หะดีษซอเฮี๊ยห์เล่มที่8


ด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตาผู้ทรงกรุณาเสมอ
แผนกที่สี่ จริยธรรม และเรื่องต่างๆ ที่มาโดยการบอกเล่า1

ภาคกุศล และจริยธรรม

มีสามบท และบทสุดท้าย

บทที่หนึ่ง
ประเภทของกุศล

เล่าจาก อันเนาวาส บุตร อัมอาน อัลอันชอรืย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ถึง กุศล และบาป ท่านตอบว่า กุศล คือ ความประพฤติที่ดีงาม

และบาป คือสิ่งที่มันรบกวนอยู่ในหัวอกของท่าน และท่านรังเกียจที่จะใหัผู้คนได้รู้เห็นมัน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี

กุศลที่ยิ่งใหญที่สุด คือ การทำความดีต่อบิดามารดา

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า       “และองค์อภิบาลของท่านได้ทรงบัญชาว่า ท่านทั้งหลาย

จะต้องไม่เคารพสักการะ (ผู้ใด) นอกจากพระองค์เท่านั้นและ (บัญชาให้) ทำความดีต่อผู้บังเกิด เกล้าทั้งสอง[1]  บางที่อาจมีใครคนหนึ่งจากทั้งสอง ถึงวัยชราภาพอยู่กับท่าน หรือเขาทั้งสองคน ท่านอย่าพูดแก่บุคคลทั้งสองด้วยถ้อยคำที่แสดงว่าไม่พอใจ อย่าขู่ตะคอกบุคคลทั้งสอง และจงพูด กับเขาทั้งสองด้วยถ้อยคำที่ควรแก่การยกย่อง อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งมาหาท่านรอซูลุลเลาะห์

ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ใครคือผู้ที่สมควร ยิ่งในหมู่มนุษย์ที่ข้าพเจ้าจะ อยู่ร่วมด้วยดี ท่านตอบว่า มารดาของท่าน เขาถามว่า ถัดจากนั้นคือใคร ท่านตอบว่า มารดาของท่าน เขาถามว่า ลัดจากนั้นคือใคร ท่านตอบว่า มารดาของท่าน เขาถามอีกว่า ถัดจากนั้นคือใคร ท่านตอบว่า บิดาของท่าน[2]                                    

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม


 

และเล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ว่า มีชายคนหนึ่งถามว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์

ไลรคีอผู้ที่สมควรยิ่งในหมู่มนุษย์ที่ข้าพเจ้าจะอยู่ร่วมด้วยดี ท่านตอบว่า        มารดาของท่าน

แล้วก็มารดาของท่านแล้วก็มารดาของท่าน หลังจากนั้น คือ บิดาของท่าน จากนั้นคือคนที่ใกล้ ชิดกับท่าน แล้วคนที่ใกล้ชิดกับท่านตามลำดับ[3] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

และเล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จมูกเขาติดดินแน่ จมูกเขาติดดินแน่ และจมูกเขาติดดินแน่[4] มีผู้ถามว่า ใคร โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านตอบว่า คือผู้ที่ทันได้พบกับบิดามารดาของเขาขณะคนหนึ่งหรือทั้งสองคนชราภาพ แล้วเขาไม่ได้เข้าสวรรค์ [5]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซีข

อัสมาอฺ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า มารดาของข้าพเจ้าได้เข้ามาในสภาพที่ยังคงเป็นผู้ตั้งภาคี

ในสมัยชาวกุเรช ขณะที่พวกนั้นได้ทำสัญญากับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. พร้อมด้วยบิดาของ นาง ข้าพเจ้าจึงได้เรียนถามท่านนบี ซ.ล. โดยได้กล่าวว่า แท้จริงมารดาของข้าพเจ้าได้เข้ามาอย่างมีความต้องภารข้าพเจ้าจะติดต่อกับมารดาได้ไหม ท่านตอบว่า ได้ เธอจึงติดต่อกับมารดาของเธอเถิด[6]

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และมุสลิม

เล่าจาก บะห์ซิ บุตร ฮะกีม จากบิดาของเขาจากปู่ของเขา ร.ฎ.  ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ใครคีอผู้ที่ข้าพเจ้าต้องทำความดี ท่านตอบว่า มารดาของท่าน มารดาของท่าน แล้วก็มารดาของท่าน หลังจากนั้นบิดาของท่าน แล้วก็ญาติที่ใกล้ชิด และญาติ ที่ใกล้ชิด จะไม่มีชายคนหนึ่งที่เขาขอจากญาติสนิทของเขา ส่วนเกินของสิ่งที่ญาติผู้นั้นมีอยู่ แต่ ญาติผู้นั้นไม่ยอมให้สิ่งนั้นแก่เขา นอกจากสิ่งที่เกินจากความต้องการของเขาที่เขาไม่ยอมให้นั้น จะถูกเรียกมาในวันกิยามะห์เป็นงูห้วล้าน[7]

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

และมีผู้ถามว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ใครที่ข้าพเจ้าจะต้องทำความดี ท่านตอบว่า มารดาของท่าน บิดาของท่าน พี่น้องหญิงของท่าน พี่น้องชายของท่าน และญาติสนิท ของท่านที่ใกล้ชิดกับบุคคลดังกล่าว เป็นหน้าที่ที่จำเป็น และเป็นเครือญาติที่ถูกเชื่อมโยง[8]  

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่า ไดัมีชายอาหรับชนบทคนหนึ่งพบกับเขาตามทางมักกะห์ อิบนุ อุมัรได้กล่าวสลามแก่เขาและให้เขาชื้นขี่ลาตัวที่อิบนุ อุมัรขี่ และได้มอบผ้าโพกศีรษะที่อยู่บนศีรษะของ เขาให้แก่ชายคนนั้น อิบนุ ดีนารไดักล่าวว่า ขออัลเลาะห์ทรงให้ท่านดี แท้จริงพวกเขาเป็นชาวอาหรับชนบท พวกเขาพอใจด้วยสิ่งเล็กน้อย อับดุลเลาะห์ไดักล่าวว่า แท้จริงบิดาของชายคนนี้ เป็นเพื่อนรักของอุมัรบุตร ค๊อตตอบ และความจริงข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. กล่าวว่าแท้จริงความดีที่ดีที่สุดคือ การที่บุตรเชื่อมสัมพันธ์กับครอบครัวเพื่อนรักของบิดาของเขา11            

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ามีภรรยาคนหนึ่ง ข้าพเจ้ารักหล่อนมาก แต่อุมัรรังเกียจหล่อน จึงใช้ให้ข้าพเจ้าหย่าหล่อน ข้าพเจ้าไม่ยอม อุมัรจึงได้นำเรื่องดังกล่าวไป เล่าให้ท่านนบี ซ.ล. ฟัง ท่านได้กล่าวว่า จงหย่าหล่อนเถิด[9]   

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ได้มีชายคนหนึ่งจากตระกูล บะนี ซะละมะห์ มา แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ยังจะมีสิ่งใดเหลือเป็นการทำความดีด่อบิดามารดาของข้าพเจ้าบ้าง ที่ข้าพเจ้าจะทำความดีแก่บุคคล ทั้งสองหลังจากทั้งสองได้เสียชีวิตไปแล้ว ท่านตอบว่า มีซิ คือการขอพรให้แก่บุคคลทั้งสอง[10] ขออภัยให้บุคคลทั้งสอง ช่วยจัดการทำตามสัญญาของบุคคลทั้งสองให้สำเร็จลง หลังจากบุคคล ทั้งสองจากไป เชื่อมสัมพันธ์กับเครือญาติ ซึ่งจะไม่มีการติดต่อกันนอกจากโดยบุคคลทั้งสอง[11] และให้เกียรติแก่เพื่อนของบุคคลทั้งสอง       

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และ บัยหะกี

เล่าจาก อะบี ตุฟัยล์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี ซ.ล. แบ่งเนื้อที่ เยียะอฺรอนะห์ ข้าพเจ้าในวันนั้นยังเป็นเด็ก ข้าพเจ้ากำลังแบกกระดูกอูฐ ทันใดนั้นได้มีหญิงคนหนึ่งมุ่งหน้ามาจนเข้าใกล้ท่านนบี ซ.ล. ท่านจึงลุกชื้นไปหาหล่อน และได้ปูผ้าห่มของท่านให้ หล่อน แล้วหล่อนก็นั่งลงบนผ้าห่มผืนนั้น ข้าพเจ้าจึงถามว่า หล่อนเป็นใคร พวกเขาตอบว่า หญิงคนนี้ คือ มารดาของท่านนบีที่ได้ให้นมท่านดื่ม[12]

รายงานโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก อะบี ดัรดาอฺ ร.ฎ. ว่า มีชายคนหนึ่งมาหาเขาแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้ามีภรรยา คนหนึ่ง และมารดาของข้าพเจ้าใช้ให้ข้าพเจ้าหย่านาง อะบุ ดัรดาอุ กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่าน รอซูลุลเลาะห์ซ.ล.กล่าวว่า ผู้บังเกิดเกล้า เป็นประตูสวรรค์ที่ดีที่สุด ดังนั้นถ้าหากท่าน ประสงค์ก็จงทำลายประตูนั้น หรือ รักษามันไว้[13]

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความพอใจ ขององค์พระอภิบาลขึ้นอยู่ก้บความพอใจของผู้บังเกิดเกล้า และความกริ้วโกรธขององค์พระอภิบาล ก็ขึ้นอยู่กับความกริ้วโกรธของผู้บังเกิดเกล้า[14]

เล่าจาก อัล บะรอฮฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า น้าสาวนั้นอยู่ในตำแหน่งแม่[15]

และได้มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ความ จริงข้าพเจ้าได้ทำบาปใหญ่ขึ้น ข้าพเจ้าจะมีทางเตาบะห์ (กลับตัว) ไหม ท่านนบีกล่าวว่า แม่ยัง อยู่กับท่านไหม เขาตอบว่า ไม่ ท่านนบีกล่าวว่า พี่น้องผู้หญิงของแม่ท่านยังอยู่ไหม เขาตอบว่า ครับ (ยังอยู่) ท่านนบีกล่าวว่า ท่านจงท่าความดีต่อหล่อนเถิด[16]            

รายงานสี่หะดีษนี้โดย ติรมีซี

ทำความส์ต่อลูก ๆ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้จูบหะซัน บุตร อะลี ณ ที่นั้นมี อักเราะอุ บุตร ฮาบิส อัตดัยมีย์ นั่งอยู่ด้วย เขาได้กล่าวขึ้นว่า  ข้าพเจ้า มีลูกสิบคน ข้าพเจ้าไม่เคยจูบพวกเขาเลยสักคนเดียว ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้มองตูเขา แล้วกล่าวว่า ผู้ที่ไม่มีความเมตตา จะไม่ได้รับความเมตตา[17]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบู ดาวูด และติรมิซี

อุซามะห์ บุตร เซด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. เคยจับตัวฉัน และ เอาฉันนั่งลงบนขาอ่อนของท่าน และจับตัวหะซัน นั่งลงบนขาอ่อนอีกข้างหนึ่ง หลังจากนั้นท่าน ได้กอดคนทั้งสอง แล้วกล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ ได้โปรดเมตตาบุคคลทั้งสองด้วย เพราะแท้จริงข้าพเจ้ามีความเมตตาเขาทั้งสอง[18]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีอาหรับชนบทคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า พวกท่านจูบเด็กๆ ไหม แต่พวกเราจะไม่จูบเด็กๆ[19] ท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าว ว่า ท่านพูดอย่างนี้หรือ ทั้งที่ข้าพเจ้าไม่สามารถหยิบยื่นความเมตตาให้แก่หัวใจของท่านได้ หลัง จากอัลเลาะห์ได้ถอดมันออกไปจากหัวใจของท่านแล้ว[20]

รายงานโดย บุคอรี และ มุลลิม

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า มีหญิงคนหนึ่งมาหาข้าพเจ้า พร้อมด้วยลูกผู้หญิง สองคน หล่อนขอข้าพเจ้า แต่หล่อนก็ไม่พบอะไรที่ข้าพเจ้าเลย นอกจากอินทผลัมเพียงผลเดียว ข้าพเจ้าจึงมอบมันให้หล่อนไป และหล่อนก็ได้แบ่งอินทผลัมผลนั้นให้แก่ลูกผู้หญิงทั้งสองคน ของนาง[21] จากนั้นหล่อนก็ลุกออกไป ต่อมาท่านนบี ซ.ล. ได้เข้ามา ข้าพเจ้าได้เล่าให้ท่านฟัง ท่านได้กล่าวว่า ผู้ใดถูกทดลองด้วยสิ่งหนึ่ง[22] [23] จากบรรดาเด็กผู้หญิงเหล่านี้ แล้วเขาได้ทำความดี ต่อเด็กผู้หญิงเหล่านั้น เด็กผู้หญิงเหล่านั้นก็จะเป็นเครื่องป้องกันไฟนรกให้เขา                                                                     

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ตัวบทของมุสลิม และ ติรมีซี ว่า ผู้ใดให้การอุปการะเด็กผู้หญิงสองคน จนกระทั่ง ทั้งสองเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าและเขาผู้นั้นจะได้เข้าสวรรค์ เหมือนกับทั้งสองนี้26

เล่าจาก อะบี สะอีด อัลคุดรีย์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดมีบุตรสาว สามคน หรือพี่น้องผู้หญิงสามคน หรือ บุตรสาวสองคน หรือ พี่น้องผู้หญิงสองคน แล้วเขา อยู่ร่วมกับพวกหล่อนด้วยความดีงาม เขายำเกรงอัลเลาะห์ในสิทธิของพวกหล่อน เขาผู้นั้นจะได้ เข้าสวรรค์

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดมีบุตรสาว และ เขาไม่ได้ฝังหล่อนทั้งเป็น[24] ไม่ได้เหยียดหยามหล่อน ไม่ได้เลือกรักลูกชายมากกว่าหล่อน อัลเลาะห์ จะให้เขาได้เข้าสวรรค์      

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด 

เล่าจาก อุมัร บุตร อับดุลอะซีซ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า หญิงที่ดี คือ เคาละห์ บุตรสาว ของฮะกีม[25] ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ออกไปในวันหนึ่ง โดยท่านได้กอดลูกชายคนหนึ่ง จากจำนวนสองคนของลูกสาวของท่านไว้ พลางกล่าวว่า แท้จริง พวกเจ้าจะทำให้ (บิดาของ พวกเจ้า) ขี้เหนียว จะทำให้ขี้ขลาด จะทำให้โง่เขลา และแท้จริงพวกเจ้านั้น คือ กลิ่นหอมของ อัลเลาะห์เจ้า[26]

เล่าจาก ญาบิร บุตร ซะมุเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การที่ชาย คนหนึ่งจะอบรมมารยาทให้แก่บุตรของเขานั้น จะเป็นความดียิ่งกว่าการที่เขาทำทานด้วยอาหาร จำนวนหนึ่งซออฺ

เล่าจาก อัยยูบ บุตร มูซา จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีของขวัญใดๆ ที่บิดาจะให้แก่บุตรดียิ่งไปกว่ามารยาทที่ดี[27]                                                                       

รายงานหะดีษทั้งสามโดยติรมิซี

จำเป็นต้องติดต่อกับเครือญาติห้ามการตัดขาดเครือญาติ[28]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ทรงตรัสว่า “และเจ้าจงให้แก่ญาติใกล้ชิดตามสิทธิของเขา และ (จงให้) แก่คนขัดสน และคนเดินทาง และอย่าใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย,,

เล่าจาก อะบี อัยยูบ ร.ฎ. [29] ว่า ได้มีชายคนหนึ่งกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ได้โปรด บอกข้าพเจ้าถึงการกระทำที่จะทำให้ข้าพเจ้าเข้าสวรรค์ ประชาชนพากันกล่าวว่า อะไรของเขา อะไรของเขา[30] ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า เพราะเขามีดวามจำเป็นจึงได้ลาม คือ ท่านต้องทำอิบาดะห์ต่ออัลเลาะห์ ท่านจะต้องไม่นำสิ่งใดไปตั้งภาคีเที่ยบเที่ยมกับพระองค์ ท่าน จะต้องทำละหมาดจะต้องจ่ายชะกาต จะต้องติดต่อเครือญาติ[31] จงปล่อยมัน (สัตว์พาหนะ) คล้ายกับท่านอยู่บนพาหนะของท่าน[32]         

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และ มุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่ความกว้างขวาง ในปัจจัยยังชีพของเขา และการร่นกำหนดความตายของเขาออกไป จะทำให้เขาดีใจ ให้เขาจง ติดต่อกับเครือญาติของเขาเถิด[33]           

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด

และตัวบทของบุคอรี อะบี ดาวูด และ ติรมีช่ ว่า ผู้ติดต่อนั้นไม่ใช่ผู้ที่ตอบแทน แต่ผู้ติดต่อนั้น คือ ผู้ซึ่ง เมื่อเครือญาติของเขาถูกตัดขาด เขาเป็นผู้ติดต่อมัน[34]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง คำว่า เครือญาติ (ร่อฮิม) นั้น มีรากเดิมมาจากพระนาม “อัรเราะห์มาน” อัลเลาะห์ทรงตรัสว่า ผู้ใด ติดต่อกับเจ้า เราก็จะติดต่อกับผู้นั้น และผู้ใดตัดขาดเจ้า เราก็จะตัดขาดผู้นั้น    

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง อัลเลาะห์ ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆ ขึ้น จนเมื่อพระองค์ทรงเสร็จจากการสร้างแล้ว เครือญาติ “ร่อฮิม” ได้กล่าวขึ้นว่า นี่คือตำแหน่งของผู้ที่ขอป้องกันด้วยพระองค์ท่าน จากการตัดขาด พระองค์อัลเลาะห์ ได้ตรัสว่า ถูกต้องแล้ว เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือว่า เราจะติดต่อกับผู้ที่ติดต่อกับเจ้า และเราจะตัดขาดจากผู้ที่ตัดขาดเจ้า เครือญาติได้กล่าวว่า หามิได้ ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้าฯ พระองค์ได้ตรัสว่า มันเป็นของเจ้าแล้ว ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านทั้งหลายจงอ่าน เถิด ถ้าต้องการ “พวกเจ้าคิดไว้หรือว่า ถ้าหากพวกเจ้าหันเหออกจากการศรัทธาแล้ว พวกเจ้า จะสร้างความเสื่อมเสียขึ้นในหน้าแผ่นดิน และตัดขาดวงศ์ญาติ พวกเขาเหล่านั้นแหละที่อัลเลาะห์ ได้สาปแช่งพวกเขา ทำให้หูพวกเขาหนวก และให้ตาของพวกเขาบอด”        

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ว่า มีชายคนหนี่งได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ความจริงข้าพเจ้ามีญาติที่ข้าพเจ้าติดต่อกับพวกเขา แต่พวกเขาตัดขาดข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทำความดี กับพวกเขาแต่พวกเขาทำความชั่วกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าฝันถึงพวกเขา แต่พวกเขาเมินเฉยต่อข้าพเจ้า ท่านนบีได้กล่าวว่า ถ้าหากเป็นอย่างที่ท่านพูด มันก็เหมือนกับท่านให้พวกเขากลืนขึ้เก้าร้อน ๆ และพระองค์อัลเลาะห์จะยังคงอยู่กับท่านเป็นผู้ช่วยเหลือให้ชนะพวกเขา ตราบเท่าที่ท่านยังอยู่ อย่างนั้น

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า “เครือญาติ” นั้น จะถูกแขวน ไว้กับบัลลังก์ (อัรช์)38 มันจะกล่าวว่า ผู้ใดติดต่อกับข้าพเจ้า อัลเลาะห์จะทรงติดต่อกับเขาผู้นั้น และผู้ใดตัดขาดข้าพเจ้า อัลเลาะห์จะทรงตัดขาดเขา     

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม

เล่าจาก ญุบัยร์ บุตร มุตอิม ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะไม่ได้เข้าสวรรค์ คนที่ตัดขาดเครือญาติ39 แท้จริงบาปโหญ่ที่ใหญ่ที่สุดนั้น คือ การที่ชายคนหนึ่งสาปแช่งบิดามารดา ของเขา มีผู้เถาม'ว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ชายคนหนึ่งจะสาปแช่งบิดามารดาของเขาอย่างไร ท่านตอบว่า ชายคนหนึ่งด่าบิดาของชายอีกคนหนึ่ง ชายคนนี้จึงด่าบิดาของชายคนนั้น และ ด่ามารดาของเขาด้วย40                           

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อับดิรเราะห์มาน บุตร เอาฟ์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.กล่าวว่า อัลเลาะห์ ตาอาลาทรงตรัสว่า เราคืออัลเลาะห์ และเราคือ อัรเราะห์มาน เราได้สร้างเครือญาติ (ร่อฮิม) ขึ้น และเราได้ถอดคำว่า เครือญาติ (ร่อฮิม) ออกจากนามของเรา ดังนั้นผู้ใดติดต่อเครือญาติ เราก์จะติดต่อกับเขา และ ผู้ใดตัดขาดมัน เราก็จะตัดขาดเขา41

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี  

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จงศึกษาวงศ์ตระกูล ของพวกท่านให้พอที่พวกท่านจะใช้มันติดต่อกับเครือญาติของพวกท่าน เพราะแท้จริงการติดต่อ เครือญาตินั้นทำให้เกิดความรักขึ้นภายในครอบครัว ทำให้มั่งมีทรัพย์สิน และทำให้ร่นกำหนด ความตายออกไป 

รายงานโดย ติรมิซี อะห์มัด และ ฮากิม

ทำความดีต่อบริวาร42

เล่าจาก อุบาดะห์ บุตร อัลวะลีด บุตร อุบาดะห์ บุตรชอมิต ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ตัว ข้าพเจ้าได้ออกไปกับบิดาของข้าพเจ้า เพื่อหาความรู้ในท้องถิ่นนี้ จากชาวอันซอร ก่อนที่พวกเขา จะเสียชีวิต43 และบุคคลแรกที่ได้พบกับเรา คือ อะบุ อัลยะซัร อัครสาวกของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. พร้อมกับเขามีทาสคนหนึ่ง ที่ทาสคนนั้นมีกระดาษมัดหนึ่ง และที่ร่างของ อะบุ อัลยะซัร มีเสื้อคลุมและผ้ามะอาฟิรีย์ และที่ร่างของทาสของเขาก็มีเสื้อคลุม และ ผ้ามะอาฟิรีย์44 เช่น เดียวกัน ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวแก่เขาว่า โอ้ลุงของข้าพเจ้า ความจริงถ้าหากท่านเอาเสื้อคลุมมาจากทาสของท่าน และให้ผ้ามะอาฟิรีย์ของท่านแก่เขา และ (หรือ) ท่านเอาผ้ามะอาฟิรีย์ของเขา และ ให้ผ้าคลุมของท่านแก่เขา ท่านก็จะมีเครื่องนุ่งห่มหนึ่งชุด และเขาก็จะมีหนึ่งชุด[35] เขาได้ลูบศีรษะ ของข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดเพิ่มพูนให้แก่เขาด้วย โอ้หลานชาย ตาทั้งสองข้างของฉันนี้มองเห็น หูทั้งสองข้างของฉันนี้ได้ยิน[36] และหัวใจของฉันนี้ยังรับรู้ และเขาได้ชี้ไปยังที่ตั้งของหัวใจของเขา คือได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ขณะที่ท่านกล่าวว่า พวกท่าน ทั้งหลายจงให้อาหารแก่พวกเขา จากสิ่งที่พวกท่านรับประทาน และจงให้พวกเขาสวมใส่ จาก สิ่งที่พวกท่านสวมใส่[37] และการที่ฉันจะมอบข้าวของในโลกนี้ให้แก่เขานั้น มันยังเล็กน้อยกว่า การที่เขาจะเอาความดีต่าง ๆของฉันไปในวันกิยามะห์         

รายงานหะดีษโดย มุสลิม เป็นหะดีษยาวในเรื่องของอะบู อัลยะซัร

เล่าจาก อะบี มัสอูด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เฆี่ยนทาสของข้าพเจ้าคนหนึ่ง และ ข้าพเจ้าก็ไดียินเสียงมาจากทางด้านหลัง[38] โอ้ อะบู มัสอูด สองครั้ง อัลเลาะห์ย่อมสามารถ จัดการกับท่านได้ยิ่งกว่าที่ท่านจัดการกับเขา ข้าพเจ้าได้หันไปก็พบว่า ผู้นั้น คือ ท่านนบี ซ.ล. ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ บัดนี้เขาเป็นอิสระแล้ว เพื่ออัลเลาะห์ ท่านนบีได้กล่าวว่า พึงทราบเถิด ถ้าหากท่านไม่ทำเช่นนั้น ไฟนรกก็จะเผาผลาญท่าน หรือ ไฟนรกจะต้อง สัมผัสกับท่านอย่างแน่นอน

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดกล่าวหาทาส ของเขา (ว่าละเมิดประเวณี) ทั้งที่ทาสบริสุทธิ์ จากสิ่งที่เขากล่าวหา เขาจะต้องลูกโบยในวัน กิยะมะห์ โดยถือเป็นกำหนดโทษ

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์เราจะต้องให้อภัยแก่ทาสกี่ครั้ง ท่านนบีนึ่งไม่ตอบ เขาจึงถามขื้นอีก ท่าน ก็นึ่งจนเมื่อเขาถามข็้นเป็นครั้งที่สาม ท่านจึงกล่าวว่า วันละเจ็ดสิบครั้ง[39] 

รายงานทั้งสามหะดีษโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ซัรร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า บุคคลใด จากบรรดาทาสของพวกท่าน ที่สอดคล้องกันดีกับพวกท่าน ให้พวกท่านจงให้อาหารแก่เขา จากสิ่งที่พวกท่านรับประทาน และ จงให้เขาสวมใส่ จากสิ่งที่พวกท่านสวมใส่ และบุคคลใดจาก บรรดาทาสของพวกท่านที่ไม่สอดคล้องกับพวกท่านให้พวกท่านจงขายเขาไป และท่านทั้งหลาย อย่าลงโทษสิ่งที่อัลเลาะห์ตาอาลาทรงสร้างขึ้น[40]

เล่าจาก รอเฟียะอฺ บุตร มะกีซ ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การทำดีต่อบริวารนั้นคือความเพิ่มพูน และมารยาทที่เลวทรามนั้น คือความอับโชค[41]                                                                             

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สามประการนี้อยู่ที่ผู้ใด อัลเลาะห์ จะทรงปกป้องเขาให้อยู่ในความคุ้มครองของพระองค์ และจะให้เขาเข้าสวรรค์ของพระองค์ นั่น คือ เมตตาคนที่อ่อนแอ[42] สงสารพ่อแม่ และทำดีต่อทาส

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า บริวารที่ดีนั้นคือ ผู้ที่เชื่อฟังองค์อภิบาลของเขาและปฏิบัติตามหน้าที่ต่อนายของเขา

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า เมื่อคนใดจากพวก ท่านได้เฆี่ยนบ่าวของเขา และบ่าวคนนั้นได้กล่าวนามอัลเลาะห์ ดังนั้นให้พวกท่านจงยกมือของ พวกท่านขึ้น[43]

เล่าจาก อิบนิ อุมัรร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มืสามคนที่จะได้อยู่บนกอง ชะมดเชียงในวันกิยามะห์ นั่นคือ บ่าวที่ปฏิบัติตามหน้าที่ต่ออัลเลาะห์ และตามหน้าที่ต่อนาย ของเขา และชายคนหนึ่งที่เป็นผู้นำกลุ่มชนหนึ่งโดยชนกลุ่มนั้นพอใจในตัวเขา และชายคนหนึ่ง ที่ประกาศการละหมาดทั้งห้าเวลาในทุกวันทุกคืน 

รายงานหะดีษทั้งสี่โดย ติรมิซี

เมตตาต่อเด็กกำพร้าและหญิงที่ไมีมีสามี[44]

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “สำหรับเด็กกำพร้านั้น เจ้าอย่าขู่บังคับ และสำหรับผู้ ที่ขอ เจ้าอย่าตะคอก และสำหรับความเมตตาของพระผู้อภิบาลของเจ้านั้น จงประกาศ” อัลเลาะห์ ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ 

เล่าจาก สะหัล บุตร สะอัด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ตัวข้าพเจ้า กับ ผู้อุปการะเด็กกำพร้าจะอยู่ในสวรรค์เช่นนี้ และท่านได้ทำท่าด้วยนิ้วทั้งสองของท่าน คือ นี้วชี้กับนิ้วกลาง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และตัวบทของมุสลิมว่า ผู้อุปการะเด็กกำพร้าของเขาเอง หรือของผู้อื่น[45] ตัวข้าพเจ้า กับเขาจะเหมือนกับ (นิ้ว) ทั้งสองนิ้ในสวรรค์ และท่านได้ทำท่าด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลาง

เล่าจาก      เอาฟ์  บุตร   มาลิก  อัลอัชยะอีย์  ร.ฎ.     จากท่านนบี ซ.ล.     ได้กล่าวว่า  ตัวข้าพเจ้า

กับหญิงที่แก้มทั้งสองข้างหมอฺงคลํ้านั้น[46] จะเหมือนกับ (นิ้ว) ทั้งสองนิ้ ในวันกิยามะห์ และ ท่านได้ทำท่าด้วยนิ้วกลางกับนิ้วชี้ คือหญิงที่หม้ายสามี เป็นหญิงที่มีตระกูลดี มีความงาม หล่อน ได้กักขังตัวเอง เพื่อดูแลลูกกำพร้าของนาง จนพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ หรือ เสียชีวิตไป 

รายงานโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้นำเด็กกำพร้าที่เกิดจากบิดามารดาที่เป็นมุสลิม ไปสู่อาหารของเขา และเครื่องดื่มของเขา อัลเลาะห์จะให้เขาได้ เข้าสวรรค์อย่างแน่นอน นอกจากเขาจะทำบาปที่ไม่อาจอภัยให้ใต้[47] 

รายงานโดย ติรมข

เล่าจาก ชอฟวาน บุตร สุลัยม์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนที่เป็นธุระ ช่วยเหลือหญิงหม้ายและคนยากจน เขามีสภาพเหมือนนักรบในวิถีทางของอัลเลาะห์ หรือ มี สภาพเหมือนผู้ที่ถีอศีลอดในเวลากลางวัน และลุกขนทำอิบาดะห์ในเวลากลางคืน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

สิทธิของเพื่อนบ้าน[48]

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “และแก่บิดามารดานั้น จงทำความดี และแก่ญาติใกล้ชิด เด็กกำพร้า คนขัดสน เพื่อนบ้านที่สนิท เพื่อนบ้านที่ห่างไกล เพื่อนร่วมเดินทาง คนเดินทาง และแก่ทาสที่พวกเจ้าปกครองอยู่”

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ญิบรีล คงสั่งเสียข้าพเจ้าใน เรื่องเพื่อนบ้าน จนข้าพเจ้าคิดไปว่า ญิบรีลคงจะให้เพื่อนบ้านได้รับมรดก[49] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และเล่าจาณ อาอิชะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ข้าพเจ้า มีเพื่อนบ้านสองคน คนใดที่ข้าพเจ้าจะฮะดียะห์ให้เขา ท่านนบีตอบว่า แก่คนที่มีประตูบ้าน

ใกล้กับเธอมากที่สุดจากสองคนนั้น 

รายงานโดย บุคอรี และ อะบูดาวูด 

ตัวบทของอะบุดาวูด ว่า ข้าพเจ้ามีเพื่อนบ้านสองคน คนใดจากทั้งสองที่ข้าพเจ้าจะเริ่มก่อน ท่านตอบว่า แก่คนที่มี ประตูใกล้ที่สุดจากทั้งสองนั้น[50]

เล่าจาก อะบี ชุรอยฮ์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ จะยังไม่มีศรัทธา สาบานต่ออัลเลาะห์จะยังไม่มีศรัทธา สาบานต่ออัลเลาะห์จะยังไม่มีศรัทธา มีผู้ถามว่าใคร โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านตอบว่า คือผู้ซึ่งเพื่อนบ้านของเขาไม่ปลอดภัยจาก ความชั่วร้ายของเขา[51] 

รายงานโดย บุคอรี และ มุสลิม 

ตัวบทของมุสลิมว่า จะไม่ได้เข้าสวรรค์ คนที่เพื่อนบ้านของเขาไม่ปลอดภัยจากความชั่วร้ายของเขา

เล่าจาก อะบี ซัรร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้า ว่าเมื่อท่านต้มซุป จงใสน้ำมาก ๆ และจงให้เพื่อนบ้านของท่านได้รู้ 

รายงานโดย มุสลิม

มีแกะตัวหนึ่งลูกเชือดในบ้านของ อับดุลเลาะห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. อับดุลเลาะห์ ได้ กล่าวว่า พวกท่านจงนำไปฮาดียะห์ให้แก่เพื่อนบ้านของฉันที่เป็นชาวยิว เพราะความจริงข้าพเจ้า ได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. กล่าวว่า ญิบรีล คงสั่งเสียข้าพเจ้าด้วยเรื่องเพื่อนบ้าน จนข้าพเจ้า คิดว่า เขาจะให้เพื่อนบ้านได้รับมรดก[52]  

รายงานโดย อะบูดาวูด และ ติรมิซี

ได้มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. ร้องเรียนเพื่อนบ้านของเขา ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านจงไปเถิด และ จงอดทน ต่อมาเขาได้มาหาท่านอีกเป็นครั้งที่สอง หรือครั้งที่สาม ท่านได้ กล่าวว่า ท่านจงไปเถิด และขว้างข้าวของของท่านลงในทางสัญจร เขาจึงได้ขว้างข้าวของของเขา ลงในทางสัญจร ประชาชนได้พากันถามเขา เขาจึงเล่าเรื่องของเขาให้พวกนั้นฟัง ประชาชนได้ พากันสาปแช่งเพื่อนบ้านของเขา ขอให้อัลเลาะห์จัดการกับเขา จัดการอย่างนั้น จัดการอย่างนี้[53] ต่อมาเพื่อนบ้านของเขาได้มาหาเขา แล้วกล่าวว่า จงกลับไปเถิด ท่านจะไม่ได้เห็นสิ่งที่ท่านไม่ พอใจจากฉันอีกต่อไป       

รายงานโดย อะบู ดาวูด

และตัวบทของติรมิซีว่า เพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับอัลเลาะห์ คือคนที่ดีที่สุดต่อเพื่อนของเขา และเพื่อนบ้านที่ดีที่สุดสำหรับอัลเลาะห์ คือ คนที่ดีที่สุดต่อเพื่อนบ้านของเขา

สิทธิของมุสลิมต่อมุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  สิทธิของ มุสลิมที่มีต่อมุสลิมมีหกประการ[54] มีผู้ถามว่า มันคืออะไร โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านตอบว่า เมื่อท่านพบเขา จงกล่าวสลามแกเขา เมื่อเขาเชื้อเชิญท่าน จงตอบรับคำเชิญของเขา เมื่อเขา ขอคำแนะนำ จงแนะนำเขา เมื่อเขาจามและกล่าว “อัลฮัมดุลิ้ลลาห์” ท่านจงกล่าวตอบเขา เมื่อเขาป่วยจงไปเยี่ยมเขา และเมื่อเขาเสียชีวิตจงเดินตามศพเขา[55]                                                              

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ตัวบทของติรมีซีว่า มุสลิมต่อมุสลิมมีสิทธิต่อกันหกประการด้วยความดี กล่าวสลาม แก่เขาเมื่อพบเขา ตอบรับเขาเมื่อเขาเชื้อเชิญ กล่าวตอบเมื่อเขาจาม เยี่ยมเขาเมื่อเขาป่วย ตาม ศพเขาเมื่อเขาเสียชีวิต และต้องการให้เขาได้รับสิ่งที่ต้องการให้ตัวเองได้รับ

ความเมตตาต่อสิ่งที่อัลเลาะห์ตาอาลาทรงสร้างเปีนสิ่งจำเป็น[56]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า อัลเลาะห์ทรงบันดาลความเมตตาให้มีหนึ่งร้อยส่วน พระองค์ทรงเก็บไว้ที่พระองค์เอง เก้าสิบเก้าส่วน และได้ประทานลงมาในหน้าแผ่นดินเพียงส่วนเดียว และจากส่วนเดียวนั้นที่สรรพสิ่ง ต่าง ๆ มีความเมตตาต่อกัน แม้กระทั่ง ม้ายกกลีบเท้าของมันขื้นจนพ้นลูกของมันเพราะกลัวจะ โดนลูก                รายงานโดย บุคอรี และ มุสลิม

เล่าจาก ยะรีร บุตร อับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่ไม่มีความ เมตตา เขาก็จะไม่ได้รับความเมตตา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อับดิ้ลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า บรรดาผู้มีความ เมตตานั้น พระผู้ทรงเมตตายิ่งจะให้ความเมตตาแก่พวกเขา ท่านทั้งหลายจงมีความเมตตาแก่ชาวดินเถิด แล้วผู้ที่อยู่ในฟากฟ้าจะเมตตาพวกท่าน

อะบู ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยิน อะบั้ล กอซิม ซ.ล. ผู้มีสัจจะและ ถูกยืนยันในความมีสัจจะ ผู้เป็นเจ้าของห้องนี้[57]กล่าวว่า ความเมตตาจะไม่ถูกถอดออกจากผู้ใด นอกจากผู้ที่ชั่วช้าเท่านั้น 

ได้มีชายชราคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. กลุ่มชนได้ทำเนือยๆ ที่จะขยายวงให้เขา (ได้นั่งร่วมด้วย) ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.ได้กล่าวว่า ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของเราผู้ที่ไม่เมตตาต่อ ผู้น้อยของเรา และไม่ให้ความเคารพต่อผู้อาวุโสของเรา[58]          

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดย อะมูดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่ใช่ เป็นส่วนหนึ่งของเรา ผู้ที่ไม่เมตตาต่อผู้น้อยของเรา และไม่ให้ความเคารพต่อผู้อาวุโสของเรา ไม่ใช่ให้ทำความดี และ ไม่ห้ามปรามจากความชั่ว

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีชายหนุ่มคนใดที่ให้เกียรติ แก่คนชรา เพราะความมีอายุของเขา นอกจากอัลเลาะห์จะจัดให้แก่เขามีผู้ที่จะยกย่องเขา เมื่อ เขามีอายุเท่าคนชรานั้น 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

เล่าจาก นัวะอุมาน บุตร บะชีร ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า เปรียบบรรดาผู้มีศรัทธาในความรักของพวกเขาที่มีต่อกัน ในความเมตตา และ ความสงสาร ของพวกเขาที่มีต่อกันนั้นเหมือนกับร่างกายเดียวกัน เมื่ออวัยวะหนึ่งของร่างกายได้รับความทุกข์ ทรมาน ส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะได้รับความกระทบกระเทือนด้วยการอดนอนและป่วยไข้

รายงานโดย บุดอรี และ มุสลิม

และตัวบทของมุสลิมว่า บรรดาผู้มีศรัทธา เหมือนชายคนหนึ่ง ถ้าหากตาของเขาเจ็บ ร่างของเขาทั้งหมดก็เจ็บ ถ้าหากหัวของเขาเจ็บ ร่างของเขาทั้งหมดก็เจ็บ

เล่าจาก อะบี มูซา ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้มีศรัทธาต่อผู้มีศรัทธานั้น เปรียบดังอาคารที่ส่วนหนึ่งของมันผนึกกับอีกส่วนหนึ่ง และท่านได้เอานิ้วของท่านประสานเข้า ด้วยกัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และได้ปรากฏว่า บรรดาอัครสาวกของท่านนบี ซ.ล. ขณะที่อยู่ในการเดินทางพร้อมกับท่าน ได้มีพวกเขาบางคนจับพี่น้องของเขามัด ขณะนอนหลับ ต่อมาเมื่อตื่นขื้น เขาก็ตกใจ ท่านรอซูลุลเลาะห์จึงได้กล่าวว่า ไม่อนุมัติแก่มุสลิม ที่จะทำให้มุสลิมตกใจกลัว[59] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด ในเรื่องการหยอกล้อ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขณะที่ชายคนหนึ่ง กำลังเดินอยู่ตามทาง ได้เกิดความกระหายนํ้าอย่างรุนแรงขึ้นกับเขา ต่อมาเขาได้พบบ่อน้ำ จึงได้ ลงไปในบ่อ และ ดื่มน้ำ จากนั้นเขาก็ได้กลับขึ้นมา ก็ได้พบสุนัขตัวหนึ่ง กำลังแลบลิ้นกินดินเปียก ด้วยความกระหาย ชายผู้นั้นได้รำพึงว่า หมาตัวนิ้ได้ประสบกับความกระหายถึงขนาดที่ข้าพเจ้า


 

ประสบ เขาจึงลงไปในบ่อเติมนํ้าจนเต็มรองเท้าของเขา จากนั้นได้ใช้ปากคาบรองเท้า และได้ ให้สุนัขตัวนั้นได้ดื่มนํ้า อัลเลาะห์ทรงขอบคุณเขา และได้อภัยโทษให้เขา พวกเขา (อัครสาวก) ได้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์พวกเราจะได้รับผลบุญหรือ ในเรื่องสัตว์ ท่านนบีตอบว่า  ได้ ในทุกร่างที่มตับเปียกนั้น มีผลบุญ[60]          

รายงานโดย บุดอรี และ มุสลิม

เล่าจาก อับดิ้ลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราอยู่กับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ใน ขณะเดินทาง ต่อมาข้าพเจ้าได้โปทำธุระส่วนตัวของข้าพเจ้า และได้เห็นนกกระจอกตัวเมียตัว หนึ่งมีลูกอยู่กับมันสองตัว ข้าพเจ้าได้เอาลูกทั้งสองของมันมา ต่อมานกกระจอกตัวนั้นได้มา และ เริ่มส่งเสียงร้อง[61] ท่านนบี ซ.ล. ได้มาแล้วกล่าวว่า ใครทำให้นกตัวนี้เศร้าใจด้วยลูกของมัน พวกท่านจงคืนลูกของมันให้แก่มันไป และท่านนบีได้เห็นรังมดที่พวกเราได้เผามัน ท่านได้ถาม ว่า ใครเผารังมดนี้ พวกเราตอบว่า พวกเราเอง ท่านนบีได้กล่าวว่า ไม่บังควรที่จะมีผู้ใด ลงโทษโดยใช้ไฟ นอกจากเจ้าของไฟเท่านั้น 

รายงานโดย อะบูดาวูด

บทที่สอง
บาปประเภทต่างๆ

บาปใหญ่ที่สุดคือการทุจริต และการทำร้ายสรรพสิ่งต่างๆ ที่อัลเลาะห์ทรงสรางฃน

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “เจ้าอย่าคิดว1าอัลเลาะห์ลืมสิ่งที่บรรดาผู้ทุจริตทำ ความจริงพระองค์ทรงหน่วงพวกเขาไว้ เพื่อวันที่สายตาจะได้ประจักษ์ในวันนั้น”

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การทุจริต คือ ความมืดทมึน ในวันกิยามะห์[62] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้เอาสิ่งใดไปจาก พื้นแผ่นดินโดยไม่เปีนธรรม เขาจะลูกแผ่นดินสูบในวันกิยามะห์ จนถึงแผ่นดินชั้นที่เจ็ด

และในบางรายงานว่า ผู้ใดได้เอาพื้นแผ่นดินไปคืบหนึ่งโดยทุจริต แน่นอนมันจะลูกนำ มาเป็นห่วงคล้องคอเขาในวันกิยามะห์ จากแผ่นดินทั้งเจ็ดชั้น[63]                                                         

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะห์มัด

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ใครที่มีสิ่งที่เขาทุจริต มาจากผู้หนึ่งผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ หรือสิ่งใดๆ ให้เขาจงขออนุมัติจากบุคคลผู้นั้นเสียตั้งแต่ วันนี้ ก่อนที่จะไม่มีเหรียญทองและเหรียญเงิน ถ้าหากเขามีการกระทำที่ดี ก็จะต้องถูกยึดไปจาก เขาเท่ากับจำนวนของสิ่งที่เขาทุจริตมา และถ้าหากเขาไม่มีความดี ความชั่วต่างๆ ของคู่กรณีของเขาก็จะถูกยึดเอามาให้เขาเป็นผู้แบกภาระ                               

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มุสลิมเป็นพี่น้องของมุสลิม มุสลิมจะไม่ทุจริตมุสลิม และจะไม่มอบมุสลิมให้ไปสู่ความพินาศ ผู้ใดที่อยู่ในการเป็นธุระแก่ พี่น้องของเขา อัลเลาะห์จะทรงอยู่ในการเป็นธุระให้เขา ผู้ใดช่วยให้มุสลิมพ้นจากภัยพิบัติ อัลเลาะห์ จะช่วยให้เขาพ้นจากภัยพิบัติหนึ่งจากบรรดาภัยพิบัติในวันกิยามะห์ และผู้ใดปกปิดมุสลิม อัลเลาะห์ จะทรงปกปิดเขาในวันกิยามะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลาย จงกลัวการทุจริตเถิด เพราะความจริงการทุจริต คือ ความมืดมนในวันกิยามะห์ และท่านทั้งหลาย จงกลัวความตระหนี่เถิด เพราะแท้จริงการตระหนี่ได้ทำลายบุคคลในยุคก่อนพวกท่านให้พินาศ มาแล้ว มันได้ทำให้พวกเขาต้องหลั่งเลือด และทำให้พวกเขาบังอาจอนุมัติสิ่งต้องห้ามของพวกเขา

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  ว่า แท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านทราบไหมว่า ใครคือบุคคลล้มละลาย พวกเขาตอบว่า บุคคลล้มละลายในหมู่พวกเรา คือ ผู้ที่ใม่มีเหรียญเงิน และ ไม่มีข้าวของใดๆ ท่านนบีกล่าวว่า บุคคลล้มละลายจากประชากร ของฉัน คือ ผู้ที่มาในวันกิยามะห์พร้อมด้วยละหมาด การถือศีลอด ซะกาต และได้มีมาว่า เขา ได้ด่าคนนี้ ได้กล่าวหาคนนั้น ได้กินทรัพย์ของคนโน้น ได้ทำให้เลือดของคนนี้หลั่งนอง และ ได้เฆี่ยนติคนนั้น ให้ยึดเอาความดีของเขาให้แก่คนนี้ และความดีของเขาให้แก่คนนั้น[64] และถ้าหากความดีของเขาหมดก่อนที่จะชดใช้สิ่งที่ติดเขาได้หมดความผิดต่างๆ ของพวกเขาก็จะถูกยึดเอามา และขว้างไปให้เขา และตัวเขาก็จะถูกโยนเข้าไปในไฟนรก

และรายงานจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สิทธิต่างๆ จะถูกนำไปคืนให้แก่เจ้าของของมันในวันกิยามะห์ จนแม้แต่สัตว์ที่มีเขาก็จะต้องถูกลงโทษ ให้แก่สัตว์ที่ไม่มีเขา[65] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม และ ฅิรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ.ล.แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ได้โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดว่า ถ้าหากมีชายคนหนึ่งตั้งใจมาเอา ทรัพย์ของข้าพเจ้า[66] ท่านกล่าวว่า ท่านอย่าให้ทรัพย์ของท่านแก่เขา เขาได้กล่าวว่า ได้โปรดบอก ข้าพเจ้าเถิดว่า ถ้าหากเขาต่อสู้ข้าพเจ้า ท่านได้กล่าวว่า จงต่อสู้เขา เขาได้กล่าวว่า โปรดบอก ข้าพเจ้าเถิดว่า ถ้าหากเขาฆ่าข้าพเจ้า ท่านตอบว่า ท่านก็ตายชะฮีด เขาได้กล่าวว่า โปรดบอก ข้าพเจ้าเถิดว่า ถ้าหากข้าพเจ้าฆ่าเขา ท่านตอบว่า เขาก็อยู่ในไฟนรก[67]                                                                                          

รายงานโดย มุสลิม ในเรื่องการศรัทธา

เล่าจาก อะบี บักเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีบาปใดที่สมควร ที่อัลเลาะห์ตาอาลาจะรีบลงโทษเจ้าของบาปนั้นในโลกดุนยารวมกับสิ่งที่พระองค์ทรงเก็บไวให้ เขาในโลกอาคิเราะห์ เหมือนกับ การทุจริต และ การตัดสัมพันธ์กับเครือญาติ[68] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

ฮิชาม บุตร ฮะกีม ร.ฎ. ได้ผ่านไปที่ชาม ได้พบผู้คนหลายคนถูกจับให้ยืนอยู่กลางแดด และนํ้ามัน[69] ได้ถูกเทรดลงไปบนศีรษะของพวกเขา เขาได้กล่าวว่า อะไรกันนี่ มีผู้ตอบว่า พวกเขาลูกลงโทษในเรื่องคอรอจ[70] ฮิชามได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่าน รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า แท้จริง อัลเลาะห์ จะลงโทษบรรดาผู้ที่ลงโทษมนุษย์ในโลก ดุนยา     

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มีหญิงคนหนึ่งเข้า นรก เนื่องจากกักขังแมวตัวเมียของหล่อน หรือ แมวตัวผู้ ที่หล่อนได้ผูกมันไว้ โดยหล่อนไม่ได้ ให้อาหารมัน และไม่ปล่อยมันให้ออกหาสัตว์เลื้อยคลานตามดินเป็นอาหาร จนมันตายไปในสภาพ ผอมโช[71]         

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม 

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้ใช้ของมีคม ชี้ไปยังพี่น้องของเขา แท้จริงมะลาอิกะห์จะสาปแช่งเขา จนกว่าเขาจะทิ้งมัน และถึงแม้พี่น้อง ของเขาจะเป็นพี่น้องพ่อเดียวแม่เดียวกันกับเขาก็ตาม[72]     

รายงานโดย มุสลิม และ ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  คนหนึ่งคนใดของ พวกท่านจะต้องไม่ใช้อาวุธชี้ไปยังพี่น้องของเขา เพราะคนหนึ่งคนใดของพวกท่านไม่รู้ บางที่ ชัยฏอนอาจดึงออกจากในมือของเขา และเขาก็จะตกลงไปในหลุมหนึ่งของไฟนรก[73]

อุบัยดิลเลาะห์ บุตร ซิยาด ได้เข้าไปหา มะอฺกิล บุตร ยะชาร ร.ฎ.  ในขณะที่เขา กำลังอยู่ในอาการป่วยที่เขาได้เสียชีวิตลงในการป่วยนี้ อุบัยดุ้ลเลาะห์ ได้ถามเขา[74] และเขาได้ตอบ ว่า ถ้าหากฉันรู้ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ ฉันจะไม่เล่าให้ท่านฟัง แท้จริงฉันได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์ได้ให้เขาปกครองประชาชน และเขาเสียชีวิต ในวันที่ เขาเสียชีวิตนั้น เขาทุจริตต่อประชาชนของเขา นอกจากอัลเลาะห์ จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ และใน บางรายงานว่า ไม่มีเจ้าเมืองคนใดที่ปกครองกิจการของมุสลิม หลังจากนั้น เขาไม่ใช้ความพยายาม เพื่อประชาชนและไม่สั่งสอน นอกจากเขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์พร้อมกับพวกเขา อุบัยดิลเลาะห์ ได้กล่าวว่า พึงทราบเถิดว่า ท่านได้เล่าหะดีษนี้ให้ข้าพเจ้าฟังแล้ว ก่อนจากวันนี้ เขากล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเล่าให้ท่านฟัง                                         

รายงานหะดีษโดย บุคอรีและ มุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดทำให้ภรรยา ของชายคนหนึ่งเสื่อมความเคารพ (ในตัวสามี) หรือทำให้ทาสของเขา (เสื่อมความเคารพใน ตัวนาย) ผู้นั้นไม่ใช่เป็นพวกเรา[75] 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ นะซาอี

เล่าจาก ฮุซัยฟะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้ง หลายอย่าเป็นคนที่ไร้ความคิด โดยพวกท่านจะกล่าวว่า ถ้าหากผู้คนทำดี เราก็จะทำดี และถ้า หากเขาทุจริต เราก็จะทุจริต แต่พวกท่านจงเป็นตัวของพวกท่านเอง ถ้าหากประชาชนทำดี พวก ท่านก็จะทำดี และถ้าหากพวกเขาทำความชั่ว พวกท่านก็จะไม่ทุจริต

เล่าจาก อะบี ศิรมะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใด เป็นภัยต่อผู้อื่น อัลเลาะห์ก็จะเป็นภัยกับเขา และผู้ใดเข้มงวด อัลเลาะห์ก็จะเข้มงวดกับเขา

เล่าจาก อะบี บักร์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เป็นผู้ที่ถูกสาปแช่งแล้ว บุคคลที่เป็นภัยต่อผู้มีศรัทธา หรือ ใช่เล่ห์กลต่อผู้มีศรัทธา                                                                

รายงานหะดีษหั้งสามนี้โดย ติรมิซี

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร ฮุบชีย์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดตัดต้น พุทรา อัลเลาะห์จะพุ่งศีรษะของเขาลงในไฟนรก[76]                                                                          

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และ นะซาอี

ผู้ที่ทุจริตที่สุด คือ ทุจริตตัวเอง[77]

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “พวกเจ้าอย่าสังหารชีวิตของพวกเจ้าเอง แท้จริงอัลเลาะห์ ทรงเมตตาพวกเจ้า,, อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก อัลหะซัน ร.ฎ. ว่า ยุนดุบ บุตร อับดิลลาห์ ได้เล่าให้พวกเราฟังในมัสญิด แห่งนี้ และเราไม่เคยลืมเลย ตั้งแต่เขาเล่าให้เราฟัง และเราก็ไม่กลัวว่ายุนดุบจะป้ายสีท่านนบี ซ.ล. เขาได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งในบุคคลที่อยู่ในยุค ก่อนพวกท่าน ที่ร่างเขามีบาดแผล และเขาหมดความอดทน ในที่สุด เขาก็คว้ามีด และใช้มีด นั้นตัดมือของเขา เลือดก็ไหลไม่ยอมหยุด จนเขาตาย อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า บ่าวของเรา รีบมาหาเราด้วยตัวของเขาเอง เราจึงห้ามเขาเข้าสวรรค์[78]                                                                                       

รายงานโดย บุคอรี ในตอนท้ายของเรื่องเริ่มการสร้าง

การยุแหย่[79]

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “ผู้ที่ชอบติ ผู้ที่พยายามทำความเสื่อมเสีย ผู้ที่ชอบหวง ความดี ผู้ที่ละเมิด ผู้ที่มีบาป”[80]

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อชายคนหนึ่งได้พูดถึงเรื่อง หนึ่ง แล้วเขาได้กลับออกไป ถือว่ามันเป็นความไว้วางใจ[81]                                                                      

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

และเล่าจากเขา (ญาบิร) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  ที่ประชุมทั้งหลายถือเป็นความ ไว้วางใจ[82] นอกจากสามที่ประชุม คือ หลั่งเลือดที่ต้องห้าม หรืออวัยวะเพศที่ต้องห้าม หรือ ตัดทอนเอาทรัพย์มาโดยไม่เป็นธรรม[83]         

รายงานโดย อะบู ดาวูด

เล่าจาก ฮัมมาม ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราอยู่กับ ฮุซัยฟะห์ ได้มีผู้กล่าวแก่เขาว่า มี ชายคนหนึ่งนำคำพูดไปแจ้งแก่ อุสมาน ร.ฎ. [84] ฮุซัยฟะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวแก่เขาว่า ข้าพเจ้า ไดยินท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า จะไม่ได้เข้าสวรรค์หรอก คนที่ชอบยุแหย่


 

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า เขาไดยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า แท้จริงดนที่เลวที่สุด คือ คนที่มีสองหน้า คือ ผู้ที่มาหาพวกนี้ด้วยใบหน้าหนึ่ง และพวกนั้นด้วยอีกใบหน้าหนึ่ง

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า พวกท่านจะต้อง ระวังจากการทำให้แตกแยกกัน เพราะความจริงมันเป็นมีดโกน[85] 

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริง มุฮัมมัด ซ.ล. ได้กล่าวว่า พึงทราบ เถิด ข้าพเจ้าจะแจ้งให้พวกท่านทราบว่าอะไรคือ การใส่ร้าย มันคือ การยุแหย่ที่ทำความแตกแยก ในหมู่ผู้คน

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจาก อัมมาร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดมีสอง หน้าในโลกดุนยา ในวันกิยามะห์ เขาจะมีสองลิ้นที่มาจากไฟนรก[86]                                                                 

รายงานโดย อะบูดาวูด

การนินทา[87]

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “บางส่วนของพวกท่าน อย่านินทาอีกบางส่วน คนหนึ่ง คนใดของพวกท่านชอบหรือ ที่จะรับประทานเนื้อพี่น้องของเขาที่ตาย แน่นอนพวกเจ้าจะต้อง รังเกียจมัน และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ แน่แท้อัลเลาะห์ทรงรับการกลับตัวยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านรู้ไหมว่า การนินทา คืออะไร พวกเขาตอบว่า อัลเลาะห์ และ ศาสนทูตของพระองค์ ทราบดี ท่านนบีได้กล่าวว่า คือ การที่ท่านพูดถึงพี่น้องของท่านในสิ่งที่เขาไม่พอใจ มีผู้ถามว่า ได้โปรดบอกเถิดว่า ถ้าหากสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดนั้นมีอยู่ในตัวของพี่น้องของข้าพเจ้า ท่านกล่าวว่า ถ้าหากสิ่งที่ท่านพูดมีอยู่ในตัวเขา นั่นแหละท่านได้นินทาเขาแล้ว และถ้าหากมันไม่มีอยู่ในตัวเขา นั่นมันก็เท่ากับท่านได้ใส่ร้ายเขา        

รายงานโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ท่านนบี ซ.ล. ว่า พอเพียง แก่ท่านแล้วในตัวศอฟิยะห์ที่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อาอิชะห์ หมายถึง (ศอฟิยะห์) เป็นคนเตี้ย[88] 

ท่านนบีได้กล่าวว่า แท้จริง เธอได้พูดคำพูดหนึ่ง ถ้าหากจะนำมันไปปนกับนํ้าทะเลแล้ว มัน จะต้องทำให้นํ้าทะเลเปลี่ยนสี อาอิชะห์ได้กล่าวว่า และข้าพเจ้าได้เล่าถึงชายคนหนึ่งให้ท่านนบี ฟัง" ท่านได้กล่าวว่า ฉันไม่ต้องการดูถูกผู้ใด โดยที่ฉันจะได้รับอย่างนั้นและอย่างนั้นก็ตาม[89] 

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนหนึ่งคนใดจากบรรดา อัครสาวกของฉัน อย่าได้นำสิ่งใดๆ ของใครคนหนึ่งมาแจ้งแก่ฉัน เพราะฉันต้องการออกไปพบ พวกท่าน โดยที่ฉันมีหัวใจบริสุทธิ์[90]  

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า บาปใหญ่ที่ใหญ่ที่สด ก็คือ การที่คนคนหนึ่งล่วงเกินในเรื่องเกียรติยศของคนมุสลิม โดยไม่เป็นธรรม[91] และส่วนหนึ่ง ที่เป็นบาปใหญ่ก็คือ แลกสองคำด่าด้วยหนึ่งคำด่า

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขณะเมื่อ ข้าพเจ้าถูกนำขึ้นสู่โลกเบื้องบน (เมียะอฺรอจ) ข้าพเจ้าได้ผ่านไปพบชนกลุ่มหนึ่ง มีเล็บที่ทำจาก ทองแดง กำลังข่วนหน้า และ อกของพวกเขา ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า พวกนั้นเป็นใคร โอ้ญิบรีล เขาตอบว่า พวกนั้น คือ พวกที่กินเนื้อมนุษย์ และ วิพากษ์วิจารณ์ในเกียรติยศของมนุษย์

เล่าจาก อัลมุสเตาริด ร.ฎ.  ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใด ได้กินคำหนึ่ง โดยใช้ผู้ชายมุสลิมเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน แท้จริงอัลเลาะห์จะให้เขากินเช่นเดียวกันนั้นจากขุมนรกญะะฮันนัม และผู้ใดได้เสื้อผ้าสวมโดยใช้ผู้ชายมุสลิมเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน แท้จริงอัลเลาะห์จะให้เขาสวมใส่เช่นเดียวกันนั้น จากขุมนรกยะฮันนัม[92] และผ้ใดลุกขึ้นแสดง ตำแหน่งความมีชื่อเสียง และอวดอ้างต่อชายคนหนึ่ง แท้จริงอัลเลาะห์จะลุกขึ้นแสดงตำแหน่ง ความมีชื่อเสียง และอวดอ้างต่อเขา ในวันกิยามะห์                                                                                

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดย อะบู ดาวูด

ไม่เรียกว่า นินทา ในคนชั่ว[93]

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้ขออนุญาตเข้าพบท่านนบี ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงอนุญาตให้เขา (เข้ามา) เถิด เขาเป็นพี่น้องร่วมสกุลที่เลว หรือ เป็น ลูกร่วมสกุลที่เลว[94] เมื่อชายคนนั้นเข้ามา ท่านนบีได้ใช้คำพูดที่อ่อนโยนกับเขา ข้าพเจ้าจึงลาม ว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ท่านได้พูดสิ่งที่ท่านพูด หลังจากนั้นท่านก็ใช้คำพูดอ่อนโยนกับเขา ท่านนบีได้กล่าวว่า โอ้ อาอิชะห์ มนุษยที่เลวนั้นคือ ผู้ที่ผู้คนทอดทิ้งเขา หรือผู้คนปล่อยเขา เพราะกลัวความทรามของเขา[95] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ฉันไม่คิดว่าคนนั้น และคนนั้น จะรู้จักสิ่งใด จากศาสนาของเรา[96] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไดยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า ประชากรของฉันทุกคน ได้รับการอภัย นอกจากคนที่คุยโว และแท้จริงนับเป็นการ คุยโวด้วย คือการที่ชายคนหนึ่งกระทำงานชิ้นหนึ่งในเวลากลางคืน ต่อมาเขาตื่นขึ้นในเวลาเช้า อัลเลาะห์ทรงปกปิดเขา แต่เขากล่าวว่า โอ้ คนนั้น ฉันได้กระทำอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อคืนนี้ ความจริง เขาได้นอนในเวลากลางคืน อัลเลาะห์ทรงปกปิดเขา และเมื่อรุ่งเช้าเขาก็เปิดเผยเครื่องปิดบัง ของอัลเลาะห์ออก[97] รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม 

ได้มีอาหรับชนบทคนหนึ่งเข้ามา และบังคับให้อูฐของเขาคุกเข่าลง หลังจากนั้นเขาก็ผูก มัน แล้วเข้าไปในมัสยิด ได้ละหมาดข้างหลังท่านนบี ซ.ล. จากนั้นเขาไดไปที่พาหนะของเขา และแก้มันออก แล้วขึ้นขี่ และได้ประกาศว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดเมตตาฉัน และ มุฮัมมัด และพระองค์ท่านอย่าได้นำเอาผู้ใดมาร่วมในความเมตตาต่อเรานี้ ท่านรอซูล้ลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจะว่าอย่างไร ตัวเขาหรืออูฐของเขาที่หลงผิดที่สุด                          ท่านทั้งหลายไม่ไดยิน

สิ่งที่เขาพูดหรือ พวกเขากล่าวว่า หามิได้[98] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

การทำทานด้วยเกืยรติยศนั้นเป็นสิ่งที่ดีงาม 1201

เล่าจาก อับดิรเราะห์มาน บุตร คัจลาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนใด คนหนึ่งของพวกท่านอ่อนแอ หรือที่จะเป็นเหมือนอะบี ฎอมฎอม พวกเขากล่าวว่า ใครคือ อะบุ ฎอมฎอม ท่านตอบว่า คือ ชายคนหนึ่งในบุคคลที่อยู่ในยุคก่อนพวกท่าน เมื่อรุ่งเช้าเขา จะกล่าวว่า ข้าแต่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้ายกเกียรติยศของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ที่ด่าข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด 

การมองในแง่ร้าย การอาฆาต และ อิจฉา

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธา พวกเจ้าจงออกห่างจากส่วนใหญ่ของ การคาดคะเน เพราะแท้จริงการคาดคะเนบางอย่างนั้น เป็นบาป และท่านทั้งหลายอย่าสอดรู้ สอดเห็น’,110 อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจงระวังการคาดการณ์ เพราะแท้จริงการคาดการณ์นั้นเป็นคำพูดที่โกหกที่สุด และท่านทั้งหลายอย่าสอดรู้ ท่านทั้งหลายอย่าสอดเห็น ท่านทั้งหลายอย่าชิงดีชิงเด่นกัน ท่านทั้งหลายอย่า อิจฉากัน อย่าโกรธเคืองกัน อย่าหันหลังให้กัน และจงเป็น โอ้ บ่าวของอัลเลาะห์ พี่น้องกัน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และเล่าจากเขา อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวก ท่านจะต้องระวังการอิจฉา เพราะแท้จริงการอิจฉานั้น มันจะกินความดีเหมือนไฟกินฟืน หรือ ท่านนบีได้กล่าวว่า หญ้า   

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ อิบนุ มายะห์

เล่าจาก ซุบัยร์ บุตร เอาวาม ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า โรคของ ประชากรในยุคก่อนพวกท่านได้คืบคลานมายังพวกท่านแล้วมันคือ ความอิจฉา และ ความโกรธ ซึ่งมันคือ มีดโกน ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวว่า มันโกนขน แด่มันจะโกนศาสนา ขอสาบานต่อผู้สิ่ง ชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในมือของพระองค์ว่า พวกท่านทั้งหลายจะไม่ได้เข้าสวรรค์ จนกว่าพวกท่าน จะมีศรัทธาเสียก่อน และพวกท่านจะยังไม่มีศรัทธา จนกว่าจะรักกัน พึงทราบเกิด ข้าพเจ้าจะ บอกพวกท่านถึงสิ่งที่จะทำให้สิ่งนี้ติดตรึงอยู่กับพวกท่าน นั่นก็คือ พวกท่านจงให้การกล่าวสลาม แพร่หลายในระหว่างพวกท่าน 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ในเรื่องความอ่อนโยนต่างๆ

การติดตามดูสิ่งพึงปกปิด

เล่าจาก อะบี บัรซะห์ อัลอัสละมีย์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้ กล่าวว่า โอ้ พวกที่มีศรัทธาด้วยลิ้น โดยการศรัทธานั้นไม่ได้เข้าสู่จิตใจของเขา ท่านทั้งหลาย อย่านินทามุสลิม อย่าติดตามดูสิ่งพึงปกปิดของพวกเขา เพราะความจริงผู้ใดติดตามดูสิ่งพึงปกปิด ของพวกเขา อัลเลาะห์จะติดตามดูสิ่งพึงปกปิดของเขา และผู้ใดที่อัลเลาะห์ทรงติดตามดูสิ่งพึงปกปิดของเขา พระองค์จะทรงทำให้เขาต้องขายหน้า ในบ้านของเขาเอง                                          

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และ ติรมข [99] 

และตัวบทของติรมีซีว่า  ท่านนบี ซ.ล. ได้ขึ้นแท่นมิมบัร แล้วประกาศด้วยเสียงอัน ดังว่า โอ้ พวกที่เป็นอิสลามแต่เพียงลิ้น โดยที่การศรัทธาไม่ผ่านเข้าไปสู่หัวใจของเขา ท่านทั้งหลายอย่าทำร้ายมุสลิม อย่าประณามพวกเขา และอย่าติดตามดูสิ่งพึงปกปิดของพวกเขา เพราะความจริงผู้ใดที่ติดตามดูสิ่งพึงสงวน ของพี่น้องของเขาที่เป็นมุสลิม อัลเลาะห์จะทรงติดตามดูสิ่งพึงสงวนของเขา และผู้ใดที่อัลเลาะห์ทรงติดตามดูสิ่งพึงปกปิดของเขา อัลเลาะห์จะทรงทำให้เขา ขายหน้า แม้ภายในที่พักของเขา

และ อิบนุ อุมัรได้มองไปยัง กะอ์บะห์ ในวันหนึ่ง แล้วกล่าวว่า เธอช่างยิ่งใหญ่จริง หนอ และศักดิ์ศรีของเธอก็ช่างยิ่งใหญ่ แต่ผู้มีศรัทธานั้น มีศักดิ์ศรียิ่งใหญ่กว่าเธอ สำหรับ อัลเลาะห์[100]

เล่าจาก มุอาวิยะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านนั้น ถ้าหากท่าน ติดตามดูสิ่งพึงสงวนของประชาชน เท่ากับท่านได้ทำลายพวกเขาแล้ว หรือเกือบทำลายพวกเขา แล้ว[101] อะบู ดัรดาอฺ ได้กล่าวว่า คำพูดที่ มุอาวิยะห์ ได้ยินมันมาจากท่านนบี ซ.ล. นั้น อัลเลาะห์ได้ทรงให้ประโยชน์แก่เขาด้วยคำพูดนั้นแล้ว

เล่าจาก อะบี อุมามะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง ผู้นำนั้น เมื่อ ต้องการความเคลือบแคลงในหมู่มนุษย์ ก็เท่ากับทำลายพวกเขา[102]

ได้มีผู้กล่าวแก่อับดุลเลาะห์ว่า นึ่คือ คนๆ หนึ่งที่เคราของเขาหยดลงมาเป็นสุรา อับดุลเลาะห์ ได้กล่าวว่า แท้จริงเราถูกห้ามจากการสอดรู้สอดเห็น แต่ถ้าหากสิ่งใดปรากฏแก่เรา เราก็จะยึดถือ ตามสิ่งนั้น[103] 

รายงานหะดีษทั้งสามโดย อะบู ดาวูด

ความหยิ่งยะโส และ การวางท่า 1203

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “เจ้าอย่าสะบัดแก้มของเจ้าให้ผู้คน[104] และอย่าเดินในหน้า แผ่นดินด้วยความทะนง เพราะแท้จริง อัลเลาะห์ไม่รักทุกผู้ที่วางท่าโอหัง”

เล่าจาก ฮาริษะห์ บุตร วะฮับ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พึงทราบเกิด ข้าพเจ้าจะแจ้งให้พวกท่านทราบถึงชาวสวรรค์[105] คือ ทุกคนอ่อนแอที่ถ่อมตน และถ้าหากเขา วิงวอนต่ออัลเลาะห์ พระองค์ก็จะต้องตอบรับ (คำวิงวอนของ) เขา พึงทราบเกิด ข้าพเจ้าจะ แจ้งให้พวกท่านทราบถึง ชาวนรก คือ ทุกคนที่หยาบคาย ดื้อรั้นต่อการดี แสดงความยะโส 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาภ อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอชูลุ้ลเลาะห่ ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า ความยะโสนั้นคือ ผ้าห่มของเรา ความยิ่งใหญ่นั้นคือ ผ้านุ่งของ

เรา ดังนั้น ผู้ใดยื้อแย่งกับเราในประการหนึ่งประการใดจากทั้งสอง เราจะโยนเขาลงในไฟนรก[106]

รายงานโดยมุสลิม และอะบู ดาวูด  

เล่าจาก อับดิ้ลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะไม่ได้เข้านรก คนใดที่ ในหัวใจของเขามีนํ้าหนักเท่าเมล็ดผักกาด จากส่วนของความศรัทธา และจะไม่ได้เข้าสวรรค์ คนใดที่ในหัวใจของเขามีนํ้าหนักเท่าเมล็ดผักกาด จากส่วนของความยะโส

และเล่าจากเขา (อับดิ้ลลาห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะไม่ได้เข้าสวรรค์ ผู้ใด ที่ในหัวใจของเขามีนํ้าหนักเท่าผงธุลี จากส่วนของความยะโส ชายคนหนึ่งได้กล่าวขื้นว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์แท้จริงการที่ชายคนหนึ่งต้องการให้เสื้อผ้าของเขาสวยงาม รองเท้าของเขา สวยงามเล่า ท่านตอบว่า แท้จริง อัลเลาะห์ทรงงดงาม พระองค์ทรงรักความงดงาม ความยะโส คือการปฏิเสธความจริง และดูหมินเพื่อนมนุษย์                     

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สามคนที่อัลเลาะห์ จะไม่ทรงเจรจากับพวกเขาในวันกิยามะห์ จะไม่ทรงขัดเกลาพวกเขาให้พ้นบาป และจะไม่ทรง มองดูพวกเขา และพวกเขาจะต้องถูกลงโทษอย่างเจ็บปวด นั่นคือ ชายชราที่ละเมิดประเวณี ผู้นำที่โกหก และคนยากจนที่ยะโส   

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจาก อัมร บุตร ชุอัยบ์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า พวกที่ยะโสจะถูกนำมารวมกันในวันกิยามะห์ เหมือนมดแดงในร่างของผู้ชาย ความ ต่ำต้อยจะปกคลุมพวกเขาอยู่ทุกแห่ง[107] พวกเขาจะถูกไล่ต้อนไปยังห้องขังในนรกยะฮันนัม มีชื่อ เรียกว่า บูลิส เปลวไฟจะลุกท่วมพวกเขา พวกเขาจะได้ดื่มนํ้า (ที่คั้นจากร่าง) ของชาวนรก คือ นํ้าเหลืองและนํ้าหนอง

เล่าจาก ญุบัยร์ บุตร มุตอิม ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกท่านพูดถึงตัวฉันว่า ในตัวฉันนั้น มีความยะโส ทั้งที่ความจริงข้าพเจ้าขี่ลา สวมเสื้อคลุมชนิดใม่มีแขน รีดนมแกะ และความจริง ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดทำอย่างนี้ จะไม่มีสิ่งใดจากส่วนของความยะโสอยู่ ในตัวเขา

เล่าจาก ซะละมะห์ บุตร อักวะอฺ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้ กล่าวว่า ชายคนหนึ่ง จะยังคงพาตัวของเขาไป[108] จนในที่สุดถูกบันทึกอยู่ในกลุ่มของผู้เผด็จการ

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดย ติรมิซี

และได้มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์แท้จริง ข้าพเจ้าเป็นคนที่ชอบแต่งกายสวยงาม และข้าพเจ้าได้รับอย่างที่ท่านเห็นนี้ จนกระทั่งข้าพเจ้า ไม่ต้องการให้มีผู้ใดเหนือกว่าข้าพเจ้า เท่าสายรัดรองเท้าของข้าพเจ้า หรือด้วยสายรัดรองเท้าของ ข้าพเจ้า[109] นั่นจะเป็นการยะโสไหม ท่านตอบว่า ไม่ แต่การยะโสนั้นเป็นการปฏิเสธความจริง และ ดูหมิ่นมนุษย์ 

รายงานโดย อะมู ดาวูด ในเรื่องเดรื่องสวมใส่

การยกย่องจนเลยเถิด

เล่าจาก อะบี มูซา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได็ยินชายคนหนึ่งสรรเสริญชาย คนหนึ่ง และเขาสรรเสริญชายผู้นั้นจนเลยเถิด ท่านนบีได้กล่าวว่า พวกท่านได้ทำให้เสีย หรือ ได้ตัดหลังของชายคนนั้นเสียแล้ว[110]   

รายงานโดย บุคอรี และ มุสลิม

เล่าจาก อะบี บักเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้ลูกกล่าวถึงที่ท่านนบี ซ.ล. ต่อมาได้มีชายคนหนึ่งสรรเสริญเขาอีกว่า ดี ท่านนบี ซ.ล. จึงได้กล่าวว่า ท่านจะพินาศ ท่าน ได้ตัดคอเพื่อนของท่านแล้ว ท่านนบีได้ยํ้าคำพูดหลายครั้ง ถ้าหากคนใดคนหนึ่งของพวกท่าน จะต้องกล่าวคำสรรเสริญอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ให้เขากล่าวว่า ฉันคิดว่าเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าหากเห็นว่าเขาเป็นเช่นนั้น และอัลเลาะห์ก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว และเขาจะต้องไม่ตัดสิน ผู้ใดว่าบริสุทธิ์ลํ้าหน้าอัลเลาะห์[111] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

ชายคนหนึ่งได้มา และกล่าวคำสรรเสริญ อุสมาน ร.ฎ.  ต่อหน้าเขา มิกดาร บุตร อัสวัด ได้หยิบดินขึ้นมาแล้วขว้างไปที่หน้าของชายคนนั้น แล้วกล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อท่านทั้งหลายพบคนที่ชอบยกย่องสรรเสริญ ให้พวกท่านจงขว้างใบหน้าเขาด้วย

ดิน[112]          

รายงานโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

คณะของ บะนี อามิร ได้เข้ามาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า ท่าน คือ ผู้นำของเรา ท่านนบีตอบว่า ผู้นำคือ อัลเลาะห์ พวกเขาได้กล่าวว่า และเป็นผู้ที่มีเกียรติยิ่งของพวกเรา และเป็น ผู้ให้ทิ่ยิ่งใหญ่ของพวกเรา ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงพูด ด้วยคำพูดของพวกท่านเอง หรือบางส่วนจากคำพูดของพวกท่าน และอย่าปล่อยให้ชัยฏอนชักนำพวกท่านไป[113]  

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูดและ อิหม่าม อะห์มัด

การด่าทอ และ ใส่ร้าย

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่ได้กล่าวแก่พี่น้องของ เขาว่า โอ้ ผู้ไร้ศรัทธา (กาฟิร) เท่ากับคนใดคนหนึ่งจากทั้งสองได้นำคำพูดนั้นกลับไป ถ้าหาก เขาเป็นเหมือนที่ผู้นั้นพูด และถ้าไม่เช่นนั้น คำพูดนั้นก็จะกลับไปหาผู้พูด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อะบี ซัรร์ ร.ฎ.  ว่า แท้จริงเขาได้ยินท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า ชายคนหนึ่ง จะต้องไม่ใส่ร้ายอีกคนหนึ่ง ด้วยความชั่ว และจะต้องไม่ใส่ร้ายเขา ด้วยความไร้ศรัทธา (กุฟร์) นอกจากคำพูดนั้นจะกลับไปหาผู้พูด ถ้าไม่ปรากฏว่า เพื่อนของเขาเป็นเช่นนั้น[114] 

รายงานโดย บุคอรี และ มุสลิม

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การด่ามุสลิมเป็นความชั่ว การฆ่ามุสลิมเป็นการไร้ศรัทธา[115] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สองคนที่ด่าทอกันนั้น คำที่ทั้งสองคนพูดตกอยู่กับผู้เริ่มต้นจากบุคคลทั้งสอง ตราบใดที่ผู้ถูกทุจริตไม่ได้ละเมิด[116] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สองประการนี้อยู่ ในหมู่ประชาชน การกระทำต่อสองประการนี้ ถือเป็นการไร้ศรัทธา (กุฟร์) คือ การทิ่มตำ ในเรื่องวงศ์ตระกูล[117] และการรำพันต่อศพ   

รายงานโดย มุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า เมื่อชายคนหนึ่ง กล่าวว่า มนุษย์ทั้งหลายได้เสื่อมเสียหมดแล้ว เขานั่นแหละเป็นคนที่เสื่อมเสียที่สุด                                                          

รายงานโดยมุสลิม และ อะบูดาวูด

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อเพื่อน ของพวกท่านได้เสียชีวิตลง พวกท่านจงปล่อยเขา และพวกท่านอย่ากล่าวร้ายเขา[118]                                                                    

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด

การสาปแช่ง[119] และ คำหยาบคาย

เล่าจาก ชาบิต บุตร ดอฮ์ฮาก ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าว ว่า ผู้ใดกล่าวคำสาบานต่อศาสนาหนึ่ง ที่ไม่ใช่อิสลาม เขาจะเป็นเหมือนที่เขากล่าว และไม่จำเป็น แก่มนุษย์ การที่เขาบนบานในสิ่งที่เขาไม่มีกรรมสิทธิ์ปกครอง และผู้ใดที่ได้สังหารตัวเองด้วย สิ่งหนึ่งในโลกดุนยานี้ เขาจะต้องถูกลงโทษ ด้วยสิ่งนั้นในวันกิยามะห์ และผู้ใดที่ได้สาปแช่งผู้ มีศรัทธาก็เหมือนกับเขาได้สังหารผู้นั้น[120] และผู้ใดที่ใส่ร้ายผู้มีศรัทธาด้วยการไร้ศรัทธา (กุฟร์) ก็เหมือนกับเขาได้สังหารผู้นั้น[121]          

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และ อะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. นั้น ไม่ใช่คนลามก ไม่ใช่ คนที่ชอบสาปแช่ง ไม่ใช่คนที่ชอบด่าทอ ท่านมักกล่าวขณะโกรธว่า ไม่สมควรที่หน้าผากของเขา จะติดดิน         รายงานโดย บุคอรี

เล่าจาก อะบี ดัรดาอฺ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงคนที่ชอบสาปแช่ง นั้น พวกเขาจะไม่ได้เป็นนักรบชะฮีด และจะไม่ได้เป็นผู้ที่มีสิทธิ์ช่วยเหลือในวันกิยามะห์[122]

รายงานโดย มุสลิม และ อะบูดาวูด

เล่าจาก อะ-บีฮรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่สมควรแก่ผู้มี ศรัทธาแท้จริง จะเป็นคนชอบสาปแช่ง                                                              

รายงานโดย มุสลิม และ ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้มีผู้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์จงขอความ พินาศให้บังเกิดแก่พวกผู้ตั้งภาคี ท่านได้กล่าวว่า แท้จริง ฉันไม่ได้ถูกแต่งตั้งมาให้เป็นผู้ชอบ สาปแช่ง ที่จริงแล้วฉันถูกแต่งตั้งมา เป็นความเมตตา 

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจาก ซะมุเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.ได้กล่าวว่า ท่าน ทั้งหลายอย่าสาปแช่งกันด้วยคำสาปแช่งของอัลเลาะห์ และอย่าสาปแช่งกันด้วยความโกรธกริ้ว ของอัลเลาะห์ และอย่าสาปแช่งกันด้วยไฟนรก

ลมได้พัดเอาผ้าห่มของชายคนหนึ่งกระพือขึ้น และเขาก็คว้าเอาไว้ ในสมัยท่านนบี ซ.ล. ต่อมาชายคนนั้นได้แช่งด่าลม ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านอย่าได้แช่งด่าลม เพราะความจริงมันถูกให้ และความจริงใครก็ตามที่ได้แช่งด่าสิ่งใดๆ  ที่มันไม่ควรถูกแช่งด่า คำแช่งด่านั้นจะกลับมาหาผู้นั้น                  

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ดัรดาอฺ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงบ่าวนั้น เมื่อได้ แช่งด่าสิ่งใด ๆ คำแช่งด่านั้น จะขึ้นไปสู่ฟ้าเบื้องบน ประตูฟ้าจะถูกปิดไม่ให้คำแช่งด่านั้นเข้าไป จากนั้นมันจะลงมายังพื้นดิน ประตูของพื้นดินจะถูกปิดไม่ให้มันเข้ามา จากนั้นมันจะมาทางขวา และท้าย เมื่อไม่พบทางไป มันก็จะกลับไปหาคนที่ถูกแช่งด่า ถ้าหากผู้นั้นควรแก่การถูกแช่งด่า (มันก็จะอยู่กับผู้นั้น) และถ้าไม่เช่นนั้น มันก็จะกลับไปหาผู้พูด                     

รายงานโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก อับดิลลาห์ไห้ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้มีศรัทธานั้น ไม่ใช่เป็น

ผู้ที่ชอบทิมตำ แช่งด่า หยาบคาย และ ลามก 

รายงานโดย ติรมิซี

การดูหมิ่นมุสลิม และการเมินเฉย

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า           “โอ้ บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกหนึ่งอย่าตูถูกอีก

พวกหนึ่งบางที่พวกเขา (ที่ถูกดูถูก) นั้น จะดีกว่า พวกที่ดูถูกก็ได้ และผู้หญิงกับผู้หญิงก็อย่า ดูถูกกัน บางที่พวกผู้หญิงที่ถูกดูถูกนั้น จะดีกว่าพวกผู้หญิงที่ดูถูกก็ได้,, อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรง สัจจะ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าอิจฉาริษยากัน อย่าแกล้งขึ้นราคาสินค้าเพื่อหลอกผู้ซื้อ อย่าโกรธเคืองกัน อย่าหันหลังให้กัน และบางคนของพวกท่านอย่าขายตัดราคาแข่งกับการขายของอีกบางคน และพวกท่าน โอ้บ่าว ของอัลเลาะห์ จงเป็นพี่น้องกัน มุสลิมต่อมุสลิมเป็นพี่น้องกัน จะต้องไม่ทุจริตกัน ไม่ทอดทิ้ง กัน และไม่ดูหมิ่นกัน ความยำเกรงอยู่ที่นี่ ท่านนบีชี้ไปที่หน้าอกของท่านสามครั้ง เพียงพอแล้ว สำหรับคนๆ หนึ่งจากความชั่ว คือการที่เขาดูหมิ่นพี่น้องมุสลิมของเขา มุสลิมทุกคนต่อมุสลิม นั้น เลือดของเขา ทรัพย์สินของเขา และเกียรติยศของเขาเป็นสิ่งต้องห้าม       

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และเล่าจากเขา .(อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มีเป็นจำนวน

มากคนที่ผมเป็นกระเซิง ไม่มีผู้ใดต้อนรับ ถ้าหากเขาวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ พระองค์ทรงตอบ สนอง (คำวิงวอนของ) เขา[123]  

รายงานโดย มุสลิม และ อะห์มัด

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า ประตูสวรรค์[124] จะเปิดในวันจันทร์ และวันพฤหัสบดี บ่าวทุกคนที่ไม่ได้นำสิ่งใดตั้งภาคีเที่ยบเที่ยมกับอัลเลาะห์ จะได้รับการอภัย นอกจากชายผู้หนึ่งที่มีความอาฆาตแค้นอยู่ระหว่างเขากับพี่น้องของเขา จะมี ผู้กล่าวว่า                                                                            จงหน่วงสองคนนี้ไว้ก่อนจนกว่าเขาทั้งสองจะประนีประนอมกัน จงหน่วงสองคนนี้ไว้ก่อน จนกว่าเขาทั้งสองจะประนีประนอมกัน จงหน่วงสองคนนี้ไว้ก่อน จนกว่าเขาทั้งสอง จะประนีประนอมกัน[125]                                                                                

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การกระทำต่างๆ ของมนุษย์จะลูกนำขื้นเสนอในทุกๆ สัปดาห์ สองครั้ง คือ ในวันจันทร์กับวันพฤหัสบดี บ่าวทุกคนที่มีศรัทธาจะได้รับการอภัย นอกจากบ่าวคนหนึ่งที่มีความอาฆาตแค้นอยู่ระหว่างเขา กับพี่น้องของเขา จะมีผู้กล่าวว่าจงปล่อย หรือจงหน่วงสองคนนี้ไว้ก่อน จนกว่าเขาทั้งสองจะเลิก เป็นศัตรูกัน 

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจาก อะบี อัยยูบ อัลอันซอรี ร.ฎ.  ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าว ว่า ไม่อนุมัติให้มุสลิมเมินเฉยต่อพี่น้องของเขา เกินกว่าสามคืนโดยที่คนทั้งสองจะพบกัน คนนี้เบือนหน้าหนีคนนั้นก็เบือนหน้าหนี แต่คนที่ดีที่สุดของคนทั้งสอง คือ ผู้ที่เริ่มต้นด้วยการกล่าว สลาม 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่อนุมัติใหัผู้มีศรัทธาเมินเฉยต่อผู้มีศรัทธาเกินกว่าสามวัน และเมื่อผ่านสามวันไปแล้ว ให้เขา ไปพบกับพี่น้องของเขา แล้วจงกล่าวสลามแก่เขา ถ้าหากเขาตอบสลาม บุคคลทั้งสองก็ได้รับ ผลบุญร่วมกัน[126] และถ้าหากเขาไม่ตอบสลาม เขาก็จะกลับไปพร้อมด้วยบาป ส่วนผู้ที่เริ่มสลาม นั้น เขาจะออกพ้นจากสภาพของการเมินเฉย[127]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่อนุมัติให้มุสลิม

เมินเฉยต่อพี่น้องของเขา เกินกว่าสามวัน ดังนั้นผู้ใดที่เมินเฉยเกินกว่าสามวันแล้ว เขาได้เสียชีวิตไป เขาจะต้องเข้าสู่ไฟนรก

และ อาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า อูฐของซอฟียะห์ บุตรสาว ฮุยัยย์ เจ็บ และที่ ซัยนับนั้นยังมีอูฐเหลืออยู่ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. จึงกล่าวแก่ ซัยนับ ว่า เธอจงให้อูฐ แก่ซอฟียะห์เถิด ซัยนับได้กล่าวว่า ขาพเจ้าจะให้หญิงชาวยิวคนนี้หรือ ท่านนบี ซ.ล.โกรธ และไม่ยอมพูดกับหล่อนตลอดเดือน ซิลฮัจยะห์ มุฮัรรอม และบางส่วนของเดือน ซอฟัร[128]

และ อับดุลเลาะห์ บุตร อุมัร ร.ฎ.  ได้เมินเฉยต่อบุตรชายของเขาจนกระทั่งตาย

รายงานหะดีษทั้งสี่นี้โดย อะบู ดาวูด[129]

การโต้เถืยง และปะทะคารม[130] 

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า          “มนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่ชอบโต้เถียงมากที่สุด,,143

เล่าจาก ชาอิบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า                 ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี ซ.ล. พวกเขา (เหล่า

อัครสาวก) ได้ชมเชยข้าพเจ้าและกล่าวถึงข้าพเจ้า ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า            ข้าพเจ้า

รู้จักเขาดียิ่งกว่าพวกท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า        ถูกแล้ว ขอเอาบิดาและมารดาของข้าพเจ้าไถ่ตัว

ท่าน ท่านเป็นคู่หุ้นส่วนของข้าพเจ้า และเป็นหุ้นส่วนที่ดี ท่านไม่เคยขัดแย้ง ไม่เคยปะทะคารม[131] 

รายงานโดยอะบู ดาวูด และ นะซาอี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  ผู้ใดทิ้งการโกหกทั้งที่เขาเป็นคนเสีย จะถูกสร้างไว้สำหรับเขาในลานสวรรค์ และ ผู้ใดทิ้งการโต้เถียงทั้งที่เขาเป็นฝ่ายถูก จะถูกสร้างไว้สำหรับเขาในใจกลางสวรรค์ และผู้ใดที่ปรับปรุงความประพฤติของเขาให้ดีงาม จะถูกสร้างไว้สำหรับเขาในส่วนสูงสุดของสวรรค์       

รายงานโดยอะบูดาวูด และ ติรมีซี

และตัวบทของอะบูดาวูดว่า           ข้าพเจ้าเป็นผู้นำ ณ ปราสาทหลังหนึงในลานสวรรค์

สำหรับผู้ที่ทิ้งการโต้คารม แม้เขาจะเป็นฝ่ายถูก และ ณ ปราสาทหลังหนึ่งในใจกลางสวรรค์ สำหรับผู้ที่ทิ้งการโกหก แม้เขาจะเป็นคนที่พูดจาสัพยอก และ ณ ปราสาทหลังหนึ่งในส่วน สูงสุดของสวรรค์ สำหรับผู้ที่ปรับปรุงความประพฤติของตัวให้ดีงาม

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านอย่าโต้คารมกับ พี่น้องของท่าน อย่าสัพยอกเขา[132] และอย่าสัญญากับเขาด้วยสัญญาใดๆ แล้วท่านก็ผิดสัญญา กับเขา[133]

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พอแล้วที่ท่านจะมี

บาปคือ การที่ท่านคงเป็นผู้ที่ชอบทะเลาะวิวาท[134]             

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

ความตระหนี่ และ ความประพฤติที่เลว

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า        “และพวกเจ้าทั้งหลายจงบริจาคส่วนหนึ่งที่เราได้มอบ

ให้พวกเจ้าก่อนที่ความตายจะมาถึงใครคนหนึ่งของพวกเจ้า จะเป็นเหตุให้เขาต้องกล่าวว่า ข้าแด่พระ ผู้อภิบาลของฉันได้โปรดล่วงเวลาให้ฉันอีกเล็กน้อย เพื่อฉันจะได้บริจาคทาน และเป็นคนหนึ่ง ที่มีคุณธรรม” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก อะบี บักร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะไม่ได้เข้าสวรรค์ คนเจ้าเล่ห์ คนที่ลำเลิก และคนที่ตระหนี่

เล่าจาก อะบีสะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                        สองประการนี้จะไม่

รวมอยู่ในผู้ที่มีศรัทธา      ความตระหนี่ และ ความประพฤติที่เลวทราม           

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้มีศรัทธานั้นเป็น

ผู้ที่ลืมความชั่ว เป็นผู้ที่ควรยกย่อง ส่วนคนชั่วนั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์ เป็นคนที่น่ารังเกียจ 

รายงาน โดย อะบูดาวูด และ ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เวลานั้นสั้น[135]

การงานบกพร่อง[136] ความตระหนี่จะถูกโยน[137] การหลั่งเลือดจะมีมาก พวกเขา (เหล่าอัครสาวก) ถามว่า การหลั่งเลือดคืออะไร ท่านนบีตอบว่า คือ การฆ่า คือการฆ่า[138]                   

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

ห้ามโกหก ยกเว้นสามประการ[139]

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า        “ความจริงที่จะกุเรื่องโกหกนั้น ก็จะมีแต่บรรดาผู้ที่ไม่

ศรัทธาต่อบรรดาอายะห์ของอัลเลาะห์[140] และพวกเขานั่นแหละที่เป็นพวกโกหก” อัลเลาะห์ ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก บะห์ชฺ บุตร ฮะกีม จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ใต้กล่าวว่าความพินาศตกเป็นของผู้ที่พูดคุยแล้วโกหก เพื่อให้พวกพ้องหัวเราะเขา ความพินาศตกเป็นของเขา ความพินาศตกเป็นของเขา           

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พอแล้วที่คนๆ หนึ่งจะมีบาป คือการที่เขาจะพูดคุยด้วยทุกสิ่งที่เขาได้ยินมา[141]                                                                                                

รายงานโคย มุสลิม และอะบูดาวูด 

เล่าจาก ซุฟยาน บุตร อุซัยด์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เป็นการทุจริตอย่างใหญ่หลวงการที่ท่านจะพูดฺคุยกับพี่น้องของท่านด้วยเรื่อง ๆ หนึ่งที่เขาพูดจริงกับท่านในเรื่อง นั้น แต่ท่านโกหกเขาในเรื่องเดียวกัน[142]      

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ อิหม่ามอะห์มัด

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ไม่มีผู้สาบานคนใดที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.

จะโกรธเคืองยิ่งกว่าการโกหก[143] และความจริงชายคนหนึ่งได้เคยกล่าวคำเท็จที่ท่านนบี ซ.ล. และมันยังคงอยู่ในใจของท่าน จนกระทั่งท่านรู้ว่าชายคนนั้นได้กลับตัว (เตาบะห์) จากคำโกหก นั้นแล้ว

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อบ่าวคนหนึ่งโกหกมะลาอิกะห์จะออกห่างเขา หนึ่งไมล์ เพราะกลิ่นเหม็นของสิ่งที่เขานำมา[144]                                                                 

รายงานทะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

เล่าจาก อุมม์ กุลซูม บุตรสาว อุกบะห์ ร.ฎ. หล่อนเป็นคนหนึ่งจากบรรดาผู้หญิง ที่อพยพรุ่นแรกที่ไดให้สัตยาบันแก่ท่านนบี ซ.ล. ว่า แท้จริงหล่อนได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่าไม่ใช่คนโกหก คนที่ประนีประนอมระหว่างเพื่อนมนุษย์ เขาจะพูดด้วยคำพูดที่ดี และอ้างอิงคำพูดที่ดี[145] อุมม์ กุลซูม กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ยินว่าจะมีสิ่งใดที่มนุษย์พูด

กันจะถูกผ่อนผันให้โกหก นอกจากในสามประการ คือ         การสงคราม[146] การประนีประนอม

ในระหว่างประชาชน และคำพูดของสามีที่พูดกับภรรยาของเขา และคำพูดของภรรยาที่พูดกับ สามีของนาง[147] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และตัวบทของอะบุดาวูดว่า       ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ยอมให้

โกหกในสิ่งใดๆ นอกจากในสามประการ คือ โดยท่านกล่าวว่า ฉันไม่นับว่าผู้พูดโกหก ชาย คนหนึ่งที่ทำการประนีประนอมในระหว่างผู้คน เขาจะพูดคำพูดอย่างหนึ่ง โดยเขาไม่มีความ ปรารถนาจากคำพูดนั้น นอกจากเพื่อการประนีประนอม ชายคนหนึ่งที่พูดในยามสงคราม และ ชายคนหนึ่งที่พูดกับภรรยาของเขา และหญิงคนหนึ่งที่พูดกับสามีของนาง[148]

การตีสองหน้า

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “แท้จริงบรรดาผู้ที่ตีสองหน้านั้น จะต้องอยู่ชั้นล่างสุดของไฟนรก และเจ้าจะไม่พบว่ามีผู้ช่วยเหลือพวกเขา”

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เครื่องหมายของคนตีสองหน้ามีสามประการ เมื่อเขาพูดเขาโกหก เมื่อเขาให้สัญญา เขาผิดสัญญา และเมื่อเขา ได้รับความไว้วางใจ เขาทุจริต

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ กล่าวว่า สี่ประการนี้ปรากฏอยู่ที่ผู้ใด ผู้นั้นเป็นคนตีสองหน้าอย่างแท้จริง และผู้ใดที่มีอยู่ในตัวเขาประการหนึ่งจากสี่ก็จะปรากฏอยู่ที่เขาผู้นั้นประการหนึ่งจากการตีสองหน้า จนกว่าเขาจะทิ้งมัน นั่นคือ เมื่อเขาพูด เขาโกหก เมื่อเขาให้สัญญา เขาทรยศ เมื่อเขาสัญญา เขาผิดคำสัญญา และเมื่อเขาพิพาท เขาละเมิด

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เปรียบคนตีสองหน้าเหมือนแกะที่เร่ร่อนอยู่ระหว่างแกะสองฝูง ไปหาฝูงนั้นครั้งหนึ่ง แล้วกลับมาหาฝูงนี้อีกครั้งหนึ่ง เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีนบีท่านใด ที่อัลเลาะห์ ทรงแต่งตั้งเขาในประชาชาติหนึ่ง ก่อนหน้าข้าพเจ้า นอกจากเขาจะมีผู้ช่วยเหลือและสาวก จาก ประชาชาตินั้น ซึ่งบุคคลเหล่านั้นจะเอาแนวทางของนบีท่านนั้น และปฏิบัติตามคำสั่งของนบีนั้น หลังจากนั้นก็จะมีพวกที่ขัดแย้งมาในภายหลัง พวกเขาจะพูดสิ่งที่พวกเขาไม่กระทำ และ จะกระทำสิ่งที่พวกเขาไม่ถูกบัญชาใช้ ดังนั้นผู้ใดที่ต่อสู้กับพวกเหล่านั้น ผู้นั้นก็คือ ผู้มีศรัทธา และผู้ใดที่ต่อสู้กับพวกเหล่านั้นดัวยลิ้น ผู้นั้นก็คือ ผู้มีศรัทธา และผู้ใดที่ต่อสู้กับพวกเหล่านั้น ด้วยหัวใจ ผู้นั้นก็คือ ผู้มีศรัทธา และจะไม่มีน้ำหนักเท่าเมล็ดผักกาดจากการศรัทธา หลังจากนั้น 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดถืออาวุธเข้าทำร้ายพวกเรา เขาไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา และผู้ใดที่หลอกลวง เขาไม่ ใช่เป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา        

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

การเขาข้างพวกพ้อง เป็นลักษณะของญาฮิลียะห์

เล่าจาก ญุบัยร์ บุตร มุตอิม ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่ใช่เป็นพวกเราผู้ที่เรียกร้องให้เข้าข้างกัน และไม่ใช่เป็นพวกเรา ผู้ที่ทำการต่อสู้เพราะเข้าข้างกัน และไม่ ใช่เป็นพวกเรา ผู้ที่เสียชีวิตอยู่บนการเข้าข้างกัน

เล่าจาก วาซิละห์ บุตร อัสเกาะอุ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์อะไรคือการเข้าข้างกัน ท่านตอบว่า คือการที่ท่านช่วยเหลือพวกพ้องของท่านบนการทุจริต

เล่าจาก สุรอเกาะห์ บุตรมาลิก บุตร ญัวะอ์ชุม อัลมุดลิญีย์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อพวกเรา โดยท่านได้กล่าวว่า                                              คนดีของพวกท่าน คือ ผู้ที่ปกป้องวงศ์ตระกูลของเขา ตราบเท่าที่ไม่เป็นบาป

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดช่วยเหลือพวกพ้องของเขา โดยไม่เป็นธรรม เขาก็มืสภาพเหมือนอุฐที่ตกลงไปในบ่อ มันก็จะถูกจับหางดึงออกมา163

รายงานหะคนทั้งสนโดย อะบูดาวูด

บทที่สาม

มารยาททควรยกย่อง

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “แท้จริงผู้มีเกียรติยิ่งของพวกเจ้า ณ พระองศ์อัลเลาะห์ นั้น คือผู้มีความยำเกรงยิ่งของพวกเจ้า แน่แท้อัลเลาะห์ทรงรู้ยิ่ง ทรงเชี่ยวชาญยิ่ง”

มารยาททยิ่งใหญ่ คือ ระงับความโกรธ และ การไม่โกรธ

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า           “พวกเขา คือ บรรดาผู้ที่บริจาคทั้งในยามสุขสบาย

และคับแค้น และคือผู้ที่ระงับความโกรธไว้ได้ และอภัยให้เพื่อนมนุษย์ และอัลเลาะห์ทรงรัก ผู้ทำความดี”164 อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนที่เข้มแข็งนั้นไม่ใช่นักปล้ำ165 แต่ความจริงคนที่เข้มแข็งนั้นคือ ผู้ที่สามารกควบคุมตนเองได้ ขณะโกรธ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ.  ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวก ท่านคิดว่า “อัรรอกูบ” เป็นใครในหมู่พวกท่าน พวกเราตอบว่า คือผู้ที่ไม่มีบุตร ท่านได้ [149]กล่าวว่า      คนเช่นนั้นไม่ใช่ “อัรรอกูบ,, แต่เขาคือ ผู้ชายที่ไม่มีลูกของเขาคนใดเสียชีวิต ขณะเขามีชีวิตอยู่ ท่านได้กล่าวว่า และพวกท่านคิดว่า นักปลํ้าเป็นอย่างไรในหม่พวกท่าน พวกเราตอบว่า คือ ผู้ที่ผู้ชายหลายคนไม่สามารถล้มเขาได้ ท่านได้กล่าวว่า ไม่ใช่เช่นนั้น แต่เขาคือ ผู้ที่สามารถควบคุมตัวเองได้ขณะโกรธ

รายงานโดย มุสลิม และ อะบู ดาวูด

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่ออัลเลาะห์ทรงสร้างรูปอาดัมขื้นในสวรรค์ แล้วพระองค์ได้ปล่อยอาดัมไว้เท่าที่พระองค์ประสงค์ อิบลีส ได้เริ่มวนเวียนรอบ ๆ อาดัม มองดูว่าคืออะไร เมื่ออิบลีสเห็น'ว่าอาดัมเป็นโพลง ก็รู้ว่าอาดัม นั้นถูกบังเกิดขื้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ 

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจาก สะฮัล บุตร มุอาซ ร.ฎ.  จากบิดาของเขาว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่ระงับความโกรธไว้ได้ทั้งที่เขามีความสามารถจะทำให้ความโกรธสำเร็จลงได้ อัลเลาะห์จะทรงเรียกเขาในวันกิยามะห์ให้อยู่เหนือบรรดาหัวหน้าของสรรพสิ่งทั้งปวงจนกระทั่ง พระองค์จะให้เขาเลือกสาวสวรรค์คนใดที่เขาต้องการ        

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า จงสอนข้าพเจ้าให้รู้สิ่งหนึ่ง และอย่าให้มากเกินกำลังของฉัน คิดว่าฉันจะจำเอา ไว้ได้ ท่านนบีตอบว่า ท่านอย่าโกรธ ชายคนนั้นได้ทวนขออยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งท่านนบี จะกล่าวว่า ท่านอย่าโกรธ 

รายงานโตยบุคอรี ติรมิซี และอะห์มัด

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กระทำสิ่งหนึ่ง แล้วได้ผ่อนผัน ให้ในสิ่งนั้น ต่อมาได้มีคนกลุ่มหนึ่งแสดงความไม่พอใจท่าน และการดังกล่าวได้ล่วงไปถึงท่าน นบี ซ.ล. ท่านได้กล่าวคำสุนทรพจน์ โดยได้กล่าวคำสรรเสริญอัลเลาะห์ แล้วกล่าวว่า  จะ เป็นอย่างไรบ้างพวกที่ไม่พอใจสิ่งที่ฉันได้กระทำไว้ สาบานต่ออัลเลาะห์ว่าแท้จริงฉันรู้จัก อัลเลาะห์ดียิ่งกว่าพวกเขา และกลัวอัลเลาะห์ยิ่งกว่าพวกเขา

รายงานโคย บุคอรี และมุสลิม

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. นั้น เมื่อท่านได้ ทราบสิ่งหนึ่งที่เกิดจากชายคนหนึ่ง ท่านจะไม่กล่าวว่า ชายคนนั้นจะเป็นอย่างไรที่พูดเช่นนั้น แต่ท่านจะพูดว่า  คนพวกหนึ่งจะเป็นอย่างไรที่พูดอย่างนั้นอย่างนี้   

รายงานโดย อะบู ดาวูด

ความอดทน การอภัย และ ยอมรับความเดือดร้อน

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า      “และผู้ที่มีความอดกลั้น และ ยอมอภัย แท้จริงนั่นเป็น

งานที่ยิ่งใหญ่”

และอัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “แท้จริงเฉพาะแต่ผู้ที่มีความอดกลั้นเท่านั้น จึงจะ ได้การตอบแทนผลบุญของพวกเขาโดยไม่ต้องคิดคำนวณ”

และอัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า         “และเราได้ให้ส่วนหนึ่งของพวกเขาเป็นผู้นำที่จะ

ชี้นำตามคำสั่งของเรา   เมื่อพวกเขามีความอดทน และเชื่อมั่นต่ออายะห์ต่างๆ ของเรา” อัลเลาะห์

ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก อะบี มูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีใครจะอดทนต่อการ คุกคามที่ได้ยิน ยิ่งไปกว่าอัลเลาะห์ตาอาลา เพราะแท้จริงพวกเขาเหล่านั้นตั้งภาคีขึ้นเทียบเทียม พระองค์ และตั้งลูกให้แก่พระองค์ ทั้งๆ ที่เป็นเช่นนั้นพระองค์ก็ยังคงให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา และอภัยให้พวกเขา

รายงานโดย บุคอรี และ มุสลิม

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ทำการแบ่งในครั้งหนึ่ง

เหมือนที่ท่านเคยแบ่งในหลายๆ ครั้ง ชายชาวอันซอรคนหนึ่งได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์

แท้ที่จริงมันเป็นการแบ่งที่ไม่เป็นไปเพื่ออัลเลาะห์ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า พึงทราบเกิด ข้าพเจ้า

จะต้องนำไปบอกท่านนบี ซ.ล. อย่างแน่นอน ต่อมาข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี ขณะที่ท่าน กำลังอยู่ในหมู่อัครสาวกของท่าน ข้าพเจ้าได้กระซิบบอกแก่ท่าน ซึ่งการทำเช่นนั้นทำความลำบากใจให้แก่ท่าน และใบหน้าของท่านเปลี่ยนสีและมีอาการโกรธ จนข้าพเจ้าคิดว่าไม่ควร บอกท่าน หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า มูซาถูกคุกคามมากกว่านี้ แต่เขาก็อดทน 

รายงานโดยบุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก อะบีสะอีด ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า ไม่มีใครได้รับของขวัญที่ดีและกว้างขวางยิ่งกว่าความอดทน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า มุสลิมนั้นเมื่อได้อยู่ร่วมกับมนุษย์ และอดทนต่อการคุกคามของพวกเขา ดีกว่ามุสลิมที่ไม่อยู่ร่วมกับมนุษย์ และไม่ได้อดทนต่อภัยคุกคาม ของมนุษย์ 

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การทำทานจะไม่ ทำให้ทรัพย์พร่องไป และอัลเลาะห์จะไม่เพิ่มพูนให้แกบ่าวคนใดด้วยการอภัย นอกจากจะเพิ่ม เกียรติให้ และไม่มีคนใดที่ถ่อมตนเพื่ออัลเลาะห์ นอกจากพระองค์จะทรงยกให้เขาสูงขึ้น 

รายงานโดย มุสลิม และ ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ว่า แท้จริงชายคนหนึ่งได้ด่า อะบูบักร์ ต่อหน้า ท่านนบี ซ.ล. และเหล่าอัครสาวกของท่าน อะบูบักร์นิ่งไม่โต้ตอบเขา ต่อมาเขาก็ได้คุกคาม อะบูบักร์เป็นครั้งที่สอง อะบูบักร์ก็ยังนึ่งไม่โต้ตอบเขา จากนั้นเขาได้คุกคามอะบูบักร์อีกเป็น ครั้งที่สาม อะบูบักร์จึงโต้ตอบเอาชนะเขา ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ลุกขึ้น อะบูบักร์ได้ กล่าวขึ้นว่า ท่านโกรธข้าพเจ้าหรือ โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านนบีได้กล่าวว่า มะลาอิกะห์ได้ลงมาจากฟากฟ้า กล่าวว่าเขาโกหกในคำพูดที่เขาได้กล่าวแก่ท่าน แต่เมื่อท่านโต้ตอบเอาชนะ ชัยฏอนได้ลงมา และข้าพเจ้าจะไม่อยู่เพื่อนั่งในที่ที่ชัยฏอนลงมา 

รายงานโดย อะบู ดาวูด

ยารักษาความโกรธ

เล่าจาก สุลัยมาน บุตร ศุรอด ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ชายสองคนได้ด่ากันที่ท่านนบี ซ.ล. ต่อมาคนหนึ่งจากในสองคนนั้นตาทั้งสองข้างของเขาเริ่มแดง และเส้นข้างต้นคอของเขา พองออก ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริงฉันรู้ว่ามีคำพูดหนึ่ง เมื่อเขาได้กล่าวคำพูดนั้น มันจะหายไปจากเขา สิ่งที่เขากำลังพบอยู่ นั่นคือ “ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยอัลเลาะห์ จากชัยฏอนที่ถูกสาปแช่ง,, และเขาได้กล่าวว่า ท่านเห็นว่าฉันบ้าหรือ[150]                                   

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อะบี ซัรร์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่

พวกเราว่า       เมื่อคนหนึ่งคนใดจากพวกท่านเกิดอาการโกรธ ในขณะที่เขากำลังยืนอยู่ ให้เขาจง

นั่งลงและถ้าหากความโกรธมันหายไปจากเขา และถ้าไม่เช่นนั้นให้เขาจงนอนตะแคงลง 

รายงาน โดย อะบู ดาวูด และ อะห์มัด

เล่าจาก อะตียะห์ อัซซะอุดีย์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงความโกรธนั้นมาจากชัยฏอน และแท้จริงชัยฏอนนั้นถูกสร้างขึ้นจากไฟ และแท้ที่จริงไฟนั้นจะดับได้ด้วยนํ้า ดังนั้นเมื่อคนหนึ่งคนใดจากพวกท่านเกิดอาการโกรธ ให้เขาจงอาบน้ำละหมาด  

รายงานโดยอะบู ดาวูด

การช่วยเหลือมุสลิม ปิดบัง และปกป้องเขา

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนๆ หนึ่งจงให้ความ ช่วยเหลือแก่พี่น้องของเขาที่เป็นผู้ทุจริตหรือถูกทุจริต ถ้าหากเขาเป็นผู้ทุจริต ก็ให้ยับยั้งเขา นั่น เป็นการช่วยเหลือเขา และถ้าหากเขาเป็นผู้ถูกทุจริต ก็จงให้การช่วยเหลือเขา                                                                                                                

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก อุกบะห์ บุตร อามิร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดพบเห็นสิ่ง พึงต้องปกปิด แล้วเขาได้ปิดบังไว้ เขาจะเป็นเหมือนผู้ชุบชีวิตเด็กผู้หญิงที่ถูกฝังทั้งเป็น 

รายงาน โดย อะบู ดาวูด และ นะซาอี

เล่าจาก มุอาช บุตร อะนัส อัลยุฮะนีย์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดคุ้มครองผู้มีศรัทธาให้พ้นจากคนหน้าไหว้หลังหลอก[151] อัลเลาะห์จะส่งมะลาอิกะห์ให้มาคุ้มครอง เนื้อของเขาในวันกิยามะห์ ให้พ้นจากไฟนรกยะฮันนัม และ ผู้ใดที่กล่าวร้ายมุสลิมด้วยคำพูด หนึ่ง โดยมุ่งหมายทำลายชื่อเสียงของเขาด้วยคำพูดนั้น อัลเลาะห์จะทรงกักขังเขาไว้บนสะพาน ข้ามนรกยะฮันนัม จนกว่าเขาจะออกพ้นจากคำพูดที่เขากล่าว

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. ว่า แท้จริงรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีคนใดที่ทอดทิ้งคนมุสลิมในสถานที่แห่งหนึ่ง ที่เกียรติยศของมุสลิมจะต้องถูกย่ำยีในสถานที่แห่งนั้น และศักดิ์ศรีของเขาจะถูกเหยียบยำในสกานที่แห่งนั้น นอกจากอัลเลาะห์จะทอดทิ้งเขาในสถานทิ่ ที่เขาต้องการความช่วยเหลือของพระองค์ และไม่มีคนใดที่ให้การช่วยเหลือมุสลิมในสถานที่ แห่งหนึ่งที่ศักดิ์ศรีของเขาจะลูกเหยียบย่ำ และเกียรติยศของเขาจะถูกยํ่ายี นอกจากอัลเลาะห์ จะช่วยเหลือเขาในที่ๆ เขาต้องการความช่วยเหลือของพระองค์                                                                                                                     

ราบงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด

เล่าจาก อะบี ดัรดาอฺ ร.ฎ.  ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดปกป้องศักดิ์ศรีพี่น้องของเขา อัลเลาะห์จะทรงปกป้องใบหน้าของเขาให้พ้นจากไฟนรกในวัน กิยามะห์                                                     

รายงานโดย ติรมิซี และอะห์มัด

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้มีศรัทธา คือ กระจกเงาของผู้มีศรัทธา และผู้มีศรัทธาเป็นพี่น้องของผู้มีศรัทธา เขาจะปกป้องธุรกิจพี่น้อง ของเขา และจะโอบเขาจากทางด้านหลัง   

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

และตัวบทของติรมีซีว่า แท้จริงคนใดคนหนึ่งของพวกท่าน เป็นกระจกเงาให้พี่น้อง ของเขา ถ้าหากเขาพบเห็นภัยจะเกิดแก่พี่น้องของเขา ให้เขาจงขจัดมันออกไปให้พ้นพี่น้องของเขา

การเป็นสื่อช่วยเหลือ

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “ผู้ใดให้การช่วยเหลือ เป็นการช่วยเหลือที่ดี เขาจะได้รับ ส่วนดีจากการช่วยเหลือนั้น และผู้ใดให้การช่วยเหลือเป็นการช่วยเหลือที่เลว เขาก็จะได้รับ ส่วนเลวจากการช่วยเหลือนั้น และพระองค์อัลเลาะห์นั้นย่อมมีความสามารกเหนือทุกสิ่ง อัลเลาะห์ ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก อะบี มุซา ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้มีศรัทธาต่อผู้มีศรัทธานั้น เหมือนอาคารที่บางส่วนของมันยึดอยู่กับอีกบางส่วน หลังจากนั้นท่านได้ประสานนิ้วมือของท่าน และได้ปรากฏว่า ท่านนบี ซ.ล. นั่งอยู่ บังเอิญมีชายคนหนึ่งเข้ามาขอ หรือ ผู้ที่มีธุระ ได้ มุ่งหน้ามาหาพวกเรา และท่านนบีใต้กล่าวว่า พวกท่านจงช่วยเหลือ แล้วพวกท่านจะได้ผลบุญ และขออัลเลาะห์จงทรงจัดการสิ่งที่พระองค์ประสงค์ตามลิ้นนบีของพระองค์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี 

เล่าจาก มุอาวิยะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกท่านจงช่วยเหลือแล้วจะได้ผลบุญ ความ จริงข้าพเจ้าต้องการทำงานเนหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าหน่วงมันไว้เพี่อพวกท่านจะช่วยเหลือแล้วได้ผลบุญ เพราะแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงช่วยเหลือ แล้วจะได้ผลบุญ

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ นะซาอี

ความีสัจจะ

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “โอ้บรรดาผู้ที่มีศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงอัลเลาะห์ และ อยู่ร่วมกับบรรดาผู้มีสัจจะ”

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ.  ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่าน จะต้องมีสัจจะ เพราะสัจจะจะนำไปสู่ความดี และแท้จริงความดีจะนำไปสู่สวรรค์ ชายคน หนึ่งคงมีสัจจะและเคยชินกับการมีสัจจะ จนเขาถูกบันทึก ณ อัลเลาะห์ว่า เป็นผู้มีสัจจะ และพวกท่านจะต้องระวังการโกหก เพราะแท้จริงการโกหกจะนำไปสู่ความชั่ว และแท้จริงความชั่ว นั้นจะนำไปสู่ไฟนรก ชายคนหนึ่งยังคงโกหก และเคยชินกับการโกหก จนเขาถูกบันทึก ณ อัลเลาะห์ว่าเป็นจอมโกหก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อิมรอน บุตร ฮุศอยน์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงในคำ พูดกระทบนั้น เป็นการเพียงพอแล้วที่จะไม่ต้องโกหก[152]                                                                      

รายงานโดย อบนุอะดีย์ และ บัยฮะกีย์ ด้วยรายงานที่หะซัน

อนุญาตคำพูดสัพยอก

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ.  ว่าแท้จริงมีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวขึ้นว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์จงหาสัตว์ให้ข้าพเจ้าขี่ ท่านนบีได้กล่าวว่า แท้จริงพวกเราจะให้ท่านขี่

ลูกอูฐตัวเมีย ชายคนนั้นได้กล่าวว่า ฉันจะทำอะไรกับลูกอูฐต้วเมีย ท่านนบี ซ.ล. จึงกล่าวว่า           มันจะไม่คลอดออกมาเป็นอูฐหรอกนอกจากอฐตัวเมีย

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า       โอ้คนที่

มีสองหู169 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. จะอยู่ร่วมปะปนกับพวกเรา จน ท่านจะเรียกน้องชายของข้าพเจ้าว่า โอ้ อะบู อุมัยร์ นกตัวน้อยมันทำอะไรหรือ                                                               

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า พวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์

ท่านหยอกล้อกับพวกเรา ท่านนบีได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าจะไม่พูดนอกจากความจริงเท่านั้น

รายงานโดย ติรมิซี

การทำตามสัญญา

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “จงรำลึกถึงอิสมาอีลที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ ความจริงเขา มีสัจจะต่อสัญญา เป็นศาสนหูตอีกทั้งเป็นนบี”

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร อะบิล ฮัมซาอ์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ค้าขายกับท่าน นบี ซ.ล.ด้วยการขายหนึ่ง ก่อนที่ท่านจะถูกแต่งตั้ง และยังมีหนี้ของท่านค้างชำระอยู่[153] ข้าพเจ้าได้สัญญาแก่ท่านว่าจะมาหาท่านพร้อมด้วยหนี้นั้น ณ สถานที่เดิม และข้าพเจ้าก็ลืมสัญญานั้น มานึกขื้นได้หลังจากสามวัน ข้าพเจ้าจึงได้มา และก็พบว่าท่านนบียังอยู่ที่นั่น ท่านได้กล่าว ว่า โอ้ ชายหนุ่ม ความจริงท่านทำให้ฉันต้องลำบาก ฉันอยู่ที่นี้มาสามวันแล้ว คอยท่านอยู่ 

รายงานโดย อะบู ดาวูด

เล่าจาก เซด บุตร อัรกอม ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อชายคนหนึ่ง ได้สัญญาแก่พี่น้องของเขาไว้ และเขาตั้งใจว่าจะทำตามสัญญา แต่เขาก็ไม่ได้ทำตามสัญญานั้น และเขาไม่ได้มาตามกำหนด ไม่มีบาปแก่เขา      

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

ความสุภาพและสุขุม

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ.  ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า โอ้ อาอิชะห์ แท้ จริงอัลเลาะห์ทรงอ่อนโยนยิ่ง พระองค์ทรงรักความอ่อนโยน และพระองค์จะทรงประทานให้ แก่ความอ่อนโยนสิ่งที่พระองค์จะไม่ประทานให้แก่ความแข็งกระด้าง และสิ่งที่จะไม่ประทาน ให้แก่สิ่งอื่นจากความอ่อนโยน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ว่า ความจริงนางถูกถามถึงการออกไปอยู่ตามทะเลทราย นางได้ตอบว่า ท่านนบี ซ.ล. เคยออกไปยังลำธารน้ำแห่งนี้ และแท้จริงท่านตั้งใจออกไปยังทะเลทรายในครั้งหนึ่ง ท่านจึงได้ส่งอูฐมาให้ฉันตัวหนึ่ง จากฝูงอูฐซะกาตที่ยังไม่เคยถูกขี่เลย จากนั้นท่านได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า โอ้ อาอิชะห์ เธอจงอ่อนโยน เพราะความอ่อนโยนนั้น จะ ไม่ไปอยู่ในสิ่งใดเลย นอกจากมันจะทำให้สิ่งนั้นสวยงาม และมันจะไม่ถูกถอดออกจากสิ่งใดเลย นอกจากมันจะทำให้สิ่งนั้นน่าเกลียด        

รายงานโดยมุสลิม และ อะบูดาวูด 

เล่าจาก อะบี ดัรดาอฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่มีโชคจากความอ่อนโยน เท่ากับเขามีโชคจากความดี และผู้ใดที่ถูกหวงห้ามจากโชคของเขาที่เป็นความอ่อนโยน เท่ากับเขาผู้นั้นถูกหวงห้ามจากโชคของเขาที่เป็นความดี 

รายงานโดยมุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี 

เล่าจาก มุสอับ บุตร สะอัด จากบิดาของเขา ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความสุขุมในทุกเรื่องเป็นความดี ยกเว้นในการทำความดี สำหรับอาคิเราะห์                                                                 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ ฮากีม

เล่าจาก สะฮัล บุตร สะอัด ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า ความสุขุมมาจาก อัลเลาะห์ และความรีบร้อนมาจากชัยฏอน                                                                     

รายงานโดย ติรมิซี และ บัยฮะกี

ความอาย

เล่าจาก อิมรอน บุตร ฮุศอยน์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ความอายจะไม่นำพาสิ่งใดมานอกจากความดี บุชัยร์ บุตร กะอับ ได้กล่าวว่า มีบันทึกอยู่ในปรัชญาว่า แท้จริงส่วนหนึ่งของความอาย คือ ความเยือกเย็น และแท้จริงส่วนหนึ่งของความอาย คือ ความ สงบ อิมรอน ได้กล่าวแก่เขาว่า ข้าพเจ้าบอกท่านด้วยหะดีษของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. แต่ท่านบอกฉันด้วยสิ่งที่อยู่ในบันทึกของท่าน                                                         

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด 

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ผ่านชายคนหนึ่งขณะที่เขา กำลังถูกประณามในเรื่องความขี้อาย โดยกล่าวว่า แท้จริงท่านมีความขี้อาย จนกระทั่งคล้ายกับเขาพูดว่าความจริงมันเป็นภัยกับตัวท่าน ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. จึงได้กล่าวว่า ปล่อยเขาเกิด เพราะความจริงความอายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของศรัทธา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อะบี มัสอูด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงสิ่งที่มนุษย์ได้มา

จากคำของนบีก่อนๆ คือ “เมื่อท่านไม่อาย ก็จงกระทำสิ่งที่ท่านประสงค์เถิด            

รายงานโดย บุคอรี อะบู ดาวูด และอะห์มัด

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจงละอายอัลเลาะห์อย่างที่ควรจะละอายเถิด พวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ความจริงเราก็มีความละอาย แล้วขอขอบคุณอัลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่า มันไม่ใช่เช่นนั้น แต่ความละอายต่ออัลเลาะห์อย่าง ที่ควรจะละอายนั้น คือ การที่ท่านจะต้องรักษาศีรษะ และ สิ่งที่มันบรรจุอยู่[154] ต้องรักษาท้อง และสิ่งที่มันหุ้มอยู่[155] จงระลึกถึงความตาย และความผุพัง และผู้ใดที่ปรารถนาอาคิเราะห์ ให้เขาทิ้งเครื่องประตับของดุนยา และผู้ใดได้กระทำดังนั้น ก็เท่ากับเขาได้มีความละอายต่ออัลเลาะห์ อย่างที่ควรละอายแล้ว

รายงานโดยติรมิซี อะห์มัด และ ฮากีม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความอายเป็นส่วน หนึ่งของศรัทธา และศรัทธานั้นอยู่ในสวรรค์ ความลามกเป็นส่วนหนึ่งของความหยาบกร้าน และ ความหยาบกร้านนั้นอยู่ในนรก

เล่าจาก อะบี อุมามะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความอายและพูดน้อยนั้นเป็นสองกิ่งของอีหม่าน ความลามกและพูดมากนั้นเป็นสองกิ่งของการตีสองหน้า 

รายงาน หะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

ความถ่อมตน

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ ได้ ทรงให้การยะโสในสมัยญาฮิลียะห์หายไปจากพวกท่าน รวมทั้งความโอ้อวดในสมัยญาฮิลียะห์ ด้วย บรรพบุรุษผู้มีศรัทธาที่ยำเกรง และคนทรยศที่เลวทราม[156] พวกท่านเป็นลูกหลานของอาดัม และอาดัมมาจากดินพวกผู้ชายจะต้องทิ้งการนำเอาพวกพ้องมาเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาของพวกเขา ความจริงพวกเขานั้น คือ ถ่านก้อนหนึ่งจากถ่านไฟนรกยะฮันนัม หรือพวกเขาจะเป็นสิ่งที่สะดวก แก่อัลเลาะห์ยิ่งกว่าด้วงที่จะปัดกลิ่นเน่าเหม็นด้วยจมูกของมัน 

รายงามโตย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก อิยาฎ บุตร ฮิมาร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จรงอัลเลาะห์ทรงวะฮีย์ มายังข้าพเจ้า ให้พวกเขาถ่อมตน จนกระทั่งคนหนึ่งจะไม่ทุจริตต่ออีกคนหนึ่ง และ จนกระทั่งคนหนึ่งจะไม่โอ้อวดกับอีกคนหนึ่ง

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนที่ดันทุรังนั้นต้องพินาศ ท่านนบีได้กล่าวสามครั้ง      

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม และอะบู ดาวูด 

จริยธรรมที่งดงามยิ่งนั้นคือ จริยธรรมของอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “แน่แท้เจ้านั้นอยู่บนหลักจริยธรรมอันยิ่งใหญ่”

และอัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “เจ้าจงยึดเอาการอภัย จงใช้ด้วยการดี และจงหันเหออกจากพวกที่โง่เขลา”

และอัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “จะไม่เท่าเที่ยมกันหรอก ความดีและความเลวก็จะ ไม่เท่ากันเจ้าจงปัดป้องด้วยสิ่งที่ดีกว่า ดังนั้นผู้ที่ระหว่างเจ้ากับเขามีความบาดหมางกัน เขาก็จะเป็นเหมือนคนรักที่ใกล้ชิด จะไม่ได้พบมันหรอก นอกเสียจากพวกที่อดทน และจะไม่ได้พบมัน หรอก นอกเสียจาก ผู้ที่มีโชคดีอันใหญ่หลวง” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก อะบี ดัรดาอฺ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดจะมี นํ้าหนักในตาชั่งของผู้มีศรัทธาในวันกิยามะห์ยิ่งกว่าความมีจริยธรรม และแน่แท้อัลเลาะห์ทรง กริ้วผู้ที่ลามก ผู้ที่หยาบโลน        

รายงานโดยอะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า แท้จริง ผู้มีศรัทธานั้นจะได้ ด้วยความประพฤติที่ดีงามของตน ตำแหน่งของผู้กือศีลอดที่ลุกขึ้นทำอิบาดะห์ในยามกลางคืน

รายงานโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี อิบนุ ฮิบบาน และ ฮากีม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ถูกถามถึงส่วนมากของสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ได้เข้าสวรรค์ ท่านได้ตอบว่า คือ การยำเกรงอัลเลาะห์ และ ความประพฤติที่ดีงาม และท่านไดัถูกถามถึงส่วนมากของสิ่งที่จะทำให้มนุษย์เข้านรก ท่านตอบว่า คือ ปาก และ อวัยวะเพศ 

เล่าจาก อะบี ซัรร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า จงยำเกรงอัลเลาะห์ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน และจงทำความดีติดตามความชั่ว ความดีนั้นจะ ลบล้างความชั่ว และจงอยู่ร่วมมนุษย์ด้วยความประพฤติอันดีงาม

และเล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การยิ้มแย้มของท่าน ให้แก่ใบหน้าของพี่น้องของท่านนั้น เป็นการทำทานของท่าน การที่ท่านใช้ให้ทำความดี และการที่ท่านห้ามจากความชั่วนั้นเป็นการทำทาน การที่ท่านชี้นำให้แก่คนๆ  หนึ่งในแผ่นดินที่มีแต่ความหลงผิดนั้นเป็นการทำทานของท่าน และการชี้ทางของท่านให้แก่คนที่สายตาไม่ดีนั้น เป็น การทำทานของท่าน การที่ท่านขจัดก้อนหิน หนาม และกระดูกไปให้พ้นทางสัญจรนั้น เป็นการ ทำทานของท่าน และการที่ท่านเทนํ้าจากภาชนะของท่านลงในภาชนะของพี่น้องของท่านนั้น เป็น การทำทานขอ งท่าน           

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดยติรมิซี

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนที่ดีที่สุดของพวกท่านคือ- คนที่มีความประพฤติดีที่สุดของพวกท่าน                                                                                                          

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ตัวบทของบุคอรีว่า            แท้จริงคนที่จะนับว่าดีที่สุดในหมู่พวกท่านนั้นคือ คนที่มีความ

ประพฤติดีที่สุดของพวกท่าน

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ทุกๆ การดีนั้น เป็นทาน และส่วนหนึ่งของการดี คือ การที่ท่านพบกับพี่น้องของท่านด้วยใบหน้าที่เบิกบาน และ คือ การที่ท่านเทนํ้าจากภาชนะของท่านลงในภาชนะของพี่น้องของท่าน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่ใช่ผู้ที่มขันติ นอกจาก ผู้ที่พลาดพลั้ง ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ นอกจากผู้ที่มีประสบการณ์                                                                           

รายงานโดย ติรมิซี อะห์มัด และฮากีม

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนที่ข้าพเจ้ารักที่สุดในหมู่พวก ท่าน และมีที่นั่งใกล้ชิดกับข้าพเจ้ามากที่สุดในวันกิยามะห์ คือ คนที่มความประพฤติดีงามที่สุด ในหมู่พวกท่าน และแท้จริงผู้ที่ข้าพเจ้าโกรธที่สุดในหมู่พวกท่าน และมีที่นั่งห่างข้าพเจ้ามากที่ สุดในวันกิยามะห์ คือ คนที่พูดพร่ำ คือคนที่พูดพล่อย และคนที่พูดเยิ่นเย้อ พวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ความจริงพวกเรารู้จักแล้ว พวกที่,พูดพร่ำ และพวกที่พูดพล่อย แต่ พวกที่พูดเยิ่นเย้อเป็นใคร ท่านนบีตอบว่า คือ พวกที่หยิ่งทะนง 

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจาก อะลี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงในสวรรค์นั้นมีหลายห้อง ที่จะมองเห็นข้างนอกจากภายใน และเห็นข้างในจากภายนอก ได้มีอาหรับชนบทคนหนึ่งถามว่า มันเป็นของใคร โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ท่านนบีได้ตอบว่า เป็นของคนที่พูดดี เลี้ยงอาหาร ถือศีลอดเป็นประจำและละหมาดเพื่ออัลเลาะห์ในเวลากลางคืน ขณะที่มนุษย์หลับไหล 

รายงานโดย ติรมิซี อะห์มัด และอิบน ฮิบบาน

เล่าจาก ชาริอ อ้ลกอยซีย์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่ มุนซิร อ้ลอะชัจญ์ ว่า ความจริงในตัวท่านมีสองประการที่อัลเลาะห์รัก คือ ความขันติ และ ความสุขุม มุนซิรได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้ามีนิสัยทั้งสองอย่างนั้นเอง หรือ อัลเลาะห์ได้ทรงให้มันทั้งสองอย่างเป็นนิสัยของข้าพเจ้า ท่านนบีตอบว่า อัลเลาะห์ทรงให้มันทั้งสองอย่างเป็นนิสัยของท่าน มุนซิรได้กล่าวว่า ขอสรรเสริญอัลเลาะห์ผู้ซึ่งได้ให้ทั้งสองอย่างนั้นเป็นนิสัยของข้าพเจ้า ซึ่งพระองค์อัลเลาะห์และ ศาสนทูตของพระองค์ รักมันทั้งสอง ประการนั้น                                     

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

จริยธรรมบางอย่างของทานนบี ซ.ล.

อาอิชะห์ ร.ฎ. ถูกถามว่า ท่านนบี ซ.ล. เคยกระทำอะไรบ้างให้แก่ครอบครัวของท่าน อาอิชะห์ตอบว่า ท่านคอยรับใช้ครอบครัวของท่าน และเมื่อถึงเวลาละหมาด ท่านก็ลุก ขึ้นไป ละหมาด 

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้พูดคุยกับ พวกเราในวันหนึ่ง ต่อมาท่านได้ลุกขื้น พวกเราจึงได้ลุกขื้น และพวกเราได้มองดูอาหรับชนบท คนหนึ่งที่ได้ตามไปทันท่านนบี และได้กระชากผ้าห่มของท่าน และมันได้ทำให้ด้นคอของท่านแดง โดยที่ผ้าห่มผืนนั้นเป็นผ้าหยาบ ท่านนบี ซ.ล. จึงได้หันกลับไป อาหรับชนบทคน นั้นได้กล่าวแก่ท่านว่า จงบรรทุกให้ข้าบนอูฐของข้าทั้งสองด้วนี้ เพราะ ความจริงเจ้าจะไม่ได้ บรรทุกให้ข้าจากทรัพย์ของเจ้า และไม่ให้เป็นทรัพย์ของบิดาของเจ้า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว ว่า ไม่, และข้าพเจ้าขออภัยต่ออัลเลาะห์ ไม่, และข้าพเจ้าขออภัยต่ออัลเลาะห์ ไม่, และข้าพเจ้า ขออภัยต่ออัลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะไม่บรรทุกให้ท่านจนกว่าท่านจะเปีดโอกาสให้ฉันทำเหมือนที่ ท่านทำกับฉัน จากรอยกระชากที่ท่านได้กระชากฉัน และทั้งหมดที่กล่าวนั้น อาหรับชนบทคน นั้นได้กล่าวแก่ท่านนบีว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ ฉันจะไม่ให้เจ้ากระทำเหมือนที่ข้ากระทำต่อเจ้า เมื่อพวกเราได้ยินคำพูดของอาหรับชนบทคนนั้น พวกเราจึงตรงไปหาเขาโดยเร็ว ท่านนบีได้หัน มาทางพวกเรา แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอสั่งแก่ผู้ที่ได้ยินคำพูดของฉันว่า เขาจะต้องอยู่ในที่เดิม จนกว่าฉันจะอนุญาตให้เขา จากนั้นท่านนบีได้เรียกชายคนหนึ่งมาแล้วกล่าวว่า เจ้าจงบรรทุกให้แก่เขาบนอูฐทั้งสองตัวของเขานี้ อูฐตัวหนึ่งด้วยข้าวสาลี อูฐอีกตัวหนึ่งด้วยอินทผลัม จากนั้น ท่านได้หันมายังพวกเราแล้วกล่าวว่า พวกเจ้าจงกลับไปได้แล้ว ด้วยความเพิ่มพูนของอัลเลาะห์

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม  และ อะบู ดาวูด 

แนวทางที่ดี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่า แท้จริงนบีของอัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง แนวทางที่ดี แบบอย่างที่ดี และทางสายกลางนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากยี่สิบสี่ส่วนของตำแหน่งนบี

รายงานโดย อะบูดาวูด และ ติรมข

และตัวบทของติรมิซีว่า แบบอย่างที่ดี ความสุขุม และทางสายกลางนั้น เป็นส่วนหนึ่ง จากยี่สิบสี่ส่วนของตำแหน่งนบี

ความใจบุญ

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด

ใจบุญที่สุดและ กล้าหาญที่สุด

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ซ.ล. ไม่เคยถูกขอสี่งใดเลย ที่ท่านจะกล่าวว่า ไม่    

รายงานหะดีษทั้งลองโดย บุคอรี และ มุลลิม 

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนใจบุญนั้นใกล้ชิดกับอัลเลาะห์ ใกล้ชิดกับสวรรค์ ใกล้ชิดกับมนุษย์ ห่างไกลจากไฟนรก คนตระหนี่นั้น ห่าง ไกลจากอัลเลาะห์ห่างไกลจากสวรรค์ ห่างไกลจากมนุษย์ โกล้ชิดกับไฟนรก คนโง่ที่ใจบุญ เป็น ที่รักของอัลเลาะห์ผู้,ทรงยิ่งใหญ่ และเกรียงไกร ยิ่งกว่านักทำอิบาดะห็ที่ตระหนี่        

รายงานโดยติรมิซี บัยฮะกีย์ และ ตอบรอนีย์

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า มีสี่สิบประการ ที่สูงสุดคือ แพะที่ให้ขอยืมรีดนม ไม่มีคนใดที่กระทำประการหนึ่งจากสี่สิบ

ประการนั้น โดยหวังผลบุญ และเชื่อในสิ่งที่ถูกสัญญาของมัน นอกจากอัลเลาะห์จะให้เขาได้ เข้าสวรรค์ด้วยประการนั้น 

รายงานโดย บุคอรี และ อะบู ดาวูด

เล่าจาก อัลบะรออฺ บุตร อาซิบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า ผู้ใดได้ให้ขอยืมแพะเพื่อเอานม หรือ ให้ยืมเงิน หรือชี้นำคนที่หลงผิด เขาจะได้ผลบุญ เหมือนปลดปล่อยทาส     

รายงานโดยติรมิซี และอะห์มัด ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

การสำนึกในบุญคุณ

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “ไม่มีผลตอบแทนทำความดี นอกเสียจากการทำดีเช่นกันดังนั้นมีความโปรดปรานใดของพระผู้อภิบาลของเจ้าทั้งสองหรือ ที่เจ้าทั้งสองจะว่ามันเป็นเท็จ

....................................................10มค62/1

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่ไม่ ขอบคุณอัลเลาะห์ เขาก็ย่อมจะไม่ขอบคุณมนุษย์                                                                             

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

และตัวบทของติรมีซีว่า ผู้ใดไม่ขอบคุณมนุษย์ เขาก็ย่อมจะไม่ขอบคุณอัลเลาะห์ 

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้รับของให้ และเขามี ดังนั้นให้เขา จงตอบแทนของให้นั้น และผู้ที่ไม่มี (สิ่งใดจะตอบแทน) ให้เขาจงสรรเสริญ เพราะความจริงผู้ที่สรรเสริญนั้นเท่ากับเขาได้ขอบคุณ และผู้ใดปกปิด เท่ากับเขาทรยศ 

รายงานโดย ติรมิซี อะบู ดาวูด และ อิบนุฮิบบาน

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อท่านนบี ซ.ล. ได้มาที่นครมะดีนะห์ พวกผู้ อพยพได้มาหาท่าน แล้วกล่าวว่า  โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ พวกเราไม่เคยเห็นพวกใดที่ได้ใข้จ่าย อย่างมากมาย และไม่เคยเห็นผู้ใดที่ให้ความเอื้อเฟ้อเป็นอย่างดี ทั้งที่มีน้อย ยิ่งไปกว่าพวกที่เรา ได้ลงพักอยู่กับพวกเขา[157] [158] ความจริงพวกเขาได้ให้ค่าใช้จ่ายแก่พวกเราอย่างพอเพียง และได้ให้ พวกเราได้เข้าร่วมในอาชีพ จนกระทั่งพวกเรากล่าวว่าพวกเขาจะเอาผลบุญไปหมด ท่านนบี ซ.ล. ได้ภล่าวว่า ไม่, ตราบใดที่พวกท่านยังคงวิงวอนต่ออัลเลาะห์ให้แก่พวกเขา และยังคง สรรเสริญพวกเขา     

รายงานโดย ติรมิซี และ อะบู ดาวูด

เล่าจาก อุซามะห์ บุตร เซด ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่มีผู้ทำความดีแก่เขา และเขาได้กล่าวแก่ผู้ทำดีว่า “ขออัลเลาะห์ท'รงตอบแทนความดีแก่ ท่าน” นันนับว่าเขาได้สรรเสริญอย่างที่สุดแล้ว      

รายงานโดย ติรมิซี แตะ อิบนุฮิบบาน ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

เตือนให้ระวังอัลเลาะห์และมนุษย์[159]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และอัลเลาะห์ทรงเตือนพวกเจ้าให้ระวังพระองค์ ทั้งที่ อัลเลาะห์ มีความสงสารบ่าว”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “พวกเจ้าจงรับทราบไว้ด้วยว่า แท้จริงอัลเลาะห์ทรงรู้ สิ่งที่อยู่ในใจของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงระวังพระองค์ และพวกเจ้าจงรับทราบไว้ด้วยว่า แท้จริงอัลเลาะห์ทรงอภัยยิ่ง ทรงขันติยิ่ง”

เล่าจาก อะบี มูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว แท้จริงอัลเลาะห์จะทรง ผ่อนผันให้แก่ผู้ที่ทุจริต จนกระทั่งเมื่อพระองค์จะทรงเอาความผิดเขา พระองค์จะไม่พลาด จากเขา       

รายงาน โดย บุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้มีศรัทธานั้น จะไม่ถูกสัตว์ต่อยในรูเดียวกันถึงสองครั้ง *

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด 

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านจะ พบมนุษย์ว่า เหมือนฝูงอูฐที่มีเป็นจำนวนร้อย แต่ผู้ชายคนหนึ่งจะไม่พบในฝูงอูฐนั้นว่า มีอูฐ ที่จะใช้เป็นพาหนะได้สักตัวเดียว *

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อัมร์ บุตร ฆอฟวาอฺ อัลคุซาอีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เรียกฉัน โดยท่านต้องการจะส่งข้าพเจ้าไปพร้อมด้วยทรัพย์สิน ไปมอบให้แก่ อะบีซุฟยาน เพื่อเขาจะได้แบ่งมันให้แก่ กุเรช ที่มักกะห์ หลังจากได้เข้าพิชิตแล้ว, ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านจงหาเพื่อนต่อมา อัมร์ บุตร อุมัยยะห์ อัดดอมรีย์ ได้มาหาข้าพเจ้า และได้กล่าวว่า ฉันได้ทราบว่า ท่านต้องการจะเดินทางออกไป และท่านกำลังหาเพื่อน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ถูกต้องแล้ว เขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะเป็นเพื่อนของท่านเอง เขา (อัมร์ บุตร ฆอฟวาอุ) ได้กล่าวว่า จากนั้นข้าพเจ้าได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เพื่อนแล้ว ท่านนบีได้ถามว่า ใคร                                      ข้าพเจ้าตอบว่า อัมร์ บุตร อุมัยยะห์ อัดดอมรีย์ ท่านนบีได้กล่าวว่าเมื่อท่านได้ลงพัก ณ บ้านเมืองของพวกพ้องของเขา ท่านจงระมัดระวังเขา เพราะได้มีผู้พูดซึ่งเป็นพี่ชายคนโตพ่อเดียวแม่เดียวกับท่านได้กล่าวว่า  ท่านอย่าไว้ใจเขา ต่อมา เราก็ออกเดินทาง จนกระทั่งข้าพเจ้าได้มาถึง อับวาอ์ เขา (อัมรี บุตร อุมัยยะห์) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้า มีความจำเป็นต้องไปหาพวกพ้องของข้าพเจ้าที่ วัดดาน ดังนั้นให้ท่านคอยข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้า ได้กล่าวว่า ไปดีเถิด เมื่อเขาไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงนึกถึงคำพูดของท่านนบี ซ.ล. ข็้นมาได้ ข้าพเจ้าจึงได้ผูก (อาน) บนอูฐของข้าพเจ้าอย่างรีบเร่ง จนกระทั่งข้าพเจ้าได้ออกไป จนเมื่อ ข้าพเจ้ามาอยู่ที่ อะซอฟิร เขาได้เข้าขวางข้าพเจ้าพร้อมด้วยคนพวกหนึ่ง[160] ข้าพเจ้าจึงเร่งเดินทาง และสามารถล่วงหน้าเขาไปได้ และเมื่อเขาเห็นข้าพเจ้าหลุดรอดจากเขาไปได้ พวกเขาจึงกลับไป และเขาได้มาหาข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้ามีธุระจำเป็นกับพวกพ้องของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ครับและเราก็ได้ออกเดินทางจนเข้าสู่ มักกะห์ และข้าพเจ้าได้จ่ายทรัพย์ให้แก่ อะบีซุฟยาน     

รายงานโดยอะบู คาวูด

คาดคิดถึงอัลเลาะห์ และ มนุษย์ในแง่ดี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ผู้ทรง ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้ตรัสว่า เราขื้นอยู่กับการที่บ่าวของเราคาดคิดถึงเรา            

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี (ซ.ล) ได้กล่าวว่า การคิดในแง่ดี เป็น ส่วนหนึ่งของอิบาดะห์ที่ดี        

รายงานโดยอะบู คาวูด

ความสมบูรณ์ของศาสนาอยู่ในการแนะนำ

เล่าจาก ตะมีม อัดดารีย์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงศาสนา คือการแนะนำ แท้จริงศาสนาคือ การแนะนำ แท้จริงศาสนาคือ การแนะนำ พวกเขาได้ ถามว่า เพี่อใคร โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านตอบว่า เพื่ออัลเลาะห์ เพื่อคมภีร์ของพระองค์

เพื่อศาสนทูตของพระองค์ เพื่อผู้นำมุสลิม และเพื่อมุสลิมโดยทั่วไป 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจาก ยะรีร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ให้สัตยาบันแก่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ว่า จะเชื่อฟัง และปฏิบัติตาม และว่าข้าพเจ้าจะแนะนำมุสลิมทุกคน ผู้เล่าได้กล่าวว่า ยะรีรนั้นเมื่อเขาขายหรือซื้อ เขาจะต้องกล่าวว่า พึงทราบเกิด แท้จริงสิ่งที่เราได้เอาไปจาก ท่านนั้น เป็นสิ่งที่เราพอใจ ยิ่งกว่าสิ่งที่เราได้ให้ท่าน ดังนั้น ท่านจงเลือกเอาเถิด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

ที่ปรึกษาเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจ

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “และเจ้าจงปรึกษากับพวกเขาในการทำงาน และเมื่อเจ้า ตั้งใจแน่วแน่ ก็จงมอบความเป็นไปให้อัลเลาะห์ แท้จริงอัลเลาะห์ทรงรัก ผู้ที่มอบหมาย” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ที่ปรึกษานั้น เป็น ผู้ได้รับความไว้วางใจ  

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่ถูกอธิบายให้รู้โดย (ผู้อธิบาย) ไม่มีความรู้ บาปของเขาจะตกอยู่กับผู้ให้คำอธิบายแก่เขา และได้เพิ่มเติมในบางรายงานว่า และผู้ใดที่ได้ให้ข้อปรึกษาแก่พี่น้องของเขาด้วยงานชิ้นหนึ่งที่เขารู้ดีว่า สิ่งที่ถูกต้องนั้นอยู่ในงานชิ้นอื่น เท่ากับเขาทุจริต ต่อพี่น้องของเขา

รายงานโดยอะบู คาวูค และ ฮากิม

ผู้ที่ชี้นำไปสู่ความดีเหมือนเป็นผู้กระทำเอง

เล่าจาก อะบี มัสอูด อัลอันศอรีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริงพาหนะของข้าพเจ้าได้ตายไป ดังนั้นท่าน จงหาพาหนะให้ข้าพเจ้าด้วย ท่านนบีได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่มีพาหนะที่จะให้ท่านขี่ แต่จงไป

หาคนนั้นๆ  หวังว่าเขาจะหาพาหนะให้ท่านได้ จากนั้นเขาก็ได้ไปหาชายคนนั้น ชายคนนั้นก็ได้ จัดพาหนะให้เขา เขาได้กลับมาหาท่านนบี ซ.ล. และเล่าให้ท่านทราบ ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล.ได้กล่าวว่า ผู้ใดชี้นำให้ทำความดี เขาจะได้รับผลบุญเหมือนผู้กระทำความดีนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี 

ตำแหน่งที่สูงสุด อยูในการเป็นธุระแก่เพื่อนมนุษย์

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดช่วยเหลือผู้มี ศรัทธาให้พ้นจากความทุกข์ร้อนหนึ่ง จากบรรดาความทุกข์ร้อนในโลกนี้ อัลเลาะห์จะช่วยให้ เขาพ้นจากความทุกข์ร้อนหนึ่ง จากบรรดาความทุกข์ร้อนในวันกิยามะห์ และผู้ใดที่ปกป้อง มุสลิม อัลเลาะห์จะทรงปกป้องเขาในดุนยา และอาคิเราะห์ และผู้ใดอำนวยความสะดวกแก่ผู้ เดือดร้อน อัลเลาะห์จะทรงอำนวยความสะดวกแก่เขาในดุนยาและอาคิเราะห์ อัลเลาะห์ทรง อยู่ในการช่วยเหลือบ่าว ตราบใดที่บ่าวอยู่ในการช่วยเหลือพี่น้องของเขา และผู้ใดที่ดำเนินอยู่ ในเส้นทางหนึ่ง แสวงหาความรู้ในเส้นทางนั้น อัลเลาะห์จะทรงอำนวยความสะดวกด้วยเส้นทางนั้น เส้นทางไปสู่สวรรค์ และไม่มีกลุ่มชนใดที่ร่วมชุมนุมกันอยู่ในบ้านหลังหนึ่งจากบรรดา บ้านของอัลเลาะห์ พวกเขาอ่านคัมภีร์ของอัลเลาะห์ ทบทวนคัมภีร์กันในระหว่างพวกเขา นอก จากความสงบสุขจะลงมายังพวกเขา ความเมตตาจะห้อมล้อมพวกเขา และ มะลาอิกะห์จะโอบพวกเขา และอัลเลาะห์จะนำเอาพวกเขาใปกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ ณ พระองค์ และผู้ใดที่การงาน ของเขาทำให้เขาต้องล่าช้า วงศ์ตระกูลของเขาจะไม่ช่วยให้เขาเร็วขื้นได้ 

รพงานโดยมุสลิม อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก ฮุศอยน์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้มีขอทานคนหนึ่งมาหา อิบนุ อับบาส และได้ขอเขา อิบนุ อับบาสได้กล่าวว่า ท่านปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าองค์ใดที่เที่ยงแท้นอกจาก อัลเลาะห์ หรือ เขาตอบว่า ครับ อิบนุอับ บาสถามว่า ท่านปฏิญาณว่า มุฮัมมัดเป็นศานทูตของอัลเลาะห์หรือ เขาตอบว่า ครับ ถามว่า ท่านถือศีลอดในเดือนรอมาดอนหรือเขาตอบว่า ครับ อิบนุ อับบาสได้กล่าวว่า ท่านได้ขอ และผู้ขอนั้นมีสิทธิ ความจริงมันเป็น หน้าที่ของพวกเราที่จะต้องติดต่อกับท่าน จากนั้นอิบนุ อับบาสได้ให้ผ้าผืนหนึ่งแก่เขา แล้ว กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. กล่าวว่า ไม่มีมุสลิมคนใดที่ได้ให้มุสลิม สวมเสื้อผ้า นอกจากเขาจะอยู่ในการอารักขาของอัลเลาะห์ ตราบเท่าที่ยังคงมีเศษผ้าของเขา ติดอยู่บนร่างของผู้ขอ    

รายงานโดยติรมิซี ในเรื่องความอ่อนโยนต่างๆ

เล่าจาก อะบี ดัรดาอ์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะไม่แจ้งให้ พวกท่านทราบถึงขั้นที่ประเสริฐยิ่งกว่าขั้นของการถือศีลอด ละหมาด และการทำทานหรือ พวกเขาตอบว่า  หามิได้ โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ท่านกล่าวว่า คือ การประนีประนอมระหว่างสองฝ่ายที่พิพาทกัน เพราะการทำลายการประนีประนอมนั้น คือ มีดโกน

รายงานโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

ความยุติธรรม คือ รากฐานของการปกครอง

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัส'ว่า “แท้จริงอัลเลาะห์ทรงใช้ให้มีความยุติธรรม ใช้ให้ทำ ความดี และใช้ให้ให้แก่ญาติใกล้ชิด ห้ามจากสิ่งบัดสี การชั่ว และการละเมิด พระองค์ทรง อบรมพวกเจ้า หวังว่าพวกเจ้าจะรับคำตักเตือน” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า เจ็ดคนที่ อัลเลาะห์จะทรงให้พวกเขาอยู่ในร่มเงาของพระองค์ในวันที่ไม่มีร่มเงา นอกจากร่มเงาของพระองค์ เท่านั้น คือ ผู้นำที่มความยุติธรรม ชายหนุ่มที่เติบโตอยู่ในการทำอิบาดะห์ต่อพระผู้อภิบาล ของเขา ผู้ชายคนหนึ่งที่หัวใจของเขาผูกพันอยู่กับมัสยิด ชายสองคนที่รักกันเพื่ออัลเลาะห์ รวมกันเพื่อพระองค์ และจากกันเพื่อพระองค์ ชายคนหนึ่งที่หญิงที่มีตระกูลและความงามเชิญชวนให้เขาละเมิดประเวณี แต่เขากล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้ากลัวอัลเลาะห์ และชายคนหนึ่งเขา ได้บริจาคทาน เขาปิดบังจนมือซ้ายของเขาไม่รู้สิ่งที่มีอขวาของเขาบริจาค และชายคนหนึ่งได้ รำลึกถึงอัลเลาะห์ตามลำพัง และดวงตานั้งสองของเขาท่วมท้นด้วยน้ำตา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิยาด บุตร ฮิมาร อํลมุญาชิอีย์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห่ ซ.ล. ได้กล่าวในวันหนึ่งในคำสุนทรพจน์ของท่านว่า พึงทราบเถิดว่า แท้จริงพระผู้อภิบาลของฉัน ได้บัญชาฉันให้สอนพวกท่านสิ่งที่พวกท่านไม่รู้ จากสิ่งที่พระองค์ได้สอนฉันในวันนี้ ทุกๆ ทรัพย์สินที่เราได้มอบมันให้แก่บ่าวคนใดนั้นเป็นสิ่งอนุมัติ (ฮาลาล)[161] และแท้จริงเราได้ บังเกิดบ่าวของเราทั้งหมด เป็นผู้เอนเอียงเข้าหาสัจธรรม และแท้จริงชัยฏอนได้มาหาพวกเขา และ ได้นำพาพวกเขาออกไปห่างศาสนาของพวกเขา และมันได้กำหนดสิ่งที่เราอนุมัติแก่ พวกเขาว่าเป็นสิ่งต้องห้าม และได้บัญชาพวกเขา ให้ตั้งภาคีต่อเราด้วยสิ่งที่เราไม่ได้ประทาน หลักฐานลงมา และแท้จริงอัลเลาะห์ทรงมองดูชาวดิน และพระองค์ทรงกริ้วพวกเขา ทั้งชาว อาหรับของพวกเขา และที่ไม่ใช่ชาวอาหรับของพวกเขา นอกจากที่เหลืออยู่ของชาวคัมภีร์[162] และพระองค์ได้กล่าวว่า แท้จริงเราได้แต่งตั้งท่าน เพื่อเราจะทดลองท่าน และทดลอง (มนุษย์) ด้วยตัวท่าน และเราได้ประทานลงมายังท่าน ด้วยคัมภีร์ที่นํ้าไม่อาจล้างมันได้ ที่ท่านจะอ่าน มันทั้งยามหลับ และตื่น[163] และแท้จริงอัลเลาะห์ทรงบัญชาฉันให้เผาพวกกุเรช ข้าพเจ้าได้ กล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาล ดังนั้น พวกเขาจะต้องทำให้ศีรษะของข้าพเจ้าแตกและปล่อย ให้มันแตกเหมือนขนมบัง พระองค์ได้ตรัสว่า ท่านจงเอาพวกเขาออกไป เหมือนที่พวกเขาขับไล่เจ้าออกไป ท่านจงรบกับพวกเขา เราจะช่วยเหลือท่าน ท่านจงบริจาค ต่อไปเราจะบริจาค ให้ท่าน ท่านจงส่งกองทหารไป เราจะส่งไปห้าเท่าของมัน ท่านจงใช้บุคคลที่เชื่อฟังท่าน รบกับผู้ที่ขัดขืนท่าน พระองค์ได้กล่าวว่า ชาวสวรรค์มีสามประเภทคือ ผู้มีอำนาจที่ยุติธรรม ที่บริจาค ที่ได้รับการชี้นำ ชายคนหนึ่งที่มีเมตตา มีหัวใจอ่อนโยนแก่ญาติใกล้ชิด และที่เป็น มุสลิม และคนที่สงวนตัว ที่หักห้ามตัวเอง ที่มีครอบครัว[164] พระองค์ได้ตรัสว่า ชาวนรก มีห้าประเภท คนอ่อนแอที่ไม่มีสมอง ซึ่งพวกเขาอยู่ร่วมกับพวกท่าน เป็นบริวาร โดยพวกเขา จะไม่เรียกหาครอบครัว และทรัพย์สิน คนทุจริตที่ความโลภของเขาจะไม่อำพราง แม้เพียง เล็กน้อย นอกจากเขาจะต้องทุจริต และชายที่จะไม่รุ่งเช้าและไม่ตกเย็นนอกจากเขาจะลวงท่าน เกี่ยวกับครอบครัวของท่าน[165] และทรัพย์สินของท่าน และเขาได้กล่าวถึง ความตระหนี้ หรือ โกหก[166] และคนที่หยาบโลน       

รายงานโดยมุสลิม ในเรื่องลักษฌะของสวรรค์

บทสุดท้าย ความรัก[167]

หสํกของศาสนาอยู่ที่รักอัลเลาะห์และศาลนทูตของพระองค์

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “จงประกาศเถิดว่า ถ้าหากพวกเจ้ารักอัลเลาะห์ ก็จงตามฉัน อัลเลาะห์จะรักพวกเจ้า และอภัยให้พวกเจ้า บาปต่าง ของพวกเจ้า อัลเลาะห์ทรง อภัยยิ่งทรงเมตตายิ่ง” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จากท่านน-ปี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สามประการนี้อยู่ในผู้ใด ผู้นั้นจะได้พบกับความหวานของศรัทธา อัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์ เป็นที่รักของ เขายิ่งกว่าสิ่งใดๆ นอกจากทั้งสอง, เขารักคนๆ หนึ่ง โดยเขาจะไม่รักผู้นั้น นอกจากเพื่ออัลเลาะห์ ตาอาลา, และเขาจะต้องรังเกียจ การที่เขาจะกลับไปสู่สภาพของความไร้ศรัทธา (กุฟร์) เหมือน เขารังเกียจที่จะถูกโยนลงในไฟนรก                                     

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี อุมามะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดรักเพื่ออัลเลาะห์ โกรธเพื่ออัลเลาะห์ ให้เพื่ออัลเลาะห์ หวงเพื่ออัลเลาะห์ เขาผู้นั้นมืศรัทธาที่สมบูรณ์ 

รายงาน โดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ซัรร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า กิจกรรมที่ประเสริฐที่สุด คือ รักเพื่ออัลเลาะห์ และโกรธเพื่ออัลเลาะห์                                                                       

รายงานโดย อะบู ดาวูด

ผู้ไดรักอัลเลาะห์ อัลเลาะห์และบ่าว (ของพระองค์) จะรักเขา

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา และทำความดีต่างๆ นั้น พระ ผู้เมตตาจะให้พวกเขาได้รับความรัก”

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์นั้นเมื่อพระองค์ทรงรักบ่าวคนใด พระองค์จะเรียก ญิบรีล และตรัสว่า แท้จริง เรารักคนนั้นๆ ดังนั้นเจ้าจงรักเขา ท่านได้กล่าวว่า ญิบรีลก็จะรักเขา หลังจากนั้นก็จะประกาศในฟากฟ้า โดยจะกล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ทรงรักคนนั้นๆ พวกท่านจงรักเขาเถิด และ ชาวฟ้าก็จะรักเขา จากนั้นการยอมรับในตัวเขาจะลูกวางลงในชาวดิน และเมื่ออัลเลาะห์ทรงกริ้ว บ่าวคนใด พระองค์จะเรียก ญิบรีล แล้วตรัสว่า แท้จริงเรากริ้วคนนั้น ๆ เจ้าจงกริ้วเขาเกิด ญิบรีลก็จะกริ้วเขา จากนั้นญิบรีลก็จะประกาศในชาวฟ้าว่า แท้จริงอัลเลาะห์ทรงกริ้วคนนั้น ๆ พวกท่านจงกริ้วเขาเกิด ท่านได้กล่าวว่าต่อมาพวกเขาก็จะกริ้วคนๆ นั้น จากนั้นความกริ้วในตัวเขาก็จะลูกวางลงในแผ่นดิน        

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ซัรร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีผู้ถามท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ว่า ได้โปรด บอกข้าพเจ้าเถิด ชายคนหนึ่ง ทำกิจกรรมหนึ่งเป็นความดี ประชาชนได้พากันสรรเสริญเขาที่ ทำความดีนั้นๆ  ท่านตอบว่า นั่นคือ การรีบแจ้งข่าวดีของผู้มีศรัทธา 

รายงานโดย มุสลิม

ผู้ที่รักกลุ่มชนใด เขาจะถูกนำไปรวมกับกลุ่มชนนั้น

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลเลาะห์และศาสนทูต พวกเขา เหล่านั้นจะได้อยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลเลาะห์ให้ความโปรดปรานแก่พวกเขาจากบรรดานบี พวก ที่ศรัทธามั่น พวกนักรบชะฮีด และบรรดาผู้ที่มีคุณธรรม และพวกเขาเหล่านั้นเป็นมิตรที่ดี ที่สุด”

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า  โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ท่านจะว่าอย่างไรแก่คนๆ หนึ่งที่เขารักกลุ่มชนหนึ่งแต่ไม่สามารถตาม พวกนั้นได้ทัน ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนๆ หนึ่งจะได้อยู่ร่วมกับคนที่เขารัก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริงชายคนหนึ่งได้ถามท่านนบี ซ.ล. ว่า  เมื่อไหร่วัน กิยามะห์จะเกิดขึ้น โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์  ท่านตอบว่า ท่านได้เตรียมอะไรไว้เพื่อมันบ้าง เขาตอบว่า ฉันไม่ได้เตรียมสิ่งใดไว้เพื่อมัน ทั้งละหมาดมาก ถือศีลอด และทำทาน แต่ฉัน รักอัลเลาะห์ และศาสนฑูตของพระองค์ ท่านได้กล่าวว่า  ท่านจะได้อยู่กับคนที่ท่านรัก ได้มี เพื่มเติมในบางรายงานว่า  และพวกเราได้กล่าวว่า  และพวกเราก็เช่นกันหรือ ท่านตอบว่า  ใช่แล้ว พวกเราดีใจกันมากในวันนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

รักคนที่มีคุณธรรม เยี่ยมเยือนพวกเขา และสังคมกับพวกเขา
เป็นทรัพย์เชลยที่ยี่งใหญ่

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มนุษย์ก็คือ แร่ธาตุ เหมือนกับแร่เงินและทอง คนที่ดีที่สุดของพวกเขาในยุคญาฮิลียะห์ คือ คนที่ดีที่สุดของพวกเขา ในยุคอิสลาม เมื่อพวกเขามีความเข้าใจ *'วิญญาณต่างๆ นั้น คือ เหล่าทหารที่ถูกเกณฑ์มา ดังนั้น วิญญาณใดที่คุ้นเคยกันก็มีความสนิทสนม และวิญญาณใดที่ไม่ลงรอยกัน ** ก็ขัดแย้งกัน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งนั้น จะยึดถือตามศาสนาเพื่อนของเขา ดังนั้น จงให้คนใดคนหนึ่งของพวกท่านมองดูผู้ที่จะคบเป็นเพื่อนเถิด

รายงานโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อะบีสะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านอย่าคบเป็นเพื่อน นอกจากผู้มีศรัทธา และอย่าให้รับประทานอาหารของท่าน นอกจากผู้ที่มีความยำเกรง

เล่าจาก มิกดาม บุตร มะอฺดีกะริบ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อชาย

คนหนึงรักพี่น้องของเขา ให้เขาจงบอกแก่พี่น้องว่าตนรักเขา 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูดด ติรมิซี อะห์มัด และฮากีม

และอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้มีชายคนหนึ่งอยู่ที่ท่านนบี ซ.ล. ต่อมาได้มีชาย คนหนึ่งผ่านมาที่ท่านแล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์แท้จริงข้าพเจ้ารักคนๆ นี้ ท่านนบีได้ กล่าวว่า  ท่านบอกให้เขารู้แล้วหรือ เขาตอบว่า ยังไม่ได้บอก ท่านนบีกล่าวว่า จงบอกให้เขารู้เถิด เขาจึงได้ติดตามชายคนนั้นไปจนทันแล้วกล่าวแก่เขาว่า แท้จริงฉันรักท่าน เพื่ออัลเลาะห์ และชายคนนั้นได้กล่าวว่า ได้รักท่านแล้ว ผู้ชึ่งรักฉัน เพื่อพระองค์[168] 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด

เล่าจาก อะบีมูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เปรียบเพื่อนที่ดี และ เพื่อน ที่ชั่ว เหมือนกับคนที่ถือชะมดเชียง และคนที่ใช้สูบลม[169] ผู้ที่ถือชะมดเชียงนั้นบางที่เขาอาจ ให้ท่าน และบางที่ท่านอาจขอซื้อจากเขา และบางที่ท่านอาจพบกลิ่นหอมจากเขา และคนที่ใช้ สูบลมนั้น[170] บางที่เขาอาจทำให้เสื้อผ้าของท่านไหม้ และบางที่ท่านอาจได้พบกลิ่นเหม็นจาก

เขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้ไป เยี่ยมเยือนพี่น้องของเขาในตำบลอื่น อัลเลาะห์ได้ให้มีมะลาอิกะห์คอยเขาในเส้นทางของเขา และเมื่อเขาได้มาถึงมะลาอิกะห์นั้น มะลาอิกะห์ได้กล่าวถามว่า ท่านจะไปไหน ชายคนนั้น

ตอบว่า ฉันต้องการไปหาพี่น้องของฉันที่อยู่ในตำบลนี้ มะลาอิกะห์ได้กล่าวว่า ท่านมีสิ่งของ เกินความต้องการใดๆ ที่ท่านดูแลอยู่ไปมอบให้แก่เขาบ้าง เขาตอบว่า ไม่มี นอกจากความจริง ข้าพเจ้ารักเขา เพื่ออัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร มะลาอิกะห์ได้กล่าวว่า ฉันคือทูต ของอัลเลาะห์มายังท่าน เพื่อแจ้งว่าแท้จริงอัลเลาะห์ทรงรักท่าน เหมือนกับที่ท่านรักเขา เพื่อ พระองค์ 

รายงานโดย มุลลิม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดเยี่ยมคนป่วย หรือเยี่ยมเยือนพี่น้องของเขาเพื่ออัลเลาะห์ ได้มีผู้ประกาศแก่เขาว่า ท่านดีแล้ว และทางเดิน ของท่านก็ดีแล้ว และท่านได้เตรียมที่พำนักไว้ในสวรรค์แล้ว 

รายงานหะดีษโดยติรมิซีด้วยสายรายงานที่ หะซัน

คนที่รักกันนั้นอยู่ในร่มเงาของบัลลังก์ (อัรช์) ในวันกิยามะห์

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ ตาอาลา จะทรงตรัสในวันกิยามะห์ว่า ผู้ที่รักกัน เพราะความยิ่งใหญ่ของเราอยู่ที่ไหนในวันที่ เราจะให้ร่มเงาแก่พวกเขา ให้ได้อยู่ในร่มเงาของเรา ในวันที่ไม่มีร่มเงาใดๆ นอกจากร่มเงาของ เราเท่านั้น       

รายงานโดย มุสลิม และ ติรมีซี         และตัวบทของติรมีซีว่า อัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่

และเกรียงไกรได้ตรัสว่า ผู้ที่รักกันเพราะความยิ่งใหญ่ของเรานั้น พวกเขาจะได้รับแท่น จาก รัศมีที่แม้แต่บรรดานบี และนักรบชะฮีดก็ยังต้องอิจฉาพวกเขา

เล่าจาก อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงส่วนหนึ่งจากบ่าวของ อัลเลาะห์นั้น มีคนกลุ่มหนึ่งที่พวกเขาไม่ใช่นบี และไม่ใช่นักรบชะฮีด ที่แม้แต่บรรดานบี และนักรบชะฮีดยังอิจฉาพวกเขาในวันกิยามะห์ อันเนื่องมาจากตำแหน่งของพวกเขา ณ พระองค์ อัลเลาะห์ตาอาลา พวกเขาได้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ได้โปรดบอกพวกเราเกิดว่า พวกเขา คือใคร        ท่านนบีตอบว่า               พวกเขาคือ ชนกลุ่มหนึ่งที่รักกัน เพราะความรักอัลเลาะห์ โดย

ไม่ใช่เพราะความเป็นเครือญาติระหว่างพวกเขา และไม่ใช่เพราะทรัพย์สินที่พวกเขาหยิบยื่นให้ แก่กัน สาบานต่ออัลเลาะห์ แท้จริงดวงหน้าของพวกเขาเป็นรัศมี และแท้จริงพวกเขาอยู่บน รัศมี พวกเขาจะไม่หวาดหวั่น ในยามที่มนุษย์พากันหวาดหวั่น และพวกเขาจะไม่เศร้าใจ ใน ยามที่มนุษย์พากันเศร้าใจ พึงทราบเกิดว่า แท้จริง บรรดาคนรักของอัลเลาะห์นั้น จะไม่มี ความหวาดหวั่นใดๆ เกิดกับพวกเขา และพวกเขาจะไม่เศร้าใจ                                        

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด

รักแต่ปานกลาง เปีนสิ่งที่ศาสนาเรียกร้อง

เล่าจาก อะบี ดัรดาอฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การที่ท่านรักสิ่งหนึ่งนั้น มันจะทำให้ตาบอด และ หูหนวก        

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ อิหม่ามอะห์มัด

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า จงรักคนรักของ ท่านแต่เพียงปานกลาง เพราะสักวันเขาอาจเป็นคนที่ท่านชิงชัง และจงชิงชังคนที่ท่านชิงชัง แต่เพียงปานกลาง เพราะสักวันเขาอาจเป็นคนที่ท่านรัก 

รายงานโดย ติรมิซี บัยฮะกีย์ และ ตอบรอนีย์

 

ด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

ภาค คำซิกร์ คำขอพร การขออภัยโทษ และการกลับตัว

มีห้าบท และบทสุดห้าย

บทที่หนึ่ง

ความประเสริฐของซิกร์ และผู้ซิกร์

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธา พวกเจ้าจงรำลึกถึงอัลเลาะห์ เป็นการรำลึกถึงอย่างมากมาย และจงถวายบริสุทธิ์แด่พระองค์ ทั้งยามเช้าและยามเย็น”

อัลเลาะห์ตาอาลาตรัสว่า “พวกเจ้าจงรำลึกถึงเรา แล้วเราจะรำลึกถึงพวกเจ้า และจงสำนึกในบุญคุณของเรา และอย่าทรยศต่อเรา”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “พวกผู้ชายที่รำลึกถึงอัลเลาะห์อย่างมากมาย และพวก ผู้หญิงที่รำลึกถึง อัลเลาะห์ได้เตรียมการอภัย และผลบุญอันยิ่งใหญ่ไว้ให้แก่พวกเขาแล้ว” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ และเกรียงไกร ตรัสว่า ตัวเรานั้นขึ้นอยู่ที่การคาดคิดของบ่าวของเรา ต่อตัวเราและเราจะอยู่กับเขา ขณะที่เขารำลึกถึงเรา ถ้าหากเขารำลึกถึงเราอยู่ภายในใจของเขา เราก็จะรำลึกถึงเขาอยู่ภายในใจของเรา และถ้าหากเขารำลึกถึงเราในกลุ่มชน เราก็จะรำลึกถึงเขา ในกลุ่มชนที่ดีกว่า และถ้าหากเขาเข้าใกล้เราหนึ่งคืบ เราจะใกล้เขาหนึ่งศอก ถ้าหากเขาเข้าใกล้เราหนึ่งศอก เราจะเข้าใกล้เขาหนึ่งวา และเมื่อเขาเดินเข้าหาเรา เราจะวิ่งเข้าหาเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า แท้จริง อัลเลาะห์ นั้น มีมะลาอิกะห์พวกหนึ่งตระเวนไปตามเส้นทางต่างๆ คอยหา พวกที่ซิกร์ และเมื่อพบ พวกหนึ่งกำลังรำลึกถึงอัลเลาะห์ มะลาอิกะห์พวกนั้นก็จะประกาศว่า จงมายังความต้องการ ของพวกท่านเถิด[171] ท่านนบีได้กล่าวว่า มะลาอิกะห์จะโอบพวกเขาด้วยปีก ไปยังฟ้าชั้นตํ่าสุด[172] ท่านนบีได้กล่าวว่า จากนั้นพระผู้อภิบาลของพวกเขาก็จะถามมะลาอิกะห์พวกนั้น โดย ที่พระองค์ทรงทราบดีอยู่แล้ว ว่า บ่าวของเราพูดอะไรบ้าง มะลาอิกะห์จะตอบว่า พวกเขา กล่าวคำสดุดีพระองค์ท่าน ถวายความยิ่งใหญ่แก่พระองค์ท่าน สรรเสริญพระองค์ท่าน และ ยกย่องพระองค์ท่าน ท่านนบีได้กล่าวว่า                                     อัลเลาะห์จะตรัสว่า พวกเขาเห็นเราหรือ มะลาอิกะห์จะตอบว่า ไม่ สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า พวกเขาไม่เห็นพระองค์ท่านหรอก ท่านนบีได้ กล่าวว่า พระองค์จะตรัสว่า ถ้าหากพวกเขาเห็นเราจะเป็นอย่างไร ท่านนบีกล่าวว่า มะลาอิกะห์ จะตอบว่า ถ้าหากพวกเขาเห็นพระองค์ท่าน พวกเขาจะด้องทำอิบาดะห์ต่อพระองค์ท่านอย่างหนัก ยกย่องพระองค์ท่านอย่างหนัก และสดุดีพระองค์ท่านอย่างหนัก ท่านนบีได้กล่าวว่า พระองค์จะตรัสว่า พวกเขาขออะไรเรา ท่านนบีกล่าวว่า มะลาอิกะห์จะตอบว่า พวกเขาขอ สวรรค์ต่อพระองค์ท่าน ท่านนบีได้กล่าวว่า พระองค์จะตรัสว่า และพวกเขาเคยเห็นสวรรค์ หรือ ท่านนบีได้กล่าวว่า มะลาอิกะห์จะตอบว่า ไม่ สาบานต่ออัลเลาะห์ โอ้ พระผู้ทรงอภิบาล พวกเขาไม่เคยเห็นสวรรค์หรอก ท่านนบีได้กล่าวว่า พระองค์จะตรัสว่า แล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าหากพวกเขาได้เห็นสวรรค์ ท่านนบีได้กล่าวว่า มะลาอิกะห์จะตอบว่า ถ้าหากพวกเขาเห็น สวรรค์ พวกเขาจะต้องโลภอยากได้สวรรค์อย่างรุนแรง และจะต้องร้องขอสวรรค์อย่างหนัก และจะต้องมีความรักชอบสวรรค์อย่างใหญ่หลวง ท่านนบีได้กล่าวว่า พระองค์จะตรัสว่า พวกเขา ขอป้องกันจากสิ่งใด ท่านนบีกล่าวว่า มะลาอิกะห็จะตอบว่า จากไฟนรก ท่านนบีได้กล่าวว่า พระองค์จะตรัสว่า พวกเขาเคยเห็นไฟนรกหรือ ท่านนบีกล่าวว่า มะลาอิกะห์จะตอบว่า ไม่ สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า พวกเขาไม่เคยเห็นไฟนรก พระองค์จะตรัสว่า ถ้าหากพวกเขาเห็นไฟนรก จะเป็นอย่างไร ท่านนบีได้กล่าวว่า มะลาอิกะห็จะตอบว่า ถ้าหากพวกเขาเห็นไฟนรก พวกเขา จะต้องหนีให้พ้นจากไฟนรกอย่างสุดเหวี่ยง และจะกลัวไฟนรกอย่างที่สุด ท่านนบีกล่าวว่า พระองค์จะกล่าวว่า เราขอเอาพวกเจ้าเป็นพยานว่า แท้จริงเราได้อภัยโทษแก่พวกเขา มะลาอิกะห์หนึ่ง จากบรรดามะลาอิกะห์ จะกล่าวว่า ในหมู่พวกเขานั้น มีคนหนึ่งที่ไม่ใช่เป็นพวกเขา แต่ความจริง เขามาเพื่อทำธุระ พระองค์ทรงตรัสว่า พวกเขาเป็นเพื่อนกัน เพื่อนของพวกเขาจะไม่โชคร้าย เพราะพวกเขา* 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อะบี มูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เปรียบบ้านที่มีการกล่าว ถึงอัลเลาะห์ในบ้านหลังนั้น กับบ้านที่ไม่มีการกล่าวถึงอัลเลาะห์ในบ้านหลังนั้น เหมือนคนเป็น กับคนตาย 

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า “ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น ไม่มีคู่ภาคีเสมอเหมือนพระองค์ กรรมสิทธิ์เป็นของพระองค์ และการสรรเสริญเป็นของพระองค์ พระองค์ทรงปรีชาญาณเหนือ ทุกสิ่ง “วันละหนึ่งร้อยครั้ง มันจะทำให้ท่านได้รับเท่ากับปลดปล่อยทาสจำนวนสิบคน และ จะถูกจดบันทึกแก่ท่านถึงหนึ่งร้อยความดี และถูกลบไปจากท่านหนึ่งร้อยความชั่ว และจะปรากฏ เป็นเกราะป้องกันให้ท่านจากชัยฏอนในวันนั้น จนถึงเวลาเย็น โดยจะไม่มีผู้ใดนำสิ่งที่ดีกว่าที่เขา ได้นำมา นอกจากผู้ที่ได้กระทำมากกว่านั้น และผู้ใดได้กล่าวว่า “ถวายบริสุทธิ์แด่อัลเลาะห์ พร้อมด้วยคำสรรเสริญพระองค์,, วันหนึ่ง หนึ่งร้อยครั้ง ความผิดต่าง ๆ ของเขาจะถูกลบ ออกไป แม้มันจะมีอยู่เหมือนฟองนั้าทะเลก็ตาม                                        

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

* หมายความว่า คนฑอขู่ร่วมกํบพวกเขากึจะพลอยได้รับความสุขเพราะพวกเขาด้วย.

ตัวบทของมุสลิม และ ติรมิซีว่า ผู้ใดกล่าวว่า “ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์เพียงองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีคู่ภาคีเสมอเหมือนพระองค์ กรรมสิทธิ๋เป็นของ พระองค์ และคำสรรเสริญเป็นของพระองค์ พระองค์ให้ชีวิต และให้ตาย พระองค์ทรงปรีชาญาณ เหนือทุกสิ่ง” สิบครั้งเขาจะเหมือนกับคนที่ปลดปล่อยสี่ชีวิตจากลูกของอิสมาอีล

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี (.ช.ล.) ได้กล่าวว่า จะไม่มีกลุ่มชนใดที่นั่งรำลึกถึงอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร นอกจาก มะลาอิกะห์จะโอบพวกเขาไว้ และความเมตตาจะปกคลุมพวกเขา และความสงบสุขจะลงมายังพวกเขา และพระองค์อัลเลาะห์ จะนำเอาพวกเขาไปกล่าวถึงแก่ผู้ที่อยู่ ณ พระองค์

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวก “มุฟัรริดูน” ได้ล่วงหน้าไปแล้ว พวกเขาได้กล่าวว่า พวกมุฟัรริดูน คือใคร โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านได้ตอบว่า คือ พวกที่ระลึกถึงอัลเลาะห์อย่างมากมาย ทั้งชายและหญิง

เล่าจาก อะบีสะอิด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มุอาวิยะห์ ได้ออกไปพบคนวงหนึ่งอยู่ในมัสยิด เขาได้ถามขึ้นว่า อะไรทำให้พวกท่านนั่งร่วมวงกัน                                                          พวกเขาตอบว่า พวกเรานั่งรำลึกถึงอัลเลาะห์

มุอาวิยะห์กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ไหมว่า ไม่มีอะไรทำให้พวกท่านนั่งร่วมวงกันนอกจาก เพื่อการเช่นนั้น        เขาได้กล่าวว่า พึงทราบเถิด ความจริงข้าพเจ้าไม่ได้ขอให้พวกท่านสาบาน

เพราะกล่าวหาพวกท่านว่าโกหก และไม่มีใครที่อยู่ในติาแหน่งของข้าพเจ้ากับท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ที่จะรายงานหะดีษน้อยยิ่งกว่าข้าพเจ้า และแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.ได้ออก ไปพบคนวงหนึ่ง จากบรรดาอัครสาวกของท่าน แล้วท่านได้กล่าวว่า อะไรทำให้พวกท่านนั่ง ร่วมวงกัน พวกเขาตอบว่า พวกเรานั่งร่วมวงกัน รำลึกถึงอัลเลาะห์และสรรเสริญพระองค์ที่ได้ชี้นำพวกเราให้มาสู่อิสลาม และได้โปรดปรานเราด้วยอิสลาม ท่านนบีได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ไหมว่าไม่มีอะไรทำให้พวกท่านนั่งร่วมวงกัน นอกจากเพื่อการเช่นนั้น พวกเขา ได้กล่าวว่าสาบานต่ออัลเลาะห์ ไม่มีอะไรทำให้พวกเรานั่งร่วมวงกัน นอกจากเพื่อการเช่นนั้น ท่านนบีได้กล่าวว่า พึงทราบเถิดว่า แท้จริงข้าพเจ้าไม่ได้ขอให้พวกท่านสาบาน เพราะกล่าวหา พวกท่าน แต่เพราะญิบรีล ได้มาหาข้าพเจ้าและแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่า แท้จริงอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร นำพวกท่านไปโอ้อวดกับบรรดามะลาอิกะห์                   

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดยมุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก ฮันดอละห์ อัลอุสัยดีย์ ร.ฎ. เขาเคยเป็นคนหนึ่งจาทบรรดาอาลักษณ์ของท่าน รอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ฮันดอละห์ ได้กลายเป็นคนตีสองหน้าเสียแล้ว ท่านได้กล่าวว่า มันเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์พวกเราอยู่กับท่าน ท่านได้เตือนพวกเราให้ระวังไฟนรกและสวรรค์ จน เหมือนกับพวกเราเห็นด้วยตา และเมื่อพวกเราได้ออกไปจากท่าน พวกเราได้อยู่กับภรรยา บุตร และการงาน พวกเราได้ลืมไปมากมาย ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้สี่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ ถ้าหาภพวกท่านเสียใจต่อสิ่งที่พวกท่านอยู่กับฉัน และในการรำลึกถึง (อัลเลาะห์) แล้ว มวลมะลาอิกะห์จะสัมผัสมือกับพวกท่าน บนที่นอนของ พวกท่าน ในถนนหนทางของพวกท่าน แต่โอ้ ฮันดอละห์ ชั่วโมงหนึ่ง และชั่วโมงหนึ่ง (ท่าน ได้กล่าว) สามครั้ง[173]  

รายงานโดย มุสลิม และ ฅิรมิซี ในเรื่องสิ่งต่างๆ ที่จะทำให้หัวใจอ่อนโยน

และตัวบทของติรมิซี ว่า ถ้าหากพวกท่านเสียใจต่อสภาพการที่พวกท่านเป็นอยู่ขณะ อยู่กับข้าพเจ้าแล้ว มวลมะลาอิกะห์ก็จะต้องสัมผัสมือกับพวกท่าน ในที่ชุมนุมของพวกท่าน ในถนนหนทางของพวกท่าน และบนที่นอนของพวกท่าน แต่โอ้ ฮันดอละห์ ชั่วโมงหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่ง และชั่วโมงหนึ่ง

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีกลุ่มชนใดที่ ได้นั่งอยู่ในที่ประชุมหนึ่ง โดยพวกเขาไม่ได้กล่าวถึงอัลเลาะห์ในที่ประชุมนั้น และไม่ได้ขอพร แก่นบีของพวกเขา นอกจากความขาดทุนจะประสพกับพวกเขา และถ้าหากพระองค์ประสงค์ ก็จะลงโทษพวกเขา และถ้าหากพระองค์ประสงค์ ก็จะอภัยโทษให้พวกเขา

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                    ไม่มีบ่าวคน,ใด

ที่ได้กล่าวว่า “ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น,, โดยบริสุทธิ์ใจ นอกจากบรรดาประตูฟ้าจะถูกเปิดเพื่อเขา จนกระทั่งถึงบัลลังก์ (อัรช์) ตราบเท่าที่ไม่มีการ ทำบาปใหญ่

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อพวกท่านเดินผ่านสวนสวรรค์ พวกท่านจงนั่งลง พวกเขาได้ถามว่า อะไรคือสวนสวรรค์ ท่านตอบว่า วงซิกร์

และอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. รำลึกถึงอัลเลาะห์ทุกขณะ

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไดิยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า คำซิกร์ที่ประเสริฐที่สุด คือ “ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น,, และคำขอพรที่ประเสริฐที่สุด คือ “มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์,,

และได้มีชายคนหนึ่งกล่าวขื้นว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์แท้จริงบัญญัติของอิสลามนั้น มีมากมายเหลือเกินต่อข้าพเจ้า    ดังนั้นขอท่านจงบอกข้าพเจ้าเถิดถึงสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะยึดมันปฏิบัติอยู่เสมอ ท่านกล่าวว่า ให้ลิ้นของท่านเปียกอยู่เสมอด้วยการกล่าวถึงอัลเลาะห์ (ซิกร์)

เล่าจาก อะบี ดัรดาอฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะไม่แจ้งให้พวกท่านรู้หรือถึงการกระทำของพวกท่านที่ดีที่สุด และ สะดวกที่สุด ณ ผู้ทรงกรรมสิทธิ์ตัวพวกท่าน และสูงที่สุดในตำแหน่งต่างๆ ของพวกท่าน และจะเป็นความดีแก่พวกท่านยิงกว่าการ บริจาคทองคำและเงิน และจะเป็นความดีแก่พวกท่านยิ่งกว่าการที่พวกท่านพบกับศัตรู และ พวกท่านฟันคอศัตรูได้ และพวกเขาก็ฟันคอพวกท่าน พวกเขา (เหล่าอัครสาวก) ได้กล่าวว่า หามิได้, โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์(ได้โปรดบอกเถิด) ท่านนบีได้กล่าวว่า คือ การรำลึกถึงอัลเลาะห์ ตาอาลา

เล่าจาก อะบีสะอีด ร.ฎ. ว่า แท้จริง ชายคนหนึ่งได้ถามท่านนบี ซ.ล. ว่า อิบาดะห์ใด ที่มีขั้นประเสริฐที่สุด ณ พระองค์อัลเลาะห์ในวันกิยามะห์ ท่านตอบว่า บรรดาชายที่ระลึกถึงอัลเลาะห์มากมาย และบรรดาหญิงที่รำลึกถึง ข้าพเจ้าได้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ และ ยิ่งกว่านักรบในวิถีทางของอัลเลาะห์หรือ ท่านตอบว่า แม้ว่า เขาจะใช้ดาบของเขาฟันเหล่าผู้ ไร้ศรัทธา และเหล่าผู้ดั้งภาคี จนดาบหัก และตัวเขาชุ่มเลือด ก็จะปรากฏว่า บรรดาชายที่รำลึก ถึงอัลเลาะห์จะมีขั้นที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเขา

เล่าจาก ตะมีม อัดดารีย์ ร.ฎ. จากท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ว่า แท้จริงท่านได้กล่าวว่า ผู้ใดกล่าวว่าข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ องค์เดียว โดยไม่มีคู่ภาดีที่เสมอเหมือนพระองค์ เป็นพระเจ้าทรงเอกะองค์เดียว ไม่พึ่งพาสิ่งใด ไม่มีคู่ครอง ไม่มีบุตร ไม่มีคู่ภาคีเสมอเหมือนพระองค์ สิบเอ็ดครั้ง อัลเลาะหจะทรงบันทึก ให้เขาสี่สิบพันพันความดี

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า  พึง ทราบเถิด ข้าพเจ้าจะสอนท่านด้วยถ้อยคำหลายคำ เมื่อท่านได้กล่าวมัน อัลเลาะห์จะอภัยให้ท่าน แม้ท่านจะได้รับการอภัยอยู่แล้วก็ตาม ท่านได้กล่าวว่า จงกล่าวเถิดว่า “ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะ โดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ ผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์ ผู้ทรงขันติธรรม ผู้ทรงการุณ ไม่มีพระเจ้าที่ลูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจาก อัลเลาะห์ถวายบริสุทธแด่อัลเลาะห์ เจ้าของบัลลังก์อันทรงเกียรติ มวลการสรรเสริญเป็นของ อัลเลาะห์ผู้ทรงอภิบาลสากลโลก          

รายงานทั้งสิบหะดีษนี้โดย ติรมิซี

พระนามที่สวยงามยิ่งของอัลเลาะห์

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “และอัลเลาะห์นั้นทรงมีพระนามที่งดงามยิ่ง ดังนั้นพวก เจ้าจงใช้มันวิงวอนขอพระองค์เถิด”

และอัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “พระองค์คือ อัลเลาะห์ ผู้ซึ่งไม่มีพระเจ้านอกจาก พระองค์ ผู้ทรงกรรมสิทธิ์ ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงปลอดภัย ผู้ทรงยืนยันสัจจะ ผู้ทรงคุ้มครอง ผู้ทรงพิชิต ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงทรนง ถวายบริสุทธิ์แด่อัลเลาะห์ จากสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี พระองค์คือ อัลเลาะห์ ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงประดิษฐ์ ผู้ทรงทำให้เกิดรูปร่าง พระองค์มีพระนามที่
งดงามยิ่งสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดิน จะถวายบริสุทธิ์แด่พระองค์ พระองค์คือ ผู้ทรงพิชิต ผู้ทรงเที่ยวชาญยิ่ง”

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์มี เก้าสิบเก้าพระนาม ผู้ใดท่องจำได้ เขาจะได้เข้าสวรรค์ แท้จริงอัลเลาะห์ทรงเปีนจำนวนคี่ พระองค์ ทรงรักจำนวนคี่ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า แท้จริง อัลเลาะห์มี เก้าสิบเก้าพระนาม ดังนั้นผู้ใดสำรวจได้หมด เขาจะได้เข้าสวรรค์ พระองค์คือ “อัลเลาะห์” ผู้ซึ่งไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากพระองค์ “ซึ่งทรงเมตตายิ่ง” “ซึ่งทรงกรุณายิ่ง” “ทรงกรรมสิทธเด็ดขาด” “ผู้ทรงบริสุทธิ์ยิ่ง” “ผู้ทรงปลอดภัย”[174] “ผู้ทรงยืนยันสัจจะ” “ผู้ทรง ปกป้อง”, “ผู้ทรงพิชิต” “ผู้ทรงอำนาจ” “ผู้ทรงทรนง” “ผู้ทรงให้กำเนิด” “ผู้ทรงสร้าง” “ผู้สร้าง รูปทรง” “ผู้ทรงอภัย” “ผู้ทรงกำราบ” “ผู้ทรงให้” “ผู้ทรงประทานปัจจัยยังข้พ” “ผู้ทรงเปีด” “ผู้ทรงรู้” “ผู้ทรงกำ” “ผู้ทรงแบ” “ผู้ทรงกด” “ผู้ทรงยก” “ผู้ทรงให้เกียรติ” “ผู้ทรงต่ำต้อย” “ผู้ทรง ได้ยิน” “ผู้ทรงเห็น” “ผู้ทรงตัดสิน” “ผู้ทรงความยุติธรรม” “ผู้ทรงรู้ละเอียด” “ผู้ทรงเจนจัด” “ผู้ทรงขันติ” “ผู้ทรงยิ่งใหญ่” “ผู้ทรงอภัย” “ผู้ทรงขอบคุณ” “ผู้ทรงสูงส่ง” “ผู้ทรงเกรียงไกร” “ผู้ทรงคุ้มครอง” “ผู้ทรงให้กำลัง” “ผู้ทรงสมรรถภาพ” “ผู้ทรงยิ่งใหญ่” “ผู้ทรงใจบุญ” “ผู้ทรงเฝ้าติดตาม” “ผู้ทรงตอบสนอง” “ผู้ทรงกว้างขวาง” “ผู้ทรงเชี่ยวชาญ” “ผู้ทรงรัก” “ผู้ทรงบารมี” “ผู้ทรงแต่งตั้ง” “ผู้ทรงประจักษ์” “ผู้เป็นสัจธรรม” “ผู้ทรงรับมอบ” “ผู้ทรงพลัง” “ผู้ทรงมั่นคง” “ผู้ทรงปกครอง” “ผู้ทรงคู่ควรแก่คำสรรเสริญ” “ผู้ทรงสำรวจทั่วถึง” “ผู้ทรง ริเริ่ม” “ผู้ทรงให้กลับคืน” “ผู้ทรงให้เป็น” “ผู้ทรงให้ตาย” “ผู้ทรงเป็น” “ผู้ทรงดำรงอยู่” “ผู้ทรงให้มี” “ผู้ทรงเกียรติ” “ผู้ทรงเอกะ” “ผู้ทรงไม่พึ่งพาสิ่งใด” “ผู้ทรงปรีชาญาณ” “ผู้ทรงมีปรีชาญาณ” “ผู้ทรงให้อยู่ก่อน” “ผู้ทรงให้อยู่หลัง” “ผู้ทรงดั่งเดิม” “ผู้ทรงถาวร” “ผู้ทรงปรากฏ” “ผู้ทรงแฝงเร้น” “ผู้ทรงปกครอง” “ผู้ทรงอยู่เหนือ” “ผู้ทรงทำดี” “ผู้ทรง รับการกลับตัว” “ผู้ทรงแก้แค้น” “ผู้ทรงไม่ถือโทษ” “ผู้ทรงสงสาร” “ผู้ทรงถือสิทธิ์” “ผู้ ทรงความยิ่งใหญ่ และเกียรติยศ” “ผู้ให้ความเป็นธรรม” “ผู้ทรงรวมรวม” “ผู้ร่ำรวย” “ผู้ทรงให้ ร่ำ,รวย” “ผู้ทรงหวงห้าม” “ผู้ทรงให้โทษ” “ผู้ทรงให้คุณ” “ผู้ทรงรัศมี” “ผู้ทรงชี้นำ” “ผู้ทรง ประดิษฐ์” “ผู้ทรงคงอยู่” “ผู้ทรงเป็นทายาท” “ผู้ทรงแนะนำ” “ผู้ทรงอดทนยิ่ง” 

กล่องข้อความ: (19ราน'ทนโตยติรมิซี อิบนุฮิบบาน และ ฮากีม

พระนามที่ยิ่งใหญ่

เล่าจาก อับดิ้ลลาห์ บุตร บุรอยดะห์ จากบิดาของเขา ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุล- เลาะห์ ซ.ล. ได้ยินชายคนหนึ่งพูดว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าวิงวอนขอต่อพระองค์

ท่าน ว่าแท้จริงข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า พระองค์ท่านนั้น คืออัลเลาะห์ ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดย เที่ยงแท้นอกจากพระองค์ท่าน ผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงไม่พึ่งพาสิ่งใด ซึ่งไม่มีบุตร และไม่เป็นบุตร และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ และท่านนบีได้กล่าวว่า ความจริงท่านได้ขอต่ออัลเลาะห์ด้วย พระนามซึ่งเมื่อพระองค์ถูกขอด้วยพระนามนี้ พระองค์จะให้ และเมื่อถูกวิงวอนด้วยพระนามนี้ พระองค์จะตอบสนอง       

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจาก . อัสมาอฺ บุตรสาว ยะซีด ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พระนาม ของอัลเลาะห์ที่ยิ่งใหญ่นั้นอยู่ในสองอายะห์นี้ คือ “และพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านนั้นคือ พระ เจ้าองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากพระองค์ ผู้ทรงเมตตายิ่ง ผู้ทรงกรุณายิ่ง” และอายะห์เริ่มของซูเราะห์ อาลิอิมรอน “อะลีฟ ลาม มีม อัลเลาะห์นั้น ไม่มีพระเจ้าที่ถูก สักการะ โดยเที่ยงแท้นอกจากพระองค์ผู้ทรงเป็น ผู้ทรงดำรงอยู่”   

รายงานโดย อิหม่าม อะห์มัด อะบูดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ว่า เขานั่งอยู่กับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.ในมัสยิด และมีชาย คนหนึ่งกำลังละหมาด จากนั้นเขาได้วิงวอนขอว่า “ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าวิงวอนขอ ต่อพระองค์ท่าน ว่า แท้จริงมวลการสรรเสริญนั้นเป็นของพระองค์ท่าน ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะ โดยเที่ยงแท้นอกจากพระองค์ท่าน ผู้ทรงโปรดปราน ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้า และแผ่นดิน โอ้ผู้ทรง ยิ่งใหญ่ โอ้ผู้ทรงเป็น โอ้ผู้ทรงดำรงอยู่” ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงเขาได้ขอต่ออัลเลาะห์ด้วยพระนามของพระองค์ที่ทรงเกียรติยิ่ง ซึ่งเมื่อพระองค์ถูกวิงวอนขอด้วยพระนามนี้ พระองค์จะทรงตอบสนอง และเมื่อพระองค์ทรงถูกขอด้วยพระนามนี้ พระองค์จะทรงประทานให้ 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

บทที่สอง

ความประเสริฐของ ตัสเบียะห์ ตะห์มีด ตักบีร และ ตะห์ลีล[175]

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “ได้ถวายบริสุทธิ๋แด่อัลเลาะห์แล้ว สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้า และ แผ่นดิน พระองค์ทรงพิชิต ทรงเชี่ยวชาญ”

และอัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากมันจะถวายบริสุทธิ์พร้อมด้วย สรรเสริญพระองค์ แต่พวกเจ้าจะไม่เข้าใจคำถวายบริสุทธิ๋ของพวกเขาหรอก แท้จริงพระองค์ ทรงขันติ ทรงอภัยโทษ”

และอัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้า และแผ่นดิน พระองค์ทรงบันดาลความมืดและแสงสว่าง ต่อมาพวกที่ทรยศต่อผู้อภิบาลของ พวกเขาก็หันเห” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า สองคำที่เบาลิ้น แต่มีนํ้าหนักในตาชั่ง ทั้งสองคำเป็นที่รักของพระผู้ทรงเมตตา คือ “ถวายบริสุทธิ๋ แด่อัลเลาะห์พร้อมด้วยสรรเสริญพระองค์ ถวายบริสุทธแด่อัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่,,

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อพวกท่านเดิน ผ่านสวนสวรรค์ พวกท่านจงนั่งลงในพื้นที่ที่อุดมเถิด ข้าพเจ้าได้กามว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ อะไรคือสวนสวรรค์ ท่านตอบว่า มัสยิดต่างๆ ข้าพเจ้าถามว่า อะไรคือพื้นที่ที่อุดม ท่านตอบว่า คือ ถวายบริสุทธิ๋แด่อัลเลาะห์และมวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ และไม่มีพระเจ้า ที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ และอัลเลาะห์ทรงเกรียงไกรยิ่ง

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

เล่าจาก มุสอับ บุตร สะอัด ร.ฎ. จากบิดาของเขาได้กล่าวว่า พวกเราอยู่กับท่าน รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า คนหนึ่งคนใดของพวกท่านอ่อนแอหรือที่จะประกอบหนึ่งพันความดีทุกวัน ได้มีคนหนึ่งจากบรรดาผู้ที่นั่งร่วมกับท่านถามท่านว่า คนหนึ่งคนใดของ พวกเราจะประกอบหนึ่งพันความดีได้อย่างไร ท่านตอบว่า ให้เขากล่าวคำ ตัสเบียะห์ หนึ่งร้อย คำดัสเบียะห์ จะถูกบันทึกให้เขาหนึ่งพันความดี และจะถูกลบไปจากเขาหนึ่งพันความผิด

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แน่นอนอย่างที่สุด การที่ข้าพเจ้าจะกล่าวคำว่า “ถวายบริสุทธแด่อัลเลาะห์ และมวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ และไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ และอัลเลาะห์ทรงเกรียงไกรยิ่ง,, นั้นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารกนายิ่งกว่าสิ่งที่ตะวันส่องแสงกระทบมัน (ทั้งหมด) 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อะบี ซัรร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้า จะไม่บอกแก่ท่านถึงคำพูดที่อัลเลาะห์ทรงรักที่สุดหรือ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โปรดบอกข้าพเจ้า เถิด โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่า แท้จริงคำพูดที่อัลเลาะห์ทรงรักที่สุด คือ “ถวาย บริสุทธิ๋แด่อัลเลาะห์ พร้อมด้วยสรรเสริญพระองค์ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และ ติรมิซี

ตัวบทของติรมีซีว่า คำพูดที่อัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ และเกรียงไกรรักยิ่ง คือ สิ่งที่ อัลเลาะห์ได้เลือกเฟ้นให้แก่มะลาอิกะห์ของพระองค์คือ “ถวายบริสุทธแด่ผู้อภิบาลของฉัน พร้อม ด้วยสรรเสริญพระองค์ ถวายบริสุทธิ๋แด่ผู้อภิบาลของฉัน พร้อมด้วยสรรเสริญพระองค์

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้กล่าวว่า ถวายบริสุทธิ๋ แด่อัลเลาะห์ ผู้ทรงเกียรติ พร้อมด้วยสรรเสริญพระองค์ สวนอินทผลัมจะถูกปลูกไว้ให้แก่เขา ในสวรรค์

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พบกับนบี อิบรอฮีม ในคืนที่เขานำข้าพเจ้าไปอิสรออฺ เขาได้กล่าวว่า โอ้ มุฮัมมัด จงนำสลามของฉัน ไปแจ้งแก่ประชาชาติของท่าน และบอกแก่พวกเขาว่า แท้จริงสวรรค์นั้นดินดี นํ้าจืด และแท้จริง สวรรค์,นั้นมีที่ราบ และแท้จริงพืชพันธุ์ของสวรรค์คือ “ถวายบริสุทธิ์แด่อัลเลาะห์ มวลการ สรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ และอัลเลาะห์ ทรงเกรียงไกรยิ่ง”

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวในวันหนึ่ง แก่บรรดาอัครสาวกของท่านว่า พวกท่านจงกล่าว “ถวายบริสุทธิ๋แด่อัลเลาะห์พร้อมด้วยสรรเสริญ พระองค์” หนึ่งร้อยครั้ง ผู้ใดกล่าวมันหนึ่งครั้ง จะถูกบันทึกให้เขาผู้นั้นสิบความดี และผู้ใดกล่าวมัน สิบครั้ง จะถูกบันทึกให้เขาหนึ่งร้อยความดี และผู้ใดกล่าวมันหนึ่งร้อยครั้ง ก็จะถูกบันทึกให้เขา หนึ่งพันความดี และผู้ใดกล่าวเกินไปจากนั้น อัลเลาะห์ก็จะเพิ่มเติมให้เขาอีก และผู้ใดขออภัยโทษ อัลเลาะห์ก็จะอภัยโทษให้เขา        

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดย ติรมิซี

การนับตัสเบียะห์ และ ต้นตอของลูกประคำ

เล่าจาก ยุซัยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้ใช้พวกผู้หญิงให้ระมัดระวังตัว ด้วยการตักบีร ตักดีส[176] และตะห์ลีล และให้พวกหล่อนนับด้วยองคุลีนิ้ว เพราะมันเหล่านั้น จะถูกสอบถาม จะถูกขอให้พูด

อับตุลเลาะห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห้นท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. นับตัสเบียะห์ด้วยมือขวาของท่าน         

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ยุวัยริยะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้ออกไปจากหล่อน ในเวลาเช้าตรู่ ขณะที่ท่านละหมาดชุบฮ์แล้ว โดยหล่อนอยู่ในมัสยิดของหล่อน[177] จากนั้นท่านได้กลับมา หลัง จากท่านได้ละหมาดคุฮาแล้ว โดยหล่อนยังคงนั่งอยู่ ท่านได้กล่าวว่า เธอยังคงอยู่ในสภาพเดิม ที่ฉันจากเธอไปหรือ ยุวัยริยะห์ได้กล่าวว่า ถูกแล้ว ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงฉัน ได้กล่าวหลังจากเธอสี่คำ สามครั้ง ถ้าหากจะนำไปชั่งเทียบกับที่เธอกล่าวตั้งแต่วันนิ้ มันก็จะต้อง หนักกว่า คือ “ถวายบริสุทธแด่อัลเลาะห์ พร้อมด้วยสรรเสริญพระองค์ เท่ากับจำนวนของ สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และเท่ากับความพอใจของพระองค์ และเท่ากับนํ้าหนักบัลลังก์ของพระองค์ และเท่ากับจำนวนนํ้าหมึกที่จะใช้บันทึกถ้อยคำของพระองค์        

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เข้าไปหาผู้หญิงคนหนึ่ง ข้างหน้าหล่อนมีเมล็ดอินทผลัม หรือก้อนกรวดที่เธอใช้มันนับตัสเบียะห์ ท่านนบีได้กล่าวว่า ฉันจะบอกเธอด้วยสิ่งที่สะดวกแก่ เธอยิ่งกว่านิ้หรือดีกว่า คือ ถวายบริสุทธิ์แต่อัลเลาะห์เท่ากับจำนวนของสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ในฟากฟ้า และเท่ากับจำนวนของสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างในแผ่นดิน และถวายบริสุทธิ์แด่อัลเลาะห์ เท่ากับจำนวนของสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างระหว่างนั้น และถวายบริสุทธิ๋แด่อัลเลาะห์ เท่ากับจำนวนของสิ่งที่พระองค์เป็นผู้สร้าง “อัลเลาะห์ทรงยิ่งใหญ่,, เหมือนเช่นนั้น[178]  “มวลทารสรรเสริญ เป็นของอัลเลาะห์” เหมือนเช่นนั้น และ ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์” เหมือนเช่นนั้น และ “ไม่มีการเคลื่อนไหว และ ไม่มีพละกำลัง นอกจากโดยประสงค์ของอัลเลาะห์เหมือนเช่นนั้น        

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ลาเฮาละวะลากูวะตะอิลลาบิลลาห์ เปีนส่วนหนึ่งของคลังสวรรค์

เล่าจาก อะบี มูซา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้เอาเส้นทางอะกอบะห์ หรือ ได้กล่าวว่า ซะนียะห196 เมื่อชายคนหนึ่งได้ขึ้นทางสูง เขาได้ประกาศและส่งเสียงขื้นว่า “ไม่มี พระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ และอัลเลาะห์ทรงเกรืยงไกรยิ่ง,, ผู้เล่า (อะบู มูซา) ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. อยู่บนล่อของท่าน ได้กล่าวว่า    ความจริงพวกท่านไม่ได้วิงวอนขอคนหูหนวกและไม่ได้วิงวอนขอคนที่ไม่อยู่ หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า โอ้ อะบู มูซา หรือ โอ้ อับดุลเลาะห์ ฉันจะไม่บอกแก่ท่านถึงคำหนึ่งที่มาจากคลังสวรรค์หรือ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า หามิได้ ท่านได้กล่าวว่า คือ “ลาเฮาละวะลาถูวะตะอิ้ลลาบิ้ลลาห์,, (ไม่มีการเคลื่อนไหว และไม่มีพละกำลัง นอกจากโดยประสงค์ของอัลเลาะห์) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และตัวบทของติรมีซีว่า ไม่มีผู้ใดในหน้าแผ่นดินที่กล่าวว่า “ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะ โดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ และอัลเลาะห์ทรงเกรียงไกรยิ่ง และไม่มีการเคลื่อนไหว และ ไม่มีพละกำลังนอกจากโดยประสงค์ของอัลเลาะห์,, นอกจากความผิดต่าง ๆ ของเขาจะถูกลบล้าง ไปจากเขา และถึงแม้มันจะมีเหมือนฟองนํ้าทะเลก็ตาม

เล่าจาก กอยส์ บุตร สะอัด บุตร อุบาดะห์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงบิดาของเขาได้ส่งตัวเขา ไปให้ท่านนบี ซ.ล. เพื่อคอยรับใช้ท่าน เขา (กอยส์) ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. เดินผ่านข้าพเจ้า โดยที่ข้าพเจ้าได้ละหมาดแล้ว ท่านได้เตะข้าพเจ้าด้วยเท้าของท่าน แล้วกล่าวว่า ฉันจะไม่ชี้นำให้ท่าน ได้ไปสู่ประดูหนึ่งจากบรรดาประตูสวรรค์หรือ เขาตอบว่า หามิได้ ท่านนบีได้กล่าวว่า คือ “ลาเฮาละวะลาถูวะตะอิ้ลลา บิ้ลลาห์”

ซอฟวาน บุตร สุลัยม์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มะลาอิกะห์จะไม่ขื้นไปจากพื้นแผ่นดิน จน กว่าจะได้กล่าวว่า ลาเฮาละวะลาถูวะตะอิ้ลลา บิ้ลลาห์

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่ ข้าพเจ้าว่า     จงกล่าวคำว่า “ลาเฮาละวะลาถูวะตะอิ้ลลา บิ้ลลาห์,, ให้มาก เพราะแท้จริงมันคือ

คลังหนึ่งจากบรรดาคลังสวรรค์

และ มักฮูล ร.ฎ. ได้กล่าววา ดังนั้นผู้ใดได้กล่าวว่า “ไม่มีการเคลื่อนไหว และ ไม่มี พละกำลังนอกจากโดยประสงค์ของอัลเลาะห์ และไม่มีที่พักพิงใดที่จะป้องกันจากการลงโทษ ของอัลเลาะห์ นอกจากต้องพักพิงกับพระองค์” อัลเลาะห์จะช่วยให้เขาพันจากเจ็ดสิบประตู ของความเดือดร้อนที่อย่างน้อยที่สุดก็คือ ความยากจน 

รายงานหะดีษทั้งสามโดย ติรมิซีข

คำชิกร์ และ ตัสเบียะห์ หลังละหมาด

เล่าจาก อะบี ซัรร์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้กล่าว หลังละหมาดฟัจร์ โดยเขายังงอเท้าทั้งสองของเขาอยู่ ก่อนที่เขาจะพูดคุยว่า “ไม่มีพระเจ้าที่ถูก สักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์องค์เดียวโดยไม่มีตู่ภาคีเสมอเหมือนพระองค์ กรรมสิทธิ๋เป็น ของพระองค์ มวลการสรรเสริญเป็นของพระองค์ พระองค์ทรงให้ชีวิต ทรงให้ตาย พระองค์ ทรงปรีชาญาณเหนือทกสิ่ง” สิบครั้ง จะถูกบันทึกให้เขา สิบความดี และจะถูกลบออกจากเขา สิบความรั้ว และจะลูกเลื่อนให้เขาสิบขั้น และในวันนั้น เขาจะอยู่ในความคุ้มครองให้พันจาก ทุกสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา และจะถูกปกป้องให้พันจากชัยฏอน และไม่ควรมีบาปใดจะประสพ กับเขาในวันนั้น นอกจากการตั้งภาคีต่ออัลเลาะห์ตาอาลา[179]

เล่าจาก อุมาเราะห์ บุตร ชุบัยบ์ อัชชะบะดีย์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้กล่าวว่า “ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์องค์เดียว โดยไม่มีคู่ภาคี ที่เสมอเหมือนพระองค์ กรรมสิทธิ์เป็นของพระองค์ มวลการสรรเสริญเป็นของพระองค์ พระองค์ ทรงให้ชีวิต พระองค์ทรงให้ตาย และพระองค์ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสิ่ง” สิบครั้ง ถัดจาก ละหมาดมัฆริบ อัลเลาะห์จะส่งกองกำลังติดอาวธ มาคอยคุ้มครองเขาจากชัยฏอน จนกว่าจะรุ่งเช้า และอัลเลาะห์จะทรงบันทึกความดีให้แก่เขาด้วยคำกล่าวนั้นสิบความดีที่แน่นอน[180] และจะลบ ออกไปจากเขา สิบความชั่วที่ทำให้พินาศได้ และเขาจะได้เท่ากับผลบุญของการปลดปล่อยทาส ที่เป็นผู้ศรัทธา สิบคน          

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มีสองประการ หรือสองอย่างที่ไม่มีบ่าวมุสลิมคนใดรักษาไวได้ นอกจากเขาจะได้เข้าสวรรค์ ทั้งสองประการ นั้นง่ายแต่ผู้ปฏิบัติมันทั้งสองมีน้อยนั้นคือ ให้เขาตัสเบียะห์ หลังละหมาดทุกวัน สิบครั้ง ให้เขา กล่าวคำสรรเสริญสิบครั้ง และให้เขากล่าวคำดักบีร สิบครั้ง นั้นมันจะเท่ากับหนึ่งร้อยห้าสิบ ที่ลิ้น และหนึ่งพันห้าร้อยในตาชั่ง และให้เขากล่าวคำตักบีร สามสิบสิ่ครั้ง เมื่อเข้าสู่ที่นอนของเขา ให้กล่าวคำสรรเสริญ สามสิบสามครั้ง และกล่าวคำดัสเบียะห์ สามสิบสามครั้ง นั้นรวมเป็น หนึ่งร้อยที่ลิ้น และหนึ่งพันในตาชั่ง และขอยืนยันว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. นับ มันด้วยมือของท่าน พวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์เป็นอย่างไรทั้งที่ทั้งสองนั้นง่าย แต่ผู้ปฏิบัติมันทั้งสองมีน้อย ท่านตอบว่า 'ชัยฏอนมันจะมาหาใครคนใดคนหนึ่งของพวกท่าน ในขณะที่เขาจะนอน และมันจะกล่อมให้เขาหลับไปก่อนจะได้กล่าวมัน และมันจะมาหาเขาใน ละหมาด มันจะเตือนให้เขานึกถึงธุระของเขาก่อนที่เขาจะได้กล่าวมัน รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

คำตัสเบียะห์ และ ซิกร์ ในเวลาเช้าและเวลาเย็น

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “ดังนั้นจงถวายบริสุทธิ๋แด่อัลเลาะห์ ในขณะที่พวกเจ้า อยู่ในเวลาเย็นและในขณะที่อยู่ในเวลาเช้า และมวลการสรรเสริญนั้นเป็นของพระองค์ ทั้งใน ชั้นฟ้าและแผ่นดิน ทั้งในยามค่ำ และในขณะที่พวกเจ้าอยู่ในเวลาบ่าย,, อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ 

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้กล่าวในเวลาเช้า และเวลาเย็นว่า “ถวายบริสทธิ๋แด่อัลเลาะห์ พร้อมด้วยสรรเสริญพระองค์,, หนึ่งร้อยครั้ง จะ ไม่มีผู้ใดมาในวันกิยามะห์ประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งที่เขานำมา นอกจากผู้ที่ได้ที่ได้กล่าวเท่ากับสิ่งที่เขา ใต้กล่าว หรือเกินกว่านั้น           

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี บักร์ ร.ฎ. ว่า เขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ จงใช้ข้าพเจ้าด้วย ถ้อยคำหลายคำที่ข้าพเจ้าจะใช้มันกล่าว เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเวลาเช้า และเวลาเย็น ท่านได้กล่าวว่า จงกล่าวเถิด “ข้าแด่อัลเลาะห์ ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน ผู้ทรงรู้สิ่งเร้นลับและเปิดเผย พระผู้อภิบาลทุกสิ่ง และผู้ทรงเป็นเจ้าของมัน ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะ โทยเที่ยงแท้นอกจากพระองค์ท่าน ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยพระองค์ท่าน จากความชั่วร้ายของตัว ข้าพเจ้าเอง จากความชั่วร้ายของชัยฏอนและผู้ร่วมงานของมัน,, ท่านนบีได้กล่าวว่าท่านจงกล่าวมัน เมื่อท่านอยู่ในเวลาเช้าและเวลาเย็น และเมื่อท่านเข้าสู่ที่นอน

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.ว่า แท้จริงท่านนบีเคยกล่าวเสมอในเวลาเช้าว่า “ข้าแด่อัลเลาะห์โดยพระองค์ท่านที่เราได้อยู่ถึงเวลาเย็น โดยพระองค์ท่าน ที่เราจะมีชีวิตอยู่ โดยพระองค์ท่านที่เราจะเสียชีวิตไป และไปยังพระองค์ท่าน คือ การบังเกิดใหม่,, 

เล่าจาก เซาบาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้กล่าวในเวลาเช้าและ เวลาเย็นว่าเราพอใจแล้วที่มีอัลเลาะห์เป็นผู้อภิบาล ที่มีอิสลามเป็นศาสนา และมีมุฮัมมัดเป็นศาสนฑูต นอกจากเป็นการสมควรที่อัลเลาะห์จะทรงพอพระทัยเขา

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้กล่าวในขณะเขาอยู่ในเวลา เช้าว่า “ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าได้อยู่ในเวลาเช้า ข้าพเจ้าขออ้างพระองค์ท่านเป็นพยาน อ้างมะลาอิกะห์ผู้แบกบัลลังก์ (อัรช์) ของพระองค์ท่านเป็นพยาน (ขออ้าง) มวลมะลาอิกะห์ ของพระองค์ท่าน และบรรดาสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมดเป็นพยานว่า แท้จริงพระองค์ ท่าน คืออัลเลาะห์ ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากพระองค์ท่านองค์เดียว ไม่มี คู่ภาคีเสมอเหมือนพระองค์ท่าน และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นบ่าวของพระองค์ท่าน และเป็นศาสนทูต ของพระองค์ท่าน,, นอกจากอัลเลาะห์จะทรงอภัยให้เขา สิ่งที่เขากระทำในวันนั้น ที่เป็นบาป และถ้าหากเขาได้กล่าวมันในขณะที่เขาอยู่1โนเวลาเย็น เขาก็จะได้รับอภัยโทษสิ่งที่เขากระทำใน คืนนั้น

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร คุบัยบ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ออกไปในคืนฝนตก และมืดมิด พวกเราได้ขอร้องท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ให้ท่านละหมาดกับพวกเรา และพวก เราก็ได้ (ละหมาด) กับท่าน ต่อมาท่านได้กล่าวว่า จงอ่านซิ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้อ่านสิ่งใด จาก

นั้นท่านได้กล่าวว่า จงอ่านซิ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้อ่านสิ่งใด หลังจากนั้นท่านได้กล่าวอีกว่า จง อ่านซิ ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะอ่านอะไรหรือ โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่า ท่านจงอ่าน “กุลฮุวั้ลลอฮุอะฮัด” และ “อัลมุเอาวิชะตัยน์” ขณะที่ท่านอยู่ในเวลาเย็นและ ขณะที่ท่านอยู่ในเวลาเช้าสามครั้ง มันพอเพียงแก่ท่านแล้วจากทุกสิ่ง

เล่าจาก อะบาน บุตร อุสมาน จากบิดาของเขา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ยินท่าน รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า ผู้ใดได้กล่าว “ด้วยนามของอัลเลาะห์นึ่งจะไม่มีสิ่งใดเป็นอันตรายพร้อมกับนามของพระองค์ ทั้งในแผ่นดิน และในฟากฟ้า พระองค์ทรงไดยิน พระองค์ ทรงรู้” สามครั้ง ภัยพิบัติที่เกิดขื้นโดยกระทันหันจะไม่ประสพกับเขา จนเขาอยู่ในเวลาเย็น (ผู้เล่า) ได้กล่าวว่า ต่อมา โรคอัมพฤกษ์ ได้เกิดกับ อะบาน ชายคนหนึ่งที่ได้ยินหะดีษ (นี้) จากเขา มองดูเขา อะบานได้กล่าวแก่เขาว่า  ท่านมองข้าพเจ้าทำไม สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้า ไม่ได้โกหกว่า อุสมานพูด และอุสมานก็ไม่ได้โกหกว่า ท่านนบี ซ.ล. พูด แต่ในวันที่สิ่งที่ได้ เกิดกับข้าพเจ้า มันได้เกิดกับข้าพเจ้านั้น เพราะข้าพเจ้ากำลังโกรธ และลืมอ่านมัน 

รายงานหะดีษทั้งหกโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่านบี,ของอัลเลาะห์ ซ.ล. เมื่อท่านอยู่ในเวลาเย็น ท่านได้กล่าวว่า “พวกเราได้เขาสู่เวลาเย็นแล้ว และกรรมสิทธเป็นของอัลเลาะห์มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ ไม่มีพระเจ้าที่ลูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ องค์เดียว ไม่มีคู่ภาคีเสมอเหมือนพระองค์ กรรมสิทธิ์เป็นของพระองค์ มวลการสรรเสริญเป็น ของพระองค์ พระองค์ทรงปรีชาญาณทุกสิ่ง ข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าวิงวอน ขอต่อพระองค์ท่าน ความดีของสิ่งที่อยู่ในคืนนี้ และความดีของสิ่งที่อยู่หลังจากคืนนี้ และข้าพเจ้า ขอป้องกันด้วยพระองค์ท่าน จากความชั่วร้ายของสิ่งที่อยู่ในคืนนี้ และความชั่วร้ายของสิ่งที่อยู่ หลังจากคืนนี้ ข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยพระองค์ท่าน จากความขี้เกียจ และความชั่วช้าของความยะโส ข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยพระองค์ ท่านจากการลงโทษในขุมนรก และการลงโทษในหลุมฝังศพ” และเมื่อท่านอยู่ในเวลาเช้า ท่านก็ได้ กล่าวเหมือนเช่นนั้นอีกว่า “พวกเราได้เข้าสู่เวลาเช้าแล้ว และกรรมสิทธิ้ก็ได้เป็นของอัลเลาะห์”

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของมุสลิม ท่านนบีเคยกล่าวว่า “ไม่มีพระเจ้าที่ลูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอก จากอัลเลาะห์องค์เดียว พระองค์ทรงให้เหล่าทหารของพระองค์เกรียงไกร พระองค์ทรงช่วยเหลือ บ่าวของพระองค์ และพระองค์ทรงกำราบพลพรรคต่างๆ เพียงพระองค์เดียว ดังนั้นจะไม่มี สิ่งใดหลังจากพระองค์

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร ฆอนนาม อัลบะยาฎีย์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้กล่าวในขณะที่เขาอยู่ในเวลาเช้าว่า “ข้าแด่อัลเลาะห์ สิ่งที่อยู่กับข้าพเจ้า ที่เป็นความโปรดปราน นั้นมาจาก พระองค์ท่านแต่เพียงองค์เดียว ไม่มีคู่ภาคีเสมอเหมือนพระองค์ท่าน มวลการสรรเสริญเป็นของพระองค์ท่าน และการขอบคุณเป็นของพระองค์ท่าน,, แท้จริง เขาได้ปฏิบัติการขอบคุณแล้วในวันนั้น และถ้าหากเขาได้กล่าวในขณะที่เขาอยู่ในเวลาเย็น แท้จริง เขาก็ได้ปฏิบัติการขอบคุณแล้วในคืนนั้น

อิบนุอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ไม่เคยทิ้งคำวิงวอนเหล่านี้ ในขณะที่ท่านอยู่ในเวลาเย็น และในขณะที่ท่านอยู่ในเวลาเช้า “ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้า ขอต่อพระองค์ท่าน ด้วยการอภัย และ ความสุขทั้งในดุนยาและอาคิเราะห์ ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าขอต่อพระองค์ท่านด้วยการอภัยและความสุขทั้งในทางด้านศาสนาของข้าพเจ้า และทางโลกของข้าพเจ้า ทางครอบครัวของข้าพเจ้า และ ทรัพย์สินของข้าพเจ้า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้ทรงปกปิดสิ่งที่น่าอับอายของข้าพเจ้า ได้ทรงให้ความปลอดภัยแก่ความตระหนกต่างๆ ของ ข้าพเจ้า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้ทรงโปรดคุ้มครองข้าพเจ้า จากทางเบื้องหน้าของข้าพเจ้า จากทาง ด้านหลังของข้าพเจ้า จากทางด้านขวาของข้าพเจ้า จากทางด้านซ้ายของข้าพเจ้า และจากทางเบื้องบน ของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยความยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่าน การที่ข้าพเจ้าจะถูกลอบ ทำร้ายจากทางเบื้องล่างของข้าพเจ้า

เล่าจาก มุสลิม บุตร อัลฮาริษ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้ กระซิบกับข้าพเจ้าว่า เมื๋อท่านเลิกจากละหมาดมัฆริบ จงกล่าวว่า “ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้ทรงโปรดป้องกันข้าพเจ้าให้พ้นจากไฟนรก,, เจ็ดครั้ง ความจริงเมื่อท่านได้กล่าวดังนั้น แล้วท่าน ต้องเสียชีวิตไปในคืนนั้นก็จะลูกบันทึกให้ท่านว่า ถูกป้องกันให้พ้นจากไฟนรก และเมื่อท่านได้ ละหมาดซุบฮิ ก็จงกล่าวเหมือนเช่นนั้น เพราะความจริงถ้าหากท่านต้องเสียชีวิตไปในวันนั้น ก็ จะถูกบันทึกให้ท่านว่า ถูกป้องกันให้พ้นจากไฟนรก

อะบุ ดัรดาอฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้กล่าวในขณะที่เขาอยู่ในเวลาเช้า และในขณะ ที่เขาอยู่ในเวลาเย็นว่า “อัลเลาะห์ก็พอเพียงแก่ข้าพเจ้าแล้ว ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้ นอกจากพระองค์ เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่ข้าพเจ้าขอมอบหมาย พระองค์คือผู้ทรงอภิบาล บัลลังก์ (อัรช์) อันยิ่งใหญ่,, เจ็ดครั้ง อัลเลาะห์จะทรงให้เขาพ้นจากสิ่งที่ทำให้เขาหม่นหมอง ไม่ว่าเขาจะบริสุทธใจที่กล่าวอย่างนั้นหรือโกหกก็ตาม[181]

และปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. เคยสอนแก่บุตรีบางคนของท่าน โดยกล่าวว่า เธอจงกล่าว เกิดในขณะที่เธออยู่ในเวลาเช้า “ถวายบริสุทธิ๋แด่อัลเลาะห์ พร้อมด้วยสรรเสริญพระองค์ ไม่มีพลังนอกจากโดยอัลเลาะห์ สิ่งใดที่พระองค์ทรงประสงค์จะต้องเกิดขึ้น และสิ่งใดที่พระองค์ ไม่ทรงประสงค์ มันก็จะไม่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าทราบดีว่า แท้จริงอัลเลาะห์ทรงปรีชาญาณทุกสิ่ง และแท้จริง อัลเลาะหทรงรอบร้ทุกสิ่ง,, ความจริงผู้ใดได้กล่าวมันขณะที่เขาอยู่ในเวลาเช้า ก็จะ ถูกคุ้มครองจนถึงเย็น และผู้ใดกล่าวมันขณะที่เขาอยู่ในเวลาเย็น ก็จะถูกคุ้มครองจนถึงเช้า

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้กล่าวขณะที่เขาอยู่ใน เวลาเช้าว่า “จงถวายบริสุทธิ์แด่อัลเลาะห์ ขณะที่พวกท่านอยู่ในเวลาเย็น และขณะที่พวกท่าน อยู่ในเวลาเช้า จนถึง ดังนั้นแหละที่พวกท่านจะถูกนำตัวออกมา” เขาจะได้สิ่งที่หลุดพ้นเขา ไปในวันนั้น และผู้ใดได้กล่าวมัน ขณะที่เขาอยู่ในเวลาเย็น เขาก็จะได้สิ่งที่หลุดพ้นเขาไปในคืนนั้น 

เล่าจาก อับดิรเราะห์มาน บุตร อะบี บักเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงเขาได้กล่าวแก่บิดา ของเขาว่า โอ้ท่านบิดา ข้าพเจ้าไดียินท่านวิงวอนขอทุกเช้าว่า “ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดให้ข้าพเจ้า เกิดความสุขในร่างกายของข้าพเจ้า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดให้ข้าพเจ้าเกิดความสุขในการได้ยิน ของข้าพเจ้า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดให้ข้าพเจ้าเกิดความสุขในการแลเห็นของข้าพเจ้า ไม่มี พระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากพระองค์ท่าน” ท่านได้กล่าวช้าถึงสามครั้งในขณะท่าน อยู่ในเวลาเช้า และอีกสามครั้งในขณะท่านอยู่ในเวลาเย็น บิดาของข้าพเจ้าได้กล่าวว่า  แท้จริง ข้าพเจ้าไดียินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. วิงวอนขอด้วยถ้อยคำเหล่านั้น และข้าพเจ้าก็รักที่จะ ปฏิบัติตามชุนนะห์ของท่านนบี

รายงานหะดีษทั้งเจ็ดนี้โดย อะบู ดาวูด

บทที่สาม ดุอาอ์
ความประเสริฐของดุอาอ์

เล่าจาก อันนัวะอฺมาน บุตร บะชิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าดุอาอฺ

คือ อิบาดะห์ หลังจากนั้นท่านได้อ่านว่า “และพระผู้อภิบาลของพวกท่านได้กล่าวว่า จงวิงวอน ขอต่อเราเกิด เราจะตอบสนองคำวิงวอนของพวกท่าน แท้จริงบรรดาผู้ที่ยะโสต่อการที่จะท่า อิบาดะห็ต่อเรา พวกเขาจะเข้าสู่นรกยะฮันนัมอย่างถาวร,,            

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่แสดงว่าเป็นการยกย่องอัลเลาะห์ยิงกว่าการวิงวอนขอ 

รายงานโดย ติรมิซี อิหม่ามอะห์มัด และ ฮากีม

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ดุอาอฺ คือ สมองของอิบาดะห์ เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดไม่ขออัลเลาะห์พระองค์จะทรงกริ้วโกรธเขา

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว ผู้ใดที่การตอบสนอง

ของอัลเลาะห์แก่เขา ขณะที่อยู่ในเหตุการณ์เลวร้าย และภัยพิบัติ ทำให้เขาดีใจแล้ว ให้เขาจง ขอดอาอ์ให้มาก ในยามสุขสบาย

เล่าจาก อุบาดะห์ บุตร ซอมิด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีมุสลิม คนใดในหน้าผืนแผ่นดินที่วิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ด้วยคำวิงวอนหนึ่ง นอกจากอัลเลาะห์จะนำคำ วิงวอนนั้นมามอบให้เขา หรือพระองค์จะผันความชั่วออกไปพ้นเขา เท่ากับคำวิงวอนนั้น ตราบเท่าที่เขาไม่ได้วิงวอนขอด้วยสิ่งที่เป็นบาปหรือตัดขาดญาติ ชายคนหนึ่งจากกลุ่มชนนั้นได้กล่าวว่า ถ้าเราวิงวอนขอมาก ๆ ท่านนบีตอบว่า อัลเลาะห์ทรงมีมากยิ่งกว่า

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                  ผู้ใดจากพวกท่านที่ประตูแห่งคำวิงวอนถูกเปิดให้เขา ประตูแห่งความเมตตาก็จะถูกเปิดให้แก่เขาด้วย ไม่มีสิ่งใดที่อัลเลาะห์ ถูกขอแล้วถูกตอบสนองให้ จะเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงรักยิ่งกว่าการที่พระองค์ถูกขอความสุข

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงตุอาอ์นั้น จะเป็น ประโยชน์ต่อสิ่งที่ลงมา และสิ่งที่ไม่ได้ลงมา[182] ดังนั้นพวกท่าน โอ้บ่าวของอัลเลาะห์ จงวิงวอน ขอเถิด

เล่าจาก ซัลมาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดจะปิดป้องจากกำหนดการของอัลเลาะห์ได้นอกจากตุอาอ์ และจะไม่มีการเพิ่มเติมในอายุ นอกจากความดี

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจงขอต่ออัลเลาะห์

จากความโปรดปรานของพระองค์ เพราะแท้จริงอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ชอบที่ จะถูกขอและอิบาดะห์ที่ประเสริฐยิ่งคือ รอคอยความพ้นภัย                                                             

รายงานหะดีษทั้งแปดนี้โดย ดิรมิซี

ระเบียบของ ดุอาอ์

เล่าจาก อับดิ้ลลาห์ บุตร เซด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ออกไปยังสถานที่ละหมาดแห่งนี้ เพื่อขอฝน ท่านได้วิงวอน,ขอ ได้ขอให้ฝนตก และได้ผินหน้าไปสู่กิบละห์ อะบู มูซา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้วิงวอนขอ หลังจากนั้นท่านได้ยกมือทั้งสองข้างของท่านขึ้น และข้าพเจ้าได้เห็นรอยขาวที่รักแร้ทั้งสองข้างของท่าน            

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุดอรี

เล่าจาก ซัลมาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า แท้จริง พระผู้อภิบาลของพวกท่านขึ้อาย ทรงใจบุญ พระองค์อายบ่าวของพระองค์ เมื่อได้ยกมือทั้งสองข้างของเขาขึ้น วิงวอนต่อพระองค์ที่เขาจะลดมือทั้งสองข้างลงโดยไม่ได้อะไรเลย

เล่าจาก อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. นั้น เมื่อท่าน ได้ยกมือทั้งสองของท่านขื้นในขณะดุอาอฺ ท่านจะไม่ชักมันทั้งสองข้างกลับ จนกว่าท่านจะลูบ หน้าของท่านด้วยมือสองข้างเสียก่อน

เล่าจาก สะอัด บุตร อะบี วักกอส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.ได้เดินผ่านข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังขอดุอาอุ โดยใช้นิ้วทั้งสองข้างของข้าพเจ้า ท่านได้กล่าวว่า จงใช้นิ้วเดียว จงใช้นิ้วเดียว และท่านก์ได้ชี้โดยใช้นิ้วชี้[183]      

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดย อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าคลุม กำแพง[184] ผู้ใดมองดูสาส์นของพี่น้องของเขา โดยไม่ได้รับอนุญาต เท่ากับความจริงเขากำลังมอง ดูไฟนรก ท่านทั้งหลายจงขอต่ออัลเลาะห์ โดยใช้ฝ่ามือของพวกท่าน และท่านทั้งหลายอย่าขอ ต่อพระองค์โดยใช้หลังมือ และเมื่อท่านทั้งหลายเสร็จ (จากการดุอาอุ) ท่านทั้งหลายจงใข้มัน ลูบหน้าของพวกท่าน[185] 

รายงานโดยอะบู ดาวูด

เล่าจาก ฟะฎอละห์ บุตร อุบัยด์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ยินชายคนหนึ่งขอดอาอุ ในละหมาดของเขา โดยเขาไม่ได้กล่าวคำซอลาวาตให้ท่าน ท่านนบี ซ.ล. จึง ได้กล่าวว่า                                                      ชายคนนี้รีบร้อน หลังจากนั้นท่านได้เรียกเขาและคนอื๋นๆ มาแลัวกล่าวว่าเมื่อ

คนหนึ่งคนใดของพวกท่านได้ละหมาดเสร็จแล้วให้เขาจงเริ่มต้นด้วย การสรรเสริญและสดุดี อัลเลาะห์ หลังจากนั้นให้เขาซอลาวาตนบี ซ.ล. แล้วจึงขอดุอาอุหลังจากนั้นตามประสงค์

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ได้มีชายคนหนึ่งเข้ามาละหมาด แล้วกล่าวว่า “ข้าแต่อัลเลาะห์ได้โปรดอภัยโทษให้แก่ ข้าพเจ้า ได้โปรดเมตตาสงสารข้าพเจ้า” ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านรีบร้อน มาก โอ้ผู้ที่ละหมาด เมื่อท่านละหมาดเสร็จ แล้วนังลง ให้ท่านจงกล่าวคำสรรเสริญอัลเลาะห์ ด้วยถ้อยคำที่คู่ควรกับพระองค์ และจงกล่าวคำซอลาวาตแก่ฉัน แล้วจงวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ ผู้เล่าได้กล่าวว่า ต่อมาได้มีชายอีกคนหนึ่งมาละหมาดหลังจาคชายคนนั้น แล้วเขาได้กล่าวคำสรรเสริญอัลเลาะห์   และเขาได้กล่าวคำซอลาวาตให้ท่านนบี ซ.ล. ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขาว่า โอ้ผู้ละหมาด ท่านจงขอเถิด แล้วท่านจะถูกตอบสนอง

อับดุลเลาะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ละหมาด โดยมีท่านนบี ซ.ล. อะบูบักร์

และอุมัรร่วมอยู่ด้วย เมื่อข้าพเจ้านั่งลง ข้าพเจ้าได้เริ่มสดุดีอัลเลาะห์ และซอลาวาดท่านนบี ซ.ล. หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้วิงวอนขอให้แก่ตัวของข้าพเจ้าเอง ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จงขอเถิดเจ้าจะได้ จงขอเกิด เจ้าจะได้    

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

เล่าจาก อะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนใดคนหนึ่งของพวกท่านจะต้องไม่กล่าวว่า “ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดอภัยโทษให้แก่ข้าพเจ้า ถ้าหากพระองค์ ท่านประสงค์ ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดเมตตาข้าพเจ้า ถ้าหากพระองค์ท่านประสงค์,, แต่ให้เขา จงตั้งมั่นในการขอเพราะความจริงไม่มีใครบังคับพระองค์ได้

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนหนึ่งคนใดของพวกท่านจะถูกตอบสนอง ตราบใดที่เขาไม่รีบร้อนที่จะกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้วิงวอนขอแล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่ลูกตอบสนองตามคำวิงวอน          

รายงานหะดีษทั้งสองโดยบุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี 

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจง

วิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ โดยพวกท่านจะต้องมั่นใจในการตอบรับคำวิงวอน และพึงทราบเถิดว่า แท้จริงอัลเลาะห์จะไม่ทรงตอบสนองคำวิงวอนขอจากหัวใจของบุคคลที่เผลอไผล และหลงลืม 

รายงานโดย ติรมิซี และฮากีม

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าวิงวอนขอที่เป็นการสาปแช่งตัวเอง ท่านทั้งหลายอย่าวิงวอนขอที่เป็นการสาปแช่งลูกหลาน ของพวกท่าน สาปแช่งบ่าวของพวกท่าน และอย่าวิงวอนขอที่เป็นการสาปแช่งทรัพย์สมบัติของ พวกท่าน ท่านทั้งหลายอย่าให้ตรงกับชั่วโมงที่มุ่งหวังจากอัลเลาะห์ ซึ่งในชั่วโมงนั้นเป็นการให้แล้วพระองค์อัลเลาะห์จะทรงตอบสนองคำวิงวอนของพวกท่าน                                                     

รายงานโดยมุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า จะยังคงตอบสนอง ตามคำวิงวอนขอของบ่าว ตราบที่เขาไม่ได้วิงวอนขอด้วยบาป หรือ ตัดขาดเครือญาติ 

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจาก บุตรคนหนึ่งของสะอัด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินบิดาของข้าพเจ้า ในขณะที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า “ข้าแต่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าขอสวรรค์ต่อพระองค์ท่าน และขอ ความสุขของสวรรค์ และขอความสวยงามของสวรรค์ และอย่างนั้นอย่างนี้ และข้าพเจ้าขอป้องกัน ด้วยพระองค์ท่าน จากไฟนรก จากโซ่ของไฟนรก และตรวนของมัน และอย่างนั้นอย่างนี้,, บิดา ของข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ลูกรัก แท้จริงฉันได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า ต่อ ไป จะมีกลุ่มชนหนึ่งที่เลยเถิดในการขอดุอาอ์ ดังนั้นเจ้าจงระวังที่จะเป็นคนหนึ่งจากพวกนั้น เพราะแท้จริงเมื่อสวรรค์ถูกมอบแก่เจ้า เจ้าก็จะได้สวรรค์ และสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ที่เป็นความดีงาม และเมื่อเจ้าถูกป้องกันให้พ้นจากไฟนรก เจ้าก็จะถูกป้องกันให้พ้นจากไฟนรก และสิ่งที่ อยู่ในไฟนรกที่เป็นความชั่วร้าย

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. นั้น ท่านชอบที่จะ ขอดุอาอ์ สามครั้ง และขออภัยโทษสามครั้ง 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด

เล่าจาก อุบัยย์ บุตร กะอับ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.

เมื่อท่านได้กล่าวถึงผู้ใด และท่านได้วิงวอนขอให้เขา ท่านจะเริ่ม (ขอ) ให้ตัวท่านเองก่อน

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้วิงวอนขอความพินาศให้ประสบแก่ผู้ที่ได้ทุจริตเขา แน่นอนเขาจะต้องได้ชัยชนะ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

คุอาอที่คูกตอบสนอง

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พระผู้อภิบาลของ เราผู้ทรงเจริญยิ่ง ทรงสูงยิ่ง จะลงมาทุกคืน ยังฟ้าชั้นต่ำสุด (ดุนยา) ขณะที่ยังเหลือเวลาอยู่ เศษหนึ่งส่วนสามสุดท้ายของเวลากลางคืน พระองค์จะตรัสว่า ผู้ใดวิงวอนขอต่อเรา เราจะ

ตอบสนองเขาผู้ใดขอเรา เราจะให้เขา ผู้ใดขออภัยโทษต่อเรา เราจะอภัยโทษให้เขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อัมร์ บุตร อับซะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงเขาได้ยินท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า ช่วงเวลาที่พระผู้อภิบาลจะอยู่ใกล้ชิดกับบ่าวที่สุด คือ ในเวลากลางคืนช่วงสุดท้าย ดังนั้นถ้าหาก ท่านสามารกที่จะเป็นคนหนึ่งจากบรรดาผู้ที่รำลึกถึงอัลเลาะห์ในยามนั้น ให้ท่านจงเป็นเถิด

เล่าจาก อะบี อุมามะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้มีผู้กล่าวแก่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ว่าคำวิงวอนขอใดที่จะได้ยินมากที่สุด[186] ท่านตอบว่า ในเวลากลางคืนช่วงสุดท้าย และหลังละหมาดพัรฎู 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ช่วงที่บ่าวจะใกล้ชิดกับพระผู้อภิบาลของเขามากที่สุด คือ ขณะที่เขาก้มลงกราบ (สุหยูด) ดังนั้นพวกท่านจง วิงวอนขอให้มากๆ และก็เหมาะสมที่สุดที่พวกท่านจะถูกตอบสนอง 

รายงานโดย มุสลิมและ อะบู ดาวูด

เล่าจาก ซอฟวาน บุตร อับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาที่ ชาม และได้ไปหาอะบุดัรดาอุ ในบ้านของเขา แต่ข้าพเจ้าไม่พบเขา ข้าพเจ้าพบแต่ อุมม์ ดัรดาอุ หล่อนได้ กล่าวว่า ท่านประสงค์จะไปทำฮัจย์ในปีนี้หรือ ข้าพเจ้าตอบว่า ถูกแล้ว หล่อนได้กล่าวว่าจงวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ให้แถ่พวกเราด้วยความดีงาม เพราะแท้จริงท่านนบี ซ.ล. เคยกล่าวไว้ว่า คำวิงวอนขอของมุสลิมใท้แก่พี่น้องของเขา โดยไม่ได้อผู่ต่อหน้ากันนั้น จะถูกตอบสนอง ที่ศีรษะของเขาจะมีมะลาอิกะห์ที่ถูกมอบหมายมา ทุกครั้งที่เขาวิงวอนขอให้แก่พี่ น้องของเขาด้วยความดีงามนั้น มะลาอิกะห์ที่ถูกมอบหมายมาให้อยู่กับเขาจะกล่าวว่า “ได้โปรด รับคำวิงวอน” และท่านก็จะได้เหมือนกัน เขา (ซอฟวาน) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ออกไปยังตลาด และได้พบกับ อะบูดัรดาอฺ เขาก็ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าอย่างเดียวกันจากท่านนบี ซ.ล.

รายงานโดย มุสลิม และ อะบู ดาวูด

และตัวบทของอะบูดาวูด และ ติรมีซี ว่า แท้จริงคำวิงวอนขอที่จะถูกตอบสนองอย่างรวดเร็วนั้นคือ คำวิงวอนขอ ของคนที่ไม่อยู่ให้แก่คนที่ไม่อยู่

เล่าจาก อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ขออนุญาตท่านนบี ซ.ล. เพื่อไปประกอบ พิธีอุมเราะห์ ท่านได้อนุญาตให้ข้าพเจ้า และได้กล่าวว่า                                                             ท่านอย่าลืมพวกเรา โอ้น้องน้อย จากคำวิงวอนขอของท่าน อุมัรได้กล่าวว่า มันเป็นคำพูดที่จะไม่ทำให้ข้าพเจ้าดีใจเลยหากจะเอา

โลกนี้มาให้ข้าพเจ้าแทนคำๆ  นั้น 

รายงานโดย อะบูดาวูด และ ดรมข

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สามคำวิงวอนนี้จะถูกตอบสนองอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นคือ คำวิงวอนของผู้บังเกิดเกล้า คำวิงวอนของคน เดินทาง และคำวิงวอนของผู้ถูกทุจริต 

รายงานโดย อะบูดาวูด อะห์มัด และติรมิซี

และเล่าจากเขา จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สามคนนี้ คำวิงวอนของพวกเขาจะ

ไม่ถูกปฏิเสธ คือผู้ที่ถือศีลอด จนกว่าจะละศีลอด ผู้นำที่ยุติธรรม และคำวิงวอนขอของผู้ถูก ทุจริต อัลเลาะห์จะทรงยกมันขื้นไปเหนือเมฆ และพระองค์จะเปิดประตูฟ้าต้อนรับมัน และ พระผู้อภิบาลก็จะกล่าวว่า     สาบานด้วยอำนาจของเราว่า เราจะต้องให้การช่วยเหลือเจ้า แม้หลังจากนี้เพียงครู่เดียว

เล่าจาก สะอัด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คำวิงวอนขอของ “ซิลนูน”206

ที่เขาได้วิงวอนขอขณะที่เขาอยู่ในท้องปลาวาฬว่า “ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอก จากพระองค์ท่าน ถวายบริสุทธิ์แด่พระองค์ท่าน แท้จริงข้าพเจ้าเป็นบุคคลหนึ่งจากบรรดาผู้ ทุจริต ความจริงไม่มีชายมุสลิมคนใดที่ใช้คำนี้วิงวอนขอในสิ่งใดๆ นอกจากอัลเลาะห์ จะทรง ตอบสนองคำวิงวอนขอของเขา      

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

คำวิงวอนขอ ของท่านนบี ซ.ล. ให้แก่ประชากรของท่าน

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แต่ละนบีนั้น มีคำวิงวอน

หนึ่ง (ที่ถูกตอบสนอง) และนบีทุกท่านได้ใช้คำวิงวอนนั้นไปแล้ว และข้าพเจ้าได้กำหนดคำ วิงวอนขอของข้าพเจ้าไว้ เป็นการช่วยเหลือประชากรของข้าพเจ้า ในวันกิยามะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และตัวบทของติรมี‘สีว่า แต่ละนบีนั้น มีคำ'วิงวอนหนึงที่ถูกตอบสนอง และแท้จริง ข้าพเจ้าเก์บเอาคำวิงวอนของข้าพเจ้าไว้ เพื่อเป็นการส่วยเหลือประชากรของข้าพเจ้า และ คำวิงวอนนั้น จะต้องได้ ถ้าอัลเลาะห์ทรงประสงค์ แก่ผู้ที่ได้เสียสีวิตไปจากประชากรของข้าพเจ้า โดยที่เขาไม่ได้นำสิ่งใดมาตั้งภาคีกับอัลเลาะห์

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า “ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าได้เอาสัญญาไว้กับพระองค์ท่าน โดย พระองค์ท่านจะไม่ผิด สัญญากับข้าพเจ้าเลย แท้จริงข้าพเจ้าเป็นเพียงมนุษย์ ดังนั้น ผู้มีศสัทธาคนใดที่ข้าพเจ้าได้ทำ ร้ายเขา ได้ด่าเขา ได้สาปแข้งเขา ได้เฆี่ยนเขา ดังนั้นท่านจงให้มันเป็นละหมาด เป็นชะกาด และเป็นความใกล้ชิดแก่เขาผู้นั้นที่จะทำให้เขาได้เข้าใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน ในวันกิยามะห์ 

รายงานโดย บุคอรี และ มุสลิม

คุอาอ์ที่กระชับ

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า คำวิงวอนขอของท่านนบี ซ.ล. ส่วนมาก คือ “ข้าแต่อัลเลาะห์ พระผู้อภิบาลของเรา ได้โปรดให้เราได้รับความดีงามในโลกนี้ และความดีงาม ในอาคิเราะห์ และได้โปรดรักษาพวกเราให้พ้นจากการลงโทษในไฟนรก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

และเล่าจากเขา (อะนัส) ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ไปเยี่ยมชายคนหนึ่ง ที่เป็นมุสลิม ที่ผอมแห้งจนกลายเป็นเหมือนลูกนก ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขา ว่า                                              ท่านเคยวิงวอนขอ ด้วยสิ่งใดๆ หรือท่านเคยขอสิ่งใดๆ ต่ออัลเลาะห์บ้างไหม เขาตอบ

ว่า เคยครับ ข้าพเจ้าเคยกล่าวว่า “ข้าแด่อัลเลาะห์ สิ่งใดที่พระองค์จะใช้มันลงโทษข้าพเจ้า ในอาคิเราะห์ ขอพระองค์ท่านได้โปรดรีบลงโทษข้าพเจ้าในโลกดุนยานี้เถิด,, ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชุบฮานั้ลลอฮ์ ท่านไม่สามารกหรือท่านไม่มีความสามารกจะทำมันหรือ

ท่านกล่าวไม่ได้หรือว่า “ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดให้เราได้รับความดีงามในโลกนี้ และความดีงาม ในอาคิเราะห์ และได้โปรดรักษาพวกเราให้พ้นจากการลงโทษในไฟนรก ผู้เล่าได้กล่าวว่า ท่านนบีได้วิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ให้เขาและพระองค์ก็ให้เขาหายป่วย                                                                                                      

รายงานโดย มุสลม และติรมิซี

เล่าจาก อะบี มูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ว่าแท้จริงท่านเคยวิงวอนขอด้วย

ดอาอฺนี้ “ข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า ได้โปรดอภัยโทษให้แก่ข้าพเจ้าในความผิดของข้าพเจ้าใน ความเขลาของข้าพเจ้า ในความพร่ำเพรื่อของข้าพเจ้า ในกิจการของข้าพเจ้าทั้งปวง ในสิ่งที่พระองค์ท่านรู้มันดีกว่าข้าพเจ้า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดอภัยโทษให้แก่ข้าพเจ้า ในความผิด ของข้าพเจ้า ในเจตนาของข้าพเจ้า ในความเขลาของข้าพเจ้า ในการล้อเล่นของข้าพเจ้า และทั้งหมดนั้นอยู่ที่ข้าพเจ้า[187] ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดอภัยให้แก่ข้าพเจ้า ในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว และที่จะกระทำในภายหลัง ในสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำอย่างเร้นลับ และสิ่งที่ได้กระทำ อย่างเปิดเผย พระองค์ท่านทรงดั่งเดิม พระองค์ท่านทรงถาวร และพระองค์ท่านทรงปรีชาญาณ เหนือทุกสิ่ง            

รายงานโดย บุดอรี และ มุสลิม

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ว่า “ข้าแด่อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าวิงวอน ขอต่อท่าน ทางนำ ความยำเกรง การสงวนตัว และความพอใจในสิ่งที่มี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เคยกล่าวว่า       ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดปรับปรุงศาสนาของข้าพเจ้าแก่ข้าพเจ้า ซึ่งเป็นหลักในกิจการงานของข้าพเจ้าและได้โปรดปรับปรุงโลกดุนยาของข้าพเจ้าให้ดีขึ้น ซึ่งคือการดำเนินชีวิตของข้าพเจ้า อยู่ในโลกนี้ และได้โปรดปรับปรุงโลกอาคิเราะห์ของข้าพเจ้าให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นที่กลับคืนของข้าพเจ้า และได้โปรดให้การมีชีวิตอยู่เป็นการเพิ่มพูนแก่ข้าพเจ้าในทุกสิ่งที่ดีงาม และได้โปรดให้ความ ตายเป็นความสบายแก่ข้าพเจ้า จากทุกสิ่งที่ชั่วร้าย

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่า ฟาติมะห์ อ.ล. ได้มาหาท่านนบี เพื่อ ขอคนรับใช้จากท่าน ท่านนบีได้กล่าวแก่ฟาติมะห์ว่า                                                          เธอจงกล่าวว่า “ข้าแด่อัลเลาะห์ พระผู้อภิบาลชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและพระผู้อภิบาลบัลลังก์ (อัรช์) อันยิ่งใหญ่ พระผู้อภิบาลของเรา และผู้ อภิบาลทุกสิ่งผู้ประทานคัมภีร์เตารอต อินญิล และ อัลกุรอาน ผู้ทรงผ่าเมล็ดพืชและเมล็ด อินทผลัม ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยพระองค์ท่านจากความชั่วของทุกสิ่งที่พระองค์ท่านทรงเกาะกุม ขม่อมของมัน พระองค์ท่านทรงมีมาแด่ดั่งเดิม ไม่มีสิ่งใดอยู่ก่อนพระองค์ท่าน พระองค์ท่าน ทรงยั่งยืนถาวร ไม่มีสิ่งใดอยู่หลังจากพระองค์ท่าน พระองค์ท่านทรงเป็นภายนอก ไม่มีสิ่งใด อยู่เหนือกว่าพระองค์ท่าน พระองค์ท่านทรงเป็นภายใน ไม่มีสิ่งใดอยู่ต่ำกว่าพระองค์ท่าน ได้โปรดใช้หนี้สินแทนข้าพเจ้า และทรงให้ข้าพเจ้าพ้นจากความยากจน

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดยมุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก สะอัด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีชาวอาหรับชนบทคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ได้โปรดสอนถ้อยคำหนึ่งให้ข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะได้กล่าว

มัน ท่านนบีได้กล่าวว่า      จงกล่าวเถิด ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์องค์เดียว ไม่มีคู่ภาคืที่เสมอเหมือนพระองค์ อัลเลาะห์ทรงยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง มวลการสรรเสริญ อย่างมากมายเป็นของอัลเลาะห์ ถวายบริสุทธิ์แด่อัลเลาะห์ พระผู้อภิบาลสากลโลก ไม่มีการ เคลื่อนไหวและพละกำลังนอกจากโดยอัลเลาะห์ ผู้ทรงพิชิต ผู้ทรงเชี่ยวชาญ อาหรับผู้นั้นกล่าวว่า ทั้งหมดนั้นเป็นของพระผู้อภิบาลของฉัน แล้วอะไรเล่าที่เป็นของฉัน ท่านนบีกล่าวว่า ท่านจงกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดอภัยให้ฉัน ได้โปรดเมตตาฉัน ได้โปรดนำให้ฉัน และได้โปรดประทานปัจจัยยังชีพแก่ฉัน

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เคยกล่าวว่า “ข้า แด่อัลเลาะห์ ข้าพเจ้ายอมจำนนต่อพระองค์ท่าน ข้าพเจ้าศรัทธาต่อพระองค์ท่าน ข้าพเจ้ามอบหมายให้พระองค์ท่าน ข้าพเจ้ากลับคืนไปสู่พระองค์ท่าน และข้าพเจ้าโต้เถียงเพราะพระองค์ท่าน ข้าแด่อัลเลาะห์ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยอำนาจของพระองค์ท่าน ไม่มีพระเจ้าที่ลูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากพระองค์ท่าน จากการที่พระองค์ท่านจะให้ข้าพเจ้าหลงผิด พระองค์ท่านทรงเป็นอยู่ ซึ่งจะไม่ตาย โดยที่ญินและมนุษย์จะตายไป                                                                           

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) ได้กล่าวว่า        ท่านนบี ซ.ล. เคยวิงวอนขอว่า “ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน ได้โปรดช่วยฉัน อย่าทับถมฉัน ได้โปรดช่วยเหลือฉันให้ชนะ อย่าช่วย ทับถมฉันให้พ่ายแพ้ ได้โปรดใช้อุบายเพื่อฉัน อย่าใช้อุบายเพื่อเล่นงานฉัน ได้โปรดชี้นำให้ฉัน ได้โปรดให้การชี้นำเป็นความง่ายดายแก่ฉัน ได้โปรดช่วยเหลือฉันจัดการกับบุคคลที่ละเมิดฉัน ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน ได้โปรดให้ฉันเป็นผู้ที่สำนึกในบุญคุณของท่าน เป็นผู้เฝ้าระลึกถึงท่าน เป็นผู้ที่กลัวท่าน เป็นผู้ที่เชื่อฟังท่าน เป็นผู้ที่ยอมสยบต่อท่าน เป็นผู้ที่ครางด้วยสำนึกผิด ซึงเป็นผู้ที่สำนึกในความผิด ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉันได้โปรดรับการสำนึกผิดของฉัน ได้โปรดชำระล้างความผิดของฉัน ได้โปรดตอบสนองคำวิงวอนขอของฉัน ได้โปรดให้หลักฐาน ของฉันหนักแน่น ได้โปรดให้ลิ้นของฉันตรง ได้โปรดให้หัวใจของฉันได้ทางนำ ได้โปรดถอน ความอาฆาตในอกของฉันออกไป    

รายงานโดยอะบูดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า น้อยครั้งที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. จะลุก ขื้นจากที่ประชุมหนึ่ง จนกว่าท่านจะกล่าวคำวิงวอนเหล่านี้แก่อัครสาวกของท่าน “ข้าแด่อัลเลาะห์ ไดโปรดแบ่งให้เรา เนื่องจากความเกรงกลัวท่าน สิ่งที่จะขวางกั้นระหว่างเรากับการฝ่าฝืนพระองค์ท่าน และเนื่องจากความภักดีต่อท่าน สิ่งที่ท่านจะท่าให้เราไบ่ถึงสวรรค์ของท่าน และเนื่องจากความศรัทธามั่น สิ่งที่ท่านจะทำให้เราผ่านพ้นภัยพิบัติในดุนยานื่อย่างง่ายดาย และขอได้ทรงโปรดให้ความ สุขแก่เราโดยอาศัยหูของพวกเรา สายตาของพวกเรา และกำลังของพวกเรา เท่าที่ท่านได้ทำให้เรามีชีวิตอยู่ และได้โปรดให้มันเป็นทายาทของเรา[188] และได้โปรดให้การล้างแค้นของเราจำกัดอยู่เฉพาะ ผู้ที่ละเมิดเรา และได้โปรดช่วยเหลือเราจัดการกับผู้ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเรา และอย่าให้ภัยพิบัติ ของเราเกิดขึ้นในศาสนาของเรา และอย่าให้โลกดุนยาเป็นความหวังยิ่งใหญ่ของเรา และอย่าให้ เป็นที่สุดแห่งความรู้ของเรา และอย่าให้บุคคลที่ไม่มี ความเมตตาเรามาปกครองเรา

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดให้ข้าพเจ้าได้ประโยชน์ด้วยสิ่งที่ท่านทรงสอนฉัน และได้โปรดสั่งสอนฉัน สิ่งที่จะเป็น ประโยชน์แก่ฉัน ได้โปรดเพิ่มพูนความรู้ให้ฉัน มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ ทุกสภาพการณ์ และข้าพเจ้าขอปกป้องด้วยท่าน จากสภาพของชาวนรก

ชะห์ บุตร เฮาชับ ร.ฎ. ได้กล่าวแก่ อุมม์ ซะละมะห์ว่า โอ้มารดาของเหล่าผู้ศรัทธา ดุอาอ์ อะไรที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ใช้มากที่สุดขณะที่อยู่กับเธอ หล่อนตอบว่า ดุอาอ์ที่

ท่านนบีใช้วิงวอนมากที่สุด คือ “โอ้ผู้พลิกผันหัวใจ ได้โปรดให้หัวใจของฉันติดตรึงอยู่กับศาสนา ของท่าน,, ข้าพเจ้าได้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ทำไมท่านจึงวิงวอนด้วยดุอาอฺนิ้มาก  ท่านได้กล่าวว่า โอ้ อุมม์ ซะละมะห์ ไม่มีมนุษย์คนใด นอกจากหัวใจของเขาจะอยู่ระหว่างสองนิ้ว จากบรรดานิ้วของอัลเลาะห์ ดังนั้นผู้ใดที่พระองค์ประสงค์ ก็จะให้เขายืนหยัดอยู่ และผู้ใด ที่พระองค์ประสงค์ ก็จะทำให้หลงผิด

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เคยกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดให้ความสุขเกิดแก่ข้าพเจ้า ในร่างกายของข้าพเจ้า ได้โปรดให้ความสุข เกิดแก่ข้าพเจ้า ในสายตาของข้าพเจ้า และได้โปรดให้มันเป็นทายาทของข้าพเจ้า ไม่มีพระเจ้าที่ ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ ผู้ทรงขันติ ผู้ทรงใจบุญ ถวายบริสุทธิ์แด่อัลเลาะห์ พระผู้อภิบาลบัลลังก์ (อัรช์) อันยิ่งใหญ่ มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ พระผู้อภิบาล สากลโลก

และเล่าจากอาอิชะห์ ว่า ฉันได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ได้โปรดบอก

ฉันเถิดว่า ถ้าหากฉันรู้ว่า คืนใดคือคืนกอดร์ ฉันจะกล่าวอะไรบ้างในคืนนั้น   ท่านกล่าวว่า เธอจงกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงท่านทรงยกโทษ ทรงใจบุญ ซึ่งท่านรักการยกโทษ

ดังนั้นได้โปรดยกโทษให้ฉัน,,

เล่าจาก อัลอับบาส ร.ฎ. ว่า ฉันได้กล่าวแก่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ว่า ได้โปรดสอน

สิ่งหนึ่งแก่ข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะใช้มันขอต่ออัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ และเกรียงไกร ท่านกล่าว ว่า   จงขอความสุขต่ออัลเลาะห์เถิด หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้หายหน้าไปหลายวัน และข้าพเจ้าได้กามท่านอีกเป็นครั้งที่สอง ท่านได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า โอ้ อับบาส โอ้ลุงของศาสนทูตของ อัลเลาะห์ จงขอความสุขต่ออัลเลาะห์ ทั้งในดุนยาและอาคิเราะห์

ชายคนหนึ่งได้ถามท่าน-รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ว่า ดุอาอฺใดประเสริฐที่สุดท่านตอบว่า    จงขอพระผู้อภิบาลของท่าน ความสุขและสุขภาพที่ดี ในดุนยาและอาคิเราะห์ ต่อมาเขา

ได้ถามท่านอีกในวันที่สอง ท่านก็ได้ตอบเช่นเดียวกันนั้น และเขาได้ถามท่านอีกในวันที่สาม ท่าน ก็ได้ตอบเช่นเดียวกันอีก หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า                                              เมื่อท่านได้รับความสุขในดุนยา และได้มันอีกในอาคิเราะห์ ท่านก็บรรลุชัยชนะแล้ว

อะบุบักร์ อัชซิดดีก ได้ขึ้นยืนบน มิมษัร แล้วร้องไห้ ต่อมาได้กล่าวว่า             ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ยืนบนมิมบัรนิ้ ในปีแรกแล้วก็ร้องไห้ จากนั้นท่านนบีได้กล่าวว่า                                                      พวกท่านจงวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ ความอภัย และ ความสุข เพราะคนใดคนหนึ่งจะไม่ได้รับสิ่งใด ภายหลังจาก ความศรัทธามั่น ดียิ่งกว่าความสุข


 

 


 

เล่าจาก อะบี อุมามะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้วิงวอนขอด้วย ดุอาอฺมากมาย ที่เราจำไม่ได้ พวกเราได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ท่านได้วิงวอนขอด้วย ดุอาอฺมากมายที่เราจำอะไร จากดุอาอฺนั้นไม่ได้เลย ท่านได้กล่าวว่า พึงทราบเถิด. ฉันจะบอกแก่พวกท่านถึงสิ่งหนึ่ง ซึ่งมันจะรวมดุอาอนั้นทั้งหมด ท่านกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ เราขอต่อท่านจากความดีของสิ่งที่นบีของท่านคือ มุฮัมมัดได้ขอต่อท่าน และเราขอป้องกันด้วยท่าน จากความชั่วของสิ่งที่นบีของท่าน คือ มุฮัมมัด ได้ขอป้องกันจากมัน ท่านคือผู้ทรงช่วยเหลือ และการบรรลุนั้นขื้นอยู่กับท่าน ไม่มีการเคลื่อนไหว และไม่มีพละกำลังใดๆ นอกจาก โดย อัลเลาะห์

เล่าจาก ชัดดาด บุตร เอาส์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เคยสอนเราให้กล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าขอต่อท่าน การยืนหยัดอย่างมั่นคงในงานนี้ ขอต่อท่าน ทางนำที่แน่วแน่ ขอต่อท่าน ความสำนึกในบุญคุณแห่งความเมตตาของท่าน ขอต่อท่าน การทำอิบาดะห์ที่ดีต่อท่าน ขอต่อท่าน ลิ้นที่สัจจะ หัวใจที่สมบูรณ์ ขอป้องกันด้วยท่าน จากความชั่วของสิ่งที่ท่านรู้ และขอต่อท่าน จากความดีของสิ่งที่ท่านรู้ ข้าพเจ้าขอประทาน อภัยโทษต่อท่านจากสิ่งที่ท่านรู้ เพราะแท้จริงท่านเท่านั้นรู้สิ่งเร้นลับ

เล่าจาก อะบี ดัรดาอ์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เคยเป็นคำวิงวอนของ นบีดาวูด คือ “ข้าแด่อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าขอต่อท่าน ความรักของท่าน และความรักของผู้ที่รักท่าน และกิจกรรมที่จะทำให้บรรลุถึงความรักของท่าน ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดให้ความรักของ ท่าน เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนายิ่งกว่าชีวิตของข้าพเจ้า ยิ่งกว่าครอบครัวของข้าพเจ้า และยิ่งกว่าน้ำเย็น,, ผู้เล่าได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เมื่อท่านนึกถึงนบีดาวูด ท่านจะเล่า เกี่ยวกับนบีดาวูดว่า เป็นมนุษย์ทั้ทำอิบาดะห์มากที่สุด

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร ยะซีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เคย กล่าวในคำวิงวอนของท่านว่า ข้าแต่อัลเลาะห์ ได้โปรดประทานความรักของท่านให้แก่ข้าพเจ้า และความรักของผู้ที่ความรักของเขาจะเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ที่ท่าน209 ข้าแด่อัลเลาะห์ สิ่งใดที่ท่านประทานจากสิ่งที่ข้าพเจ้ารักได้โปรดให้มันเป็นพลังแก่ข้าพเจ้า (ที่จะกระทำ) ในสิ่ง ที่ท่านรัก ข้าแด่อัลเลาะห์และสิ่งใดที่ท่านได้ขจัดออกไปจากข้าพเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ารัก ขอ ได้โปรดให้มันเป็นพลังแก่ข้าพเจ้า (ที่จะกระทำ) ในสิ่งที่ท่านรัก

เล่าจาก อุมัร บุตร ค๊อตตอบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า         ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้สอน

ข้าพเจ้า โดยท่านกล่าวว่า     ท่านจงกล่าว “ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดให้ความคิดภายในของข้าพเจ้า

ดีกว่าการแสดงออกภายนอก และได้โปรดให้การแสดงออกภายนอกของข้าพเจ้าเป็นสิ่งที่ดี ข้าแด่ อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าวิงวอนขอแต่ท่าน จากสิ่งที่ดีที่ท่านได้มอบให้แก่มนุษย์ ทั้งที่เป็นทรัพย์สิน

เป็นครอบครัว และเป็นบุตร โดยไม่หลงผิด และไม่ทำให้หลงผิด                

รายงานหะดีษทั้งสิบสามนี้โดย ติรมิซี

ตัวบทที่มีมาในคำกล่าว ขอป้องกัน

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “และจงกล่าวเถิด ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันขอ ป้องกันด้วยท่าน จากเสียงกระทบของบรรดาชัยฏอน และขอป้องกันด้วยท่าน ข้าแด่พระผู้อภิบาล ของฉัน การที่พวกมันจะมาหาฉัน” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ ทรงสัจจะ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. เคยขอป้องกันจากความรุนแรงของภัยพิบัติ และการพบกับความชั่วช้า ที่เลวของกำหนดสภาวการณ์ และการหยามหยันของศัตรู   

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และ นะซาอี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. เคยกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ความจริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่านจากความหม่นหมอง และความเศร้า ความไร้ความสามารถ ความขี้เกียจ ความขี้ขลาด ความขี้เหนียว หนี้ที่ล้นพ้น และการข่มเหงของผู้คน

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้เคยกล่าวเสมอว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ความจริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่าน จากความขี้เกียจ ความหง่อม การทำบาป การ สร้างหนี้ จากวิกฤติการณ์ในหลุมศพ การลงโทษในหลุมศพ จากวิกฤติการณ์ของไฟนรก การ ลงโทษของไฟนรก จากความชั่วร้ายของวิกฤติการณ์ของความร่ำรวย และข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่าน จากวิกฤติการณ์ของความยากจน และขอป้องกันด้วยท่านจากวิกฤติการณ์ของ มะเซียะห์ ดัจญาล ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดชำระล้างความผิดของข้าพเจ้าออกไปจากข้าพเจ้าด้วยนํ้าแข็ง และน้ำเย็น และขอได้โปรดทำให้หัวใจของข้าพเจ้าสะอาดจากความผิดทั้งหลาย ดุจดังท่านได้ทำให้ผ้า ขาวสะอาด. จากรอยเปรอะเปื้อน และได้โปรดให้ข้าพเจ้ากับความผิดไกลกันดุจดังที่ท่านให้ห่าง ไกลระหว่าง ตะวันออก กับ ตะวันตก 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก สะอัด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงขอป้องกันโดยใช้ถ้อยคำที่ท่านนบี ซ.ล. เคยใช้มันขอป้องกัน นั่นคือ ฃ้าแด่อัลเลาะห์ ความจริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยพระองค์ ท่าน จากความขี้ขลาด ขอป้องกันด้วยท่านจากความตระหนี่ ขอป้องกันด้วยท่านจากการที่ข้าพเจ้า จะถูกส่งกลับไปสู่ช่วงอายุที่ตกต่ำที่สุด และขอป้องกันด้วยท่านจากวิกฤติการณ์ในโลกนี้ และการลงโทษในหลุมศพ                                                              

รายงานโดยบุคอรี ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก เซด บุตร อัรกอม ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เล่าให้พวกท่านฟัง นอกจากที่เหมือนกับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้พูดไว้คือ ข้าแด่อัลเลาะห์ ความจริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่านจากความไร้ความสามารถ ความขี้เกียจ ความขี้ขลาด ความตระหนี่ ความหง่อม และการลงโทษในหลุมศพ ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดให้แก่จิตใจของฉันมีการยำเกรง และได้ โปรดให้มันบริสุทธิ์ ท่านเป็นผู้ทำให้มันบริสุทธิ์ดีที่สุด ท่านเป็นผู้ปกครองมัน และเป็นนาย


 

 


 

ของมัน ข้าแด่อัลเลาะห์ ความจริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่าน จากความรู้ที่ไม่ก่อประโยชน์ หัวใจ ที่ไม่นบนอบ อารมณ์ที่ไม่รู้อิ่ม และจากคำวิงวอนขอที่ไม่ได้รับการตอบสนอง                                                       

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และอาอิชะห์ ร.ฎ. ถูกถามถึงสิ่งที่ท่านรอชูลุลเลาะห์เคยใช้วิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ อาอิชะห์ตอบว่า ท่านนบีเคยกล่าวว่า ข้าแต่อัลเลาะห์ ความจริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่านจากความชั่วของสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำ และความชั่วของสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ

และอิบนุอุมัร ได้กล่าวว่า ส่วนหนึ่งจากดุอาอของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ก็คือ ข้าแต่อัลเลาะห์ ความจริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่าน จากความสูญเสียความโปรดปรานของท่าน และการเปลี่ยนแปลงของความสุขของท่าน210 ภัยพิบัติที่เกิดอย่างกะทันหัน และความกริ้วของ ท่านทั้งปวง

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม และ อะบู ดาวูด

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เคยสอนดุอาอฺ นี้แก่พวกเขา เหมือนสอนซูเราะห์จากอัลกุรอาน ท่านนบีจะกล่าวว่า “ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริง ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่านจากการลงโทษของนรกยะฮันนัม ขอป้องกันด้วยท่านจากการลงโทษ ของหลุมศพ ขอป้องกันด้วยท่านจากวิกฤติการณ์ของ มะเซียะห์ ดัจญาล และขอป้องกันด้วย ท่าน จากวิกฤติการณ์ขณะมีชีวิต และเสียชีวิต

เล่าจาก ชะกัล บุตร ฮุมัยด์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ได้โปรดสอนข้าพเจ้า คำขอป้องกันที่ข้าพเจ้าจะใช้มันขอป้องกัน ผู้เล่าได้กล่าวว่า  ท่านนบีได้จับไหล่ทั้งสองข้างของข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า เจ้าจงกล่าว “ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่านจากความชั่วของหูข้าพเจ้า ความชั่วของสายตาข้าพเจ้า ความชั่วลิ้นของข้าพเจ้า ความชั่วของหัวใจข้าพเจ้า และความชั่วของอสุจิข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี อัลยะสัร ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เคยวิงวอนขอว่า ข้าแต่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่านจากการถล่มทับ และขอป้องกันด้วยท่านจาก การหล่นตกจากที่สูง และขอป้องกันด้วยท่านจากการจมนํ้าและไฟไหม้ และความหง่อม และ ขอป้องกันด้วยท่าน จากการที่ชัยฏอนจะเข้าครอบงำข้าพเจ้า ขณะใกล้เสียชีวิต และขอป้องกัน ด้วยท่านจากการที่ข้าพเจ้าจะสิ้นชีวิตในวิถีทางของพระองค์ด้วยการผินหลังหนี และขอป้องกัน ด้วยท่านจากการที่ข้าพเจ้าจะตายโดยถูกสัตว์ต่อย

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. เคยกล่าวเสมอว่าข้าแต่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่าน จากความยากจน ความแร้นแค้น ความตกต่ำ และขอป้องกันด้วยท่านจากการที่ข้าพเจ้าจะทุจริต หรือถูกทุจริต

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. เคยกล่าวเสมอว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่านจากการขัดขืนความจริง จากการดีสองหน้าและ มารยาทที่เลวทราม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. เคยกล่าวเสมอว่าข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงขอป้องกันด้วยท่านจากความหิวโหย เพราะมันเป็นเพื่อนนอนที่เลวยิ่ง และขอป้องกันด้วยท่านจากความคดโกง เพราะมันเป็นด้านในที่เลวยิ่ง211

และท่านนบี ซ.ล. เคยกล่าวเสมอว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วย ท่านจากโรคด่าง จากการเป็นบ้า จากโรคเรื้อน และโรคที่เลวร้ายต่างๆ                                                                     

รายงานหะดีษทั้งห้าโดย อะบู ดาวูด และ นะซาอี

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าววา  ข้าพเจ้าเคยนอนอยู่ข้างๆ ท่านนบี ซ.ล. ข้าพเจ้า ได้พบว่าท่านหายไปในเวลากลางคืน ข้าพเจ้าจึงคลำดู มือของข้าพเจ้าได้ตกลงไปอยู่ที่เท้าทั้งสอง ข้างของท่าน ขณะที่ท่านกำลังสุหยูด ท่านกล่าวว่า  ข้าพเจ้าขอป้องกันโดยอาศัยความพอใจ ของท่านจากความกริ้วโกรธของท่าน โดยอาศัยความไม่ถือโทษของท่าน จากการลงโทษของ

ท่าน ข้าพเจ้าไม่อาจกล่าวคำสดุดีตอท่านให้ทั่วถึงได้ เหมือนที่ท่านสดุดีตัวท่านเอง 

รายงานโดย ติรมิซี และ นะซาอี

และท่านนบี ซ.ล. เคยกล่าวเสมอว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าขอป้องกัน

ด้วยท่านจากความประพฤติ การกระทำ และ อารมณ์ที่ชั่วทั้งหลาย                

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

บทที่สี่ คำวิงวอนเฉพาะ
คำวิงวอนของผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. เคยกล่าวเสมอ ขณะมืความทุกข์ร้อนว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงขันติธรรม ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ ผู้ทรงเป็นเจ้าของ บัลลังก์อันยิ่งใหญ่ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ ผู้ทรงเป็นเจ้าของ ชั้นฟ้า เจ้าของแผ่นดินและเจ้าของบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อะบี บักเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า คำวิงวอนของผู้ที่ตกทุกข์ คือ ข้าแด่อัลเลาะห์ ความเมตตาของท่านนั้น ข้าพเจ้ามุ่งหวัง ดังนั้น อย่าปล่อยข้าพเจ้าให้พึ่งตัวเอง แม้เพียงพริบตาเดียว ได้โปรดปรับปรุงกิจการทั้งหมดของข้าพเจ้า ให้เป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากท่าน

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ อิบนุ ฮิบบาน

และ อัสมาอุ บุตร อุมัยส์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าว

แก่ข้าพเจ้าว่า พึงทราบเกิด ฉันจะสอนเธอ ถ้อยคำต่างๆ ที่เธอจะกล่าวมันขณะประสบ

กับความทุกข์ร้อนหรือตกอยู่ในความทุกข์ร้อนว่า “อัลเลาะห์ อัลเลาะห์ ผู้อภิบาลของฉัน ข้าพเจ้า จะไม่นำสิ่งใดตั้งภาคีเสมอเหมือนกับพระองค์

เล่าจาก อะบี มุซา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. เมื่อเกิดความกลัว

คนพวกหนึ่งท่านจะกล่าวว่า      ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงพวกเราขอให้ท่านอยู่ที่ด้นคอของพวกเขา

และเราขอป้องกันด้วยท่าน จากความชั่วร้ายของพวกเขา              

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด และ นะซาอี

เล่าจาก มุอาช บุตร ยะบั้ล ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ยินชายคนหนึ่ง

กล่าวคำวิงวอนว่า      ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าขอต่อท่าน ความโปรดปรานที่สมบูรณ์ ท่าน

นบีได้ถามว่า     อะไร คือ ความโปรดปรานที่สมบูรณ์ เขาตอบว่า คำวิงวอนที่ข้าพเจ้ามุ่งหวังได้รับความดีด้วยมัน ท่านนบีกล่าวว่า ความโปรดปรานที่สมบูรณ์ คือ การได้เข้าสวรรค์ และพ้นจากไฟนรก และท่านนบีได้ยินชายอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ข้าแด่ผู้ทรงความยิ่งใหญ่ และผู้ ทรงเกียรติ ท่านนบีกล่าวว่า ท่านถูกตอบสนองแล้ว จงขอเถิด และท่านนบีไดยินชายอีกคน หนึ่งกล่าวว่า         ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าขอต่อท่านความอดทน ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านได้ขอความเดือดร้อนต่ออัลเลาะห์ ดังนั้นท่านจงขอความสุขต่อพระองค์เถิด

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. นั้น เมื่อมืเรื่องใดทำให้ท่านทุกข์ร้อน ท่านจะกล่าวว่า  ข้าแด่ผู้ทรงเป็น ข้าแด่ผู้ทรงดำรงอยู่ ด้วยความเมตตาของท่าน ที่ข้าพเจ้าขอความช่วยเหลือ

และเล่าจาก.เขา (อะนัส) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงใช้คำว่า

“ข้าแด่ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงเกียรติ” ให้มากๆ และอะบู ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. นั้น เมื่อกิจการหนึ่งทำให้ท่านหม่นหมอง ท่านจะแหงนหน้าขึ้นสู่พึา แล้วกล่าวว่า “ถวายบริสุทธิ๋แด่อัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่” และเมื่อท่านเอาจริงเอาจังในการวิงวอน ท่านจะกล่าวว่า “ข้าแด่ผู้เป็นอยู่ ข้าแด่ ผู้ดำรงอยู่”   

รายงานทั้งสี่หะดีษนี้โดย ติรมิซี

คำวิงวอนในการเดินทาง และ กลับจากการเดินทาง

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. เมื่อออกเดินทางท่านจะกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ท่านเป็นมิตรในการเดินทาง ท่านเป็นผู้แทนดูแลครอบครัว ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่าน จากความลำบากในการเดินทาง และการกลับจากเดินทางอย่างหม่นหมอง และภาพที่ไม่ดีของครอบครัวและทรัพย์สมบัติ ข้าแต่ อัลเลาะห์ได้โปรดพับแผ่นดินให้เราและได้โปรดให้การเดินทางสะดวกแก่เรา

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เมื่อท่านขื้นอยู่บน หลังอูฐของท่าน ออกเดินทาง ท่านจะกล่าวคำตักบีร สามครั้3 จากนั้นท่านจะกล่าวว่า “ถวาย บริสุทธิ์แด่ผู้สิ่งอำนวยสิ่งนี้ให้เรา โดยที่เราไม่เคยควบคุมมันมาก่อน และแน่แท้พวกเราจะต้อง กลับคืนสู่พระผู้อภิบาลของเรา ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงเราขอต่อท่านในการเดินทางของเรานื้ (ให้ใต้รับ) ความดีและความยำเกรง และจากกิจกรรมที่มีสิ่งที่ท่านพอใจ ข้าแด่อัลเลาะห์ได้ โปรดให้การเดินทางของเรานี้สะดวกสบายแก่พวกเรา และได้โปรดพับความห่างไกลของการ เดินทางให้พ้นไปจากเรา ข้าแด่อัลเลาะห์ท่านเป็นมิตรในการเดินทาง และเป็นตัวแทนดูแลครอบครัว ข้าแด่อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่านจากความยากลำบากของการเดินทาง และ (จาก การพบ) ภาพที่ทำให้หม่นหมอง และการกลับ (มาพบกับ) ความชั่วร้าย ในทรัพย์สมษัติ และ ครอบครัว,, และเมื่อท่านนบีกลับ ท่านก็จะกล่าวถ้อยคำเหล่านั้น และได้เพิ่มเดิมในถ้อยคำเหล่านั้นอีกว่า “เป็นผู้กลับจากการเดินทาง เป็นผู้กลับตัว เป็นผู้ทำอิบาดะห์ต่อผู้อภิบาลของเรา เป็น ผู้สรรเสริญ,,     

รายงานหะดีษทั้งลองโดยมุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

อะลี บุตร รอบีอะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้อยู่กับอะลี ร.ฎ. ได้มีผู้นำพาหนะของเขามา เพื่อให้เขาขี่มัน เมื่อเขาวางเท้าเข้าในโกลน ได้กล่าวว่า “ด้วยนามของอัลเลาะห์” สามครั้ง เมื่อเขาขื้นนั่งบนหลังมัน เขาได้กล่าวว่า “มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ ถวายบริสุทธิ์แด่ผู้สิ่งได้อำนวยสิ่งนี้ให้เรา โดยที่เราไม่เคยควบคุมมันมาก่อน และแท้จริงพวกเราจะ ต้องกลับคืนสู่พระผู้อภิบาลของเรา,, จากนั้นเขาได้กล่าวว่า “มวลการสรรเสริญเป็น'ของอัลเลาะห์” สามครั้งและ “อัลเลาะห์ทรงยิ่งใหญ่” สามครั้ง “ถวายบริสูทธิ๋แด่ท่าน แท้จริงฉันทุจริตตัวเอง ดังนั้นขอได้โปรดอภัยโทษให้ฉัน เพราะแท้จริงไม่มีผู้ใดจะอภัยโทษบาปต่างๆ นอกจากท่าน” หลังจากนั้นเขาได้หัวเราะ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า สิ่งใดที่ท่านหัวเราะ โอ้ ผู้นำของเหล่าผู้ศรัทธา เขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นนบี ซ.ล. ได้กระทำเหมือนที่ฉันทำนี้ หลังจากนั้นท่านนบีได้หัวเราะ ฉันจึงถามว่า สิ่งใดที่ท่านหัวเราะ โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ ท่านตอบว่า แท้จริงพระผู้ อภิบาลของท่าน ชอบบ่าวของพระองค์ขณะที่เขากล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉัน ได้โปรด อภัยบาปต่างๆ ของฉันแก่ฉัน เพราะแท้จริงไม่มีผู้ใดจะให้อภัยบาปต่างๆได้นอกจากท่าน 

รายงานโดยอะบูดาวูด และ ติรมิซี

อิบนุ อูมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. นั้น เมื่อท่าน ได้ออกเดินทางพร้อมด้วยกองทัพ หรือหน่วยทหาร หรือ ฮัจย์ หรือ อูมเราะห์ เมื่อขึ้นสู่ทาง ภูเขา หรือ ที่สูง ท่านจะกล่าวคำตักบีรสามครั้ง จากนั้นท่านจะกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์องค์เดียว ไม่มีดู่ภาคีเสมอเหมือนพระองค์ กรรมสิทธิ์ เป็นของพระองค์ มวลการสรรเสริญเป็นของพระองค์ และพระองค์ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสิ่ง เป็นผู้เดินทางกลับ เป็นผู้กลับตัว เป็นผู้ทำอิบาดะห์ เป็นผู้สุหญูด ต่อพระผู้อภิบาลของเรา


 

 


 

เป็นผู้สรรเสริญ อัลเลาะห์ทรงสัจจะต่อสัญญาของพระองค์ ทรงช่วยเหลือบ่าวของพระองค์ และได้ทำให้พลพรรคต่างๆ พ่ายแพ้ โดยลำพังองค์เดียวเท่านั้น 

รายงานโดย บุคอรี และ มุสลิม

ดุอาอ อำลา

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่า เขาได้พูดแก่ชายคนหนึ่งที่ต้องการจะเดินทางว่า จงเข้ามาใกล้ๆ ฉัน เพื่อฉันจะได้กล่าวคำอำลาท่านเหมือนที่ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. เคยกล่าว คำอำลาแก่พวกเรา นั่นคือ ท่านจะกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอฝากไว้กับอัลเลาะห์ ศาสนาของท่านของฝากของท่านและวาระสุดท้ายจากการกระทำของท่าน

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ข้าพเจ้าประสงค์จะเดินทาง ดังนั้นขอท่านได้จัดเสบียงให้ข้าพเจ้าด้วย ท่านนบีได้กล่าวว่า ขออัลเลาะห์ได้ให้ความยำเกรงเป็นเสบียงของท่าน เขากล่าวว่า เพิ่มให้ข้าพเจ้าอีก ท่านได้กล่าวว่าและขอได้โปรดอภัยบาปให้ท่าน ชายคนนั้นกล่าวอีกว่า เพิ่มให้ฉันอีก โดยเอาบิดาและมารดาของฉันเป็นค่าไก่ตัวท่าน ท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า และขออัลเลาะห์ได้ให้ความดี สะดวกแก่ท่านไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด 

รายงานโดย ติรมิซี และ ฮากีม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์

ข้าพเจ้าประสงค์จะเดินทาง ได้โปรดสั่งเสียข้าพเจ้า ท่านได้กล่าวว่า       ท่านจะต้องยำเกรงอัลเลาะห์

และกล่าวคำตักบีร ทุกๆ เนิน และเมื่อชายคนนั้นไปแล้ว ท่านได้กล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดพับแผ่นดินให้เขา และให้การเดินทางสะดวกแก่เขา                                                                                     

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

คุอาอฺ ขณะลงพักในแหล่งพำนักใด ๆ

เล่าจาก เคาละห์ บุตรสาว ฮะกีม ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้ลงพำนักในที่พำนักใด แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยพระคำของอัลเลาะห์ที่สมบูรณ์จากความชั่วของสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น จะไม่มีสิ่งใดเป็นอันตรายกับเขา จนกว่าเขาจะ อพยพออกจากสกานที่นั้น 

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เมื่อได้ออกเดินทาง และต่อมาได้เข้าสู่เวลากลางคืน ท่านจะกล่าวว่า โอ้ แผ่นดิน พระผู้อภิบาลของฉันกับของเจ้า คือ อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยอัลเลาะห์จากความชั่วของเจ้า และ ความชั่วของสิ่งที่อยู่ในเจ้า และความชั่วของสิ่งที่ถูกบังเกิดอยู่ในเจ้า และความชั่วของสิ่งที่คืบคลานอยู่บนเจ้า และขอป้องกันด้วยอัลเลาะห์ จากสิงโต และ สัตว์ดำ จากงู แมลงป่อง และ จากผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง จากผู้บังเกิดและสั่งที่มันบังเกิดขึ้นมา212

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ นะซาอี

ดุอาอ ขณะลุกขึ้นจากที่ประชุม

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “และจงถวายบริสุทธิ๋พร้อมด้วยสรรเสริญพระผู้อภิบาล ของเจ้าขณะที่เจ้าลุกขึ้น และจากส่วนหนึ่งของกลางคืน เจ้าจงถวายบริสุทธิ์แด่พระองค์ และ หลังจากดาวดก”[189]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดนั่งลงในที่ประชุม หนึ่ง และพบว่ามีเสียงหนวกหูในที่ประชุมนั้น และเขาได้กล่าวก่อนลุกขึ้นจากที่ประชุมนั้นว่า “ถวายบริสุทธิ๋แด่ท่าน ข้าแด่อัลเลาะห์ พร้อมด้วยสรรเสริญท่าน ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าไม่มีพระเจ้า ที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากท่าน ข้าพเจ้าวิงวอนขออภัยโทษต่อท่าน และขอกลับตัวสู่ ท่าน” นอกจากเขาจะได้รับอภัย สิ่งที่ได้เกิดขึ้นใน ที่ประชุมของเขานั้น 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของอะบีดาวูดว่า ท่านนบี ซ.ล. เคยกล่าวเสมอขณะท่านจะลุกขึ้นจากที่ ประชุมว่า ถวายบริสุทธิ๋แด่ท่าน ข้าแด่อัลเลาะห์ พร้อมด้วยสรรเสริญท่าน ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากท่าน ข้าพเจ้าวิงวอนขออภัยโทษต่อท่าน และกลับ ตัวสู่ท่าน” ชายคนหนึงได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์แท้จริงท่านกล่าวคำพูดที่ข้าพเจ้า ไม่เคยได้ยินท่านพูดมาก่อน ท่านกล่าวว่า เป็นการลบล้างสิ่งที่จะเกิดขึ้นในที่ประชุม

คำกล่าวขณะไก่ขัน และ ลาร้อง

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อพวกท่านได้ยิน เสียงไก่ขัน จงวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ จากความโปรดปรานของพระองค์ เพราะความจริงมัน เห็นมะลาอิกะห์ และเมื่อพวกท่านได้ยินเสียงลาร้อง พวกท่านจงขอป้องกันด้วยอัลเลาะห์จาก ชัยฏอน เพราะความจริงมันเห็นชัยฏอน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจาก เซด บุตร คอลิด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าด่าไก่ เพราะมันปลุกให้ละหมาด 

รายทนโดย อะบูดาวูด และ นะซาอี ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

ดุอาอขณะออกจากบ้าน และ เข้าบ้าน

เล่าจาก อุมมิ ซะละมะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. เมื่อท่านออกจากบ้าน ของท่าน ท่านจะกล่าวว่า ด้วยนามของอัลเลาะห์ ข้าพเจ้าขอมอบหมายให้อัลเลาะห์ ข้าแด่อัลเลาะห์ ความจริงพวกเราขอป้องกันด้วยท่าน จากการที่พวกเราจะพลาดพลั้งและหลงผิด หรือพวกเรา ทุจริต หรือถูกทุจริต หรือพวกเราจะไม่รู้ หรือถูกปิดบังไม่ให้รู้ 

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อชายคนหนึ่งออกจากบ้าน ของเขา ไห้เขากล่าวว่า ด้วยนามของอัลเลาะห์ ข้าพเจ้าขอมอบหมายให้อัลเลาะห์ ไม่มีการเคลื่อน ไหวและพละกำลังใด นอกจากโดยอัลเลาะห์ ท่านนบีได้กล่าวว่า จะมีผู้กล่าวในขณะนั้นว่า ท่าน ถูกนำแล้ว ท่านถูกให้อย่างเพียงพอแล้ว ท่านถูกพิทักษ์แล้ว และชัยฏอนก็จะถอยห่างจากเขา และชัยฏอนอื่นก็จะกล่าวว่า ท่านจะจัดการอย่างไรกับชายคนหนึ่งที่ถูกนำแล้ว ถูกให้อย่างเพียงพอแล้ว และถูกพิทักษ์แล้ว 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี มาลิก อัลอัชอะรีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ กล่าวว่า เมื่อชายคนหนึ่งเข้าบ้านของเขา ให้เขากล่าวว่า “ข้าแด่อัลเลาะห์ ความจริงข้าพเจ้าวิงวอน ขอทางเข้าที่ดีและทางออกที่ดี ด้วยนามของอัลเลาะห์ที่เราเข้า และด้วยนามของอัลเลาะห์ที่เรา ออก และต่ออัลเลาะห์พระผู้อภิบาลของเรา ที่เรามอบหมาย” จากนั้น ให้เขาจงกล่าวสลามแก่ครอบครัวของเขา            รายงานโดย อะบูดาวูด ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

ดุอาอ ขณะฝนตก ลมพายุ และฟ้ารอง

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า ลมพายุมาจากเมตตาของอัลเลาะห์ ลมพายุจะนำพาความเมตตา และลมพายุจะนำพาการ ลงโทษมา และเมื่อพวกท่านเห็นลมพายุ ก็อย่าด่ามัน ท่านทั้งหลายจงขอต่ออัลเลาะห์ถึงความดี ของมัน และขอป้องกันด้วยอัลเลาะห์ จากความชั่วร้ายของมัน    

รายงานโดย อะบูดาวูด และติรมิซี ในเรองนี้ และมุสลิมในเรื่องละหมาด

และตัวบทของมุสลิมว่า ท่านนบี ซ.ล. เมื่อเห็นลมพายุ ท่านจะกล่าวว่า ข้าแด่อัล เลาะห์ ข้าพเจ้าขอต่อท่าน ความดีของมัน ความดีของสิ่งที่อยู่ในมัน และความดีของสิ่งที่มัน ถูกส่งไปพร้อมกับสิ่งนั้น และข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่าน จากความชั่วร้ายของมัน ความชั่วร้ายของสิ่งที่อยู่ในมัน และความชั่วร้ายของสิ่งที่มันถูกส่งไปพร้อมกับสิ่งนั้น

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. เมื่อท่านได้เห็นสิ่งที่ เกิดขึ้นในขอบฟ้า[190] ท่านจะผละงาน แม้ขณะกำลังอยู่ในละหมาด* หลังจากนั้นท่านก็จะกล่าว ว่า “ข้าแด่อัลเลาะห์ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่าน จากความชั่วร้ายของมัน” และถ้ามีฝนตก ท่าน ก็จะกล่าวว่า “ได้โปรดให้เป็นฝนที่ยังคุณประโยชน์”

รายงานโดย อะบูดาวูด และ นะซาอี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฝนได้ตกลงมาที่เรา ขณะที่เราอยู่กับท่านนบี ซ.ล. ท่านนบีได้ออกไป และท่านได้กลกผ้าของท่านให้พ้นฝน เพื่อให้ฝนโดนท่าน พวกเราได้ถามท่าน ท่านตอบว่า เพราะความจริงมันยังใหม่ต่อพระผู้อภิบาลของมัน[191] 

รายงานโดยมุสลิม และอะบู ดาวูด 

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. นั้น เมื่อท่านได้ยิน เสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่า ท่านจะกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ โปรดอย่าฆ่าเราด้วยความโกรธของท่าน โปรดอย่าทำลายเราด้วยการลงโทษของท่าน และได้โปรดให้เราได้ความสุขก่อนนั้น                                                                                                                         

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ ฆอรีบ

คำวิงวอน เมื่อเห็นจันทร์เสี้ยว

เล่าจาก ตอลฮะห์ บุตร อุบัยดิลลาห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. เมื่อท่านเห็นจันทร์เสี้ยว ท่านจะกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดให้มันปรากฏแก่พวกเรา เป็น ความเพิ่มพูน ความศรัทธา ความปลอดภัย ความสันติ พระผู้อภิบาลของฉันกับพระผู้อภิบาล ของเจ้า คือ อัลเลาะห์         

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ทะซัน

เล่าจาก กอตาดะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. นั้น เมื่อท่านเห็นจันทร์เสี้ยว ท่านจะกล่าวว่า  เป็นจันทร์เสี้ยวแห่งความดีงาม และชี้นำ เดือนเสี้ยวแห่งความดีงามและนำ เดือนเสี้ยวแห่งความดีงามและชี้นำ ข้าศรัทธาต่อผู้ซึ่งบังเกิดเจ้าขึ้นมา (ท่านได้กล่าว) สามครั้ง มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ผู้ซึ่งได้ให้เดือนนั้นไป และให้เดือนนี้มา   

รายงานโดย อะบู ดาวูด

คำวิงวอน เมื่อเห็นผลไม่แรกฤดู

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า โดยปกติ ประชาชนนั้น เมื่อพบผลไม้ แรกฤดูก็จะนำมันไปให้ท่านนบี ซ.ล.และเมื่อท่านรับมัน ท่านก็จะกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดประทานความเพิ่มพูนให้แก่พวกเราในผลไม้ของเรา ได้โปรดประทานความเพิ่มพูนให้แก่ พวกเราในนครมะดีนะห็ของเรา ได้โปรดประทานความเพิ่มพูนให้แก่พวกเราในซออฺของเรา และในมุดของเรา216 ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงอิบรอฮีมนั้นเป็นบ่าวของท่าน เป็นคนสนิทของท่าน เป็นนบีของท่าน และแท้จริงข้าพเจ้าก็เป็นบ่าวของท่าน เป็นนบีของท่าน และความจริงเขาได้ วิงวอนขอต่อท่านให้แก่นครมักกะห์ และข้าพเจ้าก็จะวิงวอนขอต่อท่าน ให้แก่นครมะดีนะห์ เท่ากับสิ่งที่เขาได้วิงวอนขอต่อท่าน ให้แก่นครมักกะห์ และอีกเท่าหนึ่งพร้อมกัน หลังจากนั้น ท่านได้เรียกเด็กเล็กๆ ที่ท่านเห็น และให้ผลไม้แก่เด็กนั้น 

รายงานโดย ติรมิซี

คำวิงวอน ยับยั้งความตระหนก และอาการนอนไม่หลับ

เล่าจาก อัมร์ บุตร ชุอัยบ์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่าน รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนหนึ่งของพวกท่านเกิดอาการตระหนกในเวลานอน ให้เขากล่าวว่า ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยถอยคำต่างๆ ของอัลเลาะห์ที่สมบูรณ์ จากความกริ้วโกรธ ของพระองค์ จากการลงโทษของพระองค์ จากความชั่วร้ายจากบ่าวของพระองค์ และจากเสียง กระซิบของบรรดาชัยฏอน และจากการที่พวกมันจะมาหาข้าพเจ้า แท้จริงมันจะทำร้ายเขาไม่ได้ 

ผู้รายงานได้กล่าวว่า อิบนุ อัมร์ ได้สอนถ้อยคำเหล่านี้แก่ผู้ที่บรรลุศาสนภาวะแล้ว จากบุตร ของเขา ส่วนคนที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะของพวกเขา เขา (อิบนุ อัมร์) ก็จะเขียนลงในสิ่งหนึ่ง แล้วแขวนมันไว้ที่คอของผู้นั้น 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

คอลิด บุตร อัลวะลีด ร.ฎ. ได้ร้องทุกข์ต่อท่านนบี ซ.ล. โดยได้กล่าวว่า โอ้ท่าน รอซูลุลเลาะห์ข้าพเจ้าไม่ได้นอนเมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากโรคนอนไม่หลับ ท่านนบีได้กล่าวว่า เมื่อท่านเข้าสู่ที่นอนของท่าน ให้กล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ผู้ทรงอภิบาลฟ้าทั้งเจ็ด และสรรพสิ่งที่ฟ้าให้ร่มเงา และผู้ทรงอภิบาลแผ่นดิน และสรรพสิ่งที่แผ่นดินรองรับอยู่ และผู้ทรง เป็นเจ้าของบรรดาชัยฏอน และสิ่งที่พวกมันทำให้หลงผิด ขอท่านได้โปรดคุ้มครองข้าพเจ้าจาก ความชั่วร้ายของสรรพสิ่งทั้งปวงที่ท่านสร้างขี้น ที่จะมีผู้ใดล่วงเกินข้าพเจ้า หรือที่จะมีผู้ใดละเมิด ข้าพเจ้า การคุ้มครองของท่านนั้นเข้มแข็ง การเยินยอท่านนั้นยิ่งใหญ่ และไม่มีพระเจ้าที่ลูก สักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากท่าน และไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้ เว้นแต่ท่านเท่านั้น

รายงามโดย ติรมิซี

คำวิงวอนใช้หนี้

เล่าจาก อะลี ร.ฎ. ว่า แท้จริงได้มีทาส มุกาตับ* คนหนึ่งมาหาเขา แล้วกล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าหมดความสามารถที่จะไถ่ตนเองให้เป็นอิสระได้ ดังนั้น ท่านได้โปรดช่วย ข้าพเจ้าเถิด อะลีได้กล่าวว่า พึงทราบ ฉันจะสอนถ้อยคำให้ท่าน เป็นถ้อยคำที่ท่านรอชูลุ้ล เลาะห์ ซ.ล. ได้สอนให้ฉัน ถ้าหากท่านมีหนี้สินเท่ากับภูเขา ชะบีร อัลเลาะห์ก็จะชดใช้แทน ให้ท่าน จงกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดให้ข้าพเจ้าเพียงพอด้วยสิ่งฮาลาลของท่านพ้นไป จากสิ่งฮารอมของท่าน และได้โปรดให้ข้าพเจ้าอิ่มตัว ด้วยความโปรดปรานของท่าน จากการ อาศัยบุคคลอื่นนอกจากท่าน      

รายงานโดย ติรมิซี

และอะบู สะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เข้าไปในมัสยิด ในวันหนึ่ง ท่านได้พบกับชายชาวอันซอรคนหนึ่งมีชึ่อเรียกว่า อะบู อุมามะห์ ท่านจึงกล่าวว่า โอ้ อะบู อุมามะห์ ฉันไม่เคยเห็นท่านนั่งอยู่ในมัสยิดนอกจากเวลาละหมาดเท่านั้น เขาตอบว่า ความ หม่นหมอง และหนี้สินได้เกาะติดอยู่กับข้าพเจ้า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านนบีได้กล่าวว่า ฉันจะไม่สอนท่านหรือ ถ้อยคำหนึ่งที่เมื่อท่านได้กล่าวมันแล้ว อัลเลาะห์จะให้ความหม่นหมองของ ท่านหายไป และพระองค์จะชดใช้หนี้สินแทนท่าน ข้าพเจ้าตอบว่า หามิได้ (โปรดสอนเถิด) โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ท่านนบี ได้กล่าวว่า จงกล่าวเถิด เมื่อท่านอยู่ในเวลาเช้า และเมื่อท่านอยู่ในเวลาเย็นว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่าน จากความหม่นหมอง จาก ความโศกเศร้า และข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่านจากความอ่อนแอ และความขี้เกียจ และขอ ป้องกันด้วยท่านจากความขี้ขลาด และความตระหนี่ และขอป้องกันด้วยท่าน จากหนี้สินล้นพ้น และอิทธิพลของพวกผู้ชาย อะบู อุมามะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ปฏิปัติดังนั้น และอัลเลาะห์ ก็ได้ให้ความหม่นหมองของข้าพเจ้าหายไป และได้ชดใช้หนี้สินแทนให้ข้าพเจ้า

รายงานโดยอะบู ดาวูด

คือ ทาสที่ทำสัญญาไถ่ถอนตัวเองกํบผู้เป็นนาย


 

คำวิงวอน เมื่อพบเห็นผู้ที่ตกอยู่ ในความเดือดร้อน

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห็ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดพบเห็นคนที่ กำลังเดือดร้อน แล้วเขากล่าวว่า มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ ผู้ซึ่งให้ความสุขแก่ฉัน พ้นจากสิ่งที่พระองค์ได้ให้เป็นความทุกข์แก่ท่าน และได้โปรดปรานฉันอย่างล้นเหลือเหนือกว่า บุคคลที่พระองค์ได้ทรงบังเกิดขื้นมาอีกมากมาย ความเดือดร้อนนั้นจะไม่ประสพกับเขา 

รายงานโดย ติรมิซี ค้วยสายรายงานที่ ฆอรีบ

คำวิงวอนของผู้ป่วย

เล่าจาก อะบี สะอีด และ อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริง บุคคลทั้งสองได้ ยืนยันว่า ท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า ผู้ใดได้กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น และอัลเลาะห์ทรงเกรียงใกรยิ่ง พระผู้อภิบาลของเขาจะรับรองเขา โดยตรัสว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากเรา และเราทรงเกรียงไกรยิ่ง และ เมื่อเขากล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ แต่เพียงพระองค์เดียว พระองค์จะตรัสว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากเราองค์เดียว และเมื่อเขา กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์เพียงองค์เดียว ไม่มีคู่ภาคี เสมอเหมือนพระองค์ อัลเลาะห์จะตรัสว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากเรา เพียงองค์เดียว ไม่มีคู่ภาคีเสมอเหมือนเรา และเมื่อกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดย เที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ กรรมสิทธิปกครองเป็นของพระองค์ มวลการสรรเสริญเป็นของ พระองค์ อัลเลาะห์ทรงตรัสว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากเรา กรรมสิทธิ์ ปกครองเป็นของเรา มวลการสรรเสริญเป็นของเรา และเมื่อกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะ โดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ ไม่มีการเคลื่อนไหว และไม่มีพละกำลังใดๆ นอกจากโดยอัลเลาะห์ พระองค์จะกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากเรา ไม่มีการเคลื่อนไหว และไม่มีพละกำลังใดๆ นอกจากโดยเรา และท่านนบีเคยกล่าวว่า ผู้ใดได้กล่าวมัน (ถ้อยคำ เหล่านี้) ในอาการป่วยของเขา ต่อมาเขาได้ตายไป ไฟนรกจะไม่กินเขา 

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

คำกล่าวขณะเข้าตลาด

เล่าจาก อุมัรร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดเข้าตลาดแล้วกล่าวว่า ไม่มี พระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์องค์เดียว ไม่มีคู่ภาคีเสมอเหมือนพระองค์ กรรมสิทธิ์ปกครองเป็นของพระองค์ มวลการสรรเสริญเป็นของพระองค์ พระองค์ทรงให้ชีวิต และทรงให้ตาย โดยพระองค์ทรงเป็นอยู่ ไม่ตาย ความดีงามอยู่ในมือของพระองค์ และพระองค์ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสิ่ง อัลเลาะห์จะบันทึกให้เขา หนึ่งพันพันความดี และจะลบออกจากเขา หนื่งพันพันความชั่ว และจะยกเขาขึ้น หนึงพันพันขั้น และในรายงานหนึ่ง ใช้แทนคำที่ว่า และจะยกเขาขึ้นหนึ่งพันพันขั้น เป็นว่า และจะสร้างปราสาทให้แก่เขาในสวรรค์ 

รายงานโคยฅิรมิซี

คำวิงวอนขอความจดจำ

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะที่พวกเราอยู่กับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. นั้น บังเอิญ อะลี ร.ฎ. ได้มาหาท่าน แล้วกล่าวว่า โดยเอาบิดาและมารดาของข้าพเจ้าไถ่ตัวท่าน โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ อัลกุรอานนี้ได้หนีไปจากอกข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่พบว่าตัวเอง จะสามารกควบคุมเอาอัลกุรอานไว้ได้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า โอ้ อะบั้ล หะซัน ข้าพเจ้าจะไม่สอนท่านหรือ ถ้อยคำต่างๆ ที่อัลเลาะห์จะให้มันเป็นประโยชน์แก่ท่าน และให้ ประโยชน์แก่ผู้ที่ท่านสอนเขา และมันจะทำให้สิ่งที่ท่านได้เรียนไปนั้นแน่นแฟ้นอยู่กับอกของท่าน อะลีตอบว่า ครับ โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ได้โปรดสอนข้าพเจ้าเภิด ท่านจึงกล่าวว่า เมื่อถึงคืนวันศุกร์ ถ้าหากท่านมีความสามารกที่จะลุกขึ้นในช่วงเศษหนึ่งส่วนสามสุดท้ายของกลางคืน เพราะมันเป็นชั่วโมงที่ถูกรับรอง และการวิงวอนขอในชั่วโมงนั้นจะถูกตอบสนอง ความจริง พี่น้องของฉัน คือ นบี ยะอฺกูบ ได้กล่าวแก่ลูกๆ ของท่านว่า ฉันจะขออภัยโทษต่อพระผู้อภิบาล ของฉันให้แก่พวกเจ้า                                                     เขากล่าวว่า จนกระทั่งคืนวันศุกร์ได้มาถึง ดังนั้น ถ้าหากท่านไม่มีความสามารก ให้ท่านลุกขึ้นในช่วงเวลาครึ่งคืนของวันศุกร์ และถ้าหากท่านไม่มีความสามารก ก็ให้ลุกขึ้นในตอนหัวคํ่าของคืนวันศุกร์ และละหมาดสี่รอกาอัต ให้ท่านอ่านในรอกาอัตแรกด้วย ซูเราะห์ ฟาติฮะห์ และ ซูเราะห์ ยาซีน ในรอกาอัตที่สองด้วยซูเราะห์ ฟาติฮะห์ และฮามีม อัดดุคอน ในรอกาอัตที่สามด้วยซูเราะห์ ฟาติฮะห์ และ อะลีฟลาม ตันซิล ที่มีการสุหยูด และในรอกาอัตที่สิ่ด้วย ซูเราะห์ ฟาติฮะห์ และซูเราะห์ตะบารอกะ ซึ่งเป็นซูเราะห์ มุฟัซซอล และเมื่อท่านเสร็จจาก ตะชะห์ฮุด ให้ท่านสรรเสริญอัลเลาะห์ และเยินยอเกียรติอัลเลาะห์ อย่างดียิ่ง และขอพรให้ฉัน (ซอลาวาตนบี) และทำให้ดี และขอพรให้แก่บรรดานบีทั้งหลาย ขออภัยโทษให้แก่บรรดามุอฺมินทั้งชายและหญิง และให้แก่พี่น้องของท่านที่มีศรัทธาก่อนท่าน หลังจากนั้นจงกล่าวในตอนท้ายว่า ข้าแต่อัลเลาะห์ได้โปรดเมตตาฉันด้วยการละทิ้งความชั่ว ตลอดไป ตราบเท่าที่ท่านให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ได้โปรดเมตตาฉัน การที่ฉันจะต้องแบกภาระสิ่ง ที่ไม่ก่อประโยชน์แก่ตัวฉัน ได้โปรดประทานการมองในแง่ดีในสิ่งที่จะทำให้ท่านพอใจในตัวฉัน ข้าแต่อัลเลาะห์ ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ทรงเกียรติ และทรงอำนาจซึ่ง ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน ข้าพเจ้าขอต่อท่าน โอ้อัลเลาะห์ โอ้ผู้ทรงเมตตายิ่ง ด้วยความเกรียงไกร ของท่าน และรัศมีจากดวงหน้าของท่าน ได้โปรดให้ความจดจำคัมภีร์ของท่านติดตรึงอยู่กับหัวใจ ของฉันเหมือนที่ท่านได้สอนฉัน และได้โปรดประทานให้ข้าพเจ้าได้อ่านคัมภีร์ของท่านตาม แนวทางที่จะทำให้ท่านพอใจในตัวฉัน ข้าแด่อัลเลาะห์ ผู้สร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ทรงเกียรติ และทรงอำนาจที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน ข้าพเจ้าขอต่อท่าน โอ้อัลเลาะห์ โอ้ผู้ทรง เมตตายิ่ง ด้วยความเกรียงไกรของท่าน และรัศมีจากดวงหน้าของท่าน ได้โปรดให้สายตาของข้าพเจ้าสว่างด้วยคัมภีร์ของท่าน ได้โปรดให้ลิ้นของข้าพเจ้าคล่องด้วยคัมภีร์ของท่าน และได้ โปรดใช้มันปัดเป่าความมัวหมองไปจากหัวใจของข้าพเจ้า และใช่มันเป็นสาเหตุให้อกของ ข้าพเจ้าโล่ง และใช้มันช่วยเสริมสร้างร่างกายของฉัน เพราะแท้จริงจะไม่มีผู้ใดช่วยให้ฉันอยู่ บนสัจธรรมได้นอกจากท่าน และไม่มีใครจะให้มันได้นอกจากท่าน ไม่มีการเคลื่อนไหวและ พละกำลังใดๆ นอกจากโดยอัลเลาะห์ ผู้ทรงสูงยิ่ง ทรงยิ่งใหญ่ โอ้ อะบุหะซันจงกระทำดังกล่าวนี้ สามวันศุกร์ หรือ ห้า หรือ เจ็ดวันศุกร์ ท่านจะถูกตอบสนองโดยอนุมัติของอัลเลาะห์ สาบาน ต่อผู้สิ่งได้แต่งตั้งฉันพร้อมด้วยสัจธรรม มันจะไม่พลาดไปจากผู้มีศรัทธาคนใดเลย

อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ อะลี หายหน้าไปไม่นานนัก นอกจากห้าหรือเจ็ดวันศุกร์ จนเขาได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ในที่ประชุมเดียวกันนั้น แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ แท้จริงในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ฉันไม่เคยจำได้นอกจากสี่ อายะห์ หรือ จำนวนพอๆ กันนั้น และเมื่อข้าพเจ้าต้องการอ่านมันในใจของฉัน มันก็หายไป และข้าพเจ้าในวันนี้ ข้าพเจ้าได้เรียนไปสี่สิบอายะห์ หรือจำนวนพอ ๆ กันนั้น และเมื่อฉัน ต้องการอ่านมันในใจของฉัน มันเหมือนกับมีคัมภีร์ของอัลเลาะห์อยู่ตรงหน้าฉัน และความจริง ข้าพเจ้าเคยได้ยินหะดีษ แต่เมื่อต้องการทบทวนมัน มันได้เลือนหายไป และตัวข้าพเจ้าใน วันนี้ได้ยินหลายๆ หะดีษ เมื่อข้าพเจ้าต้องการนำหะดีษเหล่านั้นมาเล่า ข้าพเจ้าก็เล่าไม่พลาด เลยแม้อักษรเดียว ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่อะลีในขณะนั้นว่า เป็นผู้มีศรัทธา ขอสาบานต่อผู้อภิบาลกะอ์บะห์ โอ้ อะบู หะซัน 

รายงานโดยติรมิซี

อวยพร (ซอลาวาต) แก่ท่านนบี ซ.ล.

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “แท้จริงอัลเลาะห์ และมวลมะลาอิกะห์ของพระองค์ อวยพรให้แก่ท่านนบี โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย จงอวยพรให้แก่นบี และจงขอความสันติ อย่างจริงจังให้เกิดกับท่านนบี”

เล่าจาก อะบี ฮุมัยด์ อัซซาอิดีย์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงพวกเขา (อัครสาวก) ได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ เราจะซอลาวาตแก่ท่านอย่างไร ท่านกล่าวว่า พวกท่านจงกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดอวยพรแก่มุฮัมมัด แก่ภรรยาของเขา แก่ลูกหลานของเขา เหมือนที่ท่าน อวยพรแก่วงศ์วานของอิบรอฮีม ได้โปรดเพิ่มพูนแก่มุฮัมมัด แก่ภรรยาของเขา และลูกหลาน ของเขา เหมือนที่ท่านได้ประทานความเพิ่มพูนแก่วงศ์วานของอิบรอฮีม แท้จริงท่านควรแก่การ สรรเสริญ ควรแก่การยกย่อง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจาก อับดิรเราะห์มาน บุตร อะบี ลัยลา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า กะอับ บุตร อุจเราะห์ ได้พบกับข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า พึงทราบเกิด ข้าพเจ้าจะมอบของขวัญแก่ท่านชิ้นหนึ่ง แท้จริง ท่านนบี ซ.ล.ได้ออกมาหาพวกเรา และพวกเราได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ พวกเรา ทราบแล้วว่า เราจะกล่าวสลามแก่ท่านอย่างไร แต่เราจะซอลาวาตแก่ท่านอย่างไร ท่านได้กล่าว ว่า พวกท่านจงกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดอวยพรแก่ มุฮัมมัด แก่วงศ์วานของมุฮัมมัด เหมือนที่ท่านอวยพรแก่วงศ์วานของอิบรอฮิม แท้จริงท่านควรแก่การสรรเสริญ ควรแก่การ ยกย่อง ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดเพิ่มพูนแก่มุฮัมมัด แก่วงศ์วานของมุฮัมมัด เหมือนที่ท่าน เพิ่มพูนให้แก่วงศ์วานของอิบรอฮีม แท้จริงท่านควรแก่การสรรเสริญ ควรแก่การยกย่อง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และตัวบทของบุคอรีในเรื่องเริ่มสร้างว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดอวยพรแก่มุฮัมมัด แก่วงศ์วานของมุฮัมมัด เหมือนที่ท่านอวยพรแก่อิบรอฮีม และวงศ์วานของอิบรอฮีม แท้จริง ท่านควรแก่การสรรเสริญ ควรแก่การยกย่อง ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดเพิ่มพูนแก่มุฮัมมัด และ วงศ์วานของมุฮัมมัดเหมือนที่ท่านเพิ่มพูนแก่อิบรอฮีม และวงศ์วานของอิบรอฮีม แท้จริง ท่านควรแก่การสรรเสริญ ควรแก่การยกย่อง

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์นี่คือ คำกล่าวสลาม แก่ท่าน แล้วพวกเราจะซอลาวาตแก่ท่านอย่างไร ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดอวยพรแก่มุฮัมมัด บ่าวของท่าน และศาสนทตของท่าน เหมือนที่ท่านอวยพรแก่อิบรอฮีม และได้โปรดเพิ่มพูนแก่มุฮัมมัด และแก่วงศ์วานของมุฮัมมัด เหมือนที่ท่านได้ประทานความเพิ่มพูนแก่อิบรอฮีม และวงศ์วานของอิบรอฮีม 

รายงานโดย บุคอรี 

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดที่จะทำให้เรา ภูมิใจกับการที่เขาจะได้รับการตวงด้วยเครื่องตวงที่เต็มครบในขณะที่เขาได้ซอลาวาตแก่เราที่เป็น ครอบครัวของนบีให้เขาจงกล่าวว่า ข้าแต่อัลเลาะห์ ได้โปรดอวยพรแก่มุฮัมมัดที่เป็นนบี แก่ ภรรยาของเขาที่เป็นมารดาของเหล่าผู้มีศรัทธา แก่ลูกหลานของเขา และครอบครัวของเขา เหมือนที่ท่านได้อวยพรแก่วงศ์วานของอิบรอฮีม แท้จริงท่านควรแก่การสรรเสริญ ควรแก่การ ยกย่อง

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดซอลาวาตแก่ข้าพเจ้าหนึ่งครั้ง อัลเลาะห์จะอวยพรให้เขาสิบครั้ง 

รายงามโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก หุเซน บุตร อะลี ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนขี้เหนียว คือ ผู้ซึ่งเมื่อฉันถูกกล่าวที่เขา เขาจะไม่ซอลาวาตแก่ฉัน

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จมูกของชายคนหนึ่ง ติดดินแล้ว217 ที่ฉันถูกกล่าวที่เขาแล้วเขาไม่ซอลาวาตแก่ฉัน และจมูกของชายคนหนึ่งติดดินแล้ว ที่เดือนรอมาดอนได้ผ่านเข้ามาที่เขา แล้วออกไปก่อนที่เขาจะถูกอภัยโทษให้ และจมูกของชายคนหนึ่ง ติดดินแล้วที่บิดามารดาของเขาเข้าสู่วัยชราขณะอยู่กับเขา โดยที่บิดามารดาของเขาไม่ได้ทำให้ เขาเข้าสวรรค์

เล่าจาก อุบัยย์ บุตร กะอับ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. นั้น เมื่อ ได้ผ่านไปเศษสองส่วนสามของเวลากลางคืน ท่านจะลุกขื้น แล้วกล่าวว่า โอ้ประชาชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงรำลึกถึงอัลเลาะห์ ท่านทั้งหลายจงรำลึกถึงอัลเลาะห์ การเป่าเขาครั้งแรกได้มา ถึงแล้ว และการเป่าเขาครั้งที่สองก็จะติดตามมา ความตายได้มาแล้ว พร้อมด้วยสิ่งที่มีอยู่ในมัน ความตายได้มาแล้วพร้อมด้วยสิ่งที่มีอยู่ในมัน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริง ข้าพเจ้าซอลาวาตแก่ท่านมากมาย ท่านจะกำหนดให้ข้าพเจ้าเท่าไหร่[192]จากการซอลาวาตของฉัน ท่านได้กล่าวว่า แล้วแต่ท่านต้องการ ข้าพเจ้ากล่าวว่า เศษหนึ่งส่วนสี่[193] ท่านกล่าวว่า แล้ว แต่ท่านต้องการ ถ้าหากท่านทำเกินจากนั้น มันก็เป็นความดีแก่ท่าน ข้าพเจ้ากล่าวว่า ครึ่งหนึ่ง ท่านกล่าวว่า แล้วแต่ท่านต้องการ ถ้าหากท่านทำเกินกว่านั้น มันก็เป็นความดีของท่าน ข้าพเจ้า ได้กล่าวว่า เศษสองส่วนสาม ท่านกล่าวว่า ถ้าหากท่านทำเกินกว่านั้น มันก็เป็นความดีของท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ดังนั้น ข้าพเจ้าจะกำหนดการซอลาวาตของฉันให้แก่ท่านทั้งหมด ท่าน กล่าวว่า ดังนั้น ความหม่นหมองของท่านก็จะหายไป และบาปของท่านก็จะอูกอภัยให้ 

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดย ติรมิซี

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มนุษย์ที่สมควรแก่ฉัน มากที่สุดในวันกิยามะห์ คือ คนที่ที่ซอลาวาดแก่ฉันมากที่สุด* 

รายงานโดย ดิรมข และอิบนุฮิบบาน ด้วยสายรายงานทิ่เศาะฮีหะห์ และมีหลายหะดีษที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วในเรื่อง ละหมาดวันศุกร์

บทที่ห้า

การขออก่ยโทษ และการกลบตว

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “พวกเจ้าจงขออภัยต่อพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า แน่แท้ พระองค์ทรงอภัยยิ่ง พระองค์จะส่งฝนให้มาตกอย่างไม่ขาดสาย พระองค์จะเกื้อหนุนพวกเจ้า ด้วยทรัพย์สมบัติ และลูกหลาน พระองค์จะบันดาลสวนให้แก่พวกเจ้า และพระองค์จะบันดาล สายนั้าให้แก่พวกเจ้า,,

เล่าจาก ชัดดาด บุตร เอาส์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การขออภัยโทษ ชั้นยอด คือ การที่ท่านกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ท่านคือ พระผู้อภิบาลของฉัน ไม่มีพระเจ้าที่ ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากท่าน ท่านได้ทรงสร้างฉัน และฉันเป็นบ่าวของท่าน ฉันยึดมั่น อยู่กับคำมั่นสัญญาของท่าน เท่าที่ฉันสามารถ ฉันขอป้องกันด้วยท่าน จากความชั่วของสิ่งที่ฉันได้ทำขื้น ฉันยอมรับสารภาพต่อท่านด้วยความโปรดปรานของท่านที่มีต่อฉัน และฉันยอม สารภาพบาปของฉันต่อท่าน ได้โปรดอภัยโทษให้ฉัน เพราะความจริงจะไม่มีผู้ใดอภัยบาปให้ นอกจากท่าน ท่านได้กล่าวว่า และผู้ใดได้กล่าวถ้อยคำเหล่านั้นในเวลากลางวัน โดยมั่นใจต่อ ถ้อยคำเหล่านั้น และเขาได้เสียชีวิตลงในวันนั้น ก่อนจะถึงเวลาเย็นถือว่าเขาเป็นชาวสวรรค์ และ ผู้ใดได้กล่าวถ้อยคำเหล่านั้นในเวลากลางคืน โดยมั่นใจต่อถ้อยคำเหล่านั้น และเขาได้เสียชีวิต ลงก่อนรุ่งเช้า ถือว่าเขาเป็นชาวสวรรค์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบีซ.ล. ได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าจะวิงวอนขออภัยโทษต่ออัลเลาะห์ และกลับตัวสู่พระองค์ในวันนี้มากกว่า เจ็ด สิบครั้ง 

รายงานโดย บุดอรี

เล่าจาก อัลอะฆอรร์ อัลมุซะนีย์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงจะมี หมอกปกคลุมอยู่บนหัวใจของฉัน และแท้จริงฉันจะต้องวิงวอนขออภัยโทษต่ออัลเลาะห์ในวันนี้ หนึงร้อยครั้ง

รายงานโดย มุสลิม และ อะบู ดาวูด

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ ถึงแม้พวกท่านไม่ทำบาป อัลเลาะห์ก็ จะต้องทำลายพวกท่านและนำกลุ่มชนอื่นที่ทำบาปมาแล้วขออภัยโทษต่ออัลเลาะห์ แล้วพระองค์ ก็จะให้อภัยแก่พวกเขา           

รายงานโดย มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก เซด ทาสของท่านนบี ซ.ล. ว่า แท้จริงเขาได้ยินท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า ผู้ใตได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าวิงวอนขออภัยโทษต่ออัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากพระองค์ ผู้สิ่งเป็นอยู่ ผู้ทรงดำรงด้วยพระองค์เอง และข้าพเจ้า ขอกลับตัวสู่พระองค์ เขาจะได้รับการอภัย แม้เขาจะหนีออกจากกองทัพก็ตาม

เล่าจาก อะบีบักร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่ถือว่ายืนกรานทำผิด ผู้ที่ได้วิงวอนขออภัยโทษ แม้เขาจะกลับไปทำผิดอีกในวันเดียวถึง เจ็ดสิบครั้งก็ตาม

อิบนุ อุมัรร.ฎ. ได้กล่าวว่า ความจริงพวกเราเคยนับให้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ในที่เดียวถึง หนึ่งร้อยครั้ง (ที่ท่านกล่าวว่า) ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน ได้โปรดอภัยโทษให้ฉัน และโปรดรับการกลับตัวของฉัน แท้จริงท่านทรงรับการกลับตัวยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง 

รายงานหะดีษทั้งสามโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ซัรร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ในสิ่งที่ท่านได้รายงานมาจากอัลเลาะห์ ผู้ทรงมีศิริมงคล ผู้ทรงสูงส่งว่า พระองค์ได้ตรัสว่า โอ้ บ่าวของเรา ความจริงฉันถือว่า การทุจริตเป็นสิ่งต้องห้ามเหนือตัวเรา และเราได้กำหนดให้มันเป็นสิ่งต้องห้ามในระหว่างพวกท่าน ดังนั้น ท่านทั้งหลายอย่าทุจริตตอกัน โอ้ บ่าวของเรา พวกท่านทุกคนหลงผิด นอกจากผู้ที่เราชี้ทางให้เขา ดังนั้นพวกท่านจงขอทางนำต่อเรา แล้วเราจะให้พวกท่าน โอ้ บ่าวของเรา พวกท่าน ทุกคนหิวโหย นอกจากผู้ที่เราให้เขามีอาหารรับประทาน ดังนั้น พวกท่านจงวิงวอนขออาหาร จากเรา แล้วเราจะให้อาหารแก่พวกท่าน โอ้บ่าวของเรา พวกท่านทุกคนเปลือยกาย นอกจาก ผู้ที่เราให้เครื่องนุ่งห่มแก่เขา ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงขอเครื่องนุ่งห่มจากเรา แล้วเราจะให้เครื่องนุ่งห่มแก่พวกท่าน โอ้ บ่าวของเรา แท้จริงพวกท่านทำความผิด ทั้งกลางคืน และกลางวัน และเราจะอภัยบาปทั้งหมด ดังนั้น พวกท่านจงวิงวอนขออภัยโทษ แล้วเราก็จะอภัยโทษให้แก่ พวกท่าน โอ้ บ่าวของเรา แท้จริงพวกท่านไม่สามารกบรรลุถึงอันตรายของเราได้ อันจะเป็น เหตุให้พวกท่านทำร้ายเราได้ และพวกท่านก็จะไม่บรรลุถึงคุณประโยชน์ของเราได้ อันจะเป็น เหตุให้พวกท่านทำคุณประโยชน์แก่เรา โอ้บ่าวของเรา ถ้าหากคนแรกของพวกท่านจนคนสุดท้าย ของพวกท่าน ทั้งที่เป็นมนุษย์ของพวกท่าน และที่เป็นญินของพวกท่าน อยู่บนหัวใจที่มีความ ยำเกรงที่สุดของชายคนหนึ่งจากพวกท่าน การดังกล่าวไม่ได้ทำให้มีสิ่งใดเพิ่มขึ้นในอำนาจปกครอง ของเราเลย โอ้บ่าวของเรา ถ้าหากคนแรกของพวกท่านจนคนสุดท้ายของพวกท่าน ทั้งที่เป็น มนุษย์ของพวกท่าน และที่เป็นญินของพวกท่าน อยู่บนหัวใจที่มีความยำเกรงที่สุดของชายคนหนึ่งจากพวกท่าน การดังกล่าวไม่ได้ทำให้มีสิ่งใดลดหย่อนไปจากอำนาจปกครองของเราเลย โอ้บ่าว ของเรา ถ้าหากคนแรกของพวกท่านจนคนสุดท้ายของพวกท่าน ทั้งที่เป็นมนุษย์ของพวกท่าน และที่เป็นญินของพวกท่าน ยืนรวมกันอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน แล้ววิงวอนขอต่อเรา และเรา ได้ให้แก่ทุกคนตามคำขอของเขา การดังกล่าวก็จะไม่ทำให้สิ่งที่มีอยู่กับเราพร่องไป นอกจาก เหมือนกับจะพร่องไปเหมือนรอยเข็มเมื่อถูกนำเข้าไปในทะเล[194] โอ้บ่าวของเรา ความจริงมัน คือ ผลจากการกระทำของพวกท่าน ที่เราได้สำรวจมันไว้ให้พวกท่าน และจะตอบแทนมันแก่ พวกท่าน ดังนั้น ผู้ใดพบสิ่งดี ให้เขาจงสรรเสริญอัลเลาะห์ และผู้ใดที่พบอื่นจากนั้น ก็อย่า ประณามผู้ใดเลย นอกจากตัวเอง 

รายงานโดย มุสลิม ในเรื่องความดีงาม และติรมิซี ในเรื่อง สิ่งที่ทำให้หัวใจอ่อนโยน

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่วิงวอนขออภัย โทษเป็นประจำ อัลเลาะห์จะบันดาลให้เขาได้พบทางออก จากทุกๆ ทางที่อุดต้น ได้พ้นไปจาก ทุกๆ ความหม่นหมอง และพระองค์จะประทานบัจจัยแก่เขา อย่างคาดไม่ถึง 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และ นะซาอี ด้วยสายรายงานทเศาะฮีหะห์

การเตาบะห์ (กลับตัว) และความประเสริฐของมัน[195]

อัลเลาะห์ต้าอาลาได้ตรัสว่า “โอ้ บรรดาผู้ที่มีศรัทธาทั้งหลาย จงกลับตัวสู่อัลเลาะที่ เป็น การกลับตัวที่แท้จริง หวังว่าพระผู้อภิบาลของพวกเจ้าจะลบล้างความผิดต่างๆ ของพวกเจ้า ออกไปจากพวกเจ้า และจะให้พวกเจ้าได้เข้าสวรรค์ ที่มีสายนํ้าไหลอยู่เบื้องล่าง”

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ ทรงดีใจมาก ด้วยการเตาบะห์ของบ่าวของพระองค์ ในขณะที่เขาเตาบะห์ต่อพระองค์ ยิ่งกว่า คนหนึ่งคนใดของพวกท่านที่อยู่บนสัตว์พาหนะของเขา ณ แผนดินที่เวิ้งว้าง ต่อมาสัตว์พาหนะ ของเขาได้พยศและหนีหายไป โดยมีอาหารและนํ้าดื่มติดไปกับสัตว์พาหนะนั้นด้วย เขาเกิดความ สิ้นหวังที่จะได้มันคืนมา จึงไปที่ต้นไม้ และล้มตัวลงนอนในร่มเงาของมันโดยเขาสิ้นหวังแล้วที่ จะได้พาหนะของเขา ขณะที่เขากำลังอยู่ในสภาพอย่างนั้นบังเอิญเขาได้พบมันยืนอยู่ข้างๆ ตัวเขา เขาคว้าบังเหียรมันไว้ แล้วกล่าวออกมาจากความดีใจอย่างที่สุดว่า  ข้าแด่อัลเลาะห์ ท่านเป็น บ่าวของฉันและฉันคือ พระผู้อภิบาลของท่าน เขาพูดผิด เพราะดีใจมากเหลือเกิน 

รายงาน โดย บุดอรี มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อุifร ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอชูลุ้ลเลาะที่ ซ.ล. ได้กล่าวว่า : โอ้ ประชาชน ทั้งหลาย จงกลับตัวสุ่อัลเลาะห์เถิด แท้จริงแล้ว ฉันกลับตัวสู่อัลเลาะที่ในวันนี้ถึงหนึ่งร้อยครั้ง

รายงาน โดย มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า  ลูกหลานของอาดัมทุกคน ชอบทำความผิด และคนชอบทำความผิดที่ดี คือ ผู้ที่กลับตัว 

รายงานโดย ติรมิซี อะห์มัด และ ฮากีม ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

เวลาของการเตาบะห์

อัลเลาะที่ตาอาลาได้ตรัสว่า “การกลับตัวนั้นไม่ใช่เป็นสิทธิของบรรดาผู้ที่ทำความชั่ว จน กระทั่งความตายได้มาเยือนคนใดคนหนึ่งของพวกเขา เขาจึงกล่าวว่า ณ บัดนี้ ฉันกลับตัวแล้ว และไม่ใช่เป็นสิทธิของบรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสภาพของผู้ทรยศ พวกเขาเหล่านั้น เราได้จัดเตรียม การลงโทษที่เจ็บปวดไว้ให้พวกเขาแล้ว”

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  แท้จริงอัลเลาะที่จะรับ การกลับตัวของบ่าว ตราบเท่าที่วิญญาณยังไม่ถึงลูกกระเดือก 

รายงานโดย ติรมิซี อะห์มัด และ ฮากีม

เล่าจาก อะบี มูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์จะแบมือของพระองค์ออกในเวลากลางคืน เพื่อรับการเตาบะห์ของผู้ที่ทำความชั่วในเวลากลางวัน และ จะแบมือของพระองค์ออกในเวลากลางวัน เพื่อรับการเตาบะห์ของผู้ที่ทำความชั่วในเวลากลางคืน จนกว่าตะวันจะขึ้นทางทิศที่มันตก

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้กลับตัวก่อนที่ตะวันจะขึ้นทางทิศที่มันตก อัลเลาะห์จะรับการกลับตัวของเขา                                                                                   

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม

และเล่าจาก เขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า วันกิยามะห์จะ

ยังไม่เกิดขึ้น จนกว่าตะวันจะขึ้นทางทิศที่มันตก และเมื่อตะวันขึ้น (จากทิศที่มันตก) มนุษย์ ทั้งหลายทั้งสิ้นจะพากันศรัทธา และในวันนั้น การศรัทธาของพวกเขา จะไม่เกิดประโยชน์แก่ ชีวิตใดที่ไม่เคยมีศรัทธา มาก่อน หรือไม่เคยได้ขวนขวายทำความดีในขณะที่มีศรัทธามาก่อน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจาก ซิรร์ บุตร ฮุบัยช์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหา ซอฟวาน บุตร อัซซาล

อัลมุรอดีย์ และข้าพเจ้าได้กล่าวขึ้นว่า         ท่านเคยจดจำมาจากท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. สัก

อย่างไหมในเรื่องของความรัก      เขาตอบว่า       (เคยจดจำ) ครับ ขณะที่พวกเราเดินทางร่วม

ไปกับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ในการเดินทางบางครั้งของท่าน ได้มีชายคนหนึ่งเป็นชาวอาหรับ ที่อยู่ชนบท เป็นคนแข้งกร้าว หยาบคายเขาอยู่ข้างหลังสุด ได้เรียกท่านนบี โดยใช้เสียงอันดังว่า โอ้ มุฮัมมัด โอ้ มุฮัมมัด ประชาชนได้พากันกล่าวแก่เขาว่า จงหยุด เจ้าถูกห้ามที่จะกระทำ

อย่างนี้ ท่านนบีได้ตอบไปทางเสียงของเขาว่า   มีอะไรพูดออกมาเลย ชายคนนั้นกล่าวว่า ชายคนหนึ่งที่เขารักพวกพ้อง แต่เขาตามไม่ทัน ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า         คนๆ หนึ่งนั้นจะอยู่ร่วมกับคนที่เขารัก ซิรร์ได้กล่าวว่า ซอฟวานได้เล่าให้ฉันฟังเรื่อยไป จนเขาได้เล่าให้ฟังว่า แท้จริง

อัลเลาะห์ ได้สร้างประตูไว้บานหนึ่งทางทิศตะวันตกความกว้างของมัน เท่ากับระยะทางเดิน เจ็ดสิบปี สำหรับการกลับตัว ประตูนี้จะยังไม่ถูกปิด ตราบใดที่ตะวันยังไม่ขึ้นจากทางประตูนี้ และนั่นคือ คำดำรัสของอัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรว่า “ในวันที่บางเครื่องหมาย ของพระผู้อภิบาลของท่านปรากฏออกมา จะไม่เกิดประโยชน์แก่ชีวิตใด การศรัทธาของเขาที่ ไม่เคยมีศรัทธามาก่อน หรือ ที่ไม่เคยขวนขวายทำความดีในขณะที่มีศรัทธามาก่อน’,

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

อัลเลาะห์จะรับการเตาบะห์บ่าวของพระองค์แม้เขาจะเลยเถิดก็ตาม

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “แน่แท้อัลเลาะห์จะไม่ให้อภัยต่อการที่พระองค์ถูกตั้งภาคี แต่พระองค์จะอภัยให้ สิ่งที่ต่ำกว่านั้นแก่บุคคลที่พระองค์ประสงค์ และผู้ใดที่ตั้งภาคีต่ออัลเลาะห์ ก็เท่ากับผู้นั้นได้กระทำบาปอันใหญ่หลวง”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า       “พระองค์เป็นผู้ชึ่งจะรับการกลับตัวของบ่าวของพระองค์ และจะอภัยความผิดต่างๆ ให้ และพระองค์ทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้ากระทำ”

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ในสิ่งที่ท่านได้เล่าต่อ จากพระผู้ อภิบาลของท่าน ผู้ทรงยิ่งใหญ่ และเกรียงไกรว่า บ่าวคนหนึ่งได้ทำบาป แล้วกล่าวว่า ข้าแต่อัลเลาะห์ได้โปรดอภัยบาปให้ฉัน อัลเลาะห์ผู้ทรงมงคล และสูงส่ง จะตรัสว่า บ่าวของเราเขาได้ทำบาป และเขารู้ว่าตัวเขามีผู้อภิบาลที่จะให้อภัยบาปนั้น และจัดการลงโทษตามบาป นั้นได้ หลังจากนั้นเขาได้กลับไปทำบาปอีกแล้วกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาล ได้โปรดอภัยบาป ให้ฉัน อัลเลาะห์ ผู้ทรงมงคล และสูงส่งจะกล่าวว่า บ่าวของเราได้ทำบาป และรู้ว่าตัวเขามี ผู้อภิบาลที่จะให้อภัยบาปนั้น และจัดการลงโทษตามบาปนั้นได้ หลังจากนั้นเขาได้กลับไปทำ บาปอีก แล้วกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาล ได้โปรดอภัยบาปให้ฉัน อัลเลาะห์ผู้ทรงมงคลและ สูงส่ง จะกล่าวว่า บ่าวของเราได้ทำบาป และรู้ว่าตัวเขามีผู้อภิบาลที่จะให้อภัยบาปนั้น และจัด การลงโทษตามบาปนั้นได้ เจ้าจงทำเถิดในสิ่งที่ต้องการ เราได้อภัยโทษให้เจ้าแล้ว

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยทำความดีใดๆ เลยได้สั่งแก่ครอบครัวของเขาว่า เมื่อเขาตายให้พวกท่านจง เผาร่างของเขา แล้วเอาครึ่งหนึ่งหว่านลงบนบก และอีกครึ่งหนึ่งหว่านลงในทะเล สาบานต่ออัลเลาะห์ ว่า ถ้าหากอัลเลาะห์ได้กำหนดลงโทษแก่เขา แน่นอนพระองค์จะต้องลงโทษเขาชนิดที่ไม่เคย ลงโทษผู้ใดจากสรรพสิ่งที่พระองค์สร้างขื้นมาก่อน เมื่อชายคนนี้ตายไป ครอบครัวของเขาก็ได้ ทำตามที่เขาได้สั่งไว้ อัลเลาะห์ได้มีบัญชามาถึงแผ่นดินบนบก มันจึงได้รวบรวมสิ่งที่ตกอยู่กับ มัน และได้มีบัญชามาถึงทะเล มันจึงได้รวบรวมสิ่งที่ตกอยู่กับมัน ต่อมาอัลเลาะห์ได้ถามว่า ทำไมเจ้าจึงทำเช่นนี้            ชายผู้นั้นตอบว่า เพราะความกลัวท่าน โอ้ พระผู้อภิบาล และท่านก็ทราบดี ดังนั้นอัลเลาะห์จึงอภัยให้เขา

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. ว่า แท้จริงนบีของอัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า เคยมีชายคนหนึ่งในบุคคลที่อยู่ก่อนยุคของพวกท่าน เขาได้สังหารมาแล้ว เก้าสิบเก้าชีวิต ต่อมาเขาได้ถามหาคนที่มีความรู้ที่สุดของชาวโลก มีผู้ให้เขาไปหานักบวชคนหนึ่ง เขาจึงได้ไปหาแล้วถามว่า แท้จริงตัวเขาเองได้สังหารมาแล้ว เก้าสิบเก้าชีวิต เขาจะมีทางกลับตัวไหม นักบวชผู้นั้นตอบว่า ไม่มีทาง เขาจึงได้สังหารนักบวชนั้นอีกคนหนึ่ง จึงครบหนึ่งร้อยคน หลังจากนั้นเขาได้ ถามหา คนที่มีความรู้ที่สุดของชาวโลก มีผู้ให้เขาไปหาชายผู้มีความรู้คนหนึ่ง เขาจึงได้ไปหา แล้วกามว่า แท้จริงตัวเขาได้ฆ่ามาแล้วหนึ่งร้อยชีวิต เขาจะมีทางกลับตัวไหม ชายผู้มีความ

รู้ตอบว่า       มีทาง และไม่มีใครขัดขวางเขากับการกลับตัวได้ เจ้าจงเดินทางไปยังแผ่นดินนั้นๆ 

เพราะที่นั่นมีมนุษย์ที่ทำอิบาดะห์ต่ออัลเลาะห์ ดังนั้นเจ้าจงทำอิบาดะห์ต่ออัลเลาะห์พรัอมกัน กับพวกนั้น และเจ้าอย่ากลับมายังแผ่นดินของเจ้าอีก เพราะมันเป็นแผ่นดินที่ชั่วช้าเขาได้ออก เดินทางไปจนเมื่อได้ครึ่งทาง ความตายก็ได้มาประสพกับเขา ต่อมามะลาอิกะห์แห่งความเมตตา กับมะลาอิกะห์แห่งการลงโทษ ได้เกิดการยื้อแย่งศพของเขา มะลาอิกะห์แห่งความเมตตาได้ กล่าวว่า เขามาในสภาพของผู้สำนึกผิด มุ่งมาด้วยหัวใจของเขาสู่อัลเลาะห์ตาอาลา ส่วนมะลาอิกะห์แห่งการลงโทษได้กล่าวว่า   แท้จริงเขายังไม่เคยทำความดีใดๆ  เลย ต่อมาได้มีมะลาอิกะห์

ท่านหนึ่งแปลงร่างเป็นมนุษย์มายังพวกเขา และได้ตัดสินร่างของชายคนนั้น ในระหว่างพวก เขา โดยได้กล่าวว่า พวกท่านจงวัดระยะทางระหว่างสองแผ่นดินนั้นว่า แผ่นดินใดที่เขาเข้า

ไปใกล้กว่า เขาก็เป็นของแผ่นดินนั้นพวกเขาจึงได้วัดระยะทาง แล้วพบว่าร่างของเขาใกล้ไป ทางแผ่นดินที่เขาตั้งใจจะไป มะลาอิกะห์ แห่งความเมตตาจึงได้รับเอาเขาไป 

รายงานสามหะดีษนี้โดย บุคอรี และ มุสลิม

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี ซ.ล. กล่าวหะดีษบทหนึ่ง

มากกว่าเจ็ดครั้ง * ข้าพเจ้าได้ยินท่านกล่าวว่า มีชายคนหนึ่งชื่อ กิฟล์ เป็นชาว บะนี อิสรออีล

เขาไม่สงวนตัวจากบาปหนึ่งที่เขาได้ทำมัน ได้มีหญิงคนหนึ่งมาหาเขา และเขาได้มอบให้หล่อนหกสิบเหรียญทอง แลกเปลี่ยนกับการที่เขาจะร่วมประเวณีกับหล่อน เมื่อเขาขึ้นนั่ง เหมือนท่านั่งของ

ผู้ชายที่กระทำกับภรรยาของเขา หญิงคนนั้นก็ตัวสั่นด้วยความกลัว แล้วร้องไห้ เขาได้กล่าวว่า

อะไรทำให้เธอร้องไห้ ฉันข่มเหงเธอหรือ        หล่อนกล่าวว่า        เปล่า แต่มันเป็นกิจกรรมที่ฉัน

ไม่เคยทำเลย และไม่มีสิ่งที่บังคับให้ฉันทำนอกจากเพราะความจำเป็น กิฟล์ ได้กล่าวว่า เธอ

จะกระทำสิ่งนี้เอง ฉันไม่ทำมันหรอก เธอจงกลับไปเถิด เงินนี้เป็นของเธอ และเขาได้กล่าว

ว่า ไม่ ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ฉันจะไม่ทำความชั่วต่ออัลเลาะห์ หลังจากนี้อีกตลอดไป และ

ต่อมาเขาก็ได้เสียชีวิตลงในคืนนั้นเอง ได้มีข้อความจารึกที่ประตูบ้านของเขาว่า “แท้จริง อัลเลาะห์

ได้อภัยแก่ กิฟล์ แล้ว,, 

รายงานโดย ติรมิซี

บทสุดท้าย ความกว้างขวางแหงความเมตตาของอัลเลาะห์ตาอาลา

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “และความเมตตาของเรานั้นกว้างขวางพอแก่ทุกสิ่ง และ เราจะบันทึกมันให้แก่บรรดาผู้ที่ยำเกรง บรรดาผู้ที่ออกซะก๊าด และแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออายะห์ ต่างๆ ของเรา,,

และอัลเลาะห์ตาอาลาตรัสว่า “จงประกาศเกิดว่า โอ้ บ่าวของเราที่ใช้ตัวเองอย่างฟุ่มเฟือย พวกเจ้าอย่าหมดหวังจากความเมตตาของอัลเลาะห์ แท้จริงอัลเลาะห์จะอภัยบาปต่างๆ ให้ทั้งหมดแน่แท้พระองค์ทรงอภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง,,

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่ออัลเลาะห์ได้สร้างสรรพสิ่งต่างๆ ของพระองค์ พระองค์ได้จารึกลงในคัมภีร์ของพระองค์ ซึ่งอยู่กับ พระองค์เหนือบัลลังก์ (อัรช์) ว่า “แน่แท้ความเมตตาของเราจะต้องข่มความกริ้วโกรธของเรา,, และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากผู้มีศรัทธารู้สิ่งที่มีอยู่กับอัลเลาะห์ จากการลงโทษแล้ว จะไม่มีผู้ใดโลภที่จะเข้าสวรรค์ของพระองค์ และ ถ้าหากผู้ไร้ศรัทธา (กาฟิร) รู้สิ่งที่มีอยู่กับอัลเลาะห์ จากความเมตตาแล้ว จะไม่มีผู้ใดหมดหวัง จากสวรรค์ของพระองค์

คือได้กล่าวซ้ำในหลายสถานที่ เพื่อให้แพร่หลาย

และเล่าจากเขา อะบี ฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ได้ทรงบันดาลให้ความเมตตานั้นมีหนึ่งร้อยส่วน และพระองค์ได้เก็บไว้กับพระองค์เองเก้าสิบเก้าส่วน ได้ประทานลงมาในหน้าแผ่นดิน เพียงหนึ่งส่วน และจากส่วนเดียวนี้เองที่บรรดาสรรพสิ่งต่างๆ  มีความเมตตาต่อกันจนแม้แต่สัตว์ก็จะยกกลีบเท้าของมันขึ้นให้พ้นจากลูกของมัน เพราะกลัว จะโดน

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง อัลเลาะห์ มีหนึ่งร้อยเมตตา พระองค์ได้ประทานลงมาเพียงความเมตตาเดียว จากจำนวนหนึ่งร้อยนั้น ใน ระหว่างญิน มนุษย์ สัตว์ และ สัตว์เลื้อยคลานต่างๆ และด้วยความเมตตาเดียวนี้ ที่ทำให้ พวกเขาต่างสงสารสิ่งกันและกัน มีเมตตาต่อกัน และทำให้สัตว์ร้ายสงสารลูกของมัน และอัลเลาะห์ ได้หน่วงเอา เก้าสิบเก้าความเมตตาไว้ เพื่อใช้มันให้ความเมตตาแก่บ่าวของพระองค์ในวันกิยามะห์

รายงานหะดีษทั้งสิ่นี้โดยบุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก อะบี มูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อถึงวันกิยามะห์ อัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร จะขับไสชาวยะฮูดี หรือชาวนัสรอนี ไปหามุสลิมทุกคน โดยพระองค์ จะกล่าวว่า นี่คือ เครื่องไถ่ตัวของท่านจากไฟนรก

และเล่าจากเขา (อะบี มูซา) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า              ชายมุสลิมจะไม่ตาย นอก

จากอัลเลาะห์จะให้ชาวยะฮูดี หรือ นัสรอนี เข้านรกแทนเขา

เล่าจาก ยนดุบ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ว่า ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ อัลเลาะห์จะต้องไม่ให้อภัยแก่คนๆ นั้น และแท้จริงอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า ใครคนนี้ที่สาบานต่อเราว่า เราจะไม่ให้อภัยโทษแก่คนๆ นั้น ความจริงเราได้ให้อภัยแก่คนๆ นั้นแล้ว และเราได้ลบผลการกระทำของท่าน หรือเหมือนกับที่กล่าว

และในรายงานหนึ่งว่า อัลเลาะห์จะไม่ทรงปกปิดบ่าวคนใดในโลกนี้ นอกจากอัลเลาะห์จะ ทรงปกปิดเขาในวันกิยามะห์[196] 

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โคย มุสลิม

เล่าจาก อุมัร บุตร ค๊อตตอบ ร.ฎ. ว่า แท้จริงเขาได้กล่าวว่า เขาได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. พร้อมด้วยเชลย บังเอิญมีผู้หญิงคนหนึ่งจากกลุ่มเชลยนั้น กำลังค้นหา และหล่อน ก็ได้พบเด็กทารกคนหนึ่งในกลุ่มเชลย หล่อนได้คว้าเด็กขึ้นมา เอามาแนบติดกับท้องของนาง และให้ทารกนั้นดื่มนม ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่พวกเราว่า พวกท่านคิดไหมว่า หญิงคนนี้จะโยนลูกของหล่อนลงในไฟ พวกเราได้กล่าวว่า ไม่ ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ โดยที่หล่อนมีความสามารถก็จะไม่โยนลูกของหล่อน (โดยสมัครใจ) ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์มีความเมตตาต่อบ่าวของพระองค์ ยิ่งกว่าหญิงคนนี้ที่เมตตาต่อลูกของนาง

รายงานโดย บุดอรี และ มุสลิม

เล่าจาก อะบี ซัรร์ อัลฆิฟารีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ได้ตรัสว่า “ผู้ใดได้นำมาหนึ่งความดี เขาจะได้รับสิบเท่า ของความดีนั้น และเราจะเพิ่มเติมให้อีก และผู้ใดได้นำความชั่วมา ผลตอบแทนของเขาก็คือ ความชั่วที่เท่าเที่ยมกัน หรือ เราจะอภัยให้ และผู้ใดเข้าใกล้เราหนึ่งคืบ เราจะเข้าใกล้เขาหนึ่งศอก และผู้ใดเข้าใกล้เราหนึ่งศอก เราจะเข้าใกล้เขาหนึ่งวา และผู้ใดเตินมาหาเรา เราจะวิ่งเข้าหาเขา และผู้ใดพบฺเราพร้อมด้วยความผิดเต็มแผ่นดิน โดยเขาไมได้นำสิ่งใดมาตั้งภาคีกับเรา เราจะ พบกับเขาด้วยการอภัย ด้วยจำนวนเท่าเที่ยมกัน 

รายงานโดย มุสลิม และ ติรมีซี และตัวบท ของติรมีซีว่า อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “โอ้ลูกหลานของ อาดัม แท้จริงสิ่งที่ท่านได้วิงวอนขอต่อเรา และมุ่งหวังต่อเรานั้น เราจะอภัยให้ท่านตามแต่สิ่งที่มอยู่ในตัวท่าน โดยเราจะไม่หวาดหวั่น โอ้ ลูกหลานของอาดัม ถ้าหากบาปต่างๆ ของท่านถึงขอบฟ้า แล้วท่านได้วิงวอนขออภัยโทษ ต่อเรา เราจะอภัยโทษให้ท่าน โดยเราจะไม่หวาดหวั่น โอ้ ลูกหลานของอาดัม ความจริงถ้าหาก ท่านมาหาเราพร้อมด้วยความผิดเต็มแผ่นดิน ต่อจากนั้น ท่านได้มาพบกับเราโดยไม่ได้นำสิ่งใด มาตั้งภาคีกับเรา เราก็จะนำมาให้ท่านด้วยการอภัยโทษเต็มแผ่นดินเช่นกัน


 

 


 

ภากการสละโลกีย์ และ สิ่งที่ทำให้หัวใจอ่อนโยน

มีเจ็ดตอน และ บทสุดท้าบ

ตอนที่หนึ่ง
เตือนให้ระวังโลกนี้

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “และชีวิตในโลกนี้ไม่ใช่สิ่งใด นอกจากเป็นเครื่องบำเรอ ความสุขที่ไม่จีรัง”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และชีวิตในโลกนี้ เที่ยบกับ ชีวิตในอาคิเราะห์ไม่ใช่สิ่งใด นอกจากเป็นเพียงเครื่องบำเรอความสุข”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “ทรัพย์สินของพวกเจ้า และลูกหลานของพวกเจ้า คือ ความยุ่งยากแท้ ๆ และอัลเลาะที่นั้น ณ พระองค์มีผลบุญอันยิ่งใหญ่”

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้จับไหล่ฉัน แล้วกล่าวว่า เจ้าจงอยู่ในโลกนี้ เหมือนเจ้าเป็นคนแปลกหน้า หรือ เป็นคนเดินทาง และจง นับตัวเองรวมอยู่ในชาว กุบูร 

และ อิบนุ อุมัร เคยกล่าวว่า เมื่อท่านอยู่ในยามเย็น ท่านอย่า คอยเวลาเช้า และเมื่อท่านอยู่ในยามเช้า ท่านอย่าคอยเวลาเย็น และจงฉวยโอกาสจากความมี สุขภาพของท่าน เพีอยามป่วยไข้ของท่าน และจากยามที่ท่านมีชีวิตอยู่ เพื่อยามที่ท่านตาย

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สองความโปรดปรานที่ มนุษย์ส่วนใหญ่พบกับความขาดทุนเพราะมันทั้งสอง นั่นคือ สุขภาพที่ดี และ ว่างจากการงาน 

รายงานโดย บุคอรี และ ติรมิซี

อะบู อุบัยดะห์ ร.ฎ. ได้กลับมาจาก บาห์เรน พร้อมด้วยทรัพย์สิน มีอัครสาวกบางคน คอยอยู่ ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ ไม่ใช่ความจนหรอกที่ฉันกลัวจะประสพกับพวกท่าน แต่ที่ฉันกลัวจะประสพกับพวกท่านก็คือ โลกนี้จะถูก แผ่แก่พวกท่าน เหมือนที่มันเคยลูกแผ่ให้แก่บุคคลในยุคก่อนพวกท่าน จะเป็นเหตุให้พวกท่าน แก่งแย่งมันกัน เหมือนที่พวกเขาแก่งแย่งกัน และมันจะทำให้พวกท่านพินาศ เหมือนที่ได้ทำ ให้พวกเขาพินาศมาแล้ว

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และ ติรมีซี และตัวบทของมุสลิมว่า แท้จริงโลกนี้ หวาน เขียวชอุ่ม และแท้จริงอัลเลาะที่ได้แต่งตั้งพวกท่านเป็นตัวแทนอยู่ในโลก แล้วพระองค์จะทรงคอยมองดูว่า พวกท่านได้กระทำอย่างไร ดังนั้น ท่านทั้งหลาย จงกลัวโลกนี้ และ กลัวผู้หญิง เพราะแท้จริงวิกฤติการแรกที่เกิดในบะนีอิสรออีลนั้น เกิดจากผู้หญิง

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า โลกนี้เป็นคุกของ ผู้มีศรัทธา และเป็นสวรรค์ของผู้ไร้ศรัทธา (กาฟิร)

เล่าจาก อัลมุสเตาริด บุตร ชัดดาด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้อยู่ร่วมกับคาราวาน

เดินทาง ที่ได้หยุดพักอยู่กับท่านนบี ซ.ล. ที่ซากแกะตายตัวหนึ่ง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าพวกท่านเห็นไหมว่า แกะตัวนี้เป็นสิ่งที่ไร้ค่าแก่เจ้าของของมัน ขณะที่พวกเขาโยนมันทิ้ง พวกเขา (อัครสาวก) ได้กล่าวว่า          อันเนื่องจากความไร้ค่าของมันหรือ พวกเขาจึงโยนมันทิ้ง โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ท่านได้กล่าวว่า โลกนี้ เป็นสิ่งที่ไร้ค่าสำหรับอัลเลาะห์ยิ่งกว่าแกะตัวนี้ที่ไร้ค่าแก่เจ้าของของมัน

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก สะฮัล บุตร สะอัด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากโลกนี้มีนํ้าหนัก ณ พระองค์อัลเลาะห์ เท่ากับปีกยุงแล้ว พระองค์ก็จะไม่ให้คนที่ไร้ศรัทธาได้ดื่มนี้า สักอึกเดียว

เล่าจาก มุสเตาริด พี่น้องของตระกูล บะนี ฟิห์รฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้ กล่าวว่า โลกนี้ กับ อาคิเราะห์นั้นไม่มีสิ่งใดเที่ยบ นอกจากมันเหมือนกับสิ่งที่คนหนึ่งจาก พวกท่าน เอานี้วจุ่มลงในทะเล ดังนั้นให้เขาจงมองดูเถิดว่า จะมีสิ่งใดติดกลับขื้นมาไหม

เล่าจาก อะบู ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พึงทราบเถิด แท้ จริงโลกนี้ถูกสาปแช่ง และสิ่งที่อยู่ในโลกนี้ ก็ถูกสาปแช่งด้วยเช่นกัน ยกเว้น การรำลึกถึง อัลเลาะห์ และสิ่งที่พระองค์รักมัน และ ผู้มีความรู้ หรือ ผู้ศึกษาหาความรู้

เล่าจาก อะบี ซัรร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การสละโลก ไม่ใช่การ ที่ถิอว่า สิ่งฮาลาล เป็น ฮารอม ไม่ใช่การทำลายทรัพย์ แต่การสละโลก คือการที่ท่านไม่มี ความวางใจในสิ่งที่อยู่ในมือทั้งสองของท่าน ยิ่งกว่าสิ่งที่มีอยู่ในมือทั้งสองของอัลเลาะห์ และ คือการที่ท่านตกอยู่ในผลบุญของผู้ประสพความเดือดร้อน เมื่อท่านได้ประสพกับมันนั้น ท่านมีความพอใจยิ่งที่ถ้าหากมันจะอยู่กับท่านต่อไป

เล่าจาก กะอับ บุตร อิยาด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง ทุกๆ ประชากรนั้น มีความวิกฤติ และความวิกฤติของบระชากรของฉัน คือ ทรัพย์สมบัติ

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่ายึดมั่น อยู่กับการประกอบอาชีพ เพราะพวกท่านจะหลงรักโลกนี้* 

รายงานหะดีษทั้งหกโดย ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ซัรร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงผู้มักมากนั้น พวกเขาจะมีน้อยในวันกิยามะห์ นอกจากผู้ที่อัลเลาะห์มอบความดี (ทรัพย์สมบัติ) ให้เขา เขาจะเป่า (บริจาค) มันไปทางด้านขวา ทางด้านห้าย ทางด้านหน้า และทางด้านหลังของเขา และได้ให้มัน ทำความดี 

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากลูกหลานของ

อาดัมจะมีสองหุบเขาที่เติมไปด้วยทรัพย์สมบัติ เขาก็จะต้องแสวงหาหุบเขาที่สาม และมันจะ ไม่เต็มท้องของลูกหลานอาดัม นอกจากดิน** และอัลเลาะห์จะรับการกลับตัวของผู้ที่กลับตัว

อิบนุ ซุบัยร์ ได้กล่าวสุนทรพจน์ บน มิมบัร ของนครมักกะห์ โดยกล่าวว่า โอ้ประชาชนทั้งหลาย แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้เคยกล่าวว่า ถ้าหากลูกหลานของอาดัม ได้รับ

*เพราะการประกอบอาชีพใด ๆ ก็ตาม ถ้าหากทำอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว มันก็จะทำให้หลงโลก

หมายถึง นอกจากตาย

ทุบเขาหนึ่งเต็มไปด้วยทองคำ เขาก็ปรารถนาจะได้หุบเขาที่สองอีก และถ้าหากเขาได้หุบเขาที่ สอง เขาก็ปรารถนาจะได้หุบเขาที่สามอีก และจะไม่อุดเต็มท้องของลูกหลานอาดัม นอกจาก ดิน และอัลเลาะห์จะรับการกลับตัวของผู้ที่กลับตัว 

รายงานหะดมทั้งสองโดย บุคอร มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะต้องพินาศ ทาสของเหรียญทอง เหรีญเงิน อาภรณ์ที่เป็นลายทาง และผ้าคลุมสีดำ ถ้าหากได้รับ เขา พอใจ และถ้าไม่ได้รับ เขาจะไม่พอใจ*

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากฉันมี

ทองคำเท่าภูเขาอุอุด มันจะทำให้ฉันดีใจมากก็คือ การที่ยังไม่ได้ผ่านฉันไปสามคืน แล้วฉันยัง มีทองคำเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง นอกจากเล็กน้อยที่ฉันได้เก็บมันไว้เพื่อใช้หนี้

รายงานหะดมทั้งสอง โดยบุคอร

และเล่าจากเขา (อะบีอุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ห้วใจคนชรานั้น จะเป็นหนุ่มต่อการรักสองสิ่งนี้ คือ ความมีอายุยืนยาว และมั่งมีทรัพย์สิน 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก มุตอรริฟ จากบิดาของเขา ร.ฎ. ว่า เขาได้มายังท่านนบี ซ.ล. ในขณะที่ ท่านอ่านว่า “การสะสมทรัพย์ได้ทำให้พวกท่านลืม” ท่านได้กล่าวว่า ลูกหลานของอาดัมจะกล่าวว่า                                     ทรัพย์ของฉัน ทรัพย์ของฉัน จะไม่มีทรัพย์ใดเป็นของท่าน นอกจากที่ท่านได้บริจาคไป และท่านได้ดำเนินการลุล่วงไปแล้ว หรือที่ท่านได้กินเข้าไป และได้ทำให้มันสูญเสียไปแล้ว หรือที่ท่านได้สวมใส่ และได้ทำให้มันขาดวิ่นไปแล้ว 

รายงานโดย ติรมิซี และ มุสลิม และ ตัวบทของมุสลิมว่า บ่าวจะกล่าวว่า ทรัพย์ของฉัน ทรัพย์ของฉัน ความจริงที่จะเป็นทรัพย์ ของเขาจริงๆ นั้น มีสาม คือ สิ่งที่เขากินเข้าไป และได้ทำให้มันสูญเสียไปแล้ว หรือที่ได้ สวมใส่ และได้ทำให้ขาดวิ่นไปแล้ว หรือที่ได้ให้ไปแล้ว และได้รับการครอบครองแล้ว และ สิ่งที่นอกเหนือจากนั้น มันเป็นสิ่งเลื่อนลอย และ เป็นสิ่งที่เขาทิ้งไว้แก่มนุษย์

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ใครบ้างที่ทรัพย์ของทายาท ของเขา เป็นที่รักของเขายิ่งกว่าทรัพย์ของเขาเอง พวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ไม่มีใครจากพวกเราหรอก นอกจากทรัพย์ของเขาเป็นที่รักยิ่งของเขา ท่านได้กล่าวว่า                                                                       แท้จริงทรัพย์ของเขา คือ สิ่งที่เขาได้ให้ล่วงหน้าไปแล้ว และทรัพย์ของทายาทของเขานั้น คือ สิ่งที่ เขาได้ทิ้งไว้ภายหลัง 

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจาก อะบีสะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                             แท้จริงสิ่งที่ข้าพเจ้า

กลัวจะเกิดกับพวกท่านมากที่สุด คือ สิ่งที่อัลเลาะห์จะนำออกมาให้แก่พวกท่าน จากความ เพิ่มพูนของแผ่นดิน มีผู้ถามว่า อะไรคือ ความเพิ่มพูนของแผ่นดิน ท่านตอบว่า คือความงดงามของโลกนี้ ชายคนหนึ่งได้กล่าวแก่เขาว่า ความดีจะนำความชั่วมาไหม ท่านนบี ซ.ล. นิ่ง

*คนที่ตณปีนทาสของเงินทอง และเครองอาภรณ์ประเภทต่าง ๆ กอ คนทยอมให้สิ่งเหล่านคอยบงการเขาจนไป้ม่เวลาทำกวามด คนประเภทนห้าได้รบกีด ห้าไม่ได้รํบกีจ,ะโวยวาย


 

นิ่ง จนพวกเราคาดว่า จะมีวะฮีย์ลงมายังท่าน หลังจากนั้นท่านได้ลูบหน้าผากของท่านแล้ว กล่าวว่า คนถามอยู่ไหน เขา (ผู้รายงาน) ตอบว่า ฉันเอง ท่านได้กล่าวว่า ความดีจะไม่นำมานอกจากความดีเท่านั้น แท้จริงทรัพย์นี้ เขียวชะอุ่ม หวานชื่น และแท้จริงทุกสิ่งที่สายนํ้า ทำให้มันงอกงามนั้น มันจะทำให้ตายหรือเกือบตายด้วยความอึดอัด (เพราะกินมาก) นอกจาก สัตว์ที่กินพืชสีเขียว ที่มันกินจนเต็มท้องของมัน มันได้มุ่งหน้าหาตะวัน ได้เคี้ยวเอื้อง. ได้ถ่าย ออกมา และ ขับปัสสาวะออก หลังจากนั้นมันได้กลับไปกินอีก และแท้จริง ทรัพย์นี้หวานชื่น ผู้ใดถือเอาตามสิทธิของมัน และวางมันไว้ในสิทธิของมัน ทรัพย์นั้นเป็นสิ่งช่วยเหลือที่ดีแก่เขา และผู้ใดที่ถือเอาทรัพย์ โดยไม่เป็นไปตามสิทธิของมัน เขาก็มีสภาพเหมือนกับคนที่กิน ไม่รู้จักอิ่ม 

รายทนโดย บุคอรี และ มุสลิม

การก่อสร้างโดยไม่จำเป็น เป็นสิ่งที่น่าตำหนิ

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันได้พบตัวเองอยู่กับท่านนบี ซ.ล. ฉัน ได้สร้างบ้านขึ้นหลังหนึ่งด้วยมือของฉันเองที่จะคุ้มกันฝนให้ฉัน จะให้ร่มแก่ฉันจากดวงตะวัน โดยไม่มีใครช่วยฉันในการก่อสร้างสักคนเดียว จากสรรพสิ่งที่อัลเลาะห์ตาอาลาทรงสร้าง223

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ ฉันไม่เคยวางอิฐก้อน หนึ่งทับอิฐอีกก้อนหนึ่ง และไม่เคยฺปลูกต้นอินทผลัมอีกเลย นับตั้งแต่ท่านนบี ซ.ล. ลูกเก็บ ชีวิตไป 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี ในเรื่องการขออนุญาตเข้าพบ

เล่าจาก อับคี้ลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. เดิน ผ่านฉันขณะที่ฉันกำลังเอาดินพอกกำแพงของฉันอยู่ โดยมีตัวฉันกับมารดาของฉัน ท่านได้ กล่าวว่า       อะไรหรือนึ่อับดุลเลาะห์ ฉันตอบว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์มันเป็นสิ่งที่ฉันกำลังซ่อมแซม ท่านได้กล่าวว่า ความตายรวดเร็วยิ่งกว่านี้อีก

และเล่าจากเขา (อับดิลลาห์) ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.ผ่านมาทางพวกเรา ขณะที่ พวกเรากำลังซ่อมแซมกระท่อมของพวกเราซึ่งใกล้จะพังแล้ว ท่านได้กล่าวว่า อะไรหรือนี่ พวกเราตอบว่ากระท่อมของพวกเรา ที่พวกเรากำลังซ่อมแซมมันอยู่ ท่านนบีได้กล่าวว่า ฉันไม่เห็นความตาย นอกจากเห็นว่ามันรวดเร็วยิ่งกว่านี้อีก 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบุดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านนบี ซ.ล. ได้เห็นยอดโดมหนึ่งสูงตระหง่าน ท่านได้กล่าวว่า อะไรหรือนี่ พวกเขาตอบว่า (มันเป็น) ของชายคนหนึ่งที่เป็นชาวอันซอร

ท่านนบีนิ่งและได้เก็บมันไว้ในใจ จนเมื่อเจ้าของยอดโดมนั้นมา และได้กล่าวสลามแก่ท่านนบี ซ.ล.ท่านได้เบือนหนีเขา ท่านได้ทำเช่นนั้นหลายครั้ง จนชายคนนั้นรู้อาการโกรธในตัวท่าน


 

และการที่ท่านเบือนหนีเขา ชายคนนั้นจึงได้ปรับทุกข์กับเพื๋อนของเขาบางคน จึงได้มีผู้บอกเขา ให้รู้เกี่ยวกับเรื่องยอดโดม เขาจึงกลับไปรื้อมันออก จนทำให้มันราบเสมอกับพื้นดิน ต่อมาท่าน รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ผ่านมาในวันหนึ่ง ท่านไม่เห็นยอดโดมนั้น ท่านจึงได้ถาม พวกเขาตอบว่าเจ้าของยอดโดมเห็นอาการเบือนหนีจากเขาของท่าน เขาจึงได้รื้อมันลง ท่านนบีได้กล่าวว่า พึงทราบเกิด แท้จริงทุกๆ อาคารนั้นเป็นอัปมงคลแก่เจ้าของ นอกจากไม่ นอกจากไม่ หมายความว่า นอกจากไม่มีทางเกี่ยง

รายงานโดย อะบู ดาวูด

และเล่าจากเขา (อะนัส) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การใข้จ่ายทั้งมวลนั้น ถือว่า อยู่ในแนวทางของอัลเลาะห์ นอกจากการก่อสร้าง ไม่มีความดีอะไรที่มัน

และ อิบรอฮีม อันนะคออีย์ ได้กล่าวว่า การก่อสร้างทั้งหมดเป็นอัปมงคล มีผู้เถามเขาว่า ได้โปรดบอกเกิด ถึงสิ่งที่มันจำเป็น เขาตอบว่า ไม่ได้ผลบุญ และ ไม่เกิดบาป 

รายงานหะดษทั้งสองโดยติรมข

ควานร่ำรวย อยู่ที่ความพอใจ

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และพระองค์ได้พบเจ้ายากจน พระองค์จึงได้ให้เจ้าร่ำรวย,, 

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่ใช่ความร่ำรวย เนื่องมาจากเพราะมีข้าวของมากมาย แต่ความร่ำรวยนั้นอยู่ที่ความพอใจ

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อคนหนึ่งของ พวกท่าน เห็นคนที่ดีกว่าตัวทั้งในด้านทรัพย์สินและรูปร่าง ให้เขาจงมองดูคนที่ต่ำกว่าเขา

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจง มองดูคนที่ต่ำกว่าพวกท่าน และอย่ามองดูคนที่สูงกว่าพวกท่าน เพราะการมองดูคนที่สูงกว่า นั้น มันเหมาะที่จะทำให้พวกท่านไม่ขอความโปรดปรานของอัลเลาะห์เพิ่มเติมให้แก่ตัวของ พวกท่านเอง 

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าว ว่า ใครบ้างที่จะเอาถ้อยคำเหล่านื่ไปจากฉัน แล้วนำมันไปปฏิบัติหรือสอนแก่คนที่จะนำมัน ไปปฏิบัติ ฉันตอบว่า ฉันเอง โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ท่านได้จับมือของฉัน และได้นับห้า ประการโดย ได้กล่าวว่า   จงกลัวสิ่งต้องห้ามทั้งหลาย ท่านจะเป็นมนุษย์ที่ทำอิบาดะห์ที่สุด จงพอใจในสิ่งที่อัลเลาะห์แบ่งบันให้แก่ท่าน ท่านจะเป็นมนุษย์ที่ร่ำรวยที่สุด จงทำดีต่อเพื่อนบ้านของท่าน ท่านจะเป็นผู้มีศรัทธา จงปรารถนาให้เพื่อนมนุษย์ได้รับสิ่งที่ท่านปรารถนาให้ได้ แก่ตัวท่านเอง ท่านจะเป็นมุสลิม และอย่าหัวเราะมาก เพราะการหัวเราะมากทำให้หัวใจตาย ด้าน 

รายงานโดย ติรมิซี และ อิหม่ามอะห์มัด

 

 

 

 

เล่าจาก มิกดาม บุตร มะอดีกะริบะ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มี ภาชนะใดที่มนุษย์จะบรรจุจนเต็มหัวยิ่งไปกว่าท้องของตน พอแล้วแก่ลูกหลานของอาดัม อาหารสองสามคำที่จะทำให้หลังของเขายืดตรงได้ ถ้าหากจำเป็นก็ให้แบ่งเศษหนึ่งส่วนสามไว้ สำหรับอาหาร เศษหนึ่งส่วนสามไว้สำหรับนํ้าดื่ม และอีกเศษหนึ่งส่วนสามไว้สำหรับลมหายใจ 

เล่าจาก อุสมาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า      ลูกหลานของอาดัม ไม่มีสิทธิ

ใดๆ นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ คือ บ้าน ที่ให้พำนักอาศัย อาภรณ์ที่ปกปิดอวัยวะที่ต้องสงวน ขนมปังหยาบและน้ำ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี อะห์มัด และ ฮากีม

เล่าจาก อุบัยดิลละห์ บุตร มิห์ชอน จากบิดาของเขา ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าว่าผู้ใดจากพวกท่านที่ดื่นเช้าขึ้นมาปลอดภัยในชีวิตของเขา มีความสุขในร่างกายของเขา เขามีอาหารในวันนั้น คล้ายกับโลกนี้เป็นของเขาแล้ว 

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

จงออกห่างจากความโลภ และ ความหวังที่ห่างไกล 

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “จงปล่อยพวกเขา กิน และ หาความสำราญ ความหวังลมๆ แล้ง ๆ จะทำให้พวกเขาละเลย และต่อไปพวกเขาก็จะรู้”

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า หัวใจของคนแก่จะยังคงเป็นหนุ่มในสองประการนี้ คือ รักโลกนี้ และความหวังที่ห่างไกล

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ลูกหลานของอาดัมจะแก่ลงไป แต่จะมีสองประการที่ยังหนุ่มอยู่ คือความโลภในทรัพย์สมบัติ และโลภในอาย ที่ยืนยาว

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุดอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก กะอับ บุตร มาลิก ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีหมาป่าสองตัว ที่หิวโหย ถูกปล่อยเข้าไปในฝูงแพะ ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ฝูงแพะนั้นได้มากยิ่งกว่าการ ที่คนหนึ่งโลภในทรัพย์สมบัติ และ เกียรติยศ ที่จะส่งผลเสียแก่ศาสนาของเขา 

รายงานโดย ติรมข และ อิหม่ามอะห์มัด

เล่าจาก อับดิลลาห่ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า             ท่านนบี ซ.ล. ได้ขีด,เส้นเป็นรูปสี่เหลี่ยม และ

ขีดอีกเส้นหนึ่งกลางรูปสี่เหลี่ยมนั้นโดยลากยาวออกมา และได้ขีดเส้นเล็กๆ อีกหลายขีด ทับ เส้นนี้ที่อยู่ตรงกลางจากปลายด้านที่อยู่กลางรูปสี่เหลี่ยมนั้น และได้กล่าวว่า นึ่คือมนุษย์ นี่คือ กำหนดความตายของเขา ซึ่งล้อมรอบเขาอยู่ หรือได้กล่าวว่า ที่ได้ห้อมล้อมเขาไว้ และเส้นนี้ที่เลยออกมาคือ ความหวังของเขาและเส้นเล็ก รุ เหล่านี้ คือ อุปสรรคต่างๆ ถ้าหากอันนี้ พลาดไปจากเขา อันนั้นก็จะเล่นงานเขา อ้าหากอันนั้นพลาดไปจากเขา อันนี้ก็จะเล่นงานเขา 

รายงานโดย บุดอรี และติรมิซี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า นี่คือ ลูกหลานของอาตัม

และนึ่คือกำหนดความตายของเขา และท่านได้วางมือลงบนด้นคอของท่าน หลังจากนั้นได้แบ

มือออก แล้วกล่าวว่า          และโน้นคือความหวังของเขา โน้นคือความหวังของเขา และโน้นคือ

ความหวังของเขา[197]

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร ชิคดีร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เปรียบลูกหลานของอาดัม โดยที่ข้างตัวของเขานั้นมีเก้าสิบเก้าอุปสรรค ถ้าหากอุปสรรคต่างๆ พลาดไป จากเขา เขาก็จะตกอยู่ในความชรา

เล่าจาก อะบี บักเราะห์ ร.ฎ. ว่า ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ คนใดที่ดีที่สุดท่านตอบว่า คนที่มีอายุยืนยาว และการกระทำของเขาดีงาม ชายคนนั้นถามว่า                                          คนใดที่ชั่วที่สุด ท่านตอบว่า คนที่มีอายุยืนยาว และการกระทำของเขาเลวทราม

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดย ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์จะไม่รับคำแก้ตัวของคนที่พระองค์ได้ร่นกำหนดความตายของเขาออกไปจนถึงหกสิบปี

และอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า โลกนี้ได้หันหลังไปแล้ว และอาคิเราะห์ก็ได้มุ่งหน้ามาแล้ว แต่ละฝ่ายจากทั้งสองนั้นมีลูกหลาน ดังนั้นพวกท่านจงเป็นลูกหลานของอาคิเราะห์ อย่า เป็นลูกหลานของโลกนี้ แม่ทุกคนจะมีลูกคอยตาม และในวันนี้มีแต่การกระทำยังไม่มีการสอบสวน ส่วนพรุ่งนี้จะมีแต่การสอบสวนไม่มีการกระทำ 

รายงานโดย บุคอรี และ มุสลิม

ตอนที่สอง

ความประเสริฐของความยากจน และ คนจน

เล่าจาก สะอัด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราจำนวนหกคนอยู่กับท่านนบี ซ.ล. ต่อมาพวกผู้ตั้งภาคีได้กล่าวแก่ท่านนบี ซ.ล. ว่า จงไล่คนเหล่านี้ไป เพื่อพวกเขาจะได้ใม่ใช้วาจาสามหาวกับพวกเรา ตัวข้าพเจ้า อิบนุมัสอุด ชายคนหนึ่งจากเผ่า ฮุซัยล์ บิลาล และชายอีกสองคนที่ข้าพเจ้าลืมเอ่ยนามของเขาทั้งสอง และได้เกิดขื้นในใจของท่านรอซูลุลเลาะห์สิ่งที่ อัลเลาะห์ประสงค์ให้เกิดขึ้น และท่านได้พูดกับตัวเอง[198] ต่อมาอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และ เกรียงไกรจึงได้ประทานลงมาว่า "และท่านอย่าขับไสบรรดาผู้สักการะพระผู้อภิบาลของพวกเขา ทั้งในเวลาเช้าและเวลาเย็น โดยพวกเขามุ่งสู่พระองค์ ไม่ได้เป็นภาระของท่าน ที่จะทำการสอบสวนพวกเขาสักสิ่งเดียว และไม่ใช้การสอบสวนท่านเป็นหัวหน้าที่ของพวกเขา จนเป็นเหตุทำ ให้ท่านต้องขับไสพวกเขา และท่านก็จะเป็นคนหนึ่งที่ทุจริต” 

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร มุฆอฟฟัล ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้มาหาท่าน นบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์สาบานต่ออัลเลาะห์ แท้จริงฉันรักท่าน ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านจงพิจารณาว่าท่านได้พูดอะไรออกไป เขากล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ ฉันรักท่าน ท่านนบีกล่าวว่า จงพิจารณาว่าท่านพูดอะไรออกไป เขาได้กล่าวอีกว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ ฉันรักท่าน เขาได้กล่าวสามครั้ง ต่อมาท่านนบีได้กล่าวว่า ถ้าหากท่านรักฉันให้ท่านจงเตรียมผ้ารองอานไว้เพื่อความยากจนเถิด เพราะแท้จริงความยากจนนั้นมันจะพุ่งมาหา คนที่รักฉันอย่างรวดเร็วยิ่งกว่านํ้าบ่าที่พุ่งสู่จุดสุดท้ายของมัน

เล่าจาก อะบี อุมามะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  พระผู้อภิบาลของ ฉันได้เสนอแก่ฉัน เพื่อจะบันดาลให้ภูเขาแห่งมักกะห์นั้น เป็นทองคำแก่ฉัน ข้าพเจ้าได้กล่าว ว่า ไม่ ข้าแด่พระผู้ทรงอภิบาล แต่ได้โปรดให้ข้าพเจ้าอิ่มวันหนึ่ง และหิววันหนึ่ง หรือท่าน ได้กล่าวสามครั้ง หรือได้กล่าวเหมือนกันนี้ ดังนั้นเมื่อข้าพเจ้าหิว ข้าพเจ้าก็จะก่อมตัวต่อท่าน และรำลึกถึงท่าน และเมื่อข้าพเจ้าอิ่ม ก็จะขอบคุณท่านและสรรเสริฐท่าน

และเล่าจากเขา (อะบี อุมามะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนรักของฉันที่น่าอิจฉายิ่งสำหรับฉันก็คือ ผู้มีศรัทธาที่มีพันธะน้อย มีส่วนดีจากการละหมาด ทำอิบาดะห์ต่อ พระผู้อภิบาลของเขาเป็นอย่างดี และปฏิบัติตามพระองค์ในที่ลับ และเป็นบุคคลที่ลูกลืมในหมู่ มนุษย์ เขาไม่ถูกนี้วชี้ ปัจจัยยังชีพของเขามีอย่างจำกัด แต่เขาก็มีความอดทนต่อสภาพเช่นนั้น หลังจากนั้นท่านได้สะบัดมือของท่าน[199] แล้วกล่าวว่า ความตายของเขาถูกเร่ง คนร้องไห้เพราะเขา มีน้อย มรดกของเขาก็มีน้อย 

รายงานทั้งสามหะดีษโดย ติรมิซี

เล่าจาก สะหั้ล บุตร สะอัด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้ผ่านมาทางท่านนบี ซ.ล. และท่านนบีได้กล่าวแก่ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ ท่านว่า ท่านมืความเห็นอย่างไรในชายคนนี้ เขาตอบว่า เขาเป็นผู้ชายที่มาจากตระกูลของคนที่มีเกียรติ ชายคนนี้สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า เขาเหมาะสมที่ถ้าหากเขาขอแต่งงาน เขาก็จะถูกแต่งงานด้วย[200] และถ้าหากเขาขอช่วยเหลือเขาก็จะถูกช่วยเหลือ ท่านนบี ซ.ล. นิ่ง ต่อมาได้มีชายอีกคนหนึ่งผ่านมา ท่าน รอซูลุลเลาะห์ได้ถามชายที่อยู่ข้างๆ ท่านว่าท่านมีความเห็นอย่างไรในผู้ชายคนนี้ เขาตอบ ว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ชายคนนี้เป็นคนหนึ่งที่ยากจนจากบรรดามุสลิม ชายคนนี้เขาเหมาะสม ที่ถ้าหากเขาขอแต่งงาน เขาจะไม่ถูกแต่งงาน และถ้าหากเขาขอความช่วยเหลือ เขาจะไม่ถูกช่วยเหลือ และถ้าหากเขาพูดจะไม่มีใครฟังคำพูดของเขา ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชายคนนี้ดียิ่งกว่าเต็มแผ่นดินจากผู้ที่เหมือนกับเขาคนนั้น

เล่าจาก มิรดาส อัลอัสละมีย์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนที่ดีๆ จะไปที่ละคนคนดีที่สุด แล้วก็รองลงไป รองลงไป และจะเหลือเดนคน เหมือนกากเดนของ ข้าวสาลี หรือ อินทผลัม ชึ่งอัลเลาะห์จะไม่หวั่นไหวต่อพวกเขาเลย 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

และได้มีผู้กล่าวแก่ อับดุลเลาะห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. ว่า พวกเราไม่ใช่คนยากจนของพวกที่อพยพหรือ อับดุลเลาะห์ กล่าวว่า ท่านมีภรรยาที่จะไปพึ่งพิงกับหล่อนไหม                                         เขาตอบว่า มี อับดุลเลาะห์ถามว่า ท่านมีบ้านที่จะพำนักไหม เขาตอบว่า มี อับดุลเลาะห์ได้กล่าวว่า                                               นับว่าท่านเป็นคนรวยแล้ว เขากล่าวว่า ฉันมีคนรับใช่ด้วย อับดุลเลาะห์กล่าวว่า นับว่าท่านเป็นเจ้าเมืองแล้ว 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดประทานปัจจัยยังชีพแก่วงศ์วานของ มุฮัมมัด เป็นอาหารที่ใช่ประทังชีวิต 

รายงานโดย บุคอรี ติรมีซี และมุสลิมด้วยตัวบทที่ว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดดลบันดาลปัจจัยยังชีพให้แก่วงศ์วานของมุฮัมมัด เป็นอาหารที่ใช่ประทังชีวิต และตัวบทของติรมีซี และมุสลิม ว่า แท้จริงได้ชัยชนะแล้ว คนที่เข้ารับอิสลามและปรากฏว่า ปัจจัยยังชีพฃองเขามีอย่างจำกัด และอัลเลาะห์ให้เขามีความพอใจ และในบางรายงานว่า โชคดี เป็นของผู้ที่ถูกชี้นำสู่อิสลาม และ

ปรากฏว่าการดำรงชีพของเขามีอย่างจำกัด และเขามีความพอใจ

เล่าจาก อิมรอน บุตร ฮุซอยน์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ฉันได้เห็นสวรรค์ และพบว่าชาวสวรรค์ส่วนใหญ่เป็นคนยากจน ฉันได้เห็นนรก และพบว่าชาวนรกส่วน ใหญ่คือ ผู้หญิง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และ ติรมิซี

เล่าจาก อุซามะห์ บุตร เซด ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า     ข้าพเจ้าได้ยืนอยู่ที่ประดูสวรรค์ ได้พบว่า ส่วนใหญ่ของคนที่เข้าสวรรค์นั้นเป็นคนยากจน และผู้ที่มีทรัพย์สิน กำลังถูกสอบสวน นอกจากชาวนรก ที่พวกเขาถูกบัญชาให้นำไปสู่ไฟนรก และข้าพเจ้าได้ยืนอยู่ที่ประตูนรก และได้พบว่า ส่วนใหญ่ของผู้ที่เข้านรกนั้น คือ ผู้หญิง 

รายงาน โดย บุคอรี และ มุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์- ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนจนมุสลิมนั้นจะได้เข้าสวรรค์ก่อนคนรวยมุสลิมครึ่งวัน หรือ ห้าร้อยปี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอย่อย่างยากจน และให้ข้าพเจ้าตายอย่างยากจน และให้ข้าพเจ้าได้รวมอยู่ กับกลุ่มของคนที่ยากจนในวันกิยามะห์ อาอิชะห์ได้กล่าวว่า ทำไม โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านกล่าวว่า                                                                                เพราะคนยากจนจะได้เข้าสวรรค์ก่อนคนรํ่ารวยถึงสี่สิบปี โอ้อาอิชะห์ เธออย่าปฏิเสธคนยากจน แม้จะโดยอินทผลัมเพียงหนึ่งซีกก็ตาม โอ้ อาอิชะห์ เธอจงรักคนยากจน และเข้าใกล้คนยากจน เพราะแท้จริงอัลเลาะห์จะเข้าใกล้เธอในวันกิยามะห์

และอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า           ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวแก่ฉันว่า              โอ้

อาอิชะห์ ถ้าหากเธอต้องการติดตามไปอยู่กับฉัน เสบียงเท่ากับของผู้ขับขี่พาหนะก็เพียงพอแก่ เธอแล้ว จากโลกนี้และเธอจงระวังการนั่งร่วมกับคนรํ่ารวย และเธออย่าถือว่าเป็นผ้าเก่าจนกว่าเธอจะ ปะชุนมันเสียก่อน[201] 

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดย ติรมิซี

ตอนที่สาม

การดำรงชีพของท่านนบี ซ.ล.

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าวงศ์วานของมุฮัมมัด ซ.ล. ไม่เคยได้อิ่มเลย

นับตั้งแต่เดินทางเข้ามายังนครมะดีนะห์ จากอาหารที่เป็นข้าวสาลีสามคืนติดต่อกันจนท่านถูก เก็บชีวิต

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า          ท่านนบี ซ.ล. ได้เสียชีวิตไป โดยไม่มีอยู่

ในชั้นเก็บของของฉันเลยสักสิ่งเดียวที่ผุ้ที่มีตับ[202] จะรับประทานได้นอกจากมีข้าวบาเล่ย์อยู่ ครึ่งชั้นเก็บของ และฉันได้รับประทานมันอยู่เป็นเวลานาน จนฉันเบื่อมันจึงหมดไป 

รายงาน หะดีษทั้งสองโดยบุคอรี มุสลิม และติรมข

ตัวบทของมุสลิมและติรมีซีว่า วงศ์วานของมุฮัมมัด ซ.ล. ไม่เคยอิ่มขนมปัง ข้าวบาเล่ย์สองวันติดต่อกันเลย จนกระทั่งท่านลูกเก็บชีวิต และตัวบทของมุสลิมว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้เสียชีวิตไป โดยที่ท่านไม่เคยอิ่มขนมปังและนํ้ามันมะกอกในวันเดียวสองครั้งเลย

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า          เคยผ่านพวกเราไปหนึ่งเดือน โดยที่พวกเรา

ไม่ได้ติดไฟในบ้านของเราเลย ความจริงมันมีอินทผลัมกับนํ้า นอกจากพวกเราจะได้รับเนื้อบ้าง เพียงเลีกน้อย[203]

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวแก่อัรวะห์ว่า          โอ้หลานชายพวกเราคอยเดือนเสียว

ถึงสามเดือนเสี้ยวแล้วภายในสองเดือน โดยที่ไฟในบรรดาบ้านของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ไม่ได้ลูกจุดขึ้นเลย ข้าพเจ้าได้ถามว่า อะไรคือเครื่องประทังชั้วิตของพวกท่าน อาอิชะห์ตอบว่า มันคือสองดำ [204] อินทผลัมกับนํ้า เว้นแต่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. มีเพื่อนบ้านที่

เป็นชาวอันซอร พวกเขามีแพะนม พวกเขาได้นำนมของมันมามอบให้แก่ท่านรอซูลุลเลาะห์

และท่านก็ได้ให้พวกเราดื่มมัน 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากกอตาดะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า            พวกเราได้มาหาอะนัส บุตรมาลิก ขณะที่คน

ทำขนมปังของเขายืนอยู่ และกล่าวว่า       พวกท่านจงรับประทานเถิด ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านนบี

ซ.ล. ได้เห็นขนมปังชนิดแป้งละเอียด จนกระทั่งท่านได้กลับไปหาอัลเลาะห์ และท่านก็ไม่เคยเห็นแพะหัน[205]ด้วยตาของท่านเลย

รายงานโดยบุคอรี

เล่าจากอันนัวะอมาน บุตรบะช่ร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า              พวกท่านมิได้อยู่ท่ามกลางอาหาร

และเครื่องดื่มตามแต่พวกท่านจะต้องการหรอกหรือ ความจริงข้าพเจ้าได้เห็นนบของพวกท่าน ซ.ล. ว่าท่านไม่มีแม้เพียงอินทผลัมชนิดเลวที่จะทำให้ท้องของท่านอิ่ม รายงานโดยตรมขและมุสลิม เล่าจากอิบนิอับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. จะนอนกลางคืน หลาย *[ คืนติดต่อกันกับครอบครัวของท่านด้วยความหิว โดยพวกเขาไม่มีอาหารคำรับประทาน และปรากฏว่า ขนมปังส่วนใหญ่ของพวกเขาเป็นขนมปังที่ทำมาจากข้าวบาเลย์

เล่าจากอะปึตอลฮะห็ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า                พวกเราได้ร้องทุกข์ต่อท่านรอซูลุลเลาะห์

ซ.ล. ถึงความหิวโหย และพวกเราได้เปีดท้องของเราให้เห็นหินคนละก้อน คนละก้อน และ ท่านรอชูลัลเลาะห็ ซ.ล. ได้เปิดให้เห็นหินสองก้อน[206]

เล่าจากมุฮัมมัด บุตรช่รืน ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราอยู่กับอะบีฮรอยเราะห็บน ร่างของเขามีผ้าสองผืนเป็นผ้าที่ทำจากเปลือกไม้ย้อมสีแดงเรื่อ เขาได้สั่งนํ้ามูกลงในผ้าผืนหนึ่ง จากทั้งสองนั้น แล้วกล่าวว่า ปัค, บัค อะบุ ฮุรอยเราะห์สั่งนํ้ามูกลงในผ้าเปลือกไม้[207] ความ

จริงฉันได้พบว่า ตัวฉันเองล้มฟุบลงระหว่างมิมบ้รของท่านรอซูลุลเลาะห็ ซ.ล. กับห้องของ อาอิชะห็ เนื่องจากความหิว โดยฉันเป็นลม มีคนที่มาได้เอาเท้าของเขาวางลงที่ตันคอของฉัน โดยคิดว่าฉันเป็นบ้า ฉันไม่ได้เป็นบ้า และมันก็ไมัพอะไรอื่นนอกจากความหิวโหยเท่านั้น

เล่าจากอับดิ้ลลาห็ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า           ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ซ.ล. นอนอยู่บนเสื่อ แล้ว

ลุกขึ้น และความจริงเสื่อนั้นได้ทำให้เกิดเป็นรอยอยู่ที่สีข้างของท่าน พวกเราได้กล่าวว่า             โอ้

ท่านรอซูลุลเลาะห์ พวกเราต้องการจะจัด (ที่นอนที่อ่อนนุ่ม) ให้แก่ท่าน ท่านนบีตอบว่า            ฉัน

กับโลกนื่ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกัน ตัวฉันอยู่ในโลกนั้มิใช่ใครอื่น นอกจากเหมือนคนที่ข้บขี่พาหนะ ที่อาศัยร่มเงาของต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วจากไปและทิ้งมันไว้ รายงานหะดมทั้งสน โดยติรมข

เล่าจากสะอัด บุตรมาลิก ร.ฎ. ได้กล่าวว่า            แท้จริงฉันเป็นผู้ชายชาวอาหรับคนแรก

ที่ได้ยิงธนูในวิถีทางของอัลเลาะห์ และความจริงฉันได้พบว่าพวกเราได้เคยออกไปทำสงคราม ร่วมกับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. พวภเราไม่มีอาหารนอภจากผลของต้นสะลัม และต้นสะมัร นี้จนพวกเราคนหนึ่งต้องถ่ายเหมือนแพะถ่าย ต่อมาพวกตระกูลบะนูสะอัดได้ประนามพวกเรา ในกิจการของศาสนา (และถ้าหากเป็นจริงตามที่พวกเขาพูด) ข้าพเจ้าก็จะต้องขาดทุน และผล งานของข้าพเจ้าก็จะต้องไร้ค่า 

รายฑนโดยบุดอรี และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ออกไปในเวลาหนึ่ง

ทื่ท่านไม่เคยออกไปในเวลานี๊ และไม่มีใครพบท่านในเวลานี้234 ต่อมาอะบูบักร์ ร.ฎ. ได้มา หาท่าน และท่านได้กล่าวว่า อะไรทำให้ท่านออกมาในเวลานี้ โอ้ อะบูบักร์ อะบูบักร์กล่าว ว่า  ฉันได้ออกมาพบกับรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. และมองดูใบหน้าของท่าน[208] และไม่นานนัก

อุมัรก็มา ท่านนบีได้กล่าวว่า        อะไรทำให้ท่านออกมาโอ้ อุมัร, อุมัรตอบว่า ความหิว โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล.ได้กล่าวว่า และความจริงฉันกิได้พบกับความหิวด้วยเหมือนกัน จากนั้นพวกเราได้พากันไปยังบ้านของอะบี ฮัยสัม บุตร ตัยยิฮานที่เป็นชาว อันซอร เขาเป็นชายที่มีสวนอินทผลัมมากและมีฝูงแกะมาก แด่เขาไม่มีคนรับใช้ พวกเราไม่ได้ พบกับอะบีฮัยสัม จึงได้ถามภรรยาของเขาว่า สามีของเธอไปไหน หล่อนตอบว่า ไปตักน้ำจืดมาให้พวกเรา พวกเราคอยไม่นานนัก อะบีฮัยสัมก็นำถุงหนังใส่น้ำมาโดยแบกมันมา เขาได้วางมันลง แล้วเข้ามากอดท่านนบี ซ.ล. พลางกล่าวว่า ขอเอาบิดามารดาของฉันเป็นค่าไถ่ตัวท่าน จากนั้นเขาได้พาคนเหล่านั้นไปยังสวนของเขา โดยปูเสื่อให้พวกเขา แล้วไปที่สวนอินทผลัม นำอินทผลัมทะลายหนึ่งมาแล้ววางมันลง ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านจะไม่รวบรวมเอา เฉพาะอินทผลัมสุกครึ่งดิบครึ่งให้แก่พวกเราหรือ เขาตอบว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ฉันต้องการให้พวกท่านเลือกทั้งอินทผลัมสุกครึ่งดิบครึ่ง และอินทผลัมที่ไม่ดีกันเอง พวกเราได้กิน และดึ่มน้ำนั้น ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า สิ่งนี้ ขอสาบานต่อผู้สิ่งชีวิตของฉันอยู่ในเงื้อมมีอของพระองค์ว่า นึ่เป็นส่วนหนึ่งของความสุขที่พวกท่านจะต้องถูกสอบถามในวัน กิยามะห์ ความร่มเย็น ผลอินทผลัมดีๆ และนํ้าเย็นๆ อะบีฮัยสัม ได้ไปเพื่อทำอาหารให้แก่ พวกเขา ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านอย่าเชือดสัตว์ที่มีนํ้านมอะบุฮัยสัมได้เชือดลูกแพะ ตัวเมียหรือตัวผู้ เพื่อพวกเขา และได้นำมันมาให้พวกเขา และพวกเขาก็ได้รับประทาน ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวขื้นว่า           ท่านมีคนรับใช้ไหม เขาตอบว่า ไม่มี ท่านนบีได้กล่าวว่า                               เมื่อ

มีเชลยศึกมาที่เรา ท่านจงไปหาเราต่อมาได้มีผู้นำทาสสองคน โดยไม่มีคนที่สามร่วมมาด้วย[209] มาให้แก่ท่านนบี ซ.ล. และอะบีฮัยสัมกิได้มาหาท่าน ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านจงเลือกเอา ไปจากสองคนนี้อะบีฮัยสัมได้กล่าวว่า โอ้ท่านนบีของอัลเลาะห์ ได้โปรดเลือกให้ฉันเกิด ท่านนบี

ซ.ล. ได้กล่าวว่า           แท้จริง ที่ปรึกษานั้น คือบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจ ดังนั้นท่านจงเอา

คนนี้ไปเถิด เพราะฉันเห็นเขาละหมาดและขอสั่งเสียให้ปฏิบัติแก่เขาด้วยดี[210] อะบีฮัยสัม ได้ กลับไปหาภรรยาของเขา และได้แจ้งให้หล่อนทราบถึงคำพูดของท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. หล่อนได้กล่าวว่าท่านจะยังไม่ได้ปฏิบัติ ตามที่ท่านนบี ซ.ล. พูด จนกว่าท่านจะปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระเสียก่อน อะบีฮัยสัมกล่าวว่า         เขาเป็นอิสระแล้ว ต่อมาท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า       แท้จริงอัลเลาะห์จะไม่แต่งตั้งนบี และคอลีฟะห์คนใด นอกจากเขาจะมีบริวารสอง

กลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะใช้ให้เขาทำความดี และห้ามเขาจากการชั่ว และอีกพวกหนึ่งจะไม่หวั่นไหว ว่า เขาจะตกอยู่ในความชั่วและเสื่อมเสีย และผู้ใดที่ถูกคุ้มครองให้พ้นจากบริวารที่ชั่วช้า เขาก็ ถูกคุ้มครองแล้ว

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ว่า แท้จริงความหิวโหยได้ประสบกับพวกเขา และ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ให้อินทผลัมแก่พวกเขาคนละผล คนละผล[211]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าถูกข่มขู่ให้กลัวในเรื่องของอัลเลาะห์อย่างไม่เคยมีผู้ใดถูกข่มขี่ และความจริงข้าพเจ้าถูกคุกคามในเรื่องของ อัลเลาะห์อย่างไม่เคยมีผู้ใดถูกคุกคาม[212] และความจริงได้เคยเข้ามาหาข้าพเจ้าคนสามสิบคนใน ระหว่างวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง โดยที่ข้าพเจ้ากับบิลาล ไม่มีอาหารใดๆ ที่ผู้มีตับจะให้รับประทาน ได้ นอกจากสิ่งหนึ่งที่รักแร้ของบิลาลปีดได้มิด [213]

และ ได้มีผู้ถามส ะหั้ล ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล. เคยรับประทานขนมปังแป็งบริสุทธิ์ สีขาวไหม เขากล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ไม่เคยเห็นแป้งบริสุทธิ์เลย จนท่านได้พบกับอัลเลาะห์ ได้มีผู้ถามเขาอีกว่า พวกท่านเคยมีตะแกรงร่อนแป้งไหม ในสมัยของท่านนบี ซ.ล. เขาตอบว่าพวกเราไม่เคยมีตะแกรงร่อนแป้ง มีผู้ถามว่า แล้วพวกท่านทำอย่างไรกับข้าวบาเลย์ เขาตอบว่า           พวกเราจะเป่ามัน และสิ่งที่ปลิวได้มันก็จะปลิวออกไป หลังจากนั้นพวกเราก็จะทำให้เปียกและนวดมัน 

รายงานหะดีษทั้งสี่ โดยติรมิซี

ชาวศุฟฟะห์

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า เขาเคยกล่าวว่า  ข้าแด่อัลเลาะห์สิ่งไม่มีพระเจ้า ที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากพระองค์ ความจริงข้าพเจ้าได้เอาท้องแขนแนบกับพื้นดินเพราะ ความหิวโหย และความจริงข้าพเจ้าได้ผูกหินติดกับท้องของข้าพเจ้าเพราะความหิว และความ จริงข้าพเจ้าเคยนั่งอยู่ที่ทางเดินที่พวกเขาจะออกไปในวันหนึ่ง [214] อะบูบักร์ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ถามเขาถึงอายะห์หนึ่งจากคัมภีร์ของอัลเลาะห์ ข้าพเจ้าไม่ได้ถามเขา นอกจากเพื่อเขาจะทำให้ ข้าพเจ้าอิ่ม แต่เขาก็ผ่านไปโดยไม่ได้กระทำ[215] ต่อมาอุมัรได้ผ่านมาที่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ถามเขาถึงอายะห์หนึ่งจากคัมภีร์ของอัลเลาะห์ ข้าพเจ้าไม่ได้ถามเขา นอกจากเพื่อเขาจะทำให้ข้าพเจ้า อิ่ม แต่เขาก็ผ่านไปโดยไม่ได้กระทำ ต่อมาอะบัลกอซิม ซ.ล. ได้ผ่านมาทางข้าพเจ้า ท่านยิ้ม ขณะเห็นข้าพเจ้า และรู้สิ่งที่อยู่ในใจ และในใบหน้าของข้าพเจ้า[216] จากนั้นท่านได้กล่าวว่า โอ้อะบูฮิรร[217] ข้าพเจ้ากล่าวว่า ขอรับท่านรอซูลุลเลาะห์ท่านได้กล่าวว่า ท่านจงเดินตามฉันไป แล้วท่านก็เดินไป ข้าพเจ้าได้ตามท่านไป ท่านได้เข้าบ้าน ข้าพเจ้าได้ขออนุญาต ท่านได้ อนุญาตให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เข้าไป ท่านนบีได้พบนมอยู่ในภาชนะใบหนึ่ง ท่านถามว่า นมนึ่ได้มาจากไหน พวกเขาตอบว่า    ได้มีชายคนหนึ่งหรือผู้หญิงคนหนึ่งนำมามอบเป็นฮะดียะห์แก่ท่าน ท่านนบีได้กล่าวว่า       โอ้อะบูฮิรร์ ข้าพเจ้าตอบว่าขอรับ ท่านรอซูลุลเลาะห์ท่าน

กล่าวว่า      จงไปยังชาวศุฟฟะห์แล้วเชิญพวกเขามาที่ฉัน อะบู ฮุรอยเราะห์กล่าวว่า      ชาวศุฟฟะห์

เป็นแขกของอิสลามพวกเขาไม่มีครอบครัว ไม่มีทรัพย์สมบัติ และไม่ได้พึ่งพาผู้ใด และเมื่อ ของทำทานซอดาเกาะห์ มีมาถึงท่านนบี ท่านได้เคยส่งมันไปให้พวกเขา โดยท่านไม่แตะต้องมัน เลยสักอย่างเดียว[218] และเมื่อมีของฮาดียะห์มายังท่าน ท่านจะสั่งคนไปตามพวกเขา และท่าน จะรับเอาฮาดียะห์ และให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมในของฮาดียะห์นั้นด้วย และการเช่นนั้นทำให้ ข้าพเจ้าผิดหวัง จึงได้กล่าวว่า นมนั้นจะพอแก่ชาวศุฟฟะห์หรือ ข้าพเจ้ามีสิทธิได้ดื่มนมนี้สักอึกหนึ่งเพื่อข้าพเจ้าจะได้แข็งแรงขึ้น และเมื่อพวกเขามา ท่านนบีได้สั่งข้าพเจ้าให้แจกจ่ายแก่ พวกเขา และคิดว่านมนี้คงไม่เหลือมาถึงข้าพเจ้าเป็นแน่ แต่การปฏิบัติตามอัลเลาะห์และศาสนทูต ของพระองค์เป็นสิ่งจำเป็น ข้าพเจ้าจึงได้ไปหาพวกเขาและเชิญพวกเขามา จากนั้นพวกเขาได้ มุ่งหน้ามา และขออนุญาตเข้า ท่านนบีได้อนุญาตให้พวกเขา พวกเขาได้นั่งกันที่ส่วนหนึ่งของบ้าน ท่านนบีได้กล่าวว่า โอ้ อะบีฮิรร์ ข้าพเจ้าตอบว่า ขอรับ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านกล่าวว่า                   จงเอาไปให้พวกเขา ข้าพเจ้าได้หยิบภาชนะนั้นและให้มันแก่ชายคนหนึ่ง เขาได้ดื่มจนอิ่มแล้วเขากส่งคืนภาชนะนั้นให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ให้มันแก่ชายอีกคนหนึง เขาก็ได้ดื่ม มันจนอิ่ม แล้วก็คืนภาชนะนั้นแก่ข้าพเจ้า จนข้าพเจ้าได้ (แจกจ่าย) ไปสุดลงที่ท่านนบี ซ.ล. โดยที่พวกนั้นทุกคนอิ่มแล้ว ท่านนบีได้จับภาชนะนั้นและวางมันลงบนมือของท่าน ท่านมอง ข้าพเจ้าแล้วยิ้ม และได้กล่าวว่า โอ้อะบูฮิรร์ ข้าพเจ้าตอบว่าขอรับ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านกล่าวว่า  เหลือฉันกับท่านเท่านั้น ข้าพเจ้ากล่าวว่า                            ลูกแล้ว ท่านรอซูลุลเลาะห์ท่านกล่าวว่า นั่งลงเกิด และจงดื่ม ข้าพเจ้าได้นั่งลงและดื่ม ท่านได้กล่าวว่า จงดื่มเถิด ข้าพเจ้า


 

ก็ได้ดื่ม ท่านนบียังคงกล่าวคำว่า “จงดื่มเถิด” จนข้าพเจ้าด้องกล่าวว่า ไม่แล้ว สาบานต่อผู้ซึ่งได้แต่งตั้งท่านมาพร้อมด้วยสัจธรรม ข้าพเจ้าไม่พบทางสำหรับมันอีกแล้ว [219] ท่านนบีได้ กล่าวว่า    ขอฉันดูซิ ข้าพเจ้าจึงได้ให้ภาชนะนั้นแก่ท่าน ท่านได้กล่าวคำสรรเสริญอัลเลาะห์ ได้กล่าว บิสมิ้ลลาห์ และได้ดื่มที่เหลือนั้น 

รายงานโดย บุคอร ติรมิซี และอิหม่ามอะห์มัด

เล่าจากฟะดอละห์บุตรอุบัยดิ้ลลาห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลเลาะหิ ซ.ล. ปรากฏ ว่า เมื่อท่านละหมาดร่วมกับประชาชน จะมีผู้ชายหลายคนล้มฟุบลงจากท่ายืนตรงของพวกเขา ขณะกำลังละหมาดเนื่องจากความหิวโหย พวกเขาเหล่านั้นคือ ชาวชุฟฟะห์จนชาวอาหรับชนบท กล่าวว่า พวกนั้นคือคนบ้าหรือมะญานูน[220] และเมื่อท่านรอชูล้ลเลาะหิ ซ.ล. ละหมาดเสรืจ ท่านได้หันไปหาพวกเขาแล้วกล่าวว่า                                ถ้าหากพวกท่าน-รู้ว่า พวกท่านจะได้รับอะไร ณ พระองค์

อัลเลาะห์แล้ว แน่นอนเหลือเกินว่าพวกท่านจะมีความต้องการความยากจนและขัดสนยิ่งขึ้นกว่า นื่ ฟะดอละหิกล่าว'ว่า                                    ข้าพเจ้าได้อยู่ร่วมกับท่านรอชูลุ้ลเลาะหิ ซ.ล. ในวันนั้นด้วย 

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

การร้กษาลิ้นเปีนสิ่งจำเป็น

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงบ่าวนั้นจะพูดด้วยถ้อยคำ โดยไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่มีอยู่ในถ้อยคำนั้น ซึ่งมันอาจทำให้เขาตกลงไปในนรกลึก ยิ่งกว่าระยะทางระหว่างตะวันออกกับตะวันตก 

รายงานโดยบุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และตัวบทของติรมีอีว่า แท้จริงชายคนหนึ่งจะพูดด้วยถ้อยคำที่เขาเห็นว่าไม่สำคัญ

ซึ่งมันอาจทำให้เขาตกลงไปอยู่ในไฟนรกลึกถึงเจ็ดสิบปี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า แท้จริงบ่าวจะพูดด้วยถ้อยคำที่เป็นความพึงพอใจของอัลเลาะห์ โดยเขาไม่ได้ตรึกตรองถึงมัน อัลเลาะห์จะ ทรงยกเกียรติหลายขั้นด้วยคำพูดนั้น และแท้จริงบ่าวจะพูดด้วยถ้อยคำที่เป็นความกริ้วโกรธของ อัลเลาะห์ โดยที่เขาไม่ได้คำนึงถึงถ้อยคำนั้น นึ่งมันจะทำให้เขาตกลงไปในนรกยะฮันนัม 

รายงาน โดยบุคอรี และติรมิซี

และตัวบทของติรมีอีว่า         แท้จริงคนใดคนหนึ่งของพวกท่านจะพูดด้วยถ้อยคำที่เป็น

ความพอใจของอัลเลาะห์ โดยที่เขาไม่คาดคิดว่าถ้อยคำนั้นจะบรรลุถึง (เกียรติ) ที่มันได้บรรลุ ถึง อัลเลาะห์จะทรงบันทึกให้แก่เขาด้วยถ้อยคำนั้นว่า เป็นความพอใจของพระองค์ จนถึงวันที่ เขาจะพบกับพระองค์ และแท้จริงใครคนใดคนหนึ่งของพวกท่านจะพูดด้วยถ้อยคำที่เป็นความ กริ้วโกรธของอัลเลาะห์ โดยเขาไม่คาดคิดว่ามันจะบรรลุถึงสิ่งที่มันได้บรรลุถึง อัลเลาะห์จะ ทรงบันทึกความกริ้วโกรธของพระองค์เหนือเขาด้วยถ้อยคำนั้นจนถึงวันที่เขาจะได้พบกับพระองค์

และเล่าจาทเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่ศรัทธา

ต่ออัลเลาะห์ และวันสุดท้ายให้เขาจงพูดแต่สิ่งที่ดี หรือให้เขาจงนิ่งเสีย 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี

เล่าจากสะหั้ล บุตรสะอัด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า ผู้ใดรับประกัน แก่ฉันสิ่งที่อยู่ระหว่างเคราทั้งสองข้างของเขา และสิ่งที่อยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของเขา ฉัน จะรับประกันสวรรค์ให้เขา[221] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากชุฟยาน อ้ชชะกอฟีย์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์

ได้โปรดเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะใข้มันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านจงกล่าวเถิดว่า พระผู้อภิบาลของฉันคืออัลเลาะห์และท่านจงปฏิบัดิตามหน้าที่ ข้าพเจ้าได้ กล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ อะไรเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ท่านกลัวว่าจะเกิดกับข้าพเจ้า ท่านนบีได้จับลิ้นของตัวท่านเอง แล้วกล่าวว่า คือสิ่งนี้ 

เล่าจากอุกบะห์ บุตรอามิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า       ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์

อะไรคือความหลุดพ้น      ท่านตอบว่า       จงยับยั้งลิ้นของท่าน จงให้บ้านของท่านกว้างขวางแก่

ท่าน และจงร้องไห้ในความผิดของท่าน[222]

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าพูดมากโดยไม่ได้เป็นการกล่าวรำลึกถึงอัลเลาะห์ เพราะความจริงการชุดมากโดยไม่ได้เป็นการกล่าว รำลึกถึงอัลเลาะห์นั้นจะทำให้จิตใจหยาบกระด้าง และความจริงคนที่ห่างไกลจากอัลเลาะห์อย่างที่ สุด คือหัวใจที่หยาบกระด้าง

เล่าจากอุมม์ ฮะบีบะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ทุกถ้อยคำของลูกหลานอาดัมนั้นเป็นภัยแก่เขา ไม่ใช่เป็นประโยชน์แก่เขา นอกจากถ้อยคำที่ใช้ด้วยการดี และห้ามจากการชั่ว หรือรำลึกถึงอัลเลาะห์ตะอาลา

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อลูกหลานของอาดัมอยู่ในเวลาเช้า อวัยวะต่างๆ ทั้งหมดจะยอมสยบให้ลิ้น โดยพวกมันจะกล่าวว่า เจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ในเรื่องของพวกเราเกิด เพราะความจริงพวกเราขึ้นอยู่กับเจ้า ถ้าหากเจ้าทำตามหน้าที่ พวกเราก็พลอยทำตามหน้าที่ด้วย และถ้าหากเจ้าคดงอ พวกเรากึพลอยคดงอไปด้วย

เล่าจากมุอาช บุตร ยะบัล ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่ได้ประณามพี่น้องของเขาว่าได้ทำบาปหนึ่ง เขาผู้นั้นจะยังไม่ตายจนกว่าจะได้ทำบาปนั้นเสียก่อน

เล่าจากวาซิละห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านอย่าแสดงอาการหยาม

นํ้าหน้าพี่น้องของท่าน จะเป็นเหตุให้อัลเลาะห์เมตตาเขา และจะทดลองท่าน 

รายงานหะดีษทั้งเจ็ดนี้โดยติรมิซี

ความปลอดภัยอยู่ในการปลีกตัวออกจากมนุษย์

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชาวอาหรับชนบทคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ มนุษย์ประเภทใดดีที่สุด                                           ท่านตอบว่า ชายผู้

ต่อสู้ด้วยชีวิตของเขาและทรัพย์สินของเขา และชายที่อยู่ในซอกภูเขา สักการะพระผู้อภิบาล ของเขาโดยทิ้งมนุษย์ให้พ้นจากความชั่วของเขา

รายงานโดยบุคอรี และอะห์มัด

และเล่าจากเขา (อะบี สะอีด) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะมียุคหนึ่งมาถึงมนุษย์

ทรัพย์สินที่ดีที่สุดของชายมุสลิมคือ ฝูงแพะที่เขาจะติดตามมันไปยังยอดเขาสูงๆ และแหล่ง หญ้า เขาจะหลบหนีไปพร้อมด้วยศาสนาของเขา ให้พ้นจากความปันป่วนสับสนทั้งหลาย 

รายงาน โดยบุคอรี และอะบู ดาวูด

ความศรัทธาที่สมบุรณ์อยู่ที่การละทิ้งสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์

เล่าจากอะตียะห์ อัสสะอฺดีย์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า บ่าวจะยังไม่บรรลุถึงการเป็นผู้มีความยำเกรง จนกว่าเขาจะสลัดทิ้งสิ่งที่ไม่มีพิษภัยแก่เขา เพราะกลัวสิ่งที่ จะเป็นพิษภัยแก่เขา 

รายงานโดยติรมิซี และฮากีม

เล่าจากอะลี บุตร หุเซน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงนับเป็นความสวยงามของอิสลามของคนหนึ่ง คือการที่เขาสลัดทิ้งสิ่งที่ไม่มีความสำคัญแก่เขา

รายงานโดย ติรมิซี อะห์มัด และฮากีม

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งจากอัครสาวกของท่านนบี ได้เสียชีวิต

ลง ได้มีชายคนหนึ่งกล่าวว่า       จงแจ้งข่าวดีด้วยสวรรค์เถิด ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าว

ว่า ท่านไม่รู้หรือ เขาอาจพูดสิ่งที่ไม่ใช่ธุระของเขา หรือตระหนี่ในสิ่งที่ไม่ทำให้เขาพรองไป 

รายงานโดยติรมิซี

ผลบุญอันยิ่งใหญ่อยู่ในการอดทนต่อข้อตัดสินของอัลเลาะห์ตาอาลา

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ต่รัสว่า          “อัลเลาะห์ทรงพอพระทัยพวกเขา และพวกเขาพอใจพระองค์ และพระองค์ได้สำรองสวรรค์ให้แก่พวกเขา ซึ่งมีสายนี้าไหลอยู่เบื้องใต้ คงถาวรอยู่ ในสวรรค์ตลอดไป นั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่,,

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ตาอาลา ทรงตรัสว่า ไม่มีสิ่งใดตอบแทนแก่บ่าวของเราที่มีศรัทธา ณ ที่เรา เมื่อเราได้เก็บคนรักของเขาไปจากชาวโลกนี้ หลังจากนั้นเขาได้มุ่งหวังสิ่งตอบแทนจากอัลเลาะห์ นอก จากได้สวรรค์ตอบแทน 

รายงานโดยบุคอรี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จาทท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าเปรียบผู้มีศรัทธา เหมือนต้นพืชที่สายลมยังคงทำให้มันเอนเอียงอยู่เสมอ และผู้มีศรัทธานั้นภัยพิบัติจะประสบ กับเขาอยู่เป็นนิจ และเปรียบผู้ไร้ศรัทธา (กาพิร) เหมือนกับต้นอัรช์ ซึ่งมันจะไม่สั่นไหวจน กว่ามันจะได้รับการเก็บเกี่ยว[223] 

รายงานโดยบุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ภัยพิบัติจะยัง

คงเกิดกับผู้มีศรัทธาทั้งชายและหญิง ในชีวิดของเขา ลูกของเขา และทรัพย์สินของเขา จนกว่า จะพบกับอัลเลาะห์ โดยไม่มีบาปเหลืออยู่ที่เขา

เล่าจากมุสอับ บุตรสะอัด จากบิดาของเขา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์มนุษย์คนใดที่ภัยพิบัติจะเกิดกับเขารุนแรงแรงที่สุด ท่านนบีตอบว่า บรรดานบีทั้งหลาย ต่อมาคือคนที่ดีที่สุดและคนที่ดีรองลงไปชายคนหนึ่งจะถูกทดลองตามแต่ ศาสนาของเขา ถ้าหากศาสนาของเขาแข็งแกร่ง การทดลองที่ประสบกับเขาก็รุนแรง และถ้าหากศาสนาของเขาอ่อนแอ เขาก็จะถูกทดลองตามแต่ศาสนาของเขา การทดลองจะยังคงประสบ กับบ่าว จนกว่ามันจะปล่อยเขาให้เดินไปบนหน้าแผ่นดินโดยไม่มีบาปที่เขา

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นความเจ็บปวดที่เกิดกับผู้ใดรุนแรง ยิ่งกว่าความเจ็บปวดที่เกิดกับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่ออัลเลาะห์ปรารถนาความดีให้เกิดแก่บ่าวของพระองค์ พระองค์จะรีบลงโทษเขาในโลกนี้[224] และเมื่ออัลเลาะห์ปรารกนา ความชั่วให้เกิดกับบ่าวของพระองค์ พระองค์จะยับยั้งการลงโทษของพระองค์ให้พ้นไปจากเขา จนกว่าพระองค์จะจัดการกับเขาอย่างสมบูรณ์ในวันกิยามะห์

และเล่าจากเขา (อะนัส) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงความยิ่งใหญ่แห่ง

การตอบแทนนั้นขึ้นอยู่กับความยิ่งใหญ่ของการทดลอง แท้จริงเมื่ออัลเลาะห์ทรงรักพวกหนึ่ง พระองค์จะทดสอบพวกเขา ดังนั้นผู้ใดที่ยินดีรับ (การทดลอง) เขากิจะได้ความพอใจ และผู้ใด ที่ขุ่นเคือง เขากิจะได้ความขุ่นเคือง

เล่าจากสะอัด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า นับเป็นความสุขของลูกหลาน อาดัม คือการที่เขาพอใจต่อสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงกำหนดแก่เขา และนับเป็นความเลวร้ายของลูก หลานอาดัม คือการที่เขาสลัดทั้งสิ่งที่อัลเลาะห์ได้ทรงเลือกเฟ้นแล้ว และนับเป็นความเลวร้าย ของลูกหลานอาดัม คือการที่เขาขุ่นเคืองต่อสิ่งที่อัลเลาะห์ได้ทรงกำหนดให้เขา

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกที่มความสุขในวันกิยามะห์ 

เขาจะมีความปรารกนาขณะที่พวกที่ถูกทดลองโดยรับผลบุญ ให้ผิวหนังของพวกเขาถูกข่วนใน โลกนี้ด้วยขอเหล็ก252 

รายงานหะดีษทั้งเจ็ดนโดยติรมิซี

เล่าจากฮุซัยฟะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราอยู่ร่วมกับท่านนบี ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่าพวกท่านจงสำรวจให้ฉันซิว่า มีกี่คนที่เขาได้เข้าลู่อิสลาม และเขาได้พูดด้วยอิสลาม พวกเราตอบว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ท่านกลัวพวกเราจะได้รับอันตรายหรือ พวกเรามีจำนวนอยู่ระหว่างหกร้อยถึงเจ็ดร้อยคน ท่านนบีได้กล่าวว่าพวกท่านไม่รู้หรอกว่าบางทีพวก ท่านอาจถูกทดลอง ฮุซัยฟะห์ได้กล่าวว่า ต่อมาพวกเราลูกทดลอง จนคนหนึ่งจากพวกเราจะละหมาดไม่ได้ นอกจากละหมาดโดยลับเท่านั้น

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ จะไม่ทุจริตผู้มีศรัทธาคนใดสักความดีเดียวที่เขาได้รับมันในโลกนี้ และจะถูกตอบแทนด้วยความดีนั้นใน อาคิเราะห์ ส่วนผู้ไร้ศรัทธา (กาฟิร) นั้นเขาจะได้อาหารแลกกับความดีต่างๆ ที่เขาได้กระทำ เพื่ออัลเลาะห์ในโลกนี้ จนเมื่อเขาได้ไปสู่อาคิเราะห์ก็จะไม่มีความดีใดๆ เป็นของเขาที่จะได้ รับการตอบแทนด้วยความดีนั้นอีก 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม

ตอนที่สี่

กำหนตสภาวะการณ์

เล่าจากอับดุลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า คนชั่วคือคนที่ชั่วมาตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา

ของเขาแล้ว และคนดีกิคือคนที่รับคำตักเตือนของผู้อื่น ชายคนหนึ่งได้ยินคำพูดนี้ จึงไดไปหา ฮุซัยฟะห์ และเล่าให้เขาฟังด้วยเรื่องดังกล่าวแล้วกล่าวว่า ชายคนหนึ่งจะชั่วได้อย่างไร โดยไม่ได้ทำงานใด ฮุสัยฟะห์ได้กล่าวแก่เขาว่า การเช่นนั้นทำให้ท่านแปลกใจหรือ ความจริง

ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. กล่าวว่า             เมื่อได้ผ่านจุดปฏิสนธิไปเป็นเวลาสี่สิบสองคืน อัลเลาะห์จะส่งมะลาอิกะห์มายังอสุจินั้น และได้ทำให้มันเป็นรูปร่างขึ้น ได้สร้างหูของมัน ตา ของมัน หนังของมัน เนื้อของมัน และกระดูกของมัน หลังจากนั้นมะลาอิกะห์จะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้าๆ เป็นเพศชายหรือเพศหญิง พระผู้อภิบาลของท่านก็จะกำหนดตาม แต่พระองค์ประสงค์และมะลาอิกะห์ก็จะจดบันทึก หลังจากนั้นมะลาอิกะห์จะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้าฯ กำหนดความตายของเขา พระผู้อภิบาลของท่านก็จะกล่าวตามแต่พระองค์ ทรงประสงค์ และมะลาอิกะห์ก็จะจดบันทึก หลังจากนั้นจะกล่าวว่า บัจจัยยังชีพของเขา พระผู้อภิบาลของท่านก็จะกำหนดตามแต่พระองค์ประสงค์ และมะลาอิกะห์ก็จะจดบันทึก หลังจาก นั้นมะลาอิกะห์ก็จะออกไปพร้อมด้วยสมุดบันทึกในมือ โดยจะไม่เพิ่มเติมเกินไปกว่าที่ลูกบัญชา และจะไม่ตัดทอน (ไปกว่านั้น) 

รายงานโดยมุสลิม [225]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง อัลเลาะห์

ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้มอบหมายมะลาอิกะห์ท่านหนึ่งไว้ที่มดลูก มะลาอิกะห์นั้นจะ กล่าวว่า        ข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้าฯ มันปฏิสนธิแล้ว ข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้าฯ มันเป็น

ก้อนแล้วข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้าฯ มันเป็นก้อนเนื้อแล้ว และเมื่ออัลเลาะห์ปรารลนาจะสร้าง ขึ้นมะลาอิกะห์ก็จะกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้าฯ เป็นเพศชายหรือเพศหญิง เป็นคนชั่ว หรือคนดี ปัจจัยยังข้พของเขาเป็นอย่างไร และกำหนดความตายเป็นอย่างไร การเช่นนั้นก็จะ ถูกบันทึกไว้ในขณะที่อยู่ในท้องของมารดาของเขา

รายงานโดยมุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. นั่งอยู่ในวันหนึ่ง

ในมือของท่านมีไม้เรียว ท่านใช้มันคุ้ยดิน ท่านเงยศีรษะขึ้นแล้วกล่าวว่า ไม่มีชีวิตใดจากพวก ท่านทั้งหลายนอกจากจะรู้ที่พำนักของเขาแล้วทั้งสวรรค์และนรก [226] พวกเราได้กล่าว่า โอ้

ท่านรอซูลุลเลาะห์ดังนั้นเราจะทำอะมั้ลเพื่ออะไร เราจะไม่ทิ้งอะมั้ลกันหรือ ท่านกล่าวว่า พวกท่านจงทำเถิด ทั้งหมดล้วนสะดวกที่จะกระทำตามสิ่งที่เขาถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมัน หลังจาก นั้นท่านได้อ่าน “สำหรับผู้ที่บริจาคมืดวามยำเกรง และเขึ้อมั่นต่อถ้อยคำที่งดงามยิ่ง[227] เราจะ อำนวยความสะดวกให้เขาเพื่อสวรรค์,, สองอายะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

ได้มีผู้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูล้ลเลาะห์ได้โปรดบรรยายศาสนาของเราแก่พวกเราเถิด

เหมือนกับเราเพิ่งลูกสร้างขึ้นเดี๋ยวนี้[228] จะกระทำสิ่งใดในวันนื้ ในสิ่งที่ปากกาแห้งแล้ง และ กำหนดการได้ดำเนินไปแล้ว หรือในสิ่งที่เราจะเผชิญในอนาคต [229] ท่านตอบว่า ไม่ใช่ แต่ ในสิ่งที่ปากกาได้แห้งไปแล้ว และกำหนดการได้ดำเนินไปแล้ว เขากล่าวว่า ดังนั้นจะกระทำ

ในสิ่งใด     ท่านตอบว่า  ผู้ที่กระทำทุกคนจะได้รับความสะดวกเพื่องานชองเขา

รายงานโดยมุสลิม และติรมิซี

และตัวบทของติรมิซีว่า อุมัรได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ได้โปรดบอกข้าพเจ้า

ว่า เราจะกระทำในสิ่งใด เรื่องที่จะเกิดขึ้นใหม่ หรือในสิ่งทล่วงเลยไปแล้วท่านตอบว่าใน

เรื่องที่ล่วงเลยไปแล้ว โอ้บุตรของค๊อตตอบ ทุกผู้ล้วนได้รับความสะดวก สำหรับผู้ที่เป็นพวก ที่ดี เขาก็จะกระทำเพื่อความดี และสำหรับผู้ทึเป็นพวกที่เลว เขาก็จะกระทำเพื่อความเลว

เล่าจากอิมรอน บุตร ฮุศอยน์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริงชายสองคนจากเผ่ามุซัยนะห์

ได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. แล้วทั้งสองได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ โปรดบอก

ข้าพเจ้าเกิด มนุษย์จะกระทำอย่างไรในวันนื้ และใช้ความมุมานะในวันนื้ สิ่งที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว เหนือพวกเขา และผ่านพ้นไปแล้ว หรือในสิ่งที่พวกเขาจะเผชิญกับมันในอนาคต ท่านนบี ตอบว่า      ไม่ใช่ แต่เป็นสิ่งที่ได้ถูกกำหนดเหนือพวกเขาไว้แล้ว และได้ยืนยันเรื่องนี้ไว้ในคัมภีร์ของอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรว่า “และชีวิต และผู้ที่จัดความสมดุลย์ให้มัน และได้ดลให้มันดื้อรั้น และยำเกรง,,

รายงานโดย มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อับดืล วาฮิด บุตร สุลัยม์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาที่มักกะห์ได้พบ

กับอะตออุ บุตรอะบี รอบาห์ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า         โอ้ อะบูมุฮัมมัด แท้จริงชาวบัสเราะห์ได้

วิจารณ์กันในเรื่องกำหนดการของอัลเลาะห์ เขา (อะตออุ) ได้กล่าวว่า โอ้ลูกรัก เจ้าเคยอ่าน

อัลกุรอานไหม     ข้าพเจ้าตอบว่า         ครับเคยอ่าน เขากล่าวว่า เจ้าจงอ่านซูเราะห์ อัซซุครุฟ

และข้าพเจ้าได้อ่าน “ฮามีม สาบานต่อคัมภีร์ที่แจ้งชัด แท้จริงเราได้ดลบันดาลมันเป็นกุรอาน ภาษาอาหรับ เพื่อพวกท่านจะใช้สติ และเป็นคัมภีร์ที่อุดมด้วยวิทยะปัญญา ความจริงมันอยู่ใน แม่คัมภีร์ที่อยู่กับเรา แน่นอนยิ่งเป็นคัมภีร์อันสูงส่ง,, อะตออ์กล่าวว่า                                                                                                        ท่านทราบไหมว่า แม่คัมภีร์คืออะไร ข้าพเจ้ากล่าวว่า อัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ทรงรู้ยิ่ง เขากล่าว

ว่า       แท้จริงมันเป็นคัมภีร์ที่อัลเลาะห์ได้ทรงบันทึกไว้ก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน ในนั้นบันทึกว่า ฟิรเอาน์เป็นชาวนรก ในนั้นบันทึกว่า สองมือของอะบีละฮับด้อง พินาศ อะตออุได้กล่าวว่า         ต่อมาข้าพเจ้าได้พบกับอัลวะลีด บุตรอุบาดะห์ บุตรซอมิต ซึ่งเป็นอัครสาวกของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ข้าพเจ้าได้ถามเขาว่า         อะไรคือคำสั่งเสียของ

บิดาของท่านขณะเสียชีวิต       เขาตอบว่า       บิดาของฉัน ได้เรียกฉันแล้วกล่าวแก่ฉันว่า โอ้ลูกรักเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ พึงทราบเกิดว่า เจ้าจะไม่ได้ยำเกรงอัลเลาะห์ จนกว่าเจ้าจะศรัทธา ต่ออัลเลาะห์ ศรัทธาต่อกำหนดการของอัลเลาะห์ทั้งหมด ทั้งกำหนดดีและกำหนดชั่ว ดังนั้น ถ้าหากเจ้าตายโดยยึดมั่นนอกจากนี้ เจ้าจะได้เข้านรก ความจริงฉันได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า แท้จริงสิ่งแรกที่อัลเลาะห์ได้ทรงสร้างขื้นคือปากกา พระองค์กล่าวว่าเจ้าจงเขียน ปากกาได้ถามว่า ข้าพเจ้าจะเขียนอะไร พระองค์กล่าวว่า เจ้าจงเขียนกำหนดการสิ่งที่เกิด ขึ้นแล้วและที่จะเกิดขึ้นไปจนไม่มีที่สิ้นสุด 

รายงานโดยอะบู ดาวูด และติรมข

อับดุลเลาะห์ บุตรฟัยรูช อัดดัยละมีย์ ได้กล่าวว่า ฉันได้มาหาอุบัยย์ บุตร กะอับ

แล้วกล่าวแก่เขาว่า      มีสิ่งหนึ่งเกิดขื้นในจิตใจของฉันจากเรื่องกำหนดการของอัลเลาะห์ ดังนั้น ท่านจงเล่าสิ่งหนึ่งให้ฉันฟัง หวังว่าอัลเลาะห์ตาอาลาจะทำให้สิ่งนั้นหายไปจากหัวใจของฉัน อุบัยด์กล่าวว่า         ถ้าหากอัลเลาะห์ทรงลงโทษชาวฟ้า และชาวดินของพระองค์ พระองค์ก็จะไม่ใช่เป็นผู้ทุจริตต่อพวกเขา และถ้าหากพระองค์ทรงเมตตาพวกเขา ความเมตตาของพระองค์ ที่มืต่อพวกเขานั้นเป็นความดีแก่พวกเขายิ่งกว่าการกระทำความดีต่างๆ  ของพวกเขา และถ้าหากท่านบริจาคเท่าภูเขาอุฮุดเป็นทองคำ ไปในวิถีทางของอัลเลาะห์ตาอาลา อัลเลาะห์จะไม่ ทรงรับมันไปจากท่าน จนกว่าท่านจะศรัทธาต่อกำหนดสภาวะการณ์ และรู้ว่าสิ่งที่ได้เกิดกับ ท่านนั้น มันจะไม่พลาดไปจากท่าน และสิ่งใดที่พลาดไปจากท่าน มันก็จะไม่มาเกิดขึ้นกับท่าน มันจะไม่พลาดไปจาภท่าน และสิ่งใดที่พลาดไปจากท่าน มันทิ่จะไม่มาเกิดขึ้นทับท่าน และถ้าหากท่านตายไปโดยยึดมั่นนอกจากนี้ ท่านก็จะต้องเข้านรกเขา (ผู้เล่า) ได้กล่าวว่า หลังจากนั้นฉันได้ไปหาอับดุลเลาะห์บุตรมัสอูดและเขาก็ได้กล่าวเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นฉันได้ไปหา ฮุซัยฟะห์ บุตร ยะมานและเขาก็ได้กล่าวเช่นเดียวกัน ต่อมาฉันได้ไปหา เซด บุตร ซาบิต และเขาได้เล่า ให้ข้าพเจ้าฟังจากท่านนบี ซ.ล. ด้วยข้อความที่เหมือนกันนั้น

รายงามโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บุตรอัมร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า                       ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้ทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆ  ของพระองค์ขึ้นในความมืด ต่อมาพระองค์ได้หยิบยื่นให้พวกนั้นจากรัศมืของพระองค์ ดังนั้นผู้ใด ที่พระองค์ได้ให้ประสบกับเขาจากรัศมีนั้นเขาก์ได้รับทางนำ และผู้ใดที่พระองค์ได้ให้พลาดไป (จากรัศมีนั้น) เขากหลงผิดเพราะเหดุนี้ ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า                         ปากกาแห้งแล้วตามความรู้ของอัลเลาะห์ตาอาลา[230] 

รายงานโดยติรมิซี ในเรื่องการศรัทธา

ไม่สมควรโต้เถียงกันในเรื่องกำหนดสภาวะการณ์

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ได้ออกมาหาพวกเรา

ในขณะที่พวกเรากำลังโต้เถียงกันอยู่ในเรื่องกำหนดการของอัลเลาะห์ท่านนบีโกรธจนหน้าของ ท่านแดง คล้ายกับมีผลทับทิมฝังอยู่ในแก้มทั้งสองข้างของท่าน ท่านได้กล่าวว่า                                                                ด้วยสิ่งนี้ หรือที่พวกท่านถูกบัญชา หรือด้วยสิ่งนี้หรือ ที่ฉันถูกส่งมายังพวกท่าน ความจริงบุคคลที่อยู่ใน ยุคก่อนพวกท่านได้พินาศไปแล้วขณะที่โต้เถียงกันในเรื่องนี้ ฉันขอยํ้าแก่พวกท่าน ขอฟ้าแก่ พวกท่านว่า พวกท่านต้องไม่โต้เถียงกันในเรื่องนี้

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า บ่าวจะยังไม่มีศรัทธาจนกว่า

เขาจะมีศรัทธาต่อกำหนดสภาวะการณ์ทั้งกำหนดความดีและกำหนดความชั่ว และจนกว่าเขา จะรู้ว่าสิ่งที่ได้เกิดกับเขานั้น มันจะไม่พลาดไปจากเขา และสิ่งที่พลาดไปจากเขานั้น มันจะไม่ เกิดขึ้นกับเขา 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า หกคนที่ฉันสาปแข้งพวกเขา และอัลเลาะห์กสาปแข้งพวกเขา และนบีทุกคน คือ ผู้ที่เพิ่มเติมคัมภีร์ของอัลเลาะห์

ผู้กล่าวหากำหนดสภาวการณ์ของอัลเลาะห์ว่าโกหก ผู้ปกครองโดยเผด็จการเพื่อใช้อำนาจเผด็จการนั้น กระทำให้มีเกียรติแก่ผู้ที่อัลเลาะห์ทรงให้ตกต่ำ และกระทำให้ตกตํ่าแก่ผู้ที่อัลเลาะห์ทรงให้ เกียรติ ผู้ที่ถือว่าแผ่นตินศักดิ้สิทธของอัลเลาะห์เป็นที่อนุมัติ (ให้กระทำสิ่งต้องห้ามได้) และ ผู้ทิลีอว่าสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงห้ามในส่วนที่เกี่ยวกับครอบครัวของฉันเป็นที่อนุมัติและผู้ที่ละทิ้ง ซุนนะห์ของฉัน 

รายงานโดย ติรมิซี และฮากีม ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

เส้นชีวิตและปัจจัยยังชีพ ถูกกำหนดไว้แล้ว 

อัลเลาะห์ตา;อาลา ทรงตรัสว่า “เมื่อกำหนดความตายของพวกเขามาไง พวกเขาจะ

ประวิงไว้ และร่นเข้ามำไม่ได้แม้เพียงครู่เดียว,,

อุมม์ ฮะบีบะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดให้ความสุขแก่ฉันพร้อมด้วยสามีของฉัน คือ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. และบิดาของฉัน คือ อะบีชุฟยานและพี่ชาย ของฉัน คือ มุอาวิยะห์ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่เธอว่า ความจริงเธอได้วิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ถึงขีดความตายที่ได้กำหนดไว้แล้ว ถึงงานต่างๆ ที่จะต้องเกิดขึ้น ถึงปัจจัยยังชีพที่ได้ถูกแบ่งปันไว้แล้ว มันจะไม่ทำให้เร็วขึ้นสักอย่างเดียวจากสิ่งเหล่านั้นก่อนที่มันจะเกิด และมันจะไม่ทำให้ข้าลงไปสักอย่างเดียว หลังจากมันได้เกิดขึ้น และถ้าหากเธอจะวิงวอนขอ ต่ออัลเลาะห์ให้เธอพ้นจากการลงโทษของไฟนรก และการลงโทษในหลุมศพจะเป็นการดีแก่ เธอ ต่อมาชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์       ลิงและหมูเป็นสิ่งที่ลูกสาปหรือ

ท่านกล่าวว่า       แท้จริงอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร จะไม่ทำลายพวกใดหรือลงโทษพวกใด โดยพระองค์จะดลบันดาลให้พวกเขามีเชื้อสายสืบต่อไป แต่ความจริงลิงและหมูมีมา ก่อนจากนั้น258 

รายงานโคย มุสลิม

คอลิด อัลฮัซซาอฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่หะซันว่า โอ้อะบู สะอีด

จงบอกข้าพเจ้าเกี่ยวกับอาดัม อ.ล. เขาลูกสร้างขึ้นเพี่อฟ้าหรือเพื่อแผ่นดิน เขากล่าวว่า แต่เพี่อแผ่นดินข้าพเจ้ากล่าวว่า จงบอกข้าพเจ้าเถิด ถ้าหากอาดัมยึดมั่นต่อคำสั่งและเขาไม่กินจากต้นไม้นั้น เขากล่าวว่า เขาจะไม่มีทางเลี่ยงเลย ข้าพเจ้ากล่าวว่า จงบอกข้าพเจ้าถึง คำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “พวกเจ้าไม่อาจทำความปั่นป่วน (ผู้ใด) ต่อสิ่งที่พวกท่านสักการะ นอกจากผู้ที่ต้องเข้าไปอยู่ในเปลวเพลิงนรกเท่านั้น” เขากล่าวว่า ความจริงบรรดาชัยฏอน นั้นจะไม่สร้างความปั่นป่วนด้วยความหลงผิดของพวกมันแก่ผู้ใด นอกจากผู้ที่อัลเลาะห์ได้กำหนด นรกให้แก่เขาเป็นการแน่นอนแล้ว  และได้ถามเขาถึงคำดำรัสที่ว่า “เพี่อการดังกล่าวพระองค์ จึงได้สร้างพวกเขาขึ้น,, เขากล่าวว่า อัลเลาะห์ทรงสร้างพวกนั้นเพี่อสิ่งนี้259 และพวกนี้เพี่อ สิ่งนั้น260 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

  1. พวกบะนีอิสรออิส ที่ถูกสาปเป็นลิงและหมูจะไม่มีชีวิตอยู่หลังจากสามวัน แต่พวกเขาจะตายไปหลังจากนั้น ลิงและหมูที่มี อยู่ในปัจจุบันนี้ไม่ใช่สืบเชื้อสายมาจากพวกเขา แต่มันมีมาก่อนพวกนั้น 
  2.  คือสวรรค์
  3. คือนรก


 

หัวใจอยู่ในกำมือฃองพระผู้ทรงเมตตายิ่ง

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. จะกล่าวมาก ๆ อยู่เสมอว่าโอ้ผู้ทรงเปลี่ยนใจ ได้โปรดให้หัวใจของข้าพเจ้ามั่นคงอยู่กับศาสนาของท่าน พวกเราได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ พวกเราศรัทธาต่อท่านและสิ่งที่ท่านนำมาท่านยังจะกลัวภัยมาประสบกับพวกเราหรือ ท่านนบีกล่าวว่า ลูกแล้ว เพราะความจริงหัวใจนั้นอยู่ระหว่างสองนิ้วจากบรรดานิ้วของอัลเลาะห์ที่พระองค์จะพลิกมันแล้วแด่พระองค์ทรงประสงค์

รายงานโคยมุสลิม และติรมิซี

และตัวบทของมุสลิมว่า แท้จริงหัวใจของลูกหลานอาดัมทั้งหมดนั้นอยู่ระหว่างสองนิ้วจากบรรดานิ้วของพระผู้ทรงเมตตา เหมือนหัวใจดวงเดียวกัน พระองค์จะพลิกผันอย่างไร ได้ตามประสงค์ ข้าแต่อัลเลาะห์ได้โปรดให้หัวใจของพวกเรามั่นคงอยู่กับศาสนาของท่าน

ตัวบทที่มีมาในเรื่องเด็กๆ ของพวกผู้ไร้ศรัทธา (กาฟิร)

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีทารกใดที่

คลอดออกมา นอกจากจะถูกคลอดออกมาอยู่บนธรรมชาติอันบริสุทธิ์ พ่อแม่ของทารกนั้นจะ นำให้เขาไปเป็นยะฮูดี นัสรอนี และมะยูซี เหมือนสัตว์ที่ถูกคลอดออกมาเป็นสัตว์ที่มรูปร่าง สมบูรณ์ พวกท่านจะรู้สึกว่ามันเป็นสัตว์พิการไหม หลังจากนั้นอะบู ฮุรอยเราะห์ไตักล่าวว่า และพวกท่านจงอ่านเถิดหากต้องการ “เป็นธรรมชาติของอัลเลาะห์ที่พระองค์ให้มวลมนุษย์ ดำเนินอยู่บนมัน”[231] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และได้กล่าวมาแล้วในภาคความฝันในตอนท้ายของคำบรรยายหะดีษที่ยาว ดังมีตัวบท ว่า และชายสูงที่อยู่ในสวนนั้น คือ อิบรอฮีม อ.ล. ส่วนเดีก ๆ ที่อยู่รอบ ๆ เขานั้น คือ ทั้งหมดทารกที่คลอดแล้วตายอยู่บนธรรมชาติอันบริสุทธ ได้มีมุสลิมบางคนถามว่าโอ้ท่าน

รอซูลุลเลาะห์และลูก ๆ ของพวกผู้ตั้งภาคี (ด้วยหรือ) ท่านตอบว่า                และลูก ๆ ของพวกผู้ตั้งภาคี[232]

รายงานโดย บุดอรี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ลูกถามถึงเดีก ๆ ของพวกผู้ตั้งภาคี ท่านได้ตอบว่า   อัลเลาะห์ทรงรู้ ด้วยสิ่งที่พวกเขาจะกระทำ 263

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เดีกคนหนึ่งเสียชีวิตลง ฉันได้กล่าวว่า โชคดีเป็น ของเขาแล้ว นกตัวหนึ่งจากบรรดานกสวรรค์ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า เธอไม่รู้

หรือว่าแท้จริงอัลเลาะห์ได้สร้างสวรรค์และสร้างนรก พระองค์ได้สร้างไว้เพื่อสิ่งนี้ คนพวกหนึ่ง และเพื่อสิ่งนั้น คนอีกพวกหนึ่ง และในบางรายงานว่า แท้จริงอัลเลาะหใต้ทรงสร้าง เพื่อสวรรค์ นั้น คนพวกหนึ่งที่พระองค์ได้สร้างพวกเขาเพื่อมัน โดยพวกเขายังอยู่ในไขสันหลังบรรพบุรุษ ของพวกเขา และพระองค์ได้สร้างเพื่อนรกนั้น คนอีกพวกหนึ่ง ที่พระองค์ได้สร้างพวกเขาเพื่อ มัน โดยพวกเขายังอยู่ในไขสันหลังบรรพบุรุษของพวกเขา                    

ายงานโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

และเล่าจากอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์เดีกๆ ของ บรรดาผู้มีศรัทธา ท่านตอบว่า พวกเขามาจากบรรพบุรุษของพวกเขา ข้าพเจ้ากามว่าโดย

ไม่มีการกระทำใดๆ หรือ ท่านตอบว่า อัลเลาะห์ทรงรู้สิ่งที่พวกเขาจะกระทำ ข้าพเจ้าถามว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์เด็กๆ  ของพวกผู้ตั้งภาคี ท่านตอบว่า จากบรรพบุรุษของพวกเขา ข้าพเจ้า ถามว่า โดยไม่มีการกระทำใดๆ หรือ ท่านตอบว่า อัลเลาะห์ทรงทราบดี ถึงสิ่งที่พวกเขาจะกระทำ 265 

รายงานโดย อะบู ดาวูด ด้วยรายงานทศอลิฮะห์

ตัวบทที่มีมาในพวกฟัตเราะห์ [233] 

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “เราจะไม่ลงโทษจนกว่าจะได้ส่งศาสนทูตมาเสียก่อน,,

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริงชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ บิดาของ

ฉันอยู่ที่ไหน ท่านนบีตอบว่า บิดาของท่านอยู่ในนรก และเมื่อเขาไปแล้ว ท่านนบี ซ.ล.ได้

กล่าวว่า แท้จริงบิดาของฉันและบิดาของท่านอยู่ในนรก[234]

เล่าจากอามิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า หญิงที่ฝังลูกผู้หญิงทั้งเป็นและ

เด์กผู้หญิงที่ลูกฝังทั้งเป็นนั้นอยู่ในนรก[235] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด

เล่าจากเซด บุตรซาบิต ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะที่ท่านนบี ซ.ล. อยู่ในสวนของ ตระถูลบะนีนัจญาร บนล่อตัวหนึ่งของท่าน โดยมีพวกเราร่วมอยู่กับท่านด้วย บังเอิญล่อตัวนั้น ได้เกิดพยศขึ้น และเกือบสลัดท่านตกลงมา และบังเอิญที่นั่นมีหลุมฝังศพอยู่หกหรือห้าหรือสี่ หลุม ท่านนบีถามว่า มีใครรู้จักเจ้าของหลุมศพเหล่านี้บ้าง” ชายคนหนึ่งกล่าวตอบว่า ข้าพเจ้า ท่านถามว่า คนเหล่านี้ตายเมื่อไหร่ เขาตอบว่า คนพวกนี้ตายอยู่ในการตั้งภาคี ท่านได้กล่าวว่า ความจริงประชาชาติของมุฮัมมัดจะลูกทดลองอยู่ในหลุมฝังศพของพวกเขา[236] ถ้าแม้ไม่มีการ ที่พวกท่านจะไม่ฝังศพแล้ว ฉันจะวิงวอนขอต่ออัลเลาะ,ห์ให้พวกท่านได้ยินการลงโทษในหลุมฝังศพ ซึ่งข้าพเจ้ากำลังได้ยินจากมันอยู่ขณะนี้[237] 

รายงานโดย มุสลิม และนะซาอี

การกระทำต่าง ๆ พิจารณาในบั้นปลาย [238]

เล่าจากสะหั้ล ร.ฎ. ว่า แท้จริงชายคนหนึ่งเป็นคนยิ่งใหญ่คนหนึ่งของมุสลิมในด้าน ความพอตัวไม่ต้องอาศัยมุสลิม ในสงครามครั้งหนึ่งที่เขาได้ออกรบร่วมกับท่านนบี ซ.ล. ท่าน นบี ซ.ล. มองดูเขาแล้วกล่าวว่า            ใครต้องการจะมองดูชายคนหนึ่งที่เป็นชาวนรกให้เขาจงมองดูชายคนนี้ ต่อมาได้มีชายคนหนึ่งติดตามเขาไป ในขณะที่เขากำลังอยู่ในสภาพเช่นนั้น คือ เป็นผู้ปฏิบิติการอย่างรุนแรงที่สุดต่อพวกผู้ตั้งภาคี จนเขาได้รับบาดแผล และเขาได้เร่งความตาย [239] โดยได้ใช้ปลายดาบแทงเข้าไประหว่างเด้านมทั้งสองข้างของเขา จนมันทะลุออกระหว่าง ใหล่ทั้งสองของเขา[240] ต่อมาชายคนนั้นได้มุ่งหน้ามาหาท่านนบี ซ.ล. อย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า ความจริงท่านเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์[241] ท่านนบีกล่าวว่า มันอย่างไร เขาตอบว่า ท่านได้กล่าวถึงชายคนหนึ่งว่า ใครต้องการมองดูชายคนหนึ่งที่เป็นชาวนรกให้มอง ดูเขา โดยที่ได้ปรากฏว่าเขาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของพวกเรา ในด้านความพอตัวไม่ต้องอาศัย มุสลิม ข้าพเจ้ารู้ว่าเขาจะไม่ตายอยู่บนสภาพเช่นนั้น [242] ต่อมาเมื่อเขาได้รับบาดแผลเขาได้เร่งความตายโดยการฆ่าตัวเอง ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวในขณะนั้นว่า แท้จริงบ่าวนั้นกระทำงานของชาวนรก และแท้จริงเขาเป็นชาวสวรรค์ และเขาจะทำงานของชาวสวรรค์ โดยแท้จริงเขาเป็นชาวนรก และแท้จริงการกระทำต่างๆ นั้น ต้องพิจารณาที่บั้นปลาย

รายงานโดยบุคอรี

เล่าจากอับดิลลาฮ์ บุตร อัมร์ ได้กล่าวว่า  ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.  ได้ออกมาหาพวกเรา โดยในมือทั้งสองของท่านมีหนังสือสองเล่ม ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านทราบไหมว่า หนัวสือสองเล่มนี้คืออะไร พวกเขาตอบว่าไม่ทราบ โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ นอกจากท่านจะบอกพวกเรา ท่านได้กล่าวแก่เล่มที่อยู่ในมือขวาของท่านว่า นี่เป็นหนังสือจากผู้อภิบาลสากลโลก ในนี้คือรายชื่อของชาวสวรรค์ พร้อมด้วยชื่อบิดาของพวกเขา และชื่อเผ่าของพวกเขา หลังจากนั้นท่านได้สรุปจนคนสุดท้ายของพวกเขา พวกเขาจะไม่เพิ่มจำนวนและจะไม่ลดลงตลอดไป หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่เล่มที่อยู่ในมือซ้ายของท่านว่า นี่เป็นหนังสือจากผู้อภิบาลสากลโลก ในนี้คือรายชื่อของชาวนรก พร้อมด้วยชื่อบิดาของพวกเขา และชื่อเผ่าของพวกเขา จากนั้นท่านได้สรุปจนคนสุดท้ายของพวกเขา พวกเขาจะไม่เพิ่มจำนวนและจะไม่ลดลงตลอดไป บรรดาอัครสาวกของท่านถามว่า ดังนั้นจะกระทำในสิ่งใด โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ถ้าหากเป็นงานที่สำเร็จลุล่วงไปแล้ว ท่านนบีได้กล่าวว่า พวกท่านจงหาความถูกต้อง และจงเดินสายกลางในการปฏิบัติ เพราะความจริงชาวสวรรค์นั้น เขาจะถูกประทับตราไว้แล้วว่าต้องปฏิบัติงานของชาวสวรรค์ แม้ว่าเขาจะทำงานใดๆอยู่ก่อนก็ตาม และแท้จริงชาวนรก เขาจะถูกประทับตราไว้แล้วว่าต้องปฏิบัติงานของชาวนรก แม้ว่าเขาจะทำงานใดๆอยู่ก่อนก็ตาม หลังจากนั้น ท่านรอซูลุลเลาะห์ ได้ทำท่าด้วยมือของท่านทั้งสองข้าง และได้ขว้างมันทั้งสอง จากนั้นได้กล่าวว่า พระผู้อภิบาลของพวกท่านเสร็จงานที่กำกับบ่าวแล้ว พวกหนึ่งอยู่ในสวรรค์ และอีกพวกหนึ่ง อยู่ในนรก

เล่าจากอนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่ออัลเลาะห์ทรงปารถนาให้บ่าวคนหนึ่งดี พระองค์จะทรงแต่งตั้งเขา ได้มีผู้ถามว่า พระองค์จะแต่งตั้งเขาอย่างไร ท่านตอบว่า พระองค์จะให้เขาพบความสำเร็จในการกระทำที่ดีก่อนตาย

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี ในเรื่องกำหนดการของอัลเลาะห์  ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

จำเป็นต้องรีบเร่งทำความดี

จากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า พวกท่านทั้งหลายจงรีบเร่งทำความดี ก่อนจะเกิดวิกฤติการณ์เลวร้ายต่างๆ ขึ้น ซึ่งมันจะเหมือนกับช่วงต่างๆ ของกลางคืนที่มืดมิด ชายคนหนึ่งรุ่งเช้าเขาอยู่ในสภาพผู้ศรัทธา ตกเย็นเขากลายเป็นผู้ไร้ศรัทธา (กาฟิร)  และคนหนึ่งตอนเย็นเขาเป็นผู้ศรัทธา  รุ่งเช้าเขาเป็นผู้ไร้ศรัทธา  เขายอมแลกศาสนาของเขากับข้าวของในโลกนี้ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม  และติรมิซี

จากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงรีบเร่งทำความดีก่อนเจ็ดประการนี้ พวกท่านไม่ได้รอคอย นอกจากความยากจนที่ถูกลืมเลือนไปแล้ว หรือความร่ำรวยที่กดขี่ หรืออาการป่วยที่ทำให้เสื่อมสุขภาพ หรือความชราที่ทำให้พูดเลอะเลือน หรือความตายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หรือดัจญาล มันเป็นความชั่วร้ายที่ยังไม่ปรากฏซึ่งถูกรอคอย หรือวันกิยามะห์ และวันกิยามะห์นั้นยากลำบากและขื่นขมยิ่ง

รายงานหะดีษโดยติรมิซี และฮากีม

จากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงรีบเร่งทำความดีก่อนหกประการ  ตะวันขึ้นทางทิศตะวันตก  หรือควัน หรือดัจญาล หรือสัตว์ หรืองานเฉพาะตัวของคนใดคนหนึ่งของพวกท่าน หรืองานทั่วไป

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะห์มัด

ความกลัวอัลเลาะห์ตะอาลา

จากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากพวกท่านรู้ในสิ่งที่ฉันรู้ พวกท่านจะต้องหัวเราะเพียงเล็กน้อย และจะต้องร้องไห้อย่างมากมาย

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และติรมิซี 

จากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ไฟนรกถูกปิดกั้น อยู่ด้วยสิ่งที่อารมณ์มีความต้องการ และสวรรค์ถูกปิดกั้นอยู่ด้วยสิ่งที่ต้องฝืนอารมณ์ต้องการ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อับดิลลาฮ์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า สวรรค์นั้นอยู่ใกล้กับคนหนึ่งคนใดของพวกท่านยิ่งกว่าสายรัดรองเท้าแตะของเขาและไฟนรกก็เช่นกัน

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และอะห์มัด 

จากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ในยุคสุดท้ายจะมีพวกผู้ชายออกมาใช้ศาสนาล่อเอาดุนยา พวกเขาจะสวมใส่หนังแพะที่อ่อนนุ่ม เพื่อล่อลวงมนุษย์ ลิ้นของเขาหวานยิ่งกว่าน้ำตาล แต่หัวใจของเขาคือหัวใจของหมาป่า อัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรตรัสว่า พวกเขาจะลวงล่อเราหรือพวกเขาจะบังอาจกับเราหรือ เราขอสาบานต่อตัวเองว่า เราจะส่งวิกฤตการณ์ให้ๆปเกิดกับพวกเขา ซึ่งมันจะปล่อยให้คนมีขันติของพวกเขาตกอยู่ในความลังเล

จากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ไม่มีคนใดที่ตายไป นอกจากเขาจะต้องเสียใจ พวกเขาได้ถามว่า อะไรคือความเสียใจของพวกเขา โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านตอบว่า ถ้าหากเขาเป็นคนดีเขาก็เสียใจว่าจะไม่ได้ความดีเพิ่ม ถ้าหากเขาเป็นคนเลว เขาก็จะเสียใจว่าเขายังไม่ได้เลิกประพฤติชั่ว

จากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  ใครกลัวให้เขาเดินทางในเวลากลางคืน และผู้ใดเดินทางในเวลากลางคืน เขาก็จะถึงบ้าน พึงทราบเถิดว่า ข้าวของของอัลเลาะห์มีราคาแพง พึงทราบเถิด แท้จริงข้าวของของอัลเลาะห์คือสวรรค์

จากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า จะไม่ได้เข้านรกชายที่ร้องไห้เพราะกลัวอัลเลาะห์ จนกว่าน้ำนมจะกลับเข้าไปในเต้านมอีก และฝุ่นในวิถีทางของอัลเลาะห์จะไม่รวมตัวอยู่กับควันของนรกญะฮันนัม

เล่าจากฮานิอ์   ได้กล่าวว่า อุสมาน ร.ฎ.  เมื่อหยุดอยู่ที่หลุมศพ จนเปียกเคราของเขา มีผู้ถามเขาว่า ท่านได้กล่าวถึงสวรรค์และนรกแต่ท่านไม่ร้องไห้ แต่ท่านจะร้องไห้เพราะสิ่งนี้หรือ อุสมานกล่าวว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงหลุมศพนั้นเป็นบ้านของอาคิเราะห์หลังแรก ถ้าหากเขาปลอดภัยจากหลุมฝังศพ สิ่งที่อยู่หลังจากนั้นก็สะดวกยิ่งกว่ามัน แต่ถ้าหากเขาไม่พ้นจากหลุมศพ สิ่งที่อยู่หลังจากนั้นก็ร้ายกาจยิ่งกว่ามัน และข้าพเจ้าไม่เคยเห็นภาพใดนอกจากหลุมฝังศพ ที่น่าขยะแขยงยิ่งกว่ามัน

เล่าจาก อะบี ซัรร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าเห็นสิ่งที่พวกท่านไม่เห็น และข้าพเจ้าได้ยินในสิ่งที่พวกท่านไม่ได้ยิน ฟ้าส่งเสียงร้อง และสมควรที่มันจะร้องเพราะไม่มีสถานที่กว้างสี่นิ้วในสวรรค์ นอกจากจะมีมะลาอิกะห์วางหน้าผากสุญูดต่ออัลเลาะห์ สาบานต่ออัลเลาะห์ ถ้าหากพวกท่านรู้ในสิ่งที่ฉันรู้ พวกท่านจะต้องหัวเราะแต่เพียงเล็กน้อย และจะร้องไห้อย่างมากมาย และพวกท่านจะไม่หาความสำราญกับผู้หญิงบนที่นอนนั้น และพวกท่านจะต้องออกไปยังลานบ้าน ขอความช่วยเหลือต่ออัลเลาะห์ ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเป็นต้นไม้ที่ถูกตัด

การมอบหมายต่ออัลเลาะห์ตะอาลา

อัลเลาะห์ตะอาลาทรงตรัสว่า “และผู้ใดมอบหมายต่ออัลเลาะห์แน่แท้ พระองค์ก็เพียงพอสำหรับเขา

 

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า จะได้เข้าสวรรค์ จากประชาชาติของฉันเจ็ดหมื่นคนโดยไม่ต้องสอบสวน พวกเขาคือพวกที่ไม่ขอการรักษาด้วยคาถา ไม่ถือโชคลาง แต่พวกเขามอบหมายต่อผู้อภิบาลของพวกเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อุมัร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ความจริงถ้าหากพวกท่านทั้งหลายมอบหมายต่ออัลเลาะห์อย่างสมควรจะมอบหมายต่อพระองค์แล้ว พวกท่านจะได้ปัจจัยยังชีพเหมือนที่นกได้ปัจจัยยังชีพ นกออกไปในเวลาเช้าท้องกิ่ว และกลับมาในตอนเย็นท้องอิ่ม

รายงานหะดีษโดยอะห์มัด และฮากีม

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. แท้จริงชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ฉันจะผูกอูฐไว้และมอบหมาย หรือข้าพเจ้าจะปล่อยมันและมอบหมาย ท่านนบีตอบว่า จงผูกมันแล้วมอบหมาย

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ในตอนท้ายของเรื่องการมอบหมาย

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดความขัดสนได้เกิดขึ้นกับเขา และเขาได้นำเอาความขัดสนนั้นไปลงที่มนุษย์ ความขัดสนของเขาจะไม่ถูกอุด ผู้ใดความขัดสนได้เกิดขึ้นกับเขา และเขาได้นำเอาความขัดสนนั้นไปลงที่อัลเลาะห์ มันก็เกือบแล้วที่อัลเลาะห์ จะให้ปัจจัยยังชีพแก่เขา ไม่ช้าก็เร็ว หรือไม่ปัจจุบันก็อนาคต

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีพี่น้องสองคนในสมัยท่านนบี ซ.ล. คนหนึ่งจากทั้งสองได้มาหาท่านนบี ซ.ล. และอีกคนหนึ่งประกอบอาชีพ ต่อมาคนที่ประกอบอาชีพได้มาร้องเรียนพี่น้องของเขาต่อท่านนบี ซ.ล. ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านอาจได้รับปัจจัยยังชีพเพราะเขาก็ได้

และมุอาวิยะห์ ร.ฎ. ได้เขียนสาส์นไปถึงอาอิชะห์ ร.ฎ. ว่า ขอให้เธอเขียนหนังสือ ให้ฉันฉบับหนึ่ง ให้เธอสั่งเสัยฉันไว้ในหนังสือฉบับนั้น และเธออย่าให้มากแก่ฉัน ต่อมา อาอิชะห์ ก็ได้เขียนไปถึงเขาว่า           ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน อนึ่งหลังจากนั้น, แท้จริงข้าพเจ้าไดยินท่าน

รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า ผู้ใดแสวงหาความพอใจของอัลเลาะห์บนความโกรธกริ้วของ มนุษย์, อัลเลาะห์จะให้เขาพ้นจากความชั่วของมนุษย์ และผู้ใดแสวงหาความพอใจของมนุษย์ บนความกริ้วโกรธของอัลเลาะห์ อัลเลาะห์จะปล่อยเขาไว้กับมนุษย์ ขอความสันติจงมีแด่ท่าน

รายงานทั้งสามหะดีษนี้โดย ฅิรมิซี

 ตอนที่ห้า 

เรื่องต่าง ๆ ที่ทำให้หัวใจออนโยน 

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า ผู้ใดตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนที่เรารัก เราจะประกาศสงคราม

กับเขา [243] และไม่มีสั่งใดที่บ่าวของเราได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับเราด้วยสั่งใดๆ ที่เราจะปรารถนายิ่งกว่า สิ่งที่เราได้กำหนดให้เป็นหน้าที่เหนือตัวเขา[244] และบ่าวของเราจะยังคงทำตัวให้ใกล้ชิดกับเรา ด้วย “การกระทำต่างๆ โดยสมัครใจ,’ จนกว่าเราจะรักเขา[245] และเมื่อเรารักเขา เราก็จะเป็น หูของเขาที่เขาจะใช้รับฟัง[246] และเป็นสายตาของเขาที่เขาจะใช้มองดู[247] และเป็นมือของเขาที่ เขาจะใช้หยิบจับ และเป็นเท้าของเขาที่เขาจะใช้เดิน[248] และถ้าหากเขาขอเรา เราก็จะต้องให้เขา และถ้าหากเขาขอป้องกันต่อเรา เราก็จะป้องกันให้เขา และเราไม่เคยลังเลในสั่งใดที่เราจะกระทำ เหมือนการที่เราลังเลในชีวิตของผู้,มีศรัทธาที่รังเกียจความตาย โดยที่เรารังเกียจความร้ายแรงของมัน[249] 

รายงานโดย บุคอรี และอิหม่ามอะห์มัด

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อวิญญาณของผู้,มีศรัทธาได้ออกจาก

ร่าง จะมีมะลาอิกะห์สองท่านมารับวิญญาณนั้น และนำมันขึ้นไป

ฮัมมาด ร.ฎ. [250] ได้กล่าวว่า เขา (อะบู ฮุรอยเราะห์) ได้บอกพวกเราถึงกลิ่นหอม ของมัน (วิญญาณ) ว่ายิ่งกว่าชมดเชียง และชาวฟัาก็จะกล่าวว่า วิญญาณที่ดีได้มาจากเบื้องล่าง

แล้ว อัลเลาะห์ได้โปรดให้พรเจ้า และร่างที่เจ้าเคยอาศัยอยู่ จากนั้นมันจะลูกนำไปยังพระผู้ อภิบาลของมัน ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ต่อมาพระองค์จะกล่าวว่า พวกเจ้าจงนำมันไป ยังเขตสุดท้าย[251] อะบู ฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า และความจริงผู้ไร้ศรัทธา (กาฟิร) นั้น เมื่อ วิญญาณของมันออกจากร่าง ฮัมมาดได้กล่าวว่า และเขาได้กล่าวถึงความเน่าเหม็นของมัน และได้กล่าวถึงการสาปแช่ง ชาวฟ้าจะกล่าวว่า วิญญาณที่เลวได้มาจากเบื้องล่างแล้ว จะมีผู้กล่าวว่า จงนำมันไปจนถึงเขตสุดท้าย อะบู ฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้ใช้ผ้าบางๆ ที่อยู่ที่ท่านปัดจมูกของท่านอย่างนี้ 

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจากอัลบะรออฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ออกไปกับท่านนบี ซ.ล. ในขบวนศพของชายคนหนึ่งจากชาวอันชอร และพวกเราได้ไปสุดลงที่หลุมศพ เมื่อฝังร่างชายคนนั้นแล้ว ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้นั่งลง และพวกเรากึนั่งลงรอบๆ ท่าน ในสภาพคล้ายกับ บนหัวของเรามีนกเกาะอยู่ ในมือของท่านมีไม้เรียวที่ท่านใช้มันคุ้ยดิน ท่านได้เงยหัวขึ้น แล้ว กล่าวว่า   พวกท่านจงขอป้องกันด้วยอัลเลาะห์ จากการลงโทษในหลุมศพ ท่านได้กล่าวสองครั้งหรือสามครั้ง แล้วกล่าวว่า แท้จริงผู้มีศรัทธานั้น เมื่อร่างของเขาลูกวางลงในหลุมฝังศพของเขา และมิตรสหายของเขาได้กลับไปโดยทิ้งเขาไว้ เขาจะไดิยินเสียงกระทบของรองเท้าพวกนั้น[252] จะมีมะลาอิกะห์สองท่านมาหาเขาและจับเขานั่ง และทั้งสองท่านจะกล่าวแก่เขาว่า ใคร คือพระผู้อภิบาลของท่าน เขาจะตอบว่า พระผู้อภิบาลของฉันคืออัลเลาะห์ ทั้งสองท่านจะ กล่าวแก่เขาว่า อะไรคือศาสนาของท่าน เขาจะตอบว่า ศาสนาของฉันคืออิสลาม ทั้งสอง ท่านจะกล่าวแก่เขาว่า ใครคือชายคนนี้ที่ลูกแต่งตั้งมาในหมู่พวกท่าน [253] เขาจะตอบว่า เขา คือศาสนทูตของอัลเลาะห์ ซ.ล. ทั้งสองท่านจะกล่าวว่า อะไรบอกให้ท่านรู้เช่นนั้น[254] เขา จะตอบว่า ข้าพเจ้าได้อ่านคัมภีร์ของอัลเลาะห์ ข้าพเจ้าศรัทธาและเชื่อมั่นต่อมัน และนั่นก็คือ ดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า            “อัลเลาะห์จะทรงให้บรรดาผู้ศรัทธามั่นคงด้วยคำพูดที่หนักแน่น ทั้งในชีวิตในโลกนี้และในอาคิเราะห์” ต่อจากนั้นจะมีผู้ประกาศส่งเสียงเรียกมาจาก ฟากฟ้าว่า บ่าวของเราพูดถูกต้องแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจงปูให้เขาจากสวรรค์เถิด จงสวมใส่ให้เขา จากสวรรค์ และจงเปิดประตูให้เขาไปสู่สวรรค์ ต่อมาก็จะมีกลิ่นหอมและกลิ่นที่ดีของสวรรค์ มายังเขา และหลุมศพจะลูกเปิดให้เขาสุดสายตา และแท้จริงผู้ไร้ศรัทธา (กาฟิร) หรือคนที่ ตีสองหน้านั้น เมื่อร่างของเขาลูกวางลงในหลุมฝังศพของเขา และวิญญาณของเขาได้กลับเข้าร่าง จะมีมะลาอิกะห์สองท่านมาหาเขา และจับเขานั่ง ทั้งสองท่านจะกล่าวแก่เขาว่า ใครคือพระผู้อภิบาลของเจ้า เขาจะตอบว่า ฮา ฮา ฉันไม่รู ทั้งสองท่านจะกล่าวว่า อะไรคือศาสนาของ ท่าน เขาจะตอบว่า ฮา ฮา ฉันไม่รู้ ทั้งสองท่านจะกล่าวว่า ชายคนนี้ที่ลูกแต่งตั้งมาในหมู่ พวกเจ้าเขาเป็นใคร      เขาจะตอบว่า ฮา ฮา ฉันไม่รู้ ผู้เล่าได้กล่าวว่า            จะมีผู้ประกาศส่งเสียงเรียกมาจากฟากฟ้าว่า เขาโกหก ดังนั้นพวกท่านจงปูให้เขาจากไฟนรก จงให้พวกเขาสวมใส่ จากไฟนรก และจงเปิดประตูให้เขาไปส่ไฟนรก ผู้เล่าได้กล่าวว่า ต่อมาความร้อนระอุของไฟนรก ก็จะมาถึงเขา และหลุมศพของเขาจะถูกทำให้แคบ จนกระดูกซี่โครงประสานกัน จากนั้นจะถูก ส่งมายังเขาเจ้าหน้าที่ขุมนรกที่ตาบอด เป็นใบ้ มีกระบองที่ทำมาจากเหล็ก ถ้าหากภูเขาถูกตีด้วย กระบองเหล็กนี้ ก็จะป่นกลายเป็นดิน และเจ้าหน้าที่ก็จะตีเขาด้วยกระบองนั้น ครั้งหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่อยู่ระหว่างตะวันออกและตะวันตกจะได้ยินเสียงการตีนึ้นอกจากมนุษย์และญินเท่านั้น และร่างของเขาก็จะกลายเป็นดิน หลังจากนั้นวิญญาณก็จะถูกนำมาใส่ร่างของเขาอีก 

รายงานโดย อะบู คาวูด และนะซาอี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล.ได้กล่าวว่า เมื่อ ศพลูกฝังหรือได้กล่าวว่า (เมื่อ) คนใดคนหนึ่งของพวกท่าน (ถูกฝัง) จะมีมะลาอิกะห์สองท่าน ดำแกมฟ้ามาหาเขา ท่านหนึ่งจากทั้งสองเรียกว่า มุนกัร อีกท่านหนึ่ง น่ากีร307 ทั้งสองท่านจะ กล่าวว่า  ท่านเคยพูดไว้อย่างไรในชายคนนึ่ 308 เขาจะตอบว่า เขาเคยพูดไว้ว่า เขาเป็นบ่าว ของอัลเลาะห์ และเป็นศาสนทูตของพระองค์ ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ลูกสักการะ โดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า แท้จริงมุฮัมมัดเป็นบ่าวของพระองค์ และเป็นศาสนทูตของพระองค์ ทั้งสองท่านจะกล่าวว่า พวกเราทราบดีว่าท่านได้เคยพูดเช่นนึ้ หลังจากนั้นหลุมศพของเขาก็จะถูกขยายออกไปเจ็ดสิบศอก กว้างเจ็ดสิบศอก และเขาจะได้รับ รัศมีในหลุมศพนั้น และจะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า ท่านจงนอนเถิด เขากล่าวว่า ฉันจะกลับไปหา ครอบครัวของฉันเพื่อบอกพวกเขา ทั้งสองท่านจะกล่าวว่า จงนอนเถิด เหมือนการนอนของเจ้าบ่าว ซึ่งจะไม่มีใครปลุกเขานอกจากคนในครอบครัวของเขาที่เขารักที่สุด จนกว่าอัลเลาะห์ จะบังเกิดเขาอีกครั้งหนึ่งจากที่นอนของเขานี้309 และถ้าหากเขาเป็นคนตีสองหน้า เขาก็จะกล่าวว่า ฉันได้ยินประชาชนพูดกัน และฉันก็พูดเหมือนกับเขา โดยฉันไม่รู้310 ทั้งสองท่านก็จะกล่าวว่า พวกเรารู้แล้วว่าท่านเคยพูดอย่างนี้ จะมีผู้กล่าวแก่พื้นดินว่า เจ้าจงบีบรัดเขา และพื้นแผ่นดิน [255]  ก็บีบรัดเขา จนกระดูกซี่โครงของเขาประสานกัน และเขาจะคงอยู่ในนั้น ถูกลงโทษจนกว่า อัลเลาะห์จะบังเกิดเขาอีกครั้งหนึ่งจากที่นอนของเขานี้

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จาทท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีมะลาอิกะห์ผู้พิทักษ์สองท่าน ที่ได้ขึ้นใปหาอัลเลาะห์ พร้อมด้วยสิ่งที่ทั้งสองท่านได้คอยพิทักษ์ในเวลากลางคืนหรือกลางวัน และอัลเลาะห์จะพบในตอนหัวของสมุดบันทึก และในตอนท้ายของสมุดบันทึกว่ามีความดี นอก จากอัลเลาะห์ตาอาลาจะตรัสว่า ข้าฯ ขออ้างพวกเจ้าเป็นพยานว่า ข้าๆ ได้อภัยให้แก่บ่าวของ ข้าแล้ว ในส่วนที่อยู่ระหว่างหัวท้ายของสมุดบันทึกนั้น 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมข ในเรื่อง ศพบนคันหาม

และเล่าจากเขา (อะนัส) จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่ปรากฏว่า อาคิเราะห์คือเป้าหมายของเขา อัลเลาะห์จะให้เกิดความพอขึ้นในหัวใจของเขา และพระองค์จะให้งาน ของเขาเป็นกอบเป็นกำ เป็นประโยชน์แก่เขา และโลกนี้จะมาสู่เขาในสภาพด้อยต่ำ และผู้ใดที่ ปรากฏว่าโลกนี้เป็นเป้าหมายของเขา อัลเลาะห์จะให้เกิดความยากจนอยู่ระหว่างดวงตาทั้งสองข้าง ของเขา และจะให้งานของเขากระจัดกระจายเป็นภัยแก่เขา และโลกนี้จะไม่ได้มาสู่เขา นอกเสีย จากสิ่งที่ได้ถูกกำหนดไว้ให้เขาเท่านั้น

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงทุกสิ่งนั้นมี ความกระตือรือร้น และทุกๆ ความกระตือรือร้นนั้นมีความเหนื่อยหน่าย ถ้าหากเจ้าของมันปฏิบัติ อย่างปานกลางและสม่ำเสมอ พวกท่านจงหวังในตัวเขาเถิด และถ้าหากเขาถูกชี้ด้วยนี้วหลายๆ นิ้ว ท่านทั้งหลายก็อย่านับเขา[256]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ ทรงตรัสว่า โอ้ลูกหลานของอาดัม เจ้าจงทำตัวให้ว่างเพื๋อทำความดีด่อเรา เราจะให้หัวอกของ เจ้าเต็มไปด้วยความพอ และเราจะอุดความจนของเจ้า และถ้าแม้นเจ้าไม่กระทำ เราจะให้มือ ทั้งสองข้างของเจ้าเต็มไปด้วยงาน และเราจะไม่อุดความจนของเจ้า 

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดย ติรมิซี 

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้กินอาหารที่สำนึกในบุญคุณ มีตำแหน่งเท่าภับผู้ถือศีลอดที่มีความอดทน

รายงานโดย ติรมข อะห์มัด และ ฮากีม

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าอยู่ข้างหลังท่านนบี ซ.ล. ในวันหนึ่ง[257] ท่านได้กล่าวขึ้นว่า โอ้เต็กน้อย ฉันจะสอนเจ้าด้วยท้อยคำต่างๆ เจ้าจงรักษาอัลเลาะห์ พระองค์ จะรักษาเจ้า[258] เจ้าจงรักษาอัลเลาะห์ เจ้าจะพบพระองค์อยู่เบื้องหน้าเจ้า[259] เมื่อเจ้าขอจงขอ ต่ออัลเลาะห์[260] เมื่อเจ้าขอความช่วยเหลือ จงขอความช่วยเหลือด้วยอัลเลาะห์[261] เจ้าจงทราบ เถิดว่า แท้จริงมนุษย์ชาตินั้น ถ้าหากจะรวมตัวกันเพึ่อจะทำประโยชน์สิ่งใดแก่เจ้า พวกเขาจะไม่ สามารกทำประโยชน์แก่เจ้าได้เลย นอกจากสิ่งที่อัลเลาะห์ได้กำหนดมันไว้แก่เจ้าแล้ว และถ้าหากพวกเขารวมตัวกันที่จะทำอันตรายแก่เจ้าด้วยสิ่งใดๆ พวกเขาจะไม่สามารกทำอันตรายเจ้าได้ นอกจากสิ่งที่อัลเลาะห์ได้กำหนดมันไว้กับเจ้าแล้ว ปากกาถูกยกขึ้นแล้วและสมุดบันทึกต่างๆ ก็แห้งแล้ว 

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจากอัลหะซัน บุตร อะลี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จงทิ้งสิ่งที่ทำ ให้ท่านสงสัย ไปสู่สิ่งที่ไม่ทำให้ท่านสงสัย เพราะแท้จริงสัจจะนั้นคือความมั่นใจ และมุสานั้น คือความสงสัย[262] 

รายงานโดย ติรมิซี อะหมัด และอิบนุ ฮิบบาน

เล่าจากชัดดาด บุตร เอาส์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนฉลาดคือคนที่

ตรวจสอบตัวเอง และปฏิบัติเพื่อภาวะที่อยู่หลังความตาย และคนโง่คือคนที่ปล่อยให้จิตใจเป็นไปตามอำนาจใฝ่ต่ำของมัน และมุ่งหวังต่ออัลเลาะห์ในความหวังลมๆ แล้งๆ 

รายงานโดย ติรมิซี อะห์มัด และฮากีม

เล่าจากอะบี ซัรร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สามคนที่อัลเลาะห์รักพวกเขา

และสามคนที่อัลเลาะห์โกรธกริ้วพวกเขา ส่วนบรรดาผู้ที่อัลเลาะห์รักพวกเขาคือ ชายคนหนึ่งที่ ได้มาหาคนกลุ่มหนึ่ง เขาได้ขอคนพวกนั้นด้วยอัลเลาะห์ เขาไม่ได้ขอคนพวกนั้นเพราะความเป็น ญาติระหว่างเขากับคนพวกนั้น แด่พวกนั้นไม่ให้เขา มีชายคนหนึ่งถอยหลังออกจากคนพวกนั้น และได้ให้แก่ชายที่มาขออย่างลับๆ ไม่มีใครรู้สิ่งที่เขาให้ นอกจากอัลเลาะห์ตาอาลา กับคนที่ให้ เท่านั้น และคนพวกหนึ่งที่ได้เดินทางในเวลากลางคืน จนการนอนเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ อย่างที่สุด ยิ่งกว่าสิ่งที่แลกเปลี่ยนเป็นทรัพย์สิน พวกเขาได้วางศีรษะลง และได้มีชายคนหนึ่ง ของพวกเขาลุกขึ้นขอความรักต่อฉัน และอ่านอายะห์ต่างๆ ของฉัน และชายคนหนึ่งที่อยู่ใน กองทหาร เขาได้พบกับศัตรู และพวกกองทหารพ่ายแพ้ เขาได้หันหน้าอกของเขา (เข้าสู่) จนถูกฆ่า หรือได้ชัยชนะ และสามคนที่อัลเลาะห์โกรธกริ้วพวกเขา คือ ชายชราผู้ผิดประเวณี คนยากจนที่ยะโส และคนร่ำรวยที่คดโกง

รายงานโดย ติรมิซี อิบนุ ฮิบบาน และฮากีม

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอชูลุ่ลเลาะห็ ซ.ล. ได้เข้าสู่ที่ละหมาด ของท่าน ท่านได้เห็นประชาชนคล้ายกับพวกเขากำลังหัวเราะจนเห็นฟัน ท่านได้กล่าวว่า พึง ทราบเถิดความจริงถ้าหากพวกท่านระลึกถึงสิ่งที่จะตัดขาดความสำราญต่างๆ ให้มากๆ แล้วมันคงจะทำให้พวกท่านหมกมุ่นจนพ้นไปจากสิ่งที่ฉันกำลังเห็นอยู่นี้ ดังนั้นท่านทั้งหลายจงระลึกถึงสิ่งที่จะตัดขาดความสำราญต่างๆ ให้มากๆ นั่นคือความตาย เพราะความจริงจะไม่มีวันใด ที่มาเยือนหลุมฝังศพ นอกจากมันจะพูดในวันนั้นว่า     ฉันคือบ้านที่แปลกหน้า ฉันเป็นบ้านที่โดดเดี่ยว ฉันเป็นบ้านดิน และฉันเป็นบ้านหนอน ดังนั้นเมิ่อบ่าวที่มีศรัทธาถูกฝัง หลุมฝังศพ จะกล่าวแก่เขาว่า     ยินดีต้อนรับ พึงทราบเกิด ถ้าหากท่านเป็นคนที่ฉันรักยิ่งของผู้ที่เดินอยู่บนแผ่นหลังของฉัน และเมื่อฉันถูกให้ใกล้ชิดกับท่านในวันนี้ และท่านได้มาอยู่กับฉันท่านกจะเห็นที่ ฉันจะกระทำกับท่าน ผู้เล่าได้กล่าวว่า หลุมศพจะขยายให้เขาสุดสายตาและประดูไปสู่สวรรค์จะลูกเปิดให้เขา และเมื่อบ่าวที่ชั่วหรือที่ไร้ศรัทธาถูกฝัง หลุมฝังศพจะกล่าวแก่เขาว่า ไม่ยินดีต้อนรับ พึงทราบเกิดถ้าหากเจ้าเป็นคนที่ข้าเกลียดที่สุดของผู้ที่เดินอยู่บนแผ่นหลังของข้า และ เมื่อข้าถูกให้ใกล้ชิดกับเจ้าในวันนี้ และเจ้าได้มาอยู่กับข้า เจ้าก็จะเห็นที่ข้าจะกระทำกับเจ้า ผู้เล่า ได้กล่าวว่า           ต่อมาหลุมฝังศพก็ได้เบียดเขาจนกระทั่งกระดูกสิ่โครงกระทบกันหรือประสานกัน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ทำท่าด้วยนี้วของท่าน โดยได้เอาบางส่วนเข้าไปในอีกส่วนหนึ่ง ผู้เล่าได้กล่าวว่า และอัลเลาะห์ก์จะบังเกิดขึ้นมาเพื่อเขางู (งูใหญ่) เจ็ดสิบตัว ถ้าหากงูตัวหนึ่งจากนั้นได้พ่นพิษลงในหน้าแผ่นดิน ก็จะไม่มีสิ่งใดงอกงามขึ้นเลย ตราบที่โลกนี้ยังอยู่ มัน จะกัดเขา ฉกเขา จนกว่าเขาจะถูกนำไปสู่การสอบสวน ผู้เล่าได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงหลุมฝังศพนั้นเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาสวนสวรรค์ หรือเป็นหลุม หนึ่งจากบรรดาหลุมนรก 

รายงานโดย ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบีสะอีด) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดรับประทานสิ่งที่ดี ปฏิบัติตามแนวทาง (ซุนนะห์) และประชาชนปลอดภัยจากความชั่วต่างๆ ของเขา ผู้นั้นได้ เข้าสวรรค์ ได้มีชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริงคนอย่างนี้ในปัจจุบันในหมู่ประชาชนนั้นมีมากมาย ท่านนบีกล่าวว่า และมันจะต้องมีอยู่ต่อไปในศตวรรษต่างๆ ภายหลังจากฉัน 

รายงานโดย ฅิรมิซี และฮากีม

 

เข้าสวรรค์โดยความโปรดปรานของอัลเลาะห์ตาอาลา

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านทั้งหลายจง เดินสายกลางในการทำความดี และแสวงหาความถูกต้อง พวกท่านจงรับทราบเถิดว่าจะไม่มีใครสักคนเดียวจากพวกท่านพ้นภัย ด้วยการกระทำความดีของเขา พวกเขา (อัครสาวก) ได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ และแม้แด่ท่านก็จะไม่พ้นภัยหรือ ท่านตอบว่า แม้แด่ฉันก็จะไม่พ้นภัยนอกเสียจากอัลเลาะห์จะประทานความเมตตาและโปรดปรานของพระองค์ให้แก่ฉัน

และในบางรายงานว่า จะไม่ทำให้ใครคนใดจากพวกท่านได้เข้าสวรรค์ การทำความดี ของเขา และมันจะไม่คุ้มครองเขาให้พ้นจากไพ่นรก และแม้แด่ตัวของฉันเองก็จะไม่ (ได้เข้า สวรรค์และพ้นจากไฟนรก) นอกเสียจากด้วยความเมตตาของอัลเลาะห์

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลาย จงแสวง'หาความถูกต้อง และเดินสายกลางในการทำความดี และท่านทั้งหลายจงรับแจ้งข่าวดี เพราะความจริงจะไม่ทำให้ผู้ใดได้เข้าสวรรค์ การกระทำความดีของเขา พวกเขาได้กล่าวว่า และแม้แต่ท่านก็จะไม่ได้เข้าหรือ โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ ท่านตอบว่า และแม้แต่ฉันเองก็จะไม่ได้เข้า นอกเสียจากอัลเลาะห์จะประทานความเมตตาของพระองค์ให้ฉัน ท่านทั้งหลายพึง ทราบเกิดว่า ความจริงงานที่อัลเลาะห์ทรงรักยิ่ง คือ งานที่ทำอย่างสมํ่าเสมอ แม้จะเล็กน้อย ก็ตาม 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย่ บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

ความซื่อสัตย์จะถูกยกขึ้นไป

เล่าจากฮุซัยฟะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เล่าให้พวกเราฟัง สองหะดีษ ข้าพเจ้าได้พบแล้วหนึ่งจากในสองนั้น และข้าพเจ้ากำลังคอยอีกหะดีษหนึ่ง ท่าน ได้เล่าให้พวกเราฟังว่า ความซื่อสัตย์นั้นได้ลงมาอยู่ในขั้วหัวใจของพวกผู้ชาย หลังจากนั้นพวกเขา ได้รู้จากอัลกุรอาน และต่อมาได้รู้จากซุนนะห์[263] และท่านนบีได้เล่าให้พวกเราฟังถึงการยกความ ซื่อสัตย์ขึ้นไป ท่านได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งจะนอนหลับไปงีบหนึ่ง และความซื่อสัตย์ก็จะถูกเก็บไปจากหัวใจของเขา รอยของมันจะยังคงอยู่เหมือนจุดดำเล็กๆ หลังจากเขานอนไปอีกงีบหนึ่ง มันก็จะถูกเก็บไป รอยของมันจะเหลืออยู่เหมือนรอยพองคล้ายก่านไฟที่ท่านได้กลิ้งมันบนเท้าของท่านแล้วมันก็พอง ท่านจะเห็นมันนูนขึ้นมา แต่ไม่มีสิ่งใดอยู่ในนั้นเลย ประชาชนจะทำการซื้อ ขายกัน แต่เกือบไม่มีใครสักคนที่มืความซื่อสัตย์ จะมีผู้กล่าวว่า ในตระลูลนั้นๆ มีชายคนหนึ่งที่ ซื่อสัตย์ และจะมีผู้กล่าวแก่ชายคนหนึ่ง อะไรหนอทำให้เขามีความเฉลียวฉลาด อะไรหนอทำ ให้เขามีความเพรียบพร้อม และอะไรหนอทำให้เขาเข้มแข็ง ทั้งที่ในหัวใจของเขาไม่มีศรัทธา อยู่เลย แม้เพียงเท่าเมล็ดผักกาด และขอสาบานว่า จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่มาประสบกับฉัน ฉันจะ ไม่หวั่นไหวเลยว่าใครจากพวกท่านที่ฉันจะค้าขายด้วย ขอสาบานว่า ถ้าหากเขาเป็นมุสลิม การเป็นอิสลามของเขาก็จะให้ความเป็นธรรมแก่ฉัน และถ้าหากเขาเป็นนัสรอนีหรือยะฮูดี ผู้ปกครอง ของเขาก็จะให้ความเป็นธรรมแก่ฉัน สำหรับในวันนี้ฉันจะไม่ทำการค้าขาย นอกจากคนนั้นกับ คนนั้น[264] 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อ ความซื่อสัตย์พินาศไปแล้ว ก็จงคอยวันสิ้นโลกเถิด อะบู ฮุรอยเราะห์ถามว่า มันจะพินาศไปอย่างไร โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ ท่านกล่าวว่า เมื่อกิจการลูกมอบให้แก่ผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติ ก็จงคอยวันสิ้นโลกเกิด[265] 

รายงานโดย บุคอรี

ตอนที่หก

ความประเสริฐของการทำทานซอดาเกาะห์

เล่าจากอะบี ซัรร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ออกไปในคืนหนึ่ง บังเอิญพบว่า ท่าน รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เดินอยู่ตามลำพัง โดยไม่มีใครอยู่กับท่านด้วย ข้าพเจ้าคิดว่าท่านคงไม่ชอบ ให้ใครเดินไปกับท่าน ดังนั้น ฉันจึงเดินหลบอยู่ในเงาของดวงจันทร์ ท่านได้เหลียวมาพบข้าพเจ้า และได้กล่าวขึ้นว่า คนนึ่เป็นใคร ข้าพเจ้าตอบว่า อะบู ซัรร์ ขออัลเลาะห์ได้โปรดให้ข้าพเจ้าเป็นเครื่องไถ่ตัวท่าน ท่านนบีได้กล่าวว่า    เข้ามานี่ ข้าพเจ้าจึงได้เดินไปกับท่านครู่หนึ่ง ท่านได้กล่าวขึ้นว่า แท้จริงผู้ที่มีมากนั้น คือผู้ที่มีน้อย ในวันกิยามะห์ นอกจากผู้ที่อัลเลาะห์ให้ความดี แก่เขา[266] และเขาได้ให้ความดีนั้นทั้งทางด้านขวา ด้านซ้าย ทั้งข้างหน้า และข้างหลังของเขา และได้ใช้มันทำความดี จากนั้นข้าพเจ้าได้เดินไปกับท่านอีกครู่หนึ่ง ท่านได้กล่าวว่า จงนั่งลง ที่นี่ ท่านได้ให้ฉันนั่งลงบนพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง รอบๆ นั้นมีก้อนหิน ท่านได้กล่าวว่า จงนั่งที่นี่ จนกว่าฉันจะกลับมาหาท่าน แล้วท่านนบีก็ไปในพื้นที่ มีหินสีดำ จนฉันมองไม่เห็นท่าน และ ท่านได้หายไปอยู่นาน ต่อมาฉันได้ยินท่านมุ่งหน้ามาพลางกล่าวว่า แม้เขาจะลักขโมย และแม้ ว่าเขาจะละเมิดประเวณี เมื่อท่านเข้ามาฉันไม่สามารถอดทนได้จึงได้กล่าวว่า โอันบีของอัลเลาะห์ ขออัลเลาะห์ได้โปรดให้ฉันเป็นค่าไก่ตัวท่าน ใครที่ถูกพูดด้วยอยู่ในด้านหนึ่งของพื้นที่ที่มีหินสีดำ นั้น เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ยินใครตอบท่านสักอย่างเดียว ท่านตอบว่า นั่นคือ ญิบรีล ได้ปรากฏตัว ต่อฉัน ในพื้นที่ๆ มีหินสีดำด้านนั้น ญิบรีลได้กล่าวว่า จงแจ้งข่าวดีแก่ประชากรของท่านว่า ผู้ใดที่ตายไม่ได้นำสิ่งใดไปตั้งภาคีกับอัลเลาะห์ เขาจะได้เข้าสวรรค์ ฉันได้กล่าวว่า โอ้ญิบรีล แม้เขาจะลักขโมยและแม้เขาจะละเมิดประเวณี เขาตอบว่า ลูกแล้ว ฉันกล่าวอีกว่า แม้เขาจะ ลักขโมยและแม้เขาจะละเมิดประเวณี เขาตอบว่า ลูกแล้ว และแม้เขาจะดื่มสุราก็ตาม

และเล่าจากเขา (อะบี ซัรร์) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเดินอยู่กับท่านนบี ซ.ล. ในพื้นที่ๆ มีหินสีดำของนครมะดีนะห์ในเวลากลางคืน และเราได้มองดูภูเขาอุฮุด ท่านนบีได้กล่าวว่า โอ้อะบู ซัรร์ ข้าพเจ้าตอบว่า ขอรับ โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ท่านกล่าวว่า ฉันไม่ปรารกนาเลยที่ ภูเขาอุฮุดนั้นจะเป็นทองคำอยู่กับฉัน ซึ่งจะยังคงมีเหรียญทองอยู่กับฉันเป็นวันที่สาม นอกจาก เหรียญทองที่ฉันเก็บมันไว้เพื่อใช้หนี้ เว้นแต่ฉันจะนำมันไปทำกับบรรดาบ่าวของอัลเลาะห์อย่างนี้ ท่านได้ใช้มือทั้งสองของท่านทำท่ากอบ[267] และทำอย่างนั้นทางด้านขวาของท่าน และทำอย่างนั้น ทางด้านซ้ายของท่าน หลังจากนั้นเราได้เดินต่อไป ท่านนบีได้กล่าวว่า โอ้อะบู ซัรร์ ท่านจงอยู่ ที่นี่จนกว่าฉันจะมาหาท่าน แล้วท่านนบีก็ไปจนลับไปจากฉัน ผู้เล่า (อะบู ซัรร์) ได้กล่าวว่า ฉัน ได้ยินเสียงอึกทึกและได้ยินเสียง ฉันกล่าวว่า คิดว่าคงมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ฉันตั้งใจจะติดตามท่านไป แต่ฉันก็นึกถึงคำพูดของท่านที่ได้กล่าวว่า จงอยู่ที่นึ่จนกว่าฉันจะมาหาท่าน เมื่อท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. มา ฉันได้เล่าให้ท่านฟังถึงสิ่งที่ฉันได้ยิน ท่านทล่าวว่า นั่นคือ ญิบรีล เขามาหาฉันแล้วกล่าวว่า ผู้ใดจากประชากรของฉันที่ได้เสียชีวิตไป โดยไม่ได้ นำสิ่งใดตั้งภาคืกับอัลเลาะห์ เขาจะได้เข้าสวรรค์ ฉันได้ถามเขาว่า แม้เขาจะผิดประเวณีและ ลักขโมยหรือ ญิบรีลดอบ,ว่า แม้เขาจะผิดประเวณีและลักขโมย 

รายงานหะดีษหั้งสองโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริงมนุษย์ทุกคนจากลูก หลานของอาดัมถูกสร้างขึ้นมามีสามร้อยหกสิบข้อต่อ ดังนั้นผูใดที่ได้กล่าวคำตักบีรต่ออัลเลาะห์ กล่าวคำสรรเสริญอัลเลาะห์ กล่าวตะห์ลีลต่ออัลเลาะห์ กล่าวคำตัสบีห์ ถวายความบริสุทธต่อ อัลเลาะห์ ขออภัยโทษต่ออัลเลาะห์ เก็บก้อนหินหรือหนามใหญ่ออกจากทางสัญจรของมนุษย์[268]  ใช้ให้ทำดี ห้ามจากความชั่ว เท่ากับจำนวนสามร้อยหกสิบข้อต่อ ความจริงเขาจะเดินในวันนั้น โดยที่เขาได้ย้ายตัวเองออกจากไฟนรกแล้ว 

รายงานโดย มุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจากฮาริษะห์ บุตร วะฮับ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจงทำทานเถิด เกือบแล้วที่ชายคนหนึ่งจะนำเอาทานของเขาเดินไป และผู้ที่จะรับทานนั้นกล่าวว่า ถ้า หากท่านนำทานมาถึงเราเมื่อวานนี้ ฉันก็จะรับมันไว้ แต่เดี๋ยวนี้ฉันไม่ต้องการมันอีกแล้ว และ เขาก็จะไม่พบคนที่จะรับมัน

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะยังไม่ถึงวันกิยามะห์ จนกว่าทรัพย์จะมีมากและเนืองนอง จนกระทั่งชายคนหนึ่งจะออกชะก๊าดทรัพย์สินของเขา และ ไม่พบใครสักคนที่จะรับมันจากเขา และจนกว่าผืนแผ่นดินอาหรับจะกลับไปมีสวนและสายน้ำ

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผืนแผ่นดินจะคลายเลือดเนื้อของมันออกมาเหมือนแท่งเสา ทั้งที่เป็นทองคำและเงิน ฆาตกรจะมา แล้วกล่าวว่า ในสิ่งนี้ที่ฉันฆ่า คนที่ตัดขาดญาติมิตรจะมาแล้วกล่าวว่า ในสิ่งนี้ที่ฉันตัดขาดวงศ์ญาติของฉัน ขโมยจะมาแล้วกล่าวว่า ในสิ่งนี้ที่มีอของฉันถูกตัด จากนั้นพวกเขาก็จะทอดทิ้งมัน พวกเขาจะไม่เอาอะไรจากมันเลย 

รายงานโดย มุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้กล่าว ว่า ฉันจะต้องทำทานอย่างหนึ่งในคืนนี้324 แล้วเขาก็ออกไปพร้อมด้วยทานของเขา เขาได้นำมัน ไปวางลงในมือของหญิงที่ละเมิดประเวณี รุ่งเข้าประชาชนได้พูดคุยกันถึงการทำทานให้แก่หญิง ที่ละเมิดประเวณีเมื่อคืนนี้ เขาได้กล่าวว่า ข้าแต่อัลเลาะห์ มวลการสรรเสริญเป็นของท่าน ในการทำทานแก่หญิงที่ละเมิดประเวณี[269] ฉันจะต้องทำทานอย่างหนึ่ง และเขาได้ออกไปพร้อมด้วยทานของเขา เขาได้นำมันไปวางลงบนมือของคนรวย รุ่งเช้าประชาชนใต้พูดคุยกันถึงการทำทานให้แก่คนรวยเมื่อคืนนี้ เขาได้กล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ มวลการสรรเสริญเป็นของท่าน ในการทำทานให้แก่คนรวย ฉันจะต้องทำทานอย่างหนึ่ง เขาได้ออกไปพร้อมด้วยทานของเขา และ เขาได้นำมันไปวางลงบนมือของขโมย รุ่งเช้าประชาชนได้พูดคุยกันถึงการทำทานให้แก่ขโมย เขา ได้กล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ มวลการสรรเสริญเป็นของท่าน ในการทำทานให้แก่หญิงที่ละเมิด ประเวณี คนรวยและขโมย มีผู้มาหาเขาแล้วกล่าวแก่เขาว่า สำหรับการทำทานของท่านนั้นถูกรับแล้ว หญิงที่ละเมิดประเวณี หล่อนอาจสงวนตัวด้วยทานนี้ จากการละเมิดประเวณีของหล่อน และคนรวยอาจได้คิดและบริจาคสิ่งที่อัลเลาะห์ได้ประทานให้เขา และขโมยกึอาจสงวนตัวด้วย ทานนี้จากการลักขโมย

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เปรียบคนขี้เหนียวกับคนที่ทำทานก็เหมือนกับชายสองคน ซึ่งบนร่างของคนทั้งสองมีเสื้อเกราะทำจากเหล็ก จาก เต้านมของคนทั้งสองถึงกระดูกไหปลาร้าของคนทั้งสอง[270] เมื่อผู้ทำทานตั้งใจจะทำทาน เสื้อ เกราะนั้นจะขยายกว้างให้เขา จนทำให้รอยที่เขาเดินลื่น[271] และเมื่อคนขี้เหนียวตั้งใจจะทำทาน เสื้อเกราะนั้นจะรัดเขา และมือทั้งสองของเขาจะรวมอยู่ที่ต้นคอของเขา และห่วงของมันก็จะบีบ เข้าหากัน ผู้เล่าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า เขาจะพยายาม ขยายมันแต่เขาก็ไม่มีความสามารถ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากคุมัยร์ ทาสของอะบิ้ลละฮัม ร.ฎ. ได้กล่าวว่า นายได้ใช้ฉันให้แล่เนื้อ และมีคนยากจนคนหนึ่งมาหาฉัน ฉันจึงเอาเนื้อนั้นส่วนหนึ่งให้เขาไปทำอาหาร ต่อมานายฉันรู้เรื่อง จึงได้เฆี่ยนฉัน และฉันได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ฟัง ท่านนบีได้เรียกนาย ของฉันมาแล้วถามว่า ทำไมท่านจึงเฆี่ยนเขา นายตอบว่า เขาเอาอาหารของฉันไปให้โดย

ฉันไม่ได้อนุญาต ท่านนบีกล่าวว่า ผลบุญแบ่งกันระหว่างท่านทั้งสอง[272]

เล่าจากอัสมาอ. ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า

เธอจงให้ หรือจงเสียสละ หรือจงบริจาค และเธออย่านับ จะเป็นเหคุให้อัลเลาะห์นับเหนือเธอ และเธออย่าเก็บใส่ภาชนะ จะเป็นเหคุให้อัลเลาะห์เก็บใสภาชนะเหนือเธอ[273]

สะอัด บุตร อะบี วักกอส ร.ฎ. อยู่ในฝูงอูฐของเขา ต่อมาบุตรชายของเขา คือ อุมัร ได้มาหาเขา โดยขี่พาหนะมา เขาได้ลงจากพาหนะ และได้กล่าวแก่บิดาของเขาว่า ท่านอยู่ใน

ฝูงอูฐและฝูงแพะของท่าน โดยปล่อยให้ประชาชนแก่งแย่งอำนาจกันในระหว่างพวกเขา สะอัด ได้ตบอกเขาแล้วกล่าวว่า จงหยุด ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์รักบ่าวที่มีความยำเกรง ที่ร่ำรวย ที่ซ่อนเร้น 

รายงานทั้งสามหะดีษนี้โดย มุสลิม 

ตอนที่เจ็ด

ใช้ให้ทำความดี และห้ามจากการทำชั่ว

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่ดีที่สุดที่ถูกบังเกิดออกมาเพื่อ มวลมนุษย์ เพราะพวกเจ้าไดให้ทำการดี ห้ามจากการชั่ว และพวกเจ้ามีศรัทธาต่ออัลเลาะห์” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากตอริก บุตร ชิฮาบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า บุคคลแรกที่ได้เริ่มคุตบะห์ก่อนละหมาด

ในวันอีด หรือ มัรวาน[274] ได้มีชายคนหนึ่งลุกขึ้นไปหาเขาแล้วกล่าวว่า ละหมาดต้องอยู่ก่อน คุตบะห์ มัรวานได้กล่าวว่า ความจริงสิ่งนั้นได้ถูกละเลยไป[275] อะบุ สะอีดได้กล่าวว่า สำหรับ ชายคนนึ่เขาได้ทำหน้าที่ของเขาแล้ว ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า ผู้ใดจากพวกท่านที่ได้เห็นความชั่ว ให้เขาจงเปลี่ยนแปลงมันด้วยมือของเขา ถ้าแม้เขาไม่มีความสามารถ ให้เขาจงใช้ลิ้นของเขา และถ้าแม้นเขาไม่มีความสามารถให้เขาจงใช้หัวใจของเขา และนั่นเป็น ศรัทธาที่อ่อนแอยิ่ง 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีนบีท่านใดที่อัลเลาะห์ ทรงแต่งตั้งมาในประชาชาติใดก่อนหน้าข้าพเจ้า นอกจากจะมีผู้ช่วยเหลือเขาจากประชาชาติของเขา และมีสาวกที่จะยึดถือซุนนะห์ของเขา และปฏิบัติตามคำสั่งของเขา หลังจากนั้นมันจะเกิด ความชั่วต่างๆ ขึ้นหลังจากพวกเขา พวกนั้นจะพูดสิ่งที่พวกเขาไม่ทำ และจะทำสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ถูกบัญชาใช้ ดังนั้นใครที่ได้ต่อสู้กับคนพวกนี้ด้วยมือของเขา เขากเป็นผู้ที่มีศรัทธาและผู้ใดที่ ได้ต่อสู้กับพวกนั้นด้วยลิ้นของเขา เขาก็เป็นผู้ที่มีศรัทธา และผู้ใดที่ได้ต่อสู้กับพวกนั้นด้วยหัวใจ ของเขา เขาก็เป็นผู้ที่มีศรัทธา และจะไม่มีศรัทธาอึกหลังจากนั้น แม้เพียงเมล็ดผักกาด 

รายงาน โดย มุสลิม ในเรื่องการศรัทธา

และได้ปีผู้กล่าวแก่อุซามะห์ บุตร เซด ร.ฎ. ว่า ขอให้ท่านเข้าไปหาอุสมาน และเจรจา กับเขาด้วย เขาได้กล่าวว่า พวกท่านคิดหรือว่าฉันจะไม่พูดกับเขา เว้นเสียแต่จะต้องให้พวกท่านได้ยิน[276] สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ฉันได้พูดกับเขาในเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับเขา โดยฉันไม่ ต้องการเปิดเผยงานชิ้นหนึ่ง ที่ฉันไม่ต้องการเป็นคนแรกที่เปิดเผยมัน[277] และฉันจะไม่พูดกับ ผู้ใดที่เขาเป็นผู้นำของฉัน ความจริงเขาเป็นคนดี หลังจากฉันได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า ชายคนหนึ่งจะถูกนำตัวมาในวันกิยามะห์ และถูกโยนลงในขุมนรก ไส้ในท้องของเขา จะทะลักออกมา และเขาจะม้วนมันเหมือนลาที่หมุนรอบโม่ ชาวนรกจะมาห้อมล้อมเขาแล้วกล่าวว่า โอ้ชายคนนื้ เจ้าเป็นอย่างไร เจ้าไม่ได้ใช้ให้ทำการดีและห้ามจากการชั่วหรือ เขาจะกล่าว ว่า หามิได้ แท้จริงฉันใช้ให้ทำการดี แต่ฉันไม่ได้ทำมัน ฉันห้ามจากการชั่ว แต่ฉันก็ทำมันเอง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

และตัวบทของเจ้าของสุนัน (อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี) ว่า การต่อสู้ที่ดีเยี่ยม คือ พูดคำที่เที่ยงธรรมต่อ ผู้มีอำนาจ ที่ทุจริต หรือผู้นำที่ทุจริต

เล่าจากอะบี บักร์ ร.ฎ. ว่า เขาได้กล่าวหลังจากได้สรรเสริญอัลเลาะห์ และสดุดีพระ องค์ว่า โอ้ประชาชนทั้งหลาย พวกท่านอ่านอายะห็นี้ แด่พวกท่านนำมันไปวางไว้อย่างไม่ถูกที่ของมัน “ไอ้บรรดาผู้ที่มืศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงระวังตัวเอง จะไม่เป็นภัยแก่พวกเจ้าหรอก ผู้ที่หลงผิด เมื่อพวกเจ้าได้รับทางนำแล้ว” ความจริง เราได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห็ ซ.ล.กล่าวว่า แท้จริงประชาชนเมื่อได้เห็นผู้ทุจริต และพวกเขาไม่ได้จับมือทั้งสองข้างของเขาไว้[278] มันก็เกือบแล้วที่อัลเลาะห์จะลงโทษพวกเขาอย่างทั้วถึง 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า  แท้จริงสิ่งแรกของความแรันแค้นที่ได้เกิดกับพวกบะนีอีสรออีล ก็คือ ชายคนหนึ่งพบกับชายอีกคนหนึ่ง[279] แล้วเขากล่าวว่า โอ้คนๆ นี้เจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ และละทิ้งสิ่งที่เจ้ากระทำ เพราะความจริงมันไม่ใช่เป็นที่อนุมัติ แก่เจ้า ต่อมาเขาก็ได้พบชายคนนั้นอีกในวันรุ่งขึ้น แต่การเช่นนั้น[280] ไม่อาจห้ามเขาที่จะไปเป็น เพื่อนกินเพื่อนดื่ม และเพื่อนคลุกคลีของชายคนนั้น เมื่อพวกเขาได้กระทำดังนั้นอัลเลาะห์ก็จะทรง ให้หัวใจของบางคนจากพวกเขาดำมืดด้วยบางคน[281] หลังจากนั้นท่านนบีได้อ่าน “บรรดาผู้ไรั ศรัทธาจากพวกบะนีอิสรออีล ถูกสาปแช่งโดยลิ้นของดาวูดและอีซาบุตรมัรยัม ทั้งนี้ เพราะ พวกเขาทำความชั่วและกระทำการละเมิด พวกเขาไม่ยอมยุติจากความเลวที่พวกเขาได้ก่อมันขึ้น แน่นอนสิ่งที่พวกเขากระทำนั้นเลวที่สุด” จากนั้นท่านได้กล่าวว่า หามิได้ พวกท่านจะต้องใช้ ให้ทำการดี และห้ามปรามการชั่ว ท่านจะต้องคว้ามือของผู้ทุจริต จะต้องสงสารเขาอย่างแท้จริง และจะต้องหน่วงเหนี่ยวเขาให้อยู,บนสัจธรรมอย่างจริงจัง หรือ (ไม่เช่นนั้น) อัลเลาะห์จะต้องให้ หัวใจของบางคนจากพวกท่านดำด้วยบางคน และจากนั้นพระองค์จะสาปแช่งพวกท่านเหมือน ที่ได้สาบแช่งพวกเขา 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจากยะรีร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่า ไม่มีชายคนใดที่อยู่ในกลุ่มชนใด ซึ่งเขาได้กระทำความชั่วต่างๆ อยู่ในกลุ่มชนนั้น โดยกลุ่มชนนั้น สามารถจะเปลี่ยนแปลงเขาได้ แต่พวกเขาไม่ยอมเปลี่ยนแปลง นอกเสียจากอัลเลาะห์จะลงโทษ พวกเขา ก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิต[282]

เล่าจากอุรส์ อัลกินดีย์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อมืคฺวามชั่วถูกกระทำขึ้นในผืนแผ่นดิน คนที่ได้พบเห็นมันและรังเกียจมัน เขาจะเหมือนกับคนที่ไม่ได้พบเห็นมัน ส่วนผู้ที่ใม่ได้พบเห็นความชั่ว แต่เขาพอใจในความชั่วนั้น เขาก็จะเหมือนกับคนที่ได้พบเห็นความชั่วนั้น 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อความผิดเกิดขึ้นอย่างซ่อนเร้น มันจะไม่ก่อให้เกิดอันตราย นอกจากกับผู้กระทำมัน และเมื่อความผิดเกิดขึ้นอย่าง เปิดเผย และไม่ถูกแก้ใข มันจะเป็นอันตรายกับส่วนรวม 

รายงานโดย ตอบรอนี

เล่าจากฮุซัยฟะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้า อยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า พวกท่านจะต้องใช้ให้กระทำการดี และจะต้องห้ามปรามจากการชั่ว หรือเกือบแล้วที่อัลเลาะห์จะส่งการลงโทษมาสู่พวกท่านจากพระองค์ หลังจากนั้น แม้พวกท่าน จะวิงวอนขอต่อพระองค์ พวกท่านก็จะไม่ถูกตอบสนอง 

รายงานโดย ติรมิซี และตอบรอนี

เล่าจากอับดุลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะที่พวกเราห้อมล้อมอยู่รอบๆ ท่านนบี ซ.ล. บังเอิญได้มีผู้เอ่ยถึงวิกฤติการณ์ ท่านได้กล่าวว่า เมื่อพวกท่านเห็นประชาชน ที่เสียคำมั่นสัญญา และความซื่อสัตย์ของพวกเขาไม่มีนํ้าหนัก และพวกเขาจะมีสภาพเป็นเช่นนิ้ ท่านได้ประสานนิ้วมือของท่านเข้าด้วยกัน ข้าพเจ้าได้ลุกขึ้นไปหาท่านแล้วกล่าวขึ้นว่า ข้าพเจ้า จะปฏิบัติอย่างไร ในขณะที่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ขออัลเลาะห์ได้โปรด ให้ข้าพเจ้าเป็นเครื่องไถ่ตัวท่าน, ท่านได้กล่าวว่า ท่านจงอยู่กับบ้าน และรักษาลิ้นของท่าน จงยึดอยู่กับสิ่งที่ท่านเห็นว่าเป็นความดี และจงสลัดทิ้งสิ่งที่ท่านเห็นว่าเป็นการชั่ว และท่านจงเอา แด่งานส่วนตัวของท่าน จงทิ้งงานส่วนรวมไป 

รายงานโดย อะบู ดาวูด และนะซาอี

บทสุดท้าย 

ข่าวของคนยุคก่อนบางคน

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ทรงตรัสว่า     “ดังนั้นแหละที่เราจะเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้ผ่านพ้น

มาแล้ว และความจริงเราได้ประทานซิกร์ให้แก่ท่านไปจากเรา,,339

เรื่องของคนที่เปีนโรคด่าง คนหัวล้าน และคนตาบอด 

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห็ ซ.ล. กล่าวว่า แท้จริงมีชายสามคนจากพวกบะนีอิสรออีล คนหนึ่งเป็นโรคด่าง อีกคนหนึ่งเป็นคน หัวล้าน และอีกคนหนึ่งเป็นคนตาบอด อัลเลาะห์ปรารกนาจะทดลองคนทั้งสามพระองค์จึงได้ส่งมะลาอิกะห์ท่านหนึ่งไปหาคนทั้งสามนั้น มะลาอิกะห์ได้มาหาคนที่เป็นโรคต่าง แล้วกล่าวขึ้น ว่า สิ่งใดที่ท่านต้องการมากที่สุด เขาตอบว่า สีที่สวยและผิวหนังที่งดงาม และปรารถนา ให้สิ่งที่มนุษย์พากันขยะแขยงหายไปจากตัวฉัน มะลาอิกะห้ได้ลูบชายผู้นั้น และสิ่งที่น่าขยะแขยง ของเขาก็ได้หายไปจากเขา เขาได้สีที่สวยและผิวหนังที่งดงาม มะลาอิกะห์ได้กล่าวว่า ทรัพย์สินใด ที่ท่านต้องการมากที่สุด เขาตอบว่า อูฐหรือวัว อิสหาก[283]สงสัยในชายที่เป็นโรคผิวหนังและชายหัวล้าน ว่าคนหนึ่งจากในสองได้กล่าวว่า อูฐ และอีกคนกล่าวว่า วัว ผู้เล่าได้กล่าวว่า ต่อมาเขาก็ได้รับอูฐตัวเมียที่ตั้งท้องแก่สิบเดือน มะลาอิกะห์ได้กล่าวว่า ขออัลเลาะห์ได้โปรดเพิ่มพูนให้แก่ท่านในอูฐตัวเมียนี้ ผู้เล่าได้กล่าวว่า หลังจากนั้นมะลาอิกะห้ได้ไปหาชายหัวล้าน แล้วกล่าวว่า สิ่งใดที่ท่านปรารถนามากที่สุด เขาตอบว่า ผมที่งดงาม และปรารถนาให้สิ่ง ที่ประชาชนพากันขยะแขยงหายไปจากฉัน ผู้เล่าได้กล่าวว่า มะลาอิกะห้ได้ลูบชายหัวล้านนั้น ต่อมาสิ่งที่น่าขยะแขยงได้หายไปจากเขา และเขาได้รับเส้นผมที่งดงาม มะลาอิกะห์ถามว่า ทรัพย์สินใดที่ท่านต้องการมากที่สุด เขาตอบว่า วัว ต่อมาเขาก็ได้วัวตัวเมียที่ตั้งท้อง มะลาอิกะห์ ได้กล่าวว่า ขออัลเลาะห์ได้โปรดเพิ่มพูนให้แก่ท่านในวัวนี้ ผู้เล่าได้กล่าวว่า หลังจากนั้นมะลาอิกะห์ ได้ไปหาชายตาบอด แล้วกล่าวว่า สิ่งใดที่ท่านต้องการมากที่สุดเขาตอบว่า ต้องการให้อัลเลาะห์คืนสายตาของฉันให้แก่ฉัน เพื่อฉันจะได้มองลูผู้คน ผู้เล่าได้กล่าวว่า ต่อมามะลาอิกะห์ ได้ลูบเขา และอัลเลาะห์ได้คืนสายตาของเขาให้แก่เขา มะลาอิกะห์ได้กล่าวว่าทรัพย์สินใดที่ท่านต้องการมากที่สุด เขากล่าวว่า แพะ เขาจึงได้แพะตัวเมียที่เป็นแม่พันธุ์ สัตว์สองชนิดนั้นได้ ให้ผลผลิตมากมาย และชนิดนี้ก็ให้ลูกมากมาย ปรากฏว่าชายคนโน้นมีอูฐเต็มหุบเขา คนนั้นมีวัวเต็ม หุบเขา และคนนี้มีแพะเต็มหุบเขา ผู้เล่าได้กล่าวว่า ต่อมามะลาอิกะห้ได้มาหาชายที่เป็นโรคต่าง ในรูปเดิมของเขา และในสภาพเดิมของเขา[284] แล้วกล่าวว่า ฉันเป็นชายยากไร้ ขาดพาหนะ ในการเดินทาง ฉันจะไม่สามารถไปถึงจุดหมายได้ นอกจากอนุเคราะห์ของอัลเลาะห์ แล้วต่อมา ก็อนุเคราะห์ของท่าน ฉันขอท่านโดยอาศัยผู้สิ่งได้ประทานให้ท่าน สีที่สวย ผิวหนังที่งดงาม และ ทรัพย์สิน (คือขอ) อูฐตัวหนึ่ง เพื่อฉันจะอาศัยมันเดินทางไปสุ่จุดหมาาย เขาตอบว่า สิทธิต่างๆ ยังมีอีกมาก มะลาอิกะห์จึงได้กล่าวแก่เขาว่า คล้ายกับฉันเคยรู้จักท่านมาก่อน ท่านไม่เคยเป็น โรคต่างหรือ สิ่งมนุษย์พากันขยะแขยงตัวท่าน แล้วยังเป็นคนยากจนอีกด้วย ต่อมาอัลเลาะห์ก็ได้มอบให้ท่าน เขาได้กล่าวว่า แท้ที่จริงฉันได้รับมรดกตกทอดทรัพย์สินนี้มาจากบรรพบุรุษ มะลาอิกะห์ได้กล่าวว่า ถ้าหากท่านโกหกขออัลเลาะห์จงให้ท่านกลับกลายไปสู่สภาพที่ท่านเคย เป็นมาก่อน ผู้เล่าได้กล่าวว่า และเขาได้ใปหาคนหัวล้านในรูปเดิมของเขา แล้วกล่าวแก่เขาเหมือน ที่กล่าวแก่ชายคนนั้น และชายหัวล้านก็ได้โต้ตอบกับเขาเหมือนที่ชายคนนั้นโต้ตอบ มะลาอิกะห์ได้กล่าวว่า ถ้าหากท่านโกหก ขออัลเลาะห์จงให้ท่านกลับกลายไปสู่สภาพที่ท่านเคยเป็นมาก่อน ผู้เล่าได้กล่าวว่าและมะลาอิกะห์ได้ไปหาชายตาบอดในรูปเดิมของเขา และในสภาพเดิมของเขา

แล้วกล่าวว่า   ฉันเป็นชายที่ยากไร้และเป็นคนเดินทาง ขาดพาหนะในการเดินทาง ฉันจะไม่

สามารถไปถึงจุดหมายได้ในวันนี้ นอกจากโดยอนุเคราะห์ของอัลเลาะห์ แล้วต่อมาก็อนุเคราะห์ ของท่าน ฉันขอท่านโดยอาศัยผู้ที่ได้คืนสายตาให้ท่าน (คือขอ) แกะตัวหนึ่ง เพื่อฉันจะอาศัยมัน เดินทางไปสู่จุดหมาย ชายคนนั้นกล่าวว่า ฉันเคยเป็นคนตาบอดมาก่อน และอัลเลาะห์ได้คืน สายตาให้ฉัน ท่านจงเอาไปเถิดสิ่งที่ท่านต้องการเอาไป และปล่อยไว้สิ่งที่ท่านต้องการปล่อยไว้ สาบานต่ออัลเลาะห์ฉันจะไม่ทำให้ท่านต้องลำบากเลยในวันนี้ ต่อสิ่งที่ท่านได้เอาไปเพื่ออัลเลาะห์ มะลาอิกะห์ได้กล่าวว่า                                 จงเอาทรัพย์ของท่านไว้เถิด ความจริงพวกท่านถูกทดลองและความจริงท่านได้รับความพอใจแล้ว แต่เพื่อนทั้งสองของท่านถูกกริ้ว 

รายงานโดย มุสลิม ในเรื่องนี้ และ บุคอรี ในเรื่องเริ่มสร้าง

บรรดาบุคคลที่พูดได้ตั้งแต่อยู่ในว้ยแบเบาะ

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะไม่มีใครพูดได้ตั้งแต่อยู่ในวัยแบเบาะ นอกจากสามท่านนี้342 คือ อีซา และได้ปรากฏในพวกบะนีอิสรออีลนั้นมี ชายคนหนึ่งมีชื่อว่า ญุรอยจ์  เขากำลังละหมาด และมารดาของเขาได้มาหาเขา ได้ร้องเรียกเขา แต่เขาลังเลว่าฉันจะขานรับมารดาหรือจะละหมาดต่อ มารดาของเขาได้กล่าวว่า ข้าแต่อัลเลาะห์ อย่าให้เขาตายจนกว่าพระองค์ท่านจะให้เขาเห็นใบหน้าของพวกหญิงโสเภณี และญรอยจ์นั้น มักอยู่ในอาศรมของเขาเป็นประจำ ต่อมามีหญิงคนหนึ่งมาเสนอตัวให้เขาได้พูดจากับเขา แต่เขา ไม่ยอม หญิงนั้นจึงได้ไปหาชายเลี้ยงสัตว์และได้ร่วมประเวณีกับชายคนนั้น ต่อมาได้ให้กำเนิด เด์กชายคนหนึ่ง หล่อนได้กล่าวว่า เด็กนี้เกิดจากญุรอยจ์ ประชาชนได้พากันมาหาเขา และได้ ทำลายอาศรมของเขา ได้จับตัวเขาลงมาและด่าประณามเขา ต่อมาเขาได้อาบนํ้าละหมาดและได้ ละหมาด จากนั้นเขาได้นำเด็กทารกคนนั้นมา แล้วถามว่า ใครเป็นพ่อของเจ้าโอ้เด็กน้อย ทารก นั้นตอบว่า คนเลี้ยงสัตว์ ประชาชนจึงได้กล่าวแก่เขาว่า พวกเราจะสร้างอาศรมให้ท่านใหม่ เป็นทองคำ เขาตอบว่า ไม่ต้องสร้างนอกจากด้วยดิน และปรากฏว่ามีหญิงคนหนึ่งจากพวกบะนีอิสรออีลกำลังให้นมบุตรชายของหล่อน มีชายคนหนึ่งขี่พาหนะผ่านมา เขาเป็นชายรูปงาม ชวนมอง หล่อนได้กล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดให้ลูกชายของฉันเหมือนกับเขาทารกน้อย ทิ้งเต้านมของหญิงนั้น แล้วหันไปหาชายที่ข้บพาหนะ และได้กล่าวชื้นว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรด อย่าให้ข้าพเจ้าเหมือนกับเขาเลย แล้วหันกลับมายังเด้านมของหญิงนั้นดูดนมต่อไป อะบู ฮุรอยเราะห์ ได้กล่าวว่า คล้ายกับข้าพเจ้าเห็นท่านนบี ซ.ล. ดูดนี้วของท่าน ต่อมาได้มีผู้นำทาสหญิงคนหนึ่งผ่านมา หญิงผู้นั้นได้กล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดอย่าให้ลูกชายของฉันเป็นเหมือนกับทาส หญิงคนนี้เลย ทารกน้อยทิ้งเด้านมของหญิงนั้น แล้วกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดให้ฉัน เหมือนกับหล่อนเถิด หญิงคนนั้นจึงได้กล่าวแก่ทารกว่า    ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทารกน้อยตอบว่า คนที่ขับพาหนะนั้นเป็นคนโฉดคนหนึ่งจากบรรดาคนโฉด ส่วนทาสหญิงคนนี้ผู้คนพากัน กล่าวแก่หล่อนว่าลักขโมยและละเมิดประเวณี ทั้งที่หล่อนไม่ได้กระทำ 

รายงานโดย บุดอรี และ อะห์มัด

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวว่า จะไม่มีใครพูดได้ ตั้งแต่แบเบาะนอกจากอีชา, พยานของยูซุฟ, คู่ของญุรอยจ์, และบุตรชายของหญิงที่เป็นพนักงาน หวีผมของฟิรเอาน์ 

รายงานโดย ฮากีม ด้วยสายรายงานทเศาะฮีหะห์

เรื่องราวต่างๆ ที่เหลือนั้นได้ผ่านมาแล้วในที่ของมัน เรื่องของนบีอิบรอฮีมกับบุตรชาย อิสมาอีลพร้อมด้วยมารดา อ.ล. ได้ผ่านมาแล้ว ในการบรรยายซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ เรื่อง ของผู้มาเยือนพวกอาดได้ผ่านมาแล้ว ในการบรรยายซูเราะห์อัซซาริยาต และเรื่องของพวกหลุม เพลิงได้ผ่านมาแล้วในชูเราะห์วัซซะมาอิซาตุลบุรูจ เรื่องของซิลกิฟล์ ได้ผ่านมาแล้วในเรื่องของ การเตาบะห์ จากภาคซิกร์ และเรื่องของชาวถ้ำก็ได้ผ่านมาแล้วในเรื่องการตั้งเจตนาและกระทำ อะมัลด้วยหัวใจบริสุทธิ์

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่ามีชายคนหนึ่งจากพวกบะนีอิสรออีลได้ขอกู้ชายคนหนึ่ง เป็นจำนวนหนึ่งพันเหรียญทอง ชายคนนั้นได้จ่ายมันให้เขา และเมื่อถึงกำหนดชำระมัน เขาได้ ออกไปที่ทะเลก็ใม่พบพาหนะใด ๆ เขาจึงเอาไม้มาท่อนหนึ่งเจาะรูที่ไม้นั้น แล้วเอาเหรียญทอง จำนวนหนึ่งพันใส่เข้าไป แล้วโยนไม้ท่อนนั้นลงทะเลไป ชายคนที่ให้กู้ได้ออกไป ก็บังเอิญพบ ไม้ท่อนนั้น เขาจึงเก็บเอาไปยังครอบครัวของเขาเพื่อทำฟืน เมื่อเขาผ่านมันจึงได้พบทรัพย์นั้น 

รายงานโดย บุคอรี

อิบลีสและบริวารของมัน

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ทรงตรัสว่า “แท้จริง ชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงถือว่ามันเป็นศัตรู แน้แท้มันจะชักชวนพรรคพวกของมันให้ใปเป็นชาวนรก” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผีตนหนึ่งจากจำพวก ญินได้เล็ดลอดเข้ามาเมื่อคืนนี้ เพื่อทำลายการละหมาดของฉัน แด่อัลเลาะห์ได้ให้ฉันสามารถ จับมันไว้ใด้ และฉันตั้งใจจะผูกมันไว้กับเสาด้นหนึ่ง จากบรรดาเสาของมัสยิด เพื่อพวกท่าน ทุกคนจะได้ดูมัน แด่ฉันนึกคำวิงวอนของพื่น้องของฉันคือนบีสุไลมานขื้นมาได้ (ที่ได้วิงวอน ขอว่า) “ข้าแด่พระผู้อภิบาลของฉันได้โปรดให้อำนาจแก่ฉัน อย่างที่มันจะไม่คู่ควรกับผู้ใดอีก ภายหลังจากฉัน” ฉันจึงได้ปล่อยมันไปอย่างสิ้นท่า 

รายงานโดย บุดอรี และมุสลิม

 

 

 

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงชัยฏอนนั้นหมดหวังที่จะให้ผู้ทำละหมาดกราบไหว้มันในคาบสมุทรอาหรับ แต่ (มันยังคงมีความหวัง) ในการยุยงให้เกิด ความบาดหมางกันในระหว่างพวกเขา

และเล่าจากเขา (ญาบิร) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า           แท้จริงอิบลีสนั้นจะตั้งบัลลังก์

ของมันอยู่เหนือนํ้า หลังจากนั้นมันจะส่งบริวารของมันออกไป บริวารที่มีตำแหน่งต่ำที่สุดนั้นคือ ผู้ที่สร้างความชั่วร้ายได้มากที่สุด ผู้หนึ่งของพวกมันจะมาแล้วรายงานว่า ฉันได้กระทำอย่างนั้น อย่างนึ่ อิบลีสจะกล่าวว่า เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดเลยหรือ หลังจากนั้น ผู้หนึ่งของพวกมันจะมาราย งานว่า ฉันไม่ได้ปล่อยเขาไป จนกระทั่งฉันได้ทำให้เขากับภรรยาของเขาแตกแยกกัน ผู้รายงาน ได้กล่าวว่า อิบลีสจะให้ผู้นั้นเข้ามาใกล้แล้วกล่าวว่า ดีที่สุดคือเจ้า[285]

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ออกไปจากฉันในคืนหนึ่ง ฉัน เกิดความหึงหวงในตัวท่าน ต่อมาท่านนบีได้มาและเหึนสิ่งที่ฉันทำ[286] ท่านได้กล่าวว่า เป็น อะไรหรืออาอิชะห์ เธอหึงหรือ ฉันตอบว่า ไม่สมควรหรือที่คนเช่นฉันจะไม่หึงหวงคนเช่นท่าน ท่านได้กล่าวว่า ชัยฏอนของเธอได้มาหาเธอหรือ       อาอิชะห์ได้กามว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ฉันจะมีชัยฏอนหรือท่านตอบว่า ลูกแล้ว ฉันได้ถามว่า และมีอยู่กับมนุษย์ทุกคนหรือท่านตอบว่าถูกแล้ว ฉันถามว่าและที่ท่านกีมีหรือโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านตอบว่า                      ถูกแล้วแต่พระผู้อภิบาลของฉันได้ช่วยฉันให้ข่มมันได้ จนกระทั่งฉันปลอดภัย

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีใครคนใดจากพวกท่าน นอกเสียจากอัลเลาะห์จะมอบหมายให้มีเพื่อนของเขาที่เป็นญินมาอยู่กับเขา พวกเขา (อัครสาวก) ได้กล่าวว่าและแม้แต่ท่านหรือ โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่า แม้แต่ตัวฉัน เว้นแต่อัลเลาะห์ได้ช่วยฉันให้ข่มมันได้ฉันจึงปลอดภัย และมันจะไม่บงการฉันนอกจากด้วยการดี 

รายงาน หะดีษทั้งสี่นี้โดย มุสลิม ในลักษณะของกิยามะห์

มะลาอิกะห์ผู้ทรงเกียรติ

อัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “และไม่มีใครรู้จำนวนทหารของพระผู้อภิบาลของท่าน นอกจากพระองค์เท่านั้น และขุมนรก “ซะกอร” นั้นไม่ใช่อื่น นอกจากเป็นการเตือนแก่มวลมนุษย์” และอัลเลาะห์ตาอาลาทรงตรัสว่า “มนุษย์จะไม่ได้พูดคำใด นอกเสียจากจะมีมะลาอิกะห์ รอกีบ อะดีด อยู่กับเขา” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะคอยติดตามอยู่ในหมู่พวกท่าน มะลาอิกะห์ในเวลากลางคืน และมะลาอิกะห์ในเวลากลางวัน พวกเขาจะร่วมประชุม กันในละหมาดฟัจร์ และละหมาดอัสร์ หลังจากนั้นพวกที่อยู่กับท่านในเวลากลางคืนก็จะขึ้นไป

พระผู้อภิบาลของพวกเขาจะถามพวกเขาโดยที่พระองค์ทรงรู้(เรื่องของ)พวกเขาดี พวกท่านทิ้ง บ่าวของเรามาในสภาพอย่างไร พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราทิ้งพวกเขาไว้ขณะที่พวกเขากำลัง

ละหมาด และ เราได้มาสู่พวกเขาขณะที่พวกเขากำลังละหมาด[287]           

รายงานโดย บุคอร มุสลิม และนะซาอี และ ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องละหมาด

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  ฉันได้รับอนุญาตให้พูดคุยถึง มะลาอิกะห์หนึ่งจากบรรดามะลาอิกะห์ของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ทำหน้าที่แบกบัลลังก์ (อัรช์) ว่า แท้จริงระยะระหว่างติงหูของเขาถึงต้นคอนั้น มีระยะทางเจ็ดร้อยปี 

รายงานโดย อะบูดาวูด ดิยาอ์ และบัยฮะกี

 

.....................................................................................


 


 

 

 


 

[1]              คือเรื่องที่ได้ยินมาจากผู้บัญญัติศาสนา เช่นการเกิดใหม่ นรก สวรรค์ เป็นต้น

[2]             ได้กล่าวถึงมารดาสามครั้ง แถ้วจืงกล่าวถึงบิดา เพราะสิทธิของมารดานนยิ่งใหญ่ อันเนื่องมาจากต้องได้รับความทุกข์ในการอุ้มครรภ์ และให้นมเป็นเวลาถึงสามสิบเดีอน อีกทั้งต้องอดนอน

3             หมายถึงญาติที่ใกล้ชิดกับท่านทั้งด้านบรรพบุรุษ ลูกหลาน และพี่น้อง

[4]              ที่กล่าวถึงวัยชราเพราะเป็นวัยที่บิดามารดาต้องพึ่งพาบุตรยิ่งกว่าในวัยใด และถ้าไม่เช่นนั้นลูกก็ด้องทำให้พ่อแม่พอใจ อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว

[5]              เพราะเป็นผู้ที่เนรคุณต่อบิดามารดา

[6]              อัสมาอ เป็นบุตรสาวของอะบูบักร์ เป็นพี่สาวของอาอิชะห์ร่วมบิดาเดียวกัน และเป็นภรรยาของชุบัยร์ มารดาของ อัสมาอ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นกาฟิรได้มาขอบางอย่างจากอัสมาอ์ อัสมาอ์จึงได้ถามท่านนบิ ซ.ล.ว่าโอ้ท่านรอชูลุ้ลเลาะห์ ดิฉัน จะติดต่อกับมารดา1ของดิฉันได้ไหม ทั้งที่ยังเป็นกาฟิร ท่านนบีตอบว่า ได้ชิ จงติดต่อกับนางเถิด หะดีษนี้ชี้ว่าให้ติดต่อกับ บิดามารดา แม้ยังเป็นกาฟิรอยู่ก็ตาม

[7]              ดังนั้นผู้ใดที่ไม่เอื้อเฟื้อต่อญาติใกล้ชิดของเขาที่ตกทุกข์ได้ยาก ด้วยทรัพย์สินที่เกินจากความจำเป็นของเขาแล้ว ทรัพย์นั้นจะแปลงมาในวันกิยามะห์เป็นงูใหญ่ลงโทษเขา การลงโทษนั้นจะไม่เกิดขึ้นนอกจากเพราะทั้งสิ่งที่เปีนวาญิบ หรือ กระทำสิ่งที่ต้องห้าม ดังนั้นการติดต่อเครือญาติจึงเป็นสิ่งจำเป็น

[8]              หมายถึงเครือญาติที่จำเปีนต้องติดต่อ ห้ามตัดขาด

[9]              นเปีนเรองเฉพาะของอุมัร การที่อุมัรรังเกียจหล่อนนั้นเป็นไปเพื่ออัลเลาะห์ อันเนื่องมาจากงานชิ้นหนึ่งที่ทำให้อุมัร ต้องรังเกียจ ด้วยเหตุนี้ท่านนบีจืงใช้เขาให้หย่า ทั้งที่เขายังรักหล่อน

[10]             คือขอดุอาอ์ ให้คนทั้งสอง และนับเป็นดุอาอด้วยคือละหมาดยะนาซะห์

[11]            เช่นพี่น้องผู้ชายของพ่อ พี่น้องผู้หญิงของพ่อ พี่น้องผู้ชายของแม่และพี่น้องผู้หญิงของแม่เป็นต้น

[12]            หล่อนคือ ฮะลิมะห์ อัซซะอ์ดียะห์ ร.ฎ.

[13]            ความมุ่งหมายในที่นี้ก็คือสนับสนุนให้ยกย่องแม่ด้วยการตอบสนองความต้องการของแม่

*(17)         ความพอใจและกริ้วโกรรของอัลเลาะห์ต่อบุตรนั้นฃึ้นอย่กับความพอใจของพ่อแม่ และความกริ้วโกรธของคนทั้งสอง

[15]            ในการทำให้พอใจและยกย่องให้เกืยรติไม่ใช่ในเรื่องมรดก

[16]             ผลบุญของการทำความดีฅ่อแม่และพี่น้องผู้หญิงของแม่นั้นยิ่งใหญ่จนสามารถลบล้างบาปใหญ่ ๆ ได้

[17]            ดํงนนผู้ใดที่ไม่ม่ความเมตตาต่อบ่าวของอัลเลาะห์ อัลเลาะห์ก็จะไม่มีความเมตตาต่อเขา

[18]            หะดีษนี้ชี้ว่า การสงสารเด็กๆ น้นเป็นเรื่องใหญ่

[19]            ในตัวบทของมุสลิมว่า ท่านได้กล่าวว่า ถูกแล้ว เขากล่าวว่า แด่พวกเราไม่เคยจูบ

[20]             หมายความว่าฉันไม่อาจหยิบยื่นความเมตตาให้แก่หัวใจของท่านได้ แต่อัลเลาะห์ต่างหากที่จะหยิบยื่นให้ หากพระองค์ ประสงค์ ในหะดีษนี้ชี้ว่า ความสงสารบุตรนั้นนั'บเป็นความเมตตาที่ควรแก่การสรรเสริญ และการไร้ความเมตตาสงสารบุตรนั้น นับเป็นความแข็งกระด้างที่ควรประณาม

[21]            หญิงคนนั้นแม้จะหิวโหยก็ไม่ยอมรับประทานผลอินทผลัมนั้น หล่อนได้แบ่งมันให้แก่ลูกผู้หญิงที่งสองของนางด้วย ความเมตตาสงสาร

[22]             คือคนหนึ่งหริอหลายคน เป็นลูกของเขา หรือของคนอื่นก็ตาม

[23]             คือได้เขาสวรรค์อย่างใกล้ชิดกันเหมือนนิ้วทั้งสองนิ้วที่ชิดกัน

[24]             คือไม่ฝังทั้งเป็นเหมือนอย่างประเพณีนิยมของบุคคลในยุคญาฮิลิยะห์ และไม่รักลูกผู้ชายมากกว่า แด่ปฎิบัติต่อ ลูกๆ อย่างเท่าเทียมกัน

[25]     เป็นการบรรยายถึงผู้หญิงที่ดี

[26]     หมายความว่า โอ้บรรดาลูกๆ พวกเจ้าจะทำให้บิดาของพวกเจ้าขี้เหนืยว เพราะต้องการเก็บทรัพย์ไว้ให้พวกเจ้า และ พวกเจ้าจะทำให้บิดาของพวกเจ้าขื้ฃลาด ไม่กล้าผจญกับเหตุการณ์ร้ายแรง เช่น ออกไปญิฮาด เพี่อสงวนชีวิตไว้เพี่อลูก ๆ และจะ ทำให้บิดาของพวกเจ้าโง่ คือลำเอียงในบางครั้งเพื่อเข้าข้างบุตร

[27]    มารยาทที่ดี คือสอนให้บุตรรู้จักวิธีการรับประทาน ดื่ม วิธีปฎิบิติต่อเพื่อนมนุษย์ การประกอบอาชีพ สอนให้ร้จักหน้าที่ต่อพระผู้เป็นเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์

[28]     ความมุ่งหมายที่ว่เครอญาสืในที่นนนกินความกว้างกว่าที่กล่าวมาแจ้ว เพราะจะครอบคลุมถึงบรรดาบรรพบุรุษ ลูกหลาน พี่น้อง ทั้งใกล้และไกล แม้ว่าสัญญาลงโทษที่จะกล่าวต่อไปนั้นจะเป็นการลงโทษเฉพาะการตัดเครือญาติที่จำเป็นต้องจ่าย ค่าเลี้ยงดูให้ก็ตาม เช่น บรรพบุรุษ และลูกหลาน

[29]             คือ คอลิด บุตร เซด อัลอันซอรีย์ และมีบางทัศนะว่าหมายถึงผู้ถาม

[30]             ซ้ำคำถาม เป็นการย้ำ และมีความหมายแสดงความแปลกใจ

[31]             คือทำความดีต่อเครือญาติของท่านตามความสะดวกของท่านตามสภาพของท่านและสภาพของพวกเขา ด้วยการ บริจาคหรือทักทายด้วยสลาม หรือเยี่ยมเยือน เป็นต้น

32       จงปล่อยพาหนะให้เดินไป โดยผู้ถามได้จับบังเหียรของมันไว้ทำให้มันหยุด โดยท่านนบื ซ.ล.อยู่บนหลังมัน

[33]             ด้งนนผู้!ดที่ด้องการความกว้างขวางในเรืองปัจจัยยังชีพ และความเพิ่มเติมในอายุของเขา ให้เขาจงทำดึต่อเครือญาติ ของเขา

[34]             ผู้ที่ตอบแทนคือผู้ที่ให้แก่ผู้อื่นเหมือนกับสิ่งที่ตนได้มา จะไม่เรืยกเขาว่าเปีนผู้ติดต่อ แต่ผู้ที่ติดต่อนั้นคือผู้ที่1ให้แก่คน ที่ตัดขาดจากเขา

[35]             เสื้อผ้าชุดหนึ่งสำหรับชาวอาหรับ คือผ้าสองผืนชนิดเดียว

[36]             เป็นการย้ำว่าได้ยินมาจากท่านนบี ซ.ล.โดยไม่ผ่านผู้ใด

[37]             คือจงให้อาหารแกับริวาร จากชนิดของอาหารที่พวกท่านรับประทาน และจงให้พวกเขาสวมใส่ด้วยเสือผ้าชนิดที่พวก ท่านสวมใส่ ที่กล่าวนึหมายถืงเปีนการปฎิบัติอย่างสมบูรณ์ และถ้าไม่เช่นนั้นนายกีจำเป็นต้องปฎิบัติแกับริวารของตนตาม ประเพณีนิยม

[38]            ป่าวร้องด้วยถ้อยคำต่อไปนี้

[39]             ความมุ่งหมายในที่นี้คือให้เห็นว่ามีจำนวนมาก ไม่ใช่มีจำนวนจำกัด ความจริงท่านได้ขออภัยต่ออัลเลาะห์มากมาย โดยหวังในความเมตตาของอัลเลาะห์

[40]            ทาสคนใดที่พวกท่านสบายใจ ให้เอาเขาไว้และทำดีกํบเขา และถ้าไม่เช่นนั้นให้แลกเปลี่ยนไป และอย่าลงโทษบ่าว ของอัลเลาะห์ เพราะอัลเลาะห์จะทรงช่วยเหลอพวกเขา

[41]             เพราะเมื่อเขาทำดีต่อบริวารของเขา บริวารก็จะรักเขา และทำงานให้เขาอย่างสุดฝีมือ ทรัพย์สินของเขาก็จะเพิ่มพูน ขึ้น สภาพของเขาก็จะดีขึ้น

[42]             เช่น คนชรา และคนป่วย

[43]             คือขอความช่วยเหลือด้วยอัลเลาะห์ เช่นกล่าวว่า จงปล่อยฉันด้วยนามของอัลเลาะห์ หรือพอแล้วด้วยนามของ อัลเลาะห์ พวกท่านจงยกมีอขึ้น เพิ่อให้เก็ยรตินามของอัลเลาะห์ตาอาลา

[44]             เด็กกำพร้าหมายถง เด็กที่ขาดพ่อ ก่อนบรรลุศาลนภาวะ หญิงที่ไม่มีสามี ไม่ว่าจะเคยผ่านการแต่งงานหรือไม่ก็ตาม

[45]             เด็กกำพร้าของเขา เช่น เป็นหลานของเขา หรือเป็นญาติใกล้ชิดของเขา หรือของผู้อื่น เช่นเป็นลูกของคนอื่น

[46]            สีแก้มทั้งสองข้างเปลี่ยนไป เพราะความทุกข์ยากและแร้นแล้น

[47]            นั่นคือการ ตั้งภาคี

[48]        เพือนบ้านคอ ผู้ฑมบ้านพ*กใกล้กํบท่านหรือคอเพอนร่วมงานร่วมอๅชิพ

[49]        คอกำหนดใบ้เขามส่วนได้ในกองมรดก

[50]     เพราะเขาจะเห็นสิ่งที่ถูกนำเข้าไปในบ้านเพื่อนบ้านของเขา และเขาก็เกิดความอยาก การให้เก็ยรติเพื่อนบ้านเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง นับตั้งแต่การปกป้องเพื่อนบ้าน การช่วยเหลือด้วยทรัพย์สินด้วยความคิด ด้วยอำนาจ และทักทายด้วยสลามเมื่อพบกันและยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหา

[51]    จะไม่มีศรัทธาหมายถืง ผู้ที่ถือว่า การคุกคามเพื่อนบ้านให้เดือดร้อนเป็นสิ่งอนุมัฅิ

[52]    หะดีษนี้ระบุว่าให้ทำดีต่อเพื่อนบ้าน แม้จะเป็นคนเลวหรือกาฟิรก็ตาม

[53]    เป็นคำที่ฅีความได้ว่า ประชาชนสาปแช่งและโกรธเคืองเพื่อนบ้านที่ทำความเดีอดร้อนคนนั้น และเมีอเขาเห็นเช่นนั้น จืงได้กล่าวแก่เพื่อนบ้านของเขาว่า จงกล้บบ้านเถิด ต่อไปฉันจะไม่ทำให้ท่านเดือดร้อนอีก

[54]            หมายความว่าเป็นความดีพร้อม นอกจากการตอบรับคำเชิญนั้นบางครั้งเป็นสิ่งจำเป็น (วาญิบ) เช่นในพิธีแต่งงาน และการแนะนำแก่ผู้ที่ขอแนะนำ ก็เป็นสิ่งจำเป็น (วายิบ)

[55]             บางอย่างได้กล่าวมาแล้วในเรื่องการเยี่ยมผู้ป่วย

[56]             จำเป็นต้องให้ความเมตตาแก่ผู้ที่ตกทุกข์เท่าที่จะสามารถตามสภาพของเขา เช่น เลี้ยงอาหารคนที่หิวโหย ให้เครึอง นุ่งห่มแก่คนที่ไม่มีเครื่องนุ่งห่ม ช่วยเหลือคนที่กำลังจะตาย และป้องกันคนทุจริตให้พ้นไป ชี้แนะ และสอนศาสนา เป็นต้น เป็นการแสดงออกถึงความเมตตาแก่บ่าวของอัลเลาะห์

[57]            หมายถึง เราเดาะห์ที่ประเสริฐ

58  หมายความว่า ผู้ที่ไม่ม่เมตตาต่อผู้น้อย และให้เกียรติผู้อาวุโสนั้นไม่ได้อยู่บนแนวทางของเราที่สมบูรณ์

59       คือทำให้ตกใจกล้ว แม้จะเปีนการล้อเล่นก็ตาม เพราะการทำความเดือดร้อนนั้นเปีนสิ่งต้องห้าม

[60]            หมายถึงสัตว์ที่มีชีวิต การทำดและเมตตาต่อสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงสร้างขึ้นมา แม้จะเป็นสัตว์ที่พูดไม่ได้ บุคคลผู้นั้น ก็จะได้รับผลตอบแทนจากอัลเลาะห์ตาอาลา

[61]            เพราะเศร้าโศกาที่ลูกของมันถูกลักเอาไป

[62]            ที่ปกคลุมผู้ฑุจรต ทำให้พวกเขาตกอยู่ในความงงงวย ในขณะที่ผู้มีศรัทธาต่างอยู่ในรัศมีที่สว่างไสว

[63]             เพอเป็นการประจานและลงโทษเขา

64    ดังนั้นบุคคลที่ล้มละลายก็คือบุคคลที่สิ้นสูญความดีของเขาในอาคิเราะห์ไปให้แก่ผู้ที่เขาได้ทุขริตในใลกนี้

65    จำเป็นต้องนำสิทธิต่าง ๆ  ไปให้ถึงผู้เป็นเจ้าของ และช่วยเหลือผู้ที่ถูกทุจริต แม้จะเป็นสัตว์ที่พูดไม่ได้ก็ตาม

[66]    โดยทุจริต และตั้งตัวเป็นปรปักษ์

[67]    ผู้บุกรุกต้องเข้านรก แม้จะถูกฆ่าในโลกนื้แล้วก็ตาม เพราะเขาเป็นต้นเหตุให้ตัวของเขาเองถูกฆ่า ส่วนผู้ที่ป้องกันตัวหรือทรัพย์สิน หรือเกียรติยศของเขา ถ้าหากเขาไต้ฆ่าผู้บุกรุกก็ไม่มีความผิดอะไร และถ้าหากเขาถูกฆ่า เขาก็มีฐานะเท่านักรบ ชะฮีด

[68]     ผู้ที่ทุจริตและบุคคลที่ตัดสั้มพันธ์เครือญาติ สมควรรีบถูกลงโทษในโลกนี้นอกเหนือจากโทษในอาคิเราะห์

[69]     คือน้ำมันที่ถูกทำให้ร้อน

70 คือในเรื่องการจ่ายคอรอจ ซึ่งคล้ายกับภาษบำรุงท้องถิ่น

[71]     มนุษย์ก็จะต้องถูกลงโทษ เพราะทุจริตต่อสั้ตว์

[72]     การทำให้มุสลิมเกิดความหวาดกลัวไม่ว่าจะต้วยสิ่งใด เป็นสิ่งต้องห้าม และมะลาอิกะห์จะสาปแช่งเขา แม้จะเป็น การล้อเล่น และเป็นญาติที่ใกล้ชิดกิบเขาก็ตาม

[73]             และอาวุธนั้นก็จะพลาดไปถูกพี่น้องของเขา

[74]             คือถามเรื่องหึ่งที่จะเป็นประโยชน์ในโลกนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะที่เขาเป้นผู้นำ

[75]            เพราะเป้นการทำลาย และทุจริตต่อสรรพสิ่งที่อัลเลาะห์ตาอาลาทรงสร้าง

[76]             ผู้ไดตัดต้นพุทรา เขาจะถูกจับหัวพุ่งลงในนรก นี่หมายถึงต้นพุทราที่อยู่ในเขตแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ และต้นไม้ทุกต้น ที่ประชาชนอาศยร่มเงาของมัน เพราะเป็นการทำลายสิ่งที่ตนไม่มีกรรมสิทธิ์

[77]             หมายถืงผู้ที่ทุจริตตัวเองไม่ว่าจะด้วยสิ่งใดๆ ที่มีภัยเกิดกับตัวเขาเองในโลกนี้หรือในอาคิเราะห์ เพราะตัวเองนั้น ไม่ม่สิ่งใดจะใกล้ชิดเท่าเมื่อเขาทุจริตต่อตัวเองได้ การที่เขาจะทุจริตต่อผู้อื่นก็เป็นเรืองง่าย และเพราะตัวของมนุษย์นั้นไม่ใช่ เป็นกรรมสิทธิของเขาที่จะกระทำอย่างไรก็ได้ แต่มันเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลเลาะห์จะกระทำได้ก็แต่สิ่งที่อัลเลาะห์ทรงอนุมิติให้ กระทำเท่านั้น

[78]            การเช่นนั้นปรากฎในตอนแรก หรือเพราะเขาถือว่าการกระทำเช่นว่านั้นเป็นสิ่งที่อนุมัติให้กระทำ

[79]            การยุแหย่เพื่อให้เกิดความเสิ่อมเสียนั้น นับเป็นบาปใหญ่

[80]            ในตอนต้นอายะห์มีความหมายว่า “เจ้าอย่าปฏิบัติตามทุกผู้ที่ชอบสาบาน ผู้ที่ตกต่ำ”

[81]            ไม่ควรที่จะนำเอาคำพูดนี้ไปเปิดเผย นอกจากจะได้รับอนุญาตจากผู้พูดเสียก่อน

[82]             คือไม่ยอมให้น่ำเอาสิ่งที่ที่ประชุมอภิปรายกันออกไปเปิดเผย และถ้าไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการยุแหย่ นอกเสียจากเป็น เรืองที่ไม่ให้โทษแก่ผู้ใด

  1. ดังนั้นผู้ใดที่ได้ยินที่ปร ะชุมหนึ่ง มีเจตนาร้ายต่อผู้หนึ่งผู้ใด เช่น ฆ่า หรือละเมิดประเวณี หรือ เอาทรัพย์โดยไม่

เป็นธรรม เขาจำเป็นต้องเปิดเผย เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น

[84]            หมาย.ความว่าแจ้งให้อุสมานทราบด้วยถ้อยคำที่พูดถืงเขาในที่ประชุมนั้น

[85]           พวกเจ้าจงระมัดระวังการที่ก่อให้เกิดความเสีอมเสียกับผู้คน เพราะนั้นมั้นจะทำไห้ศาสนาหายไป เหมีอนที่มีดโกนทำให้เส้นผมหายไป

86           เช่นเดียวกันกับที่เขามีสองลิ้นในโลกนี้ เขาก็จะมีสองลิ้นที่เป็นไฟนรกลงโทษเขาในอาคิเราะห์

[87]           การนินทา คือการกล่าวถึงผู้อื่นด้วยสิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจ แม้เขาจะมีสิ่งนั้นอยู่ก็ตาม ยกเว้นในกรณีที่เป็นการแนะนำตัว เช่นถามว่า ท่านรู้จักคนๆ นั้นไหม               เขาบอกว่า ไม่รู้ ท่านก็กล่าวว่า ก็คนที่ตาบอด หรือขาเป๋นั่นไงเป็นต้น การนินทา

เปีนสิ่งต้องห้ามและเป็นบาปใหญ่

88    คือพอแล้วที่จะกล่าวถึงข้อเสียของหล่อนคือความเตี้ย

[89]             คอที่ฉันได้ดูถูกเขา

[90]            หะดีษนชี้ว่า ห้ามนินทา และห้ามฟังการนินทา

[91]             การล่วงเกินหรือจาบจ้วงพี่น้องของเขาถือเป็นบาปใหญู่

[92]             ผู้ใดใช้วาจาจาบจ้วง และนินทาคนมุสลิม ต่อหน้าศัตรูของคนมุสลิมนั้นเพื่อหวังจะได้อาหาร และเครองนุ่งห่มแลกเปลี่ยนกับการกระทำดังกล่าวอัลเลาะห์จะให้เขาได้อาหารและเครืองนุ่งห่มที่มาจากไฟนรกในวันกิยามะห์

[93]             คนชั่วคือคนที่ไม่ภักดิต่ออัลเลาะห์ และทำความชั่วอย่างเปีดเผย ยินยอมให้นินทาคนประเภทนี้ได้ เพื่อผู้คนจะได้ ระมัดระวังเขา หรือโดยมีเจตนาให้เขารู้เพื่อเขาจะหยุดยั้ง

[94]             คำว่าหรือ เกิดจากความสงสัยของผู้เล่า คำๆนี้เป็นคำที่ใช้ประณาม สำหรับชาวอาหรับ

[95]             คำว่าหรือ เกิดจากความสงสัยของผู้เล่า ท่านนบี ซ.ล.ให้ความสงสารแก่คนตีสองหน้าคนนี่ เพื่อตัดคำพูดของเขา และแสดงความอ่อนโยนแก่เขา

[96]             คนนั้น และคนนั้น คือ คนที่ตีสองหน้าสองคน, นี่ไม่ใช่เป็นการคาดคิดที่ศาสนาห้าม เพราะนั่นเป็นการคาดคิดใน ทางไม่ดี แต่นี่เป็นการเตือนให้ระมัดระวังนี่จะมีสักษณะเหมือนคนทั้งสอง

[97]             มุสลิมทุกคน จะได้รับการอภัย และเมตตาสงสาร นอกจากผู้ที่ทำความชั่วอย่างเปีดเผย

[98]             ท่านนบี ซ.ล. ถือว่าเขาเหมือนกับสัตว์ แต่หลงทางยิ่งกว่าสัตว์ เพราะเขาขอความเมตตาเพื่อตัวเอง และเพื่อท่านนบ ซ.ล. โดยไม่เผื่อแผ่ไปถืงสรรพสิ่งต่างๆ ที่อัลเลาะห์ได้ทรงสร้างขึ้นมา

[99]            การคาดคะเนบางอย่างนั้นเป็นบาป คือทำให้ตกลงไปในบาป และเป็นโทษ นั้นคือการมองมุสลิมไปในแง่ร้าย

[100]    ผู้มีศรัทธานั้นมีตำแหน่งและศักดิ์ศรี ณ พระองค์อัลเลาะห์ ยิ่งกว่ากะอุบะห์ ที่มีตำแหน่งอันสูงส่ง มีศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นจะยอมให้ละเมิดศักดิ์ศรีของผู้ฑมีศรัทธาได้อย่างไร

[101]    เพราะถ้าหากเขาแสดงต่อประชาชนอย่างเป็ดเผยด้วยทุกสิ่งที่เขาได้ยินมา บางทีมันอาจนำพวกเขาไปสู่การทำคาามชั่ว อย่างเป็ดเผย และหนักข้อยิ่งขึ้น

[102]    ดังนั้นไม่ควรจะปฎิบัติกับประชาชนด้วนการกล่าวหา และมองในแง่ร้าย บางทีอาจทำให้ประชาชนเสื่อมเสียไปได้

[103]    ความมุ่งหมายก็คือ ทำเป็นไม่ใส่ใจ และไม่ขุดคุ้ย

[104]    คืออย่าเบือนหน้าจากผู้คนอย่างยะโส

[105]    หมายถึงชาวสวรรค์ส่วนใหญ่

[106]           ความยะโส และยิ่งใหญ่นั้นเป็นคุณสมบัติเฉพาะอัลเลาะห์ตาอาลา ไม่ควรที่จะมีบ่าวคนใดไปอ้างเอาคุณสมบัติดังกล่าว เหมือนกับผ้านุ่งและผ้าห่มของคน ๆ หนึ่งที่จะไม่มีใครไปร่วมใช้กับเขา

[107]          ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใด

[108]           หมายถืง แสดงความหยิ่งยะโส และดูถูกเพื่อนมนุษย์ แม้จะไม่มีใครอยู่กับเขาเลยก็ตาม จนในที่สุดเขาถูกนำไปรวม กับกลุ่มผู้เผด็จการ

[109]           คำว่า หรือ เก็ดจากความสงสยของผู้เล่า

[110]           การยกย่องสรรเสริญอย่างเลยเถิด อาจทำให้เขาเหลิง และหลงตัวได้ คำว่าหริอ เกิดจากความสงสัยของผู้เล่า

[111]           ดังนั้นถ้าจำเป็นต้องยกย่อง ก็ให้กล่าวว่า “คิดว่าเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตามที่เห็น”

[112]           มีนักวิชาการพวกหนึ่งยืดถือหะดีษนี้ตรงตัว คือให้ขว้างหน้าคนที่ชอบยกย่องสรรเสริญด้วยดิน อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ความหมายของหะด็ษนีก็คือ จงทำให้พวกเขาผิดหวัง โดยพวกท่านอย่าให้สิ่งใด ๆ แก่พวกเขาเลย หะดีษเจาะจงเฉพาะพวกที่ ยืดเอาการสรรเสริญยกย่องเปืนประเพณี และเป็นสิ่งที่ใช้หากินกับผู้ที่ถูกยกย่อง ส่วนผู้ที่ยกย่องสรรเสริญ เพราะกระทำดีหริอ มีมารยาทดี โดยไม่หวังสิ่งใด ก็ไม่เรียกว่าเป็นคนที่ชอบยกย่องสรรเสริญ

[113]      คอช่กนำไปในการยกย์องสรรเสริญ จนถืงฃีดที่ศาสนาไม่อนุญาต

[114]      คนที่พูดก้บที่น้องของเขาว่า “โอ้กาrJร” หริอ “โอ้คนช่ว” อ้าหากเขาพูดจริง พน้องของเขาก็เยนคนชว และอ้าเขา พูดไม่จริงเขาก็เยนคนชวเอง

[115]      การฆ่ามุสลิมเยนการไร้ศรํทธา อ้าหากเขาถอว่าการฆ่ามุสลิมเยนที่อนุมิต

[116]      ถาหากผู้ฑถูกทุจริต สือฝ่ายฑีสองไม่ได้ละเมิด คอไม่ได้ด่าเกนกว่าที่ฝ่ายเริมด่า อ้าไม่เช่นนนฝ่ายที่สองก็จะมิบาป ในส่วนที่ด่าเกิน และจำเยนที่บุคคลหงสอง (ที่ด่ากนนน) จะด้องเตาบะห์ และกส์บตัวส่อํลเลาะห์ หลงจากนน

[117]      เช่นกล่าวว่า ห่านไม่ใช่เยนลูกบิดาของห่าน หริอห่านเปีนลูกที่เกิดจากการละเมิดประทJมิ *คอถอว่า เยนการกระทำเหมิอนการกระทำของผู้ไร้ศร'ฑธา

[118]           การนินทาคนตายนั้นเปีนสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะการจะขออนุมัฅิจากคนตายนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และ เพราะญาติของผู้ตายจะได้รับความเจ็บช้ำ

[119]           สาปแช่ง คือขอต่ออัลเลาะห์ให้พระองค์ฃับไล่เขาออกจากความเมตตาของพระองค์ การสาปแช่งเปีนสิ่งต้องห้ามแม้จะเป็นการสาปแช่งสํตว์ก็ตาม

[120]           ในการต้องห้ามหริอลงโทษ

[121]           ในการ ต้องห้ามหริอลงโทษ

[122]           ผู้ใดที่สาปแช่งจนเคยชิน เขาจะไม่ได้รับขั้นของนักรบชะฮีด และได้สิทธิช่วยเหลือในอาคิเราะห์

[123]           ด้งนั้นไม่ควรจะดูหมินผู้ใค เพราะความจน และอ่อนแอ เพราะบางทีเขาอาจเป็นคนที่อัลเลาะห์รักก็ได้

[124]           หมายถงประดูแห่งความเมตตาทั้งหลาย

[125]          หมายความว่าจงหน่วงคนทั้งสองไว้จากการอภัยโทษจนกว่าเขาทั้งสองจะประน่ประนอมกัน

[126]           แม้ว่าผู้เริ่มจะประเสริฐกว่าก็ตาม

[127]           หะดีษนระบุว่า สลาม จะตัดอาการที่เริยกว่าเมินเฉย และยกบาปออกไป และจะได้รับผลบุญ

[128]      เพราะการทช้ยน้บได้กล่าวหา ชอฟ้ยะห์ ภรรยาอึกคนหนงของท่านนบ (ซ.ล.) ว่าเซนหญิงชาวรว นเกิดจากความ หงของช้ยน่บ

[129]      ในหะดษเหล่านชว่า การเป็นเฉยเกินกวรุสามว'นนน1ยนสิ่งต้องห้าม   ยกเว้นในกรณีที่มสิ่งหนงชงทำให้อัลเลาะห์

และศาสนทูตของพระองค์โกรธ ก็อนุญาตให้เป็นเฉยเกินกว่าสามว่น เช่นการทท่านนบ (ซ.ล.) เป็นเฉยต่อช้ยน*บในเรองน และ การที่ท่านเป็นเฉยต่อชายทั้งสามที่ไม่ออกไปร่วมในสมรภูป็รบ และการที่อบฟ้อม้รเป็นเฉยต่อบุตรของเขาจนเส์ยาทต

[130]      การโต้เกยงปะทะคารม เพอเอาชนะกันนน เยนสิ่งที่น่าตำหฟ้ เพราะจะทำให้เกิดความเยนศ*ตรูต่อกัน

[131]      เขาไต้ชมท่านนบ ซ.ล.ว่าเยนคนฑม่ฟ้ส*ยด มความอะลุ้มอะล่วขในการทำธุรกิจ

[132]           การโต้เถียงจะทำให้เกิดความเป็นศัตรูและอาฆาตแค้น ส่วนการสัพยอก จะทำให้หมดความนับถือ

[133]           เพราะการผิดสัญญา เป็นลักษณะของพวกตีสองหน้า

[134]           การชอบทะเลาะวิวาทเป็นบาปใหญ่

[135]  เพราะเวลานั้นขาดความมีสิริมงคล ปีหนึ่งจะเหมือนกับเดือนหนึ่ง เดือนหนั้งเหมือนสัปดาห์หนึ่ง สัปดาห์หนึ่งเหมือนวันหนึ่ง วั้นหนึ่งเหมือนชั่วโมงหนึ่ง และชั่วโมงหนึ่งก็เหมือนกับอึดใจเดียว

[136]  ด้วยการภั้กดีต่างๆ เพราะลุ่มหลงอยู่กับดุนยา

[137]  คือมันจะถูกโยนเข้าไปอยู่ในหัวใจของมนุษย์และจะทำให้พวกเขาพินาศ

[138]  ทั้งหมดนี้ได้ปรากฎขึ้นแล้ว ในยุคนี้

[139] การโกหก เปีนสิ่งต้องห้าม นอกจากในสามประการนี้

[140]  คือด้วย อัลกุรอาน โดยพวกเขาจะกล่าวว่า มันเป็นคำพูดของมนุษย์

[141]  การพูดตามที่ได้ยินมาทุกอย่างนั้นเป็นบาปใหญ่ เพราะสัจจะในหมู่ประชาชนนั้นมีน้อย

[142]  การโกหกผู้ที่พูดจรงกับตนนั้น เป็นการทุจริตอย่างใหญ่หลวง เพราะเป็นการบิดเบือน เช่นการล้อเล่น และทำให้ผู้ฟังไขว้เขว

167 สิ่งที่ท่านนบี ซ.ล. โกรธเคืองที่สุดคือ โกหกในการสาบาน เพราะเป็นการทำให้หลงผิด และเป็นการดูหมิ่นนามของอัล!ลาะห์ ตาอาลา

[144]  หะดีษเหล่านี้ชี้ว่าการโกหกเป็นสิ่งต้องห้าม แม้จะพูดล่อเล่นก็ตาม และจะต้องถูกลงโทษด้วยไฟนรก

[145]  คือ ถ่ายทอดคำพูดที่ดีของทั้งสองฝ่ายที่พิพาทกันไปสู่อีกฝ่ายหนึ่ง หรือผู้ประนี้ประนอมพูดออกมาเอง เพื่อให้ทั้งสองฝ่าย คืนดีกัน แม้จะเป็นคำพูดที่โกหกก็ตาม จะไม่เรียกเขาว่า เป็นคนโกหก แต่จะเรียกว่า เป็นคนที่ทำดี ประนี้ประนอมและได้รับ ผลบุญตอบแทน

[146]  ในการรบ ยอมให้แม่ท'พโกหกในเรื่องกลยุทธ ที่เขาตั้งใจไว้ เพื่อไม่ให้ข่าวตกไปถึงฝ่ายศัตรู

[147]      คำพูดฑภรรยาพูดกับสาม่ของนางเช่นกล่าวว่า เธอเป็นคนฑฉ'นร'กฑชุด เป็นต้น

[148]      แห้ที่จริงที่ยอมใหโกหกทั้งที่เป้นสิ่งต้องห้าม ในเรองเหล่านก็เพราะเรองเหล่านื้เป้นเรองสำค้ญ

108 นด่ก็ไม่สามารถดงออกได้

[150]      โดยเขาเข้าใจเอาเองว่า ไม่ม่ใครขอฟ้องล่นด้วยกำดงกล่าว นอกจากคนบ้าเท่านั้น ชายคนนั้เป็นคนสืสองหน้า หรอเป็นชาว อาหรับทหยาบคาย

[151]      คนหน้าไหว้หล่งหลอกทนินทา

[152]  พูดกระทบ คือใช้คำพูดที่มีสองนัย

[153]  คือหนี้จากราคาของสินค้านั้น

[154]  อันได้แก่ ฅา หู และลิ้น

[155]  อันได้แก่สิ่งที่มันรับประทานเข้าไป และอวัยวะเพศ

[156]  มนุษย์มึสองประเภทคือคนดีกับคนเลว

[157]           “เจ้าทั้งสอง" หมายถึง มนุษย์ และญิน นั้นไม่บังควรจะปฏิเสธความโปรดปรานใด ๆ ของอัลเลาะห์

[158]           นั่นคือพวกอันศอร

[159]          คือตื่นตัว ระมัดระวัง และป้องกัน เรื่องต่างๆ ในอนาคต

* หมายความว่า เมอเจ็บแล้วต้องจำ

* หมายความว่า มนุษย์ฑสมบูรณ์แบบนั้นหาไต้ยาก

[160]          จากพวกพ้องของเขา เพื่อเอาทรัพย์สินที่ข้าพเจ้า

[161]           คอพระผู้อภิบาลของฉันได้กล่าวว่า ทุก ๆ ทรัพย์สินที่เราได้มอบมันให้แก่บ่าวคนใดนั้นเป็นสิ่งอนุม้ต (ฮาล้าล)

[162]           หมายถึง ก่อนจะแต่งตั้งมุฮำหมด ซ.ล. นอกจากพวกหนึ่งที่ยึดมั่น อยู่กับคัมภิร์ โดยไม่เปลี่ยนแปลง

[163]           น้ำล้างไม่ออก เพราะม่นถูกจดจำอยู่ในใจ และจะถูกอ่านทุกสภาพ

[164]           คือคนจนที่มีครอบครัว เหน็ดเหนื่อยเพื่อครอบคร้วโดยไม่โอดครวญและแบมือขอ

[165]           คืออำพรางความเจ้าเล่ห์ และ ทุจริตอยู่เสมอ

[166]           เป็นความสงสํยของผู้เล่า แต่ทั้งสองประการก็เป็นความชั่วที่ทำให้ตกนรกได้

[167]          ความรักที่จะได้ผลบุญตอบแทน คือ รักอัลเลาะห์ รักศาสนทูตของพระองค์ และรักมวลมุสลิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งรักมวลมุสลิมที่ดี

* คือถ้าพวกเขา มีความเข้าใจในศาสนา

** ความรักเละความชิงชังกันในระหว่างมนุษย์ เกิดจากความลงรอยกันของวิญญาณและความไม่ลงรอยกัน

[168]           นนคือ อัลเลาะห์ ตาอาลา

[169]           คนที่ใช่,สูบลม ก็คือช่างเหล็กที่ใช่สูบลมเป่าไฟให้แรงเพื่อเผาเหล็ก

[170]           เพราะสูบลมอาจทำให้เกิดสะเก็ดไฟทำให้เสื้อผ้าไหม้ และยังมีกลิ่นเหม็น เพราะทำจากหนัง

คอไข้ประกาศแก่มวลมะลาอิกะห่ว่ๅ จงมาร่วมชุมนุม ณ สถานทแห่งน ชงเป็นสถานท ๆ พวกท่านตดตามหา

คอมะลาอิกะห์จะเข้าห่อมล้อมพวกเฃา แล้วฃํ้นไปยิงฟ้าพั้ตาสุด

[173]          ท่านนบี ซ.ล. ได้ตอบเขาว่า การเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการตีสองหน้าหรอก โอ้ฮันดอละห์ เจ้าจงแบ่งเวลา ชั่วโมงหนึ่งอยูกับพระผู้อภิบาลของท่าน ชั่วโมงหนึ่งเปีนของตัวของท่าน ชั่วโมงหนึ่งเพื่อประกอบอาชีพของท่าน และช่วโมงหนึ่งเพื่ออยู่กับ ครอบครัวและบุตรของท่าน

174 “ผู้ทรงปลอดภัย” คือปลอดภ้ยจากข้อบกพร่องทั้งปวง

[175]     ตํสเบียะห์ คือชุบฮานํ๋ลลอห์, ตะห์มีด คือ อิลฮ้มดุลลลาห์ ตํกบีร คือ อ้ลลอธุอ้กบํร ตะห์ลล คือ ลาอิลา-

ฮะอลลํ๋ลเลาะห์

[176]      ตักดีส เช่นกล่าวว่า ซุบฮานัลมะลิกิลกุดดูส

[177]           คออยู่ในที่ละหมาดของหล่อน ที่ละหมาดซุบฮ์

  1. หะดีษเหล่านี้ชี้ว่า การทำอิบาดะห์ โดยใช้ถ้อยคำจำนวนมากๆ นั้นประเสริฐยิ่ง และการนับ ตัสเบียะห์ เป็นสิ่งที่ควรกระทำเพื่อให้รู้จำนวนที่ต้องการ และความจริงท่านนบ ซ.ล.ได้ให้การยอมรับ การนับตัสเบียะห์ โดยใช้เมล็ดอินทผลัม ด้งนั้นการใช้ลูกประคำ ก็จืงเป็นสิ่งที่อนุญาตและควรทำ เพราะสะดวกและนับได้แน่นอนกว่า (190)              อะกอบะห์ และ ซะน่ยะห์ เป้นเสนทางในภูเขา

[179]      ทุกบาปท๓ดขํ้นเขาจะได้รบการอภย เมอห้ลเลาะห์ประสงค์เช่นนน นอกจากการตั้งภาค์ต่ออัลเลาะห์

[180]      ค์อที่ทำให้แน่นอนได้สวรรค์

[181]          บริสุทธิ์ใจ ต่อคำพูดนั้น หรือพูดแต่ปาก ใจคิดไปอื่น ก็ตาม

[182]          สืงที่ลงมาและไม่ได้ลงมา คือภัยพิบัตต่างๆ

[183]           คือข้าพเจ้าฃอดุอาอโดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางชี้ ท่านได้กล่าวว่า จงใชนิ้วเดียว จงใช้นิ้วเดียว และท่านนบืได้ชี้ด้วย นิ้วชี้ เพึอให้คำพูดและการกระทำของท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

โดยอาศัยหะดีษนี้ ได้มีนักวิชาการบางท่านกล่าวว่า ควรชื้ด้วยนิ้วชี้ในการขออภยโทษเท่านั้น แต่คำพูดของพวก เขาก็ตกไปโดยการให้แบมือท่งสองข้างในการขอดุอาอทํ๋งสิ้น โดยอาศยหะดีษที่จะกล่าวต่อไป

[184]          คืออย่าใช้ผ้าคลุมกำแพง เพราะการทำเช่นนั้นเปีนความสุรุ่ยสุร่าย

[185]           คือจงขอต่ออัลเลาะห์โดยใช้ฝ่ามือ เหมือนคนที่กำลังจะรับสิ่งของนี้หมายถึงในการขอสิ่งที่ต้องการ ต่างกับการขอ ปองก้นจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ให้คว่ำมือ โดยใช้หลัก ตะฟาอุ้ล (มองไปในทางดี)

[186]          คือจะได็รับการตอบสนองมากที่สุด

นี่เป็นความถ่อมตนของท่านนบี ซ.ล. และถ้าไม่เช่นนั้นท่านเป็นผู้ที่เพรียบพร้อมด้วยคุณธรรม

[188]          คอให้มันเป็นประโยชน์แก่เราหสังจากตายไปแล้ว

[189]          “และจากส่วนหนึ่งของเวลากลางคืน เจ้าจงถวายบริสุทธิ์แด่พระองค์’’ คือ ด้วยการทำอิบาดะห์ และละหมาด มักริบกับอิชาอุ “หลังจากดาวตก’’ คือ ด้วยการละหมาดฟัจร์ และซุบฮ์

[190]           คือเมฆฝน                * เพราะกลัวจะเป็นเหมือนเมฆฝนที่มาทำลายพวกอ๊าด

[191]           คอเปีนความเมตตาที่ยังใหม่ต่อ สิ่งที่อัลเลาะห์ได้ทรงสร้างฃํ้น เราจืงเอามันเป็นสิริมงคล

[192]           หมายถึง จะกำหนดเวลาในการซอลาวาตแก่ท่านเท่าไหร่ ในที่ๆทำอิบาดะห์ของเขาโดยเฉพาะ

[193]           คือข้าพเจ้าจะซอลาวาตแก่ท่านเศษหนึ่งส่วนสี่ของเวลาที่ข้าพเจ้าทำอิบาดะห์

*คนที่1ซอลาวาตนบี ซ.ล. มากที่สุด เป็นคนที่ควรได้ร้บความช่วยเหลือของท่าน และมีที่นั่งใกด้ชิดกับท่าน

[194]   นี่เป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เข้าใจไห้ใกล้เคียง และถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ทะเลก็จำกัด และเข็มจะทำให้ม่นพร่องลงได้ ส่วนความโปรดปรานของอัลเลาะห์ไม่จำกัด และจะไม่หมด หรื่อแม้แต่พร่องลงไป

[195]   เงื่อนไขของการเตาบะห์มึสามประการคือ ถอนตัวออกจากบาป, เสียใจที่เกิดขึ้น, ตั้งใจว่าจะไม่กลับไปทำมันอีกตลอดไป และถ้าบาปนั้นเกยวข้องกับกรรมสืทธิ์ของมนุษย์ ก็จะต้องเพิ่มเงื่อนไขข้อที่สี่คือ ต้องส่งคืนสิทธิ์นั้นให้แก่เจ้าของของมัน

[196]   เป้นการแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ที่อัลเลาะห์ได้ปกปีดความชั่วของเขาไว้ โดยไม่เปีดเผยออกมา ในโลกนึว่าพระองค์ก็จะปกปีด มันในวันกิยามะห์

[197] ท่านนบี ซ.ล.ได้วางมือของท่านเองที่ต้นคอของท่าน แล้วแบมือออก และได้กล่าวว่า โน้นคอความหวังของเขา ท่าน ได้กล่าวย้ำเพือชี้ว่า ความหวังนั้นยาวกว่ากำหนดความตายของเขามาก

[198] โดยการตอบคำขอของพวกผู้ตั้งภาคีที่ให้ขับไล่ บรรดาอัครสาวกที่ยากจนเหล่านั้น

[199]      ท่านนบื ซ.ล.ได้สะไ}ดมอของท่านเพอบอกให้รูว่ๅชายคนนั้นได้พนจากโลกไ!ไปแล้วด้วยความตายของเขา

[200]      คอล้าหากเขาสู่ขอลูกสาวของใครเพอแต่งงาน เขาจะได้รบการตอบร้บ เพราะความรารวยของเขา

[201]   คือเธออย่านับว่าเป็นผ้าเก่าแล้วทิ้งไป จนกว่าเธอจะปะชุนมนเสียก่อนแล้วนำมาสวมใส่อีก

[202]   ผู้ที่มีตับ หมายถึงสัตว์

[203]   เพราะไม่มีสิ่งที่จะใช้ทำขนมปังและหุงต้ม

[204]        สองดำ คือ อินทผลัมกับน้ำ ชาวอาหรับเรียกน้ำกับอินทผลัมว่าเป็นสองดำ

[205]   แพะหัน คือแพะที่ขูดหนังออกแล้วย่างไฟเป็นอาหารของคนที่ฟุ่มเฟือย

[206] อครสาวกบางทานไดมารองเรอนตอทานรอชูลุ้ล(อๆ;/น์ ซ.ล.ถงความหิว และพวก1ขาได'11เด'ให้ท่านดูท้องของพวกรขาท ไดผูกหินไว้คนละล้อน ท่านนบ ซ.ล.จงร!เดท้องของท่านให้พวกรขๅดูท้า^ ปรากฎว่าท่านได้ผูกหินไว้ที่ท้องของท่าน สองก้อน

[207]      คำว่า ปค หิค เปนคำที่ใช้พูดขณะฝ็นดและชอบใจ

  1. ตามทปรากฎคือ เวลากอยลูละห์

[209] ได้กล่าวสลามแก่ท่านและต้อนรับท่าน คือทาสสองคนเท่านั้น

[210]  คือจะส่งภรรยาของท่านให้ทำดีแก่เฃา

[211]      เพราะผู้คนมมาก อนฑผลิ'มและเสบยงมนอย

[212]      นี่หมายกงในยุคแรกทลิสลามยํงเปนสิ่งแปลกใหม่ และมุสลิมยงม่จำนวนเล็กห้อย

[213]      หมายกงอาหารฑม่จำนวนห้อย

[214]      คอออกจากห้านไปสู่มํสรด

[215]      คอไม่เชิญพัไปร่วมรบประฑานอาหาร

[216]      คอความหิวโหยอย่างหนก

[217]      คออะบูฮรอยเราะห์

[218]      เพราะซอดาเกาะห์ เซนสิ่งต้องห้ามสำหร่บท่าน

[219]   คือฉินได้ดื่มมันจนอิ่ม ไม่มีช่องว่างในตํวฉันที่จะใส่นมลงไปได้อีก

[220]  คือชาวอาหรับชนบที่ไม่รู้จักพวกเขา จะกล่าวว่า พวกเขาเป็นคนบ้าโดยใช่,คำว่า มะญานีน หรือมะญานูน

[221]   สิ่งที่อยู่ระหว่างเคราทั้งสองข้างคือลิ้น และสิ่งที่อยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างคือ อวัยวะเพศ

[222]       อะไรคือความหลุดพ้น หมายถึง ทางที่จะหลุดพ้นจากการลงโทษ จงให้บ้านฃองท่านกว้างขวาง หมายถึงในเรื่องการ ประกอบอาชีพ

[223]      ต้นอํรช์ คอต้นสนหิน

[224]      ต้วยความมํวหมองต่างๆ และภ้ยพิบํต

[225]  พวกเขาจะไม่ปรารถนาเช่นนี้ นอกจากได้เห็นผลบุญอันยิ่งใหญ่ที่ได้รํบจากการถูกทดลอง

[226]   คือสำหริบมะลาอิกะห์บางท่านตั้งแต่เขายังอยู่ในท้องมารดา

[227]   คือคำว่า “ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสํกการะ โดยเที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์”

[228]   หมายความว่า เหมือนกับเราไม่เคยรู้อะไรเลยจนถึงเดี๋ยวนี้

[229]  สภาวการณ์ต่างๆ ของเรา และการกระหำต่าง ๆ ของเราได้ถูกกำหนด และบํนทึกไว้แก่พวกเราก่อนจากนี้แล้ว หรือยํงไม่ ได้ถูกกำหนดแก่พวกเรา นอกจากภายหลังจากมันได้เกิดขึ้น และปรากฏออกมาแล้ว

[230]  หมายความว่า กำหนดการต่างๆ ไต่สิ้นสุดลงแล้ว ตรงตามที่อัลเลาะห์ตาอาลาทรงรู้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง และแก้ไขอีก

201 ความหมายของหะด็ษก็คอ เด็กๆ เหล่านั้นจะย'งไม่ออกจากธรรมชาสืบริสุฑธ และศาสนาฑเฑยงแท้ นอกจากเม่อพวก เขาบรรลุศาสนภาวะและยงคงยดมนอยู่กบสิ่งฑบิดามารคาของพวกเขาฝืกหดมๅrน!1นสภๅพไร้ศรัทธาต่ออลเลาะห์ตาอาลา ด้งนั้นตราบใดฑพวกเขาย'งเป็นเด็กก็ถอว่าพวกเขาอยู่ในข้อกำหนดของเด็กมุสลิม

[232] คอพวกเขาอยู่อํบอิบรอฮม (อ.ล.) ในสวรรค์

[233]   คือ อัลเลาะห์ฅาอาลาไม่ได้บอกให้เราถึงชาวสวรรค์และชาวนรก และเราก็ไม่รู้นอกจากที่อัลเลาะห์ตาอาลาได้แจ้งให้พวกเรารู้เท่านั้น หมายความว่า ไม่มีผู้ใดรู้ความเป็นไปของพวกเขา นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น

[234] บิดาของท่านนบิผู้ให้กำเนิดคือ อับดุลเลาะห์ ในทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ถือว่า เขาพ้นภัย และอาจตีความคำว่า บิดาในที่นี่ได้ว่า คือ ลุงของท่าน อะบูตอสิบ ซึ่งเรื่องนี้ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องคำบรรยายซูเราะห์ อัตเตาบะห์ แต่มีนักวิชาการพวกหนี่งได้กล่าวว่า เขาก็พ้นภัยด้วย ที่ดีที่สุดคือถือว่า บิดาของท่านในที่นี่คือ อะบูละฮับ เพราะเช่นนี้แน่นอน แล้วว่า เขาต้องลงนรก

[235]   การฝังลูกผู้หญิงทั้งเป็น เพราะกลัวความเสื่อมเสีย และความยากจนเช่นประเพณีของผู้คนในยุคญาฮิลิยะห์ก่อนอิสลาม ไม่ ใช่หมายความว่า เด็กผู้หญงที่ถูกฝังทั้งเป็นนั้นอยู่ในนรกเพราะถูกลงโทษ แต่เพราะแม่ของเธอ หรอถูกลงโทษตามแม่ของเธอ

[236]      ด้วยกำทาม ด้วยวิกฤติการณ์ และการลงโทษ

[237] ก่อ ถ้าแม่ฉนไป้กลวพวกท่านจะไม่ยอมด้งคนตายของพวกท่านในหลุมด้งศพ เม่อพวกท่านได้เท่นการลงโทษในหลุมด้ง ศพแล้ว ฉ,นจะวิงวอนต่ออัลเลาะห์ให้พวกท่านได้เท่นการลงโทษในหลุมด้งศพที่ฉํนกำลํงเท่นอยู่น

[238]      ก่อพิจารณาการกระทำในนั้นปลายของช่วิตขณะตาย

[239]      โดยที่เขาไม่ม่ความอดทนต่อกำหนดของอลเลาะท่

[240]      โดยก่อว่า การฆ่าดวดายเชนสิ่งอนุมํติ

[241]      เพราะการพยากรณ์ของท่านในสิ่งเร้นลํบเชนความจริง

276 คือในสภาพของการเป็นอิสลาม

[243]        คนรักฃองอัลเลาะห์คือ ผู้มีศรัทธาที่มีความยำเกรง

[244]   คือฟัรฎูต่างๆ เช่นละหมาด ชะกาต ฮัจญ์ และการถือศีลอด

[245]       “การกระทำต่างๆ โดยสมัครใจ” คือสุนัตต่างๆ ที่ไม่ได้บังคับ “จนกว่าเราจะรักเขา" ด้วยการปฏิบัติสุนัตร่วมกับฟัรฎูจนความ รักของเราที่มีต่อเขานั้นใหญ่หลวง

[246]   ก๊อเขาจะไม่ฟังนอกจากสิ่งที่ทำให้พระผู้อภิบาลของเขาพอใจ

[247]         เขาจะไม่มอง นอกจากสิ่งที่ทำให้พระผู้อภิบาลของเขาพอใจ

[248]    เขาจะไม่เคลื่อนไหวมัน นอกจากเคลื่อนไหวไปในการภักดีต่ออัลเลาะห์ตาอาลา

800 หมายความว่า เราไม่เคยทำให้ทูตของเราต้องลังเล ในสิ่งใดที่เราจะกระทำ เหมือนที่เราทำให้พวกเขาลังเลในการเก็บวิญญาณ บ่าวของเราที่มีศรัทธา ที่รังเกี๊ยจความตาย เพราะความรุนแรงของมัน โดยที่เราเองก๊ไม่ต้องการให้เขาเดือดร้อนด้วยความตาย ซึ่งโดยธรรมชาติของมันเป็นเรื่องรุนแรงและลำบากแก่ชี่วิต

[250] ฮ่มมาด ร.ฎ. เป็นผู้เล่าคนหนึ่งจากบะดีล จากอิบนิ ชะกี๊ก จากอะบู ฮุรอยเราะห์

[251]   เขตสุดทายคือ ชิดรอตุ้น มุนตะฮา ซึ่งทุกสิ่งที่ถูกสร้างจะมาสิ้นสุดลงที่มัน นอกจากท่านนบี ซ.ล. ในคืนเมียะอรอจ ท่าน นบีได้ เลยมันไปยังที่ๆ อัลเลาะห์ประสงค์

[252]   คือเสียงเคลื่อนไหวของพวกเขาที่กลับจากการฝังศพ

[253]   คือ มุฮัมมัด ซ.ล.

[254]   คือด้วยสิ่งที่ท่านตอบ

[255]  คำว่า ฮา ฮา เป็นคำของผู้เกิดความลงเล ที่ไม่รู้จะพูดอะไร

[256]   เพราะงานที่เขาทำนั้นไม่บริสุทธิ์เพื่ออัลเลาะห์ตาอาลา

312. โดยอยู่บนล่อตวทนงของท่าน

[258]      จงร*กษาคำส*งใข้และข้อห้ามของพระองค์ พระองค์จะร*กษาเข้าและบริวารของเข้าจากทุกสิ่ง

[259]      ที่ใดที่เข้าเริยกหาพระองค์ เข้าก็จะไห้พบพระองค์

[260]      เพราะทุกสิ่งอยู่ในมือของพระองค์

[261]      เพราะพระองค์ทรงสามารถเหนือทุกสิ่ง

369 ฑงสิ่งฑสงสํยว่าดหรือเลว ฮะลาล หรือฮะรอม ทั้งคำพูดหรือการกระทำ ไปหาสิง'ทไม่ทำให้เกิดสงสํย เพราะกวามล'จจริง ในทุกสิ่งจะทำใ'หจตใจสงบ และความมุสาจะทำใหิจดใจหวนไหว

[263]      ความซอสัตย์ในหมู่พวกเขาเกิดจากสันดานเดิม และการขวนขวายจากบญญ*ตศาสนา

[264]  หมายความว่า ยุคแห่งความซื่อสัตย์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ในปัจจุบันฉํนจะไม่ทำธุรกิจกับใคร นอกจากคนบางคนเห่านั้น เพราะไม่มีความซอสัตย์ และไว้วางใจกันไม่ได้ ในเมีอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในยุคของอัครสาวก แล้วจะเปีนอย่างไรในยุค ปัจจุบันของเรานี้

[265]  กิจการงานในที่นี้หมายถึง ตำแหน่งหน้าที่ทั้งในด้านการปกครองและตัดสิน

[266]   ความดี คอทรํพย์สืน

[267]        คอทำท่าเหมอนคนกำลังให้

[268]   คือฃจัดสิ่งที่เปีนอันตรายออกจากทางสัญจร

[269]   โดยฑม่นเปีนความประสงค์ของท่าน และท่านจะไม่ประสงค์สิงใดนอกจากเปีนสิ่งที่ดีงาม

[270]   หมายถึงเปีนเสื้อเกราะที่แคบและสั้น

[271]   เพราะการขยายยาวของมัน

[272]   สำหรับทาสจะได้ผลบุญที่ให้ ส่วนนายจะได้ผลบุญของการทำชอดาเกาะห์

[273]        ความหมายของหะดีษนี้ก็คือ สนับสนุนใหบริจาค ละเว้นการเก็บสะสมไว้ และถ้า   ไม่เช่นนั้น อัลเลาะห์ก็จะสำรวจและหวง เขาไม่ใหได้รับความโปรดปรานและปัจจัยยังชีพ

[274]        เขาเป็นเจ้าเมืองนครมะดินะห์ โดยการแต่งตั้งของมุอาวิยะห์

[275]   คือ ละหมาดก่อนคุตบะห์

[276]        เป็นคำที่มีผู้กล่าวแก่ อุซามะห์ คนรับใช้ของท่านรอชูล้ลเลาะห์ ซ.ล. ขณะที่ได้เกิดวิกฤติการขึ้นในระหว่างมุสลิมกันเอง ในช่วงสุดท่ายที่อุสมาน ร.ฎ. เป็นคอลิฟะห์

[277]   คือการปฏิเสธอย่างโจ่งแจ้ง ทั้งนี้เพราะกลัวจะเกิดความปั่นป่วนรุนแรงขึ้น

[278]      คือไม่ได้ห้ามปรามคนชั่ว

[279]    คือชายที่กำล*งทำความชั่ว

[280]   คือการที่เขาได้เหีนชายคนนั้นตกอยู่ในความชั่ว

[281]   คืออัลเลาะห์จะทรงให้หัวใจของคนที่ภักดีมืดมนด้วยการที่เขาไม่ห้ามปรามคนชั่ว และยังมีความยินดีกับพวกเขาอีกทั้งคบหาสมาคมกับพวกเขา 

[282]   ตัวบทต่างๆ เหล่านี้ชี้ชัดว่า จำเป็นต้องใช้ให้ทำความดีและห้ามปรามจากความชั่ว ส่าหรับผู้ที่มีความสามารถ ถ้าไม่เช่นนั้น จะต้องถูกลงโทษทั้งหมด

[283]   อิสหากที่เป็นนักรายงานคนหนึ่ง

[284]   คือมะลาอิกะห์แปลงกายมาในรูปของชายที่เปีนโรคด่าง และมีอาการเช่นเด่ยวกับ.เขา ขณะที่ป่วย

[285]   เพราะการหย่าร้างก้นระหว่างสามีภรรยาท่าความขุ่นเคืองแก่อัลเลาะห์ และในการหย่าร้างจะเกิดความชั่วร้ายขึ้นมากมาย

[286]   จากร่องรอยของความหึงหวงที่ปรากฎอยู่

[287]   พวกเขาคือ มะลาอิกะห์ ผู้พัทักษ์ 

ซึ่งมีสองพวก พวกหนึ่งอยู่ผลัดกลางคืนจะลงมาดั้งแต่ อัสร์ จนถงฟัจร์ และกลับขึ้น ฟ้า อีกพวกหนึ่งอยู่ผลัดกลางวันจะลงมาดั้งแต่ ฟัจร์ และอยู่ไปจนลง อัสร์ จึงกลับขึ้นฟ้า

หมายเลขบันทึก: 703767เขียนเมื่อ 9 กรกฎาคม 2022 14:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 สิงหาคม 2022 18:21 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท