจากจะไดีรบอนุญาตจากบุคคลทั้งสอง

[68]        ผู้ชายที่อยู่'ในบ้านของตน หรือในพื้นที่ ๆ อยู่ในปกครองของตน เขามีสิทธิ์เป็นผู้นำละะหนาด และไม่ยอนให้ใครนั่งใน ที่นั่งเฉพาะของเขานอกจากจะได้รับอนุญาตจากเขาเสียก่อน

[69]      ควรนั่งล้อมวงเป็นวงกลม และขยายให้กว้างเท่าที่กับจำนวนคนที่จะมาร่วนวงด้วย

[70]       คือควรร่วมวงเดียวกัน

[71]       เพราะที่แคบอาจเกิดอันตราย

[72]      สะโพกมือ คือเนื้อที่อยู่โคนนิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อย

[73]       การเก็บความลับไว้นั้นเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมันเป็นความไว้วางใจ ที่จัาเป็นต้องเก็บรักษาไว้

[74]       ดังนั้นผู้ที่ไม่ไต้กล่าวคำสรรเสริญอัลเลาะห์ ก็ไม่สมควรกล่าวค่าตอบแก่เขา

[75]       หะดีษนี้เป็นการบรรยายค่ากล่าวของคนที่จาม และคำกล่าวตอบ ของคนที่ไต้ยิน และคำของคนที่จาม กล่าวตอบแก่คนที่ กล่าวแก่เขา ซึ่งเป็นหะดีษที่สมบูรณ์ในเรื่องนี้ ตามตัวบทของหะตีษนี้ชี้ว่า การกล่าวคำสรรเสริญหลังการจาม และการกล่าว ตอบคนจามที่ไต้กล่าวค่าสรรเสริญนั้นเป็นวายิบ นี่เป็นทัศนะของนักวิชาการบางห่าน

[76]        สาเหตุของหะติษนี้ก็คือ พวกเขาอยู่ในการเตินทาง ขายคนหนึ่งได้จามขึ้น แล้วกล่าวว่า: “ขอความส่นติจงมีแด่พวก ท่าน” ซาลิมได้กล่าวว่า “จงมึแด่ท่านและมารคาของท่านด้วย” และดูเหมือนขายคนนั้นจะมีบางอย่างอยู่ในใจของเขา ซาลิมจึงได้กล่าวว่า: โปรดทราบฉันไม่ได้พูด นอกจากพูคดามที่ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวไว้ แล้วเขาก็เล่าหะคีษนี้

[77]      คือมีสามครั้งเท่านั้น

[78] และท่านไล้กล่าวตอบเขาหลิงจากครั้งแรกหรือไม่

[79] ในกรณีที่ภา?เรชมมีย์คอ กา?เรที่อยู่ในร''ฐลิสลาม เนอเขาจามและกล่าวคำสรรเสริญอ่เaเลาะห่ ก็ไม่เป็นอะไรที่มุสลนจะ กล่าวตอบเขาว่าะ ฃออลเลาะห์โปรด4นำพวกท่าน และให้พวกท่านมีสภาพที่ด

[80] ตามตัวบทของหะดีษนชว่า การกล่าวตอบค่าของคนจามเป็นฟัรดูเฉพาะตัว (ฟ้รดูกีน) ที่เป็นทิศนะของนักว่ชาการส่วน ใหญ่ อะนะ?!และส่วนใหญ่ของอ''มบะลิกล่าวว่า: เป็นฬรดูกีฟายะห์ แด่นักวชาการส่วนใหญ่ของม'ชอ''บชา?เลิย์ ลิอว่าเป็นสิ่ง ควรกระทำโดยส่วนรวม ที่กล่าวนในกรณีที่ผู้จามเป็นมุสลิม และไห้กล่าวค่าสรรเสริญอัลเลาะห์ตาอาสา และถ้า'ไม่เช่นป่น ก็ไม่มี สิ่งใดจ่าเป็น

[81]        สามอย่างแรกที่เกีดในละหมาด มาจากชัยฏอน เพราะมันจะทำให้เขาขาดการสำรวม และบริสุทธิ์ใจในการอิบาดะห์ต่อ อัลเลาะห์ตาอาลา ส่วนเลือตประจำเดือน เลิอดกำเดา และอาเจียน สาเหตุส่วนใหญ่เกีดจากชัยฏอน เพราะมันเป็นความเดือด ร้อน และทำให้เกิดความสกปรก ซึ่งจะทำให้ห่างไกลจากการอิบาดะห์ต่ออัลเลาะห์ตาอาลา

[82]        ทั้งสองหะดีษนืไม่ชัดกัน เพราะหะดีษแรกหมายถึงการสืบวงศ์ตระกูลที่ถูกต้อง ส่วนหะดึษที่สองหมายถึง การสืบวงศ์ ตระกูลที่ไม่ถูกต้อง (เช่นลูกที่เกิดจากซินา) หรือพวกหนึ่งเรียกโดยใช้ชีอพ่อ อีกพวกหนึ่งเรียกโดย'ใช้ชื่อแม่

[83]      ฮาริษ แปลวา ผู้ประกอบอาชีพ ฮัมมาม แปลว่า ผู้มีความกังวล เพราะไม่มีมนุษย์คนใดที่จะพ้นจากความกังวลไปไต้

[84]       ฮัรบ์ แปลว่า สงคราม มุรเราะศ์ แปลว่า ขม

[85]       กุนยะห์ คือชีอเล่น ที่มีคำนำหน้าด้วยคำว่า อะบี (อะบู) หรือค่าว่า อุมม์

[86]       ตามคิวบทของหะดีษเหล่านี่ชี้ว่า ฮะรอมตั้งกุนยะห์ว่า อะบัลกอซิม โดยไม่ม่ข้อแม้ นี่เป็นทิศนะของนักว่ชาการพวกหนี่ง นักวิขาการส่วนใหญ่กล่าวว่า: ที่ว่านี่หมายถึงในยุคนี่ท่านนบีซ.ล. ยังมีชีวิตอยู่ ต่างกับเมื่อท่านเส์ยชิวิตไปแล้วกีไม่เป็นอะไร เพราะไม่เกิดความสิบสน และเพราะหะดีษนี่จะกล่าวต่อไป บางทิศนะกล่าวว่า เป็นการห้ามเพื่อให้ออกห่าง เพื่อรักษามารยาท เท่านั้น อีกพวกหนี่งกล่าวว่า: คือห้ามรวมระหว่างชิอของท่าน คือ มุฮัมมัด กับ กุนยะห์ของท่านคือ อะบิลกอซิม โดยไม่ห้ามอันหนี่งอันใด โดยมีหสักฐานจากหะดีษที่จะกล่าวต่อไป

[87]       และไค้เกิดเป็นความจริง เมื่ออะลีไค้บุตรที่เกิดจากเดาละห์ บุตรึยะอฟัร อัลฮะนะฟียะห์ อะลีไค้ตั้งชิอเขาว่า มุสำหมด

และตั้งกุนยะห์ของเขาว่า อะบิลกอชิม

[89]       เป็นการห้ามนี่ฮะรอมในสองหะดีษแรก และเป็นการห้ามที่มักรูห์ในหะดีษหลังจากนั้น

  1. มะลิกุลอัมลาก แปลว่า "กษ้ครึย์ของบรรดากษัตริย์ทั้งปวง”

[90]      นี่คือเคล็ดลับที่ห้าม

[91]       คือคำนี่มนุษย์จะกล่าวในการอีบาดะห์ต่ออัลเลาะห์ตาอาทา มีสีคำ ตามนี่ปรากฎในหะดืษนี่

[92]      คำว่า    ยะซาร มาจากรากคำที่มความหมายว่ารารวย, รอบาห์ มาจากคำว่า กำไร, นะยีห์ มาจากคํๅว่า ส่า!รีจ, อัฟละห์

มาจากคำว่า ความดี ที่ห้ามเอาคำเหล่านี่มาตั้งชื่อ เพื่อที่คนบางคน จะได้ไม่ห์าเอามาเป็นโชคลาง เมื่อถามถึงแล้วปรากฎว่าไม่มี

[93]      นี่เป็นคำของผู้เล่า คือฉันเล่า'ให้ท่านสี่ ด้งนั้นอย่าเพิ่มเติม

[94]       คำว่า ยะอลา มาจากรากคำที่ปึความหมายว่า สูงส่งคำว่า บะรอกะห์ มาจากคำว่า เพิ่มพูน, อัฟละห์ มาจากคำว่า    ความดี, ยะซาร มาจากคำว่า รำรวย, คำวา นาฟิอฺ มาจากคำว่า ผลประโยชห์ ท่านนบีต้องการจะห้ามตั้งชื่อเหล่านี่ เพราะความหมาย ของมัน เมื่อผู้นี่ชื่อเหล่านั้นถูกถาม โดยเขาไม่อยู่ ก็จะไต้คำตอบว่า ไม่มีหรือไม่อยู่ ซึ่งบางคนอาจถือเปีนโชคลาง แต่ท่านก็ไม่ไต้ห้าม จนเสียชึวิต และอุมัรก็เช่นเดืยวกัน ด้งนั้นการตั้งชื่อต้วยนามเหล่านี่ มักรูห์เท่านั้น

[95] จำเขนต้องตั้งชื่อทารกแรกคลอด ห์บตั้งแต่คลอดจนลงวํนที่เจ็ด ตะห์นี่ก คอการเคยวอ้นทผล้มและห์าไปคูเพดานปากทารก

[96]       อัลฮะกัม หมายถึงผู้ทำหน้าที่ตัดสิน โดยที่ค่าตัดสินของเขาจะไม่ถูกคัดค้าน ไม่อนุญาตไค้ตั้งชื่อใคร แม้จะอยู่ในกุนยะห่ ก็คาม เพราะอาจทำใค้เข้าใจผดว่าเขามีลักษณะเทียบเทียมอัลเลาะห์

[97]       หะดีษนี้ชี้ว่า ที่ดีควรตั้งกุนยะห่ตามลูกคนโต

[98]       คือเป็นชื่อของชัยฏอนตนหนึ่ง จากบรรดาชัยฏอนทั้งหลาย

[99]        ท่านไค้เปลี่ยนชื่อ อัลอาส เพราะมีความหมายว่า ขัดขืน เปลี่ยนเป็นมุตีอฺ ม่ความหมายว่า เชื่อฟัง, เปลี่ยน อะชิซ เพราะเป็นนามของอัลเลาะห์ เปลี่ยนเป็น อับดุลเลาะห่ แปลว่า บ่าวของอัลเลาะห่, เปลี่ยน อะตะละห์ เพราะม่ความหมายใน เชิงหยาบคาย เปลี่ยนเป็น สะหัล แปลว่าเรียบง่าย, เปลี่ยน ชัยฏอน เพราะมีความหมายว่า ทรยศ, เปลี่ยน อัลฮะกัม ด้วย เหตุผลที่กล่าวมาแล้ว, เปลี่ยนฆุรอบ เพราะมีความหมายว่า ห่างไกล และเพราะเป็นชื่อนกที่เลว, และเปลี่ยนชื่อฮุบาบ เพราะ เป็นข้อของชัยฏอน

[100]     คือมักรูห์ตั้งชื่อว่าชิฮาบเฉยๆ แต่เมีอพาดพิงกับคำว่าคีนไม่เป็นไร คือชื่อว่า ชิฮาบุดดีน

[101]     อะฟิเราะห์ คือแผ่นดนที่ไม่มีค้นไม้ฃื้น คอดิเราะห์ คือแผ่นดินที่เขียวชะอุ่ม

[102]     ชินยะห์ แปลว่า การละเมีดประเวณี, มุฆวิยะห์ แปลว่าหญิงที่ละเมีดประเวณี ค่าว่าริชดะห์ แปลว่า ผู้อยู่ในทางห์า

[103]  ฉายา คอข้อที่ตั้งใค้ก้นในทางยกย่อง หรีอตำหนิ กุนยะห่ คอข้อเล่นที่ห์าด้วยค่าว่า อะบู (อะมี) หรีอ ธุมมี

[104] เช่นเร่ยกว่า โอ้คนชร, โอ้คนเลว, โอ้คนที่ไร้ศร'ทธา1 โอ้คนที่หลงผิด, โอ้คนที่ท่าให้หลงผิด เป็นด้น และที่เลวที่ธุด คอการเร่ยกขาน ด้วยชื่อที่ชรช้าภายหล"งจากศร'ทธาแอ้ว

[105] อ'บดุลเลาะห์ ไม่ใช่บุตรของอากิชะห์ เพราะอากิชะห์ไม่มืบุตร แต่เป็นบุตรของที่สาวคออ'สมาอุ ที่เกิดกับชุบ'ยร์ หะด็ษ

  1. ท่าน'นบ ซ.ล. อยู่ในการ!ดินทาง ท่านมิทาสคนหที่งช้ออันยะชะห่ เขา!!เนคน!ส์ยงดิ จงใช้!ส์ยงไล่อูฐ!ดินไค้เร็ว พวก ผู้หญิงทโดยสารอยู่บนอูฐไค้รับความล่าบาก ท่านนบี ซ.ล. จงกล่าวว่า โอ้อ้นย'ช อยู่ารีบไล่ค้อน (อูฐที่บรรทุก) พวกผู้หญิง เพราะพวกหล่อน!หมอนขวดที่!ปราะบาง อาจแตกห้กไค้โดยง่าย
  2. โคลงกลอน คอคำประพ่นธ์ที่มิสิมผ้ส กล่าวออกมาโดย!จดนา ช้าด่างกับคำที่พูดออกมามิส'มผ้สโดยไม่!จดนา ในค้นตอ

ของโคลงกลอนนั้น เป็นม'ทรูห์และไม่สมควรที่จะ!อานาใช้ เพราะ!!เนการแสดงความโอ้อวดที่หลงผด บางท่อาจนำไปสู่การด่าทอ บุคคลที่ศาสนาไม่อนุมิคให้ด่าทอ และสรร!สรีญบุคคลที่ไม่ควรสรรเสรีญ ดิงกล่าวที่เป็นท่ศนะของนักรีชาการบางท่าน นักรี'ชา การส่วนใหญ่กล่าวว่า     ค้นตอของโคลงกลอน!!!นส์งอนุมิด เพราะเป็นคำพูดที่มิทํ้งที่ดิและเลว ที่ดิค้องห์บว่าดิ และที่!ลวก็ถอ

ว่าเลว

  1. คอคล้อยตามพวกเขาใน!รีองโคลงกลอนด้วยการ พูด และนำไปขยายต่อ

[108]    พวกเขาจะละเมิดเขตของศาสนา ทั้งในค้านสรรเสรีญ!!ละประณาม

[109]   •การที่เดิมห้องให้เต็มไปด้วยนาหนองที่มิพบ และทำให้ถงตายไค้นั้น เป็นสิ่งที่ฮะรอมและ!!!นบาปใหญ่ แด่กระนั้นก็ปรากฎว่า การเดิมให้ห้องเต็มไปด้วยโคลงกลอนที่นใหญ่กว่า ที่หมายโคลงกลอนที่ถูกค่าหน

[110]    อรจ์เปีนช้อสถานที่แห่งหที่ง

[111]      ท่านเรียกเขาว่า ชัยฏอน เพราะเขาเป็นกาฟิร หรีอใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับโคลงกลอน หรีอโคลงกลอนของเขาเป็นสิ่งที่ ถูกตำหนิ

[112]     คอนำคำพูดของ อับดุลเลาะห์ บุตร รอวาฮะห์มาว่า ไม่ใช่เป็นการว่าโคลงกลอน จากท่านนบี ซ.ล. เอง

(470) คือคำที่เป็นจริงตรงกับความจริง

[114]     เช่น หลักวีชาการต่างๆ ที่ประพันธ์ขึ้นในรูปร้อยกรอง หรือเป็นคำสั่งสอน

[115]     จนผู้ฟ้งชอบใจ

[116]    คือ เมื่อเขาสรรเสริญผู่ใดก็จะใข้ถ้อยคำและสำนวนโวหารอย่างลึกซึ้งจนสามรถจูงใจผู้คนให้คล้อยตามได้ และเมื่อประณาม ผู้ใดก็จะสามารถโน้มน้าวจิตใจของผู้คนให้หันเหตามได้ คล้ายเป็นมนต์สะกด

[117]      คอ บางทีเขาอาจถูกถามด้วยสิ่งที่เขาใม่รู้ และความไม่รู้นั่นแหละจะทำใหเขาตอบว่าไม่รู้ บางท่านกล่าวว่า คือการที่เขา จะทำการศึกษาสิ่งที่ไม่จ่าเป็นเช่น ศึกษาดวงดาวต่าง ๆ และวิชาการของคนในยุคแรก โดยละที่งการแสวงหาสิ่งที่จ่าเป็นในศาสนา ของเขา

[118]     คีอกล่าวคำสรรเสริญท่านนบี ซ.ล.

(488) ท่านจะอ่านคัมภีร์ ขณะที่แสงอรุณขึ้น ด้วยการละหมาดชุบฮ์

[120]     มืดบอด คือ ควานหลงผิด

[121]     โดยการละหมาดในยามดึกตะฮัดยุด ในขณะที่ประชาชนหลับไหล

[122]     คือป้องกันท่านนบี และประณามพวกผู้ดั้งภาคีเหมือนกับเที่พวกเขาประณามท่านนบี

[123]     คือ ณิบรีล อ.ล.

[124]    หมายความว่า จะกีดกันท่านนบี ออกจากคำด่าพวกผู้ตั้งภาคี เหมือนกับดึงขนออกจากก้อนแป้งที่นวดแล้ว

[125] คีอจะป้องกันท่านรอชูล้ลเลาะห์ ด้วยการประณามพวกผู้ดั้งภาคีด้วยการใข้โคลงกลอน

(690) โอ้อุมัร ปล่อยเขาเถิด เพราะความจรงถ้อยคำเหล่านจะทำให้พวกเขาเจ็บปวด ยิ่งกว่าคมธนู

[127] คือคำกลอนที่เป็นเรื่องจริง เข่น การกล่าวโจมคีพวกผู้ดั้งภาคี

(692) โดยเห็นด้วย และคล้อยตามไปทบพวกเขา

[129]     ท่านนบี (ข.ล.) ชอบฟังคำกลอนของ อุม'ยยะห์ เพราะส่วนมากเฟ้นเรื่องเตาฮึด ดังได้กล่าวมาแล้ว อุมัยยะห์เกือบเข้ารับอิลลาม ในหะคีบเหล่านี้ชี้ว่าท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวคำกลอนเลยนแบบผู้อื่น และเล่าคำกลอนของผู้อื่น และรับฟังคำกลอน จากบรรดาอัครสาวกของท่าน ยิ่งไปกว่านั้น ท่านย่งใช้ให้โจมตีพวกผู้ตั้งภาคีและการโจมคีของท่านด้วยคำกลอน

[130]    การขยายเาวามเจาะลทเกินไปควรแก่การตำหน และการใช้ถ้อยค่าเฉพาะที่จ่ๅเป็นเป็นสิ่งที่ควรสรรเสริญ

[131]    ที่ใช้ลนของมันตริ'คหญ้าเช้าปาท o'ลเลาะห็ทรงริ'งเกยจกนที่ขยายความจนเลยเกิด จนเผยให้เห็นลนของเขาที่ตริ'ดอยู่ในปๅก

[132]    ค่าพูดบางครั้งเหมอนมนต์สะกดในการโห้มน้าวจิตใจผู้คน ที่ว่านเป็นสิ่งที่ห์าตำหน ถ้าหากเ!!เนไปในเรั้องไร้สาระ และถ้าไม่ เช่นนั้นก็ไม่เปีนไร

[133]     ท่านนบีไต้เปร็ยบเทียบบรรดาผู้หญ้งที่อยู่บนหลังอูฐ ที่อันญะชะห์ใช้เสียงที่ดีของเขาไล่ต้อนไปว่าเหมือนขวดที่เปราะบาง และแตกง่าย เพื่อให้อันญะชะห์ไล่ต้อนอูฐด้วยความระมัดระวัง อูฐนั้นเมื่อไดํยนเสียงไล่ต้อนที่ดึ มันจะเดินเร็วขึ้น และสามารถ ตัดทางได้ไกล ๆ โดยไม่เหน็ดเหนื่อย

[134]     ท่านนบีใช่ไห้หล่อนขํบลำนำในเรื่องของบรรพบุรุษต่อไปไม่ให้เปลี่ยนเรื่อง

(000) และถือว่าต้องห้าม ในกรณีที่ลำนำเพลงนั้นสามารถข่มเขาได้ หรือเป็นเรื่องของอารมณ์ ถ้าไม่เช่นนั้นก็เป็นสิ่งที่อนุมัติ

[136] ตามตัวบทของหะดีษชี้ว่า การชื่อขายทาสหญิงที่ร้องเพลง รวมทั้งราคาของพวกหล่อนเป็นสิ่งต้องห้าม เมื่อมีพวกหล่อน ไว้เพื่อขับร้องเพลงให้มนุษย์หลงผิดจากศาสนา และถ้าหากมีไว้เพึยงรับใช้การมีพวกหล่อนไว้ก็ไม่เป็นไร

  1. หมายถึงการเล่นที่ใช้ลูกเต๋าเป็นส่วนประกอบ และการเล่นนกพราบในเชิงการพนัน
  2. กอเหมือนกับรับประทานมัน ซึ่งถือว่าฮะรอม

[139] ตามตัวบทของหะด้ษทั้งสองชื๊ว่า การเล่นที่ใช่'ลูกเต๋าเป็นส่วนประกอบนั้นแม้จะโดยไม่มีทรัพย์สันเดิมพันก็ตามถือว่าเป็น สิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) เพราะในการเล่นด้งกล่าวต้องอาศัยผลที่ออกจากลูกเต๋า ซึ่งก็เหมือนกับการเสิ่ยงทายด้วยติ้ว ด้งกล่าวนี้ เป็นท้ศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่และชาฟิอี และมีบางท่านกล่าวว่าเป็นเฟี้ยงมักรูห์ไม่ถึงขั้นฮะรอม (ในกรณ์ที่ไม่ม่ทริพย์เดิมพัน) การเล่นหมากรุกก็เป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) ต้วยเช่นกัน ที่เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ และผู้นำมัซฮับทั้งสามท่าน ชาฟิอี และพวกตาบิอืนบางท่านกล่าวว่า      เป็นมักรูห์ไม่ถึงขั้นฮะรอม อาจเป็นไปไต้ส่าหริบผู้ที่กล่าวว่าไม่ฮะรอมนั้น หมายถึงการเล่นที่ไม่ม่ทริพย์เดิมพัน

(005) ที่เริยกเขาว่าเป็นชัยฏอนตัวผู้ก็เพราะเขาออกห่างจากสัจธรรม และยุ่งอยู่กับสิ่งที่ไม่มีประโยชห์ และที่เริยกนกพิราบว่า เป็นชัยฏอนตัวเมียก็เพราะมันทำให้เขาหลงลืมจากการรำลืกถึงอัลเลาะห์

(000) หมายลืงการละเล่นในโอกาสวันรื่นเริง ตามประเพณีที่ไม่ผิคหลักการศาสนา และไม่ทำให้เพลิดเพลินจนลืมฟัรฎูของอัลเลาะห์ และ ไม่ก่อให้เกิดอันดราย

  1. อัรฟิดะห์ คือบรรพบุรุษของพวกฮะบะชะห์ คือจงเล่นต่อไปเถิด เพื่อให้อาอิชะห้ได้ชม
  2. หะดีษนั้ได้ผ่านมาแล้วในเรึองละหมาดอีด
  3. ในทั้งสองหะดีษนี้ชื้ว่า อนุญาตการละเล่นที่เป็นไปตามประเพณี
  4. อาอิชะห์มีตุ๊กตารูปผู้หญิงซึ่งเธอจะใช้เล่นกับเด็ก ๆ ผู้หญิงชาวอันชอร เมื่อท่านรอชูล้ลเลาะห่ ซ.ล. เช้าไปหาอาอิชะห่ เด็กๆ ผู้หญิงเหล่านั้นก็จะออกไป เมอท่านนบีออกไป พวกเธอก็จะเช้ามา ทั้งนั้ เพราะความยำเกรงท่านนบี ซ.ล.
  5. คือตุ๊กตารูปเด็กผู้หญิง
  6. ในหะดีษนี้และหะดีษก่อนชี้ว่า รูปตุ๊กตา และการเล่นตุ๊กตาเป็นสิ่งอนุมัติ ทั้งแก่เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และการซื้อ ขายตุ๊กตาก็ถือว่าใช้ได้ และในหะด็ษนี้ชี้อีกว่า ให้เด็กผู้หญิงได้พักผ่อนและฝึกฝนการดูแลเด็ก และสิ่งนี้ถูกยกเว้นออกจากรูป ที่ด้องห้ามที่ได้ผ่านมาแล้วในเรื่องเครื่องนุ่งห่ม

[148]    เขาคือ อะลิ บุตรอะบีตอลิบ ซึ่งเป็นน้องชายพ่อเดียวแม่เดียวกันกับนาง ที่พูดอย่างนั้นเพื่อเรียกร้องความสงสาร

[149]     ชายคนนั้นคือ ฮาริษบุตรฮิชาม หริออับดุลเลาะห์ บุตร กอบิอะย่ หรือ ซุฮัยร์ บุตร อะบี อุมัยยะห์ คนใดคนหนึ่ง ความ หมายของหะดีษนี้ก็คือ ชายคนนั้ใด้ขอให้อุมม์ ฮานิอฺคุ้มครองความปลอดภัยให้ และอุมม์ ฮานิอฺทีรับปากที่จะคุ้มครองให้พ้นจากการถูกฆ่า ต่อมาอะลิ ร.ฎ. ได้ยินคำพูดด้งกล่าว จึงกล่าวขึ้นว่า จำเป็นด้องฆ่าเขา อุมม์ฮานิอฺ จึงไปฟ้องท่านนบี ซ.ล. ท่านจึง กล่าวว่า เราจะให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่เธอให้ความคุ้มครอง

[150]      คำพูดที่เลวของคนๆ หนึ่ง ในเรื่องที่ยังไม่แห์นอน คือกล่าวว่า “พวกเขาคาดว่า’' นี่เป็นการห้ามพูดโดยการคาดคิดและ คาดคะเนเอาเอง

[151]    บางทีก็ไม่ได้เอาความหมายตามคำพูดนั้น ด้งปรากฏในหะดีษต่อไป แท้ที่จริงความมุ่งหมายของคำนี้ก็คือ เป็นการสั่งสอน และตุไม่ให้กลับไปทำอีก

[152]     คำนี้เป็นคำกล่าวแสดงความเมตตา

[153]     ไม่ใช่ให้คำนี้แช่งเขา ที่จริงแล้วเป็นคำที่ส่งเสริมให้กระท่าหริอเป็นคำเยินยออย่างที่สุด

[154]     ความจริงเขาเป็นลุงของเธอที่เกิดจากการดื่มนมร่วมกัน มือฃวาของเธอจะต้องติดดิน ถ้าเธอไม่กระทำด้งนั้น

[155]      ในบางเล่มว่า อบนุ-ซอยยาด ที่อ้างตนเป็นนบี ซึ่งจะได้ห์ามากล่าวในเรื่องวิกฤติการณ์ต่างๆ ท่านนบี ซ.ล. ได้เก็บ ข้อความที่ว่า “ในวันที๋ห้องฟ้าจะนำหมอกควันที่แจ้งชัดมา" ไว้ในใจของท่าน และเมื่อเขาด้องการจะพูดว่ามันคือ ดุคอน (หมอก ควัน) แต่เขาไม่สามารถพูดออกมาได้ครบเพียงแต่กล่าวว่า ดุคค์ เท่านั๊นเมื่อได้ยินคำว่า “ไปให้พ้น” คำๆ นํ้แต่เติมใช่ไล่สุนัข ต่อมาถูกใข้กับทุกสิ่งที๋อัลเลาะห์กริ้วโกรธ

  1. คือให้พูดแทนคำว่า ทาสชายของฉัน และทาสหญิงของฉัน

[156]     การห้ามในหะติษเหล่านี้ เพื่อด้องการให้ออกห่าง ดังนั้นมักรูห์ที่นายจะกล่าวว่า “ทาสชายของฉัน และทาสหญิงของฉัน" เช่นเดียวกันก็มักรูห์ที่ทาสจะกล่าวว่า ผู้ครอบครองที๋เป็นชายของฉัน และผู้ครอบครองที่เป็นหญิงของฉัน” เพราะความเป็น ทาสและการครอบครองอย่างแห้จริงนั้นเป็นของอัลเลาะห์แต่เพียงผู้เติยวเท่านั้น ดังนั้นโดยมารยาทให้!ริยกทาสว่า “เด็กหนุ่ม ของฉัน และเด็กสาวของฉัน" และทาสให้!ริยกนายว่า “นายผู้ชาย และนายผู้หญิงของฉัน” 

[157]      ผู้ใดกล่าวแก่คนตีสองหน้าว่า “นาย’’ โดยที่เขาไม่มีความเหมาะสมไม่ว่าจะด้านใด และโดยที่ผู้พูดก็รู้ว่าบุคคลผู้นั้นเป็น

คนตีสองหน้า เท่ากับเขาได้ทำให้อัลเลาะหํกริ้ว เพราะเป็นการยกย่องคนที่ ไม่ควรยกย่อง 

[158]     คอการหมุนเวียนของกลางวํนและกลางคืน และการที่เวลาล่วงเลยไป

[159]     “เราตีอกาลเวลา" คือเป็นผู้กำเนิดเวลา กลางวันและกลางคืนอยู่ในมือของพระองค์ที่จะให้เกิดขึ้นให้คงอยู่และทำลาย

[160]     ด้งนั้นผูใดด่ากาลเวลาเท่ากับเขาด่าอัลเลาะห์ เพราะกาลเวลาเกิดขึ้นจากการกระทำของพระองค์ ด้งนั้นการด่า การกระทำ ของผู้ใดก็เท่ากับด่าผู้นั้น เพราะการกระทำที่ตีและเลวนั้นจะกล้บไปหาผู้กระทำ

[161]     ดังนั้นเป็นการฮะรอมที่จะกล่าว โอ้กาลเวลาที่ชั่วร้าย, โอ้ปีที่ด่ามืดและคำพูดในทำนองนี้

[162]     คือ ทำลายม้นทั้งสอง

[163]     ที่ท่านนบีห้าม เพื่อด้องการให้ออกห่างไกลจากการใช้อ้อยคำที่รุนแรง และการใช้คำพูดเช่นนั้นเป็นการมักรูห์

[164]    เพราะคำว่า “ทะรอม” แปลว่า ผู้!จบุญ

(630) ด*งนั้นที่เหมาะสมจะใช้คำว่า “กะรอม” ก็คอห*วใจของพู้นศรัทธาการห้ามในที่นเพื่อให้ออกห่าง ค'งนั้นการใช้คำว่า “กะรอม” เรียกองุ่นเป็นการมกรูห่ และเป็นการปฏิเสธที่ชาวอาหรับเรียกองุ่นและเหล้าที่ทำจากผลองุ่นว่าทะรอบ และเป็นการสอนให้รู้ว่า ท่เหมาะสมกับชอนืค์อห*วใจของพู้มศรัทธา

  1. คอร'บข่าวดีด้วยอิสลามที่จะได้ร'บความพอพระท'ขฃองอัลเลาะห์ สวรรค์!เละความโปรดปรานอย่างกว้างขวาง
  2. เพราะพวกเขาเข้าใจว่า เป็นข่าวดีในทางโลก และทร้พย่สินอิน!ลอนลอย (048) คอถามถง จ'กรวาลนท่อนที่จะสว้างขนมา
  3. ชกร์ คอ แผ่นปนทก (ล'วฮ์)
  4. คอม'นได้ออกไปไกลเส์ยแล้ว

[167]  เพื่อเก็บวิญญาณ

[168]  เป็นการอธิบายความเลอมลาในเร่อนร่างล'กษณะภายนอก และอุปนิส'ยที่ส์และเลว

[169]  นี่เร็Jwคนทด

[170]  หมไยความว่า การโกรธง่าย เป็นสํ่งที่ไม่ดี และถูกทดแทนด้วยสํ่งทดี นนคอ หายเร็ว

[171]     หมายถึงชดใช้หนี้ และทวงถามหนี้

[172]     เพราะเป็นเครื่องแสดงว่าเป็นคนที่มีนิสัยไม่มี และมีความทุจริตแอบแฝงอยู่ภายใน

[173]     คือเหมือนถ่านไฟ

[174]     อะบูสะอีดกล่าวว่า : พวกเราได้หันมองดูดวงดะว่นที่ใกล้ตก ท่านรอซูล้ลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ดุนยาไม่เหลือแล้ว นอกจากเหมือนกับวันนี้ที่เหลืออยู่ หมายความว่า เหลือไม่มากแล้ว

(056) วิกฤติการณ์       ได้แก่ภัยพิบัติ ความรุนแรง การลงโทษและทุกสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ถ้าหากมันมาจากอัลเลาะห์ เช่นโรคภัยไข้เจ็บ ก็เพราะมีเคล็ดลับ (ฮิกมะห์) และเป็นสิ่งที่ควรแก่การสรรเสริญ และถ้าหากวิกฤติการณ์ร้ายเกิดจากมนุษย์มันก็เป็นสิ่ง ที่ควรประณาม เครื่องหมายของวันกิยามะห์คือ สัญญาณต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนถึงวินกิยามะห์เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า ใกถ้ถึงวันกิยามะห์แล้ว

  1. จงระวังบาป และการแดกแยก เพราะผลของมันเลวร้ายและจะเกิดขึ้นโคยทั่วไป

[176]     คือเขื่อนที่ ข้ลกอรนัยห์ได้สร้างขึ้น ณ จุดที่ตะวันขึ้น เท่านี้ชุฟ่ยาน บุตร อุยัยนะห์ได้อธิบายคำว่า “เท่านี้’' ไว้เป็นรูป เถ้าสิบโดยวางปลายนํ้วชี้ไว้ที่โคน และงอเข้ามา ความหมายก็คือ วิกฤติการณ์เพียงส่วนน้อยเท่านํ้นที่ปรากฏแก่ข้าพเจ้า ซึ่งมัน จะเกิดแก่มนุษย์ทุกคน

[177]    ซึ่งมุสลิมจะได้มันจากคลังของเปอร์เชียและโรมัน

(061) หมายถึง บรรดาภรรยาของท่านนบี เพื่อลุกขึ้นทำอิบาดะห์ต่ออัลเลาะห์

(602) คนรวยส่วนใหญ่ที่ตบแต่งด้วยเสือผ้าชนิดต่าง ๆ ในดุนยา พวกเขาจะอยู่ในสภาพเปลิอยกายอย่างตกต่ำในอาคิเราะห์ เพราะไม่ได้ทำคุณงานควานดีไว้

(063) ด้วยสาเหตุของผู้ชายชาวกุเรชที่ได้ยึดเอากะอะบะห์เป็นป้อมปราการ

[181]     คำอธบายของหะดีษนี้อยู่ในหะดีษหลัง

[182]     เมื่อการลงโทษลงมาประสบกับกลุ่มชนใด มันจะประสพทั้งคนดีและคนเลว แต่พวกเขาจะถูกบังเกิดขึ้นในอาคิเราะห์ตาม แต่ผลงานของเขา และสำหรับผู้ที่ทำดีจะได้รับผลบุญของสิ่งที่เขาประสบในดุนยา

[183]     ความเพิ่มพูนของเวลาจะเหลือน้อย จนหนึ่งปีเหมือนหนึ่งเดือน หนึ่งเดือนเหมือนหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งสัปดาห์เหนึอนหนึ่ง วัน หนึ่งวันเหมือนหนึ่งชั่วโมง และหนึ่งชั่วโมงเหมือนกะพริบตา

[184]     คือการงานที่ดี

[185]     ความตระหนี่ขี้เหนียวจะเป็นเรื่องใหญ่ในหัวใจของขาวโลก

[186]     เพราะคนนั่งจะอยู่ห่างไกลจากวิกฤติการณ์ ส่วนคนยืนเตริยมพร้อมจะเข้าจู่โจมกับมัน

[187]     ที่เกิดขึ้นก้บมุสลิมทุกคน

[188]    จงอยู่กับฝูงสํตว์ของเขา และปลีกตัวให้ห่างไกลจากวิกฤติการณ์และพวกที่ตกอยู่ในวิกฤติการณ์

[189]     ทำงานในไร่ของเขา และละทิ้งผู้คน

[190]     แดง คือทองคำที่เป็นคลังสมบัติของพวกโรมัน และขาวคือเงินซึ่งเป็นคลังสมบัติของพวกเปอร์เชืย

[191]     ด้วยความแห้งแล้งที่จะทำลายประชาชาตทั้งหมด

[192]     ด้วยการที่พวกเขาจะทำลายกันเอง

[193]     คือถ้าหากไม่เกิดขนในประ!ทศหนึ่งก็จะเกิดขึ้นในอีกประเทศหนึ่ง

[194]     สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในสม้ย อะบีบักร์ ร.ฎ.

[195]    ซึ่งจะได้นำมากล่าวในบทที่สิ่

(086) ฮ่รจ์ คอเกิดดวิกฤติการณ์ขนมากมาย และมืการฆ่าเกิดขึ้นอย่างมากมาย

(088) คอสิ่วิกฤติการณ์ใหญ่ ต่วบทของฅ๊อบรอนย์ว่า จะปรากฏสวิกฤติการณ์หนึ่ง คอกอวาเลอค!{เนสงอนุ!}ติ สอง กอ ว่า!ลอดและทรัพย์เยนสิ่งอนุมิติ สาม กอว่าเลอดทรัพย์และอวยวะเพศเป็นสิ่งอนุม'ติ สิ่ ด'จณูาล

[198] คอการที่ประชาชนบางพวกหลบหนอีกบางพวก และคอการแย่งชิงเอาทรัพย์สินของประชาชนจนพวกเขาไม่มือะไรเหลอ

  1. เขาเป็นคนในครอบครัวของท่านนบี แต่การกระทำของเขาไม่เหมือนการกระทำของพวกเขา
  2. หลังจากนั้นพวกเขาจะประนีประนอมกันโดยให้สัตยาบันแก่ชายคนหนึ่ง แต่การประนีประนอมนี้จะไม่มั่นคงถาวรเหมือน กับเอาสิ่งหนึ๋งไปวางไว้บนสิ่งที่โค้งงอเหมือนกระดูกชี่โครง
  3. สามวิกฤติการณ์นี้ไม่ขัดก้บสิ่วิกฤติการณ์ที่กล่าวอยู่ในหะดีษก่อน เพราะประการที่สิ่ในหะสืบก่อนนั้น เป็นเหตุการณ์ภายหล่งจาก ดัจญาล ด้วยเหตุนี้ท่านนบีจึงได้กล่าวในตอนท้ายว่า มนุษย์จะต้องสูญเสีย
  4. หมายลงการรวมอยู่กับคนหมู่มากที่ปฎิบัติศาสนา

[203]     และให้พวกท่านวิงวอนต่ออัลเลาะห์ให้หัวใจของพวกเขารับใข้พวกท่าน

[204]     คือ ฮัจยาจ บุตร ยูชุฟ อัชชะกอบีย์ ผู้ห์าคนหนึ่งที่รู้กันว่าเป็นคนที่ทุจริต และต้วบทของต๊อบรอนีว่า เมื่อวานดีกว่าวันนี้ และวันนั้ดีกว่าพรุ่งนี้ และจะเป็นเช่นนื้จนถึงวันกิยามะห์

[205]     หนายควานว่า สถานการณ์ของอิสลามจะมั่นคงอยู่จนถึงเวลาดังกล่าวนั้น

[206]     และถ้าหากพวกเขาออกนอกทางที่เที่ยงตรง พวกเขาจะต้องพินาศเหมึอนกับบุคคลในยุคก่อนพวกเขา

[207]     ถ้าหากพวกเขาตั้งมั่นอยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรง ภายหลังจากสามสืบห้าปี ร้ฐของพวกเขาก็จะยั่งยืนไปจนถึงเจ็ดสิบปี นับ ตั้งแต่เข้าพิชิตม้กกะห์ จนถึงสิ้นสุดสมัยของดอลฟะห์ทั้งสี่ ถ้าหากพ้นจากอพยพลี้ภ้ยจากม้กกะห์ ก็จนถึงการลุกฮือขึ้นทำราย คอลิฟะห์อุสมาน และในปีที่สามสืบหกไต้เกิดสงครามอูฐ และในปีที่สามสืบเจ็ด ไต้เกิดสงครามซิฟฟิน

[208]     ผู้ใดแยกตัวออกจากกลุ่มชนเพียงคืบเดียวเท่ากับเขาไต้ถอนตัวออกจากอสลาม

[209]     หมายถึง ทรัพย์สินของรัฐ

[210]  เพราะข''ยตอน จะสามารถทำความสิบสนให้เกิดกับเขาไดํ'ง่ายกว่าสองคนหรืออยู่รวมทน[ชนกลุ่ม

[211]     เป็นคำสรรเสริญ ม่ความหมายในทำนองว่า บดาของท่านได้เป็นบ่าวของอัลเลาะห์ แทะไต่ใท้คำเห์ดบุตรที่เป็นปาวของ อัลเลาะท่ดาอาสา

[212]   วิกฤติการณ์เฆอได้เกดขน ไม่ว่ายุคโดม'นจะเกาะตดอยู่ข้างาทัใจเหมอนรอยเส์อฑี๋ติดอยู่ทส์ข้างของคนนอน®ะมองเห็นเป็น เส้นๆ

[213]     คือฉันได้เล่าหะติษที่เป็นเริ่องจริง มิได้เสริมแต่งเลยแท้จริงประตูบานนั้นที่ขวางกั้นระหว่างพวกท่านกับวิกฤติการณ์ร้าย แรงก็คือ ชายคนหนี่งจะถูกฆ่าหริอเสียชีวิต ชายคนนั้นคืออุมัร ด้วยการตายของเขา ประตูวิกฤติการณ์ต่าง ๆ ก็หักสะบั้นลง และอุสมาน ร.ฎ. ได้เข้าดำรงตำแหห์งต่อ วิกฤตการณ์ก็เริ่มขึ้นและใหญ่ขึ้น ไฟแท่งวิกฤติการณ์ได้ถูกจุดขึ้นด้วยความตายของ อุษมาน และวิกฤติการณ์ก็จะยังคงอยู่คู่กับโลกนี่บางครั้งด้วยดาบ บางครั้งด้วยลิ้น

[214]     ในตัวบทของอะห์มัดว่า แท้จริงความพินาศของประชากรฉันอยู่ในมือฃองเด็กหนุ่มที่โง่เขลาแท่งเผ่ากุเรช

[215]     คล้ายกับอะบู อุรอยเราะห์รู้จักพวกเขาตี แต่ปกปีดไว้เพราะกลัวพวกบะนีอุมัยยะห์ และนี่คือกระสอบที่ปกปีดไว้ ซึ่งอะบู ฮุรอยเราะห์ เคยกล่าวไว้ว่า ฉันมีความรู้อยู่กระสอบหนี่งหากฉันเปีดเผยมัน พวกท่านจะด้องตัดลูกกระเดือกฉันอย่างแห์นอน

[216]     เขาคือ สะอีด บุตร อัมร์ ซึ่งเป็นผู้เล่าหะติบนี่

[217]      และตัวบทของมุสลิมว่า แท้จริงวิกฤติการณ์จะมาจากทางโนั้น และท่านไท้ทำท่าด้วยมือของท่านไปทางด้านทิศตะวันออก จากด้านที่เขาของทั้งสองชัยฏอนจะโผล่ออกมา หมายถึง ชัยฏอนประเภทที่โผล่ขึ้นมาพร้อมกับดวงตะวันโผล่ และบรรดาผู้ที่ ก้มกราบดวงตะวนก็จะก้มลงกราบแก่ชัยฏอนในขณะนั้น ตามตัวบทหมายถึงตะวันออกทั้งหมดคือ ตั้งแต่ทิศใต้จรดทิศเหนือ ซึ่งรวมทั้ง นัจด์, อิรัก และหลังไปจากนั้น

[218]     คอวิกฤติการณ์ต่างๆ จะปรากฎออกมาทางต้านนั้น ซึ่งชัยฏอนเป็นผู้จุดไฟวิกฤติการณ์ขึ้นมา, และท่านนบี ซ.ล. ไม่ไต้ วิงวอนขอใท้พวกเขา เพราะพวกเขาในขณะนั้นส่วนใหญ่เป็นกาฟิร

[219]     ปรากฏตามตัวบทนี้ว่า วิกฤติการณ์ได้เริ่มด้นในหมู่มุสลิม จากตระกูลบะนี อุมัยยะห์ ซึ่งเป็นพวกที่ห้อมล้อมคอลิฟ่ะห่อุสมาน ร.ฎ. และได้แสดงออกซึ่งความบริสุทธิใจต่ออุสมานอย่างเต็มที่ อุสมานได้ตั้งแต่พวกเขาไปเป็นเจ้าเมื่องต่าง ๆ แต่งตั้งพวกเขา ให้เป็นที่ปรึกษา และบอกให้พวกเขารู้ความลับ ภายหลังจากนั้นไฟแห่งวิกฤติการณ์ได้ถูกจุดขึ้นในสงครามอูฐ และสงครามชิฟฟิน แล้วก็ปรากฏพวก คอวาริจ ทั้งหมดนเกิดขึ้นในนัจด์ อิรัค และที่อยู่หลังไปจากนั้น ทางด้านตะวนออก ตังที่ท่านนบีได้แจ้งไว้

[220]     พวกเขาเป็นพวกที่แสดงตนว่ายึดมั่นต่อศาสนา แต่พวกเขาไม่ได้ตั้งมั่นอยู่บนสิ่งใดเลย พวกเขาชิงชัยผู้มีศริทธา และรักใคร่ พวกผู้ไร้ศรัทธา

[221]     คืออ่านมาก และลิ้นเปียกอยู่ด้วยการอ่านค้มภีร์ฃองอ้ลเลาะห์

[222]    ที่ญะอุรอนะห์ หลังจากกลับจากฮุนัยห์

[223]     ลูกธนูได้เลยผ่านฃี้และเลือดของสัฅว์ที่ถูกฆ่า ความมุ่งหมายก็คือ พวกเขาเหล่านั้นห่างไกลจากอิสลาม เหมือนลูกธนูที่เลย ผ่านเป๋า'ไป โดยไม่มีเครื่องหมายใดชี้ว่ามันถูกเป้า

[224]     เครองหมายของพวกเขาก็คือ มีชายคนหนึ่งผิวดำ ด้นแขนข้างหนึ่งของเขามีเหมือนเด้านม หรือเหมือนก้อนเนื้อที่กระเพื่อม

[225]      และในบางรายงานว่า พวกเขาจะออกมาปฏิปักษ์กับกลุ่มคนที่ดี, และพวกเขาได้ออกมาเปีนปฎิกักษ์กับคอลิฟะห์อะลี ร.ฎ. และได้ละเมิดสัตยาบันที่ได้ให่ไว้ ขณะที่มุอาวิยะห์ก็ได้ต่อสู้กับพวกเขา และอะลี ร.ฎ. ก็ได้ต่อสู้กับพวกเขา และได้ ท่าให้พวกเขาพ่ายแพ้

[226]     เป็นการยืนยันค่าพูดของท่านรอชูลุ้ลเลาะห์ ซ.ล. ซึ่งเปีนความจริง

[227]    นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นการที่พวกเขาจะกลับมาสู่ศาสนาอีกจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

[228]     เครื่องหมายของพวกเขาคือโกนหัว ซึ่งด่างกับชาวอาหรับทั่วไปในยุคนั้น เพราะชาวอาหรับที่วไปจะปล่อยผม

[229]     อุบัยดิลลาห์ผู้ที่ เคยเป็นทาสของท่านนบึ ซ.ล.

[230]     คือพวกชาวเมื่อง ฮะรูรออ พวกเขาคือพวกคอวาริจ ที่ออกไปตั้งตัวเปีนศัตรูกับคอลฟะห์ อะลี ร.ฎ. ก่อนที่จะมีการตั้ง อนุญาโตตุลาการให้ทำหน้าที่ตัดสินระหว่างเขากับมุอาวิยะห์ และอะลีได้แต่งตั๊งใน้อะบู มูซา อัชอะรีย์ เป็นตัวแทนของเขา พวก เขาได้กล่าวว่า: ไม่มีการติดสินนอกจากโดยอัลเลาะห์ คอลิฟะห์อะลีได้โด้ตอบพวกเขาว่า: เป็นคำพูดที่เป็นสัจจธรรม แด่แฝงเร้นอยู่ด้วยความโป้ปด”

[231]     ลักษฌะดังกล่าวนี้ในทุกหะดีษ ปรากฏอยู่ในบุคคลเพืยงคนเดียวเท่านั้นจากพวกคอวาริจ หรือในทุกกลุ่มของพวกคอวาริจ จะมีผู้ชายที่มีลักษณะเข่นว่านี้อยู่

[232]      ถ้าหากกองทหารที่จะสู้รบกับพวกนั้นรู้ว่าเขาจะได้อะไรจากอัลเลาะห์ในอาคิเราะหแล้ว พวกเขาจะทิ้งการทำอะมํ้ล เพราะถือว่าสิ่งที่เขาจะได้นั้นเพียงพอแล้ว

[233]      เครื่องหมายของพวกคอวาริจก็คือ มีชายคนหนึ่งที่ไม่ม่ฃ้อศอก แต่ที่ต้นแขนของเขามีเนื้องอกออกมาคล้ายหัวนม และ มีขนสีขาวงอกอยู่บนนั้น

[234]     และยึดเอาไป

[235]     คอได้กล่าวว่า: ถูกแล้ว ขอสาบานด้วยอัลเลาะห์ - สามครั้ง - เพื่อยืนยัน

[236]    สำหร้บเรั้องนึ่ และที่เหมือน ๆ กันนึ้มีรายละเอึยดอย่างกว้างขวางอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์แล้ว

[237]     ทั้งสองได้ปลุกระดมผู้คนให้ออกไปรบร่วมกับอะลี ร.ฎ.

[238]     คือหลังจากบิดาของนางเลียชีวิต

[239]     อะบิบักเราะห์เช้าใจว่า กองทหารชอง อาอิชะห์ จะไม่ได้รับความสำเร็จ เขาจึงไม่ได้ออกไปกับกองทหารนั้น

[240]    หมายถึงจำนวนผู้ที่อ้างตนเปีนนบิ

[241]     ดัจญาล คือผู้ที่โป้ปด ผู้ที่หลอกลวง

[242]      มุซัยสิมะห์ ได้มาที่มะดินะห์ พร้อมพวกพ้องของเขาเป็นจำนวนมากจากตระกูลบะนีฮะนิ์ฟะห์ และได้พักอผู่ในนครมะดืนะห์ ในบ้านของบุตรสาวของอัลฮาริษ บุตร กุรอยช์ ชื่งเป็นภรรยาของเขา

[243]     เขาเป็นนักกล่าวสุนทรพจห์ของท่านนบื ซ.ล.

[244]     คือความฝันที่จะได้ห์ามากล่าวต่อไป

[245]     คนที่อยู่ที่ชอนอาอฺยะมัน คือ อ้ลอัสว้ด อัลอันชืย์ ซึ่ง ฟัยรูช อัดดัยละมีย์ ได้สังหารเขา และผู้ที่อยู่ที่ยะมามะห์ คือ มุซัยลิมะห์ จอมโกหก ชึ๋งวะห์ชีย์ ผู้ฆ่าฮัมซะห์ ร.ฎ. ลุงของท่านนบี ซ.ล. ได้สังหารเขา และเขาได้กล่าวว่า หวงว่าอัลเลาะห์ จะอภ้ยโทษ'ให้ฉัน ที่ได้ฆ่าฮัมซะห์ ผู้นำของบรรดานักรบชะฮีด

[246]      ชื่อของเขาอีกชื่อหนึ่งคือ ซอฟ์ บุตร ซออิด เขาเกิดที่นครมะดินะห์เป็นจอมโป้ปด และหลอกลวงผู้ยิ่งใหญ่ ท่านนบี ซ.ล. ไม่ประจักษ์งานของเขาว่า เขาเป็นดัจญาลหรือไม่ใช่ แต่เขาก็เป็นจอมหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง

[247]     คือเป็นศาสนทูตของพวกอาหรับเท่านั้น ไม่ใช่เป็นศาสนทูตของประขาชาคิอื่นๆ เหมือนที่พวก ยะฮูด คาดคิด

[248]     คิอได้ปล่อยเขาและเดินไปกับเขาจนเขายอมรับการโกหกของเขา

[249]     จากข่าวของเรื่องเร้นลับ

[250]     คิอข่าวที่จริงเป็นบางส่วน และโกหกบางส่วน หมายความว่าสิ่งที่ฉันเห็นนั้นจะเป็นจริงส่วนหนึ่ง และโกหกส่วนหนึ่ง

[251]     ข่าวที่สับสนนี้มาจากชัยฏอน

[252]     คิอท่านได้ซ่อนไว้ไนใจของท่าน อายะห์ที่ว่า “ในฉันที่ด้องฟ้าจะนำดุคอน (ควัน) ที่แจ้งชัดมา” แต่เขาไม่อาจกล่าวคำว่า ดุคอนได้ กล่าวได้แต่เฟ้ยงว่า “ดุคค์” เท่านํ้น

[253]     คิอเส์ยงพมพำทฟ่งไม่เข้าใจ

[254]     คิอพบก้บ อิบนุ ศอยยาด

[255]    จงปล่อยเขาเถิดเพราะงานของเขาเกิดสับสนแล้ว เนื่องจากชัยฏอนได้เข้าครอบงำเขา

[256]     ว่าเขาเป็นดัจญาล และเขาเองก็อ้างตัวเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์

[257]     อิบนุ อุมัร ร.ฎ. เคยกล่าวว่า: สาบานต่ออัลเลาะห์ ฉันไม่สงสัยเลยว่า แท้จริงมะชีห์ด้จญาลคือ อิบนุ ศอยยาด รายงาน โดยอะบูดาวูด ตามตัวบทของหล'กฐานทั้งสี่นี้ชี้ว่า อิบนุ ศอยยาด คอมะชีดัจญาล, แต่จากการตรวจสอบหลักฐานชี้ว่า เขา ไม่ใช่เป็นมะชืห์ดัจญาล เพราะอิบนุ ศอยยาดเป็นมุสลมดามที่แสดงออก แต่ด้จญาลเป็นกาฟิร, อิบนุ ศอยยาดอ้างตนเป็น ศาสนทูต,ของอัลลาะห์ แต่ดัจญาลอ้างตนเป็นพระเจ้า, อิบนุ ศอยยาดมีบุตรหลายคน แต่ด้จญาลเป็นหมันไม่ปึบุตร, อิบนุ ศอยยาดมาจากมะดินะห์และอาศัยอยู่ในมะดินะห์ และเดินทางไปทำฮัจย์ที่มักกะห์ ส่วนดัจญาลลูกท้ามเข้ามักกะห์และมะดินะห์ ด้งจะได้กล่าวต่อไป

[258]      อบดุลเลาะห์ บุตรซุบัยร์นั้น ภายหลังจากมุอาวิยะห์เส์ยชึริต ชาวฮิยาชไท้สถาปนาเขาขึ้นดำรงตำแหห์งคอลฟะห์ ส่วน ชาวชามและอิรักไท้สถาปนายะชืค บุตรมุอาริยะห์ฃึ้นเป็นคอสืฟะห์ เมื่ออำนาจของยะชีดมั่นคงแล้ว เขาไท้จัดส่งกองทัพไปยัง มะดินะห์และมักกะห์ โดยมี ฮัจยาจซึ่งเป็นคนในเผ่าซะกีฟ (ซะกอฟีย์) เป็นแม่ทัพ และสามารถเอาชนะชาวมะดินะห์และ มักกะห์ได้ และไท้สังหารอับดุลเลาะห์ บุตรซุบัยร์ และได้จับเขาตรึงไว้กับต้นอินทผลัมในเส้นทางที่ออกจากมักกะห์ไปสู่มะดินะห์

  1. อะบู ดุบับย์ เป็นชื่อเล่นของอับดุลเลาะห์ บุตรซุบัยร์

[260] หะดิษนี้ชี้ว่า ควรกล่าวสลามแก่คนตายสามครั้ง

  1. อับดุลเลาะห์ บุตรซุบัยร์ นั้นถือศีลอดตลอดทั้งปี ลุกขึ้นทำอิบาดะห้ในเวลากลางคืน ท่าความดือย่างมากนาย อ่าน อลกุรอาน บางครํ้งอ่านอัลกุรอานในละหมาดตะฮัดยุดของเขา

[262]      คือ มุคดาร บุตรอะบี อุบัยด์ เป็นคนในเผ่าซะกีฟ (ซะกอฟีย์) ที่ได้อ้างตนเป็นนบี และมีบริวารเป็นจำนวนมาก ต่อมา อัลเลาะห์ได้ท่าลายพวกเขา

[263]     ส่วนจอมท่าลายนั้น กับไม่คิดว่าเป็นใครนอกจากท่าน เพราะเขาท่าร้ายมนุษย์มากมาย และท่าให้เลือดหลั่งนอง

[264]     พวกตุรก์ คิอชนพวกหที่ง ฮะบะชะห์ คิอชนผิวดำพวกหนึ่งอาศํยอยู่ทางใด้ของประเทศยะม้น โดยมีทะเลก้อลซ้มกั้นอยู่

[265]    คิอโล่ที่ท่าจากแผ่นหนังซ้อนกัน หรึอใบหน้าของพวกเขากลมและมีเนื้อมากเหมีอนโล่ห์ที่ท่าจากแผ่นหนังซ้อนกัน

[266]     ในบางรายงานว่า: พวกเขาจะสวนขน และเดินในขน, คอพวกเขาจะนำขนนาทำเป็นดำย และทำเป็นเครื่องนุ่งห่มและ รองเท้า, หรือขนของพวกเขาหนาและยาว เมื่อพวกเขาปล่อยขนมันก็จะปกคลุมร่างเหมือนเป็นเคร่องนุ่งห่มและรองเท้า

(708) ส่าหรับพวกฮะบะชะห่และผู้คนที่อยู่ใกล้เคึยงกันนั้นซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ก็เพราะบ้านเรือนของพวกเขาอยู่ห่างไกล และ การเดินทางไปก็ยากลำบาก ส่วนพวกตุรก์และผู้คนที่อยู่ใกล้เคยงกันนั้น ซึ่งอยู่ทางด้านทิศเหนือ ก็เพราะประเทศของพวกเขา อยู่ห่างไกล และกระจัดกระจายอยู่ดามหมู่เกาะต่าง ๆ

[268] หะดีษนได้กล่าวมาแล้ว ในเรื่องควานประเสริฐของแผ่นดินศักดิ์สืทธิ์ทั้งสอง

(766) คอเป็นผู้ที่ถูกปลดปล่อย จากความเป็นทาสของกุฟร่ ส่อสรภาพของอสลาม

(700) หมายลง ประเทศทางดำนฅะว*นออก เข่น น'ยชาบูร, ชินด์, ประเทศโพ้นแม่นา, อินด์, จืน และอนๆ และค่าพูด ของทานรอชูลุลเลาะห์ ซ.ล. ก็เป็นความจร่ง ประ]ทศเหล่านถูกพชิดได!นยุคดํนของอิสลาม โดยส่วนใหญ่ถูกพชิตในยุคของ บรรดาอัครสาวกผู้ทรงเก็ยรต่ ร.ฎ.

[271]    อ่ลชุ(คาะห์: คอเป๋องทป๋แหล่งนำ!เละพิชมาก อยู่ใกล้ดา!}สทด, บ*สเราะห์ (ปีน(ป๋องที่ป๋ชอเส์ยง ตั้งอยู่บนแม่นำ'ไทกิส (ดิจละห์) อยู่ในแผ่นดินอร'ก

[272]    ที่ป๋อยู่ระหว่างมุสลิมกบโรม'น

[273]    คอเปีนทๆป๋เนั่นทราย และต้นไล้มาก

[274]    ชี๋งเปีนบรรพบุรุษของพวกตุรก์

[275]     พวกนี้ที่งการญิฮาด พวงอยู่กับสัตว์เลี้ยงบนบก จนพบกับความพินาศ

  1. พวกเขาจะยอมรับเอาความปลอดภ้ยของพวกบะนิ กอนตูรออฺ และยอมอยู่ภายใต้การปกครองของพวกนั้น และเปีน ผูใร้ศรัทธา

[277] คือพวกกาฟิรจะรวมหัวกันเล่นงานมุสลิม เพราะความแตกสามัคคีของมุสลิม

  1. นี่เพราะควานตกต่ำของมุสลิม และขี้ขลาด

[279]     เพราะพวกท่านขาดความยำเกรงอัลเลาะห์ตะอาลา

[280]    สาเหตุของควานอ่อนแอคือ ร้กดุนยา และรังเกียจความตาย

[281]    อุบุ้ลละห์ เป็นชื่อเมื่องหนี่งตั้งอยู่ใกล้บัสเราะห์

[282]     หมายความว่า เขาจะละหมาดสองรอกาอัค หรือมากกว่านั้น เพื่ออัลเลาะห์ตาอาลา หลังจากละหมาดแล้วเขาจะกล่าวว่า: ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดให้ผลบุญนี่แก่อะปึ ฮุรอยเราะห์ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยตามหะดีษบทนี้ นี่ใครก็ตานได้กระทำความดี เช่นละหมาด ซอดาเกาะห์ อ่านอัลกุรอาน และอื่น ๆ นี่เป็นความดี แล้วเขาจะยกผลบุญของเขาให้แก่ผู้ใดก็ได้ตามประสงค์ทั้งคนเป็น และคนตาย

[283]      หมายถึงความเจริญรุ่งเรืองด้วยผู้คน อาคารบ้านเรือน และทรัพย์สิน ช่วงเวลาที่บัยดุ้ลมักดีสรุ่งเรืองนั้น เป็นขณะเดียว กันกับยัษริบเสื่อมโทรมลง

[284]    มะตีนะห์ในที่นหมายถง กุสตอนตีนียะห์

[285]     กุสตอนตีนียะห์คือเมืองคอนสแตนตีโนเปิล

[286]     อะอมาก เป็นชื่อสถานที่แห่งหนึ่ง อยู่ตามเสนทางของมะตีนะห์ ดาบิก เป็นชอสถานที่ตั้งตลาดของมะตีนะห์

[287]     เศษหนึ่งส่วนสามของมุสลิมจะพ่ายแพ้ และการเตาบะห่ของพวกเขาจะไม่ถูกรับ

[288]    เพราะความอดทนของพวกเขาจนเส์ยชิวิตในฐานะนักรบชะฮีด

[289]     และในบางเล่มว่า : พวกเขาจะพิชิต กุสตอนตีนียะห์ คือ จะขับไล่พวกโรมันไปจนถึง กุสตอนตีนียะห์ และบุกเข้าไป

[290]    คอพวกเขาจะออกจากกุสตอนตีนียะห่ และที่ว่า มะซิย์ (ด้จญาล) เข้าไปในครอบครัวของเขาก็เป็นเรื่องเท็จ

[291]    คือละหมาดร่วมก้บพวกเขาโดยเป็นอิหม่าม หรือได้นำพวกของด้จญาณพื่อทำลายพวกนั้น

[292]      ศัตรูของอัลเลาะห์คือดัจญาล คืออิซาาจะเอาเลิอดของดัจญาลที่ติดอยู่ที่ปลายหอกให้ประชาชนได้เห็น เพื่อให้แน่ใจว่า ดัจญาลได้ตายไปแล้ว

[293]     คือเมึองกุสตอนตีนียะห์

[294]     ทั้งหมดนี้เป็นชัยชนะก่อนที่ดัจญาลจะปรากฎด่ว

  1. หมายถึงเครื่องหมายต่างๆ ที่ชื้ว่าใกล้ถึงวันกิยามะห์

[296]     หมายความว่า ช่วงเวลาระหว่างแต่งตั้งท่านนบี ซ.ล. กับวันกิยามะห์นั้น เป็นช่วงเวลาเพียงเล็กน้อย เหมือนช่วงระหว่าง สองนี้ว

[297]     อาจเป็นไปได้ว่าเด็กคนนี้จะมือายุไม่ถึงวัยชรา และอายุไม่ยืน

[298]     เพราะสิ่งที่เขาประสพพบเห็นจากความไม่มีศาสนา หรือเพราะภัยพิบัติต่างๆ ที่เขาประสบ จึงหำให้เขาพูดเช่นนั้น

[299]    ไฟที่กล่าวนเป็นคนละไฟที่จะไล่ต้อนมนุษย์ไปยิง มะห์ซัร

[300]     ตะบาละห์ เป็นชื่อสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ที่ยะมัน

[301]      และในบางรายงานว่า จากภูเขาทองคำ ในยุคสุดท้ายจะปรากฏทองคำมากมายออกมาจากแม่น้ำฟุร็อต และตัวบทของ มุสลืมว่า : วันกิยามะหจะยังไมเกิดขึ้นจนกว่า ฟุรอตจะคายภูเขาทองคำออกมา ผู้คนจะฆ่าฟนกันเพราะมัน จะถูกฆ่าเก้าสิบเก้าคน จากจำนวนทุก ๆ หนึ่งร้อยคน แต่ละคนจะกล่าวว่า หว่งว่าฉันจะเป็นคนที่รอดไปไต้

[302]     ฟุรอตไม่ใข่เงื่อนไข แต่หมายถึง ทุกๆพื้นที่ที่มีคลังขุมทรัพย์ปรากฎขึ้นแก่มวลมนุษย์ โดยพวกเขาไม่ต้องการมันเลยเพราะเกิดวิกฤติการณ์ขึ้นมากมาย

[303]   คอหนอนตัวเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นที่หัวแพะและจะท่าให้แพะตาย มีบางทัศนะว่าหมายถึงการเสียชีวิตอย่างมากมาย

[304]      หมายความว่า ดุนยาจะยังไม่สูญสิ้นจนกว่าชายคนหนึ่งที่อยูในตระกูลต่ำ ขึ้นปกครองประชาชน ชื่อของเขาคือ ยะห์ยาห์

[305]     หมายความว่า วันกิยามะห์จะเกิดขึ้นทันทีทันใดโดยไม่รู้ตัว

[306]      ความหมายของ ควัน คือปรากฎการณ์ที่จะเกิดขึ้น ก่อนวนกิยามะห์ มันจะทำให้พวกผูไร้ศรัทธาหายใจไม่ออก แต่กับ บรรดาผู้มีศรัทธานั้นมันเหมือนกับอาการเป็นหวัด มันจะเกิดขึ้นในแผ่นดินเป็นเวลาสี่สิบวัน ดัจญาล จะไค้นำมากล่าวถึงต่อไป, ส่วนสัตว์นั้น ไค้ผ่านมาแล้วในการบรรยายซูเราะห์อัลนัมล์

[307]     การปรากฎตัวของ ยะอฺยูจ กับ มะอฺยูจ และนปึอีซา จะลงมาจะไค้นำมากล่าวใกล้ๆ นี้

[308]     การที่ต้นไม้และก้อนหินพูดกับมุสลิม กิเพื่อยกย่องและให้เกินรดิแก่เรา และเป็นหลักฐานชี้ว่าอิสลามเป็นศาสนาที่อัลเลาะห์รัก

[309]     ฆอรก๊อด : เป็นซื่อต้นไม้ชนิดหนึ่งมีหนามขึ้นที่แผ่นดินบัยติ้ลมักดิส และ ณ ที่นั้นเป็นสถานที่ๆ พวกยะฮูด และดัจญาล จะถูกสังหาร

[310]    อิฮาบ เป็นชื่อสถานที่อยู่ห่างจากนครมะดินะห์หลายไมล์

[311]     ซะลาฮ์ เป็นซื่อสถานที่อยู่ต่ำไปทางคอยบ้ร มุสลม จะถูกต้อนในนครมะดินะห์ และหลบหนีไปที่นั่น เพราะความ พินาศที่เกิดกับประเทศอิสลาม และมุสลมจะถูกสงหาร จนปรากฏว่าที่มันที่ไกลที่สุดของมุสลิมคือ ชะลาฮ์

[312]     อิสลามปรากฎอย่างคนแปลกหน้า คือ มีจำนวนน้อยและยากจน และจะกลับมาในยุคสุดท้ายเหมีอนที่เคยปรากฎชึ้น

[313]    คือพวกที่ชี้นำใน้มนุษย์ปฎิบัติดาม หลักบัณูญัติศาสนาอิสลาม

[314]     ตวงตะวันนั้นทุก ๆ วัน เมื่อมันตก มนก็จะทรุดลงกราบ อัลเลาะห์อยู่ใต้อัรช์ และมันก็จะถวายบริสุทธิ์แด่อ้ลเลาะห์ จน กว่าพระองค์จะอนุญาตให้มันกลับไปยังจุดที่ขึ้นของมัน มันก็จะกลับไปและขึ้นจากจุดที่มันเคยขึ้นนั๊น จวบจนถึงยุคสุดท้าย และตะวันไต้ลับดวงไป และมันไต้กราบอัลเลาะห์ตาอาลาเข่นเคย พระองค์,ใต้ใช้มันให้กลับไปขึ้นทางทิศที่มันตก มันก็จะกลับ ไปขึ้นทางทศตะวนตก และนี่คือเวลาที่จะปีดประดูเตาบะห์ และในขณะนั้นความศรทธาจะไม่!ก็ดประโยชห์แก่กาฟิร และการ เตาบะห์จะไม่เก็ดประโยชห์แก่คนชั่ว

[315]     หมายความว่า เมื่อสิ่งต่างๆ เหล่านี่เกิดขึ้นมากมายในหมู่มนุษย์ และหลงลืมอัลเลาะห์ ภัยพิบัติประเภทต่างๆ กีจะลงมา

  1. หมายความว่า เมื่อทรัพย์สินของรัฐตกเป็นของคนกลุ่มหนี่งโดยผู้อื่นไม่มีสิทธิ์

[317]     คือถือว่าเป็นทรัพย์เชลย ก็จะทุจริตและยึดเอาเป็นของตน

[318]     คือเจ้าของ ซะก๊าต ถือว่าเป็นค่าปรับ เขาก็จะไม่จ่ายซะกาต

(820) ในกจการทุกสิ่ง นี่เป็นสิ่งที่ควรตำหนิ

[320] กลาอ เป็นชื่อสถานที่แห่งหนี่งที่บัสเราะห์

  1. เป็นที่รู้กันโดยแพร่หลายในหมู่นักวิชาการทั้งในยุคก่อนและยุคหลังว่า ในยุคสุดท้ายจะปรากฏชายคนหนึ่ง จากครอบครัว ของท่านนบี มิชั้อเรียกว่า มะหดีย์ เขาจะปกครองอาณาจักรอิสลาม และมวลมุสลิมจะตามเขา เขาจะใท้ความยุติธรรมแก่มวลมุสลมและใท้การสนับสนุนศาสนาอิสลาม หลังจากเขา ดัจญาลก็จะมาปรากฏตัว และอีซา อ.ล. ก็จะลงมา สังหาร ดัจญาล หรืออีซาจะร่วมมือกับมะห์ดีย์ สังหารเขา หะดีษในเรื่องของมะห์ดีย์นี้ เล่าโดย อัครสาวกหลายท่าน และมีนักวิชาการหะดีษ ชั้นแนวหน้าหลายท่านนำออกรายงาน เช่น อะบี ดาวูด ติรมิซึ อิบนุ มายะห์ ตอบรอนิย์ อะบี ยะอฺลา บัซซาร อิหม่ามอะห์มด และฮากีม ถือว่าผิดพลาดผู้ที่กล่าวว่า หะดีษในเรื่องมะห์ดีย์ทั้งหมดเป็นหะดีษ ดออีฟ เช่น อิบนิ คอลดูน และคนอื่น ๆ ส่วน หะดีษที่ว่า “ไม่มีมะห์ดีย์ นอกจาก อีซาบุตร มัรยัม เท่านั้น” เป็นหะดีษดออีฟ่ ตามค่าของ บัยหะกีย์ ฮากีม และคนอื่น ๆ

[322]     ถูกต้องมันไม่ใช่กองทหารนึ้ เพราะม้นไม่ได้ถูกธรณึสูบ และเราก็ไม่ได้ยินว่าม่กองทหารใดถูกธรณีสูบจนถึงบัดนี้

[323]     ชายคนนั้นคอ มะห์ดีย์ เขาจะหลบหนิไปยัง มักกะห์ เพราะไม่ต้องการตำแหน่ง และการเป็นคอลิฟะห์

  1. รายงานของอะห์มัด ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์ว่า         บรรดาตัวแทนในประชาชาตินึ่มีสามสิบคน หัวใจของพวกเขา

เหมือนหัวใจของอิบรอฮีม มิตรสนิทของอัลเลาะห์ เมื่อคนหนึ่งตายไปก็จะมิอีกคนหนึ่งมาแทน

[326]     จะมีชายชาวกุเรชคนหนึ่ง ปรากฎขึ้น เขาจะขอความช่วยเหลอจากพี่น้องฝ่ายมารคาของเขา ตระกูลกัลบ์ พวกเขาจะจัด กองทหารเพี่อสู้รบกับมะห์ดีย์ แต่มะห์ดีย์จะมีชัยต่อพวกเขา และกองทหารของมะห์ดีย์จะได้ทรัพย์สงคราม จะตระกูลกํลบ์ เปีนทรัพย์สินมากมาย

[327]      มะห์ดีย์จะแบ่งสรรให้อย่างยุติธรรม และจะนำเอาบัญญัติศาสนามาบังคับใชํกับมนุษย์ จนจะไม่มีการปฎิบัตินอกจาก ปฎิบัติตาม กิตาบ และซุนนะห์เท่านั้น คำที่ว่า “อิสลามจะยื่นคอของมันลงสู่พี่น"หมายลิง อิสลามจะมีความมั่นคงและเที่ยงธรรม

[328]     กอฟีซ, ดิรฮัม เป็นชื่อมาตราเงินตรา

(838) ดีนาร์, มุคย์ เบ่นชื่อมาตราเงินตรา ความหมายของหะดีษก็คือ ชนที่ไม่'ใช่'ชาวอาหรับ และพวกโรมันจะเข้าปกครองประเทศ ต่างๆในยุคสุดท้าย และพวกนั้นจะขดขวางมุสลิมไม่ใ,หได้รับเงินตราดังกล่าว บางทัศนะว่า เพราะพวกเขาเสียศาสนาในยุคสุดท้าย และไม่ยอมจ่ายซะกาต บางทัศนะว่า พวกกาฟิรที่ด้องจ่ายอิชยะห์ จะมึความเข้มแข็งในยุดสุดท้าย และไม่ยอมจ่ายยิชยะห์อีกต่อไป

[330]     เขาคอ มะห์ดีย์ ร.ฎ. โดยหลักฐานของหะตีนที่จะกล่าวต่อไป

[331]     เปีนความสงสํยฃองผู้เล่าคนหนึ่ง

[332]    ชื่อของมะห์ดิย์คือ มุฮัมมัด ชื่อป็ดาของเขาคือ อับดุลเลาะห์

[333]     ร่วมกํบผู้นำสัจธรรม ยุติธรรมและชี้นำ

[334]     การมีชีวิตอยู่เปีนความดีแท่พวกท่านยิ่งกว่าความตาย

[335]     คำว่า ญัชซาซะห์ แปลว่า นํกสืบ เพราะมันจะสืบข่าวให้แก่ดัจญาล

[336]     บัยซาน เป็นชื่อตำบลหนึ่งที่ชาม มีสวนอินทผลัมมาก

[337]     คือในยุคสุดท้าย

(848) ทะเลสาป ตอบะริยะห์ รู่จักกันดีอยู่ที่ชาม

  1. ซุฆอร เป็นๆชื่อเมืองหนึ่งของชาม
  2. นบีของพวกที่ไม่รู้หนังสือคือ นบีมุฮัมมัด บุตรอับดุลเลาะห์ ตระถูลฮาริม เผ่ากุเรซ

[341] คือ ที่ไค้ทำสงครามกับพวกอาหรับและไค้ชัยชนะ

(858) นี่เป็นการปฏิเสธความเข้าใจของตะมีมที่ว่า เกาะนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก

[343] ทั้งหมดนี่ยืนยันว่า เกาะนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวนออก และดัจญาล จะปรากฏต่วทางค้านตะวันออก

(856) คือชวนสงสัยแก่ผู้พบเห็นว่าม่นเปีนอะไร

[345] คือรีบตอบรับเขา

  1. คือ จนเกือบจะหลุดจากเครื่องพันธนาการ
  2. และมันก็จะไม่เข้ามักกะห์ด้วยเช่นกัน ด้งจะได้กล่าวต่อไป
  3. ตอยละซาน เป็นชื่อเครื่องนุ่งห่มชนิดหนึ่งที่มีหมวกอยู่ในดัว

(802) หมายถึงเป็นคนที่สะอาดคล้ายกับคนที่เพิ่งเสร็จจากอาบน้ำใหม่ ๆ มีน้ำหยดลงจากศีรษะ

(868) ตาข้างขวาพิการ เหมือนเมล็ดองุ่นที่โปนออกมา อีกสายรายงานหนี่งของบุคอรีว่า ดาข้างขวาพิการ ตัวบทของติรมิซีว่า

แห้จริงดัจญาล มีตาข้างขวาพิการคล้ายเมล็ดองุ่นทีโปนออกมา

[350] เขาชื่อ อับดุล อุชชา เสียชีวิตในยุค ญาฮิลิยะห์

(866) คือตาข้างซ้ายก็มีตำหนิด้วยเข่นกัน

(860) คือในความเป็นจริง ไม่ใช่ภาพลวง

(R67) นี่หมายถงตาข้างซ้าย

[354]     หมายถึงดวงตาข้างซ้าข

[355]     คือแต่ดีกว่า นื่สำหรับพวกที่มืศรัทธาสมบูรณ์

[356]     หะดืษนั้ไม่ขัดกับหะดีษของตะมีม อัดดารึย์ ที่ว่า ดัจญาลกลอยู่ที่เกาะเพราะอาจเป็นไปได้ว่ามันได้ย้ายจากมะดึนะห่ไปอยู่ที่ เกาะแห่งนั้น

[357]     คือ ในเรึ่องการเป็นพระเจ้า

  1. คือคนที่ถูกฆ่าที่จะกล่าวภายหลังจากคืนชีพแล้วว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ขณะนี้ฉันรู้จักท่านดียิ่งกว่าเวลาใดๆ ว่าเจ้าคือดัจญาล

(874) คือรู้ว่าพวกเราหวาดหวั่นต่อวิกฤตการณ์ ด้จญาล

[360]    ด้งนั้นในทุกๆ ยี่สิบสี่ชั่วโมงให้ละหมาดห้าเวลา เท่ากํบวันปกติ

(878) เหมือนความเร็วของฝนด้วยสายลมแรง

[361]     อีซา อ.ล. จะลงมาในสภาพที่สะอาดอย่างที่สุด เหมือนเฟิ่งออกจากห้องน้ำที่จะมีน้ำหยดลงจากศีรษะ และไหลลงมา เหมือนเม็ดไข่มุก

[362]     ความชั่วจะปรากฏอย่างมากมาย จนถึงขนาดที่ผู้ชายจะร่วมประเวณกับผู้หญิงต่อหน้าผู้คนเหมือนที่ลาทำ

[363]     ดังได้กล่าวมาแล้วว่า คอลิ่ฟะห์ที่อีซา อ.ล. จะลงมาในยุคของเขาคือ มะห์ดีย์ ร.ฎ.

[364]    หมายความว่า ผู้คนไม่สนใจมัน เพราะทรัพย์สินจะมีอย่างเนืองนอง

[365]     เขาเป็นบุคคลที่รู้กันว่า มีรูปร่างงดงาม และสะอาด

[366]      สี่สิบปีในที่นี้ไม่ขัดกับตัวบทที่ได้กล่าวมาแล้วที่ว่า : หลังจากนั้นประชาชนจะพำนักอยู่เป็นเวลาเจ็ดปี เพราะอาจฅีความ ได้ว่า สี่สิบปีนั้นเป็นเวลาที่อึซาพำนักอยู่ในแผ่นดินก่อนที่จะลูกยกชื้นไป และหลังจากถูกยกชื้นไป คล้ายกับว่าอายุของอีซา ก่อนที่ จะถูกยกชื้นไปนั้นอายุสามสับสามปี หลังจากนั้นได้ลงมา และมีชึวิตอยู่อึกเจ็ดปี และอาจตีความได้ว่า อีซา จะลงมาอยู่ในหน้าแผ่นดินภายหลังจากได้ลงมา เป็นเวลาสี่สิบปี เพราะรายงานดังกล่าวไม่ใช่หลักฐานว่า อีซา จะมาพำนักอยู่เจ็ดปี

[367]    ยังคงมีสถานที่เหลืออยู่ในเราเดาะห์ ซึ่งเป็นสถานที่ฝังร่างของท่านนบีและอบูบักร์กับอุมัร เป็นที่ว่างที่จะใช่ฝังศพได้อึก ตามที่ปรากฏก็คือจะเป็นที่ฝังศพอิซา อ.ล.

[368]     หมายถึงวันกิยามะห์ และสิ่งที่เกิดขึ้นในวันกิยามะห์ เช่น การบังเกิดขึ้นใหม่ การรวม ความปั่นป่วนในวันกิยามะห์ การ สอบสวน ตาชั่ง สะพาน สวรรค์ ลักนณะฃองสวรรค์ และสิ่งที่มีอยู่ในสรรค์ นรกและสิ่งที่มีอยู่ในนรก เป็นต้น

(880) คือฉันจะหาควานสำราญ และความสุขได้อย่างไร ทั้งที่เจ้าของเขา คือ อิสรอฟีล ได้อมเขาไว้ในปาก คอยคำสั่งของอัลเลาะห์ ที่จะบัญชาให้เป่ามัน ดังนํ้นจงไม่สมควรหาควานเพลิดเพลินใดๆ ในโลกดุนยาน เพราะใกลถึงเวลาพินาศเต็มที่แล้ว

[369]    ล้อยคำเหล่านี้จะเกิดประโยชห์ในยามคับขัน เมื่อกล่าวด้วยควานบริสุทธิ์ใจ

[370]    หมายควานว่า ไม่มีใครที่ได้ยินเสียงเป่าเขา นอกจากผู้นั้นจะสั่นสะเที้ม และเสียชีวิตในอาการหัวห้อย

[371]     คำว่า หรือ เกิดจากควานสงสัย คำแรกคล้ายคลึงกว่า เพราะฝนจะตกลงนาเหมือนอสุจิของผู้ชาย และร่างต่างๆ ก็จะ งอกเงยขึ้นมาจากฝนนั้น

[372]      ผู้ที่ถูกบัญชาให้คิดเอาชาวนรกออกมาคือ อาดัม อ.ล. ดังได้กล่าวมาแห้วในซูเราะห์ อิลฮัจญ์, และวันที่เผยถึงหน้าแข้ง หมายถึงเป็นว้นที่อยู่'ในสถานการณ์คับขันอย่างที่สุด

[373]      กระดูกด้นกบ คือ กระดูกที่อยู่ปลายสุดของกระดูกสนหลัง มนจะไม่พุพงและเน่าเปี่อย และร่างก็จะก่อกำเนดขนจาก กระดูกด้นกบนี้ในอาคิเราะห์

[374]     นี้หมายถึงส่วนใหญ่ และถ้าไม่เช่นนั้นย้งมีมนุษย์เป็นจำนวนมากที่แผ่นดินจะไม่กินร่างของพวกเขา เช่น บรรดานบี และ บรรดานักรบชะฮีด

[375]      คือ จะถูกประกอบขึ้นอีกครั้งในอาคิเราะห์ ดามที่ปรากฏก็คือ ร่างจะก่อกำเนิคขึ้นจากกระดูกสันหลังในการกำเนิดครั้ง แรก ขณะที่อยู่ในมดลูก

[376]      การบังเกิดขึ้น'ใหม่ คือการที่สรรพสิ่งต่างๆ จะลุกขนจากหลุมศพในอาคิเราะห์ หลังจากได้เสียชีวิตไป และการรวม ก็ คือ การที่มนุษย์จะร่วมชุมนุมกันในทุ่ง่มะห์ซัร เพื่อสอบถามและคิดคำนวณ และตอบแทนอย่างครบถ้วน

[377]      พวกที่ปฎิเสธการบังเกิดใหม่จะกล่าวว่า  “ใครจะ'ให้กระดูกที่ผุพังไปแล้วมีชีวิตขึ้น อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตร'สว่า จง กล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า ผู้ที่ให้กำเนิดมันในครั้งแรกจะชุบชีวิตมันขึ้นอีก และพึงทราบเถิด การให้กลับฟื้นขึ้น ง่ายกว่าการสร้างขึ้น ในครั้งแรก และโดยไม่มีรูปรอยมาก่อน

(800) ด้งนั้น ผู้ใดที่เส์ยชวิดขณะอยู่ในควานดี เขาก็จะถูกบังเกิดฃึ้นใหม่ ในสภาพที่สวยงาม และผู้ใดที่เสืยชึวิดในขณะอยู่ใน ควานชั่ว ก็จะลูกบังเกิดขึ้นหมู่ในสภาพที่น่าขยะแขยง

[379]    คือจะถูกบัญชาให้ห์าไปสู่นรกโดยฉันมองเห็นอยู่

[380]    คอ อีซา อ.ล.

[381]    หะดีษนี้ผ่านมาแล้วในซูเราะห์ อัลมาอิดะห์

[382]      มนุษย์ชาดิทั้งหลายจะถูกบังเกิดขึ้นใหม่ และถูกนำไปรวมกัน โดยไม่มีสิ่งใดๆ อยู่กับพวกเขา และไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ไปจากเขา เช่น หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย และนํ้วมีอที่ถูกตัดขาดไปในโลกดุนยา แต่พวกเขาจะถูกนำไปรวมกันเหมีอนใน สภาพที่ถูกกำเนิด โดยไม่มีสิ่งใดอยู่กับเขา ในสภาพเปลือยกาย นอกจากบรรดานบี และคนที่มีตำแหน่งใกล้เคียงกับนบีเป็นการ ให้เกียรติแก่พวกเขา ดังคำของท่านนบีที่ได้กล่าวมาก่อนแล้วว่า : คนแรกที่จะได้สวมใส่ในอาคิเราะห์คีอ อิบรอฮีม อ.ล.

[383]    ในการเดินด้วยเท้า นี่คีอพวกแรก

[384]     นี่คีอพวกที่สอง

[385]      มนุษย์ในวันร่วมชุมนุมนั้น เหลื่อมล้ำกัน พวกหนึ่งเดินด้วยเท้า อีกพวกหนึ่งขี่อูฐ และอีกพวกหนึ่งไฟนรกจะไล่ต้อนพวก เขาไปยังที่ ๆ อัลเลาะห์ประสงค์ ที่เป็นการบอกเล่าถึงการชุมนุมที่เกิดขึ้นในโลกดุนยาก่อนถึงวันกิยามะห์เล็กน้อย ดังได้กล่าวมาแล้ว ในเรื่องสัญญาณต่าง ๆ ของวันกิยามะห์ และสัญญาณสุดห้ายคีอ ไฟที่จะออกมาจากยะมันและไล่ด้อนผู้คนไปสู่ที่ชุมนุมของพวกเขา

[386]       มนุษย์บางคนจะถูกนำไปร่วมชุมนุมในสภาพเดินไป บางคนในสภาพขับขี่พาหนะ บางคนในสภาพที่ใช้หน้าเกลือกไป ได้แก่กาฟิร (ผู้ไร้ศรัทธา) ดังกล่าวแล้วในชูเราะห์ อัลอิสรออ์ และอัลฟุรกอน

[387]      มนุษย์ จะถูกนำไปร่วมชุมนุมอยู่บนแผ่นดินใหม่ส์ขาว บริสุทธิ์ โดยความชั่วยังไม่เคยเกิดบนมันเลย ส่วนแผ่นดินที่เรา อาศ้ขอยู่นี้ก็จะถูกนำไปรวมด้วยเช่นกัน และมันจะถูกถามถึงสิ่งที่ถูกกระทำบนมัน และมันจะเป็นพยานเข้าข้างผู้ที่ทำทวามดิ และ เป็นพยานปรักปรำผู้ที่ทำควานชั่ว

[388]     มวลมนุษย์จะออกมาจากหลุมฝังศพ และมายืนอยู่บนแผ่นดินที่เป็นสถานที่ชุมนุน อยู่เบื้องหน้าพระผู้อภิบาล

[389]      คอได้อ่านอายะห์ที่ว่า “ในวันที่ผืนแผ่นดินจะถูกเปลี่ยนเป็นแผ่นดินอื่น” หลังจากนั้นได้ถามว่าโอ้ท่านรอซูล้ลเลาะห์ มนุษย์ จะอยู่กันที่ไหน ในช่วงที่เปลี่ยน ? ท่านตอบว่า อยู่บนสะพาน

[390]     คือไม่มีเครื่องหมายว่าเป็นที่พักอาศัย และไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ได

[391]      แผ่นดินในดุนยานี้ จะเป็นขนมปังแผ่นหนี่งในอาคิเราะค์ คือ เหมือนแป้งที่นวดแล้วก้อนหนึ่ง วางอยู่บนปากหลุมหลัง จากได้จุดไฟในหลุมนั้นแล้ว

[392]     พวกเขาจะรับประทานมันก่อนที่จะเข้าสวรรค์ อัลเลาะห์จะเปลี่ยนธาตุของแผ่นดินในดุนยานี้ใท่ไปสู่สกาพนี้ และตวบท ของตอบรอนีว่า  แผ่นดินจะเป็นขนมปังสีขาว ผู้มีศรัทธาจะรับประทานมันจากใต้ฝ่าเท้าทั้งสองข้างขอเขา อิกริมะห์ได้กล่าวว่า แผ่นดินจะเปลี่ยนเป็นเหมือนแผ่นขนมปัง ที่ชาวอิสลามทุกคนจะรับประทานมัน จนกว่าพวกเขาจะเสรีจจากการสอบสวน และพวกเขาจะไม่ด้องถูกลงโทษด้วยความหิวโหยในการรอคอยการตัดสิน ตามที่ปรากฏก็คือ นี่เป็นลักษณะของแผ่นดินในดุนยานี้ ภายหลังจากเปลี่ยนมันแล้ว และนี่คือความหมายที่ว่าเปลี่ยนแผ่นดินใหม่

[393]     บาลาม คือวัว ในภาษาอิบรอนีย์, นูน คือ ปลาวาพ ชาวสวรรค์ ส่วนใหญ่จะรับประทานติ่งที่ตับของวัวและปลาวาฬ และอาจเป็นไปได้ว่านี่เป็นอาหารมื้อแรกของชาวสวรรค์

[394]      “อำนาจการปกครองเป็นของผูใดในวันนี่” อัลเลาะค์ทรงถาม แต่'ไม่มีผูใดตอบ พระองค์จึงตอบตัวเองว่า “เป็นของ อัลเลาะห์ผู้ทรงเอกะ...”

[395]     คำว่า กำ. พับ และจับ มีความหมายเดียวกันคือ พระองค์จะรวบมัน ยกมันและเปลี่ยนมัน

[396]    ได้กล่าวมาแถ้วอย่างกว้างขวางในซูเราะห์อัซซุมัร

[397]     คือจะกล่าวถึงความสับสนอลหม่านของกิยามะห์บางอย่าง

[398]     ได้มีผู้วิงวอนขอให้ลงโทษพวกผู้ไร้ศรัทธา เขาผู้นั้นคือ อันนัดร์บุตรอัลฮาริษ ซึ่งได้กล่าวว่า “ข้าแด่อัลเลาะห์ ถ้าหาก สิ่งนั้นมันเป็นสัจธรรมที่มาจากพระองค์ท่านแถ้ว ได้โปรด'ให้มืฝนหนตกลงมาจากฟากฟ้าเหนือพวกเราเถิด หรือได้โปรดนำการลงโทษที่แสนเจ็บปวดมาสู่พวกเราเถิด”

[399]     และการลงโทษนี้ได้เกิดกับพวกเขาจากอัลเลาะห์ ผู้เป็นเจ้าของบันไดที่มวลมะลากิกะห์ใข้ขึ้นลงอยู่ในห้องฟ้า

[400]     คือ มวลมะลาอิกะห์และญิบรึล จะขึ้นไปสู่พระองค์โดยทางบันได คือไปสู่สถานที่ลงคำสั่งของพระองค์ในโลกเบื้องบน และการลงโทษจะเกิดกับพวกผู้ไร้ศรัทธา ในวันหนึ่งที่มีระยะห้าหมื่นปี

[401]     เหงอ'ของพวกเขาจะใหลลงใป'ในดินลึกเจ็ดสิบศอก หรือหมายถึงมีเหงื่อมาก

[402]     นี่สำหรับคนบางคนดังจะกล่าวต่อไป

[403]      ขณะที่มนุษย์อยู่ในวันกิยามะห์ในสภาพเปลือยกาย เปลือยเท้า เบียดเสียดกันอย่างหนัก คะวันอยู่ใกล้กับศีรษะของพวก เขา โดยอยู่เบํ้องหน้าของอัลเลาะห์ และพระองค์ทรงแสดงอาการพิโรธ เหงือก็จะทะลักออกมาเนี่องจากผู้คนที่มากมาย จน ไหลซึมลงไปในแผ่นดินเป็นจำนวนมาก และท่วมสูงขึ้นมามากมาย แต่เหงือนั้นจะหุ้มห่อมนุษย์แต่ละคนคามแต่ผลงานที่แต่ละคน ได้ทำไว้ นางคนเหงือถึงตาคุ่ม บางคนถึงหัวเข่า บางคนถึงบั้นเอว บางคนถึงปาก แล'ะบางคนก็ถึงหู

[404]      การสอบสวนอย่างง่ายดายคือ การนำเอาผลงานมาเสนอให้ดูที่จะได้กล่าวต่อไปในหะดีษอาอิชะห์ และหะดีษอิบนิอุมัร

[405]      หมายความว่า สรรพสิ่งต่าง ๆ จะด้องกลับคืนสู่อัลเลาะห์ตาอาลาในอาคิเราะห์ และพระองค์จะสอบสวนพวกเขาทุกสิ่ง

[406]      นึ่เป็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่า อัลเลาะห์ตาอาลาจะทรงสอบถามมนุษย์ด้วยพระองค์เองโดยไม่มีสื่อกลาง อะลี ร.ฎ. ได้เคยให้การอบรมสั่งสอนประชาชนโดยใช้หะดีษบทนี้ ได้มีชายคนหนึ่งถามว่า โอ้ท่านผู้นำของมวลผู้ศรัทธา อัลเลาะหจะทรงสอบสวนมนุษย์ ทั้งหมดได้อย่างไร ในเวลาเดียวก้น อะลื ร.ฎ. ตอบว่า                เหมือนอย่างที่พระองค์ให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเขาในเวลาเดียวกัน พระองค์ก็จะสอบสวนพวกเขาในเวลาเดียวกันได้เช่นกัน

  1. ตามที่ปรากฎ สิ่งนึ่จะเกิดกับพวกผู้ไร้ศรัทธา และพวกที่ดีสองหน้า

[407]     หมายความว่า จงระวังไฟนรก ด้วยการทำทวามดีแม้เพียงเล็กน้อย

[408]     ความหมายในนึ่นึ่คือ การช่วยเหลือ ของอัลเลาะห์แก่บ่าวของพระองค์ที่มีศรัทธาในอาคิเราะห์

[409]     ปกป้องเขา และให้ความสงสารแก่เขา

[410]     อย่างนั้น อย่างนั้นที่เป็นบาป และเขาก็จะรับสารภาพบาปนั้นๆ

[411]    เป็นการแจ้งข่าวดีแก่มุสลิมที่ถูกปกปิดความผิดในดุนยา

[412]     คือ ด้วยมือขวาของเขา, การสอบสวนผู้มีศรัทธา ก็คือการที่พวกเขาสารภาพบาปของพวกเขา

[413]     และพวกที่ตีสองหน้าก็เช่นกัน

(984) ทารสอบสวนอย่างละเอียด และมีการซักถามนั้น จะไม่เกิดขึ้นนอกจากกับผู้ที่จะถูกลงโทษ ส่วนการสอบสวนอย่างง่าย ดายนั้นคือ การนำผลงานมาเสนอในผู้มีศรัทธาดู และเขาก็จะรับสารภาพต่อผลงานนั้น และอัลเลาะห์ก็จะอภ้ยโทษให้เขาดังได้ กล่าวมาแล้ว

[415] คือท่านจะใช้มันไถ่ตัวจากไฟนรกไหม ความจริงท่านเคยถูกขอร้องด้วยสิ่งที่ง่ายกว่านั้น นั้นคืออิสลาม แต่ท่านก็ไม่ยอม เช้ารับอิสลาม

(930) คือจะชะเง้อคอขึ้น เพื่อฟังสิ่งที่อาดัมจะถูกถาม และที่เขาจะตอบ

[417]     ความหมายก็คือ ชาวสวรรค์มีน้อยเมื่อเทียบกับชาวนรก หะด็ษนี้กับหะดีษที่จะกล่าวต่อไปไม่ขัดกัน

[418]    ถ้าหากที่นั้นมีหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ และมีเด็ก หญิงนั้นก็จะด้องคลอดถูกออกมา และเด็กนั้นก็จะผมหงอก เพราะความสับสน และปั่นป่วนอย่างรุนแรง

[419]     คือเหนือมวลมุสลิม

[420]     ที่เปีนหนึ่งจากจำนวนฬน

[421]     โดยที่จากพวก ยะอฺญูจ และมะอฺญูจ หนึ่งพัน และจากพวกท่านหนึ่งคน

[422]     และพระองค์จะสั่งให้นำเขาไปสู่ไฟนรก

[423]      ทั้งสองนี้เป็นพวกผูไร้ศรัทธาที่อ้ลเลาะค์ได้ประทานให้แก่พวกเขาอย่างมากมายในโลกดุนยา แต่พวกเขาไม่สำนกในบุญคุณ ของพระองค์ แต่กลับตั้งตัวเป็นศัตรูของอัลเลาะห์ และลืมพระองค์ ด้งนั้นพระองค์จึงลืมพวกเขา พวกเขาเหล่านี้คือ พวกที่ละเมิด

[424]     เหมือนที่ได้กล่าวแก่บุคคลที่อยู่ก่อนเขาทั้งสองคน

[425]     คือจงหยุดเพื่อรับฟังผู้ที่จะกล่าวหาว่าท่านโกหก

(940) เพื่อทำลายข้อแก้ตัวของเขาเอง โดยมีอวัยวะของเขาเป็นพยานปรักปรำตนเองว่าเป็นคนตีสองหน้า

[427]     และปฎิบัติต่อฉันดังความยุติธรรม และนี่แหละที่ทำให้ท่านนบี ซ.ล. หัวเราะ

[428]     มันก็ไม่สามารถจะพูดได้

[429]      แต่อัลเลาะห์จะช่วยพวกเขาให้หยุดรออยู่ได้ในวันกิยามะห์, ครึ่งวัน คือครึ่งวันของวันกิยามะห์ คืออัลเลาะหจะไม่ทำให้ ประชากรของฉันที่ร่ำรวยหมดความอดทน ที่จะรอคอยการสอบสวน ณ พระผู้อภิบาลของพวกเขาในเมากิฟ ที่พระองค์จะทำ ให้พวกล้าหลังอยู่ครึ่งวันที่จะตามไปทันคนจน ที่ไปถึงสรรค์ก่อนพวกเขา

[430]     กิศอศคือ การที่อัลเลาะห์ตาอาลา จะจัดการเอาสิทธิ์ของผู้ที่ถูกทุจริตคนให้แก่เขาจากผู้ที่ทุจริต

  1. ที่โน้น (ในอาคิเราะห์) ไม่มีเหรียญทอง และไม่มีเหรียญเงิน แต่ที่โน้นจะมีแต่ความดีเท่านั้นที่จะเอาไปชดใช่สิทธิ์ต่างๆ

[432]     ตามที่ปรากฎ การกิศอศระหว่างมุสลิม จะเกิดขึ้นบนสะพานนึ้

[433]     ขณะที่มนุษย์อยู่ในเมากิฟ (สถานที่รอคำพิพากษา) และเสร็จสิ้นจากการสอบสวนแล้ว แผ่นบันทึกผลงานของเขาก็จะปลิว มาจากใต้อัรช์ แผ่นบันทึกทุกแผ่นจะมาหาเจ้าของของมัน คนดีจะได้รับมันด้วยมึอขวา ส่วนคนเลวจะไต้ริบมันต้วยมัอซ้าย หรือ จากต้านหลังของเขา

[434]     เขาจะกล่าวแท่พวกพ้องของเขาแสดงออกถึงความยินดีว่า “พวกท่านจงอ่านบันทึกของฉัน”

[435]     คือฉันมั่นใจว่า อัลเลาะห์จะต้องสอบสวนฉัน

[436]     ที่ทํ้งคนยืน คนนั่ง และคนนอนจะสามารถเก็บมันไต้

[437]     การที่มนุษย์เสนอตัวต่ออัลเลาะห์ก็คือ หยุดอยู่เบื้องหน้าของพระองค์

สถานการณ์ในเมากีฟนั้นอีหลายสถานการณ์ โดยพิจารณาถึงสิ่งที่จะดำเนินไป. สถานการณ์ที่หนึ๋ง คือสรรพสิ่งต่างๆ จะ หยุดนิ่งอยู่ นิ่เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด จนคิดอยากจะไปใหพ้นแม้จะไปสู่นรกก็ตาม และเมื่อพวกเขาได้ไปขอพึ่งบรรดา รอซูล และท่านนบี ซ.ล. ไต่รับปากจะช่วยเหลือ แก่พวกเขา และอัลเลาะห์ยอมรับการช่วยเหลือของท่าน การสอบสวนสรรพสิ่ง ต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้น นิ่เป็นสถานการณ์ที่สอง และจะเป็นเช่นนิ้ จากสถานการณ์หนิ่งไปสู่อีกสถานการณ์หนิ่ง จนพวกเขาจะไปถึง สวรรค์หรือนรก

[438]     ในกิยามะห์นั้น จะมตาชั่งไว้ชั่ง บันทึกผลงาน หรือชั่งผลงานเองหลังจากความดีต่าง ๆ ได้กลายเป็นรูปร่างที่มีรัศมี และ ความชั่วได้กลายเป็นรูปร่างที่มืดมน ตาชั่งนั้นจะมีจานรองสองด้าน ด้านหนิ่งสำหรับความดีและอีกด้านหนิ่งสำหรับความชั่ว หรือคำว่า ตาชั่งนั้นเป็นคำเปรยบเท่ยบที่หมายถึงการคำนวณผลงาน และกำหนดการตอบแทนแก่ผลงานนั้น

[439]     ท่านนป็ซ.ล. ในเมากีฟนั้น บางขณะท่านจะอยู่ที่ตาชั่ง'บางขณะอยู่ที่สระน้ำ และบางขณะก็อยู่ที่สะพาน

[440]     คือพระองค์จะให้เขายืนอยู่เหนือศีระของประจักพยานทั๊งหลาย

[441]     ชิรอต เหมือนสะพานที่ทอดข้ามไฟนรก ภายหล่งจากประชาชนได้มาจากเมากิฟ่ และมาสุดลงที่มัน มนุบย์จะถูกบัญชา ให้ข้ามมัน ขาวนรกกึจะดกลงไป ชาวสวรรค์ก็จะผ่านม้นไป'ใด้ แด่บางคนก็ด้องพบความยุ่งยาก

[442]     ในหะสืบยาวที่จะนำมาในเรื่อง การเอาผู้มีศรัทธาออกจากไฟนรก

[443]     บางคนจะถูกตะขอเหล็กข่วน แด่เขาก็จะพ้นภํยและปลอดภ้ย แด่บางคนก็ถูกตะขอเหล็กฉุดลงนรก

  1. สระน้ำาที่ว่านี้อยู่ในเมากิฟ น้ำขาวยิ่งกว่าน้ำนม หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งที่ประชาชาติจะได้ดื่มมันก่อนเข้าสวรรค์ และนบีแต่ละ ท่านก็จะมีสระน้ำที่ประชาขาติของตนจะ ได้ดื่มกิน
  2. คือ แก่การกระทำต่างๆ ของพวกท่านในอาคิเราะห์

(900) ด้วยสิ่งที่พวกเขาได้ทรัพย์สงครามมาจากพวกเปอร์เชึยและโรมัน

  1. คือ จากประชากรของฉัน
  2. คือผู้ที่ย้ายออกจากศาสนาของเขา
  3. คือขฌะที่ฉันยืนอยู่ที่สระน้ำ ทันใดนั้นได้มีคนกลุ่มหนึ่งมา

[450]      คออูฐที่ปล่อยไวในทุ่งโดยไม่มีคนเลี้ยงคอยดูแล หมายความว่า คนที่จะรอดพ้นจากไฟนรกจากพวกเขามีน้อย เหมีอน อูฐที่หลงทางกีมีน้อย

[451]    คือขนาดความกว้าง ยาว และลักษณะ เครื่องดื่ม และภาชนะที่ใช้ดื่มของมัน

[452]     ยัรบาอ กับ อัชรุห์ เป็นชื่อตำบลสองตำบลตั้งอยู่ที่ชามห่างกันประมาณสาม'ไมล์

  1. อัยละห์ เป็นชื่อเมืองหนึ่งอยู่ที่ชาม อยู่บนฝั่งทะเลใกล้กับดามัสกัคไปทางตะวันตก ศอนอาอฺ เป็นชื่อเมีองหลวงของ ยะมัน

[454]  ความมุ่งหมายก็คอให้เกยรติ พวกยะม้น

[455]  ตามที่ปรากฏก็คอ เขาเป็นคนชรา ติงนั้นการเตินทางจงทำให้เขาลำบาก

[456]  คอ อุมิร บุตร อบดุลอะชีช์

[457]     การชะฟ่าอะห์ (ช่วยเหลือ) นั้นเป็นสิ่งที่ปรากฏและเกิดขึ้นจริง โดยมีหลักฐานทั้งกิตาบ ชุนนะห์ และอิจมาอ์ การชะฟาอะห์ มีห้าแผนก หนึ่งเรียกว่า ชะฟาอะห์อุซมา (การช่วยเหลือครํ้งยิ่งใหญ่) ซึ่งได้แก่มวลสรรพสิ่งทั้งปวงที่ช่วยให้พวกเขาพ้นจากความ สับสนและปั่นป่วนในเมากิฟ และร่นการสอบสวนให้เร็วขึ้น เป่นด้น สอง ช่วยให้พวกหนึ่งเข้าสวรรค์โดยไม่ด้องสอบสวน สาม เพิ่มขั้นในสวรรค์ให้แก่ชาวสวรรค์บางคน สิ่ช่วยพวกหนึ่งที่จะด้องเข้านรกด้วยบาปชองพวกเขา ให้พ้นจากนรก ห้าช่วยให้คนที่มี บาปบางคนให้ออกจากนรก แผนกที่หนึ่ง และที่สองนั้น เป็นสิทธิ์โดยเฉพาะของท่านนบี ซ.ล.

[458]     นบี มุฮัมมัด ซ.ล. ของเราจะช่วยในการพิพากษา และช่วยพวกหนึ่งให้เช้าสวรรค์โดยไม่ด้องสอบสวน และช่วยพวก หนึ่งให้ออกจากไฟนรกและได้เข้าสวรรค์

[459]      คือมะลาอิกะห์ จาทอัลเลาะห์ตาอาลา ตามที่ปรากฏกีค์อ ญิบรีล

[460]     การช่วยเหลือแก่คนชั่วและคนที่ท่าบาป จากมวลมุสลิมที่เสียชีวิตโดยไม่ได้เตาบะห์

[461]    ในการเปีดประตูสวรรค์ และให้คนชั่วบางคนเข้าสวรรค์

[462]      ความซื่อสํตย์และเครือญาติจะลุกขึ้นในรูปของคนสองคน และยืนอยู่ข้างสะพานคอยเป็นพยานให้แก่ผู้ที่ได้ปฎิบัติตาม สิทธิ์ของมันทั้งสอง และเป็นพยานปรักปรำคนที่ไม่ปฎิบัติตามสิทธิ์ของมันทั้งสอง เพราะเรื่องของมันทั้งสองนั้นยิ่งใหญ่

[463]     ผู้ใดที่ถูกโยนลงไปในนรกจะยังไม่ตกถึงก้นมัน นอกจากจะต้องใช้เวลาถึงเจ็ดสิบปี

[464]     บาปที่ว่านี้ก็คือการกินจากต้นไม่ที่กล่าวอยู่ในอัลกุรอาน

[465]     คำขอนั้นก็คือ “ช้าแด่พระผู้อภิบาล ขอพระองค์อย่าปล่อยไว้บนหน้าแผ่นดินจากบรรดาผู้ใร้ศรัทธาสักคนเดียว"

[466]     การโกหกทั้งสามครํ้ง ไต้กล่าวมาแล้ว ในเรื่องควาบประเสริฐของอิบรอฮีม ในตอนท้ายภาคตำแหน่งนบี

[467]      คือที่ถูกระบุอยู่ในคำตำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “และมูซาไต้ต่อยเขา และท่าใท้เขาเสียชีวิตไป (มูซา) ไต้กล่าวว่า นี่เป็นผลงานของชัยฏอนแน่แท้ ชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูที่ท่าใท้หลงผิดอย่างชัดแจ้ง” แด่เขาไต้เตาบะห์     และอ้ลเลาะห์ก็รับเตาบะห์ของเขาแล้ว

[468]     คืออย่างสมเกียรตของอัลเลาะห์

[469]     จงขออัลลาะห้ให้ความเมตตาแก่บ่าว และให้ทำการตัดสินพวกเขา อัลเลาะห์ตาอาลาจะตอบรับคำร้องของท่ๅนนบี

[470]     พวกเขาหวั่นไหว สับสนและงวยงง กับความปั่นป่วนอย่างร้ายแรงที่ประสบในวันกิยามะห์

[471]     คำพูดนี้ออกมาจากอาดัม และพี่น้องของเขา เปีนความถ่อมตน และเพราะพวกเขารู่ดีว่า ตำแหห์งที่ควรแก่การสรรเสริญนี้ เป็นของท่านนบี มุฮัมมด ซ.ล. โดยเฉพาะ

[472]     คือ ฉันขอความเมตตาให้แก่ประชากรของฉัน

[473]     ความหนายในที่นี้ก็คือ ผู้ใดที่มีน้ำหนักเท่าเมลีดผักกาดเกินจากศรัทธาของเขา

[474]     เพราะความกลว ฮัจญาจ ผู้ละเมิด

[475]     อะบู สะอึด เปีนชื่อเล่น ของหะซัน อัลบัสรีย์, อะบู ฮัมชะห์ เปีนชื่อเล่นของ อะน้ส บุตร มาลิก

[476]     คือหะชันได้กล่าว เพื่อต่อหะดีษให้จบ

[477] ตามทปรากฎพวกเขาจะขอความช่วยเหลอ เพื่อทำให้ประชาชนพ้นจากสถานการณ์ที่ค'บฃ'น และขอให้ดำเฟ้นการสอบสวน

(990) พวกเขาจะได้ยินผู้ที่เรึยกพวกเขา และผู้ที่มองพวกเขาก็จะเห็นพวกเขาทั้งหมด เพราะสถานที่ ๆ พวกเขาอยู่นั้นเป็นที่ราบ

[479] พระผู้อภบาลของฉันได้ห้ามฉันรับประทาน จากด้นไม้นั้น แต่กับฝ่าฝืนพระองก็ ด้วยการรับประทานมัน ด้งนั้นฉันจะ ไม่ขอต่อพระองค์นอกจากขอให้ตัวฉันพ้นภํยเท่านั้น

[480] อัลเลาะห์ตาอาลาและมะลาอิกะห์ก็จะให้การช่วยเหลือด้วยเช่นกันดังจะปรากฎในหะดีษยาวที่จะนำมา ชะฟ่าอะห์ (ความช่วขเหลือ) คือ การเข้าหาอัลเลาะห์ เพื่อฃอให้พระองค์ยกโทษให้แก่ ผู้มีศรัทธาบางคนที่ทำบาปให้ได้เข้าสวรรค์ หรือเป็นการ ยกย่องผู้มีครัทธาบางคนให้ได้เข้าสวรรค์ โดยไม่มีการสอบสวน

[481] คือใครที่ถูกระบุอยู่ในหะดีษ พวกเขาตอบว่า อิบนุ อะบี ย้ดอาอ เขาชื่อ อับดุลเลาะห์

(1008) คือจะถูกชี้ไปสู่ไฟนรก จนมันจะปรากฎแก่พวกเขาเหมือนภาพลวงดาที่ผู้กระหายน้ำมองว่าเป็นน้ำ ต่อเมื่อเข้าไปถึงจึง พบว่ามันคือ ไฟนรก ที่เปลวของม้นจะแลบเลยพวกเขา และพวกเขาก็จะตกลงไปในนรก

[483] นี่เป็นการยอมสยบและวิงวอนต่ออํลเลาะห์ให้พวกเขาหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่คํบขันอย่างที่สุด ความจริงพวกเขาผูกพันตัวเองอยู่กับการภ้กดีต่อพระองค์'ในดุนยา และจากผู้ที่พวกเขาไม่เคยภักดืทั๊งที่ต้องการความช่วยเหลือของพวกเขาในดุนยา

[484] คือสี่งที่เท้าไม่เกาะ

(1000) คือที่เกินจากศรัทธาของเขา

[486] เมื่อสรรพสิ่งต่าง ๆ สิ้นสุดจากการให้ควานช่วยเหลือแล้ว อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตร้สว่า “ไม่มีใครเหลือแล้วนอกจากพระ ผู้ทรงเมตตายิ่งของบรรดาผู้มีความเมตตาทั้งหลาย” หล้งจากนั้นพระองค์กำขาวนรกขึ้นมากอบหนึ่งที่ไม่มีควๅมดีใดๆ ที่พวกเขๅ เลยนอกจากความศรัทธาเท่านั้น และพระองค์ก็จะโยนพวกเขาลงในแม่น้ำแห่งชีวิต ที่อยู่ที่ปากทางไปสวรรค์ และ ณ ที่นี้ความเมตตาอันล้นพ้นของพระผู้เป็นเจ้าก็ไห้สำแดงออกมาให้ปรากฎ และกำเดียวที่อัลเลาะห์กำออกมาจากไฟนรกนี้มีจ่าบวนมากมๅย ยิ่งกว่าผู้ที่บรรดาผู้ให้การช่วยเหลือไห้ช่วยเหลือให้ออกมาจากไฟนรก

[487] ซึ่งพวกเขารู้จักในโลกดุนยา

(1018) คำขอของบรรดาศาสนทูต คือคำพูดของพวกเขาบนสะพาน และเช่นกันคำพูด,ของบรรดาผู้ศรัทธาจะกล่าวว่า ข้าแด่ อัลเลาะห์ได้โปรดให้ปลอดภัย ได้โปรดให้ปลอดภัย

(1019) เพราะความตะลงของเขา เมื่อได้เห็นสวรรค์ และไม่กล้าขอสวรรค์

[490] ตามตัวบทของหะดีษนี้คือ มุสลมที่ชั่วนั้นเมื่อถูกโยนลงใน-ไฟนรก พวกเขาจะตายจริง ๆ และคงอยู่ในสภาพนี้ จนกว่า จะหมดกำหนด และพวกเขากีจะออกจากขุมนรก โดยพวกเขาจะไม่รู้สึกว่าถูกลงโทษมาเป็นเวลายาวนาน ต่างก้บพวกผู้ไร้ศร้ทธา และพวกที่ดีสองหน้า

[491] คือจงทิ้งสิ่งที่ท่านเห็นในดุนยาไปเสีย เพราะมํนจะเปรืยบกับสิ่งที่มอยู่ในสวรรค์ไม่ได้

[492] สวรรค์นั้นมีมากมายหลายชั้น ที่กล่าวในที่นี้คือ สวรรค์ มะอฺวา, สวรรค์อัดน์, สวรรค์นะอีม, ดารุสสะลาม และสวรรค์ ฟิรเดาส์ชึ่งเป็นชั้นสูงสุด และในแค่ละชั้นก็ย้งแบ่งออกเป็นชั้น ๆ อีก

[493] ความมุ่งหมายจากรายงานต่าง ๆ นํ้ก็คอ สวรรค์มีหลายขั้น

[494] ความมุ่งหมายคือต้องการบอกถึงความใหญ่ของต้นไม้ และชี๊ให้เห็นเดชานุภาพของอัลเลาะห์ตาอาลา

[495] ชาวสวรรค์บางส่วนจะมองดูชาวสวรรค์ที่อยู่ในห้องที่อยู่เหนือขึ้นไป เหมือนมองดวงดาวที่อยู่สูงและส่องสว่าง เพราะ ศรัทธาที่มั่นคงและผลความคีฃองพวกเขา พวกนั้นจะคิดว่านั้นคิอที่พำนํกฃองบรรดานบีที่จะ ไม่มิผู้ใดไปลงได้นอกจากบรรดา นบีเท่านั้น ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า หามิได้ คนอื่นก็มิสิทธิ์ไปลงได้ และพวกนั้นก็คิอบรรดาผู้มิศรัทธาที่มีคุณธรรม

[496] ความรักของพวกเขาก็จะเพิ่มพูนขึ้น

[497] ในตลาดนไม่ปึการขาย ไม่ปึการซื้อ แต่ผู้ใดปรารถนาสิ่งใดก็เอาไปได้เลย

[498] เป็นชื่อไม้หอมอินเดียชนิดหนึ่ง เป็นการยกตัวอย่างด้วยสิ่งที่พวกเขารูจักในโลกดุนยา

[499] บุคคลแรกที่จะได้เข้าสวรรค์คือท่านนบีมุฮัมมัด ซ.ล. หลงจากฉันคือบรรดาศาสนาทูต จากนั้นคือบรรดานบี แล: ตามด้วยบรรดาประชากรต่าง ๆ ซึ่งประชากรแรกที่จะได้เข้าสวรรค์คือประขากรของท่านนบีมุฮัมมัด ซ.ล.

[500] ศาสนทูตที่มึบริวารมากที่ธุดคอท่านนบีมุอำหมด ซ.ล. เพราะบัญญัติศาสนาของท่านจะยังคงอยู่ต่อไปจนถึงวันกิยามะห์

[501] ความหมายที่ว่า แดง'ในที่นี้หมายถึง ขาว

(1002) คือถามถึงสาเหตุที่ทารกนั้นเป็นชายหรึอหญิง โดยพิจารณาจากค่าตอบ

(1003) คอจะไม่ใครเหลออยู่ในนรกสํกคนเดึยวจากบรรดาผูมศร‘ทธาที่ทำความชั่ว ดังนั้นบุคคลที่เป็นชาวสวรรค์ก็จะนิรันดร์ อยู่ในสวรรค์และพวกที่อยู่ในนรกก็จะนิรันดร์อยู่ในนรก

 

(1004) คืออัลเลาะห์ได้พวกเจ้ารัตกทอดที่พำนัก ในสวรรค์ด้วยผลงานของพวกเจ้า และให้พวกเจ้ารับตกทอดที่พำนักของ พวกผู้ไร้ศรัทธาด้วยศรัทธาของพวกเจ้า และได้ให้พวกเจ้าเข้าสวรรค์ด้วยความโปรดปรานของพระองค์

(1005) ผู้มีศรัทธาจะได้เห็นพระผู้อภิบาลของพวกเขาในสวรรค์ แต่การเห็นนั้นเปีนการเห็นที่ไม่มึวิธืการ ไม่จำกัด เปรียบเทียบ ไม่ได้ ยกตัวอย่างไม่ได้

[504] หะดีษนบรรยายคำที่ว่า “สองสวรรค์’’ ในอายะห์ที่ว่า “และสำหรับผู้ที่เกรงกลัวการยืนอยู่เบื้องหน้าพระผู้อภิบาลของเขา (รอรับการตัดสิน) นั้นได้สองสววรรค์”

[505] คือความบรมสุขในสวรรค์อันเป็นนิรันดร์ ซึ่งพระองค์ท่านไม่เคยให้มันแก่ผู้ไร้ศรัทธา

[506] ปรากฎตามที่กล่าวมาก็คอประตูนรกนนม!จีดประตูคอ: ยะส์นน'ม, ชะอีร, ละดอ, ชะก๊อร, ญะอีม, ฮาวยะท่, และ ฮุตอมะห์

[507] ไฟในอาคิเราะห์นนความร้อนของม'น แรงกว่าความร้อนของไฟในโลกดุนยานํ้หทสืบเล้าเท่า

[508] หะดึษนชํ้ว่า การลงโทบบางอย่างนํ๋นคอความหนาวจัด ชงไม่แปลกเลย เพราะการหายใจเอาความเย็นจ้ด!ข้ๅไปก็จะไต้ทัเ ความทรมานเหม่อนหายใจเอาความร้อนเข้าไป

[509] เฆอยะฮํนนม่เปน'ขุมที่เบาที่สุด1ของไฟนรก ขิงต้องม่โช่ล่ามถงเจ็ดหม่นเส้น โช่แต่ละเส้นม่มะลาอกะห์กุดอยู่เจ็ดหม่น ท่าน แล้วขุมต่างๆ ที่เหลออยู่จะเป็นอย่างไร?!

[510] คอพวกที่ทำรูปเพื่อใช้สักการะเป็นการสักการะอนจากอ"'ลเลาะห์

[511] อาจเป็นได้ที่ชนนี่ลกกว่าชนที่ก้อนหนตกลงไปลงก้น โดยใช้เวลาเจ็ดส์บปีตามที่ท่านนบี ซ.ล. ไดิยน

[512] นี่เป็นของผู้ใร็ศรัทธาบางคน ส่วนหะดีษก่อนเป็นของอิกบางคน ซึ่งท็งสองนี้ไม่ขัดกัน

[513] และระยะทางระหว่างทั้งสองนั้นคือ สืบสอง มัรฮะละห์

[514] เป็นซื่อสถานที่แห่งหนึ่ง บางทัศนะว่าเป็นชื่อภูเขา

[515] อัรรอบะชะห่ เป็นชื่อสถานที่แห่งหนึ่ง ห่างจากนครมะดินะห์ประมาณสามมัรฮะละห์ (ประมาณ 130 กม.)

[516] ผู้ไร้ศรัทธาขณะที่อยู่ในเมากิฟ และขุมนรกนั้นลิ้นจะยาวออกไปหนึ่งหรือสองฟัรชัค (หนี่งฟัรชัคประมาณ 4 ไมล์) ประชาชนทั้งหลายจะใช้เท้าของพวกเขาเหยียบมัน ความหมายของตัวบทเหล่านี้ชี้ว่า ร่างกายชองพวกผุ่ไร้ศรัทธานั้นจะขยาย ใหญ่ขึ้นในนรกเพื่อให้ได้รบการลงโทษอย่างเติมที่

[517] ส่วนหนี่งของการลงโทษผู้ไร้ศรัทธาในวันกิยามะห์คือ เทน้ำที่ร้อนจัดลงไปบนศีรษะฃองเขา และน้ำนั้นจะทะลุผ่านเช้า ไปถึงภายใน มันจะท่าให้ลำไส้ขาดเป็นท่อนๆ แล้วไหลลงสู่ทวารหนัก แล้วกลับขึ้นมาอึก ก็จะเทน้ำร้อนจัดรดลงไปอึกเป็น ครั้งที่สอง และมันก็จะทะลุเช้าไปถึงห้อง และมันจะเป็นอยู่อย่างนี้ และนี่แหละคือ การละลายที่กล่าวอยู่ในคำด่ารัสของ อัลเลาะห้ที่ว่า “น้ำร้อนจัดจะถูกราดลงเหนัอศีรษะของพวกเขา สิ่งที่อยู่ในท้องของพวกเขาและผิวหนังจะละลายเพราะมัน”

[518] ไม่ด้องสงส'ยเลยว่า มันคือการลงโทษที่หนักที่สุด

[519] ขาวนรกจะถูกลงโทษด้วยการราดน้ำที่ร้อนจ้ดลงบนศีรษะของพวกเขา และด้วยการดื่มน้ำร้อนจัด ใบหน้าของเขาจะถูก' ลวก และหนังหัวกีจะหลุดออก

[520] ดอเรึยะอ เป็นไม่หนามชนิดหนึ่งที่ส่ตว์ไม่ใช้เป็นอาหาร

[521] พวกเขาจะขอความช่วยเหลอใน้พ้นจากสภาพอาหารดิดคอด้วยการดื่มน้ำ

[522] พวกเขาบางคนจะกล่าวแก่อีกบางคนว่า จงขอร้องเจ้าหน้าที่นรกญะฮ้นนัม ให้วิงวอนขอผ่อนโทษต่อพระผู้อภบาลของ พวกเขาแก่พวกตน

[523] นี่เป็นส่วนหนึ่งจากคำของล่ลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “และบรรดาผู้ที่อยู่ในขุมนรกได้กล่าวแก่เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลนรกว่า พวก ท่านจงวิงวอนขอต่อพระผู้อภิบาลของพวกท่านใน้ผ่อนโทษพวกเราส้กวันหนึ่งเถิด พวกเขาจะกล่าวว่า บรรดาศาสนทูตของ พวกเจ้าไม่ได้ไปหาพวกเจ้าพร้อมด้วยหล้ทฐานต่างๆ หรือ พวกเขากล่าวว่า: หาม่ได้ เจ้าหน้าที่นรกได้กล่าวว่า: พวกเจ้าจงขอเอา เองเถิด คำวิงวอนของพวกผู้ไร้ศรัทธานั้นไม่มีอื่น นอกจากอยู่ในความหลงผิดเท่านั้น” คือไม่ม่ประโยขน์ใด ๆ

[524] อะอ์มัช ซึ่งเป็นนักรายงานหะดีษนี้ด้วยผู้หนึ๋งกล่าวว่า ฉันถูกบอกเล่าว่า ระหว่างค่าวิงวอนของพวกเขา ก้บค่าตอบของ มาลิก ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้ดูแลขุมนรก ที่ตอบพวกนั้นห่างกันหนึ่งพันปี

[525] อะบูตอลิบ บุตร อ้บดุลมุตตอลิบ เป็พชาวนรกที่ถูกลงโกษเบาที่สุด

[526] เป็นค่าพูดเพื่อทดสอบ และแสดงความเมตตา

[527] เมื่อคนที่สองหวังในความเมตตาของอัลเลาะห์ตาอาลา และ คนแรกได้ปฎิป้ตตามคำสงของพระองค์ด้วยการกระโจนลง ไปในขุมนรก อัลเลาะห์จึงได้ให้เกียรติคนทั้งสอง ให้เข้าสวรรค์ด้วยความเมตตาของพระองค์

[528] คือกล่าวถึงหะดีษที่ระบุทั้งเรื่องนรกและสวรรค์

[529] คอคนที่หลงลืมโลกดุนยา หมายถึงไม่ใส่ใจต่อโลกดุนยา

[530] ดังนนจงไม่ใช่ที่ ๆ นรกจะล่อเป็นจุดเด่นเฟ้อโอ้อวด และไม่ใช่ที่ ๆ สวรรค์จะเสย'ใจ แต่จ่าเป็นที่ทั้งสองนนจะต้องพอใจ

ในการแบ่งสรรของอัลเลาะห์ และพอใจในข้อตัดสินของพระองค์

[532] นี่อยู่และนี่ฬานักในสวรรค์ม่เกินกว่าชาวสวรรค์ อ*ลเลาะห่จงสร้างผู้คนขนมาอีก เพื่อให้ได้มาอยู่อาศ'ยในส่วนทึมเกินนน

[533] คือห้อมล้อมมันด้วยสิ่งที่อารมณ์ไม่ขอบ เช่น การภักดีต่างๆ และอีบาดะห์ต่างๆ ดังนั้นจะไม่ได้เข้าสวรรค์นอกจากผู้ที่ ได้ปฎิบัติอย่างสมบูรณ์

[534] เพราะความยากลำบากของสิ่งที่ห้อมล้อมสวรรค์อยู่ แต่มันง่ายสำหรบบุคคลที่อํลเลาะห้ดาอาลาให้ความสะดวกแก่เขา

[535] ญิบรีลได้ไปมองดู และพบว่าม่นมีหลายชั้น ข้อนกันอยู่ เปลวของมันลุกโชน การลงโทษของมันมีหลายรูปแบบ ความ ร้อนของมันรุนแรง

[536] ทุกคนนี่ได้ยินเกี่ยวกับมันจะพยายามออกห่างมัน

[537] คือด้วยทุกสิ่งที่อารมพํฅ้องการ ซึ่งเป็นที่จะท่าให้อัลเลาะห์นละศาสนทูตของพระองค์โกรธกริ้ว เช่น ท่าซินา ดื่มสุรา กินท รัพย์ของเพื่อนมนุษย้โดยไม่เป็นธรรม

(1108) เพราะมันห้อมล้อมอยู่ด้วยสิ่งที่อารมณ์ปรารถนา นอกจากผู้ที่อัลเลาะห์ทรงคุ้มครอง

[539] เป็นที่ทราบอยู่ว่าคนเหล่านี้ไม่เคยได้ท่าความดีเลยนอกจากมึเตาอีดเท่านั้น

[540] ผู้เล่าคือ อิบดุลเลาะห์ ผู้รายงานหะดีษ

[541] หมายล่งในโลกดุนยา

[542] คอสิ่งใดที่จะท่าให้เจ้าพอใจ และไม่ต้องขออีกต่อไป

(1112) ที่เขากล่าวเช่นนั้นเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่อ้ลเลาะหให้เขาเท่ากับดุนยาสองเท่า

(1118) หะดีษทงสิ่นี้ได้บอกเล่าถึงคนสุดห้าขที่เข้าสวรรค์ และมีความเหลื่อมล้ำกับในสวรรคนั้นปรากฎชัด ถ้าหากเราจะถือว่า ทั้งสิ่หะดีษนํ้บอกเล่าถึงคน ๆ เดียวกัน เราก็จำเป็นต้องตีความ และนำหะดีษทั้งสิ่มาผนวกเข้าด้วยกันโดยไม่จำเป็น ด้งนั้นให้ถือว่า สิ่หะดีษนี้เล่าถึงคนหลายคนซึ่งเป็นการดียิ่งกว่าเป็นไปตามที่ปรากฎ

[545] คือกล่าวแก่เขาโดยผ่านลิ้นของมะลาอิกะห์ หรือผู้กล่าวคืออัลเลาะห์ตาอาลา

[546] ดังนั้นเขาจะมีกรรมสิทธิ์เท่ากับโลกดุนยาห้าสิบเท่า

(1110) ขาวสวรรค์ที่มีขั้นต่ำสุด คือคนทจะเดินไปในกรรมสิทธของเขาที่อยู่ในสวรรค์เพื่อเที่ยวขมสิ่งที่มีอยู่ในกรรมสิทธิ์ของเขา อันได้แก่ ปราสาท สวนต่างๆ สายน้ำ ตาน้ำ เตียง คนรับใช้ คู่ครอง เขาจะด้องใช้เวลาในการเดินขมเท่ากับระยะเดินทางหนึ่งพันปี

[548] บางทิศนะว่า สองคนเปีนผู้หญิงในดุนยา และอีกเจ็ดสิบคนเป็นนางฟ้า

(1110) ขอวิงวอนตอกัลเลาะค์ได้คุ้มครองพวกเราให้พ้นจากไฟ่นรก และได้โปรดให้พวกเราได้เช้าสวรรค์ด้วยความโปรดปราน และความใจบุณูของพระองค์ ได้โปรดรับคำวิงวอนเถิด

หมายเลขบันทึก: 703768เขียนเมื่อ 9 กรกฎาคม 2022 14:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 สิงหาคม 2022 18:23 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท