หะดีษซอเฮี๊ยห์เล่มที่7


 


 

ภาค การค้าขาย[1]

การเพาะปลูก

และการวักฟ์ (วะกัฟ)

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และอัลเลาะห์ทรงอนุมัติการค้าขาย และ ทรงห้ามดอกเบี้ย (ริบา)

มีสิบสองบท และบทสุดท้าย

บทที่หนึ่ง

การหาอาชีพที่ฮะลาล

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “ดังนั้น เมื่อเสร็จละหมาด ให้พวกท่านจงแยกย้ายไปใน แผ่นดิน และจงแสวงหาจากความโปรดปรานของอัลเลาะห์ และท่านทั้งหลายจงรำลึกถึง อัลเลาะห์ให้มาก แน่แท้ท่านทั้งหลายจะได้รับความสำเร็จ”

เล่าจาก นัวอฺมาน บุตร บะชีร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงสิ่ง อนุมัตินั้นแจ้งชัดแล้ว และสิ่งต้องห้ามก็แจ้งดชัดแล้ว และในระหว่างทั้งสองนั้นยังมีบรรดาสิ่ง คลุมเครือที่ผู้คนอีกเป็นจำนวนมากไม่รู้จักมัน ดังนั้น ผู้ใด ระมัดระวังบรรดาสิ่งที่คลุมเครือ เขา ได้ทำให้ศาสนา และศักดิ์ศรีของเขาพ้นมลทิน และผู้ใดตกลงไปในบรรดาสิ่งคลุมเครือ เท่ากับ เขาตกลงไปในสิ่งต้องห้าม เหมือนคนเลี้ยงสัตว์ที่นำสัตว์ไปเลี้ยงรอบๆ ที่สงวน เขาก็เกือบจะ นำสัตว์บุกรุกเข้าไปในนั้น พึงทราบเถิดว่า แท้จริง ทุกๆ ผู้ทรงอำนาจนั้นจะมีที่สงวน พึง ทราบเถิดว่า และที่สงวนของอัลเลาะห์ก็คือ สิ่งทีพระองค์กำหนดห้ามต่างๆ พึงทราบเถิด และ แท้จริงในร่างกายนั้นมีเนื้อก้อนหนึ่ง เมื่อเนื้อก้อนนั้นดี ร่างกายทั้งหมดก็ดี และเมื่อเนื้อก้อนนั้นเสีย ร่างกายทั้งหมดก็เสีย พึงทราบเถิดว่า มันคือ หัวใจ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี


 

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะต้องมียุคหนึ่งมา ถึงมนุษย์อย่างแน่นอนที่จะไม่มีใครหวั่นไหวต่อสิ่งที่เขาจะได้ทรัพย์มา ไม่ว่าจากทางที่ศาสนา อนุมัติ หรือทางที่ต้องห้าม[2]     

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า การที่คนหนึ่งคนใดของพวกท่านจะเก็บฟืนมัดหนึ่งใส่หลังของเขา เป็นการดีแก่เขายิ่งกว่าการขอใครๆ ที่เขาอาจ ให้ หรือไม่ให้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ไม่ได้ แต่งตั้งนบีท่านใด นอกจากนบีนั้นเลี้ยงแพะ บรรดาอัครสาวกของท่านได้กล่าวว่า และตัวท่านด้วย หรือ      ท่านตอบว่า ลูกแล้ว ฉันเคยเลี้ยงแพะให้ชาวมักกะห์โดยคิดเป็นกีรอต

เล่าจาก มิกดาม  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีใครเสียเลยที่ได้รับประทาน อาหาร จะดีไปกว่าการที่เขาจะรับประทานจากงานที่ทำโดยนํ้ามือของเขา และความจริง นบีของ อัลเลาะห์ดาวูด อ.ล. ก็ได้รับประทานจากงานที่ทำโดยนํ้ามือของท่าน และในบางรายงานว่า (นบีดาวูด) จะไม่รับประทานนอกจากงานที่ทำโดยนํ้ามือของท่านเท่านั้นั้[3])

และขณะเมื่อ อะบู บักร์  ร.ฎ. ได้ถูกสถาปนาขึ้นเป็นคอลีฟะห์ ได้กล่าวว่า พวกพ้อง ของข้าพเจ้าจะต้องทราบได้ดีว่า อาชีพของข้าพเจ้าไม่เคยทำให้ค่าใช้จ่ายของครอบครัวข้าพเจ้า ต้องบกพร่อง และต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะต้องยุ่งอยู่กับกิจการของมวลมุสลิม ดังนั้น ต่อไปวงศ์วาน ของอะบู บักร์จะต้องรับประทานจากทรัพย์นี้ และข้าพเจ้าจะต้องทำงานให้แก่มวลมุสลิมในทรัพย์นี้ [4]   

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าบุตรของชายคนหนึ่งนับเป็นผล แห่งความพยายามของเขา จากผลแห่งความพยายามที่ดีที่สุดของเขา ดังนั้นท่านทั้งหลายจงรับ ประทานจากทรัพย์สินของพวกเขาเถิด เมื่อพวกท่านมีความจำเป็น   

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และได้มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่าโอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริง ข้าพเจ้ามีทรัพย์ และมีบุตร และบิดาของข้าพเจ้ามีความต้องการทรัพย์ของข้าพเจ้า ท่านนบีได้ กล่าวว่าตัวท่านและทรัพย์ของท่าน เป็นกรรมสิทธิของบิดาท่าน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

เล่าจาก ซอคร์ อัลฆอมิดีย์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าแด่พระองค์ อัลเลาะห์ ได้โปรดเพิ่มพูนให้แก่ประชาชาติของข้าพเจ้าในเวลาเช้าตรู่ของพวกเขา ผู้เล่า (ซอคร์) ได้กล่าวว่า และโดยปกติเมื่อท่านส่งกองทหาร หรือกองทัพออกไป ท่านจะส่งพวก เขาไปในเวลาเช้าตรู่ และโดยที่ซอคร์เป็นพ่อค้า เมื่อเขาจะส่งสินค้าออกไป เขาก็มักจะส่งออก ไปในเวลาเช้าตรู่ ต่อมาเขาก็ร่ำรวย และทรัพย์สินของเขามีมากมาย                                                          

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

อาชีพกรอกเลือดไม่ควรกระทำ (มักรูห์)

เล่าจาก มุฮัยเซาะห์  ร.ฎ. ว่า เขาได้ขออนุมัติท่านนบี  ซ.ล. ในการรับค่าจ้างของ การเป็นคนกรอกเลือด ท่านนบีได้ห้ามเขา และเขาก็ยังคงขอร้องท่าน จนในที่สุดท่านได้กล่าว ว่าจงเอามันมาเลี้ยงอูฐของท่านและทาสของท่านเถิด    รายงานโดยอะมูดาวูด และติรมิซี โดยติรมีซีถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

และอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะบู ตอยบะห์ ได้กรอกเลือดท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล.

ต่อมาท่านได้สั่งให้มอบอินทผลัมหนึ่งซออฺให้แก่เขา และท่านได้สั่งครอบครัวของเขาให้ลดหย่อน ค่าตัวของเขา[5] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

อิบนุ อับบาส ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้รับการกรอกเลือด และท่านได้มอบให้ผู้ที่ทำการกรอกเลือดท่าน และถ้าแม้มันเป็นสิ่งต้องห้าม ท่านก็คงจะไม่มอบให้เขา[6] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบูดาวูด

บทที่สอง

สัจจะ และความอะลุ่มอล่วย (ในการค้าขาย)

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ชายคนหนึ่งได้เล่า.ให้ท่านนบี  ซ.ล. ฟังว่า เขาถูกฉ้อโกงในการซื้อขาย ท่านนบีได้กล่าวว่า เมื่อท่านทำการซื้อขายให้ท่านจงกล่าวว่าลาคิลาบะห์ (ไม่มีการหลอกลวง[7])        

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี            

มุสลิมได้รายงานเพิ่มเติมว่า

ดังนั้นเมื่อเขาไปทำการค้าขาย เขาก็กล่าวว่า ลาคิยาบะห์ [8]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การสาบานทำให้ สินค้าขายคล่อง และทำให้หมดสิริมงคล 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด 

และตัวบทของมุสลิมว่า พวก ท่านจงระวังการสาบานมากๆ ในการค้าขาย เพราะมันจะทำให้ขายคล่องก็จริง แต่ก็จะทำให้ขาด สิริมงคล

เล่าจาก อับดิ้ลลาห์ บุตร อะบีเอาฟา  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ชายคนหนึ่งได้ตั้งสินค้าเน หนึ่งของเขาไว่ในตลาด ต่อมาเขาได้สาบานด้วยอัลเลาะห์ว่า ความจริง มืผู้ให้ราคาสินค้าชิ้นนั้นแล้ว ทั้งที่ยังไม่มีผู้ใดให้ เพื่อให้มีชายคนหนึ่งจากมวลมุสลิมตกลงเอสินค้าเนนั้น จึงได้ลงมา ว่า “แท้จริง บรรดาผู้แลกเปลี่ยนด้วยสัญญาของอัลเลาะห์ และคำสาบานของพวกเขากับราคา เพียงเล็กน้อย-จนจบอายะห์” 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

และท่านนบี ซ.ล. ได้เดินผ่านชายคนหนึ่งกำลังขายอาหาร ท่านได้ถามเขาว่า ท่าน ขายอย่างไร เขาก็ได้บอกท่าน ต่อมา วะฮีย์ ได้ลูกประทานลงมายังท่านว่า จงเอามือของท่าน ล้วงเข้าไปในกองอาหารนั้น ท่านจึงได้เอามือล้วงเข้าไป ก็ได้พบว่า มันเปียก ท่านนบี ซ.ล. จึง กล่าวว่า ไม่ใช่เป็นพวกของเรา ผู้ทีตบตาหลอกลวง

รายงานโดย อะบูดาวูด มุสลิม และ ติรมีซี

ตัวบทของมุสลิม และติรมีซี ว่าท่านได้กล่าวว่า       อะไรกันนี่ โอ้ เจ้าของอาหารเขาตอบว่ามันลูกฝน โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านได้กล่าว่าให้ท่านเอามันขึ้นมาไว้ข้างบนอาหารเพื่อประชาชนจะ[9] ได้มองเห็นมัน จากนั้นท่านได้กล่าวว่า ผู้ใดตบตาหลอกลวง เขาไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของฉัน

เล่าจาก กอยส์ บุตร อะบี ฆอรชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราในสมัยของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เคยถูกเรียกว่าเป็นนายหน้า ต่อมาท่านนบีได้เดินผ่านพวกเรา และท่าน ได้ตั้งนามให้พวกเราด้วยนามที่ดียิ่งกว่าเดิม และท่านได้กล่าวว่า โอ้ พวกพ่อค้า แท้จริง การค้าขาย นั้น จะดึงเอาคำพูดไร้สาระ และคำสาบานเข้ามา ดังนั้นท่านทั้งหลายจงจำกัดขอบเขตของมัน ด้วยการทำทานซอดาเกาะห์เถิด 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ริฟาอะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริง เขาได้ออกไปกับท่านนบี  ซ.ล. ยังที่ละหมาด ต่อมาท่านได้เห็นประชาชนกำลังทำการค้าขายลง ท่านได้กล่าวว่า โอ้พวกพ่อค้าทั้งหลาย พวกเขา ได้ยกด้นคอ และสายตาของพวกเขาขึ้นมองไปที่ท่าน ตอบรับคำเรียกของท่าน แล้วท่านได้ กล่าวว่า แท้จริง พวกพ่อค้าจะถูกบังเกิดขึ้นในวันกิยามะห์ เป็นพวกคนชั่ว นอกจากผู้ที่มีความ ยำเกรงอัลเลาะห์ ทำดี และมีสัจจะ และในบางรายงานว่า พ่อค้าที่มีสัจจะ ซื่อสัตย์ จะได้อยู่ร่วมกับบรรดานบี บรรดาผู้ศรัทธาแท้จริง และบรรดานักรบชะฮีด                                                                                

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี 

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขออัลเลาะห์ทรงเมตตาชายที่ มีความอะลุ่มอล่วย เมื่อขาย เมื่อซื้อ และเมื่อทวงถาม

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และติรมิซี

เล่าจาก ฮุซัยฟะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่ามะลาอิกะห์ได้พบกับ

วิญญาณของชายคนหนึ่งจากบุคคลที่อยู่ในยุคก่อนพวกท่าน มะลาอิกะห์ได้กล่าวว่าท่านได้กระทำสิ่งใดที่เป็นความดีบ้างไหม เขาตอบว่า เปล่า มะลาอิกะห์กล่าวว่า จงนึกให้ดี เขาได้กล่าวว่าข้าพเจ้าเคยให้ประชาชนกู้หนี้ และข้าพเจ้าใช้ให้เด็กๆ ของข้าพเจ้าให้รอคอยลูกหนี้ที่ยากจน และผ่อนปรนให้คนที่ร่ำรวย อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่าพวกท่านจงผ่อนผันให้เขา และในบางรายงานว่า เว้นแต่ว่าข้าพเจ้าเป็นคนมีทรัพย์สิน และเคยให้ประชาชนกู้หนี้ ข้าพเจ้าจะ รับเอาจากลูกหนี้ที่ร่ำรวยและผ่อนผันให้แก่คนที่ยากจน อัลเลาะห์ได้ตรัสว่า ท่านทั้งหลายจง

ผ่อนผันให้บ่าวของเรา       

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดยอมร่นเวลา ให้คนยากจน หรือปล่อยวางให้เขา อัลเลาะห์จะให้ร่มเงาแก่เขาในวันกิยามะห์ อยู่ใต้ร่มเงาบัลลังก์ ของพระองค์ในวันที่ไม่มีร่มเงา นอกจากร่มเงาของพระองค์เท่านั้น

รายงานหะดีษโดยติรมิซี และถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ว่า แท้จริง มีชายคนหนึ่งที่เขามีสิทธิ์ค้างชำระอยู่ที่ ท่านร่อซูลัลเลาะห์  ซ.ล. และเขาได้ใช้คำพูดที่หยาบคายกับท่าน บรรดาอัครสาวกตั้งใจจะจัดการกับเขา แต่ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า จงปล่อยเขาเถิด เพราะความจริงเจ้าของสิทธิย่อมมี สิทธิพูด ท่านทั้งหลายจงซื้อลูกอูฐมาให้เขาตัวหนึ่ง และมอบมันให้แก่เขา ต่อมาพวกเขาได้กล่าว ว่า พวกเราไม่พบนอกจากลูกอูฐทีมีอายุมากกว่าลูกอูฐของเขา (ที่ท่านนบีได้ยืมมา) ท่านนบี ได้กล่าวว่า พวกท่านจงซื้อมัน และมอบมันให้เขา เพราะแท้จริงนับว่าเป็นคนดีของพวกท่าน หรือเป็นคนดีของพวกท่าน คนที่ดีที่สุดของพวกท่านในเรื่องการชำระหนี้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดที่ยอมยกเลิก การซื้อขายแก่มุสลิม อัลเลาะห์จะยอมยกเลิกข้อตำหนิของเขาให้แก่เขา[10]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์ 

บทที่สาม

เงื่อนไขต่างๆ ของสินค้า[11]

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ว่า แท้จริง เขาได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. กล่าวในปีพิชิต มักกะห์ โดยท่านอยู่ที่มักกะห์ว่า                                                    แท้จริง อัลเลาะห์ และศาลนทูตของพระองค์ได้กำหนด ห้ามขาย สุรา ซากสัตว์ หมู และรูปบูชา ได้มีผู้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์  โปรดบอกพวกเราเกี่ยวกับไขมันของซากสัตว์ เพราะมันถูกนำไปใช้ทาเรือ และใช้ทาแผ่นหนัง และ ประชาชนก็นำไปใช้จุดตะเกียง ท่านนบีกล่าวว่า ไม่ มันเป็นสิ่งต้องห้าม จากนั้นท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวในขณะนั้นอีกว่า ขออัลเลาะห์จงสังหารพวกยะฮูด แท้จริงอัลเลาะห์ทรงยิ่งใหญ่ และเกรียงไกร ได้กำหนดห้ามไขมันซากสัตว์เหนือพวกเขาแล้ว พวกเขาได้ละลาย มัน จากนั้นได้ขายมัน และกินราคาของมัน[12] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และในบางรายงานว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์   ซ.ล. ได้ห้ามราคาสุนัข ค่าตัวของโสเภณี และค่ากำนัลของหมอดู[13] และ เล่าจากเขา (ญาบิร) ได้กล่าวว่าท่านนบี  ซ.ล. ได้ห้ามราคาสุนัขและแมว[14]         

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้สาปแช่งไว้ในสุรา สิบคน ผู้คั้นสุรา ผู้ออกคำสั่งให้คั้นสุรา ผู้ดื่มสุรา ผู้นำพาสุรา ผู้ถูกนำพาสุราไปให้ ผู้รินสุรา ผู้ขายสุรา ผู้กินราคาสุรา ผู้ซื้อสุรา และผู้ที่ถูกซื้อสุราไปให้[15] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดซื้ออาหารมา เขาอย่าขายมันไปจนกว่าจะได้รับมันมาสมบูรณ์เสียก่อน[16]                                                                

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

มุสลิม และติรมีซีได้รายงานเพิ่มเติมว่า อิบนุ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า และข้าพเจ้าคิดว่าทุกสิ่งก็เหมือนกับอาหาร

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เครื่องชั่ง คือ เครื่องชั่งของชาวมักกะห์ และเครื่องตวง คือ เครื่องตวงของชาวมะดีนะห์[17]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด นะซาอี และอิบนิฮิบบาน

เล่าจาก มิกดาม บุตร มะอฺดี กะริบะ  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า:ท่านทั้ง หลายจงตวงอาหารของพวกท่าน พวกท่านจะได้รับการเพิ่มพูนในอาหารนั้น[18] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี 

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ว่า ท่านได้กล่าวแก่บรรดาเจ้าของ เครื่องตวง และเครื่องชั่งว่า แท้จริง พวกท่านได้ถูกแต่งตั้งให้ปกครองงานสองชิ้นที่ประชากรในยุคก่อนพวกท่านได้พบกับความพินาศมาแล้ว เพราะมันทั้งสองนั้น[19]       

รายงานหะดีษโดยติรมิซี และเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

และสุวัยด์ บุตร กอยส์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้า กับ มัครอฟะห์ อัลอับดีย์ได้ นำผ้ามาจากเมือง ฮะยัร และเราได้นำมันมาที่มักกะห์ ต่อมาท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ เดินทางมาที่เรา และได้ต่อรองกางเกง กับเรา และเราก็ได้ขายมันไป และที่นั่นมีชายคนหนึ่ง รับจ้างชั่ง (ราคา) ท่านร่อซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขาว่าท่านจงชั่ง และให้หนัก[20]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ห้ามการนำเอาสัตว์ตัวผู้ ออกรับจ้างผสมพันธุ์[21]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ห้ามการขายลูกกรวด และการขายแบบหลอกลวง[22]           

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่าสามฅนที่เราจะต้องเป็นคู่กรณีของพวกเขาในวันกิยามะที คือ ชายคนหนึ่งให้สัญญาด้วยนามของเราแส้วต่อมาเขาผิดสัญญา ชายคนหนึ่งที่ขาย เสรีชน และกินราคาของมัน[23] และชายคนหนึ่งที่ว่าจ้างลูกจ้าง และลูกจ้างได้ทำงานให้เขาครบล้วน แต่เขาไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง นั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ฟะดอละห์ บุตร อุบัยด์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ซื้อสร้อยเส้นหนึ่งในวันคอยบัรด้วยราคาสิบสองเหรียญทอง ในสร้อยเส้นนั้นมีทองคำ และลูกปัดข้าพเจ้าได้แยกมันออกจาก กัน และพบว่ามันมีราคามากกว่าสิบสองเหรียญทอง ข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องดังกล่าวให้ท่านนบี  ซ.ล. ฟัง ท่านได้กล่าวว่า มันจะขายยังไม่ได้จนกว่าท่านจะแยกมันออกจากกันเสียก่อน[24]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การเขียนเงื่อนไข และการตัดสินใจในการซื้อขาย

เล่าจาก อับดิล มะญีด บุตรวะฮับ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อัลอัดดาอุ บุตร คอลิด  ร.ฎ. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะอ่านสาสน์ที่ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้เขียนไว้ให้ข้าพเจ้า ให้ท่านฟังไหม ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ครับ เขาจึงได้นำสาส์นออกมาให้ข้าพเจ้า นี่ คือ สิ่งที่อัลอัดดาอฺ บุตร คอลิด บุตร ฮูซะห์ ซื้อจาก มุฮัมมัด ศาสนฑูตของอัลเลาะห์ โดยที่เขา ได้ซื้อทาสชาย หรือ[25] ทาสหญิง หนึ่งคนจากท่านนบี ไม่มีโรค ไม่ละเมิดประเวณี ไม่ลัก ขโมย ไม่หลบหนี และไม่ใช่เป็นเชลยที่จับมาจากกลุ่มชนที่มีสัญญาต่อกัน เป็นการขายของ มุสลิมต่อมุสลิม                                                            

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และติรมิซี

และบุคอรีได้เพิ่มเติมว่า คำว่า อัลฆออิละห์ คือ ละเมิดประเวณี ลักขโมย และหลบหนี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า มวลมุสลิมนั้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่าง ๆ ของพวกเขา[26] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และฮากีม

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ว่า ความจริงนางต้องการจะซื้อ บะรีเราะห์ ขณะที่ได้มาขอร้องนางให้ช่วยเหลือสิ่งที่นายของหล่อนได้ทำสัญญาไว้กับหล่อน แต่พวกเขาไม่ยอมขายให้นอก จากกรรมสิทธิในเรื่องวะลาอฺ ต้องตกเป็นของพวกเขา ต่อมาท่านนบี  ซ.ล. ไดยินเรื่องดังกล่าว ท่านได้กล่าวว่า จงซื้อหล่อนไว้ และจงให้เงื่อนไขแก่พวกเขาในเรื่องกรรมสิทธิ วะลาอฺ เพราะความจริงมันต้องตกเป็นกรรมสิทธิของผู้ที่ปลดปล่อยทาส อาอิซะห์จึงได้กระทำ[27] และท่าน รอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ลุกขึ้นยืนท่ามกลางประชาชนได้กล่าวสดุดีอัลเลาะห์ ได้สรรเสริญพระ องค์ จากนั้นได้กล่าวว่า  หลังจากนั้น จะเป็นอย่างไรบ้าง ผู้คนที่ได้ตั้งเงื่อนไขต่าง ๆ ขึ้นที่ไม่มีอยู่ในคัมภีร์ของอัลเลาะห์ เงื่อนไขใดๆ ก็ตามที่ไม่ปรากฏในคัมภีร์ของอัลเลาะห์มันย่อมเป็น เงื่อนไขที่เหลวไหล แม้มันจะมีสักร้อยเงื่อนไขก็ตาม การกำหนดของอัลเลาะห์ย่อมสัจจะยิ่งกว่า และเงื่อนไขของอัลเลาะห์ย่อมมั่นคงยิ่งกว่า และแน่นอนว่า กรรมสิทธิ์ในเรื่องวะลาอฺนั้นต้องตก เป็นของผู้ที่ปลดปล่อยทาสเท่านั้น[28]

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ว่า ความจริงเขาได้ขายอูฐตัวหนึ่งให้ท่านนบี  ซ.ล. และเขาได้ ตั้งเงื่อนไขไว้ว่า จะต้องขับขี่มันไปยังครอบครัวของเขา[29] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ฮะกีม บุตร ฮิซาม  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าสองคนที่ซื้อขายกันมีสิทธิตัดสินใจ ตราบใดที่คนทั้งสองยังไม่จากกัน ดังนั้น ถ้าหากคนทั้งสองมีสัจจะ และ อธิบายอย่างแจ่มแจ้ง[30] ทั้งสองก็จะได้รับความเพิ่มพูนในการซื้อขายของเขาทั้งสอง และถ้าหาก คนทั้งสองโกหก และปิดบัง ความเพิ่มพูนในการซื้อขายของคนทั้งสองก็จะถูกลบออกไป

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าทุกผู้ซื้อ และผู้ขายนั้น ยังถือว่าไม่มีการซื้อขายระหว่างเขาทั้งสอง[31] จนกว่าเขาทั้งสองจะแยกกัน นอกจากการซื้อขายที่ตัด สินใจไปแล้ว 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อชายสองคนได้ทำการซื้อขายกัน แต่ละคนมีสิทธิตัดสินใจตราบที่คนทั้งสองยังไม่แยกกัน โดยคนทั้งสองยังอยู่ด้วยกัน หรือตราบที่คนหนึ่งคนใดให้อีกคนหนึ่งเลือกตัดสินใจ และทั้งสองคนก็ตกลงซื้อขายกันตามนั้น ดังนั้นการซื้อขายนั้นก็จำเป็นต้องดำเนินไป[32] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าทั้งสองจะต้องไม่แยกกัน นอกจากด้วยความพอใจซึ่งกันและกัน[33]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

ส่งคืน เพราะมีตำหนิ 1049

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดได้ซื้อแกะที่ถูกกักไว้โดยไม่รีดนม เขามีสิทธิเลือกปฏิบัติที่ดีที่สุดของสองประการ ภายหลังที่เขาได้รีดนมมันแล้ว คือถ้าหากเขาต้องการจะเอามันไว้ก็ได้ และถ้าหากเขาต้องการจะส่งมันคืนไปก็ได้ โดยส่ง คืนไปพร้อมด้วยอินทผลัมแห้ง หนึ่งชออฺ ไม่ใช่ข้าวสาลี[34] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าผลประโยชน์ที่เกิดจากสินค้านั้น ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบ[35]

เล่าจาก อับดิ้ลลาห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ในกรณีที่ผู้ซื้อผู้ขายเกิด ขัดแย้งกัน โดยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐาน ให้ถือเอาคำพูดของเจ้าของสินค้า หรือทั้งสองฝ่าย จะปล่อยวางกัน หรือยกเลิกข้อตกลง[36]  

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ไม่ยินยอมให้มีการกำหนดราคา และกักตุน

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า         ประชาชนได้พากันกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์

ราคาแพง ท่านจงกำหนดราคาให้พวกเราเกิด ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง อัลเลาะห์ คือ ผู้กำหนดราคา เป็นผู้กำ เป็นผู้แบ เป็นผู้ประทานปัจจัยยัฬพ และความจริง ข้าพเจ้ามีความหวังไว้ว่า จะพบกับอัลเลาะห์โดยไม่มีคนใดของพวกท่านเรียกร้องเอาจากข้าพเจ้า ด้วยสิ่งที่ถูกทุจริตไปในเลือดเนื้อ และทรัพย์สิน[37]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก มะอฺมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดกักตุน เขาเป็นคนผิด[38] 

ได้มีผู้กล่าวแก่สะอึดว่า     ความจริงท่านก็กักตุน เขาได้กล่าวว่า     แท้จริง มะอฺมัร ผู้รายงานหะดีษนี้ ก็เคยกักตุน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

บทที่สี่

การค้าขายที่ต้องห้าม

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ห้ามการขายลูกของ ลูกในท้อง โดยที่มันเคยเป็นการค้าขายในยุคญาฮิลียะห์ ชายคนหนึ่งจะซื้ออูฐมาเป็นการซื้อเชื่อ จนกว่าอูฐตัวเมียจะคลอดลูก แล้วลูกตัวที่อยู่ในท้องของมันก็จะคลอดลูก (จึงจะชำระราคา)[39] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี สะอีด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ห้ามพวกเราจากการค้าขายสองชนิด คือ คลำกัน กับ ขว้างกัน การด้าขายแบบคลำกัน ก็คือ การที่คนหนึ่ง ให้มือของเขาลูบคลำผ้าของอีกคนหนึ่งในเวลากลางคืน หรือเวลากลางวัน โดยเขาไม่ได้พลิกผ้า ผืนนั้น นอกจากโดยการกระทำดังกล่าวเท่านั้น และการค้าขายแบบขว้างกันก็คือ เขาจะขว้างผ้า ของเขาไปยังอีกคนหนึ่ง และคนนี้ก็จะขว้างผ้าของเขาไปยังคนแรก และนั่นคือว่าเป็นการค้าขาย ของคนทั้งสอง โดยไม่ได้มองดู และโดยไม่มีความพอใจซึ่งกันและกัน                                                           

รายงานโดยห้าคน นอกจาก ติรมีซี และตัวบทของอะบูดาวูดว่าการค้าขายแบบขว้าง ก็คือ เขากล่าวว่าถ้าหากฉันขว้างผ้าผืนนื้ไปที่ท่านให้คือว่าจำเป็นด้องซื้อขายกัน และการค้าขายแบบคลำ ก็คือ การที่เขาให้ มือลูบคลำผ้าโดยไม่คลี่มันออก และโดยไม่ได้พลิกมัน ดังนั้น เมึ่อเขาได้ลูบคลำมัน ก็คือว่าจำเป็น ต้องซื้อขายกัน[40]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดขายสองขายในการขายครั้งเดียว เขาจะต้องรับเอาราคาตํ่าสุดของการขายสองครั้งนั้น หรือ เขาจะต้องรับเอา ดอกเบี้ย (ริบา)[41] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี โดยถือว่าเป็นเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์ และตัวบท ของเจ้าของสุนัน(อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี)ว่า ไม่อนุมัติ การกู้ยืมพร้อมกับการขาย และไม่อนุมัติสองเงื่อนไขในการขาย ครั้งเดียว และไม่อนุมัติผลกำไรของสิ่งที่ไม่ต้องรับผิดชอบ[42] และไม่อนุมัติการขายสิ่งที่ไม่ได้ อยู่กับท่าน

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าออก ไปดักพบกองคาราวานค้าขาย และคนเมืองอย่าขายให้แก่คนชนบท

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี    และใน

บางรายงานว่า ถ้าหากมีผู้ใดออกไปดักพบเขา และได้ซื้อ (สินค้า) จากเขา เจ้าของสินค้ามีสิทธิ์ตัดสินใจในสินค้านั้นเมื่อเขาไต้มาถึงตลาด ตัวบทของมุสลิม และติรมิซีว่า และคนเมืองอย่าขายให้แก่คนชนบท ท่านทั้งหลายจงปล่อยประชาชนให้อัลเลาะห์จัดปัจจัยยังชีพให้บางคนของ พวกเขาจากบางคน[43]

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนหนึ่งอย่าขายตัดราคาการขายของพี่น้องของเขา[44] และอย่าสู่ขอผู้หญิงซ้อนการสู่ขอของพี่น้องของเขา นอกจากพี่น้อง ของเขาจะยินยอมให้เขา และในบางรายงานว่า และมุสลิมจะต้องไม่ต่อตามราคาซ้อนการต่อตามราคาของพี่น้องของเขา[45]

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ได้กล่าวว่า           ท่านนบี  ซ.ล. ได้ห้ามการขึ้นราคาสินค้าเพื่อหลอกลวง[46]

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ห้ามขายผลไม้จนกว่าจะใช้การได้[47] และห้ามขายอินทผลัมจนทว่ามันจะแก่ มีผู้ถามว่า มันจะแก่อย่างไร ท่านตอบว่า มันจะมีสีแดง หรือมีสีเหลือง

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้ห้ามขายอินทผาลัมจนกว่ามันจะ แก่ และห้ามขายรวงข้าวจนกว่ามันจะขาว และปลอดภัยจากโรคพืช ท่านได้ห้ามทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ[48] และในบางรายงานว่า ท่านได้ห้ามขายองุ่นจนกว่ามันจะดำ และห้ามขายเมล็ดจนกว่ามันจะแข็ง

รายงานหะดีษทั้งสี่โดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ห้ามมุฮากอละห์ มุซาบะนะห์ มุอาวะมะห์ มุคอบะเราะห์ และซุนยา และท่านได้ยอมผ่อนผันให้ใน อะรอยา[49] นักรายงาน บางท่านได้อธิบาย มุฮากอละห์ว่า คือการขายพืชไร่ด้วยข้าวสาลีโดยการตวง มุชาบะนะห์ คือ การขายอินทผลัมสด และองุ่นสดด้วยอินทผลัมแห้ง และองุ่นแห้งโดยการตวง มุอาวะมะห์ คือ การขายพืชผลเป็นเวลาหลายๆ ปี     มุคอบะเราะห์ คือการให้พื้นแผ่นดินแก่ผู้หนึ่งเพื่อทำงาน และเพาะปลูกในแผ่นดินนั้นโดยลงทุนเอง แลกเปลี่ยนกับบางส่วนที่จะได้จากพื้นแผ่นดินนั้น[50] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และได้มีผู้ถามท่านนบี ซ.ล. ถึงการแลกเปลี่ยนอินทผลัมแห้งด้วยอินทผลัมสด ท่าน ได้กล่าวว่า อินทผลัมสดจะหย่อนลงไหมเมื่อมันแห้ง พวกเขาตอบว่า ครับ (มันจะหย่อนลง) ท่านจึงห้ามการกระทำดังนั้น[51]          รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ซะมุเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ห้ามแลกสัตว์ด้วยสัตว์ โดยเชื่อเอาไว้ก่อน และในบางรายงานว่า สัตว์นั้นสองตัวต่อหนึ่งตัวไม่สมควรจะเชื่อกันเอาไว้ และไม่เป็นไรด้วยการแลกสัตว์มือต่อมือ[52]          

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ทาสคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ.ล. และได้ให้สัตยาบันว่าจะทำการอพยพลี้ภัยโดยท่านนบีไม่รู้ว่าเขาเป็นทาส ต่อมานายของเขาได้มาติดตามหา เขา ท่านนบี ซ.ล. จึงได้กล่าวแก่เขาว่า    จงขายเขาให้ฉันเถิด ท่านจึงได้แลกทาสคนนั้นด้วยทาสผิวดำสองคน หลังจากนั้นท่านนบีจะไม่ให้สัตยาบันแก่ผูใดอีกเลย จนกว่าจะถามเขาว่า เขา เป็นทาสใช่ไหม[53] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดชื่อต้นอินทผลัม หลัง

จากได้ผสมเกษรแล้ว ผลของมันตกเป็นของผู้ขายมัน นอกจากตั้งเงื่อนไขไว์ให้แก่ผู้ซื้อ[54] และ ผู้ใดซื้อทาส ทรัพย์สินของทาสตกเป็นของผู้ขาย นอกจากตั้งเงื่อนไขไว้ให้แก่ผู้ซื้อ[55]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

อะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ต่อไปจะมียุคกัดเกิดขื้นกับประชาชน นั่นคือ คนรวยจะกัดสิ่งที่อยู่ในมือทั้งสองข้างของเขา โดยที่เขาไม่ได้ถูกใช้ให้ทำอยางนั้น อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า และพวกท่านอย่าลืมความโปรดปรานในระหว่างพวกท่านกันเอง และคนที่มีความจำเป็นถึง ที่สุดก็จะต้องถูกบังคับให้ขาย โดยที่ท่านนบี  ซ.ล. ได้ห้ามการขายของผู้ที่มีความจำเป็นที่สุด[56]

รายงานโดย อะบู ดาวูด

เล่าจาก อะบี ดาวูด  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดพรากระหว่างแม่กับลูกของหล่อน อัลเลาะห์จะพรากระหว่างเขากับคนรักของเขาในวันกิยามะห์[57]

และอะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้มอบทาสชายสองคนที่เป็นพี่น้องกันให้ข้าพเจ้า และต่อมาข้าพเจ้าได้ขายคนหนึ่งจากทั้งสอง ท่าน-ร่อซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า โอ้ อะลี ทาสของท่านได้ทำอะไรบ้าง ข้าพเจ้าจึงได้เล่าให้ท่านฟัง ท่านได้กล่าวว่า ท่านจงส่งมันคืน ท่านจงส่งมันคืน[58]

เล่าจาก อะบีอุมามะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าขาย บรรดาทาสหญิงที่ขับร้อง และอย่าซื้อพวกหล่อน และอย่าสอนพวกหล่อน ไม่มีความดีใดๆ ใน การค้าขายพวกหล่อน        และราคาพวกหล่อนก็เป็นสิ่งต้องห้าม[59] ในเสมือนเรื่องนี้ได้ลงมาว่า ส่วนหนึ่งของมนุษย์มีผู้ที่ซื้อหาคำพูดที่ไร้สาระ จนจบอายะห์ 

รายงานหะดีษทั้งสามโดย ติรมิซี

เล่าจาก อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ให้ม้าตัวหนึ่งไปในวิถีทางของอัลเลาะห์ ต่อมาข้าพเจ้าพบว่ามันถูกขายไป ข้าพเจ้าจึงถามท่านร่อซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ท่านกล่าวว่า ท่านอย่าซื้อมัน และท่านอย่าเอาคืนในสิ่งที่ท่านได้ทำทานซอดาเกาะห์ไปแล้ว[60] 

รายงานโดย บุคอร และมุสสม

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบ ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อท่านทั้งหลายค้าขายด้วยการซื้อติดขายสด และพวกท่านเอาหางวัว พอใจอยู่กับการเพาะปลูก และละทิ้งการญิฮาด อัลเลาะห์จะให้ความต่ำต้อยครอบครองพวกท่าน โดยพระองค์จะไม่ถอดมันออกไปจนกว่าพวกท่าน จะกลับคืนสู่ศาสนาของพวกท่าน[61]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด โดยไม่ได้วิจารณ์หะดีษบทนี้

การขายอะรอยา และการขายแบบประมูลขึ้นราคา[62] 

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ห้ามการขายผลไม้จนกว่าจะให้ การได้ และไม่ให้ขายสิ่งใดจากผลไม้ นอกจากโดยราคาเป็นเหรียญทอง และเหรียญเงิน ยกเวัน ขายอะรอยา[63]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจาก สะหัล บุตร อะบี ฮัซมะห์  ร.ฎ. ว่าแท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ ห้ามการขายผลไม้ด้วยอินทผลัมแห้ง และได้กล่าวว่า                                                                    นั่นคือ ดอกเบี้ย (ริบา) นั่นคือ การค้า

ขายแบบมุชาบะนะห์ แต่ความจริงท่านได้ยอมผ่อนผันในการค้าขายแบบอะรียะห์คืออินทผลัม หนึ่งต้น และสองต้นที่ผู้เป็นเจ้าของบ้านได้เอามาโดยการคำนวณเป็นอินทผลัมแห้ง ที่พวกเขา จะรับประทานมันสด ๆ[64]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านนบี  ซ.ล. ได้ผ่อนผันให้ในการค้า ขายอะรอยา ในจำนวนห้าเอาชุก หรือตำกว่าห้าเอาซุก[65] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ขายผ้าปูหลังอูฐ และภาชนะสำหรับดื่มนํ้า ท่านได้กล่าวว่า ใครจะเอาผ้าปูหลังอูฐผืนนี้ และใครจะเอาภาชนะสำหรับดื่มนํ้า ชาขคนหนึ่งได้กล่าวว่า          ข้าพเจ้าเอามันทั้งสองด้วยราคาหนึ่งเหรียญเงิน ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มีใครจะเพิ่มให้บ้างไหม ได้มีชายคนหนึ่งให้ท่านสองเหรียญเงิน และท่านก็ได้ขายมันทั้งสองให้แก่เขาไป[66]                                                            

รายงานหะดีษโดยติรมิซี และถือว่าเป็นหะดีษหะซัน

บทที่ห้า

ดอกเบี้ย (ริบา) และการแลกเปลี่ยน[67] 

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า พระองค์อัลเลาะห์จะทรงลบล้างดอกเบี้ย และเพิ่มพูนบรรดาการทำทานซอดาเกาะห์ อัลเลาะห์ไม่รักทุกผู้ไร้ศรัทธาที่มีบาป

เล่าจาก อะบี ยุฮัยฟะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ห้ามราคาสุนัข ราคาเลือด[68] ราคาหญิงที่ทำการสัก และหญิงที่ถูกสัก[69] ผู้กินดอกเบี้ย ผู้ให้กินดอกเบี้ย ผู้เขียนดอกเบี้ย พยานทั้งสองของดอกเบี้ย[70] และท่านได้สาบแช่งผู้ทำรูป[71] 

รานงานโดย มุคอรี

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้สาปแช่งผู้ที่กินดอกเบี้ย ผู้ให้กินดอกเบี้ย ผู้เขียนดอกเบี้ย พยานทั้งสองของดอกเบี้ย และท่านได้กล่าวว่าพวกเขาอยู่ในฐานะเท่าเทียมกัน[72]

รายงานโดย มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก มาลิก บุตร เอาส์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ขอแลกเปลี่ยน ด้วยหนึ่งร้อย เหรียญทอง[73] ตอลฮะห์ บุตร อุบัยดิ้ลลาห์ ได้เรียกข้าพเจ้า และเราได้เจรจาขอแลกเปลี่ยนกัน จนเขาได้แลกเอาไปจากข้าพเจ้า และได้เอา (เหรียญ) ทองไปพลิกไปมาอยู่ในมือของเขา หลัง จากนั้นได้กล่าวว่า      จนกว่าคนเฝ้าคลังของข้าพเจ้าจะมาจากป่า โดยอุมัรได้ยินจึงได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ท่านจะต้องไม่แยกจากเขา จนกว่าท่านจะได้เอาไปจากเขาเสียก่อน ท่าน ร่อซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า       (การแลกเปลี่ยน) ทองคำต่อทองคำ เป็นดอกเบี้ย นอกจาก

ต่างคนต่างรับ ข้าวสาลีต่อข้าวสาลี เป็นดอกเบี้ย นอกจากต่างคนต่างรับ ข้าวบาร์เล่ย์ต่อข้าวบาร์เล่ย์ เป็นดอกเบี้ย นอกจากต่างคนต่างรับ อินทผลัมแห้งต่ออินทผลัมแห้ง เป็นดอกเบี้ย นอกจากต่าง คนต่างรับ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อุบาดะห์ บุตร ซอมิต  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าว่าทองคำต่อทองคำ เงินต่อเงิน ข้าวสาลีต่อข้าวสาลี ข้าวบาร์เล่ย์ต่อข้าวบาร์เล่ย์ อินทผลัมแห้งต่ออินทผลัมแห้ง เกลือต่อเกลือ ต้องเหมือนกัน ต่อเหมือนกัน ต้องเท่ากันต่อเท่ากัน ต้องต่างคนต่างรับ และถ้าหากต่างชนิดเหล่านี้กัน พวกท่านจงขายเกิด ตามแต่พวกท่านต้องการ ถ้าหากต่างคนต่างรับ และได้เพิ่มเติมในบางรายงานว่าดังนั้นผู้ใดเพิ่มเติมหรือขอเพิ่มเติม ทิ้งผู้เอา และผู้ให้ได้

ดำเนินการที่เป็นดอกเบี้ยแล้ว โดยเท่าเทียมกัน[74] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และตัวบทของอะบูดาวูดว่าทองคำต่อทองคำ ทั้งที่เป็นทองคำแก่ง และที่เป็นเงินตราแล้ว และเงินต่อเงิน ทั้งที่เป็นเงิน แก่ง และที่เป็นเงินตราแล้ว[75]

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า              ท่านนบี ซ.ล. ได้ห้ามการขายอินทผลัมแห้งเป็นกองโดยไม่รู้จำนวนตวง ด้วยเครื่องตวงที่ใข้กับอินทผลัมแห้ง[76]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และนะซาอี

เล่าจาก อะบี อัลมินฮาล  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถาม อัลบะรออฺถึงการแลกเปลี่ยน เขาได้กล่าวว่า ท่านจงถาม เซด บุตร อัรกอม เถิด เขารู้ดี ข้าพเจ้าจึงได้ถามเซด เขากล่าวว่า ท่านจงไปถาม อัลบะรออฺ เถิด เพราะเขารู้ดี ต่อมา บุคคลทั้งสองได้กล่าวว่า[77] ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ห้ามการแลกเปลี่ยนเงินด้วยทองคำที่เชื่อกันเอาไว้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม     ตัวบทของบุคอรีว่า ถ้าหากต่างคนต่างรับ ไม่เป็นไร และถ้าหากเชื่อกันไว้ก็ไม่ยินยอมให้[78]

อิบนุ อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเคยขายอูฐอยู่ที่บะเกียะอฺ โดยข้าพเจ้าขายด้วยเหรียญทองคำ ต่อมา ข้าพเจ้าได้เอาเงินแทนเหรียญทอง และข้าพเจ้าก็ขายด้วยเงิน ต่อมา ข้าพเจ้า ได้เอาเหรียญทองแทนเงิน และข้าพเจ้าได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ข้าพเจ้าพบท่านกำลัง ออกจากบ้าน ฮัฟเซาะห์ ข้าพเจ้าจึงได้ถามท่านถึงเรื่องดังกล่าว ท่านกล่าวว่า ไม่เป็นไร โดยมีมูลค่าเท่ากัน[79]                                                           

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี         และตัวบทของอะบีดาวูดว่า ไม่เป็นไร ที่ท่านจะรับมันด้วยราคาของวันนั้นตราบที่ท่านทั้งสองยังไม่แยกกัน โดยมีสิ่งหนึ่งติดอยู่ระหว่างท่านทั้งสอง

อนุญาตให้ขายเชื่อ[80]

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านนบี  ซ.ล. ได้ชื่ออาหารจากชาวยะฮูดี โดย เชื่อไว้ก่อน และท่านไดให้เสื้อเกราะเหล็กเป็นประกันไว้[81]                                                                

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ปรากฏบนร่างของท่านร่อซูลัลเลาะห์ ซ.ล. มีผ้าที่ทำมาจากยะมันเนื้อหยาบๆ สองผืน เมื่อท่านเดินทางไกล เหงื่อจะออกชุ่ม และมันทั้งสอง ก็ทำให้ท่านหนัก ต่อมาได้มีผ้าเนื้อดีมาจากชาม เป็นของชาวยะฮูดีคนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า หวังว่าท่านจะส่งคนไปหาเขา และขอซื้อผ้าสองผืนจากเขาโดยเชื่อเอาไว้ก่อนจนกว่าจะมีราคาไป ชำระ[82] ท่านนบีได้ส่งคนไปหาเขา และเขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าทราบดี สิ่งที่ท่านต้องการ ความ

จริงแล้วท่านต้องการจะเอาทรัพย์สินของข้าพเจ้าไป ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าเขาโกหก เพราะเขารู้ดีว่า ฉันเป็นคนที่มีความยำเกรงที่สุดต่ออัลเลาะห์ในหมู่พวกเขา และเป็นคนที่ปฏิบัติตามพันธะมากที่สุดในหมู่พวกเขา

รายงานโดย ติรมิซี และนะซาอี และถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

บทที่หก

การขายตามคำพรรณา (สะลัม)[83]

เล่าจาส อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้เข้าสู่นครมะดินะห์ โดยพวกเขาทำการค้าขายสะลัมผลไม้ภายในหนึ่งปี และหลายปี ต่อมาท่านได้กล่าวว่าผู้ใดค้าขายสะลัมอินทผลัมแห้ง ในบางรายงานว่า (ผู้ใดค้าขายสะลัม) สิ่งหนึ่ง ให้เขาจงค้าขายในเครื่องตวงที่รู้กันดี และเครื่องชั่งที่รู้กันดี จนถึงกำหนดเวลาที่รู้กันดี[84] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

มุฮำหมัด บุตร อะบี มุยาลิด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อับดุลเลาะห์ บุตร ซัดดาด กับอะบู บุรดะห์ ได้ส่งข้าพเจ้าไปหา อับดิลลาห์ บุตร อะบี เอาฟา โดยทั้งสองได้กล่าวว่าท่านจงถามเขาว่า บรรดาอัครสาวกของท่านนบี ซ.ล. ในสมัยของท่าน เคยค้าขายสะลัม ข้าวสาลีไหม เขากล่าวว่าพวกเราเคยค้าขายสะลัมกับเกษตรกรชาวชาม ในข้าวสาลี ข้าวบาเล่ย์ และน้ำมันในเครื่องตวงที่รู้กันตี จนถึงกำหนดที่รู้กันดี ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ใครที่ต้นตอของมัน (สินค้า) อยู่ที่เขา เขาตอบว่า พวกเราไม่เคยถามพวกเขาถึงเรื่องนั้น ต่อมาบุคคลทั้งสองก็ได้ส่งข้าพเจ้าไปหา อิบนิ อับซา ข้าพเจ้าได้ถามเขา และเขาก็ตอบว่าครับ พวกเราไม่เคยถามพวกเขาว่า พวกเขาเป็นเจ้าของพืชไร่เองหรือไม่[85]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

และตัวบทของอะบีดาวูด และ อิบนิมายะห์ ว่า ผู้ใดได้ค้าขายสะลัมในสิ่งใด เขาอย่าผันมันไปให้คนอื่น88

                                                                                                                        99

การจำนำ

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า และถ้าหากพวกท่านอยู่ในการเดินทาง โดยพวกท่านไม่พบผู้เขียนบันทึกก็ให้มีการจำนำที่ถูกรับ[86] [87] อัลเลาะห์ผู้ยิงใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. เสียชีวิตไปโดยเสื้อกราะของท่านยังคงจำนำอยู่ด้วยยี่สิบซออฺที่เป็นอาหาร ซึ่งท่านได้เอาไปเพื่อครอบครัวของท่าน[88] 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี และถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าหลัง (สัตว์) จะถูกขับขี่ เมื่อมันลูกจำนำไว้ นมจากเต้าจะถูกดื่มเมื่อมันถูกจำนำไว้ โดยผู้ขับขี่ และผู้ดื่ม จะต้อง จ่ายค่าเลี้ยงดูมัน[89]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และติรมิซี

ซุฟอะห์ (สิทธิการบังคับขาย)[90]

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ตัดสินให้มีการบังคับขายในทุกสิ่งที่แบ่งไม่ได้ ดังนั้นเมื่อมีขอบเขต และเส้นทางลูกกำหนดแล้ว จะไม่มีการบังคับขาย[91] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี  และตัวบทของมุสลิมว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ตัดสินให้มีการบังคับขายในทุกสิ่งที่หุ้นส่วนกัน แบ่งไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นบ้าน หรือ เรือกสวน ไม่ยินยอม ให้เขาขายมันจนกว่าจะแจ้งให้คู่หุ้นส่วนทราบเสียก่อน ถ้าหากคู่หุ้นส่วนต้องการเขาก็รับเอาไว้ เสียเอง และถ้าหากเขาต้องการเขาก็ปล่อยไป และถ้าเขาขายไปโดยไม่ได้แจ้งให้คู่หุ้นส่วนทราบ ตังนั้นคู่หุ้นส่วนย่อมมีสิทธิ์ที่ (จะซื้อ) มันยิ่ง (กว่าผู้อื่น)

เล่าจาก อะบี รอเฟียะอ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี  ซ.ล. ล่าวว่าเพื่อนบ้านย่อมมีสิทธิยิ่งด้วยคว่ามใกล้เคียงของเขา'[92]                                                    

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และตัวบทของน่าซาอีว่า ได้มีชายคนหนึ่งมาแล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านร่อซูลุลเลาะห์ ที่ดินของข้าพเจ้า ไม่มีผู้ใดหุ้นส่วน และไม่มีการแบ่งเป็นสัดส่วน นอกจากความเป็นเพื่อนบ้านเท่านั้น ท่านได้กล่าวว่า เพื่อนบ้านมีสิทธิยิ่งด้วยความใกล้เคียงของเขา

เล่าจาก ซะมุเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เพื่อนบ้านทีมบ้านใกล้เคียงกันย่อมมีสิทธิในบ้านของเพื่อนบ้าน หรือแผ่นดิน (ที่จะบังคับขาย) ยิ่ง (กว่าผู้อื่น)

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เพื่อนบ้าน มีสิทธิบังคับเพื่อนบ้านของเขาให้ขายยิ่ง (กว่าผู้อื่น) โดยที่การบังคับขายนั้นถูกรอคอย และแม้เพื่อนบ้านจะไม่อยู่ ถ้าหากทางสัญจรของเขาทั้งสองเป็นทางเดียวกัน         

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เพื่อนบ้านจะต้องไม่ห้ามเพื่อนบ้านของเขาที่จะบ้กไม้ของเขาลงในฝาผนังของเพื่อนบ้าน[93]หลังจาดนั้น อะบู ฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่าไม่สมควรที่ข้าพเจ้าจะแลเห็นพวกท่านคัดค้านคำสั่งเสียในเรื่องเพื่อนบ้าน สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้าจะต้องขว้างมันใส่ลงระหว่างบ่าของพวกท่าน[94] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

บทที่เจ็ด

การเช่า (ว่าจ้าง)[95]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสเล่าถึง คำชอง ชุอัยบ์ที่กล่าวแก่มู,ชา อ.ล. ว่า“แท้จริง ข้าฯ มีความปรารถนาแต่งงานเจ้ากับลูกสาวคนหนึ่งจากสองคนของข้าฯ นี้ โดยเจ้าจะต้องรับจ้าง ข้าฯ เป็นเวลาแปดปี และถ้าหากเจ้าปฏิปัติครบสิบปี นั่นเป็นความกรุณาจากเจ้า และข้าฯไม่ ปรารถนาทำความลำบากแก่เจ้า แล้วเจ้าจะพบถ้าหากอัลเลาะห์ประสงค์ว่า ข้าฯ เป็นคนหนึ่งที่มีคุณธรรม”

เล่าจาก อะบีมูชา  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้ทล่าวว่า ลูกจ้างผู้มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สิน ที่มีความซื่อสัตย์ ที่ปฏบัติตามคำสั่งด้วยความเต็มใจ เขาเป็นคนหนึ่งจากบรรดาผู้บริจาคทาน[96] 

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ไต้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. และ อะบู บักร์ ได้ ว่าจ้างชายคนหนึ่งจากเผ่าอัดดีล เป็นผู้นำทางที่ชำนาญ โดยเขาเป็นผู้ที่นับถึอศาสนาของพวกผู้ ไร้ศรัทธา ชาวกุเรช และบุคคลทั้งสองได้มอบพาหนะของเขาทั้งสองให้แก่ลูกจ้าง และนัดหมาย กับเขาว่า พบกันที่ถ้ำแห่งภูเขาเซาร์ ภายหลังจากสามคืน ต่อมาลูกจ้างก็ได้มาหาบุคคลทั้งสอง พร้อมด้วยพาหนะของคนทั้งสอง ในตอนเช้าของวันที่สาม และได้พาพวกเขาออกเดินทางโดย ใช้เสันทางด้านชายฝั่งทะเล''[97]      

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

และได้กล่าวมาแล้วว่า          ท่านนบี  ซ.ล. ได้กรอกเลือด และได้ให้ค่าจ้างแก่คนกรอกเลือด

และ ได้กล่าวมาแล้วหะดีษที่ว่า         อัลเลาะห์ไม่ได้แต่งตั้งนบีท่านใดมานอกจากนบีนั้นได้เลี้ยงแพะ

ค่าจ้างที่เกิดขึ้นด้วยอัลกุรอาน และ ค่านายหน้า

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า สิ่งทีพวกท่านควรเอาค่าจ้างในสิ่งนั้นอย่างยิ่ง คือ คัมภีร์ของอัลเลาะห์ตาอาลา[98] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

อิบนุซิรีน อะตออฺ อิบรอฮีม และหะซัน  ร.ฎ. ไม่เห็นเป็นไรในเรื่องค่านายหน้า[99] และอิบนุ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าไม่เป็นไรที่จะมีผู้กล่าวว่าท่านจงขายผ้านี้ด้วยราคาเท่านั้นเท่านี้ และสิ่งที่เกิน (กว่านี้) ตกเป็นของท่าน

และอิบนุซิรีน  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อมีผู้'กล่าว'ว่า ท่านจงขายมันด้วยราคาเท่านั้นเท่านี้

ดังนั้น สิ่งที่ (เป็นกำไร) เกินไปกว่านี้ตกเป็นของท่าน หรืออยู่ระหว่างข้าพเจ้ากับท่าน (คำพูด ดังกล่าวนี้) ไม่เป็นไร[100]           

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดย บุคอรี

การหุ้นส่วน และ มอบอำนาจ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า     อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “เราเป็นบุคคลที่สามของผู้ร่วมหุ้นสองคน ตราบใดที่ผู้ร่วมหุ้นคนหนึ่งจากในสองนั้นไม่ทุจริตเพื่อน ร่วมหุ้นของเขา[101] และถ้าหากเขาทุจริตเพื่อนร่วมหุ้นของเขา เราก็จะออกจากที่ร่วมอยู่ระหว่าง เขาทั้งสอง”                                  

รายงานโดย อะบูดาวูด ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์   ซ.ล. ได้มอบเมืองคอยบัร ให้แก่พวกยะฮูด ให้พวกเขาดำเนินกิจการ และเพาะปลูกที่คอยบัร โดยพวกเขาจะได้รับครึ่งหนึ่ง ของที่ได้จากคอยบัร[102] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และอิบนุ มัสอูด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า            ข้าพเจ้าได้ร่วมหุ้นกัน คือ ข้าพเจ้ากับอัมมาร และสะอัด ในสิ่งที่พวกเราจะได้ในวันบัดร์ เขา (อิบนุ มัสลูด) ได้กล่าวว่าสะอัดได้เชลยศึกมาสองคน ส่วนข้าพเจ้ากับอัมมารไม่ได้อะไรมาเลยสักอย่าง

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า                ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้แต่งตั้งข้าพเจ้าให้เป็นตัวแทนรักษาซะกาตของเดือนรอมาฎอน

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ว่า แท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้แต่งตั้ง ชายคนหนึ่งให้เป็นตัวแทนดูแลคอยบัร ต่อมาเขาได้นำมาสู่มุสลิมด้วยอินทผลัมชนิดดี ท่านนบี ได้กล่าวว่า       อินทผลัมคอยบัรทั้งหมดเป็นเช่นนี้หรือ เขากล่าวว่า แท้จริง เราจะได้จำนวนหนึ่งซออฺของอินทผลัมชนิดนี้ด้วยการแลกเปลี่ยนกับอินทผลัม (ชนิดเลว) สองซออฺ และสองซออฺ ด้วยสามซออฺ ท่านนบีได้กล่าวว่า           ท่านอย่าทำ แต่จงขายอินทผลัมชนิดเลวด้วยเหรียญเงิน แล้วซื้ออินทผลัมชนิดดีด้วยเหรียญเงินนั้น[103]

เล่าจาก อะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า           ท่านร่อซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้ใช้ข้าพเจ้าให้บริจาค

ด้วยผ้าปูหลังอูฐที่ถูกเชือด และหนังของมัน[104]         

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี

และญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าต้องการออกไปยังคอยบัร ข้าพเจ้าจึงได้ใปหาท่านนบี ซ.ล. ได้ให้สลามท่าน แล้วกล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าต้องการออกไปยังคอยบัร ท่านนบีไต้กล่าวว่า เมื่อท่านไปที่ตัวแทนของข้าพเจ้า ท่านจงเอามาจากเขาจำนวน สิบห้าวิสก์ และถ้าหากเขาขอให้ท่านแสดงเครื่องหมาย ท่านจงเอามือของท่านวางลงที่ไหปลาร้าของเขา[105] 

รายงาน โดย อะบูดาวูด และ ดารุกุตนี

เล่าจาก อุรวะห์ อัลบาริกีย์  ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้มอบเหรียญทองให้ เขาหนึ่งเหรียญให้เขาไปซื้อสัตว์อุดฮียะห์ หรือ แกะตัวหนึ่ง ต่อมาเขาได้ใปซื้อแกะมาสองตัว และได้ขายตัวหนึ่งจากทั้งสองไปด้วยราคาหนึ่งเหรียญทอง และเขาได้นำเอาแกะกับเงินอีกหนึ่ง เหรียญทองมามอบให้ท่านนบี และท่านนบีได้ขอพรให้เขาด้วยความเพิ่มพูนในการค้าขายของเขา ถึงขนาดว่า ถ้าหากเขาซื้อฝุ่นมาขาย เขาก็จะได้กำไรในการขายนั้น[106]                                

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี และบุคอรี ในเรื่องเริ่มสร้าง

การไกล่เกลี่ย

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “การไกล่เกลี่ยนั้นดี”[107]

เล่าจาก อัมร์ บุตร เอาฟ์ อัลมุซะนีย์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าการ

ไกล่เกลี่ย เป็นสิ่งอนุมัติในระหว่างมวลมุสลิม[108] นอกจากเป็นการไกล่เกลี่ย ที่ทำให้สิ่งอนุมัติ เป็นสิ่งต้องห้าม และสิ่งต้องห้าม เป็นสิ่งที่อนุมัติ และมวลมุสลิมต้องยึดมั่นต่อเงื่อนไขของพวกเขา นอกจากเป็นเงื่อนไขที่ทำให้สิ่งอนุมัติเป็นสิ่งต้องห้าม และทำให้สิ่งต้องห้ามเป็นสิ่งอนุมัติ[109]

รายงานหะดีษโดยบุคอรี  อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก กะอับ บุตร มาลิก  ร.ฎ. ว่า แท้จริง เขาได้ทวงถามหนี้ที่อิบน์ อะบี ฮัยดัร จำนวนหนึ่งเหรียญทองที่เป็นกรรมสิทธิของเขาติดอยู่ที่ อิบน์อะบี ฮัยดัร ในมัสยิด เสียงของ คนทั้งสองดัง จนท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ไดยินคนทั้งสอง โดยท่านอยู่ในบ้านของท่าน ต่อ มาท่านจึงออกไปหาคนทั้งสอง ท่านได้เปิดม่านห้องของท่าน แล้วเรียก โอ้ กะอับ เขาตอบว่า ขอรับ ข้าพเจ้า พร้อมรับคำสั่ง โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่า ท่านจงลดหนี้สินของท่านนี้ และท่านได้ทำท่าว่าครึ่งหนึ่ง เขาได้กล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าได้ปฏิบัติแล้ว โอ้ ท่าน รอซูลุลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่า จงลุกขึ้นเกิด แล้วใช้หนี้ให้เขา[110]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

บทที่แปด

การขอยืม และการชดใช้สิ่งที่ขอยืม

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เกิดอาการตระหนกขื้นที่นครมะดีนะห์ ท่านนบี ซ.ล. ไต้ขอยืมม้าจาก อะบี ตอลฮะห์ ที่มีชื่อเรียกว่า อัลมันตูบ และท่านไต้ขับขี่มัน เมื่อท่าน กลับมาไต้กล่าวว่า เราไม่พบสิ่งใด และความจริงเราพบว่ามันวิ่งไต้เร็วขึ้น[111]

อัยมัน  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เข้าไปหาอาอิชะห์โดยที่ร่างของเธอมีเสื้อที่ทำมาจากยะมัน ราคาห้าดิรอัม เธอได้กล่าวว่า ท่านจงมองดูทาสหญิงของฉัน ความจริงหล่อนลำพอง ที่ไต้สวมมันในบ้าน ความจริงแล้วข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่เคยมีเสื้อตัวหนึ่ง ในสมัยท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ไม่มีผู้หญิงคนใดที่ได้ตกแต่งที่นครมะตีนะห์ นอกจากหล่อนจะต้องส่งคนมาหาข้าพเจ้า เพื่อขอยืมมัน[112]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี ในเรึ่องอุมรอ

เล่าจาก อะบี อุมามะห์ ร.ฎ. จากฟานนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง อัลเลาะห์ได้ให้แก่ทุกผู้ที่มีสิทธิ์ ตามสิทธิ์ของเขา และไม่มีการสั่งเสีย (เรื่องทรัพย์สินไว้ให้) แก่ทายาท และไม่ยอมให้ผู้หญิงคนใดให้จ่ายสิ่งใตจากบ้านของหล่อนจนกว่าสามีของหล่อนจะยินยอมให้ เสียก่อน ได้มีผู้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ไม่ได้แม้กระทั่งอาหารหรือ ท่านกล่าวว่า นั่นเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐสุดของเรา หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่าของขอยืมต้องลูกให้คืน ของให้เอาประโยชน์ต้องลูกส่งคืน หนี้สิน ต้องชำระ และผู้คํ้าประกันต้องเป็นลูกหนี้[113] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี ถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก ซะมุเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ตกเป็นภาระอยู่เหนือมือ สิ่งที่มือได้เอาไปจนกว่าจะถูกให้คืน ต่อมาหะซันได้ลืม แล้วกล่าวว่า                                                                          เขาเป็นคนที่ท่านไว้วางใจไม่มีการชดให้เหนือ เขา[114] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ซอฟวาน บุตร ยะอุลา  ร.ฎ. จากบิดาของเขาได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่าเมื่อผู้แทนของข้าพเจ้ามาหาท่าน ท่านจงมอบให้พวกเขาไป เสื้อเกราะสามสิบตัว และอูฐสามสิบตัว ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ ท่านร่อซูลุลเลาะห์ มันเป็นของขอยืมที่ต้องคํ้าประกันหรือ หรือเป็นของขอยืมที่ต้องให้คืน ท่านได้กล่าวว่า แต่เป็นของขอยืม ที่ต้องให้คืน[115]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. ว่า แท้จริง'ท่าน'นที  ซ.ล. เคยอยู่กับภรรยาบางคนของท่าน และ ภรรยาคนหนึ่งจากบรรดาภรรยาของท่านได้ส่งถาดมาใบหนึ่งโดยให้คนรับใช้นำมา ในถาดนั้นมี อาหาร ภรรยาของท่านคนนั้นไต้ใช้มือตบถาดนั้น และมัแก็ทำให้ถาดนั้นแตก[116] ท่านนที  ซ.ล. ได้เอาซีกหนึ่งจากสองซีกที่แตกประกบเข้าด้วยกันกับอีกซีกหนึ่ง และท่านก็ได้รวบรวมเอาอาหาร (ที่เกลื๋อนอยู่) ใส่ลงในลาดนั้น พลางกล่าวว่า มารดาของพวกท่านหึง พวกท่านจงรับประทานเถิด พวกเขาจึงได้รับประทาน จนกระทั่งถาดของภรรยาคนนั้นได้ (ถูกนำ) มา ท่านนบีได้กล่าวว่า พวภท่านจงรับประทานเถิด โดยท่านร่อซูลได้กักเอาตัวผู้นำมาพร้อมด้วยถาดที่แตกไว้ จนพวก เขาเสร็จ ท่านจึงได้ให้ถาดที่ดีใบนั้นแก่คนรับใช้ที่นำมา คืนไป133            

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และตัวบทหะดีษเป็นของอะบีดาวูด

บทที่เก้า

การขอกู้ยืม และ การก่อหนี้

อัลเลาะห์ตาอาสาได้ตรัสว่า         “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย เมื่อพวกท่านกู้หนี้ยืมสินกันด้วยหนี้สินหนึ่ง ถึงกำหนดเวลาหนึ่ง ดังนั้นให้ท่านทั้งหลายบันทึกมัน134 และให้มีผู้บันทึกทำ การบันทึกระหว่างพวกท่านด้วยความยุติธรรม และผู้บันทึกอย่าขัดขืนที่จะทำการบันทึก เหมือน ที่อัลเลาะห์ทรงสอนเขา ดังนั้นให้เขาจงบันทึกเกิด และให้ผู้ที่หนี้ตกอยู่กับเขาบอก (ข้อความ) และเขาจงยำเกรงอัลเลาะห์พระผู้อภิบาลของเขา และอย่าให้สิ่งใดพร่องไปจากเขา”

เล่าจาก อะบี รอเฟียะอฺ  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านร่อซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ขอกู้ยืมลูกอูฐ จากชายคนหนึ่ง ต่อมาฝูงอูฐที่เป็นอูฐ ซอดาเกาะห์ (ซะกาต) ได้ (ลูกส่ง) มายังท่าน ท่านจึงได้บัญชาให้ข้าพเจ้าไปชำระให้แก่ชายคนนั้น (ที่เหมือนกับ) ลูกอูฐของเขา ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่พบในฝูงอูฐนั้น นอกจากอูฐดีที่มีอายุหกปี ท่านนบีได้กล่าวว่า จงชำระมันให้แก่เขาเถิด แท้จริงมนุษย์ที่ดีที่สุด คือ คนที่ดีที่สุดในเรื่องการชำระหนี้ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อับติลลาห์ บุตร อะบี รอบีอะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ขอกู้จากข้าพเจ้าจำนวนสี่หมื่น ต่อมา ทรัพย์ได้ (ลูกส่ง) มายังท่าน และท่านก็ได้จ่ายมันให้แก่ข้าพเจ้า แล้วกล่าวว่า ขออัลเลาะห์ได้โปรดประทานความเพิ่มพูนให้ในครอบครัวของท่าน และในทรัพย์สินของท่าน ที่จริงแล้วการตอบแทนการกู้ยืมก็คือ คำสรรเสริญ และการใช้คืน136

รายงานหะดีษโดย นะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้เอาทรัพย์ของเพึ่อนมนุษย์โดยตั้งใจจะใช้คืน อัลเลาะห์จะชดใช้แทนให้เขา และผู้ใดที่เอาโดยเจตนาทำลาย มันอัลเลาะห์จะทำลายเขา137

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อัลมุฆีเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง อัลเลาะห์ทรงกำหนดห้ามเหนือพวกท่านทั้งหลาย การเนรคุณต่อมารดา การฝังลูกผู้หญิงทั้งเป็น การทวงสิทธิ์ของผู้อื่น การเอาสิ่งที่ไม่อนุมัติ และพระองค์ทรงรังเกียจจะให้เกิดขึ้นแก่พวกท่าน (คำพูดทีว่า) คนนี้พูดว่าอย่างนั้น คนนั้นพูดอย่างนี้ การถามจู้จี้ และการทำลายทรัพย์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การผลัดวันประกันพรุ่งของลูกหนี้ที่รำรวยนั้น ถือเป็นการทุจริต

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ตัวบทของบุคอรี อะห์มัด และน่าชาอีว่า การผลัดผ่อนของลูกหนี้ที่มีความสามารถ จะทำให้อนุญาตการละเมิดศักดํ่ศรีของเขา

และทำให้อนุญาตการลงโทษเขา[117]

เล่าจาก อะบีมูชา  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงบาปที่ใหญ่ที่สด สำหรับอัลเลาะห์ คือ การที่บ่าวคนหนึ่งจะได้พบกับพระองค์ พร้อมด้วยบาปทั้งหลาย หลังจาก บรรดาบาปใหญ่ที่อัลเลาะห์ทรงห้ามมัน คือ การที่คนหนึ่งตายไปโดยมีหนี้สินติดอยู่ที่เขา โดยเขา ไม่ได้ทิ้งสิ่งที่จะใช้ชำระหนี้สินไว้[118]                                     

รายงานโดย อะบูดาวูด และตัวบทของน่าชาอีว่า สาบาน ต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า ถ้าหากชายคนหนึ่งถูกฆ่าในวิถีทางของอัลเลาะห์ แล้วต่อมาเขาถูกชุบชีวิตขึ้น แล้วถูกฆ่าอีก โดยเขามีหนี้สินติดอยู่ เขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์ จนกว่า หนี้สินนั้นจะต้องถูกชำระแทนให้แก่เขาเสียก่อน[119]

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฎว่าท่านร่อซูลัลเลาะห์ ซ.ล. จะไม่ละหมาดให้แก่ชายคนหนึ่งที่เขาเสียชีวิตไป โดยมีหนี้สินติดอยู่ที่เขา มีศพหนึ่งได้ถูกนำมา ท่านนบีได้ถามว่า มีหนี้สินติดอยู่ที่เขาไหม พวกเขาได้กล่าวว่า ครับ มีหนี้สินติดอยู่ที่เขาสองเหรียญทอง ท่านได้กล่าวว่า                      พวกท่านจงละหมาดให้เพื่อนของพวกท่านเถิด อะบุ กอตาดะห์ ได้กล่าวว่า สองเหรียญทองนั้น ข้าพเจ้ารับภาระเอง โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ ดังนั้น ท่านนบี ซ.ล. จึงได้ ละหมาดให้แก่ศพของเขา ต่อมา เมื่ออัลเลาะห์ได้ประทานชัยชนะให้แก่ศาสนทูตของพระองค์ ท่านได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นประโยชน์แก่ผู้มีศรัทธาทุกคนยิ่งกว่าตัวของเขาเอง ดังนั้นผู้ใดทิ้ง

หนี้สินไว้ ข้าพเจ้าจะเป็นผู้ชำระหนี้สินนั้นของเขา และผู้ใดทิ้งทรัพย์สินไว้ มันจะตกเป็นของ ทายาทของเขา[120]       

รายปีนโดยห้าคน

และเล่าจากเขา (ญาบีร) ได้กล่าวว่า บิดาของข้าพเจ้าลูกฆ่าในวันอุฮุด ในฐานะเป็นชะฮีด โดยมีหนี้สินติดอยู่ที่เขา และบรรดาเจ้าหนี้ได้เร่งรัดเอาสิทธิ์ของพวกเขา, ข้าพเจ้าจึงได้ ไปหาท่านนบี  ซ.ล. ข้าพเจ้าได้พูดกับท่าน และท่านก็ได้ขอร้องให้เจ้าหนี้รับเอาอินทผลัมในสวน ของข้าพเจ้า และปลดปล่อยบิดาของเจ้าให้ปลอดหนี้สิน แต่พวกเขาไม่ยินยอม[121] ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   รุ่งเช้าเราจะไปหาท่าน[122] และท่านก็ได้มาหาเราในเวลาเช้า ขณะเมื่อรุ่งสาง ท่านได้ตระเวณไปในสวนอินทผลัม และขอความเพิ่มพูนให้เกิดในผลอินทผลัม และข้าพเจ้าได้ตัดมัน และได้ชำระให้แก่พวกเขา โดยยังมีผลของมันเหลืออยู่พิ่พวกเราอีก[123]      

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

ผู้ใดพบทรัพส์สินของเขาอยู่ที่ผู้ล้มละลายเขาย่อมมีสิทธิในทรัพย์สินนํ้น

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดพบทรัพย์ของเขาอยู่ที่ชายคนหนึ่ง หรือ คนๆ หนึ่งที่ได้ล้มละลายไปแลัว เขาย่อมมีสิทธิในทรัพย์นั้นยิ่งกว่า ผู้อื่น[124] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และในรายงานหนึ่งของอะบีตาวูด[125]ว่า ถ้าหากเขา (ผู้ล้มละลาย) ได้ชำระราคาของทรัพย์นั้นไปบ้างแล้ว ดังนั้นส่วนที่เหลือ เขา (เจ้าของทรัพย์นั้น) ก็เหมีอนกับบรรดาเจ้าหนี้ และผู้ใดที่ล้มละลายไป โดยเขามีสิ่งของของคนๆ หนึ่งด้วยตัวของสิ่งนั้น คนๆ นั้น จะได้รับการชำระไปบ้างแล้ว หรือ ไม่ได้ชำระเลย เขาก็เหมือนกับเจ้าหนี้ทั้งหลาย[126]

เล่าจาก ชะมุเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดพบตัวทรัพย์ของเขาที่ชายคนหนึ่ง เขาย่อมมีสิทธิในสิ่งนั้น และให้ผู้ซื้อไปติดตามเอาจากผู้ที่ได้ขายมันไป หมายความ ว่า ให้ผู้ซื้อไปติดตามเอากับผู้ขาย[127]    

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งจากพวกเรา เขาได้ปลดปล่อยทาสของเขาโดยกล่าวว่า ถ้าหากฉันตาย ท่านเป็นเสรีชน ต่อมาท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าใครจะซื้อ ทาสคนนี้ไปจากฉันบ้าง ปรากฏว่า นุอัยม์ บุตร อับดุลเลาะห์ ได้ซื้อมันไป และท่านนบีได้เอา ราคาของมัน และได้จ่ายให้เขาไป[128] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การโอนหนี้ และ ผู้ค้ำประกัน[129]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การผลัดวันประกันพรุ่งของลูกหนี้ที่รวย ลือเป็นการทุจริต และเมื่อคนหนึ่งคนใดจากพวกท่านถูกโอน (หนี้) ให้ใป ติดตามเอาจากลูกหนี้ที่รวย ให้เขาจงไปติดตามเอาเถิด[130]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้ติดตามทวงถามลูกหนี้ของตนด้วยเงินจำนวนสิบเหรียญทอง และเขาได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะไม่ยอมจากท่านไป จนกว่าท่านจะต้องใช้หนี้ให้ข้าพเจ้า หรือจนกว่าท่านจะนำผู้คํ้าประกันมาหาข้าพเจ้า ผู้เล่า ได้กล่าวว่า                         ต่อมาท่านนบี ซ.ล. ก็ได้รับเป็นภาระเงินจำนวนนั้น ผู้เล่าได้กล่าวว่า และเขาได้นำมามอบให้ท่านนบีตามกำหนดที่ไดให้สัญญาไว้กับเขา ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านได้ทองคำนี้มาจากไหน เขากล่าวว่า มาจากเหมือง ท่านได้กล่าวว่า                                    เราไม่ต้องการมัน และ

มันไม่มีความดีใดๆ และต่อมาท่านนบี  ซ.ล. ก็ได้ชำระหนี้แทนเขา[131]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์ ตัวบทของติรมิซีและอะบูดาวูดว่า การขอยืมต้องใช้คืน ผู้รับประกันต้องเป็นลูกหนี้ และหนี้สินต้องชำระ153

บทที่สิบ

แผ่นดิน และ การเพาะปลูกพืชที่มีลำต้นและล้มลุก

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้พัฒนาทีดินที่ไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิของผู้ใด เขาย่อมมีสิทธิยิ่ง อุรวะห์ได้กล่าวว่า อุมัร  ร.ฎ. ได้ตัดสินดังกล่าว ในสมัยที่ท่านเป็นคอลีฟะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และติรมิซี และในบางรายงานว่า

ผู้ใดปรับปรุงแผ่นดินที่ตาย แผ่นดินนั้นตกเป็นกรรมสิทธิของเขา และจะไม่ปรากฏแก่ลำต้นที่ ทุจริตว่ามีสิทธิใด ๆ[132]

เล่าจาก เซาะอับ บุตร ยัซซามะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีที่ดิน สงวนนอกจากเป็นของอัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์[133] และ,ท่านนบี  ซ.ล. ได้สงวนที่ดินที่ อันบะเกียะอฺ และอุมัร ได้สงวนที่ดินที่ อัซซะรอฟ และอัรรอบะซะห์[134] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ตัดสินในกรณีทีถ้าหากพวกเขาพิพาทกันในทางสัญจร ด้วยความกว้างเจ็ดศอก[135]                                                            

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี และตัวบทของติรมีซีว่า ถ้าหากพวกท่านพิพาทในเรื่องทางสัญจร ให้พวกท่านจงกำหนด

มันเจ็ดศอก

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีมุสลิมคนใดที่ปลูกพืชที่มีลำต้น หรือ เพาะปลูกพืชล้มลุก แล้วต่อมามีนก หรือมนุษย์ หรือสัตว์ มากินมัน นอกจาก มันเป็นการทำทาน (ซอดาเกาะห์) ของเขา[136]            

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีมุสลิมคนใดที่ปลูกพืชนอกจากปรากฏว่า สิ่งที่ถูกนำไปใว้รับประทานจากต้นพืชนั้นจะเป็นกุศลทานของเขา และสิ่งที่ ถูกขโมยไปจากมันก็เป็นกุศลทานของเขา สิ่งที่สัตว์ดุร้ายกินไปจากมันก็เป็นกุศลทานของเขา สิ่งที่นกกินไปจากมันก็เป็นกุศลทานของเขา และจะไม่มีผูใดได้ใช้มันเป็นประโยชน์นอกจากเป็น กุศลทานของเขา และในบางรายงานว่า ไม่มีมุสลิมคนใดที่ปลูกพืช แล้วต่อมามนุษย์ได้กินไป จากมัน ไม่มีสัตว์ใด และไม่มีนกตัวใดกินไปจากมัน นอกจากจะเป็นกุศลทานของเขา จนถึงวัน กิยามะห์ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

มุซารออะห์ (การเพาะปลูกโดยใช้ผลได้บางส่วนเป็นค่าเช่า (ค่าจ้าง)

เล่าจาก รอฟิยะอฺ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเป็นชาวนครมะดีนะห์ ที่มีทุ่งเพาะปลูกมากที่สุด และเคยมีคนหนึ่งของพวณราให้เข้าที่ดินของเขา                                                   โดยกล่าวว่าแปลงนี้เป็นของฉัน และแปลงนั้นเป็นของท่าน บางที แปลงนี้ให้ผลผลิตดี แปลงนั้นไม่ให้ผลผลิต ต่อมาท่านนบี ซ.ล. จึงห้ามพวกเขา[137]          

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อัมร์ บุตร ดีนาร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินอิบน์ อุมัร กล่าวว่า

พวกเราไม่เห็นว่า มุซารออะห์ จะเป็นอะไร จนข้าพเจ้าได้ยิน รอเฟียะอฺ บุตร คอดีจ กล่าวว่า แท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ห้ามการ มุซารออะห์ และข้าพเจ้าก็ได้เล่าให้ตอวูสฟัง เขาได้กล่าวว่า ผู้รู้ที่สุดของพวทเขา[138]เขาได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า แท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ไม่ได้ห้ามการมุซารออะห์ แต่ท่านได้กล่าวว่าแน่นอนการที่คนหนึ่งของพวกท่านจะมอบแผ่นดินของเขาให้ (ผู้อื่น) ให้ประโยชน์ย่อมดีกว่าการที่เขาจะเอาค่าเช่าที่รู้จำนวนกันดี 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และเซต บุตร ซาบิต  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า         ขออัลเลาะห์ใด้โปรดอภัยโทษให้รอเฟียะอุ

บุตร คอดีจ ข้าพเจ้า ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ รู้หะดีษนั้นดียิ่งกว่าเขา ความจริงได้มีผู้ชาย สองคน ชาวอันซอรได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. โดยที่ชายทั้งสองได้ต่อสู้กันมา ท่านนบีจึงได้กล่าวว่า ถ้าหากสิ่งนี้เป็นเรื่องของพวกท่าน พวกท่านก็อย่าให้เข้าที่เพาะปลูก รอเพียะอุได้ยินคำพูดของท่านที่ว่า พวกท่านก็อย่าให้เข้าที่เพาะปลูก

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

และได้ปรากฏว่า อิบบุ อุมัร  ร.ฎ. เคยให้เข้าที่เพาะปลูกของเขา ในสมัยท่านนบี  ซ.ล. ในสมัย อะบี บักร์ อุมัร และอุสมาน และในสมัยแรกของการปกครองโดย มุอาวิยะห์ เมื่อเขา ได้ยินหะดีษที่รายงานโดย รอเฟียะอุ เขาได้ละทิ้งการกระทำดังกล่าว เพราะกลัวว่าท่านนบี  ซ.ล. ได้กำหนดสิ่งใดขึ้นใหม่ในเรื่องนี้[139]           

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

อิบนุ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ความจริงที่ท่านร่อซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ไม่ได้กำหนดห้ามการมุซารออะห์ แต่ท่านได้ให้ให้บางส่วนของพวกท่านมีความสงสารอีกบางส่วน ด้วยคำของ ท่านที่กล่าวว่า       ผู้ใดมีที่ดินให้เขาจงทำการเพาะปลูกเอง หรือให้พี่น้องของเขาทำประโยชน์ ถ้าหากพี่น้องของเขาไม่ยอมรับ ให้เขาจงปล่อยที่ดินของเขาว่างเอาไว้[140]  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

อะบู ยะอฺฟัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ไม่มีครอบครัวของผู้อพยพใดที่นครมะตีนะห์ นอก จากพวกเขาจะทำการเพาะปลูก โดยต้องจ่ายเศษหนึ่งส่วนสาม และเศษหนึ่งส่วนสี่(ของผล ผลิต), อะลี, สะอัด บุตร มาลิก อับดุลเลาะห์ บุตร มัสอูด อุมัร บุตร อับดิ้ลอะซีซ อัลกอซิม อุรวะห์ วงศ์วาน ของอะบี บักร์ วงศ์วานของ อุมัร วงศ์วานของอะลี และอิบนุซิรีน  ร.ฎ. ก็ได้ทำการเพาะปลูกโดยต้องจ่ายส่วนหนึ่งของผลผลิต164                                                     

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

การเช่าที่ดินด้วยเงินทอง และสิ่งอื่น ๆ

เล่าจาก ฮันซอละห์ บุตร กอยส์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามรอเฟียะอฺ บุตร คอตีจ ถึงการเช่าที่ดิน เขาได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ห้ามการเช่าที่ดิน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าด้วยทองคำ และเงินหรือ เขากล่าวว่าสำหรับด้วยทองคำ และเงินไม่เป็นไร

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี 

และสะอัด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเคยเช่าที่ดินด้วยการเพาะปลูกในพื้นที่ๆ ใกอักับสายนํ้า ต่อมาพวกเราเกิดขัดแย้งกัน ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. จึงห้ามพวกเราจากการดังกล่าว และ ใช้พวกเราให้พวกเราเช่ามัน (ที่ดิน) ด้วยทองคำ หรือเงิน[141]

เล่าจาก รอเฟียะอฺ  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริงที่จะเพาะปลูกมีสามคน คือ ชายคนหนึ่งที่มีที่ดิน เขาก็จะทำการเพาะปลูก และชายคนหนึงทีถูกมอบที่ดินให้ใข้ประโยชน์ เขาก็จะทำการเพาะปลูก และชายคนหนึงที่ได้ขอเช่าทีดินด้วยทองคำ หรือ เงิน[142]

รายงานหะดีษทั้งสองโดยอะบูดาวูด และนะซาอี

มุซากอห์ และการกะคะเน[143]

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า               ท่านนบี  ซ.ล. ได้ดำเนินการที่คอยบัร ด้วยครึ่งหนึ่งของสิ่งที่ผลิตได้จากคอยบัรที่เป็นผลไม้ หรือพืชไร่[144] และท่านเคยให้แก่บรรดาภรรยา ของท่านทุกปีด้วยจำนวนหนึ่งร้อยวัสก์ แปดสิบ (วัสก์) เป็นอินทผลัมแห้ง และอีกยี่สิบ (วัสก์) เป็นข้าวบาร์เล่ย์ ต่อมาเมื่ออุมัรขื้นปกครอง และได้แบ่ง คอยบัร เขาได้ให้บรรดาภรรยาของ ท่านนบี  ซ.ล. เลือกระหว่างที่ดินกับนํ้า และระหว่าง (ผลผลิตจำนวน) หลายวัสก์ทุกปี ภรรยา บางคนเลือกเอาที่ดินกับนํ้า และบางคนได้เลือกเอา (ผลผลิตจำนวน) หลายวัสก์ ทุกปี และ ปรากฏว่า อาอิชะห์ กับ ฮัฟเชาะห์ เป็นบุคคลที่เลือกเอาที่ดินกับนํ้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

และชาวอันซอรได้กล่าวแก่ท่านนบี  ซ.ล. ว่า               ได้โปรดแบ่งสวนอินทผลัม ระหว่างเรากับพี่น้องของเรา (พวกมุฮาญิรีน) ท่านได้กล่าวว่า ไม่ พวกเขาจึงกล่าวว่า พวกท่านออกค่าใข้จ่ายให้แก่พวกเราอย่างพอเพียง (ในการดูแลสวน) และเราจะให้พวกท่านมีส่วนร่วมกับพวก เราในผลไม้ พวกเขา (มุฮาญิรีน) ได้กล่าวว่า พวกเราไดํยินแล้ว และปฏิบัติตามแล้ว[145] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พระองค์อัลเลาะห์ได้ประทานคอยบัรให้แก่ศาสนทูตของพระองค์อย่างง่ายดาย และท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ยอมให้พวกเขา (ชาวคอยบัร) อยู่ ตามเดิม และได้กำหนดคอยบัรระหว่างท่านกับพวกเขา และท่านได้ส่ง อิบน์ รอวาฮะห์ ไป (ยังคอยบัร) และเขาก็จะไปกะคะเน (ผลผลิตของ) มันเหนือพวกเขา และในบางรายงานว่า อิบนุ รอวาฮะห์ ได้กะคะเนมันสิ่หมื่นวัสก์ และให้พวกเขา (ชาวคอยบัร) เลือก พวกเขาได้ เลือกเอาผลไม้ โดยพวกเขาจะต้องจ่ายสองหมื่นวัสก์[146]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

สุนัข (มีไว้) เพื่อการเฝ้า และวัว (มีไว้) เพื่อการไถ[147]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดครอบครองสุนัขที่ไม่ใช่สุนัขล่าสัตว์ ไม่ใช่สุนัขเลี้ยงสัตว์ และไม่ใช่สุนัขเฝัาที่ดิน ความจริง จะลดหย่อนไปจากผลบุญของเขาสองกีรอตทุกวัน 

รายงานโดย มุสลิม และบุคอรี และตัวบทของบุคอรีว่าผู้ใดยึดสุนัขเอาไว้ ความจริง มันจะลดหย่อนลงไปทุกวันจากการปฏิบัติความดีของเขา หนึ่งกีรอต นอกจากสุนัขเลี้ยงแพะ หรือ เฝัาพืชไร่ หรือล่าสัตว์[148]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขณะที่ชายคนหนึ่งขี่อยู่บนวัวตัวหนึ่ง มันได้หันมาหาเขาแล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าไม่ได้ลูกบังเกิดขืนมาเพื่อการนี้ ข้าพเจ้าถูกบังเกิดขื้นมา เพื่อการไก ท่านได้กล่าวว่า ข้าพเจ้า อะบู บักร์ และอุมัรเชื่อมัน[149] และหมาป่าตัวหนึ่งได้จับเอาแกะตัวหนึ่งไป ผู้เลี้ยงได้ออกติดตามมัน หมาป่าได้กล่าวแก่เขาวาใครจะดูแลมันในวันที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย วันที่ไม่มีผู้ใดดูแลมัน นอกจากข้าฯ ท่านนบีได้กล่าวว่าข้าพเจ้าอะบู บักร์ และอุมัร เชื่อมัน อะบุ ซะละมะห์ได้กล่าวว่าโดยไม่มีคนทั้งสองในวันนั้นอยู่ในกลุ่มผู้คน[150]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เกิดโรคผลไม้ระบาด

เล่าจาก อะบี สะอีด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า                ชายคนหนึ่งในสมัยท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ประสบกับความพิบัติในผลไม้ที่เขาได้ซื้อไว้ ต่อมาหนี้สินของเขาได้พอกพูนมากขึ้น ท่านร่อซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า    ท่านทั้งหลายจงทำทานให้เขา ได้มีประชาชนทำทานให้เขา แต่ยังไม่ถึงจำนวนที่จะพอชำระหนี้ของเขาได้ ต่อมาท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวแก่เจ้าหนี้ ของเขาว่า                                                                      ท่านทั้งหลายจงเอาสิ่งที่พวกท่านพบเถิด และจะไม่มีสิทธิแก่พวกท่านอีกนอกจากนั้น

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากท่านขายผลไม้ให้แก่พี่น้องของท่าน แล้วต่อมาโรคระบาดได้เกิดแก่ผลไม้นั้น ดังนั้นจะไม่อนุมัติให้ท่านเอาสิ่งใด *[ จากเขา ด้วยเหตุใดที่ท่านจะเอาทรัพย์ของพี่น้องของท่านโดยไม่เป็นธรรม[151]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

การเพาะปลูก รดน้ำ และบ่อน้ำ

เล่าจาก รอเฟียะอฺ บุตร คอดีจ จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้ทำการเพาะปลูกในที่ดินของพวกหนึ่ง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพวกนั้น เขาจะไม่ได้สิ่งใดเลยจากการเพาะปลูก นั้น แต่เขาจะได้ค่าใช้จ่ายของเขา176    

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี ถือว่าเป็นหะดีษหะซัน

และปรากฏว่า บะรออฺ บุตร อาซิบ  ร.ฎ. เคยมีอูฐตัวเมียตัวหนึ่งที่ชอบกินพืชไร่ของ ผู้อื่น ต่อมามันได้เข้าไปในไร่แห่งหนึ่ง และทำความเสียหายแก่ไร่นั้น และได้มีผู้นำมาฟ้องท่าน รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ท่านได้ตัดสินว่า หน้าที่การรักษาไร่ต่าง ๆ ในเวลากลางวันเป็นของเจ้าของไร่ และหน้าที่การดูแลสัตว์ในเวลากลางคืนเป็นของเจ้าของสัตว์ และเจ้าของสัตว์ จะต้องรับผิดชอบ สิ่งที่สัตว์ของพวกเขาทำลายในเวลากลางคืน177

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อุรวะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า                ซุเบร ได้พิพาทกับชายคนหนึ่งจากชาวอันซอร178

ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า โอ้ ซุเบร ท่านจงรดนํ้าเถิด แล้วปล่อยนํ้าลงไป179 ชาวอันซอรผู้นั้นได้กล่าวว่า เพราะเขาเป็นลูกของลุงท่าน (ใช่ไหม) ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า จงรดนํ้าเถิด โอ้ ซุเบร จนกว่านํ้าจะถึงคัน (ที่ป้องไว้) หลังจากนั้น ท่านจงหยุด180 ซุเบรได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าคิดว่าอายะห์นี้ได้ลงมาในเรื่องดังกล่าว ดังนั้นไม่ ขอสาบานต่อผู้อภิบาลของท่านว่าพวกเขาจะยังไม่มีศรัทธา จนกว่าพวกเขาจะตั้งให้ท่านเป็นผู้ตัดสินในสิ่งที่เกิดข้อพิพาทกันในหมู่ พวกเขา         

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เหมืองแร่นั้น เลือดเสียไปเปล่าๆ บ่อนั้น เลือดเสียไปเปล่าๆ สัตว์ที่พูดไม่ได้นั้นเลือดก็เสียไปเปล่าๆ และในขุมทรัพย์ที่ลูกขุดพบต้องจ่ายเศษหนึ่งส่วนห้า181

181 “เหมืองแร่นั้น เลือดเสียไปเปล่า” หมายความว่า เมื่อคนหนึ่ง ขุดเหมืองเพื่อเอาแร่ และปรากฎว่า เหมืองที่เขาขุดนั้นอยู่ ในกรรมสิทธิ์ของเขา หรือเป็นที่ไม่มีเจ้าของ หรืออยู่ในภูเขา และต่อมาไต้มีคนตกลงไป ถือว่าเลือดของเขาเป็นเลือดที่เสียไปเปล่าๆ ผู้ที่ขุดไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ และเช่นเดียวกันกับคนที่ขุดบ่อ ในที่ๆเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา หรือในที่ๆไม่มีเจ้าของ และต่อมามีคนตกลงไปเสียชีวิต เลือคของผู้นั้นก็เป็นเลือดที่เสียไปเปล่า ๆ และสิ่งที่สัตว์ทำเสียหายนั้นก็เสียไปเปล่าๆ ถ้าเจ้าของสัตว์ไม่ไต้เลินเล่อ เรื่องการพบขุมทรัพย์ ไต้กล่าวมาแจ้วในเรื่องซะกาต

เล่าจาก อับดิลลาห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดทำการสาบาน โดย เขาเป็นผู้ทุจริตในคำสาบานนั้น เพื่อตัดเอาทรัพย์ของมุสลิมคนหนึ่งด้วยคำสาบานนั้น เขาจะได้ พบกับอัลเลาะห์โดยพระองค์ทรงกริ้วโกรธเขา 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอร มุสลิม และติรมิซี 

การห้ามน้ำ และหญ้า เป็นสิ่งต้องห้าม[152]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าพวกท่านอย่าหวงฟ้าที่เหลือ เพื่อพวกท่านจะอาศัยการหวงนํ้าที่เหลือ หวงหญ้าที่เหลือด้วย[153]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าสามคนที่อัลเลาะห์จะไม่เจรจากับเขาในวันกิยามะห์ คือ ชายคนหนึ่งหวงนํ้าที่เหลือที่เขามีแก่คนเดินทาง และชาย คนหนึ่งสาบานเพื่อให้ขายสินค้าได้หลังเข้าอัสร์หมายความว่า เขาเป็นผู้โกหก[154] และชายอีกคนหนึ่งที่ให้สัตยาบันแก่ผู้นำคนหนึ่ง ถ้าหากผู้นำให้เขา เขาก็ซื่อสัตย์ต่อผู้นำ และถ้าหากผู้นำ ไม่ให้เขา เขาก็จะไม่ซื่อสัตย์ต่อผู้นำ

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของอะบูดาวูดว่า มวลมุสลิมเป็นทุ้นส่วนกันในสามสิ่ง คือ ในนํ้า หญ้า และไฟ[155]

การ ตี ชิง เป็นสิ่งต้องห้าม[156]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ละเมิดประเวณีจะไม่ละเมิดขณะที่เขาละเมิดในสภาพเป็นผู้มีศรัทธา และจะไม่ดื่มเหล้า ขณะที่ดื่มในสภาพ เป็นผู้มีศรัทธา และจะไม่ลักขโมย ขณะที่ลักขโมยในสภาพเป็นผู้มีศรัทธา[157] และเขาจะไม่ตี ชิงใดๆ ที่มีประชาชนมองมายังเขาในการตี ชิงนั้น ขณะที่เขาดี ชิงในสภาพเป็นผู้ที่มีศรัทธา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

และท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า           ผู้ใดถูกฆ่า เพราะป้องกันครอบครัวของเขา

เขาเป็นชะฮีด ผู้ใดถูกฆ่าเพราะป้องกันเลือดของเขา เขาเป็นชะฮีด ผู้ใดลูกฆ่าเพราะป้องกันศาสนา ของเขา เขาเป็นชะฮีด และผู้ใดถูกฆ่า เพราะป้องกันครอบครัวของเขา เขาเป็นชะฮีด[158]  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

บทที่สิบเอ็ด 1079

ของให้ต่าง ๆ

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล. เคยรับของกำนัล (ฮะดียะห์) และมอบสิ่งตอบแทนของกำนัลนั้น[159]                                                                                

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และติรมิซีข

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ ท่านร่อซูลุลเลาะห์ ความจริง ข้าพเจ้ามีเพื่อนบ้านสองคน ดังนั้นคนใดจากทั้งสองที่ข้าพเจ้าจะมอบของกำนัลให้ ท่านได้กล่าว ว่า แก่คนที่มีประตูบ้านใกล้ที่สุดกับเธอจากคนทั้งสอง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าถ้าหากข้าพเจ้าถูก เชิญไปยัง ขาหน้า หรือ ขาหลัง (ของแกะ) ข้าพเจ้าก็จะต้องรับคำเชิญ และถ้าหากขาหน้า หรือ ขาหลัง ถูกนำมามอบเป็นของกำนัลแก่ข้าพเจ้า แน่นอนข้าพเจ้าก็จะต้องรับ[160]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงมอบ ของกำนัลให้แก่กันเถิด เพราะความจริงของกำนัล จะทำให้ความอาฆาตแค้นในใจหายไป และ เพื่อนบ้านผู้หญิง อย่าดูถูกเพื่อนบ้านของหล่อน แม้จะด้วยซีกหนึ่งของแข้งแกะก็ตาม[161] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และติรมิซี

อัลมะนีฮะห์ (ของที่มอบให้เอาประโยชน์)[162] 1080

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าควรที่ชายคนหนึ่งจะมอบให้แก่ครอบครัวหนึ่งเป็นอูฐตัวเมียที่รุ่งเด้าชื้น พร้อมกับภาชนะใบใหญ่ (ใส่นม) และ ตกเย็นลงด้วยภาชนะใบใหญ่ (ใส่นม) แท้จริง ผลบุญของมัน (อูฐ) นั้นใหญ่หลวง

รายงานโดยมุสลิม ในเรื่องซะกาต

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าของ'ให้'ที่ดียิ่ง คืออูฐมีนมที่มีนํ้านมมาก และแกะที่มีน้ำนมมาก รุ่งเช้าขึ้นพร้อมกับภาชนะ (ใส่นม) และตกเย็น พร้อมกับภาชนะ (ใส่นม)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าขณะที่ชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ตามทาง ความกระหายได้เกิดชื้นกับเขาอย่างรุนแรง ต่อมาเขาได้พบปอนํ้า เขาได้ ลงไปดื่ม แล้วกลับออกมา ท้นใดนั้น เขาได้พบสุนัขตัวหนึ่งแลบลิ้นกินดิน อันเนื่องมาจากความ กระหายชายคนนั้นได้กล่าวว่า สุนัขตัวนี้ มีความกระหายถึงขั้นที่เหมือนกับที่เกิดกับข้าพเจ้า เขาจึงลงไปในบ่อ และเติมนํ้าจนเต็มรองเท้าของเขา และได้นำมาให้สุนัขนั้นดื่ม อัลเลาะห์ทรง ขอบคุณเขา และอภัยโทษให้เขา พวกเขาได้กล่าวว่าโอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริงพวกเรา

จะได้ร้บผลบุญในสัตว์หรือ ท่านตอบว่าในทุกร่างที่มีตับเปียก มีผลบุญ                

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

ห้ามเรียกเอาของให้กลับคืน[163]

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ที่เอาของที่ให้ใปแล้ว ของเขากลับคืน เหมือนกับผู้ที่กลืนอาเจียนของเขากลับเข้าไปอีก

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และในบาง รายงานว่า พวกเราไม่มีตัวอย่างใดจะชั่วร้ายยิ่งกว่าผู้ที่เรียกเอาของที่ตนให้ไปแล้วกลับคืน เหมือนสุนัขที่กลืนเอาอาเจียนของมันกลับเข้าไปอีก

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่ยินยอมให้คนใดให้ของให้ หรือให้ของขวัญ แล้วเรียกเอาคืนในสิ่งนั้น นอกจากบิดาในสิ่งที่มอบให้แก่บุตรของตน และเปรียบผู้ที่ให้ของให้แล้วเรียกเอาคืน เปรียบเหมือนสุนัขที่กิน เมืออิ่มแล้วอาเจียน หลังจาก นั้นก็กลืนอาเจียนของมันกลับเข้าไปอีก[164]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

อุมรอ และ รุกบา[165]

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า                 ท่านนบี  ซ.ล. ได้ตัดสินเรื๋องอุมรอว่าตกเป็นของคนที่ถูกยกให้[166] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (ญาบิร) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชายคนใดที่ได้ยกให้แบบอุมรอ แก่ชายคนหนึ่ง โดยได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ายกมันให้ท่าน และลูกหลานของท่าน ตราบที่ยังมีคนหนึ่งของพวกท่านเหลืออยู่ ความจริงมันตกเป็นของผู้ที่ถูกยกให้ และความจริงมันจะไม่กลับคืนไปสู่ เจ้าของมันอีก อันเนื่องมาจากเขาได้ยกให้เป็นของให้ที่มีการรับทอดกันในสิ่งนั้น[167]  

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (ญาบิร) ได้กล่าวว่า ความจริงการยกให้แบบอุมรอที่ท่านร่อซูลุลเลาะห์ ซ.ล. อนุญาต คือการที่เขากล่าวว่า มันเป็นของท่าน และเป็นของลูกหลานของท่าน ส่วนในกรณีที่เขากล่าวว่า มันเป็นของท่าน ตราบที่ท่านมีชีวิตอยู่ ความจริงมันจะกลับคืนไปสู่ผู้เป็นเจ้าของมัน และ ซุห์รีย์ก็ได้เคยอธิบายไว้เช่นนั้น[168]    

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (ญาบิร) ได้กล่าวว่า           ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ตัดสินในเรื่องผู้หญิงคนหนึ่งจากชาวอันซอรที่บุตรชายของหล่อนได้ยกสวนอินทผลัมแห่งหนึ่งให้แก่หล่อน และต่อมา หล่อน'ได้เสียข้วิตไป บุตรชายของหล่อนได้กล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าได้ยกให้แก่เขา (มารดาของข้าพเจ้า) ชั่วชีวิตของเขา โดยที่เขามีพี่น้องอยู่หลายคน พวกเขาได้กล่าวว่า      พวกเราเสมอภาค

กันในสวนอินทผลัมนั้น ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า มันเป็นของหล่อนทั้งขณะหล่อนมีชีวิต และหล่อนเสียชีวิต เขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าทำทานมันแก่มารดา ท่านนบีได้กล่าวว่า นั่นมันเป็นสิ่งที่ห่างไกลยิ่งแก่ท่าน[169]      

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

ดินที่ผู้นำยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ 1082

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้เรียกชาวอันชอรมา เพื่อจัดสรรที่ดินที่บาห์รอยน์ให้แก่พวกเขา และพวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ถ้าหากท่านกระทำ ดังนั้น ให้ท่านจงกำหนด แก่พี่น้องของเราคือชาวกุเรชด้วยเหมือนๆ กัน และการเช่นนั้นไม่มี อยู่ที่ท่านนบี  ซ.ล. ท่านจึงได้กล่าวว่าความจริงพวกท่านจะพบความเห็นแก่ตัวภายหลังจากข้าพเจ้า ดังนั้นขอให้พวกท่านจงมีความอดทนเกิดจนกว่าพวกท่านจะได้พบกับข้าพเจ้า201

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก วาอิล  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านนบี  ซ.ล. ได้จัดสรรที่ดินที่ ฮัตรอเมาต์ ให้แก่เขา และได้ส่งมุอาวิยะห์ไปพร้อมกับเขา เพื่อจะจัดสรรมันให้แก่เขา202

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี ถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

และ อัมร์ บุตร ฮุรอยซ์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า                    ท่านร่อซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ได้ขีดเป็นบริเวณบ้านให้แก่ข้าพเจ้าที่นครมะดีนะห์ โดยใช้คันธนู และได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะเพิ่มให้ท่าน ข้าพเจ้าจะเพิ่มให้ท่าน[170]

และท่านนบี  ซ.ล. ได้จัดสรรให้แก่ บิลาล บุตรอัลฮาริษ อัลมุซะนีย์เหมืองแร่แห่ง อัลกอบะลียะห์ เหมืองแร่เหล่านั้นจะไม่ถูกหักออกจากมัน นอกจาก ซะกาด จนถึงวันนี้[171] และ ท่านนบี ซ.ล. ได้เขียนให้แก่เขาว่า ด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง นี่คือ สิ่งที่ มุฮัมมัด ศาสนทูตของอัลเลาะห์ มอบให้แก่บิลาล บุตร ฮาริษ อัลมุชะนีย์ ได้มอบ เหมืองแร่แห่งอัลกอบะลียะห์ ให้เขาทั้งที่ดอน และที่ลุ่ม และพื้นที่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูกที่ ภูเขา กุดส์ โดยไม่ได้มอบสิทธิของมุสลิมคนใดให้เขา[172]

 รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

บทที่สิบสอง

การวักฟ์ (การอุทิศถาวรวัตถุ)[173]

เล่าจาก อะบีฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อมนุษย์ได้เสียชีวิตลง ผลงานของเขาได้ขาดตอนจากเขา นอกจากสามประการ นอกจาก ทานที่ไหลหลั่ง วิชาการ ทีเป็นประโยชน์แก่เขา หรือ บุตรที่ดีขอพรให้เขา[174] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การอุทิศ ที่ดิน[175]

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า          ปรากฏว่า อะบูตอลฮะห์ เป็นชาวอันซอรที่มีทรัพย์สินมากที่สุดที่นครมาตีนะห์ และทรัพย์สินที่เขารักที่สุด คือ สวน บัยรูฮา โดยสวนนี้อยู่ตรงหน้า มัสญิด และท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. เคยเข้าไปในสวนนั้น และดื่มนํ้าที่มีรสตีที่มีอยู่ในสวนนั้น เมื่ออายะห์นี้ได้ลงมา        “พวกท่านจะยังไม่ได้รับความดี จนกว่าพวกท่านจะบริจาคสิ่งที่พวกท่านรัก” อะบูตอลฮะห์ลุกขื้นยืนไปหาท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. แล้วกล่าวว่า แท้จริง อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ “พวกท่านจะยังไม่ได้รับความตี จนกว่าพวกท่านจะ

บริจาคสิ่งที่พวกท่านรัก” และความจริง ทรัพย์สินที่รักยิ่งของข้าพเจ้า คือ สวนบัยรูฮา และ ความจริง มันเป็นทานเพื่ออัลเลาะห์ ข้าพเจ้าหวังเพียงความตีของมัน และความเป็นมิ่งขวัญของ มันที่อัลเลาะห์ ดังนั้นท่านจงวางมันลงเถิด โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ตามที่ท่านต้องการ[176] ท่าน รอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ดีทีเดียวนั่นแหละ คือ ทรัพย์ที่เพิ่มพูนนั่นแหละ คือทรัพย์ที่เพิ่มพูน ข้าพเจ้าได้ยินสิ่งที่ท่านพูดถึงมันแล้ว และความจริงข้าพเจ้าก็เห็นควรมอบมันให้อยู่กับ วงศ์ญาติใกล้ชิด ต่อมาอะบูตอลฮะห์ก็ได้แบ่งมันให้แก่วงศ์ญาติใกล้ชิดของเขา และตระกูล

ลุงของเขา[177]         

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อุมัรได้ที่ดินที่คอยบัร และเขาได้มาหาท่านนบี ซ.ล. ขออนุญาตท่านในที่ดินที่คอยบัรนั้น โดยได้กล่าวว่า                                                                  โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริงข้าพเจ้าได้ที่ดินที่คอยบัร ข้าพเจ้าไม่เคยได้ทรัพย์สินใดเลยจะมีค่าสำหรับข้าพเจ้ายิ่งกว่ามัน ดังนั้น ท่านจะบัญชาให้ข้าพเจ้าจัดการกับมันอย่างไร ท่านนบีได้กล่าวว่า ถ้าหากท่านต้องการ ให้ท่านกักต้นมันไว้ และให้ท่านใช้มันทำทาน[178] อุมัรจึงใช้มันทำทาน โดยต้นของมันจะขายไม่ได้ ซื้อไม่ได้ รับมรดกไม่ได้ และให้ไม่ได้[179] ผู้เล่าได้กล่าวว่า อุมัรได้ทำทานในหมู่คนยากจน ในหมู่

วงศ์ญาติใกล้ชิดในพวกทาส ในวิถีทางของอัลเลาะห์ คนเดินทาง และต้อนรับแขก โดยไม่มีบาป ใดๆ แก่ผู้ปกครองมัน ที่เขาจะกินจากมันด้วยตี หรือเลี้ยงดูเพื่อน โดยไม่ใช้เป็นผู้หาผลประโยชน์ในมัน[180] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ได้กล่าวว่า          มุอัยกีบ ได้เขียน และอับดุลเลาะห์ บุตรอัรกอม ได้เป็นพยาน ว่า ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง นี่เป็นคำสั่งเสีย ของบ่าวของอัลเลาะห์ อุมัร ผู้นำเหล่าผู้ศรัทธาว่า ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้น แท้จริง ซัมม์ ซิรมะห์ ริบนิอักวะอฺ ทาสที่ทำงานอยู่ในซัมม์ ร้อยส่วนที่คอยบัร ทาสของเขาที่อยู่ที่คอยบัร และอีกหนึ่งร้อย (วัสก์)ที่ มุฮำหมัด ซ.ล. ได้ใช้มันเลี้ยงอาหาร ซึ่งอยู่ที่วาดีย์ (ทั้งหมดที่ กล่าวนั้น) ฮัฟเซาะห์ จะได้ปกครองมัน ตราบที่หล่อนคงมีชีวิตอยู่ หลังจากนั้น จะปกครองมัน โดย ผู้มีความคิดที่ดีจากคนในครอบครัวของหล่อน โดยจะขายไม่ได้ ซื้อไม่ได้ เขาจะจ่ายมันตาม แต่จะเห็นสมควรให้แก่ผู้ที่ขอ และไม่ขอ และแก่วงศ์ญาติใกล้ขีด และไม่มีบาปแก่ผู้ที่ทำหน้าที่ ดูแลมัน ถ้าหากเขาจะกิน หรือ เลี้ยงดูเพื่อน หรือ ซื้อทาสจากมัน[181]                                

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

การอุทิศ มัสญิด และ บ่อน้ำ 1084

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า               ขณะที่ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้มาที่นครมะคีนะห์ และท่านได้ออกคำสั่งให้ก่อสร้างมัสยิดขึ้นนั้น ท่านได้กล่าวว่า โอ้ ตระกูล บะนีอันนัจญาร พวกท่านจงคิดราคาสวนของพวกท่านจากข้าพเจ้าเถิด พวกเขาได้กล่าวว่า ไม่ สาบาน ต่ออัลเลาะห์ พวกเราจะไม่เรียกร้องเอาราคาของมัน นอกจากจะเรียกร้องเอาจากอัลเลาะห์ตาอาลา หมายความว่าต่อมาท่านได้เอามัน และสร้างมันเป็นมัสยิด[182]      

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจาก อุสมาน  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านร่อซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดขุดบ่อรูมะห์ เขาจะได้สวรรค์ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ขุดมัน

รายงานหะดีษโดยบุคอรี ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก สะอัด บุตร อุบาดะห์  ร.ฎ. ว่า เขาได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์

แท้จริง มารดาของสะอัดได้เสียขีวิตไปแล้ว ดังนั้นมีการทำทานใดที่ประเสริฐที่สุดท่านได้กล่าวว่านํ้า เขาจึงได้ขุดปอนํ้า และได้กล่าวว่านี่ เป็นของมารดาสะอัด

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

และนะซาอี ได้รายงานเพิ่มเติมว่า และนั่นก็คือ แหล่งนํ้าของสะอัดที่นครมะดีนะห์

บทสุดท้าย ของตก[183]

เล่าจาก เซต บุตร คอลิด อัลยุฮะนี  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดให้ที่พักแก่สัตว์หลงทาง เขาก็เป็นคนหลงทางตราบใดที่เขาไม่ประกาศมัน[184] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะห์มัด

และเล่าจากเขา (เซต) ได้กล่าวว่าชายคนหนึ่งได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. และถามท่านเกี่ยวกับของตก ท่านได้กล่าวว่าจงทำความรู้จักกับถุงที่บรรจุมัน และเชือกที่ผูกมันหลังจากนั้นจงประกาศมันหนึ่งปี ดังนั้น ถ้าหากเจ้าของมันมา และถ้าไม่มาก็เป็นเรื่องของท่านที่จะจัดการกับมัน[185] เขาได้กล่าวว่า ดังนั้น แพะที่หลง ท่านตอบว่า มันเป็นของท่าน หรือเป็นของพี่น้องของท่าน หรือ เป็นของหมาป่า[186] เขาได้กล่าวว่าดังนั้น (ถ้าเป็น) อูฐหลง ท่านตอบว่า ท่านไม่มีสิทธิไปยุ่งเกี่ยวกับมัน มันมีถุงนํ้าของมัน และมีรองเท้าของมัน มันจะมาที่นํ้า และกินต้นพืชจนกว่าเจ้าของจะมาพบมัน[187]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และท่านนบี  ซ.ล. ถูกถามถึงของตกที่เป็นทองทำ หรือ เงิน ท่านได้กล่าวว่าท่านจงทำความรู้จักกับถุงที่บรรจุมัน หรือเชือกที่ผูกมัน หลังจากนั้น ให้ท่านจงประกาศมัน หนึ่งปี ดังนั้นถ้าหากท่านไม่รู้จักเจ้าของมัน ให้ท่านจงนำมันออกจับจ่ายโดยให้มันเป็นของฝากอยู่กับท่าน ถ้าหากมีผู้มาเรียกร้องมันในวันหนึ่งวันใดของกาลเวลา ให้ท่านจงคืนมันให้แก่เขา[188]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม 

ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดเก็บของตกได้เล็กน้อย เป็นเส้นเชือก หรือเหรียญเงิน หรือที่เหมือนกันนั้น ให้เขาจงนำมันไปประกาศสามวัน และ ถ้าหากมันเกินกว่านั้น ให้เขาจงนำมันไปประกาศหกวัน และถ้าหาก เจ้าของมันมา และถ้าหากเจ้าของมันไม่มา ให้ท่าน จงนำมันไปทำทาน[189]       

รายงานหะดีษโดยอะห์มัด ต็อบรี และบัยฮะกี[190]

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนหนึงคนใดจะต้องไม่รีดนมสัตว์ผู้ใด นอกจากโดยได้รับอนุญาตจากผู้นั้น คนหนึ่งของพวกท่านชอบหรือที่ยุ้งฉางเก็บ ข้าวของของเขาถูกนำมา และมันก็แตกออก อาหารทีอยู่ในนั้นก็หล่นเกลื่อน ความจริงเต้านมสัตว์ ของพวกเขาจะ (เป็นที่) เก็บเสบียงอาหารของพวกเขาไว้ ดังนั้น คนหนึงคนใดจะต้องไม่รีดนม สัตว์ของผู้ใด นอกจากเขาจะอนุญาตให้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี และตัวบทของติรมิซีว่า  เมื่อคนหนึ่งคนใดของพวกท่านไต้มาที่สัตว์ตัวหนึ่ง ดังนั้นถ้าหากมีเจ้าของมันอยู่กับมัน ให้เขาจงขออนุญาตจากเจ้าของเสียก่อน และถ้าหากเขา (เจ้าของ) อนุญาตให้ ก็จงรดนม และจง ดื่มเถิด โดยเขาไม่ต้องรับภาระสิ่งใด และถ้าหากไม่มีเจ้าชองอยู่กับมัน ให้เขาส่งเสียงเรียกสาม ครั้ง อ้าหากมีผู้ใดตอบรับเขา ให้เขาจงขออนุญาตผู้'นั้น และอ้าไม่มีผู้ใดตอบรับให้เขาจงรีดนม และดื่มเลิด โดยเขาไม่ต้องรับภาระสิ่งใด[191]

ของตกที่มักกะห์ และ ของตกของผู้ทำฮัจญ์

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ว่า ความจริงท่านได้กล่าวในการกล่าว สุนทรพจน์ของท่านในโอกาสเข้าพิชิตมักกะห์ว่า ของตกในมักกะห์ไม่อนุมัติแก่ผู้ใด นอกจาก

แก่ผู้ที่จะนำไปประกาศ[192]         

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจาก อับดิรเราะห์มาน บุตร อุสมาน อัตตัยมีย์  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ห้าม (เก็บ) ของตกของผู้ทำฮัจย์                                                            

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

ภาคมรดก พินัยกรรม และ การปล่อยทาส
มีแปดตอน และ บทสุดท้าย

ตอนที่หนึ่ง ส่งเสริมให้สอนวิชาการมรดก และให้มีความยุติธรรมในการแบ่ง เล่าจาก อับดิ้ลลาห์ บุตร อัมร์ บุตร อาส  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า วิชาการมีสาม และสิ่งที่นอกเหนือจากนี้ เป็นส่วนเกิน คือ อายะห์ที่ชี้ชัด หรือ ซุนนะห์ที่มั่นคง หรือ ข้อกำหนดที่ยุติธรรม226                                                         

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และฮากีม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าท่านทั้งหลาย จงศึกษา อัลกุรอาน และ วิชาการมรดก และ นำไปสอนประชาชน เพราะความจริงข้าพเจ้าจะ ต้องถูกเก็บชีวิตไป[193]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และฮากีม

เล่าจาก อันนัวะอฺมาน บุตร บะซีร  ร.ฎ. ไต้กล่าวว่า บิดาของข้าพเจ้าไต้ไปกับข้าพเจ้า โดยนำพาข้าพเจ้าไปหาท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. แล้วกล่าวว่า                                                           โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ โปรดเป็นพยานเกิดว่า ข้าพเจ้าได้ยกให้แก่ อันนัวะอฺมานคนนี้ เท่านั้นเท่านี้ที่เป็นทรัพย์สินของ ข้าพเจ้า[194] ท่านนบีได้กล่าวว่า บุตรของท่านทุกคนไหมที่ท่านได้ยกให้เหมือนคนนี้ บิดาของ ข้าพเจ้ากล่าวว่า ไม่ทุกคน ท่านนบีจึงกล่าวว่า ท่านจงไปหาคนอื่นนอกจากข้าพเจ้าเป็นพยานให้คนนี้เถิด หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า จะทำให้ท่านดีใจไหม การที่พวกเขามาสู่ท่านอย่างเสมอภาคกันในความดี บิดาของข้าพเจ้ากล่าวว่า หามิได้ ท่านได้กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ก็จะไม่เป็นพยาน[195] และในบางรายงานว่า ท่านนั้งหลายจงยำเกรงอัลเลาะห์ และจงยุติธรรมในบรรดาบุตรของพวกท่าน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าท่านทั้งหลายจงแบ่ง ทรัพย์ให้ระหว่างพวกที่มีส่วนได้ที่ถูกกำหนด ตามคัมภีร์ของอัลเลาะห์ตาอาลา230

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด

ข้อห้ามการได้มรดก231

เล่าจาก อุซามะห์ บุตร เซด  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า มุสลิมจะไม่ได้ รับมรดกจากกาฟิร และกาฟิรจะไม่ได้รับมรดกจากมุสลิม232                                                                 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี          และตัวบทของ

เจ้าของสุนันว่า จะไม่มีการรับมรดกซึ่งกันและกันของผู้ที่มีศาสนาต่างกันสองศาสนา233

และ ตัวบทของอะบีดาวูดว่า      พี่องสองคนพิพาทกันไปหายะห์ยา บุตร ยะอฺมัร ทั้งสองเป็นยะฮูดี คนหนึ่ง และเป็นมุสลิมคนหนึ่ง พิพาทกันในมรดกบิดาของคนทั้งสอง และ ยะห์ยาได้ให้มุสลิมเท่านั้นได้มรดก และได้กล่าวว่า อะบุลอัสวัด ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังจากชาย คนหนึ่ง จาก มุอาซ จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า อิสลามจะเพิ่มพูน และจะไม่ลดหย่อน234 

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ฆ่าจะไม่ได้รับมรดก235      

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และดารุกุตนี

ตอนที่สอง มรดกของบุตร237

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า          ท่านนบี  ซ.ล. กับ อะบุบักร์ ได้มาเยี่ยมข้าพเจ้าในตระกูล บะนี ซะละมะห์ ทั้งสองได้เดินมา และได้พบข้าพเจ้าหมดสดิ ท่านได้เรียกหานํ้า และได้อาบนํ้าละหมาด จากนั้นท่านไต้รดนํ้าที่เหลิอลงบนร่างของข้าพเจ้า และต่อมาข้าพเจ้าก็ได้สติ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไรกับทรัพย์สินของข้าพเจ้า โอ้ท่านเราะซูลุลเลาะห์ จึงได้ลงมาว่า อัลเลาะห์ทรงกำชับพวกท่านทั้งหลายในลูกๆ ของพวกท่านว่า สำหรับผู้ชายจะได้เท่ากับส่วนได้ของผู้หญิงสองคน และถ้าหากเป็นหญิงเกินกว่าสองคน พวกนางจะได้เศษสองส่วนสามของสิ่งที่ทิ้งไว้ แต่ถ้าหากเป็นหญิงคนเดียว หล่อนก็จะได้ครึ่งหนึ่ง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (ญาบิร) ได้กล่าวว่า ภรรยาของสะอัด บุตร รอเบียะอฺ พร้อมด้วยบุตรสาวสองคนของนางที่เกิดจากสะอัดได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่าน รอซูลุลเลาะห์ สองคนนี้เป็นบุตรสาวของสะอัด บุตร รอเบียะอฺ สิ่งบิดาของเขาทั้งสองถูกฆ่า ขณะร่วมอยู่กับท่านในวันอุฮุด เป็นนักรบชะฮีด และความจริงลุงของเขาทั้งสองได้เอาทรัพย์ ของคนทั้งสองไปโดยไปทิ้งทรัพย์ใดๆ ได้ให้คนทั้งสองเลย และทั้งสองก็จะไม่ได้แต่งงาน นอก จากเขาทั้งสองจะต้องมีทรัพย์[196] ท่านนบีได้กล่าวว่า อัลเลาะห์จะตัดสินในเรื่องนี้ ต่อมา อายะห์ ในเรื่องมรดกก็ได้ลงมาว่า อัลเลาะห์ทรงกำชับพวกท่านทั้งหลายในลูกๆ ของพวกท่าน[197] และ ต่อมาท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ส่งผู้แทนไปหาลุงของเขาทั้งสองแล้วกล่าวว่า ท่านจงมอบเศษสองส่วนสามให้บุตรสาวสองคนของสะอัด และจงมอบให้มารดาของเขาทั้งสองเศษหนึ่ง ส่วนแปด และส่วนที่เหลือตกเป็นของท่าน[198]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี ถือเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก ฮุซัยล์ บุตร ซูรอห์บีล  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะบุมูชา ได้ลูกถามถึง บุตรสาวลูกสาวของบุตรชาย และพี่หรือน้องสาว เขาได้ตอบว่า                                                               ลูกสาวจะได้เศษหนึ่งส่วนสอง พี่หรือน้องสาวจะได้เศษหนึ่งส่วนสอง[199] และท่านจงไปหา อิบนุ มัสอูด เขาก็จะต้องตอบตามข้าพเจ้า จึงได้มีผู้ไปถาม อิบนุ มัสอูด และได้ถูกบอกเช่นเดียวกับคำพูดของ อะบูมูซา ต่อมา เขา (อิบนุ มัสอูด) ได้กล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าหลงผิดแล้ว ถ้าเช่นนั้น และข้าพเจ้าก็ไม่ได้เป็น

คนที่ได้รับการนำ247 แต่ข้าพเจ้าจะตัดสินในเรื่องนี้ด้วยสิ่งที่ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ตัดสิน ให้แก่บุตรสาว เศษหนึ่งส่วนสอง และลูกสาวของลูกผู้ชายได้ เศษหนึ่งส่วนหก เพื่อให้ครบ เศษสองส่วนสาม และส่วนที่เหลือตกเป็นของพี่หรือน้องสาว244 ต่อมาพวกเราจึงได้พากันมาหา อะบีมูชา และได้เล่าให้เขาฟังตามคำพูดของอิบนุ มัสอูด อะบูมูซาได้กล่าวว่า พวกท่านจงอย่า ถามข้าพเจ้าตราบทีปรมาจารย์อยู่กับพวกท่าน                                    

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ริบนิอุมัร  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ชายคนหนึ่งได้สาปส่งภรรยาของเขา ในสมัยท่าน นบี  ซ.ล. และลูกที่เกิดจากนางก็ได้รับการปฏิเสธ ท่านนบี  ซ.ล. จึงได้แยกทางระหว่างเขา ทั้งสอง และได้ให้ลูกตามแม่245         

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด และตัวบทของอะบีดาวูด

ว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กำหนดให้มรดกของลูกของผู้หญิงที่ลูกสาปส่ง ว่าตกเป็น ของแม่ของมัน และของทายาทของแม่ ภายหลังจากแม่246

และตัวบทของติรมีซีว่า ผู้ชายคนใดที่ละเมิดประเวณี (ซินา) กับหญิงที่เป็นเสรีชน หรือ ทาสหญิง ลูกที่เกิดเป็นลูกนอกกฎหมาย (ซินา) จะไม่ได้มรดก และจะไม่ถูกรับมรดก247 

อะบุ้ล อัสวัด บุตร ยะซีด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มุอาช บุตร ยะบั้ล ได้มาหาพวกเราที่ ยะมัน ในฐานะเป็นผู้สอน (ศาสนา) และเป็นผู้นำ (อะมีร) พวกเราได้ถามเขาเกี่ยวกับ ชาย คนหนึ่งที่เสียชีวิตไปโดยทิ้งบุตรสาวของเขาและพีหรือน้องสาวของเขาไว้ เขาได้มอบให้แก่ บุตร สาว เศษหนึ่งส่วนสอง และแก่พี่หรือน้องสาว เศษหนึ่งส่วนสอง248        

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

และอะบูดาวูดได้รายงานเพิ่มเติมว่า โดยที่นบีของอัลเลาะห์ในวันนั้นยังมีชีวิตอยู่ [200]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมือเด็กทารกส่ง เสียงร้องก็จะได้รับมรดภ[201]    

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และอิบนิ ฮิบบาน และถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

การได้มรดกของบิดามารดา และ อะซอบะห์

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “และสำหรับบิดามารดาของผู้ตายนั้น แต่ละคนจากทั้ง สองจะได้รับเศษหนึ่งส่วนหกของสิ่งที่ผู้ตายทิ้งไว้ ถ้าหากเขา (ผู้ตาย) มีบุตร และถ้าหากเขาไม่ มีบุตร และมีเพียงบิดามารดารับมรดกจากเขา มารดาของเขาก็จะได้ เศษหนึ่งส่วนสาม และ ถ้าหากเขามีพี่น้องหลายคน มารดาของเขาก็จะได้ เศษหนึ่งส่วนหก”[202]

อิบนุ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ทรัพย์สินนั้นเคยตกเป็นของบุตรชาย และพินัยกรรม เคยตกเป็นของบิดามารดา                                        ต่อมา อัลเลาะห์ได้ยกเลิกจากการดังกล่าว สิ่งที่พระองค์ทรงพอพระทัย และพระองค์ได้กำหนดให้แก่ (ลูกที่เป็น) เพศชายได้เท่ากับส่วนได้ของ (ลูกที่เป็น) เพศหญิงสองคน และได้กำหนดให้แก่บิดามารดา โดยให้แต่ละคนได้รับเศษหนึ่งส่วนหก และ ได้กำหนดให้ภรรยาได้รับเศษหนึ่งส่วนแปด และเศษหนึ่งส่วนสี่ และให้สามีได้รับครึ่งหนึ่ง และเศษหนึ่งส่วนสี่[203]                      

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลาย จงนำส่วนได้ที่ถูกกำหนดไปมอบให้แก่ผู้มีสิทธิของมัน ดังนั้นสิ่งที่เหลือก็จะตกเป็นของทายาททีเป็นชายที่มี สิทธิมากที่สุด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี 

ตอนที่สาม

การได้มรดกของพี่หรือน้องสาว และ กะลาละห[204] 

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า          “และถ้ามีชาย หรือหญิงผู้หนึ่ง ทิ้งมรดกไว้ ในสภาพกะลาละห์ และเขามีพี่น้องผู้ชายหรือผู้หญิง ดังนั้น แต่ละคนจากทั้งสอง จะได้เศษหนึ่งส่วนหก และถ้าหากพวกเขามีมากกว่านั้น พวกเขาก็ร่วมกันในเศษหนึ่งส่วนสาม”

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า               ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้เข้ามาหาข้าพเจ้าขณะที่ข้าพเจ้ากำลังป่วย ไม่รู้สึกตัว ท่านได้อาบนํ้าละหมาด และต่อมาพวกเขาได้เอานํ้าที่เหลือ จากที่ท่านอาบนํ้าละหมาดมารดข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงรู้สึกตัว แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริงที่จะได้รับมรดกของข้าพเจ้า คือ กะลาละห์ จึงได้ลงมาว่า “พวกเขาจะขอคำชี้แจง จากท่าน ท่านจงกล่าวว่า อัลเลาะห์ จะทรงชี้แจงในเรื่องกะลาละห”[205] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี 

อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ย้อนถามท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ในสิ่งใดเหมือนกับ กะลาละห์ และท่านนบีก็ไม่เคยทำรุนแรงกับข้าพเจ้าในสิ่งใด นอกจากในเรื่องนี้ จนถึงขนาดที่ท่านใช้นี้วของท่านทิ่มที่หน้าอกของข้าพเจ้า แล้วกล่าวว่า โอ้ อุมัร ยังไม่พอแก่ ท่านอีกหรือ อายะห์ที่ลงในฤดูร้อน อยู่ในซูเราะห์อันนิซาอ[206]    

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

และได้มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี  ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ พวกเราจะขอให้ท่านอธิบายในเรื่องกะลาละห์ว่า กะลาละห์ คืออะไรท่านตอบว่า พอแก่ท่านแล้วอายะห์ที่ได้ลงมาในฤดูร้อน ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่อะบี อิสหากว่า คือคนที่เสียชีวิต โดยไม่ได้ทิ้ง ลูก และไม่ได้ทิ้งพ่อ (หรือ)                                    เขาตอบว่าเช่นนั้นแหละที่พวกเขาคาดหมายกัน[207] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก อะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริง พวกท่านอ่านอายะห์นี้คือ ภายหลังจาก (ได้จัดการตาม) พินัยกรรมที่พวกท่านได้สั่งเสียมันไว้ หรือ (ภายหลัง) จากหนี้สิน และแท้จริง ท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ได้ชำระหนี้สินก่อนจัดการกับพินัยกรรม[208] และแท้จริง พี่น้องร่วม (บิดา) มารดาเดียวกันนั้น จะได้รับมรดกจากกันและกัน โดยพี่น้องต่างมารดาจะไม่ได้ ชายคน หนึ่งจะได้มรดกพี่หรือน้องชายของเขาที่ร่วมบิดามารดาเดียวกันกับเขา โดยพี่หรือน้องของเขาที่ ร่วมบิดาเดียวกันกับเขาจะไม่ได้[209]           

รายงานหะดีษโดยติรมิซี[210]อะห์มัด และฮากีม

ตอนที่สี่

การได้มรดกของสามีภรรยา

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “และพวกท่านจะได้ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่คู่ครองของพวกท่านทิ้งไว้ ถ้าหากไม่ปรากฏว่า พวกนาง (ภรรยา) นั้นมีบุตร และถ้าหากพวกนางมีบุตร พวกท่านก็ จะได้รับเศษหนึ่งส่วนสี่จากสิ่งที่พวกนางได้ทิ้งไว้ ภายหลังจากพินัยกรรม ที่พวกนางได้สั่งเสียไว้ หรือหนี้สิน และพวกนางมีสิทธิได้รับเศษหนึ่งส่วนสี่จากสิ่งที่พวกท่านทิ้งไว้ ถ้าหากพวกท่าน ไม่มีบุตร และถ้าหากพวกท่านมีบุตร พวกนางก็มีสิทธิได้รับเศษหนึ่งส่วนแปด จากสิ่งที่พวก ท่านได้ทิ้งไว้ ภายหลังจากพินัยกรรมที่พวกท่านสั่งเสียไว้ หรือหนี้สิน”[211]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ตัดสิน ในเรื่องทารกที่อผู่ในท้องของหญิงคนหนึ่ง จากตระกูล บะนี ละห์ยาน ที่แท้งออกมาเสียชีวิต ว่าต้องจ่ายฆุรเราะห์ คือ ทาสชาย หรือทาสหญิง หนึ่งคน ต่อมา ผู้หญิงที่ได้ตัดสินว่า ให้หล่อน ได้ฆุรเราะห์นั้นเสียชีวิตลง ท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. จึงได้ตัดสินว่า มรดกของหล่อน ตกเป็น ของลูกชายของหล่อน และเป็นของสามีของหล่อน และแท้จริงดียะห์นั้น ตกหนักอยู่กับ บรรดาทายาท ที่ได้รับมรดก ส่วนที่ไม่มีกำหนดตายตัวของหล่อน (คือของหญิงที่เป็นอาชญากร)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก สะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ติยะห์ จะตกเป็นของ บรรดาผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดกส่วนที่ไม่มีกำหนดตายตัว                                                                       และผู้หญิงจะไม่ได้รับมรดกจากติยะห์ของสามีนางแต่อย่างใด จนกระทั่ง ดอห์หาก บุตร ชุฟยาน ได้กล่าวแก่เขา (อุมัร) ว่า ท่าน รอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ได้มีสาส์นมาถึงข้าพเจ้าแจ้งว่า ท่านจงให้ภรรยาของ อัชยัม อัดดอบบาปีย์ รับมรดกจาก ติยะห์ สามีของนางเกิด ต่อมา อุมัร  ร.ฎ. จึงได้คืนคำ[212]          

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

ตอนที่ห้า

มรดกของ ปู ย่า ยาย[213]

เล่าจาก อิมรอน บุตร ฮุชอยน์  ร.ฎ. ว่า แท้จริงชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. แลัวกล่าว'ว่า แท้จริง หลานชายที่เกิดจากลูกชายของข้าพเจ้าได้เสียชีวิตลง ข้าพเจ้าจะได้รับอะไรบ้าง จากกองมรดกของเขา ท่านนบีได้ตอบว่า ท่านจะได้เศษหนึ่งส่วนหก เมื่อเขาหันหลังกลับไปแล้ว ท่านได้เรียกเขามาอีก แล้วกล่าวว่า และท่านจะได้อีกเศษหนึ่งส่วนหก และ เมื่อเขาหันกลับไปแลัว ท่านได้เรียกเขามาแลัวกล่าวว่า แท้จริงอีกเศษหนึ่งส่วนหกนั้นเป็นลาภ ของท่าน[214]    

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อัลหะซัน  ร.ฎ. ว่า แท้จริง อุมัรได้กล่าวว่า ใครบ้างจากพวทท่านที่รู้สิ่งที่ ท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ได้ให้ผู้เป็นป ได้รับมรดก มะอฺกิ้ล บุตร ยะชาร ได้กล่าวว่าข้าพเจ้า รู้ ท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ให้เขาได้มรดกเศษหนึ่งส่วนหก อุมัรถามว่า มีใครร่วมกับเขาบ้าง เขา (มะอฺกิ้ล) ตอบว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ อุมัรกล่าวว่า ท่านไม่รู้ ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ยังไม่ได้ให้ คำตอบที่พอเพียง         

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

สุลัยมาน บุตร ยะชาร ได้กล่าวว่า อุมัร อุสมาน และเซด บุตร ชาบิต ได้กำหนด ให้แก่ปู่ ร่วมกับพี่น้อง เศษหนึ่งส่วนสาม[215] 

รายงานหะดีษโดยมาลิก

เล่าจาก กอบีเซาะห์ บุตร ชุอัยบ์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ย่า ได้มาหาอะบี บักร์  ร.ฎ. ดามเขาถึงสิทธิของหล่อนในกองมรดก อะบู บักร์ตอบว่า                                                                                    ในคัมภีร์ของอัลเลาะห์ไม่ใต้ระบุสิ่งใด ให้แก่เธอเลย และข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าในซุนนะห์ของนบีของอัลเลาะห์  ซ.ล. ได้กำหนดสิ่งใด ไว้ให้กับเธอ ตังนั้นเธอจงกลับไปเถิด จนกว่าข้าพเจ้าจะได้ถามประชาชน และต่อมาเขาได้ถาม (ประชาชน) มุฆีเราะห์ บุตร ชัวะอฺบะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้อยู่ที่ท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ท่านได้ให้แก่ผู้เป็นย่า เศษหนึ่งส่วนหก อะบู บักร์ได้กล่าวว่า คนอื่นอยู่พร้อมกับท่านมีไหม

มุฮำหมัด บุตร มัชละมะห์ ได้ลุกขื้นยืนแล้วกล่าวเหมือนกันกับคำพูดของเขา (มุฆีเราะห์) อะบู บักร์ ร.ฎ. จึงได้จัดมัน (เศษหนึ่งส่วนหก) มอบให้หล่อน ต่อมาภายหลัง ได้มี ยาย อีก คนหนึ่งมาหาอุมัร  ร.ฎ. ขอรับมรดกของหล่อนจากเขา อุมัรได้กล่าวว่า เธอไม่มีสิทธิได้รับ สิ่งใดตามคัมภีร์ของอัลเลาะห์ และไม่เคยมีการตัดสินที่ได้ถูกตัดสินไปแลัว นอกจากเป็นสิทธิ ของคนอื่นจากเธอ และข้าพเจ้าจะไม่เพิ่มเติมสิ่งใดเข้าไปในส่วนได้ต่างๆ ที่ได้ถูกกำหนดได้แล้ว แต่มันคือ เศษหนึ่งส่วนหก นะเธอ ดังนั้น ถ้าหากเธอทั้งสองร่วมกันในเศษหนึ่งส่วนหก มัน ก็ตกอยู่ระหว่างเธอสองคน และผู้ใดจากเธอทั้งสอง มีเพียงลำพัง มันก็เป็นกรรมสิทธิของเขา (เพียงผู้เดียว)[216]                

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก บุรอยดะห์  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านนบี  ซ.ล. ได้กำหนดให้แก่ยาย เศษหนึ่งส่วนหก เมื่อไม่มีนอกจากยายนั้น แม่ (ของผู้ตาย)[217]                                                                       

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

บทที่หก 1096

การรับมรดก ด้วยสิทธิ วะลาอ[218]

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า สิทธิ วะลาอฺ เป็นของผู้จ่าย ราคา และเป็นเจ้าของความโปรดปราน[219]                                                                   

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และตัวบทของบุคอรีว่าทาสของพวกหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพวกนั้น หรือ คลัายกับท่านนบีได้กล่าวอย่างนั้น [220]

เล่าจาก วาชีละห์ บุตร อัชเกาะอุ  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้หญิงจะได้รับมรดกทั้งหมดสามกองมรดก คือมรดกของทาสที่หล่อนได้ปลดปล่อยไป มรดกของเด็กที่หล่อนเก็บมาเลี้ยง และมรดกลูกของหล่อน ซึ่งหล่อนได้ ลิอาน (กันกับสามี) เพราะลูกคนนั้น

อิบนุ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งเสียชีวิตลงไปโดยไม่ได้ทิ้งทายาทไว้ นอกจากทาสคนหนึ่งที่เขาได้ปลดปล่อยไป ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า มีใครเป็นทายาทของเขาบ้าง พวกเขาได้กล่าวว่า        ไม่มี นอกจากทาสคนหนึ่งที่ชายผู้นั้นได้เคยปลดปล่อยเป็นอิสระ ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ให้มรดกของชายผู้นั้นแก่ทาสที่เขาได้ปลดปล่อยไปนั้น[221] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยอะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อัมร์ บุตร ชุอัยบ์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา  ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะได้รับสิทธิในเรื่อง วะลาอ ตกทอดไป คือ ผู้ที่จะได้รับมรดกใน ทรัพย์สิน272   

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ดออีฟ

การให้เครือญาติได้รับมรดก 273

อิบนุ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าว (ในคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลา) ว่า“และบรรดาผู้ที่การสาบานของพวกท่านได้เกิดเป็นพันธะขึ้น ดังนั้น พวกท่านจงมอบส่วนของพวกเขาให้แก่พวกเขาเถิด” ชายคนหนึ่งเคยสาบานร่วมกับชายอีกคนหนึ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางวงศ์ตระกูล กันในระหว่างคนทั้งสองนั้น และต่อมาคนหนึ่งจากทั้งสองก็ให้อีกคนหนึ่งได้รับมรดก และการ เช่นนั้นต่อมาได้ลูกยกเลิกไป ด้วยคำดำรัสของพระองค์ว่า ” และบรรดาผู้เป็นเครือญาตินั้น บางคนของพวกเขาใกล้ชิดกับบางคน ตามที่ปรากฏในคัมภีร์ของอัลเลาะห์”[222]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และดารุกุตนี

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ลูกผู้ชายของพี่หรือน้องสาวของ พวกหนึ่งนั้น เป็นส่วนหนึ่งของพวกนั้นหรือเป็นส่วนหนึ่งของตัวพวกเขา[223] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจาก มิกดาม อัลกันดีย์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ ดูแลผู้มีศรัทธาทุกคนยิ่งกว่าตัวของเขาเอง ดังนั้น ผู้ใดทิ้งหนี้สิน หรือครอบครัวไว้ ก็เป็นหน้าที่ ของข้าพเจ้า[224] และผู้ใดทิ้งทรัพย์สินไว้ ก็ตกเป็นของทายาทเขา และข้าพเจ้าเป็นผู้ปกครองของผู้ที่ไม่มีผู้ปกครอง ข้าพเข้าจะรับมรดกทรัพย์สินของเขา และข้าพเข้าจะไถ่เชลยของเขา[225] และพี่หรือน้องผู้ชายของแม่ เป็นผู้ปกครองของผู้ที่ไม่มีผู้ปกครอง เขาจะได้มรดกทรัพย์สันของคนที่ ไม่มีผู้ปกครอง และจะไถ่เชลยของเขา   

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด บุคอรี มุสลิม และติรมิซี ตัวบท

ของติรมีซีว่า อัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ เป็นผู้ปกครองของผู้ที่ไม่มีผู้ปกครอง และ พี่หรือน้องผู้ชายของแม่จะ เป็นทายาทของผู้ที่ไม่มีทายาท[226]

เล่าจาก ตะมีม อัดดารีย์ ร.ฎ. ว่า ความจริงเขาได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซุนนะห์คืออย่างไร ในชายคนหนึ่งที่เขาเข้านับถืออิสลามโดยนํ้ามือของชายผู้หนึ่งจากมวลมุสลิม ท่านได้กล่าวว่า  เขามีสิทธิยิ่งในหมู่มนุษย์ ทั้งขณะเขามีชีวิตอยู่ และตายไป[227] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะอิชะห์  ร.ฎ. ว่า แท้จริงทาส (ที่ปล่อยแล้ว)ของท่านนบี  ซ.ล.ได้เสีย ชีวิตลง และได้ทิ้งสิ่งหนึ่งไว้ โดยเขาไม่ได้ทิ้งบุตร และเพื่อนสนิทไว้ ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ที่นี่มีใครสักคนไหมที่มาจากแผ่นดินเดียวกับเขา พวกเขาตอบว่า มีครับ ท่านนบีได้กล่าวว่า พวกท่านจงให้มรดกของเขา แก่คนๆ นั้นเถิด[228]   

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี ถือว่าเปป็นหะดีษที่หะซัน

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ทุกการแบ่งที่ได้ลูกแบ่งไปแล้วในสมัยญาฮิลียะห์ ให้ถือว่ามันเป็นไปตามที่ได้ลูกแบ่งไปแล้ว และทุกการแบ่งทีอิสลามตามมาทัน ความจริงมันต้อง แบ่งตามอิสลาม[229] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุ มาญะห์

ทรัพย์ของท่านนบี (ช.อ.) ตกเป็นของประชากรของท่าน

เล่าจาก อัมร์ บุตร อัลฮาริษ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลัลเลาะห  ซ.ล. ไม่ได้ทิ้ง เหรียญเงิน ไม่ได้ทิ้งเหรียญทอง ไม่ได้ทิ้งทาสชาย ไม่ได้ทิ้งทาสหญิง และไม่ได้ทิ้งแกะไว้ขณะ ท่านเสียๆ ชีวิต นอกจากล่อของท่านสีขาว อาวุธของท่านและแผ่นดินที่ท่านได้กำหนดมันได้เป็น ทานซอดาเกาะห[230]         

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริง ฟาติมะห์ และ อัลอับบาส ได้

มาหา อะบู บักร์ ขอมรดกของเขาทั้งสองจากท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. เขาทั้งสองขอแผ่นดิน ของเขาทั้งสองที่ฟะดัก และส่วนได้ของเขาทั้งสองจากคอยบัร อะบูปักร์ได้กล่าวแก่คนทั้งสอง ว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. กล่าวว่า เราจะไม่ถูกรับมรดก สิ่งที่เราได้ทิ้งไว้ ตกเป็นทานซอดาเกาะห์ ความจริงวงศ์วานของมุฮำหมัดจะได้กินจากทรัพย์นี้285 สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้าจะไม่ทิ้งสิ่งใด ที่ข้าพเจ้าได้เห็นท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ทำมันในสิ่งนั้น นอกจาก ข้าพเจ้าจะด้องกระทำมัน ผู้เล่าได้กล่าวว่า ฟาติมะห์ เลิกพูดกับ อะบู บักร์ และไม่ได้พูดกับเขาจนเสียขีวิต และในบางรายงานว่า ทายาทของข้าพเจ้าจะไม่ได้รับส่วนแบ่งเป็นเหรียญทอง สิ่งที่ข้าพเจ้าทิ้งได้ หลังจากหักเป็นค่าเลี้ยงดูภรรยาของข้าพเจ้า และค่าใช้จ่ายคนงานของข้าพเจ้าแลัว มันเป็นทานซอดาเกาะห์  

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ตอนที่เจ็ด

พินัยกรรม[231]

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่สมควรแก่คนมุสลิม คนใดที่มีสิ่งหนึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ ซึ่งสิ่งนั้นทำพินัยกรรมได้ ที่เขาจะนอนไปสองคืน นอกเสียจากพินัยกรรมของเขาได้ลูกเขียนได้ที่เขาแลัว[232] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ไม่ได้ทิ้งเหรียญทอง ไม่ได้ทิ้งเหรียญเงิน ไม่ได้ทิ้งแกะ ไม่ได้ทิ้งอูฐไว้ และท่านไม่ได้ทำพินัยกรรมสิ่งใดๆ เลย 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริง ชายคนหนึ่ง จะทำงาน หรือ ผู้หญิงคนหนึ่ง (จะทำงาน) ด้วยการภักดีต่ออัลเลาะห์ ตะอาลาเป็นเวลาหกสิบปี หลังจากนั้นความตายได้มาสู่คนทั้งสอง และเขาทั้งสองทำความเดือดร้อนในเรื่องพินัยกรรม ไฟนรกจะต้องเป็นของเขาทั้งสองอย่างแน่นอน[233] และ อะบุฮุรอยเราะห์ได้อ่าน“ภายหลังจากพินัยกรรมที่ลูกสั่งเสียไว้ หรือหนี้สิน โดยไม่ทำความดือดร้อน”

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

การทะพินัยกรรมหนึ่งในสาม 1101

เล่าจาก สะอัด บุตร อะบี วักกอส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าป่วยในปีที่พิชิตมักกะห์ เป็นการป่วยที่ข้าพเจ้าเกือบเสียชีวิตจากอาการป่วยนี้ ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้มาเยี่ยม ข้าพเจ้า, และข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริงข้าพเจ้ามีทรัพย์สินมากมาย และไม่มีใครจะได้รับมรดกจากข้าพเจ้า นอกจากบุตรสาวของข้าพเจ้าเท่านั้น ดังนั้น ข้าพเจ้า จะทำพินัยกรรมทรัพย์สินของข้าพเจ้าทั้งหมดไหม ท่านนบีได้กล่าวว่า ไม่ ข้าพเจ้าได้

กล่าวว่า    เศษสองส่วนสามทรัพย์ของข้าพเจ้า ท่านกล่าวว่า ไม่ ข้าพเจ้ากล่าวว่า ครึ่งหนึ่ง ท่านกล่าวว่า ไม่ ข้าพเจ้ากล่าวว่า เศษหนึ่งส่วนสาม ท่านกล่าวว่า เศษหนึ่งส่วนสามได้ แต่เศษหนึ่งส่วนสามก็มากแล้ว ความจริงการที่จะทิ้งทายาทของท่านให้เป็นคนรํ่ารวยย่อมดี ยิ่งกว่า การที่ท่านจะทิ้งเขาไร้เป็นคนยากจน แบมีอขอผู้คน และแท้จริงท่านจะไม่ได้ใช้จ่ายใดๆ นอกจากท่านจะได้ผลบุญในการใช้จ่ายนั้น จนแม้แต่อาหารคำหนึ่งที่ท่านยื่นมันขึ้นไปยังปาก ภรรยาของท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะต้องร่นการอพยพของ ข้าพเจ้าหรือท่านนบีไต้กล่าวว่า ความจริงท่านจะไม่ลูกปล่อยไว้ให้มีชีวิตอยู่ หลังจากข้าพเจ้า

ได้จากไป และท่านได้ทำงานชิ้นหนึ่งชิ้นใด โดยท่านมุ่งสู่อัลเลาะห์ นอกจากท่านจะได้รับ ความเพิ่มเติมให้สูงขึ้น และมีขั้นเพิ่มขึ้น[234] และหวังว่าท่านจะอยู่ต่อไปจนมีคนหลายพวกได้ ประโยชน์เพราะท่าน และอีกหลายพวกได้รับภัยอันตรายเพราะท่าน[235] ข้าแต่อัลเลาะห์  ได้ โปรดให้อัครสาวกของข้าพเจ้าลุล่วงไปในการอพยพของพวกเขา และขอพระองค์ท่านอย่าให้ พวกเขาถอยหลัง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิมรอน บุตร ฮุซอยน์  ร.ฎ. ว่า แท้จริงชายคนหนึ่งได้ปลดปล่อยทาสหกคน ของเขาให้เป็นอิสระ ขณะเขาใกลัตาย โดยที่เขาไม่มีทรัพย์อื่นนอกจากทาสพวกนั้น ต่อมาท่าน นบี  ซ.ล. ได้เรียกพวกทาสมา แลัวแบ่งพวกเขาออกเป็นสามส่วน หลังจากนั้นก็ให้พวกเขา จับสลากกันระหว่างพวกเขา และท่านนบีได้ปลดปล่อยไปสองคน และยังให้คงเป็นทาสอยู่ ต่อไปอีกสี่คน และท่านนบีได้ใข้คำพูดรุนแรงกับเขา[236]                                                   

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

ไม่มีการทำพินัยกรรม ให้ผู้ที่เป็นทายาท

เล่าจาก อะบีอุมามะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไต้ยินท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. กล่าวในคำสุนทรพจน์ของท่านในปีแห่งฮัจย์อำลาว่า แท้จริงอัลเลาะห์ได้มอบให้แก่ทุกผู้ที่มี สิทธํ่ นึ่งสิทธิ๋ของเขาดังนั้นจะไม่มีการทำพินัยกรรม ให้แก่ผู้ที่เป็นทายาท[237] ลูกต้องเป็น (ของผู้เป็นเจ้า) ของที่นอน และผู้ละเมิดประเวณีต้องไต้ก้อนหิน และการสอบสวนพวกเขา เป็นหน้าที่ของอัลเลาะห[238] และผู้ใดที่ทึกทักเอาบุคคลอื่นเป็นบิดาของเขา หรือ (ทาสที่) อ้าง ความผูกพันกับผู้อื่นจากผู้เป็นนายของตน เขาจะประสพกับการสาปแช่งของอัลเลาะห์ต่อเนื่อง จนถึงวันกิยามะห์ และผู้หญิงคนหนึ่งจะต้องไม่ใช้จ่าย (สิ่งใด) จากบ้านสามีของนาง นอกจาก จะไต้รับอนุญาตจากสามี มีผู้ถามว่า โอ้ ท่านรอซูลัลเลาะห์ และอาหารก็ไม่ไต้หรือ ท่าน

ตอบว่า นั่นเป็นทรัพย์สินที่ประเสริฐสุดของพวกเรา             

รายงานหะดีษโดยติรมิซี และเพื่อนทั้งสองของเขา

ผู้ดูแล จะกินทรัพย์ของเด็กกำพร้าได้ด้วยดี294

อัลเลาะห์ตาอา.ลา ได้ตรัสว่า “แท้จริง บรรดาผู้ที่กินทรัพย์ของเด็กกำพร้า โดยทุจริตความจริงเท่ากับพวกเขากินไฟลงไปในท้องของพวกเขา และพวกเขาจะต้องเข้าสู่ขุมนรกที่ลุกโพลง”[239] 

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ไต้กล่าวว่า “และผู้ใดร่ำรวย ให้เขาจงรักษาตัว และผู้ใดยากจน ให้เขาจงกินด้วยความเป็นธรรม” ได้ลูกประทานลงมาในผู้ที่เป็นผู้ดูแลเด็กกำพร้าที่ เขาเอาทรัพย์ของเด็กกำพร้า เมื่อเขามีความต้องการ ตามขนาดของทรัพย์เด็กกำพร้านั้น ด้วย ความเป็นธรรม[240] 

รายงานหะดีษโดยบุคอรี

เล่าจาก อัมร์ บุตร ชุอัยบ์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา  ร.ฎ. ว่า ชายคนหนึ่ง ได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า แท้จริง ข้าพเจ้าเป็นคนยากจน ข้าพเจ้าไม่มีทรัพย์สิน ใด ๆ เลย และข้าพเจ้ามีเด็กกำพร้าต้องดูแล ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านจงกิน จากทรัพย์เด็ก กำพร้าของท่าน โดยไม่ฟุมเฟือย โดยไม่รีบร้อน และโดยไม่สะสมไว้เอาเสียเอง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อะบีซัรร์  ร.ฎ. ไต้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ไต้กล่าวแก่ข้าพเจ้า ว่า โอ้ อะบีซัรร์     ความจริงข้าพเจ้าเห็นว่าท่านเป็นคนอ่อนแอ และข้าพเจ้าก็ปรารถนาจะให้ท่านได้ในสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาได้มันเอง ตังนั้นท่านอย่า (เป็นผู้นำ) ปกครองแม้คนเพียงสองคน และท่านอย่าปกครองดูแลทรัพย์ของเด็กกำพร้า[241]       

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

ไม่มีการเป็นกำพร้าภายหลังจากบรรลุศาสนภาวะ[242]

เล่าจาก อะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้จดจำมาจากท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ว่า ไม่มีการเป็นกำพร้าภายหลังจากบรรลุศาสนภาวะ และไม่มีการนิ่งเงียบในเวลากลางวัน จนถึงกลางคืน [243] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าถูกนำตัวไปหาท่านนบี  ซ.ล. เพื่อรับ การตรวจในกองทหาร ขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นเด็กอายุ สิบสี่ปี ท่านนบีไม่รับข้าพเจ้า ต่อมาข้าพเจ้า ได้ถูกนำไปรับการตรวจอีกในคราวหน้าในกองทหาร ขณะนั้นข้าพเจ้าอายุ สิบห้าปี ท่านนบีได้ รับข้าพเจ้า

นาฟิอฺ ได้กล่าวว่า และข้าพเจ้าได้นำหะดีษนี้ไปเล่าให้ อุมัร บุตร อับดุลอะซีซฟัง

ต่อมาเขาได้กล่าวว่า นี่คือ เขตกำหนดระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ และในบางรายงานว่า นี่คือ เขตกำหนดระหว่างเด็กกับนักรบ[244] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะตียะห์ อัลกุรอดีย์ (เผ่ากุรอยเดาะห์) ได้กล่าวว่า พวกเราได้ถูกนำมาให้ ท่านนบี  ซ.ล. ตรวจในวัน (สงครามกับบะนี) กุรอยเดาะห์ ได้ปรากฏว่า ผู้ใดที่ขนใต้ร่มผ้างอก เขาจะต้องลูกฆ่า และผู้ใดที่ขน (ใต้ร่มผ้า) ยังไม่งอก ก็จะถูกปล่อยตัวไป ส่วนข้าพเจ้าเป็น บุคคลที่ขน (ใต้ร่มผ้า) ยังไม่งอก ข้าพเจ้าจึงลูกปล่อยตัว      

รายงานโดย ติรมิซี ในเรื่องจริยวัตร

และน่าชาอีในเรื่อง การหย่าร้างของเด็ก โดยใช้คำว่า ดังนั้นผู้ใดทีบรรลุศาสนภาวะ หรือขนใต้ร่มผ้าของเขางอกแลัว ก็จะต้องลูกฆ่า และผู้ใดทียังไม่เป็นเช่นนั้นก็จะถูกปล่อยตัวไป

ตอนที่แปด
การปล่อยทาส 1104

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “ความจริงเขาไม่ได้บุกบั่นสู่ช่องทางอันยากลำบาก และอะไรเล่าที่บอกให้ท่านทราบว่า อะไรคือ ช่องทางอันยากลำบาก นั่นคือ การปล่อยทาส หรือ ให้อาหารในวันที่มีความอดอยาก แก่เด็กกำพร้าที่เป็นญาติสนิท หรือ คนยากจนที่อยู่กับดิน”

เล่าจาก สะอีด บุตร มัรยานะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะบู ฮุรอยเราะห์ ได้กล่าวแก่ ข้าพเจ้าว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชายคนใดที่ได้ปลดปล่อยคนมุสลิมให้เป็นอิสระ อัลเลาะห์จะช่วยให้เขาหลุดพ้นด้วยทุกๆ อวัยวะของเขา (ทาส) แลกกับอวัยวะหนึ่งของเขา (ผู้ปลดปล่อย) จากไฟนรก สะอีดได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้เดินทางไปหาอะลี บุตร ฮุซัยน์ (ร.ด.-) ข้าพเจ้าได้ เล่าให้เขาฟัง เขาได้มุ่งไปที่ทาสคนหนึ่งของเขาที่อับดุลเลาะห์ บุตร ยะอฺฟัร ได้ให้ (ราคา) แก่เขาด้วยทาสคนนี้ถึงหนึ่งหมื่นดิรฮัม หรือหนึ่งพันตีนาร และเขาก็ได้ปลดปล่อยทาสคนนั้น เป็นอิสระ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี และตัวบทของมุสลิม และติรมีซีว่าผู้ใด ปลดปล่อยทาสที่มีศรัทธาคนหนึ่ง อัลเลาะห์จะทรงปลดปล่อยด้วยทุกอวัยวะของเขา แลกกับ อวัยวะหนึ่งของเขา (ผู้ปลดปล่อย) จากไฟนรก จนแม้กระทั่งพระองค์จะปลดปล่อยอวัยวะเพศ ของเขาแลกกับอวัยวะเพศของเขา (ทาส)

เล่าจาก อะบีซัรร์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ถามท่านนบี ซ.ล. ว่า การกระทำ ใดประเสริฐที่สุด          ท่านตอบว่า การศรัทธาต่ออัลเลาะห์ การญิฮาดในวิถีทางของพระองค์ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า (การปลดปล่อย) ทาสใดดีที่สุด ท่านตอบว่า ทาสที่มีราคาแพงที่สุด และมีค่าที่สุดสำหรับผู้เป็นเจ้าของมัน ข้าพเจ้ากล่าวว่า ถ้าหากข้าพเจ้าไม่สามารกกระทำ ท่าน ตอบว่าให้ท่านช่วยเหลือผู้ที่ทำ หรือให้ท่านทำให้แก่ผู้อ่อนแอ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ถ้าหาก ข้าพเจ้าไม่สามารกกระทำ ท่านได้กล่าวว่า ให้ท่านทิ้งมนุษย์ให้พ้นจากความชั่วร้าย (ของท่าน) เพราะการทำเช่นนั้นเป็นการให้ทานซอดาเกาะห์         

รายงานหะดีษโดย มุคอรี และมุสลิม

และตัวบทของอะบีดาวูดว่า ชายมุสลิมคนใดที่ได้ปลดปล่อยชายมุสลิมให้เป็นอิสระ แท้จริง อัลเลาะห์ เป็นผู้ทรงบันดาลเกราะป้องกันกระดูกทุกท่อนจากบรรดากระดูกของเขา (ทาส) แลกกับกระลูก ทุกท่อนจากบรรดากระดูกของผู้ปลดปล่อยเขาให้พันจากไฟนรก และสตรีคนใดได้ปลดปล่อย สตรีมุสลิมให้เป็นอิสระ แท้จริง อัลเลาะห์ เป็นผู้ทรงบันดาลเกราะป้องกันกระดูกทุกท่อน จากบรรดากระดูกของหล่อน (ทาสหญิง) แลกกับกระดูกทุกท่อนจากบรรดากระดูกของผู้ปลดปล่อยหล่อน ให้พ้นจากไฟนรก และตัวบทของเจ้าของสุนันว่า เปรียบผู้ที่ปลดปล่อยทาส ให้เป็นอิสระ ขณะเขาใกล้ตาย มีสภาพเหมีอนผู้ที่หยิบยื่นของกำนัลให้ เมื่อ (ผู้รับ) อิ่มแล้ว[245] 

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดปลดปล่อยทาสให้เป็น อิสระ โดยที่ทาสคนนั้นมีทรัพย์สิน ทรัพย์สินของทาสตกเป็นของเขา (ทาส) เอง นอกจาก ผู้เป็นนายจะตั้งเงื่อนไขเอาทรัพย์นั้น [246]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ลูกนอกสมรส (ซินา) นั้นเป็นความชั่วหนึ่งจากในสาม[247]อะบู ฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า การที่ข้าพเจ้าจะมอบไม้เรียวอัน หนึ่งในวิถีทางของอัลเลาะห์ ยังเป็นที่ต้องการของข้าพเจ้ายิ่งกว่าการที่ข้าพเจ้าจะปลดปล่อยลูก นอกสมรส (ซินา) ให้เป็นอิสระ

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด และนาซาอี

ญาติสนิทจะถูกปลดปล่อยด้วยการเข้าปกครอง1ช่นเดียว mj ส่วนที่เหลอจะถูก

ปลดปล่อยโดยตกเปีนภาระแก่ผู้ที่ร่ำรวย 1106

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ลูกจะไม่สามารถ ตอบแทนผู้บังเกิดเกล้าได้ นอกจากจะพบว่า ผู้บังเกิดเกล้าเป็นทาส และเขาเอมา แล้วปลดปล่อยให้เป็นอิสระ[248]         

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจาก ซะมุเราะห์ บุตร ยุนดุบ  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้ปกครอง ผู้ที่เป็นเครือญาติที่แต่งงานกันไม่ได้ เครือญาติผู้นั้นเป็นอิสระชน[249]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และฮากิม ถือว่าเป็นหะดีษซอเหียะห์

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้ปลดปล่อยส่วนของเขา ในทาสคนหนึ่ง เขาจะต้องปลดปล่อยทาสคนนั้นหมดทั้งตัว ถ้าหากเขามีทรัพย์สินพอราคาทาส คนนั้น ตังนั้น ถ้าหาก เขาไม่มีทรัพย์สิน ทาสคนนั้นก็จะเป็นอิสระเท่าทีปลดปล่อย[250] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

อัลมุกาตะบะห[251]

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “และบรรดาผู้ที่แสวงหาหนังสือ (สัญญาปลดปล่อยตัว) จากผู้ที่มือขวาของพวกท่านปกครองไว้ ดังนั้นพวกท่านจงทำสัญญาปลดปล่อยพวกเขาเถิด แม้ พวกท่านรู้ว่าจะมีความดีอยู่ในพวกเขา”[252]

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า บะรีเราะห์ ได้เข้ามาหาข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า แท้จริงนายของข้าพเจ้าได้ทำสัญญาปลดปล่อยข้าพเจ้าโดยแลกเปลี่ยนกับทองคำเก้าออน,ช่[253] ในระยะเวลาเก้าปี ปีละหนึ่งออนข้ ดังนั้น เธอจงช่วยเหลือข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่หล่อน ว่า ถ้าหากนายของเธอต้องการจะให้ฉันจัดหามันให้พวกเขาในคราวเดียว และปลดปล่อยเธอ เป็นอิสระ โดยสิทธิในเรื่อง วะลาอฺ เป็นของฉัน ฉันก็จะกระทำ ต่อมาบะรีเราะห์ได้เล่าเรื่อง ดังกล่าวให้แก่นายของหล่อนฟัง แต่พวกเขาไม่ยอมรับ นอกจากสิทธิในเรื่อง วะลาอฺ จะต้อง เป็นของพวกเขา และต่อมาหล่อนได้มาหาฉัน และได้เล่าเรื่องนั้นให้ฉันฟัง ฉันได้ดุหล่อน[254]  และหล่อนได้กล่าวว่า ไม่ ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่าเรื่องเป็นอย่างนี้ อาอิชะห์ได้กล่าวว่า ต่อมาท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ยิน และท่านได้ถามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเล่าให้ท่านฟัง ต่อมา ท่านได้ กล่าวว่า เธอจงซื้อหล่อนเถิด แล้วปลดปล่อยหล่อนให้เป็นอิสระ และเธอจงตั้งเงื่อนไข ในเรื่อง วะลาอฺ ให้แก่พวกเขาเถิด เพราะความจริงสิทธิในเรื่อง วะลาอฺ นั้น ต้องตกเป็นของ บุคคลที่ปลดปล่อย ข้าพเจ้าจึงได้ปฏิบัติตาม หลังจากนั้น ท่านรอซลลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าว สุนทรพจน์ในเวลาเย็น ท่านได้สรรเสริญอัลเลาะห์ และ สดุดีพระองค์อย่างสมเกียรติ จากนั้น ท่านได้กล่าวว่า หลังจากนั้น จะเป็นสภาพอย่างไรที่คนพวกหนึ่งได้ตั้งเงื่อนไขต่างๆ ที่ไม่มีอยู่ ในคัมภีร์ของอัลเลาะห์ ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขใดก็ตามที่ไม่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของอัลเลาะห์ เงื่อนไข นั้นเป็นสิ่งไร้สาระ แม้จะตั้งไว้ร้อยเงื่อนไขก็ตาม คัมภีร์ของอัลเลาะห์ย่อมสัจจะยิ่ง และเงื่อนไข ของอัลเลาะห์ย่อมมั่นคงยิ่ง และในบางรายงานว่า ต่อมา อาอิชะห์ก็ได้ปลดปล่อยให้เป็นอิสระ และโดยที่สามีของหล่อนเป็นทาส ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. จึงให้หล่อนเลือก หล่อนจึงเลือก ตัวของหล่อนเอง และถ้าแม้ว่า สามีของหล่อนเป็นเสรีชน ท่านนบีก็คงไม่ให้หล่อนเลือก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจาก อัมร์ บุตร ชุอัยบ์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ทาสคนใดได้ทำสัญญาไถ่ตัวเองโดยแลกเปลี่ยนกับทองคำจำนวน หนึ่งร้อยออนซ์ และเขาได้ชำระไปแล้วยังเหลืออีกเพียง สิบออนซ์ เขายังคงเป็นทาสอยู่ และทาสคนใดได้ทำ สัญญาไถ่ตัวเองโดยแลกเปลี่ยนกับทองคำจำนวน หนึ่งร้อยเหรียญทอง และเขาได้ชำระไปแล้ว ยังเหลืออีกเพียงสิบเหรียญทอง เขาก็ยังคงเป็นทาส                                     

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี นะซาอี และฮากีม ถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก อุมม์ ซะละมะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่ พวกเราว่า เมื่อปรากฏว่าพวกเธอคนใดมีทาสที่ทำสัญญาไถ่ตัวเอง และปรากฏว่าทาสคนนั้นมี สิ่งที่จะได้ชำระแล้วให้พวกเธอคนนั้นจงปกปิด (ร่างกาย) ให้มิดชิดจาก (สายตา) ทาสคนนั้น[255] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

อนุญาตให้ขาย ทาสมุดับบัร[256]

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ชายคนหนึ่ง จากชาวอันชอร ได้ปลดปล่อยทาสของ เขาคนหนึ่ง โดยผูกพันกับความตายของเขา ซึ่งเขาไม่มีทรัพย์สินใดๆ เลย นอกจาก ทาสคนนี้ เท่านั้น ข่าวนี้ได้ล่วงไปถึงท่านนบี ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า ใครจะชื้อเขาไปจากฉันบ้างต่อมา นุอัยม์ บุตร อับดิลลาห์ จึงได้ซื้อทาสคนนั้น ด้วยราคาแปดร้อยดิรฮัม และท่านก็ได้จ่ายมันให้ แก่เขา (ผู้เป็นเจ้าของทาส)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และอะบู ดาวูดได้รายงานเพิมเติมว่า เมื่อคนหนึ่งคนใดของพวกท่านยากจน ให้เขาจงเริมที่ตัวเขาเองก่อน และถ้าหากเขามีเหลือ ก็ให้เขาให้ จ่ายแก่คนในปกครองของเขา และถ้าหากเขามีเหลือ ก็ให้เขาให้จ่ายแก่ญาติใกล้ชิดของเขา

ไม่ยินยอมให้ขายสิทธิ วะลาอ และ อุมม์ วะลิด[257]

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ห้ามการขายสิทธิ วะลาอฺ และการให้สิทธิ วะลาอุ[258] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเคยขายบรรดา อุมม์ วะลัด ในสมัยท่าน รอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. และในสมัย อะบี บักร์ ต่อมาเมื่อถึงสมัยอุมัร เขาได้ห้ามพวกเรา และ พวกเราก็ได้ยุติ318           

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

และท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า (ทาส) หญิงคนใดที่ได้คลอดบุตรที่เกิดจาก นายของหล่อน ทาสหญิงคนนั้นจะเป็นอิสระ ภายหลังจากนายคนนั้นเสียชีวิต[259]

 รายงานโดยอะห์มัด และอิบนุมายะห์

บทสุดท้าย

สิทธิของนายต่อทาส และ สิทธิของทาสต่อนาย

เล่าจาก ยะรีร บุตร อับดิลลาห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ทาสคนใด หลบหนีนายของตน ทาสนั้นเป็นคนทรยศจนกว่าทาสจะกลับมาหานาย[260] และ ในบางรายงาน ว่า เมื่อทาสได้หลบหนีไป ละหมาดของเขาจะไม่ลูกรับ และในอีกรายงานหนึ่งว่า (ทาส) ผู้ ใดที่ได้อ้างความผูกพันในการใช่สกุลของคนพวกหนึ่งโดยไม่ได้รับอนุมัติจากนายของเขา เขาจะ ต้องลูกอัลเลาะห์ มะลาอิกะห์ และมนุษย์ทั้งหมดสาปแช่ง อีกทั้งจะไม่ถูกรับจากเขาทั้งฟัรฎู และสุนัต ในวันกิยา มะห์       

รายงานหะดีษทั้งสามนื้โดย มุสลิม

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ทาสที่รับใช้นายของตนด้วยความซื่อสัตย์ และทำอิบาดะห์ต่อองค์อภิบาลของเขาอย่างดี เขาจะได้รับผลบุญสองเท่า[261] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ทาสที่ถูกปกครอง ที่มีคุณธรรม เขาจะได้รับสองผลบุญ สาบานต่อผู้ซื่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ ถ้าแม้ไม่มีการญิฮาดในวิถีทางของอัลเลาะห์ ไม่มีการทำฮัจญ์ และไม่มีการทำความดีต่อมารดา ของข้าพเจ้าแล้ว แน่นอนข้าพเจ้าต้องการเสียชีวิตในสภาพที่ข้าพเจ้าเป็นทาส

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจาก มะอฺรูร บุตร สุวัยด์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเดินผ่าน อะบีซัรร์ ที่รอบะซะห์ บนร่างของเขามีผ้าคลุม และบนร่างของทาสของเขาก็เหมือนกัน พวกเราได้กล่าวว่า โอ้ อะบีซัรร์   ถ้าหากท่านรวมมันทั้งสองผืน มันก็จะเป็นเครื่องแต่งกายชุดหนึ่ง เขาได้กล่าวว่า ความจริงระหว่างข้าพเจ้ากับชายคนหนึ่งจากพวกพี่น้องของข้าพเจ้ามีการต่อปากคำกัน[262] และ โดยที่มารดาของเขาเป็นหญิงที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ ข้าพเจ้าจึงได้ตำหนิเขา[263] โดยพาดพิงถึงแม่ ของเขา ต่อมาเขาได้ไปร้องเรียนท่านนบี  ซ.ล. ถึงตัวข้าพเจ้า และหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้พบ กับท่าน ท่านนบีได้กล่าวว่า โอ้ อะบี ซัรร์ ความจริงท่านเป็นคนหนึ่งที่ยังมีความป่าเถื่อน หลงเหลืออยู่ในตัวท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ผู้ใดที่ด่าผู้1คน พวกเขาก็จะด่าพ่อแม่ของเขา ท่าน ได้กล่าวว่า โอ้อะบี ซัรร์ ความจริงท่านเป็นคนหนึ่งที่ยังมีความป่าเถื่อนหลงเหลืออยู่ในตัวท่าน พวกเขาเป็นพี่น้องของพวกท่าน ซึ่งอัลเลาะห์ได้กำหนดให้พวกเขาอยู่ใต้ปกครองของพวกท่าน ตังนั้นจงให้พวกเขาได้รับประทานจากสิ่งที่พวกท่านรับประทาน  ท่านทั้งหลายจงให้พวกเขาสวมใส่จากสิ่งที่พวกท่านสวมใส่           และท่านทั้งหลายอย่าบังคับพวกเขาด้วยสิ่งที่เกินกำลังของ

พวกเขา ถ้าหากพวกท่านบังคับพวกเขา ท่านทั้งหลายจงช่วยเหลือพวกเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และตัวบทของอะบีดาวูดว่า แท้จริง     พวกเขาเป็นพี่น้องของพวกท่านที่อัลเลาะห์ได้โปรดปรานให้ท่านทั้งหลายได้ปกครองพวกเขา ดังนั้น ผู้ใดที่ไม่เหมาะสมกับพวกท่านให้พวกท่านจงขายเขาไป และท่านทั้งหลายอย่าลงโทษ สิ่งที่อัลเลาะห์ตาอาลาทรงสร้าง

เล่าจาก อะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่า คำพูดสุดท้ายของท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. คือ กล่าวว่า ละหมาด ละหมาด[264] ท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลเลาะห์ ในสิ่งที่มือขวาของพวกท่าน ปกครองอยู่[265]            

รายงานหะดีษโดยอะบูดาวูด นะซาอี และ อะห์มัด

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมึ่อทาสของคนๆ หนึ่ง ได้นำอาหารมาที่เขา ดังนั้นถ้าหากเขาไม่เชื้อเชิญให้ทาสนั่งพร้อมกับเขา ก็จงให้ทาสรับประทาน คำหนึ่ง หรือสองคำ หรือให้รับประทานครั้งหนึ่ง หรือสองครั้ง เพราะความจริงเขาได้ทำมัน ขึ้นมาเอง

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อคนหนึ่งของ พวกท่านสู้รบ ให้เขาจงออกห่างใบหน้า[266]                                                     

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด 

และตัวบทของมุสลิม และอะบีดาวูด ว่า ผู้ใดต่อยทาสของเขา หรือ ตีทาสของเขา สิ่งที่จะลบล้างมันได้ก็คือ การปลด ปล่อยทาสคนนั้นให้เป็นอิสระ[267]

ภาคการแต่งงาน การหย่าร้าง และกำหนดกักตัว

มีสิบบท และ บทสุดท้าย
บทที่หนึ่ง

สนบสมุนให้แต่งงาน

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “ดังนั้น พวกท่านจงแต่งงานกับพวกผู้หญิงซึ่งเป็นที่พึงใจ ของพวกท่านเถิด สอง สาม และสี่คน และถ้าหากพวกท่านกลัวว่า จะไม่มีความยุติธรรม ก็ (จงแต่งงานเพียง) คนเดียว

และอัลเลาะห์ตาอาลาตรัสว่า “และท่านทั้งหลายจงแต่งงานคนโสดของพวกท่าน[268] และบรรดาผู้มีคุณธรรม จากทาสชายของพวกท่าน และทาสหญิงของพวกท่าน แม้พวกเขายากจน อัลเลาะห์จะทรงให้พวกเขาร่ำรวยจากความโปรดปรานของพระองค์ และอัลเลาะห์ทรงไพศาลยิ่ง ทรงรอบรู้ยิ่ง”

และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า และขอยืนยันว่าแท้จริงเราได้ส่งศาสนฑูตต่างๆ มา ก่อนหน้าท่าน และเราได้บันดาลบรรดาคู่ครอง และผู้สืบสกุลให้พวกเขา”

เล่าจาก อับดิลลาห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. กล่าวว่า โอ้ พวกชายหนุ่มทั้งหลาย ผู้ใดที่มีความสามารถจากพวกท่านที่จะแต่งงาน ให้เขาจงแต่งงาน เถิด เพราะมันเป็นการลดต่ำของสายตา และรักษาอวัยวะเพศได้ดียิ่ง และผู้ใดที่ไม่มีความสามารก ให้เขาจงกือศีลอดเถิด เพราะมันจะเป็นเครื่องตัดความต้องการทางเพศของเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้มีผู้ชายสามพวกมายังบ้านภรรยาของท่านนบี ซ.ล. ถามถึงการทำอิบาดะห์ของท่านนบี ซ.ล. เมื่อพวกเขาได้รับการบอกกล่าว คล้ายกับพวกเขา เห็นว่ามันยังน้อยไป พวกเขาได้กล่าวว่า พวกเราจะไปเทียบกับท่านนบี ซ.ล. ได้ที่ไหน ท่าน นบีได้ถูกอภัยให้แล้วทั้งบาปทีมีอยู่ก่อน และบาปที่จะเกิดขื้นภายหลัง คนหนึ่งของพวกเขาได้ กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะละหมาดกลางคืนตลอดไป อีกคนกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะกือศีลอดตลอดทั้งปี โดยไม่ละศีลอด อีกคนกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะแยกตัวออกจากพวกผู้หญิง และข้าพเจ้าจะไม่แต่งงานตลอดไป ต่อมาท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้มายังพวกเขาแล้วกล่าวว่า พวกท่านใช่ไหมที่ ได้พูดอย่างนั้นอย่างนี้ พึงทราบเถิด ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า แท้จริงข้าพเจ้าเป็นบุคคลที่มีความกลัว และมีความยำเกรงที่สุดของพวกท่านต่ออัลเลาะห์ แต่ข้าพเจ้าก็ยังถือศีลอด ละศีลอด ละหมาด นอน และแต่งงานกับพวกผู้หญิง ดังนั้น ผู้ใดรังเกียจแนวทางของข้าพเจ้า เขาก็ไม่ใช่ เป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า           รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

เล่าจาก อะบี อัยยูบ  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า สี่ประการที่นับเป็นแนวทาง ของบรรดาศาสนทูต คือ ความอาย การใส่เครื่องหอม แปรงฟัน และการแต่งงาน 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี และอะห์มัด ด้วยสายรายงานที่หะซัน

และตัวบทของติรมีซี น่าซาอี และ ฮากิมว่า สามคนที่เป็นหน้าที่ของอัลเลาะห์ด้อง ช่วยเหลือพวกเขาคือ ทาสที่ทำสัญญาไถ่ตัวเองที่มีความตั้งใจชำระ คนแต่งงานที่มีความตั้งใจ รักษาตัว และนักรบในวิถีทางของอัลเลาะห์

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า:ได้ให้เป็นที่รักของข้าพเจ้าจาก โลกดุนยานี้ ก็คือ ผู้หญิง เครื่องหอม และการที่ข้าพเจ้ามีความสบายตาอยู่ในละหมาด[269] 

รายงานหะดีษโดย นะซาอี อะห์มัด และ ฮากีม

เล่าจาก สะอัด บุตร อะบี วักกอส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อุสมาน บุตร มัชอูน ต้องการ จะตัดขาดจากสังคม[270] แต่ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ห้ามเขา และถ้าหากท่านอนุญาตให้เขา กระทำตังกล่าวแล้ว แน่นอน พวกเราคงต้องตอนกัน[271]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริงข้าพเจ้าเป็นชายหนุ่ม และ ข้าพเจ้าก็กลัวจะเกิดความลำบากขึ้นกับตัวของข้าพเจ้า[272] และข้าพเจ้าก็ไม่มีสิ่งที่จะใช้มันแต่งงานกับผู้หญิงได้ ท่านนบีเงียบไม่ตอบข้าพเจ้า ต่อมาข้าพเจ้า ก็ได้พูดเช่นนั้นอีก ท่านก็เงียบไม่ตอบข้าพเจ้า ต่อมาข้าพเจ้าก็ได้พูดอย่างนั้นอีก ท่านก็เงียบ ไม่ตอบข้าพเจ้า ต่อมาข้าพเจ้าก็ได้พูดเช่นนั้นอีก ท่านนบีจึงได้กล่าวว่า โอ้ อะบุฮุรอยเราะห์ ปากกาได้แห้งไปเสียแล้วด้วยสิ่งที่ท่านกำลังเผชิญ ท่านจงตอนทั้งที่เป็นเช่นนั้น หรือ จงละทิ้งเสีย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่า[273] สุไลมาน บุตร ดาวูด อ.ล. ได้ กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะต้องตระเวณไปในคืนนี้หาภรรยาทั้งร้อยคน โดยที่ภรรยาแต่ละคนจะคลอด บุตรชายคนหนึ่ง ทำสงครามในวิถีทางของอัลเลาะห์ มะลาอิกะห์ได้กล่าวแก่เขาว่า จงกล่าว เถิดว่า “ถ้าหากอัลเลาะห์ประสงค์” แต่เขาไม่ได้กล่าว และได้ลืมกล่าว ต่อมาเขาได้ตระเวณ ไปหาภรรยาทั้งร้อยคนนั้น โดยไม่มีภรรยาคนใดคลอดบุตรเลย ยกเว้นภรรยาเพียงคนเดียวที่คลอด ออกมาเป็นคนเพียงซีกเดียว ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากเขากล่าวว่า “ถ้าหากอัลเลาะห์ ประสงค์” แล้ว เขาจะไม่เสียคำสาบาน และเขาคงสมหวังในความต้องการของเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ผู้หญิงที่ยินยอมให้แก่ท่านนบี ซ.ล.

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ.ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. เคยตระเวณไปหาบรรดาภรรยา ของท่านภายในคืนเดียว โดยที่ขณะนั้นท่านมีภรรยาอยู่เก้าคน                                                                       

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้เสียชีวิตไป โดยที่ขณะนั้น ท่านมีภรรยาอยู่เก้าคน[274]

และอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ไม่ได้เสียชีวิตลงไป จนกว่าอัลเลาะห์ ได้อนุมัติให้ท่านแต่งงานกับผู้หญิงได้ตามต้องการ[275]                                                                   

รายงานหะดีษทั้งสองโดย นะซาอี

บทที่สอง

ภรรยาที่ควรแก่การสรรเสริญ[276]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้หญิงจะถูกแต่งงาน เพราะสีประการ เพราะทรัพย์ของหล่อน เพราะวงศ์ตระกูลของหล่อน เพราะความสวยงาม ของหล่อน และเพราะศาสนาของหล่อน ดังนั้น ท่านจงคว้าเอาหญิงที่มีศาสนาเถิด มือทั้งสอง ของท่านจะต้องติดดิน[277] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ตัวบทของนะซาอี และมุสลิม ว่า แท้จริง โลกดุนยาทั้งหมดเป็นสิ่งอำนวยความสุข และสิ่งอำนวยความสุขที่ดีที่สุด คือ “ผู้หญิงที่ดี”

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกผู้หญิงที่ขี่อูฐที่ดีที่สุด คือ พวกผู้หญิงของเผ่ากุเรช เป็นผู้ที่มีความสงสารบุตรในวัยเด็ก และเป็นผู้เอาใจใส่ สามีในทรัพย์สินที่อยู่ในมือสามี[278]           

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้แต่งงานแล้ว ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านแต่งงานกับใคร ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า แม่หม้าย ท่านได้กล่าวว่า

ทำไมท่านไม่แต่งงานกับหญิงสาว และนํ้าลายของหล่อน[279] ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริงอับดุลเลาะห์ ได้เสียชีวิตไป[280]'1 และได้ทิ้งลูกสาวไว้เจ็ดคน หรือเก้าคน ข้าพเจ้าจึงได้นำบุคคลที่จะดูแลพวกหล่อนมา เขาได้กล่าวว่า ท่านนบีได้ขอพรให้ข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ จงบอกข้าพเจ้าเถิด ถ้าหาก ท่านลงไปในหุบเขา และในหุบเขานั้น มีต้นไม้ที่กินได้ และต้นไม้ที่กินไม่ได้ ในพื้นที่ใดที่ท่าน จะนำอูฐของท่านเข้าไปเลี้ยง ท่านได้ตอบว่า ในพื้นที่ซึ่งยังไม่มีใครนำอูฐเข้าไปเลี้ยง หล่อนตีหมายความว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. จะไม่แต่งงานกับหญิงสาว นอกจากหล่อน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก มะอฺกิล บุตร ยะซาร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าได้พบผู้หญิงคนหนึ่งทีมความสวยงาม มีตระกูลสูง แต่ความจริงหล่อนจะให้กำเนิดบุตรไม่ได้ ข้าพเจ้าจะแต่งงานกับหล่อนไหม ท่านตอบ ว่าไม่ หลังจากนั้นเขาได้มาหาท่านอีกเป็นครั้งที่สอง ท่านก็ได้ห้ามเขา ต่อมาเขาได้มาหาท่าน อีกเป็นครั้งที่สาม ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านจงแต่งงานกับหญิงที่รักสามีมากที่ให้กำเนิดลูกมาก เพราะความจริงข้าพเจ้าจะนำพวกท่านไปอวดประชาชาติต่าง ๆ ว่ามีมาก[281]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด นะซาอี และฮากีม ถือว่าเปีนหะดีษเศาะฮีหะห์

และได้มีผู้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ผู้หญิงใดที่ดีที่สุด ท่านได้กล่าวว่า หญิงที่ทำให้เขาสบายใจเมื่อมอง และเชื่อฟังเขาเมื่อใช้ และไม่ขัดขืนเขาทั้งในตัวของหล่อน และ ทรัพย์ของหล่อนด้วยสิ่งที่เขาไม่พอใจ  

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ตัวบทของ บุคอรี มุสลิม และติรมีซี ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ทิ้งวิกฤตการใดไว้หลังจาก ข้าพเจ้าจากไป จะเป็นภัยร้ายแรงแก่พวกผู้ชายยิ่งกว่าผู้หญิง[282]

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้ว กล่าวว่า แท้จริง ภรรยาของข้าพเจ้าไม่ห้ามมือที่มาสัมผัส[283] ท่านนบีได้กล่าวว่า จงเนรเทศ หล่อน เขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ากลัวว่าอารมณ์ของข้าพเจ้าจะติดตามหล่อนไป ท่านได้กล่าวว่า ดังนั้นท่านจงหาความสุขกับหล่อนเถิด

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

สามีที่น่าสรรเสริญ[284]

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “ แท้จริง ผู้มีเกียรติที่สุดของพวกท่าน สำหรับอัลเลาะห์ คือผู้ที่มีความยำเกรงที่สุดของพวกท่าน”

เล่าจาก สะหั้ล  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้เดินผ่านท่านนบี ซ.ล. ท่านนบีได้ กล่าวว่าพวกท่านจะว่าอย่างไรในชายคนนี้                                                                 พวกเขาได้กล่าวว่า เขาเป็นคนที่เหมาะสม ถ้าหากสู่ขอเขาก็จะได้แต่งงาน ถ้าหากขอความช่วยเหลือ เขาก็จะถูกช่วยเหลือ และถ้าหากเขาพูด ก็จะถูกรับฟัง หลังจากนั้น ท่านได้นิ่งเงียบ ต่อมาได้มีชายคนหนึ่งจากบรรดาคนยากจนของมุสลิม ได้ผ่านมาท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจะว่าอย่างไรในชายคนนี้ พวกเขาได้กล่าวว่า เขาเป็นคนที่เหมาะสม ถ้าหากเขาสู่ขอ ก็จะไม่ได้แต่งงาน ถ้าหากเขาขอความช่วยเหลือ เขาก็จะไม่ถูกช่วย เหลือ และ ถ้าหากเขาพูดก็จะไม่ถูกรับฟัง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชายคนนี้ดี ยิ่งกว่าเต็มแผ่นดินเหมือนชายคนนั้น[285] 

รายงานหะดีษโดย มุคอรี 

เล่าจาก อะบี ฮาติม อัลมุซะนีย์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อคนที่พวก ท่านพอใจในศาสนาของเขา และความประพฤติของเขา ได้มายังพวกท่าน พวกท่านจงแต่งงาน (ผู้หญิงที่อยู่ภายใต้การปกครองของท่าน) ให้เขา ถ้าหากท่านไม่กระทำดังนั้นก็จะเกิดวิกฤตการ ขึ้นในหน้าแผ่นดิน และจะเกิดความเสียหายขึ้น พวกเราได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ และ ถ้าหาก (ความยากจนและมีสกุลต่ำ) อยู่ในตัวเขา (จะแต่งงานให้เขาไหม) ท่านได้กล่าวว่า เมื่อ คนที่พวกท่านพอใจในศาสนาของเขา และความประพฤติของเขาได้มายังพวกท่าน พวกท่านจงแต่งงาน (ผู้หญิงที่อยู่ภายใต้การปกครองของท่าน) ให้เขา (ท่านได้กล่าว) สามครั้ง[286] 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี และถือว่าเป็นหะดีษหะซัน

ควรมองหญิงที่จะสู่ขอ[287]

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ฝันเห็นเธอ ขณะ นอนหลับถึงสองครั้ง โดยมีชายคนหนึ่งนำเธอมาอยู่ในผ้าไหมชิ้นหนึ่ง แล้วกล่าวว่า นี่คือ ภรรยา ของท่าน จงเปิดดูหล่อนเถิด และหญิงคนนั้นก็คือ ตัวเธอ ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ถ้าหากสิ่งนี้มาจากอัลเลาะห์แล้วจงให้มันเป็นไปเถิด[288]          

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

อะบูฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าอยู่ที่ท่านนบี  ซ.ล. ต่อมาได้มีชายคนหนึ่ง มาหาท่านแล้วบอกแก่ท่านว่า เขาเพิ่งแต่งงานกับผู้หญิงชาวอันซอรคนหนึ่ง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านได้มองดูหล่อนแล้วหรือ เขาตอบว่า เปล่า ไม่ได้มองดู ท่านได้กล่าวว่า ท่านจงไป และมองดูหล่อน เพราะความจริงในตาของซาวอันซอรนั้นมีสิ่งหนึ่ง[289] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และนะซาอี

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อคนหนึ่งของพวกท่านได้สู่ขอ ผู้หญิง ถ้าหากเขาสามารกจะมองดูสิ่งที่เชิญชวนเขาไปสู่การแต่งงานกับหล่อนแล้ว ให้เขาจง กระทำเถิด[290] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ชาฟิอี และฮากิม ถือว่าเปีนหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก อัลมุฆีเราะห์  ร.ฎ. ว่า แท้จริงเขาได้สู่ขอผู้หญิงคนหนึ่ง ต่อมาท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านจงมองดูหล่อนเถิด เพราะมันจะทำให้ความรักระหว่างท่านทั้งสองถาวร[291]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และนะซาอี ถือว่าเป็นหะดีษหะซัน

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งจะต้องไม่สู่ขอ ซ้อนการสู่ขอของพี่น้องของเขา จนกว่าคนที่สู่ขอก่อนเขาจะทิ้ง หรือยินยอมให้เขา[292] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

ความเหมาะสม [293]

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “และท่านทั้งหลายอย่าแต่งงานกับบรรดาหญิงผู้ตั้งภาคี จนกว่าพวกนางจะมีศรัทธา และแท้ที่จริง ทาสหญิงที่มีศรัทธานั้นดียิ่งกว่าหญิงที่ตั้งภาคี และ แม้นางจะทำให้พวกท่านชื่นชอบก็ตาม และท่านทั้งหลายอย่าจัดการแต่งงาน (หญิงที่มีศรัทธา) ให้แก่ชายผู้ตั้งภาคี จนกว่าพวกเขาจะมีศรัทธา และแท้ที่จริง ทาสชายทีมศรัทธานั้น ดียิ่งกว่า ชายที่ตั้งภาคี และแม้เขาจะทำให้พวกท่านชื่นชอบก็ตาม”

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ว่า แท้จริง อะบา ฮินด์ เขาได้กรอกเลือดท่านนบี ซ.ล.ที่ท้ายทอย ต่อมาท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า โอ้ ตระกูล บะนี บะยาเดาะห์ ท่านทั้ง หลายจงแต่งงานให้ อะบา ฮินด์ และท่านทั้งหลายจงแต่งงานกับลูกสาวของเขา[294] และท่านได้ กล่าวว่า ถ้าหากจะมีสิ่งใดที่เป็นความดีจากสิ่งที่พวกท่านให้รักษาโรคแล้ว มันก็คือ การกรอกเลือด[295]          

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และฮากีม

อาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้แต่งงานกับนาง ขณะที่นางมี อายุ หกปี และนางได้ถูกนำตัวไปมอบให้ท่านนบี ขณะทีมอายุได้ เก้าปี และได้อยู่กับท่านนบี เก้าปี        

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และมุสลิมได้รายงานเพิ่มเติมว่า และท่านนบีได้ตายจากอาอิชะห์ไป

ขณะที่นางมีอายุ สิบแปดปี และในบางรายงานว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้แต่งงานกับ ข้าพเจ้า ในเดือนเซาวาล และได้ร่วมกับข้าพเจ้าในเดือนเซาวาล ดังนั้นจะมีผู้หญิงคนใดของ ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. บ้าง ที่อยู่กับท่านนบีจะมีโชคดียิ่งกว่าข้าพเจ้าและได้ปรากฏว่า อาอิชะห์ ชอบที่จะให้ส่งตัวพวกผู้หญิงของนางในเดือนเซาวาล[296]

เล่าจาก บุรอยดะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะบูบักร์ และอุมัร  ร.ฎ. ได้มาสู่ขอฟาติมะห์  ร.ฎ. ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริง ฟาติมะห์ยังเป็นเด็ก และต่อมา อะลี ได้มาส่ขอฟาติมะห์ ท่านนบีได้แต่งงานฟาติมะห์ให้แก่อะลี[297]

รายงานหะดีษโดยนะซาอี

อนุญาตให้เสนอตัว แก่ผู้ที่มีเกียรติ[298]

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฮัฟเซาะห์ ได้กลายเป็นหม้ายด้วยการจากไปของ คุนัยส์ บุตรฮุซาฟะห์ อัซซะห์มีย์ เขาเคยเป็นอัครสาวกของท่านนบี ซ.ล. เขาได้เสียชีวิตที่ มะดีนะห์ อุมัรได้เล่า ว่าฉันได้เสนอ ฮัฟเซาะห์ ให้แก่อุสมาน เขากล่าวว่า ข้าพเจ้าขอพิจารณา เรื่องของข้าพเจ้าดูก่อน และฉันก็ได้หายหน้าไปหลายวัน ต่อมาเขาได้พบกับฉัน และกล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าเห็นว่ายังไม่สมควรแต่งงานในยามนี้ ต่อมาฉันได้พบกับอะบูบักร์ อัซซิดดีก ฉันได้กล่าวว่า ถ้าหากท่านต้องการ ฉันจะแต่งงานท่านกับฮัฟเซาะห์ อะบู บักร์ นิ่งเงียบ ความ จริงแล้วเขาทำให้ฉันโกรธยิ่งกว่าอุสมาน ฉันไต้หายหน้าไปหลายวัน ต่อมาท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ไต้สู่ขอนาง และฉันก็ไต้แต่งงานนางให้แก่ท่านนบี หลังจากนั้นอะบู บักร์ได้พบกับฉัน แล้วกล่าวขึ้นว่า คิดว่าท่านดงโกรธข้าพเจ้า ขณะที่ท่านได้เสนอฮัฟเชาะห์ให้ข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้า ไม่ไต้ตอบท่านด้วยสิ่งใดเลย อุมรเล่าว่า ฉันตอบว่า ถูกแล้ว อะบู บักร์ จึงพูดว่า ที่จริงไม่มีสิ่งใด มาห้ามข้าพเจ้าที่จะตอบท่านในสิ่งที่ท่านเสนอให้ข้าพเจ้า นอกจากที่ข้าพเจ้าได้ทราบมาว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ไต้เอ่ยถึงนาง และข้าพเจ้าก็ไม่ต้องการกระจายความลับของท่าน รอซูลุลเลาะห์ และถ้าหากท่านรอซูลทิ้งนาง แน่นอนข้าพเจ้าจะต้องรับนางเอาไว้ [299]       

รายงานหะดีษโดยบุคอรี

เล่าจาก สะฮั้ล บุตร สะอัด  ร.ฎ. ไต้กล่าวว่า พวกเราอยู่ที่ท่านนบี ซ.ล. ต่อมาไต้มีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาท่าน เสนอตัวให้ท่าน ท่านนบีไต้ลดสายตาในการมองดูหล่อน และยกสายตาขึ้น[300] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และในรายงานหนึ่งว่า อะนัสได้กล่าวว่า แท้จริง ผู้หญิงคนหนึ่งได้เสนอตัวให้ท่านนบี  ซ.ล. บุตรสาวของอะนัสหัวเราะ แล้วกล่าวว่า อะไรหนอ ทำให้หล่อนมีความอายน้อยเหลือเกิน อะนัสไต้กล่าวว่า หล่อนดียิ่งกว่าเธอเสียอีกที่ได้เสนอ ตัวให้ท่านนบี ซ.ล.[301]

บทที่สาม

ผู้หญิงที่ห้ามแต่งงาน (ด้วย)

อัลเลาะห์ตาอาลา ไต้ตรัสว่า “เป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกท่าน (ที่จะแต่งงานกับ) มารดาของพวกท่าน บุตรหญิงของพวกท่าน ที่น้องหญิงของพวกท่าน ที่น้องหญิงของบิดา พวกท่าน ที่น้องหญิงของมารดาพวกท่าน บุตรหญิงของพี่น้องชาย บุตรหญิงของพี่น้องหญิง มารตาของพวกท่านที่ให้นมแก่พวกท่าน พี่น้องหญิงของพวกท่าน จากการดื่มนมร่วมกัน มารดา ของภรรยาพวกท่าน ลูกแยงของพวกท่านที่อยู่ในตักของพวกท่านที่เกิดจากบรรดาภรรยาของพวกท่าน ที่พวกท่านเคยร่วมประเวณีกับพวกนาง ดังนั้นถ้าหากพวกท่านไม่ไต้ร่วมประเวณีกับ นาง ก็ไม่เป็นบาปแก่พวกท่าน และบรรดาภรรยาบุตรชายของพวกท่าน ซึ่งมาจากสันหลังของ พวกท่าน และ (ห้าม) การที่พวกท่านจะรวมระหว่างพี่น้องหญิงสองคน นอกจากที่ได้ผ่านพ้น ไปแล้ว แน่แท้อัลเลาะห์ ทรงอภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง และ (ห้ามแต่งงานกับ) บรรดาหญิงที่มีสามี ยกเว้นทาสหญิงที่พวกท่านปกครองอยู่363 เป็นบัญญัติของอัลเลาะห์ที่กำหนดแก่พวกท่าน”

และอัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “และท่านทั้งหลายอย่าแต่งงานกับหญิงที่บิดาของพวกท่านแต่งงานกับนางแล้ว นอกจากที่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว364 ความจริงมันเป็นสิ่งน่าบัดสี เป็น ความกริ้วโกรธ และเป็นทางอันชั่วร้าย”

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า (จำนวนผู้หญิง)ที่ห้าม แต่งงานด้วย เพราะดื่มนมร่วมกัน ก็คือ (จำนวนผู้หญิง)ที่ห้ามแต่งงานด้วย เพราะร่วมตระกูล365

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่านนบี  ซ.ล. ได้ถูกหนุน ให้แต่งงานกับ ลูกสาวลุงของท่าน คือ ฮัมชะห์ ท่าน ได้กล่าวว่า แท้จริง หล่อนไม่เป็นที่อนุมัติแก่ข้าพเจ้า เพราะหล่อนเป็นลูกสาวพี่ชายของข้าพเจ้าที่ดื่มนมร่วมกัน และที่ต้องห้าม เนื่องจากการดื่มนมร่วมกัน ก็คือที่ต้องห้าม เนื่องจากร่วมเครือญาติ366  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะไม่ถูกรวม (อยู่ ภายใต้สามีคนเดียวกัน) ระหว่างผู้หญิงคนหนึ่ง กับพี่น้องผู้หญิงของพ่อของหล่อน และไม่ (ถูกรวม) ระหว่างผู้หญิงคนหนึ่ง กับพี่น้องผู้หญิงของแม่ของหล่อน367

เล่าจาก อุมมิ ฮะบีบะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านจงแต่งงานกับ น้องสาวของข้าพเจ้าที่เป็นบุตรสาวของอะบี ซุฟยานเถิด ท่านได้กล่าวว่า และเธอพอใจหรือ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ค่ะ พอใจ ข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นภรรยาคนเดียวของท่าน และบุคคลที่ข้าพเจ้า รักยิ่งที่จะให้เขาได้ร่วมกับข้าพเจ้าในความดี ก็คือ น้องสาวของข้าพเจ้า ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าว ว่า ความจริงการทำเช่นนั้นไม่เป็นที่อนุมัติให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า แท้จริงพวกเราได้พูดคุยกันว่า ท่านปรารถนาแต่งงานกับ ดุรเราะห์ บุตร

สาว อะบี ซะละมะห์ ท่านได้กล่าวว่า บุตรสาว อุมม์ ซะละมะห์ หรือ ข้าพเจ้าตอบว่าลูก แล้ว ท่านได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ แม้ว่าหล่อนจะไม่ได้อยู่ในตักของข้าพเจ้า หล่อนก็ จะไม่เป็นที่อนุมัติแก่ข้าพเจ้า ความจริงหล่อนเป็นบุตรสาวพี่ชายของข้าพเจ้า จากการร่วมดื่มนม[302] ซึ่งชุวัยบะห้ได้ให้ข้าพเจ้า และ อะบู ซะละมะห์ ได้ดื่มนม ดังนั้นพวกเธออย่านำเอาบรรดาบุตร สาวของพวกเธอ และแม้แต่พี่น้องหญิงของพวกเธอมาเสนอให้ข้าพเจ้า[303]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี 

เล่าจาก อัมร์ บุตร ชุอัยบ์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชายคนใดที่ได้แต่งงานกับหญิงคนหนึ่ง และได้ร่วมกับหล่อน จะไม่ยินยอม ให้เขาแต่งงานกับบุตรสาวของผู้หญิงคนนั้น และถ้าหากเขายังไม่ได้ร่วมกับหญิงคนนั้น ให้เขา แต่งงานกับบุตรสาวของหล่อนได้ และชายคนใดที่ได้แต่งงานกับหญิงคนหนึ่ง และได้ร่วมกับหล่อน หรือไม่ได้ร่วมกับหล่อน ก็ไม่ยินยอมให้เขาแต่งงานกับมารดาของหญิงคนนั้น[304]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

ตอน การดื่มนมร่วมกัน[305]

เล่าจาก อุมม์ อัลฟัดล์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า การดื่มนมเพียงครั้งเดียว หรือสองครั้ง หรือการดูดนมครั้งเดียว หรือการดูดนมสองครั้ง จะไม่ทำให้ห้าม (แต่งงานกัน)

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่า เป็นสิ่งที่เคยถูกประทานลงมาจากอัลกุรอาน ข้อความที่ว่า “การดื่มนมร่วมกันสิบครั้ง ตามที่รู้กัน จะทำให้ห้าม (แต่งงานกัน)” ต่อ มา มันได้ลูกยกเลิก ด้วยข้อความที่ว่า “การดื่มนมร่วมกันห้าครั้ง ตามที่รู้กัน” ต่อมาท่านรอซู- ลุ้ลเลาะห์ ซ.ล. ได้เสียชีวิตไป โดยที่ถ้อยคำเหล่านี้ยังคงถูกอ่าน เป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน[306] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้เข้ามาหาข้าพเจ้า ขณะที่มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่กับข้าพเจ้า การเช่นนั้น ถือเป็นสิ่งร้ายแรงสำหรับท่านนบี และข้าพเจ้าได้เห็น อาการโกรธปรากฏอยู่ที่ใบหน้าของท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริง เขาเป็นพี่น้องของข้าพเจ้า จากการร่วมดื่มนมเดียวกัน ท่านนบีได้กล่าวว่า พวกเธอจงพิจารณาดู พี่น้องของพวกเธอจากการร่วมดื่มนมเดียวกัน เพราะความจริงการร่วมดื่มนมเดียวกันนั้น เกิด จากความหิว[307] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบูดาวูด

อุกบะห์ บุตร อัลฮาริษ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้แต่งงานกับหญิงคนหนึ่ง ต่อมา ได้มีหญิงผิวดำคนหนึ่ง มาหาเขาแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าเคยให้นมดื่มแก่ท่านทั้งสอง ข้าพเจ้าจึงได้ ไปหาท่านนบี  ซ.ล. และได้เล่าให้ท่านฟัง และข้าพเจ้าได้กล่าวว่า แท้จริงหญิงคนนั้นโกหก ท่านนบีได้เบือนหน้าหนี ข้าพเจ้าได้ไปหาท่านทางด้านหน้าของท่าน แล้วกล่าวว่า ความจริงหญิง คนนั้นโกหก ท่านได้กล่าวว่า แล้วหล่อนจะเป็นอย่างไร โดยที่หล่อนอ้างว่า หล่อนได้เคยให้นมดื่มแก่ท่านทั้งสองจริงๆ จงปล่อยหล่อน (ภรรยา) ไปให้พ้นจากท่านเถิด[308]                                                                                       

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และติรมิซี

และ อิบนุ อับบาส  ร.ฎ. ได้ถูกถามเกี่ยวกับผู้หญิงสองคนที่อยู่ในความคุ้มครองของ ชายคนหนึ่ง ซึ่งหญิงคนหนึ่งจากในสองนั้นได้ให้นมดื่มแก่เด็กหญิงคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งได้ให้ นมดื่มแก่เด็กชายคนหนึ่ง เด็กหญิงคนนั้นจะยอมอนุมัติให้แต่งงานกับเด็กชายคนนั้นไหม ท่าน นบีได้ตอบว่า ไม่อนุมัติ เพราะแท้จริง เชื้อนั้นเป็นอันเดียวกัน[309] 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

บทที่สี่

การขออนุญาต และ รุก่น นิกาห์

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า หญิงหม้าย จะยัง ไม่ถูกแต่งงาน จนกว่าหล่อนจะถูกขอคำสั่งเสียก่อน และหญิงสาว จะยังไม่ถูกแต่งงาน จนกว่า หล่อนจะถูกขออนุญาตเสียก่อน พวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ การอนุญาตของ หล่อนเป็นอย่างไร ท่านนบีได้กล่าวว่า คือการที่เธอนิ่งเงียบ[310] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และในรายงานหนึ่งว่า หญิงหม้ายมีสิทธิในตัวของหล่อนเองยิ่งกว่าผู้ปกครอง (วะลี) ของหล่อน และหญิงสาว จะต้องถูกขอคำสั่งเสียก่อน และการอนุญาตของเธอ คือ การนิ่งเงียบ[311] และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เด็กหญิงกำพร้า จะต้องถูกขอคำสั่งในเรึ่องของตัวหล่อนก่อน ถ้าหากหล่อนนิ่งเงียบ นั่นคือ คำอนุญาตของหล่อน และถ้าหากหล่อนขัดขืน ก็ไม่ยอมให้บังคับหล่อน[312]                                             

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก คอนซาอฺ บุตรสาว คิตาม อัลอันซอรียะห์  ร.ฎ. ว่า แท้จริง บิดาของนาง ได้แต่งงานนางโดยที่นางเป็นหญิงหม้าย และหล่อนก็ไม่ชอบการเช่นนั้น จึงได้ไปหาท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ท่านนบีจึงไต้ยกเลิกการแต่งงานของเขา[313]

รายงานหะดีษโดยบุคอรี  และ อะบู ดาวูด

และได้มีหญิงสาวคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วเล่าว่า ความจริงบิดาของหล่อนได้ แต่งงานหล่อน โดยที่หล่อนไม่สมัครใจ ท่านนบี  ซ.ล. จึงได็ให้หล่อนเลือก[314] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า หญิงคนใดได้แต่งงาน โดย ผู้ปกครองของหล่อนไม่ยินยอม การแต่งงานของหล่อนใชไม่ได้ (ท่านได้กล่าว) สามครั้ง และ ถ้าหากสามีนั้นได้ร่วมกับหล่อน สินสอดจะต้องเป็นของหล่อน แลกกับสิ่งที่เขาได้จากหล่อน และถ้าหากพวกเขา (บรรดาผู้ปกครอง) ขัดแย้งกัน ซุลตอน ก็เป็นผู้ปกครองของ (หญิง) ผู้ไม่มี ผู้ปกครอง[315]          

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และ ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าไม่มีการแต่งงาน นอกจาก ต้องมีผู้ปกครอง381 

รายงานโดย อะบูดาวูด และ ติรมีซี อะห์มัด และ บัยฮะกี ตัวบทของ อะห์มัด และ บัยฮะกี ว่า ไม่มีการแต่งงาน นอกจากต้องมีผู้ปกครอง และ พยานสองคนที่มี คุณธรรม[316]

เล่าจาก ซะมุเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า หญิงคนใดที่ผู้ปกครองสองคนไต้ทำการแต่งงาน หล่อน ดังนั้นหล่อนจะตกเป็นของสามีคนแรกจากทั้งสองนั้น และผู้ชายคนใดได้ขายสินค้าชิ้นหนึ่ง ให้แก่ชายสองคน สินค้าชิ้นนั้นตกเป็นของผู้ซื้อคนแรก จากทั้งสองนั้น[317]                                                                                               

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อุกบะห์ บุตร อามิร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ไต้กล่าวว่าแท้จริง เงื่อนไข ที่สมควรต้องปฏิบัติตามที่สุด คือ สิ่งที่พวกท่านใช้มันทำให้อวัยวะเพศเป็นที่อนุญาต[318] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

สุนทรพจน์ (คุตบะห์) ในการแต่งงาน

เล่าจาก อับดิลลาห์  ร.ฎ. ไต้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้สอนคำสุนทรพจน์ ที่จะกล่าวก่อนพูดเรื่องสำคัญๆ ทั้งในเรื่องการแต่งงาน และอื่นๆ[319] ว่า มวลการสรรเสริญ เป็นของอัลเลาะห์ เราขอความช่วยเหลือจากพระองค์ เราขออภัยโทษต่อพระองค์ และเราขอ ป้องกันด้วยอัลเลาะห์จากความชั่วของตัวเราเอง ผู้ใดที่อัลเลาะห์ทรงชิ้นำให้เขา ก็จะไม่มีผู้ใด ทำให้เขาหลงผิด และผู้ใดที่พระองค์ให้หลงผิด ก็จะไม่มีผู้ใดชี้นำให้เขา ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า แท้จริงมุฮำหมัดเป็นบ่าว และศาสนทูตของพระองค์ โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย จงมีความยำเกรงอัลเลาะห์ ตามที่ควร ต้องยำเกรงพระองค์ และท่านทั้งหลายอย่าสิ้นชีพ นอกจากในสภาพที่พวกท่านเป็นมุสลิม[320] ท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลเลาะห์ ซึ่งพวกท่านต่างเรียกหาพระองค์และ (จงยำเกรง) เครือญาติ[321] แท้จริง อัลเลาะห์ เป็นผู้ติดตามดูแลพวกท่าน            โอ้บรรดาผู้ทีมีศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงอัลเลาะห์ และจงพูดคำพูดที่ถูกต้อง พระองค์จะทรงปรับปรุงการงานของพวกท่านให้เป็นประโยชน์แก่ พวกท่าน และพระองค์จะทรงอภัยบาปของพวกท่านให้แก่พวกท่าน และผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตาม อัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ เขาก็จะได้รับความสำเร็จอันใหญ่หลวง

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากชายคนหนึ่งของ ตระกูล บะนี สุลัยม์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้สู่ขอ อุมามะห์ บุตาสาวอับดิลมุตตอลิบต่อท่านนบี ซ.ล. และท่านได้แต่งงานให้ข้าพเจ้าโดยท่านไม่ได้กล่าวสุนทรพจน์[322]         

รพงานโดย อะบู ดาวูด และ บุคอรี ในหนังสือ ตารีค ของเขา

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ทุกคำสุนทรพจน์ที่ไม่มีคำปฏิญาณ มันจะมีสภาพเหมือน มือที่เป็นโรคเรื้อน[323]                                                                             

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

ตอน ค่าสมรส[324]

อัลเลาะห์ตาอาลา ไต้ตรัสว่า “และพวกท่านจงมอบค่าสมรสแก่พวกผู้หญิงตามหน้าที่ และถ้าหากพวกนางพึงพอใจที่จะยกสิ่งหนึ่งจากค่าสมรสนั้นให้แก่พวกท่าน พวกท่านจงกินมัน โดยโอชะ โดยชอบธรรม”

เล่าจาก อะบี ซะละมะห์  ร.ฎ. ว่า ข้าพเจ้าได้ถามอาอิชะห์  ร.ฎ. ว่า ค่าสมรสของ ท่านร่อซูลุลเลาะห์  ซ.ล. นั้นเท่าไหร่   นางได้กล่าวว่า ปรากฏว่า ค่าสมรสของท่านที่มอบให้แก่บรรดาภรรยาของท่านนั้น สิบสองออนซ์ และนัชช์ นางได้กล่าวว่า เธอรู้ไหมว่า นัชช์ คืออะไร ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่รู้ นางจึงกล่าวว่า ครึ่งออนซ์ และนั่นแหละ มันก็เท่ากับ ห้าร้อย ดิรฮัม       

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านนบี ซ.ล. ได้เห็นบนร่างของ อับดุรเราะห์มาน บุตร เอาฟ์ มีรอยสีเหลืองติดอยู่[325] ท่านได้กล่าวว่า นี่คืออะไร                                   เขาตอบว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าได้แต่งงานแล้วกับผู้หญิงคนหนึ่ง ด้วยนํ้าหนักเท่าเมล็ดอินทผลัม เป็นทองคำ ท่านได้กล่าวว่า ขออัลเลาะห์ทรงเพิ่มพูนให้ท่าน จงฉลองการแต่งงานเกิดแม้ด้วยแกะหนึ่งตัว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อุมม์ ฮะบีบะห์  ร.ฎ. ว่า ความจริงหล่อนเคยเป็นภรรยาของ อุบัยดิลลาห์ บุตร ยะห์ช ต่อมาเขาได้เสียชีวิตที่แผ่นดิน อะบิสิเนีย และนัจญาซีย์ ได้แต่งงานหล่อนให้แก่ ท่านนบี ซ.ล. และได้จ่ายค่าสมรสให้หล่อนแทนท่านนบี จำนวนสี่พันดิรฮัม และได้ส่งหล่อน ไปหาท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. พร้อมด้วย ชุเราะห์บีล บุตร ฮะซะนะห์[326]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด นะซาอี และอะห์มัต

เล่าจาก อะบิล อัจฟาอ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวสุนทรพจน์แก่พวกเรา โดยได้กล่าวว่า พึงทราบเถิด ท่านทั้งหลายอย่าเรียกเอาค่าสมรสผู้หญิงแพง เพราะความจริง ถ้าหากมันเป็นสิ่งที่ควรแก่การยกย่องในโลกดุนยานื้แล้ว หรือ เป็นความยำเกรง ณ พระองค์อัลเลาะห์แล้ว แน่นอนว่า ผู้ที่สมควรกระทำอย่างนั้นมากที่สุดในหมู่พวกท่าน ก็คือ ท่านนบี  ซ.ล. ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ไม่เคยให้ค่าสมรสแก่ภรรยาคนใด จากบรรดาภรรยาของท่าน และบุตรสาวคนใดจากบรรดาบุตรสาวของท่านก็ไม่เคยได้ค่าสมรสเกินกว่า สิบสองออนซ์[327]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และหญิงคนหนึ่ง จากตระกูล บะนี ฟะซาเราะห์ ได้แต่งงานโดยมีค่าสมรส เป็นรองเท้าแตะสองข้าง ท่านร่อซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า เธอยินดีแลกตัวเธอ และทรัพย์ของเธอ ด้วยรองเท้าแตะสองข้างหรือ หล่อนได้กล่าวว่า คะ ท่านนบีจึงอนุญาตให้เขา[328]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี และถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก อุกบะห์ บุตร อามิร  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวแก่ผู้ชายคนหนึ่ง ว่า ท่านจะยินดีไหมที่ข้าพเจ้าจะแต่งงานท่านกับผู้หญิงคนนั้น ชายคนนั้นได้กล่าวว่า ยินดีครับ และท่านได้กล่าวแก่ฝ่ายหญิงว่า เธอยินดีไหมที่ข้าพเจ้าจะแต่งงานเธอกับผู้ชายฺคนนั้น หล่อนตอบว่า ยินดีค่ะ ต่อมาท่านนบีก็ได้แต่งงานชายคนนั้นกับหญิงคนนั้น และเขาได้ร่วมเพศกับหล่อน โดยไม่ได้กำหนดค่าสมรสให้หล่อน และไม่ได้มอบสิ่งใดให้แก่หล่อนเลย และฝ่ายชายเป็นบุคคล หนึ่งที่ปรากฏตัวในศึกฮุดัยบียะห์ และสำหรับผู้ที่ปรากฏตัวในศึก ฮุดัยบียะห์นั้น จะมีส่วนได้ที่ คอยบัร และเมื่อเขาใกล้ถึงความตาย เขาได้กล่าวว่า แท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้แต่งงานข้าพเจ้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง โดยข้าพเจ้าไม่ได้กำหนดค่าสมรสให้หล่อน และไม่ได้มอบ สิ่งใดให้หล่อนเลย และความจริงขอให้พวกท่านเป็นพยานด้วยว่า ข้าพเจ้าได้ยกให้หล่อนเป็นค่า สมรสของหล่อนแล้ว คือ ส่วนได้ของข้าพเจ้าที่คอยบัร ต่อมาหญิงคนนั้นก็ได้เอาส่วนได้นั้น และ ได้ขายมันไปเป็นเงิน หนึ่งหมื่น ดิรฮัม[329]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะเมื่อ อะลีแต่งงานกับฟาติมะห์  ร.ฎ. ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขาว่า เจ้าจงมอบสิ่งหนึ่งให้แก่นางเถิด อะลีตอบว่า ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดเลย ท่านนบีได้กล่าวว่า เสื้อเกราะ อัลฮุตอมีย์[330] ของท่านไปอยู่เสียที่ไหน อะลีตอบว่ามันยังอยู่ที่ข้าพเจ้า ท่านได้กล่าวว่า เจ้าจงมอบมันให้นาง   

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด นะซาอี และฮากีม ถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

ค่าสมรส อาจเป็นแรงงาน[331]

เล่าจาก สะฮัล บุตร สะอัด  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ผู้หญิงคนหนึ่งได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้ามาเพื่อยกตัวของข้าพเจ้าเองให้ท่าน[332] ท่าน รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มองดูหล่อน ท่านได้มองดูตรง ๆ และลดสายตาลงมอง จากนั้นท่าน ได้สั่นศีรษะ เมื่อหญิงคนนั้นเห็นท่านไม่จัดการเกี่ยวกับหล่อนสักสิ่งใด หล่อนจึงนั่งลง ได้มีชาย คนหนึ่งจากอัครสาวกของท่านลุกขนแล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ถ้าหากท่านไม่มีความ ต้องการหญิงคนนี้แล้วท่านจงแต่งงานข้าพเจ้ากับหล่อนเถิด ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านมีสิ่งใดบ้าง ไหม เขาตอบว่า ไม่มี สาบานต่ออัลเลาะห์ โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดเลย ท่านนบีได้กล่าวว่า เจ้าจงมองดู แม้เพียงแหวนเหล็กสักวงหนึ่ง[333] ชายคนนั้นได้โปแล้วกลับมา กล่าวว่า ไม่มี สาบานต่ออัลเลาะห์ โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ไม่มีแม้แต่แหวนเหล็ก แต่นี่คือ ผ้านุ่งของข้าพเจ้า มันจะเป็นของหล่อนครึ่งหนึ่ง ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวถามว่า ท่านจะทำอย่างไร ถ้าหากท่านนุ่งมันก็จะไม่มีส่วนใดของผ้านุ่งนั้นอยู่บนร่างของหล่อนเลย และ ถ้าหากหล่อนนุ่งมัน ก็จะไม่มีส่วนใดของมันอยู่บนร่างของท่านเลย ชายคนนั้นนั่งอยู่ จนเวลาผ่านไปนาน เขาจึงลุกขื้น ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. เห็นเขาหันกลับไป จึงได้ใช้ให้ไปที่เขา และ เขาก็ถูกเรียกมา เมื่อเขามาแล้ว ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านมีสิ่งใดอยู่บ้าง จากอัลกุรอานเขากล่าว ว่า ข้าพเจ้ามีซูเราะห์นั้น และซูเราะห์นั้น เขาได้นับมัน[334] ท่านได้กล่าวว่าท่านอ่านซูเราะห์ เหล่านั้นได้จำขื้นใจไหม เขาตอบว่า ครับ ท่านได้กล่าวว่า เจ้าจงไปเถิด แท้จริง ข้าพเจ้ายก เธอให้เป็นกรรมสิทธิ้ของท่าน ด้วยสิ่งที่ท่านมีอยู่จากอัลกุรอาน และในรายงานหนึ่งว่า ข้าพเจ้า แต่งงานท่านกับหล่อน ด้วยสิ่งที่ท่านมีจากอัลกุรอาน403 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้ปลดปล่อย ซอฟียะห์ ให้เป็นอิสระ และได้ให้การปลดปล่อยนางนั้น เป็นค่าสมรสของนาง[335]

เล่าจาก อะบี มูซา  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า สามคนนี้จะได้รับผลบุญ สองครั้งคือ ทาส ที่ได้ปฏิบัติตามสิทธิของอัลเลาะห์ และตามสิทธิของผู้เป็นนายของเขา ดังนั้น แหละที่ ผลบุญของเขาจะได้สองครั้ง ชายคนหนึ่งที่เขามีทาสหญิงที่น่ารัก เขาได้สอนมารยาท ให้นาง และได้สอนมารยาทให้นางเป็นอย่างดี ต่อมาเขาได้ปลดปล่อยนาง และได้แต่งงานกับนาง โดยเขามุ่งสู่อัลเลาะห์ด้วยการกระทำเช่นว่านั้น ดังนั้นแหละ เขาจะได้รับผลบุญของเขาสองครั้ง และชายคนหนึ่ง เขามีศรัทธาต่อคัมภีร์เล่มแรก หลังจากนั้นคัมภีร์อีกเล่มหนึ่งมา เขาก็ศรัทธาต่อ คัมภีร์นั้นอีก ดังนั้นแหละเขาจะได้รับผลบุญของเขาสองเท่า         

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จำเป็นต้องให้ค่าสมรสด้วยการตาย หรือร่วมประเวณี[336]อิบนุ มัสอูด  ร.ฎ. ได้ลูกถามถึงชายคนหนึ่งที่ได้แต่งงานกับหญิงคนหนึ่ง โดยเขาไม่ได้ กำหนดคู่สมรสให้หล่อน และยังไม่ท้นได้ร่วมประเวณีกับหล่อน จนเขาได้เสียชีวิตไป เขาได้ กล่าวว่า หล่อนมีสิทธิได้รับเหมือนกับค่าสมรสของหญิงที่เหมือนๆกันกับหล่อน โดยไม่ ลดหย่อน และเพิ่มเติม และหล่อนมีสิทธิได้รับมรดก และหล่อนจะต้องอยู่ในกำหนดกักตัว[337] มิอุ กอล บุตร ซินาน อัลอัชญะอีย์ ได้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ เคยตัดสินใจ ใน บัรวะอ บุตรสาว วาชิก เหมือนกับที่ท่านได้ตัดสิน และมันได้ทำให้ อิบนุ มัสอูด ดีใจ  

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก บัสเราะห์ บุตร อักซัม อัลอันซอรีย์  ร.ฎ. ว่า เขาได้กล่าวแก่ท่านนบี  ซ.ล. ว่า ข้าพเจ้าได้แต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่งในผ้าคลุมของหล่อน ต่อมาข้าพเจ้าได้เข้าไปหาหล่อน ก็ได้พบว่าหล่อนมีครรภ์ ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า หล่อนมีสิทธิได้รับค่าสมรสแลกเปลี่ยน กับสิ่งที่ท่านได้ถือว่าอวัยวะเพศของหล่อนเป็นสิ่งอนุมัติ และเด็กนั้นตกเป็นทาสของท่าน[338] และเมึ่อหล่อนคลอด ให้ท่านเฆี่ยนหล่อน หรือ (ท่านได้กล่าวว่า) ให้พวกท่านเฆี่ยนหล่อน หรือ (ท่านได้กล่าวว่า) ให้พวกท่านลงโทษหล่อน         

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เครื่องใช้ติดตัวเจ้าสาว

เล่าจาก อะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้จัดเตรียมให้แก่ฟาติมะห์ ผ้าลายทาง ถุงหนังบรรจุนํ้า และ หมอนที่ยัดใส้มันด้วยด้น อิชคิร[339]

รายงานหะดีษโดย นะซาอี

ประกาศการแต่งงาน และ การละเล่นในงานแต่งงาน 

เล่าจาก รุบัยยิอุ บุตรสาว มุเอาวิช  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้มา และ เข้ามา ขณะที่ ข้าพเจ้าได้ถูกส่งตัว ท่านได้นั่งลงบนที่นอนของข้าพเจ้า เหมือนที่ท่านกำลังนั่งอยู่นี้ ต่อมาบรรดาทาสหญิงของเราก็ได้เริ่มตีกลอง และ รำพันถึงบุคคลที่ถูกฆ่าจากบรรพบุรุษของ ข้าพเจ้าในวัน บัดร์ ทันใดนั้นคนหนึ่งของพวกหล่อนได้กล่าวขึ้นว่า และในหมู่พวกเรามีนบีที่รู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ท่านได้กล่าวว่า เธอจงเลิกกล่าวสิ่งนี้ และให้เธอจงกล่าวถึงสิ่งที่ เธอเคยกล่าว[340]         

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ว่า แท้จริงหล่อนได้ส่งตัวผู้หญิงคนหนึ่งให้แก่ผู้ชายชาวอันชอร คนหนึ่ง ท่านนบีของอัลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า โอ้ อาอิชะห์ ไม่มีการละเล่นไปพร้อมกับ พวกท่านหรือ เพราะความจริงชาวอันชอรโปรดปรานการละเล่น          

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และ อะห์มัด

เล่าจาก มุฮำหมัด บุตร ฮาติบ  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้อแตกต่าง ระหว่างของ ฮะรอม กับ ฮะลาล นั้นคือ กลอง กับ เสียง[341]                                                                                      

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และนะซาอี ถือว่าเป็นหะดีษหะซัน

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงประกาศการ แต่งงานนี้ และจงกระทำการแต่งงานในมัสยิด และท่านทั้งหลายจงตีกลองในการแต่งงาน 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ถือว่าเป็นหะดีษหะซัน

เล่าจาก อามิร บุตร สะอัด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เข้าไปหา กุรอเดาะห์ บุตร กะอับ และ อะบี มัสอูด อัลอันซอรีย์ ในพิธีแต่งงาน และขณะนั้นมีทาสหญิงหลายคนกำลัง ขับลำนำ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ท่านทั้งสองเป็นอัครสาวกของท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. และ เป็นส่วนหนึ่งของชาว บัดร์ ปล่อยให้มีการกระทำเช่นนี้ที่พวกท่านหรือ     เขาทั้งสองได้กล่าวว่า นั่งลงเถิด ถ้าหากท่านต้องการ และร่วมรับฟังพร้อมกับพวกเรา และถ้าหากท่านต้องการก็จงไปเถิด ความจริงพวกเราได้รับการผ่อนผันในการละเล่นขณะมีพิธีแต่งงาน[342]   

รายงานหะดีษโดย นะซาอี และฮากีม ถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

การขอพรให้คู่บ่าวสาว

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล. เมื่อท่านได้ อวยพรให้แก่คนหนึ่ง ขณะที่เขาแต่งงาน ท่านจะกล่าวว่า ขออัลเลาะห์ทรงประทานความเพิ่มพูน ให้แก่ท่าน และ เพิ่มพูนเหนือท่าน และ ให้ท่านทั้งสองร่วมกันในความดี 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อัลหะซัน  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะกีล บุตร อะบี ตอลิบ ได้แต่งงานกับผู้หญิง คนหนึ่ง จากตระกูล บะนื ยุ,อัม และได้มีผู้กล่าวแก่เขาว่า ขอให้ได้ความกลมเกลียว และลูก หลาน เขาได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงกล่าว เหมือนที่ท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวคือ ขออัลเลาะห์ทรงประทานความเพิ่มพูนในพวกท่านและให้พวกท่าน

รายงานหะดีษโดย นะซาอี

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้แต่งงานกับข้าพเจ้า มารดา ของข้าพเจ้าได้มายังข้าพเจ้า และได้ส่งข้าพเจ้าเข้าบ้าน ที่นั่นมีผู้หญิงชาวอันซอรหลายคนอยู่ใน บ้าน พวกหล่อนได้กล่าวว่า ขอให้ได้ความตี ความเพิ่มพูน และขอให้โชคดี

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ในเรื่องนี้ และ อะบูดาวูด ในเรื่องมารยาท

ตัวบทของ อะบีดาวูด และ น่าชาอี ว่า เมื่อคนหนึ่งของพวกท่านได้แต่งงานกับผู้หญิง คนหนึ่ง หรือซื้อทาส ให้เขาจงกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าขอต่อท่าน ความดีของหล่อน และ ความดีของสิ่งที่พระองค์ท่านได้ให้เป็นนิสัยของหล่อน[343] และข้าพเจ้าขอ ป้องกันด้วยท่าน จากความชั่วของหล่อน และความชั่วของสิ่งที่พระองค์ท่านได้ให้เป็นนิสัยของหล่อน และ เมื่อเขาได้ซื้ออูฐ ให้เขาจงจับยอดของตะโหงกอูฐ และให้เขาจงกล่าวเหมือนกันนั้น

บทที่ห้า
วะลีมะห[344]

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “เมื่อพวกท่านถูกเชื้อเชิญ พวกท่านจงเข้าไปเถิด และเมื่อพวกท่านได้รับประทานอาหารแล้ว ก็จงแยกย้ายกันไป”

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อคนหนึ่งของพวกท่าน ถูกเชิญไปร่วมงานวะลีมะห์ ให้เขาจงไปร่วมงานวะลีมะห์นั้นเถิด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของบุคอรีว่า ท่านทั้งหลายจงช่วยปลดปล่อยเชลยศึก และจงตอบรับผู้ที่เชื้อเชิญ และจงไปเยี่ยมคนป่วย

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า อาหารที่ชั่วที่สุด คือ อาหารในงานวะลีมะห์. ที่ห้ามผู้มารับประทาน และเชื้อเชิญผู้ที่ฝืนใจมา[345] และผู้ใดไม่ตอบรับ คำเชื้อเชิญ ความจริงเขาเป็นผู้ฝ่าฝืนอัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์

และปรากฏว่า อะบูฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. .เคยกล่าวว่า อาหารที่ชั่ว คือ อาหารของงาน วะลีมะห์ ที่เชื้อเชิญแต่คนร่ำรวย ปล่อยปละละเลยคนยากจน และผู้ใดปล่อยปละละเลยการ เชื้อเชิญ ความจริงเขาเป็นผู้ฝ่าฝืนอัลเลาะห์ และ ศาสนทูตของพระองค์  ซ.ล.[346] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และตัวบทของอะบีดาวูดว่า ผู้ใดถูกเชื้อเชิญ แล้วเขาไม่ตอบรับ ความจริงเขาเป็นผู้ฝ่าฝืน อัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์ และผู้ใดที่เข้าไปโดยไม่มีคำเชิญ เท่ากับเขาได้เข้าไปใน ฐานะนักย่องเบา และกลับออกมาอย่างโจรปล้น

และได้มีชายคนหนึ่ง มีชื่อเรียกว่า อะบู ชุอัยบ์ ได้มายังทาสคนหนึ่งของเขาที่เป็นคนขาย เนื้อ แล้วกล่าวว่า เจ้าจงทำอาหารให้ข้าฯ พอสำหรับคนห้าคน เพราะความจริงข้าฯ ได้แลเห็น ความหิวปรากฏอยู่ที่ใบหน้าของท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. เขาจึงได้ทำอาหารขึ้นแล้วส่งตัวแทน ไปยังท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. เชื้อเชิญท่าน กับ บุคคลที่นั่งอยู่กับท่าน เมื่อท่านนบี  ซ.ล. ลุกขึ้น ก็ได้มีชายคนหนึ่ง ที่ไม่ได้อยู่ร่วมกับพวกเขาขณะถูกเชิญติดตามพวกเขามาด้วย เมื่อท่าน รอซูลุลเลาะห์   ซ.ล. มาสุดที่ประตู ท่านได้กล่าวแก่เจ้าของบ้านว่า ความจริงได้มีชายคนหนึ่ง ติดตามพวกเรามาด้วย โดยที่เขาไม่ได้อยู่กับพวกเรา ขณะที่ท่านเขึ้อเชิญพวกเรา ดังนั้นถ้าหาก ท่านอนุญาตให้เขา เขาก็จะเข้าไป เจ้าของบ้านได้กล่าวว่า พวกเรายอมอนุญาตให้เขา ดังนั้น จงให้เขาเข้ามาเถิด[347]       

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และตัวบทของเจ้าของสุนันว่า อาหารวันแรกเป็นสิทธิ์ อาหารวันที่สองเป็นซุนนะห์ และอาหารวันที่สามเป็นการอวดอ้าง และผู้ใดอวดอ้าง อัลเลาะห์ก็จะอวดอ้างกับเขา

และตัวบทของอะบีดาวูด และอะห์มัด ว่า เมื่อมีผู้เชื้อเชิญสองคนเชิญตรงกัน ให้รับ คำเชิญของคนที่ประตูใกล้ที่สุดในสองคนนั้น เพราะคนที่ประตูใกล้ชิดที่สุดในสองคนนั้น คือ คนที่ใกล้ชิดที่สุดในด้านการเป็นเพื่อนบ้าน และถ้าหากคนหนึ่งจากในสองเชื้อเชิญก่อน จงตอบ รับคนที่เชิญก่อน

วะลีมะห์พิธีแต่งงาน

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อคนหนึ่งคนใดของพวก ท่านได้เชื้อเชิญพี่น้องของเขา ให้เขาจงตอบรับคำเชิญงานแต่งงานเถิด หรือที่เหมือนกันนั้น 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจาก อะบี อุซัยด์ อัซซาอิดีย์  ร.ฎ. ว่า ความจริงเขาได้เชิญท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ไปในงานแต่งงานของเขา และปรากฏว่าภรรยาของเขาในวันนั้นเป็นผู้ดอยบริการพวกเขา โดย หล่อนเป็นเจ้าสาว เมื่อท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้รับประทาน หล่อนได้รินนํ้าหมักอินทผลัม ให้ท่าน ซึ่งหล่อนได้หมักมันไว้ตั้งแต่เมื่อคืน

รายงานโดย บุคอรี และ มุสลิม ในเรื่องครื่องดื่ม

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้พำนักอยู่ระหว่าง คอยบัร กับ มะตีนะห์ เป็นเวลาสามวัน โดยซอฟียะห์ บุตรสาว ฮุบัยย์ ถูกส่งตัวให้ท่าน ต่อมาข้าพเจ้าได้เชื้อเชิญมวลมุสลิมให้มาร่วมงานวะลีมะห์         ไม่มีอยู่ในงานนั้นทั้งขนมปัง และ ไม่มีเนื้อ ท่านนบีได้ใช้ให้ปูแผ่นหนัง แล้วต่อมา อินทผลัมกับนมแข็ง ก็ไดัลูกโยนลงในแผ่นหนังเหล่านั้น และ นั่นแหละ คือ วะลีมะห์ของท่าน[348] มวลมุสลิมได้กล่าวว่า (หล่อน) เป็นคนหนึ่งจากบรรดา มารดาของมวลผู้ศรัทธา หรือ เป็นทาสที่มือขวาของท่านนบีปกครอง พวกเขาได้กล่าวว่า ถ้า หากท่านนบีปกปิดร่างของหล่อนอย่างมิดชิด หล่อนก็เป็นคนหนึ่งจากบรรดามารดาของมวลผู้ศรัทธา และถ้าไม่เช่นนั้น หล่อนก็เป็นทาสที่มือขวาของท่านนบีปกครองอยู่ และเมื่อท่านนบีออกเดินทางท่านไดให้หล่อนขึ้นขี่พาหนะอยู่ข้างหลังท่าน และได้ยืดม่านกั้นระหวางหล่อนกับประชาชน[349]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นท่านนบี ซ.ล. จัดงานวะลีมะห์ ให้ภรรยาคนใดจากบรรดาภรรยาของท่าน เหมือนที่ท่านได้จัดงานวะลีมะห์ให้แก่ ซัยหนับ ท่าน ได้จัดวะลีมะห์โดยแกะหนึ่งตัว           

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า อุบัยย์ บุตร กะอับ  ร.ฎ. เคยถามข้าพเจ้าเกี่ยวกับ การปกปิดอย่างมิดชิด (ฮิญาบ) และโดยที่ข้าพเจ้ารู้ดีที่สุดในเรื่องนี้ยิ่งกว่าใครๆ ท่านนบี ซ.ล. ได้ตื่นเข้าอยู่กับนัยหนับ ในฐานะเป็นเจ้าบ่าว โดยที่ท่านได้แต่งงานกับซัยหนับที่ นครมะดีนะห์ ท่านได้เชื้อเชิญประชาชนให้มารับประทานอาหาร ภายหลังจากตะวันขึ้น ได้มีผู้ชายหลายคน ยังคงนั่งอยู่กับท่านนบี ซ.ล.หลังจากกลุ่มชนได้ลุกขึ้นไปแล้วจนกระทั่งท่าน รอชูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ลุกขึ้น และเดินไป ข้าพเจ้าได้เดินไปพร้อมกับท่าน จนท่านได้มาถึง ประตูห้องของอาอิชะห์ ต่อมาท่านคิดว่า พวกเขาได้ออกไปแล้ว ท่านจึงกลับมา และข้าพเจ้าก็ ได้กลับมาพร้อมกับท่าน ก็ได้พบว่าพวกเขายังคงนั่งกันอยู่ในที่เดิม ท่านจึงกลับออกไป และข้าพเจ้า ก็ได้กลับออกไปเป็นครั้งที่สอง จนได้มาถึงประตูห้องของอาอิชะห์ ท่านได้กลับไป และข้าพเจ้า ก็กลับไป บังเอิญพวกเขาเหล่านั้นได้ลุกขึ้นยืน ท่านจึงได้เอาม่านกั้น ระหว่างข้าพเจ้ากับท่าน[350] และอัลเลาะห์ก็ได้'ประทานอายะห์ฮิญาบลงมาว่า “โอ้ บรรดาผู้ทีมศรัทธาทั่งหลาย พวกท่าน อย่าเข้าบ้านนบี นอกจากพวกท่านจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปสู่อาหาร โดยไม่ได้คอยอาหารนั้น แต่เมื่อพวกท่านถูกเชื้อเชิญพวกท่านจงเข้าไปเถิด และเมื่อพวกท่านได้รับประทานอาหารแล้ว ก็จงแยกย้ายกันไป และโดยไม่นิยมพูดคุยกัน เพราะแท้จริงการเช่นนั้น เป็นการทำความรำคาญให้ ท่านนบี และนบีก็อายพวกท่าน และอัลเลาะห์ไม่อาย (ที่จะแถลง) ความจริง และเมื่อพวกท่าน ขอสิ่งใดจากพวกนาง ให้พวกท่านขอพวกนางทางด้านหลังเครื่องกั้น นั่นแหละ เป็นความสะอาด ยิ่งสำหรับหัวใจของพวกท่าน และหัวใจของพวกนาง”

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

งานวะสีมะห์ฉลองการกลับจากเดินทาง

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะเมื่อท่านนบี  ซ.ล. ได้เข้ามาสู่นครมะดีนะห์ ท่านได้เข้อดอูฐ หรือ วัว[351] 

รายงานโดยบุคอรี และอะบู ดาวูด ในเรื่องญิฮาด

ไม่มีการตอบรับคำเชิญ ถ้าที่นั้นมีสิ่งที่ถูกปฏิเสธ[352]

อิบนุ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้ห้ามอาหารของคนสองคนที่ทำขึ้นโอ้อวดกัน (คือห้าม) รับประทาน

และชายคนหนึ่งได้เชื้อเชิญอะลี  ร.ฎ. เป็นแขก และเขาได้ทำอาหารมาให้อะลี ฟาติมะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ถ้าหากพวกเราเชื้อเชิญท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ท่านก็จะได้ร่วมรับประทาน กับเรา พวกเขาจึงได้เชื้อเชิญท่าน และท่านได้มา ท่านได้วางมือลงบนขอบประตูทั้งสองด้าน และท่านได้เห็นผ้าม่านที่มีลวดลาย ถูกขึงอยู่ที่มุมบ้าน ท่านจึงกลับ ฟาติมะห้ได้กล่าวว่า จงไป ตามท่าน และจงไปดูว่าสิ่งใดที่ทำให้ท่านกลับ ข้าพเจ้าจึงได้ตามท่านไป ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ อะไรทำให้ท่านกลับ ท่านได้กล่าวว่า ความจริงมันไม่สมควรที่ข้าพเจ้าหรือ

นบีท่านใด จะเข้าบ้านทีมีการตกแต่ง[353]           

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด

ตอน มารยาทของการร่วมประเวณี[354]

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากคนใดของพวก ท่านต้องการสมสู่กับภรรยาของเขา และเขาได้กล่าวว่า ด้วยนามของอัลเลาะห์ ข้าแต่อัลเลาะห์ ได้โปรดให้พวกเราห่างไกลจากชัยฏอน และได้โปรดให้ชัยฏอนออกห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ ท่านได้ประทานเรา ความจริงถ้าหากได้ลูกกำหนดให้มีบุตรระหว่างเขาทั้งสองในการนั้น ชัยฏอน จะไม่สามารกทำอันตรายแก่เด็กผู้นั้นได้เลยตลอดไป[355] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจงระวังการ

เปลือยกาย เพราะความจริงจะอยู่กับพวกท่าน ผู้ที่จะไม่เคยแยกออกจากพวกท่านเลย นอกจาก ขณะถ่ายอุจจาระ และในขณะที่ชายคนหนึ่งจะร่วมกับภรรยาของเขา ดังนั้นท่านทั้งหลายจง อายพวกเขา และยกย่องพวกเขา[356]          

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ในเรื่อง มารยาท

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกยะฮูด เคยกล่าวว่า เมื่อผู้ชายร่วมกับภรรยา ของเขา จากทางด้านหลังเข้าในทวารเบาของภรรยา ลูกที่เกิดจะตาเหล่ จึงได้ลงมาว่า“ภรรยาของพวกท่าน คือ ไร่นาของพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจงเข้าสู่ไร่นาของพวกท่านตามแต่พวก ท่านต้องการเถิด”487 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

และตัวบทของเจ้าของสุนัน ว่า เป็นผู้ที่ถูกสาปแช่ง[357]  บุคคลที่ร่วมกับภรรยาของเขา ทางทวารหนักของภรรยา

เล่าจาก อะลี บุตร ตอลก์ ร.ฎ.' ได้กล่าวว่า อาหรับชนบทคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ผู้ชายคนหนึ่งของพวกเราอยู่ในทะเลทราย และ ปรากฏว่ามีการผายลมเล็กน้อยออกจากเขา และนํ้าก็มีน้อย ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าเมื่อคนใดของพวกท่านเสียนํ้าละหมาดให้เขาจงอาบนํ้าละหมาด และท่านทั้งหลายอย่าร่วมกับภรรยา ทางบั้นท้ายของหล่อน เพราะแท้จริง อัลเลาะห์ ไม่อายความจริง[358]

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์จะไม่มองดู ชายคนหนึ่งที่ได้ร่วมกับผู้ชาย หรือผู้หญิงทางทวารหนัก                                                                          

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ฅิรมิซี และอะห์มัด

และท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ทุกๆ สิ่งที่ผู้ชายมุสลิมละเล่นนั้น ไร้สาระทั้งหมด นอกจาก การยิงด้วยคันธนูของเขา และการที่เขาฝึกสอนม้าของเขา และการที่เขาเล้าโลม ภรรยาของเขา เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสัจธรรม[359] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อะบี สะอีด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ออกรบร่วมกับท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ในสงคราม มุสตอลิก พวกเราได้จับผู้หญิงที่สวยงามของชาวอาหรับ เป็นเชลย พวก เราได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวมาเป็นเวลานาน และพวกเราก็ปรารถนาได้ค่าไล่ ต่อมาพวกเราต้องการ หาความสุข และชักออก หลั่งข้างนอก พวกเราได้กล่าวกันว่า พวกเราจะกระทำ (ดังกล่าว) โดยรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ยังอยู่ในหมู่พวกเรา และพวกเราจะไม่ถามท่าน (หรือ) ต่อมาพวก เราได้ถามท่าน และท่านได้ตอบว่า ไม่ใช่ว่าการไม่กระทำ (หลั่งนอก) เป็นสิ่งที่จำเป็นแก่พวก ท่าน อัลเลาะห์ไม่ได้กำหนด การกำเนิดช่วิตใดที่มันจะต้องเกิดขึ๊นจนถึงวันกิยามะห์ นอกเสียจาก มันจะต้องเกิดขื้น[360]                           

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจาก เขา (อะบี สะอีด) ว่า แท้จริงชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริงข้าพเจ้ามีทาสหญิงคนหนึ่ง และข้าพเจ้ามักจะหลั่งนอกกับหล่อน โดยที่ข้าพเจ้าไม่พอใจ จะให้หล่อนตั้งครรภ์ และข้าพเจ้ามีความต้องการจากหล่อนในสิ่งที่พวกผู้ชายทั้งหลายต้องการ และแท้จริงพวกยะฮูด ได้กล่าวว่าการหลั่งนอกนั้น เป็นการฝังลูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ทั้งเป็น ท่านนบีได้กล่าวว่า พวกยะฮูดโกหก ถ้าหากอัลเลาะห์ปรารถนาจะสร้างมันขึ้น ท่านก็ไม่อาจหันเหมันได้[361]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของมุสลิม กับ อะบีดาวูดว่า แท้จริง ชายคนหนึ่งได้ถามท่านนบี ซ.ล. โดยได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้ามีทาสหญิงคนหนึ่ง และข้าพเจ้ามักจะหลั่งนอกกับหล่อน ท่าน นบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า            แท้จริงการเช่นนั้นมันจะไม่ยับยั้งสิ่งใดที่อัลเลาะห์ปรารถนาให้มันเกิด ต่อมาชายคนนั้นได้มา[362] แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริง ทาสหญิงคนนั้น ได้ตั้งครรภ์แล้ว ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นบ่าวของอัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์[363]

และญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเคยหลั่งนอกในสมัยท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ต่อมาการดังกล่าวได้ล่วงไปถึงท่าน และท่านก็ไม่ได้ห้ามพวกเรา[364]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อะบี สะอีด  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริง มนุษย์ที่มีตำแหน่งชั่วที่สุดสำหรับอัลเลาะห์ ในวันกิยามะห์ คือ ชายคนหนึ่งที่ได้ร่วมกับภรรยาของเขา และภรรยาของเขาก็ได้ร่วมกับเขา ต่อมาเขาได้นำความลับของภรรยาออกกระจาย[365] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และ อะห์มัด

และตัวบทของเจ้าของสุนันว่า ความจริงข้อเปรียบเทียบการเช่นนั้นก็เหมือนกับชัยฏอน ตัวเมียที่ได้พบกับชัยฏอนตัวผู้โนทางสัญจร และมันได้จัดการธุระของมันกับชัยฏอนตัวเมีย โดยประชาชนพากันมองดูมัน[366]

อนุญาตร่วมประเวณีกบหญิงที่ตั้งครรภ์ และที่เลยงลูกด้วยนม[367]

เล่าจาก ยุดามะห์ บุตรส่าว วะฮบ์ อัลอะสะดียะห์  ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า            ความจริงข้าพเจ้าตั้งใจจะห้ามการร่วมประเวณีกับหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนม จนกระทั่ง ข้าพเจ้านึกขึ้นได้ว่า แท้จริงพวกโรมัน กับเปอร์เชียก็ทำเช่นนั้นโดยไม่เป็นอันตรายต่อลูกๆของพวกเขา

และได้มีชายคนหนึ่งมาแล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าได้หลั่งนอกกับ ภรรยาของข้าพเจ้า ท่านได้ถามว่า ทำไม เขากล่าวว่า ข้าพเจ้าสงสารบุตรของหล่อน ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากการเช่นนั้น ก่อให้เกิดอันตรายแล้ว มันจะต้องเกิด อันตรายแก่พวกเปอร์เชียและโรมัน 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม

ทาสหญิงจะยังไม่ลูกร่วมประเวณีจนกว่าจะถูกกักตัวก่อน[368]

เล่าจาก อะบี สะอีด  ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้ส่งบุคคลคณะหนึ่งในวัน ฮุนัยน์ ไปยัง เอาตอส และสามารกเอาชนะพวกนั้นได้ และได้จับเชลยศึกมาจากพวกนั้น และอัครสาวกของท่านนบี  ซ.ล. บางท่าน เกิดความรู้สึกลำบากใจ เนื่องจากสามีของพวก หล่อนที่เป็นพวก มุชริกีน อัลเลาะห์จึงได้ประทานลงมาว่า และ (ห้ามแต่งงานกับ) หญิง ที่มีสามียกเว้นที่มือขวาของพวกท่านปกครอง หมายความว่า พวกหล่อนเป็นที่อนุมัติของพวกท่าน เมื่อหมดกำหนดกักตัว ของพวกหล่อนแล้ว[369] 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และท่านนบี ซ.ล. ได้ผ่าน ขณะที่ท่านอยู่ในสงครามหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งที่ท้องแก่ใกล้คลอดอยู่ที่ประตูกระโจม ท่านได้กล่าวว่า คิดว่า เจ้าของหล่อน คงทำให้หล่อนเจ็บ (ใช่ไหม) พวกเขาได้กล่าวว่า ครับ ท่านได้กล่าวว่า ความจริง ข้าพเจ้าตั้งใจจะสาปแช่ง เขา เป็นการสาปแช่งที่จะเข้าไปอยู่ในหลุมฝังศพของเขาพร้อมกับเขา เขาจะให้เด็กในท้องรับ มรดก (ของเขา) ได้อย่างไร ทั้งที่เด็กนั้นไม่เป็นที่อนุมัติแก่เขา และเขาจะเอาเด็กในท้องเป็น ทาสได้อย่างไร ทั้งที่เด็กนั้นไม่เป็นที่อนุมัติแก่เขา[370]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบู ดาวูด

และเล่าจากเขา (อะบี สะอีด.) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ทาสที่มีครรภ์จะยังไม่ถูก ร่วมประ!วณี จนกว่าจะคลอดเสียก่อน และทาสที่ไม่มีครรภ์จะไม่ลูกร่วมประเวณี จนกว่า จะมีเลือดประจำเดือนหนึ่งครั้งเสียก่อน

เล่าจาก รุวัยฟิอฺ บิน ซาบิต อัลอันซอรี  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่ยินยอมให้ชายที่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และวันสุดท้าย รดนํ้าของเขาบนพืชของคนอื่น[371] และ ไม่ยินยอมให้ชายที่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และวันสุดท้าย ร่วมเพศกับหญิงคนหนึ่งที่ถูกจับเป็น เชลย จนกว่าจะได้กักตัวหล่อนไวัชั่วหนึ่งระดูเสียก่อน[372]      

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

บทที่หก 

สิทธิของความเป็นสามีภรรยา
สิทธิของสามีที่จะได้จากภรรยา[373]

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า        “พวกผู้ชายนั้น คือ ผู้ยืนหยัด (ดูแล) แก่พวกผู้หญิง เพราะสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงประทานให้บางคนของพวกเขา (คือผู้ชาย) เหนือกว่าบางคน (คือ ผู้หญิง) และเพราะสิ่งที่พวกเขาได้ใช้จ่ายไป จากทรัพย์สินของพวกเขา [374]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่ยินยอมให้ผู้หญิง ถือศีลอด โดยสามีของหล่อนอยู่ (บ้าน) นอกจากจะได้รับอนุญาตจากสามี[375] และภรรยาจะต้อง ไม่อนุญาตให้ (ผู้ใด) เข้าบ้านของสามี นอกจากจะได้รับอนุญาตจากสามี

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี 

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อชายคนหนึ่ง เรียกภรรยาของเขาไปยังที่นอน และภรรยาดื้อดึงที่จะมา มะลาอิกะห์จะสาปแช่งหล่อน จน กว่าจะรุ่งเช้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบูดาวูด 

เล่าจาก กอยส์ บุตร สะอัด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มายังฮีเราะห์ ข้าพเจ้าได้ พบพวกเขาก้มกราบต่อเจ้าเมืองของพวกเขา ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ควรจะได้รับการกระทำเช่นนั้นมากกว่า ต่อมาข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. และได้เล่าให้ ท่านฟังถืงเรื่องดังกล่าว ท่านได้กล่าวว่า จงบอกข้าพเจ้าเกิดว่า ถ้าหากท่านเดินผ่านหลุมฝังศพ หนึ่ง ท่านจะก้มกราบมันไหม ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่ ท่านจึงกล่าวว่า ดังนั้นท่านทั้งหลายอย่า กระทำเลย[376] ถ้าหากข้าพเจ้าจะใช้ให้คนหนึ่งก้มกราบผู้ใดแล้ว แน่นอนข้าพเจ้าจะต้องใช้ผู้หญิง ให้ก้มกราบสามีของพวกนาง เนื่องจาก อัลเลาะห์ ได้กำหนดให้พวกเขามีสิทธิเหนือพวกนาง

รายงานโดย อะนูตาวูด ติรมิซี และฮากีม 

และตัวบทของติรมีซีว่า ถ้าหากข้าพเจ้าจะใช้ผู้หนึ่งให้ก้มกราบต่อผู้ใดแล้ว แน่นอนข้าพเจ้าจะต้องใช้ผู้หญิงให้ก้มกราบแก่สามีของนาง[377]

เล่าจาก อัมร์ บุตร อัลอะห์วัส  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พึงทราบเถิด แท้จริงพวกท่านมีสิทธิเหนือภรรยาของพวกท่าน และภรรยาของพวกท่านก็มีสิทธิเหนือพวก ท่าน ดังนั้นพวกนางจะต้องไม่ให้ผู้ที่พวกท่านรังเกียจเหยียบที่นอนของพวกท่าน และพวกนาง จะต้องไม่อนุญาตให้ผู้ที่พวกท่านรังเกียจเข้าในบ้านของพวกท่าน[378] พึงทราบเถิดว่า สิทธิของ พวกนางที่มีเหนือพวกท่าน คือ ให้พวกท่านปฏิบัติด้วยดีกับพวกนางในเรื่องเครื่องนุ่งห่ม และ อาหารของพวกนาง[379]      

รายงานโดย ติรมิซี และถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก ตอลก์ บุตร อะลี  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าเมื่อผู้ชายเรียก ภรรยาของเขาเพื่อธุระของเขา ให้นางจงมาหาเขาเถิด แม้ว่าหล่อนจะอยู่ที่เตาอบขนมปังก็ตาม[380]

รายงานโดย ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อุมม์ ซะละมะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้หญิงคนใดที่ เสียชีวิต โดยที่สามีของนางมีความพอใจในตัวนาง, ผู้หญิงคนนั้นจะได้เข้าสวรรค์ 

รายงานโดย ติรมิซี และฮากีม

เล่าจาก มุอาช บุตร ยะบั้ล  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้หญิงคนหนึ่ง จะไม่ทำร้ายสามีของนางในโลกดุนยานี้ นอกจากภรรยาของเขาที่เปีนชาวสวรรค์ จะกล่าวว่าเธออย่าทำร้ายเขา - ขออัลเลาะห์. จงสังหารเธอ - ความจริงเขาจะอยู่กับเธอเพียงชั่วครู่ ซึ่ง เขาเกือบจะจากเธอมาอยู่กับเราแล้ว 

รายงานโดย ติรมิซี และถือว่าเป็นหะดีษหะซัน

สิทธิของภรรยาที่จะได้จากสามี

อัลเลาะห์ ตาอาลา ได้ตรัสว่า“และพวกนางมีสิทธิได้รับดุจเดียวกันกับที่พวกนางมี หน้าที่โดยดี แต่พวกผู้ชายมีสิทธิเหนือพวกผู้หญิงขั้นหนึ่ง”452

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้,ใดที่มีศรัทธาต่อ อัลเลาะห์ และวันสุดท้าย เขาจะต้องไม่ทำความรำคาญแก่เพื่อนบ้านของเขา และท่านทั้งหลาย จงสั่งเสียให้ทำดีต่อผู้หญิง[381]  เพราะความจริงพวกนางถูกสร้างขื้นจากกระดูกซี่โครง และแท้ จริงสิ่งที่คดงอที่สุดในกระดูกซึ่โครง ก็คือ ส่วนบนสุดของมัน ถ้าหากท่านไปดัดให้มันตรง ท่านก็ทำให้มันหัก และถ้าหากท่านปล่อยมันไว้ มันก็จะยังคงคดงออยู่ต่อไป ดังนั้นท่านทั้งหลาย จงสั่งเสียให้ทำดีต่อพวกผู้หญิงเถิด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี 

และในรายงานหนึ่งว่าแท้จริงผู้หญิงนั้นถูกสร้างขื้นมาจากกระดูกซึ่โครง มันจะไม่ตรงเพื่อท่านสักทางเดียว ถ้าหาก ท่านหาความสุขกับนาง ความคดงอก็ยังอยู่กับนาง และถ้าหากท่านไปดัดให้ผู้หญิงตรง ท่านก็ ทำให้นางหัก และการแตกหักของนาง ก็คือ การหย่าร้างนาง[382]

เล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าศรัทธาชนที่เปีนชาย อย่าขุ่นเคืองศรัทธาชนที่เป็นหญิง ถ้าหากเขารังเกียจนิสัยอย่างหนึ่งของหล่อน เขาก็จะพอใจ นิสัยอื่นของหล่อน[383]

 รายงานหะดีษโดย มุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ไต้กล่าวว่าถ้าหากไม่มีวงศ์วาน ของอิสรออีล แล้ว อาหารจะไม่บุดเสีย และเนื้อจะ ไม่เน่า  และถ้าหากไม่มี เฮาวาอฺ แล้ว ผู้หญิง จะไม่ทุจริตต่อสามีของนางตลอดกาล 

รายงานหะดีษโดย บุคอร และ มุสลิม

เล่าจาก มุอาวิยะห์ อ้ลกุซัยรีย์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ อะไรคือ สิทธิของภรรยาคนใดคนหนึ่งของพวกเราทีมอยู่เหนือเขา                                                                  ท่านได้กล่าวว่า ท่านจะต้องให้อาหารหล่อนเมื่อท่านได้อาหาร และท่านจะต้องให้หล่อนสวมใส่เครื่องนุ่งห่ม เมื่อท่านได้สวม เครื่องนุ่งห่ม ท่านอย่าตบหน้า อย่าใช้ถ้อยคำหยาบคาย และท่านอย่าปล่อยไว้อยู่ในบ้านตาม ลำพัง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อคนหนึ่งของพวกท่านหาย หน้าไปเป็นเวลานาน เขาอย่าเคาะเรียกครอบครัวของเขาในเวลากลางคืน

และปรากฏว่า ท่านนบี  ซ.ล. รังเกียจที่ผู้ชายจะมาสู่ภรรยาของเขาในเวลากลางคืน[384] และเล่าจาก เขา (มุอาวิยะห์) จากท่านบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงรั้งรอ ไว้ก่อน จนกว่าท่านทั้งหลายจะเข้าสู่เวลากลางคืน เพื่อหญิงที่ผมเป็นกระเข้ง จะได้สางผม และหญิงทีสามีหายหน้าไปจะได้ใข้มีดโกน[385]          

รายงานหะดมทั้งสามนี้โดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ภรรยาจะทำหน้าที่รับใช้ภายในบ้าน และออกไปทำธุระอย่างกระดาก

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เซาดะห์ บุตรสาว ซัมอะห์ ได้ออกไปในเวลา กลางคืน อุมัร ได้เห็นหล่อน และรู้ว่าเป็นหล่อน จึงได้กล่าวว่า แท้จริงเธอ โอ้ เซาดะห์ เธอไม่สามารกหลบพวกเราไปได้ หล่อนจึงกลับไปหาท่านนบี  ซ.ล. ซึ่งขณะนั้นท่านกำลัง อยู่ในห้องของข้าพเจ้ารับประทานอาหารค่ำ เซาดะห์ ได้เล่าเรื่องดังกล่าวให้ท่านพัง และความ จริงในมือของท่านยังมีกระลูกติดเนื้ออยู่ วะฮีย์ ได้ลงมายังท่าน และถูกยกขึ้นไป โดยท่าน กล่าวว่า ความจริงพวกเธอได้รับอนุญาตให้ออกไป (นอกบ้าน) เพื่อทำธุระของพวกเธอ[386]

รายงานโดย บุคอรี และ มุลลิม

เล่าจาก อับดิลลาห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้หญิง คือ อวัยวะที่ต้อง สงวน ดังนั้น เมื่อหล่อนออกไป ชัยฏอนจะทำให้หล่อนเห็นว่าตัวเองประเสริฐ[387]

เล่าจาก มัยมูนะห์ บุตรสาว สะอัด  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เปรียบ ผู้หญิงที่แสดงความยั่วยวนแก่ผู้ที่ไม่ใช่เป็นสามีของนาง เหมือนกับความมืดในวันกียามะห็ที่ ไม่มีรัศมีใดแก่หล่อนเลย 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ฅิรมิซี

เล่าจาก อะลี  ร.ฎ. ว่า ฟาติมะห์ (อะลัยฮิมาสลาม) ได้มาหาท่านนบี ซ.ล. ร้องทุกข์ต่อท่าน ถึงสิ่งที่เธอได้รับที่มือของเธอจาก (รอย) โม่ และโดยที่เธอได้ทราบข่าวว่ามีทาสคนหนึ่งมาถึง ท่านนบี แต่เธอไม่ได้พบกับท่าน จึงได้เล่าเรื่องดังกล่าวให้อาอิชะห์ฟัง เมื่อท่านนบีมา อาอิชะห์ ได้บอกเรื่องนั้นแก่ท่าน อะลีได้กล่าวว่า ต่อมาท่านได้มาหาเรา ขณะที่เราได้เข้านอนแล้ว พวกเราได้ลุกขื้น ท่านได้กล่าวว่า จงอยู่ในที่เดิมของท่านทั้งสองเถิด ท่านได้นั่งลงระหว่างข้าพเจ้า กับฟาติมะห์ จนข้าพเจ้าได้พบความเย็นจากเท้าของท่านอยู่ที่ท้องของข้าพเจ้า ต่อมาท่านได้ กล่าวว่า พึงทราบเถิด ข้าพเจ้าจะชี้ให้ท่านทั้งสองไปสู่สิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่ท่านทั้งสองได้ขอข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งสองได้เข้าสู่ที่นอน ให้ท่านทั้งสองจงกล่าว ตัสบีห์สามสิบสามครั้ง กล่าว ตะห์มืด สามสิบสามครั้ง และกล่าว ตักบีร สามสิบสี่ครั้ง นั่นแหละมันจะเป็นความดีแก่ท่านทั้งสอง ยิ่งกว่า คนรับใช้[388] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

หะดีษ อุมม์ ซัรอุ 1141

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ผู้หญิงสิบเอ็ดคนได้นั่งลงชุมนุมกัน ได้ทำสัญญา และตกลงกันว่า จะไม่ปกปิดเรื่องสามีของพวกนางเลยสักสิ่งเดียว หญิงคนที่หนึ่งได้กล่าวว่า สามีของฉันเป็นเนื้ออูฐที่ซูบผอมอยู่บนยอดภูเขา ไม่ง่ายที่จะขื้นไป และไม่อ้วนที่จะมีผู้เดินทาง มาหา[389] คนที่สองได้กล่าวว่า     สามีของฉันนั้นฉันไม่อาจเปิดเผยเรื่องของเขาได้ ความจริง ข้าพเจ้ากลัวว่า จะไม่สามารกทิ้งเรื่องของเขาไปได้ ถ้าหากข้าพเจ้าเอ่ยถึงเขา ข้าพเจ้าก็จะต้อง กล่าวถึงข้อเสียทั้งหมดของเขาทั้งภายนอกและภายใน[390] คนที่สามได้กล่าวว่า สามีของข้าพเจ้า เป็นคนร่างสูงอัปลักษณ์ ถ้าหากฉันพูด เขาจะต้องหย่าฉัน และถ้าหากฉันนิ่ง ฉันจะต้องถูก แขวน[391] คนที่สี่ได้กล่าวว่า สามีของฉันเหมือนกับกลางคืนแห่ง ดิฮามะห์ ไม่ร้อนไม่หนาว ไม่น่ากลัว และไม่น่าเบื่อ[392] คนที่ห้าได้กล่าวว่า สามีของฉัน ถ้าหากเขาเข้าบ้านก็เหมือนเสือดาว และถ้าหากเขาออกนอกบ้าน ก็เหมือนสิงโต และเขาจะไม่ถามถึงสิ่งที่เขารู้[393] คนที่หกได้กล่าวว่า สามีของฉัน ถ้าหากเขา'รับประทาน เขาจะกินจนเรียบ และท้าหากเขาดื่ม เขาจะดื่มจนเกลี้ยง และเมื่อล้มตัวลงนอน เขาจะห่มคนเดียว เขาจะไม่เอามือเข้าไป เพื่อรู้ความต้องการทางเพศ[394] คนที่เจ็ดได้กล่าวว่า สามีของข้าพเจ้า เป็นคนที่สิ้นท่า หรือเป็นคนที่ไม่มีสมรรกภาพทางเพศ เป็นคนล้มเหลวในการทำงาน ทุกโรคที่มี มีอยู่ในตัวเขา เขาทำให้เธอหัวแตก หรือทำให้เธอ มีบาดแผล หรือทำทั้งหมดนั้นกับเธอ[395] คนที่แปดได้กล่าวว่า สามีของฉัน การสัมผัสเหมือน การสัมผัสของกระต่าย มีกลิ่นเหมือนกลิ่นหญ้าฝรั่น[396] คนที่เก้าได้กล่าวว่า สามีของข้าพเจ้า เป็นคนเสาสูง สายสะพายดาบยาว ขี้เถ้ากว้างใหญ่ บ้านใกล้กับสกานที่ร่วมชุมนุม[397] คนที่สิบ ได้กล่าวว่า สามีของข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ และจะมีกษัตริย์ใดเล่าที่เป็นกษัตริย์ดียิ่งกว่านี้ เขามี ฝูงอูฐที่มีคอกมากมาย มันจะออกไปสู่ทุ่งหญ้าด้วยจำนวนเล็กน้อย และเมื่อพวกมันได้ยินเสียงไม้กระทบกัน พวกมันก็มั่นใจว่า พวกมันกำลังจะพินาศ[398] คนที่สิบเอ็ดได้กล่าวว่า สามีของ ฉัน คือ อะบูซัรอ์ เขาคืออะบูซัรอ์ ผู้ยิ่งใหญ่เขาได้ทำให้สองหูของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยเครื่อง ประดับ และทำให้สองด้นแขนของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยไขมัน เขาได้ทำให้ร่างของฉันใหญ่ และ มันทำให้จิตใจของฉันเบิกบาน เขาได้พบฉันอยู่ในครอบครัวที่มีแพะเล็กน้อย ต่อมาเขาได้ทำ ให้ฉันอยู่ในครอบครัวของเสียงแพะ และ เสียงอูฐ เสียงเครื่องนวด (ข้าว) และเครื่องผัด (ข้าว) ที่เขาข้าพเจ้าจะพูด และข้าพเจ้าจะไม่ลูกตำหนิด้วยคำหยาบคาย ข้าพเจ้าจะนอน และนอนต่อ ในเวลาเช้า ข้าพเจ้าจะดื่ม และดื่มจะอิ่มน้ำ แม่ของอุมม์ อะบีซัรอุ ใครคือแม่ของอะบีซัรอ์ กระสอบใส่ของของหล่อนใหญ่ และบ้านของหล่อนกว้างขวาง[399] ลูกชายของอะบีซัรอ์ ใคร คือลูกชายของอะบีซัรอ์ ที่นอนของเขาเหมือนเบาะทีลอกออกจากต้นไม้ และเพียงขาแพะตัวเมียก็ทำให้เขาอิ่ม[400] ลูกสาวของอะบีซัรอุ์ ใครคือลูกสาวของอะบีซัรอ์    เชื่อฟังบิดาของเธอ และเชื่อฟังมารดาของเธอ (ร่างของเธอ) เต็มเครื่องสวมใส่ของเธอ และเป็นที่ชิงชัง ของคู่แข่งของเธอ[401] ทาสผู้หญิงของอะบีซัรอ์ ใครคือทาสผู้หญิงของอะบีซัรอ์ หล่อนจะ

ไม่นำคำพูดของเราออกเป็ดเผย จะไม่ทำให้อาหารของเราเสีย และจะไม่ปล่อยให้มีขยะเต็ม บ้านของเรา อุมมุซัรอ์ ได้กล่าวว่า อะบูซัรอ์ได้ออกมาขณะที่นมกำลังลูกปั่น (เพื่อทำเนยเหลว) เขาได้พบผู้หญิงคนหนึ่งพร้อมกับหล่อนมีลูกชายของหล่อนสองคน เหมือนลูกเสือสองตัวกำลัง เล่นอยู่ใต้สะโพกของหล่อน ด้วยผลทับทิมสองผล[402] เขาได้หย่าฉัน และได้แต่งงานกับหล่อน และต่อมาข้าพเจ้าได้แต่งงานหลังจากเขากับชายคนหนึ่งที่เป็นผู้นำที่มีเกียรติ ร่ำรวย เขาขี่ม้าที่มี ฝีเท้าจัด ถือหอก คอตต์ เขาให้ความโปรดปรานแก่ข้าพเจ้าอย่างมากมาย เขาได้มอบปศุสัตว์ มากมายให้ข้าพเจ้า และเขาได้กล่าวว่า จงรับประทานเถิด โอ้ อุมม์ ซัรอ์ และเธอจึงส่งอาหาร ให้แก่ครอบครัวของเธอ หล่อนได้กล่าวว่า ถ้าหากข้าพเจ้าจะรวบรวมทุกสิ่งที่เขามอบให้ฉัน มันก็ยังไม่ถึงภาชนะใบน้อยของ อะบี[403] ซัรอ์ อาอิชะห์ ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ได้ กล่าวว่า ข้าพเจ้ากับเธอก็เหมือน อะบีซัรอ์ กับ อุมม์ ซัรอ์                                                  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

บทที่เจ็ด

การแบ่งเวรในระหว่างภรรยา

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “และพวกท่านจะไม่สามารกให้มีความยุติธรรมระหว่าง บรรดาสตรีได้ แม้พวกท่านจะมีความปรารถนาก็ตาม ดังนั้นพวกท่านอย่าลำเอียงทั้งหมด จน พวกท่านปล่อยพวกนางไว้เหมือนถูกแขวน และถ้าหากพวกท่านจะไกล่เกลี่ย (ให้เกิดความยุติธรรม) และมีความยำเกรง แน่แท้อัลเลาะห์ทรงอภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง”[404]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดมีภรรยาสองคน และเขาลำเอียงให้ภรรยาคนหนึ่งจากทั้งสองนั้น เขาจะมาในวันกิยามะห์ โดย,อีกหนึ่งของเขา เอียง

เล่าจาก อาอิชะห์ว่าท่านรอซูล ได้กล่าวว่าข้าแด่อัลเลาะห์นี่คือการแบ่งของข้าพเจ้าในสิ่งที่ข้าพเจ้าปกครองอยู่ ดังนั้นพระองค์ท่านอย่าประนามข้าพเจ้าในสิ่งที่พระองค์ท่านปกครอง โดยทีข้าพเจ้าไม่มีสิทธิปกครอง   

รายงานหะดีษทั้งสองโดยอะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ไม่เคยให้ความ โปรดปรานพวกเราบางคนมากกว่าบางคนในการแบ่งเวรที่ท่านพำนักอยู่กับพวกเรา และปรากฏว่า ไม่มีวันใด นอกจากท่านจะตระเวนไปหาพวกเราทั่วทุกคน ท่านจะเข้าใกล้ภรรยาทุกคนโดยไม่ร่วมประเวณีจนกว่าท่านจะถึงเจ้าของเวรในวันนั้น ท่านก็จะนอนค้างคืนอยู่กับนาง[405]

รายงานหะดีษโดยบุคอรี อะบู ดาวูด และอะห์มัด

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เมื่อท่าน ต้องการเดินทาง ท่านจะให้จับฉลาก ระหว่างบรรดาภรรยาของท่าน ดังนั้น ภรรยาคนใดที่ฉลาก ของนางออก ท่านนบีก็จะนำไปกับท่าน และท่านเคยแบ่งเวรให้ภรรยาแต่ละคน จากบรรดา ภรรยาวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง นอกจาก เซาดะห์ บุตรสาว ซัมอะห์ ที่ได้ยกวันของนางให้แก่ อาอิชะห์ ร.ฎ.  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นผู้หญิงคนใดที่ข้าพเจ้ารักยิ่งที่ข้าพเจ้าจะเอาเป็นในแบบอย่างที่ดีของนางยิ่งกว่า เซาดะห์เมื่อชราลง นางได้กล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าขอยกวันของข้าพเจ้าที่จะได้จากท่านให้แก่อาอิชะห์ และปรากฏว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้แบ่งเวรให้แก่อาอิชะห์สองวัน คือ วัน,ของอาสิชะห์เอง และวัน ของเซาดะห[406]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และ มุสลิม 

เล่าจาก อัสมาอฺ  ร.ฎ. ว่า แท้จริงมีผู้หญิงคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้ามีภรรยาคู่แข่ง จะเป็นบาปแก่ข้าพเจ้าไหมที่ข้าพเจ้าจะแกล้งคุยว่าข้าพเจ้าได้รับ มากกว่าจากสามีของข้าพเจ้านอกเหนือจากสิ่งที่เขามอบให้ข้าพเจ้า ท่านนบีไดักล่าวว่า ผู้ที่ แกล้งคุยว่าได้มากกว่าด้วยสิ่งที่ตนไม่ได้รับนั้น ก็เหมือนผู้ที่สวมเสื้อสองชิ้นโดยทุจริต[407] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี 

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า นบีของอัลเลาะห์ ได้เคยตระเวนไปหาบรรดาภรรยาของท่านทุกคนภายในคืนเดียว ขณะนั้นท่านมีภรรยาอยู่เก้าคน[408]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

สิทธิของหญิงสาวเจ็ดคืน สิทธิของหญิงหม้ายสามคืน[409]

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า นับว่าเป็นซุนนะห์ เมื่อชายคนหนึ่งได้แต่งงานกับ หญิงสาว โดยเขามีหญิงหม้ายเป็นภรรยาอยู่แล้ว ให้เขาพักอยู่กับหญิงสาวเจ็ดวัน แล้วจึงแบ่งเวร และเมื่อเขาแต่งงานกับหญิงหม้าย โดยที่เขามีหญิงสาวเป็นภรรยาอยู่แล้ว ให้เขาพักอยู่กับหญิง หม้ายสามวันแล้วจึงแบ่งเวร อะบูกิลาบะห์ ได้กล่าวว่า และถ้าหากข้าพเจ้าต้องการ ข้าพเจ้าก็ จะกล่าวว่า อะนัส ได้พาดพิงหะดีษนี้ถึงท่านนบี ซ.ล.[410] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี 

เล่าจาก อุมม์ ซะละมะห์  ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. เมื่อท่านได้ แต่งงานกับนาง ท่านได้พักอยู่กับนางสามวัน และท่านได้กล่าวว่าความจริงไม่ใช่เพราะเธอตํ่าต้อยกว่าครอบครัวของเธอ ถ้าหากเธอต้องการ ข้าพเจ้าก็จะอยู่กับเธอเจ็ดวัน และถ้าหาก ฉันอยู่กับเธอเจ็ดวัน ฉันก็จะต้องอยู่กับบรรดาภรรยาของฉันเจ็ดวัน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบู ดาวูด                                 

และตัวบทของมุสลิมว่า ถ้าหากเธอต้องการ ฉันก็จะเพิ่มให้เธอ และฉันก็จะคิดเอา กับเธอ ตามจำนวนที่เพิ่มนั้น เป็นสิทธิของหญิงสาวเจ็ดวัน และเป็นสิทธิของหญิงหม้ายสามวัน

ภรรยามีสิทธิที่จะสละสิทธิของตนให้สามี 1145

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “และถ้าหากหญิงคนหนึ่งวิตกว่า สามีของนางจะกดขี่ หรือเมินหนี” อาอิชะห์ได้กล่าวในอายะห์นี้ว่า คือภรรยาที่อยู่กับสามีซึ่งสามีไม่ได้อยู่กับหล่อน มากนัก[411] เขาต้องการจะหย่าหล่อนและแต่งงานกับหญิงอื่น นางจึงกล่าวแก่สามีว่า จงเอาฉัน ไว้เถิด อย่าหย่าฉันเลย และท่านจงแต่งงานกับหญิงอื่นเถิด ท่านพ้นจากฉันในเรื่องค่าเลี้ยงดู และการแบ่งเวร และนั่นแหละคือ คำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า ดังนั้นจะไปมีบาปตกอยู่แก่เขาทั้งสองในอันที่เขาทั้งสองจะประนีประนอมกันอย่างจริงจังระหว่างเขาทั้งสอง และ การประนีประนอมนั้นดียิ่ง          

รายงานหะดีษโดยบุคอรี

และปรากฏว่าที่ รอฟิอฺ บุตร คอดีจนั้น มีบุตรสาวของมุฮำหมัด บุตร มัชละมะห์ และเขารังเกียจหล่อน เพราะเป็นคนแก่ หรือ เพราะเหตุอื่นจากนั้น เขาต้องการหย่า ต่อมา นางได้กล่าวว่า    ท่านอย่าหย่าฉันเลย จงเก็บเอาฉันไว้เถิด และจงแบ่งเวรให้ฉันบ้างตามที่ท่านจะเห็นสมควร[412] อัลเลาะห็จึงได้ประทานลงมาว่า“และถ้าหากหญิงคนหนึ่ง”[413]

รายงานโดย ชาฟิอี ในหนังสือ มุสนัดของเขา

ให้เฆี่ยนตีภรรยา หล้งจากได้สั่งสอนและเมินเฉยแล้ว

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “และบรรดาผู้หญิงที่พวกท่านวิตกว่าพวกนางจะทรยศพวกท่านจงอบรมพวกนาง และทิ้งนางไว้ในที่นอน (ตามลำพัง) และจงเฆี่ยนตีพวกนาง และถ้าหากพวกนางยอมเชื่อฟังพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านอย่าแสวงหาลู่ทางใด ทำร้ายพวก นางอีก แท้จริงอัลเลาะห์ทรงสูงส่ง ทรงเกรียงไกรยิ่ง”[414]

เล่าจาก อับดิลลาห์ บุตร ซัมอะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าคนหนึ่งคนใดของพวกท่านจะต้องไม่เฆี่ยนตีภรรยาของเขา เหมือนเฆี่ยนตีทาส และต่อมาเขาก็ร่วม ประเวณีกับนางในตอนท้ายของวันนั้น[415]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจาก อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ชายจะไม่ลูกสอบสวน ใน สิ่งทีเขาไต้เฆียนตีภรรยาของเขา[416]            

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อิยาส บุตร อับดิลลาห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ไต้กล่าวว่า ท่านทั้ง หลายอย่าเฆี่ยนตีทาสหญิงของอัลเลาะห์ อุมัร  ร.ฎ. ไต้มาแล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ พวกผู้หญิงที่ดื้อดึงต่อบรรดาสามีของพวกนาง ท่านไต้อนุญาตให้เฆี่ยนตีพวกนาง ต่อมามีพวก ผู้หญิงเป็นจำนวนมากไต้ตระเวนไปตามวงศ์วานของมุฮำหมัด ร้องเรียนเรื่องบรรดาสามีของ พวกนาง ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าได้มีผู้หญิงจำนวนเจ็ดสิบคนตระเวนไปตามวงศ์วานของมุฮำหมัด พวกผู้หญิงเหล่านั้นทุกคนร้องเรียนเรื่องบรรดาสามีของพวกนาง ท่านทั้งหลาย จะไม่ได้พบว่า พวกเขาเหล่านั้นเป็นคนที่ดีที่สุดของพวกท่าน[417]          

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และนะซาอี  ถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

การแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการ[418]

อัลเลาะห์ตาอาลา ไต้ตรัสว่า “และถ้าหากพวกท่านกลัวจะเกิดการแตกแยกระหว่างคนทั้งสอง (สามีภรรยา) พวกท่านจงแต่งตั้งผู้ชี้ขาดคนหนึ่งจากฝ่ายครอบครัวของสามี และผู้ชี้ขาดอีกคนหนึ่งจากฝ่ายครอบครัวของภรรยา ถ้าหากคนทั้งสองต้องการปรองดองกัน อัลเลาะห์ จะทรงให้เกิดสัมฤทธผลระหว่างคนทั้งสอง แห้จริงอัลเลาะห์ทรงรอบรู้ ทรงเชี่ยวชาญ”

และได้มีชายคนหนึ่งกับหญิงคนหนึ่งมาหา อะลี  ร.ฎ. และแต่ละคนก็มีฝูงชนติดตาม มาด้วย อะลีจึงได้ออกคำสั่งแก่พวกเขา พวกเขาจึงได้แต่งตั้ง อนุญาโตตุลาการขึ้นคนหนึ่ง จากครอบครัวของฝ่ายชายและอนุญาโตตุลาการอีกคนหนึ่งจากครอบครัวของฝ่ายหญิง หลัง จากนั้นอะลีได้กล่าวแก่อนุญาโตตุลาการทั้งสองคนนั้นว่า ท่านทั้งสองทราบไหมว่า หน้าที่ของ ท่านทั้งสองคืออะไร                                   ถ้าหากท่านทั้งสองเห็นว่าจะให้เขาทั้งสองอยู่ด้วยกัน ก็ให้ท่านทั้งสอง จงกระทำเกิด และถ้าหากท่านทั้งสองเห็นว่าให้แยกทางกันก็จงกระทำเกิด ฝ่ายหญิงได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าพอใจตามคัมภีร์ของอัลเลาะห์ ด้วยหน้าที่ของข้าพเจ้า และด้วยสิทธิของข้าพเจ้า และ ฝ่ายชายได้กล่าวว่า สำหรับการแยกทาง ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย อะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่าน เหลวไหลขอสาบานต่ออัลเลาะห็ว่า จนกว่าท่านจะยืนยันสิ่งที่หล่อนได้ยืนยันไปแล้ว[419] 

รายงานหะดีษโดยชาฟิอี

ข้อกำหนดในเรื่อง ตำหนิที่เกิดขึ้นที่คนหนึ่งคนใดของสามีภรรยา

เล่าจาก กะอับ บุตร เซด  ร.ฎ. ว่า แห้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้แต่งงาน กับผู้หญิงคนหนึ่งของตระกูล บะนีฆิฟาร ต่อมาเมึ่อท่านได้เข้าไปหานาง ท่านได้กองผ้าของท่าน แล้ว และนั่งลงบนที่นอน ท่านได้เห็นที่สีข้างของหล่อนว่าเป็นรอยขาว (โรคด่าง) ท่านจึงลุก จากที่นอนแล้วกล่าวว่า เธอจงสวมเสื้อผ้าของเธอเกิด โดยท่านไม่ได้เอาสิ่งที่ท่านได้มอบแก่ นางไปแล้วสํกสิงเดียว[420]                                            

รายงานหะดีษโดย อะห์มัด บัยฮะกี และฮากิม

เล่าจาก อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนใดได้แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง โดยที่หญิง คนนั้นเป็นบ้า หรือเป็นโรคเรื้อน หรือเป็นโรคด่าง และเขาได้ร่วมประเวณีกับหล่อนแล้ว นาง ย่อมมีสิทธิได้รับค่าสมรสของนางโดยสมบูรณ์ และ นั่นแหละ สามีก็มีสิทธิเอาค่าปรับจากผู้ ปกครองของนาง[421]    

รายงานหะดีษโดยมาลิก และชาฟิอี

และมาลิก  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ความจริงที่จะเป็นเช่นนั้นก็คือ ถ้าหากผู้ปกครองฝ่าย หญิงที่เป็นผู้ทำพิธีแต่งงานนางนั้น คือ บิดาของนาง หรือพี่น้องผู้ชายของนาง หรือบุคคลที่ คาดได้ว่าเขารู้เรื่องเช่นนั้นจากตัวของนาง ส่วนในกรณีที่ผู้ที่ทำพิธีแต่งงานนางนั้น คือ บุตรชายลุงของนาง หรือญาติใกล้ชิดของนาง จากบุคคลที่คาดได้ว่า เขาไม่รู้เรื่องเช่นนั้นจากตัว ของนาง ก็ไม่มีค่าปรับเหนือเขา และผู้หญิงคนนั้นด้องส่งคืนสิ่งที่นางได้เอาไปจากค่าสมรส ของนาง และให้ทิ้งไว้ให้แก่นางสิ่งซึ่งทำให้นางกลายเป็นที่อนุมัติด้วยสิ่งนั้น[422]

เล่าจาก สะอีด บุตร มุซัยยิบ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ผู้ชายคนใดที่ได้แต่งงานกับผู้หญิง คนหนึ่งโดยที่ผู้ชายคนนั้นเป็นบ้า หรือ เป็นโรคร้ายแรง ดังนั้นให้ฝ่ายหญิงเลือก ถ้าหากนาง ประสงค์ ก็ให้อยู่ด้วยกันต่อไป และถ้าหากนางประสงค์ก็ให้แยกทาง

และเล่าจากเขา (สะอีด) ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้แต่งงานกับหญิงคนหนึ่ง และเขาไม่มี สมรรกภาพที่จะร่วมประเวณีกับนางได้ ดังนั้นให้ตั้งกำหนดแก่เขาเป็นเวลาหนึ่งปี ถ้าหากเขา มีสมรรกภาพร่วมประเวณีกับหล่อนได้ และถ้าไม่เช่นนั้นก็ให้แยกทางกันระหว่างคนทั้งสอง

และได้มีผู้ถาม อิบนุ ซิฮาบ  ร.ฎ. ว่า เมื่อไหร่ จึงจะตั้งกำหนดเวลา เขาตอบว่า นับตั้งแต่นำเรื่องขึ้นไปหา ซุลฏอน

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มาลิก และมาลิกได้กล่าวว่าสำหรับผู้ที่ได้ร่วมประเวณีกับภรรยาของเขา แล้วต่อมาได้ตีจากนาง เขาจะไม่ถูกตั้งกำหนดเวลาให้ และจะไม่มีการแยกทางระหว่างบุคคลทั้งสอง [423] และต่อไปจะได้กล่าวถึง ข้อกำหนด ของการหายสาปสูญของสามี ในเรื่องการหย่า ถ้าหากอัลเลาะห์ประสงค์

ห้ามอยู่ตามลำพังกับหญิงที่แต่งงานกันได้ และห้ามมองดูหล่อน

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “จงประกาศเกิดแก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายที่เป็นชาย ให้พวกเขาลดจากสายตาของพวกเขาลงตํ่า และให้รักษาอวัยวะเพศของพวกเขาไว้ นั่นเป็น ความบริสุทธิ์ยิ่ง สำหรับพวกเขา แท้จริง อัลเลาะห์ ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขาทำ และจงประกาศ เกิดแก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายที่เป็นหญิง ให้พวกนางลดจากสายตาของพวกนางลงตํ่า และ ให้รักษาอวัยวะเพศของพวกนางไว้”[424]


 

เล่าจาก อุกบะห์ บุตร อามิร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจง ระวังการเข้าไปหาพวกผู้หญิง ได้มีชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ จงบอก ข้าพเจ้าถึงญาติสนิทของฝ่ายสามี ท่านได้กล่าวว่า ญาติสนิทของฝ่ายสามี คือ ความตาย[425] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าเข้าไปหาพวก ผู้หญิงที่สามีไม่อยู่ เพราะความจริง ชัยฏอน มันจะวิ่งอยู่ที่คนหนึ่งคนใดของพวกท่าน เหมือน การวิ่งของเลือด พวกเราได้กล่าวว่า และที่ท่านด้วยหรือท่านนบีตอบว่า และที่ฉันด้วย แต่อัลเลาะห์ฑรงช่วยเหลือฉันให้ชนะมัน ดังนั้นฉันจึงปลอดภัย

และท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะไม่มีชายคนใดอยู่กับหญิงหนึ่งตามลำพัง นอกจากชัยฏอนจะเป็นบุคคลที่สามของพวกเขา                                                         

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ชายจะต้องไม่อยู่ ตามลำพังกับผู้หญิง นอกจากต้องมีญาติที่ห้ามแต่งงานกัน (ร่วมอยู่ด้วย) ชายคนหนึ่งได้ลุกขึ้น ยืนแล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ภรรยาของข้าพเจ้าได้ออกไป ทำฮัจญ์[426] และข้าพเจ้า ก็ถูกเกณฑ์ให้ออกไปในสงครามนั้นนั้น ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านจงกลับไป และทำฮัจย์ร่วม กับภรรยาของท่านเถิด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และตัวบทของมุสลิมว่า พึงทราบเถิด ผู้ชายจะไปนอนค้างแรมที่หญิงหม้ายคนใดไม่ได้ นอกจากเขาจะเป็นคู่ครอง หรือเป็นญาติที่แต่งงานกันไม่ได้[427]

เล่าจาก อุมม์ ซะละมะห์  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านนบี  ซ.ล. ได้เข้ามาหานาง และ ภายในบ้านนั้นมีชายที่ดัดจริตเป็นผู้หญิง และ(ผู้ที่ดัดจริตเป็นผู้หญิง) ได้กล่าวแก่ น้องของ อุมม์ ซะละมะห์ คือ อับดุลเลาะห์ บุตร อะบี อุมัยยะห์ว่า ถ้าหากอัลเลาะห์ทรงให้พวก ท่านเข้าพิข้ต ตออิฟ ได้ในวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าขอแนะนำท่านให้ (แต่งงานกับ) บุตรสาวของ ฆอยลาน เพราะความจริงหล่อนจะหันหน้าด้วยสี่และจะหันหลังด้วยแปด ท่านนบี ซ.ล. ได้ กล่าวว่า อย่าให้คนนี้เข้ามาหาพวกเธอ[428]   

รายงานโดย บุคอรี และ มุสลิม

เล่าจาก อับดิ้ลลาห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า อย่าให้ผู้หญิงสัมผัสกับ ผู้หญิง จะเป็นเหตุให้หล่อนพรรณาลักษณะของหญิงนั้นแก่สามีของหล่อน เหมือนเขาเห็นหล่อน เอง[429]   

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ยะรีร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านนบี ซ.ล. ถึงการมองโดยบังเอิญ ท่านตอบว่า จงเบือนสายตาของท่าน[430]                                                                  

รายงานหะดีษโดยมุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะลี  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า โอ้ อะลี เจ้าอย่าติดตาม การ มองดูด้วยการมองดู เพราะความจริงที่ยินยอมให้เจ้านั้น คือการมองครั้งแรก และที่ไม่ยินยอม ให้ท่านคือการมองครั้งหลัง[431]       

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้เห็นหญิงคนหนึ่ง ท่านจึงได้ไปหาภรรยาของท่าน คือ ซัยหนับ หล่อนกำลังถูหนังดิบของหล่อนเพื่อทำการฟอก ท่านได้ปฏิบัติกิจของท่านและออกไปยังบรรดาอัครสาวกของท่าน แล้วกล่าวว่า แท้จริงผู้หญิง คนนั้นหันหน้ามาในรูปของชัยฏอน และหันหลังไปในรูปของชัยฏอน และเมื่อคนหนึ่งของพวก ท่านได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งให้เขาจงมาหาครอบครัวของเขา เพราะแท้จริงการเช่นนั้น จะขจัดสิ่งที่อยู่ในใจของเขาออกไป[432] และในบางรายงานว่า เมื่อคนหนึ่งของพวกท่านได้มีผู้หญิงคน

หนึ่งทำให้เขาชอบ และหญิงนั้นฝังใจเขา ให้เขาจงไปหาภรรยาของเขา ให้เขาจงร่วมเพศกับ หล่อน เพราะความจริงการทำเช่นนั้น จะขจัดสิ่งที่อยู่ในใจเขาออกไป

รายงานหะดีษโดยมุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง อัลเลาะห์ ตาอาลาได้กำหนดแก่มนุษย์ที่เป็นลูกหลานของอาดัมให้มีส่วนของเขาในเรื่องการละเมิดประเวณีที่จะต้องประสพกับการดังกล่าว โดยไม่มีทางเลี่ยง ดังนั้นการละเมิดประเวณีของดวงตาทั้ง สองข้างคือ การมอง และการละเมิดประเวณีของลิ้น คือ คำพูด และได้รายงานเพิ่มเติมใน บางรายงานว่า และการละเมิดประเวณีของมือทั้งสองข้าง คือการฉกฉวย และการละเมิด ประเวณีของเท้าทั้งสองข้าง คือ การเดิน และการละเมิดประเวณีของหูทั้งสองข้าง คือ การ ฟัง และการละเมิดประเวณีของปาก คือ การจูบ อารมณ์จะมุ่งหวัง สิ่งเหล่านั้น และมีความอยาก อวัยวะเพศจะยืนยันการฟนนั้นว่าเป็นจริง และปฏิเสธว่าโกหก[433]      รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

การหึงหวง เป็นสิ่งที่ควรสรรเสริญ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง อัลเลาะห์ จะทรงหึงหวง และผู้มีศรัทธาก็จะมีความหึงหวง และความหึงหวงของอัลเลาะห์ ก็คือ จะหึง หวง การที่ผู้มีศรัทธาจะนำสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงห้ามมาปฏิบัติ

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และติรมิซี

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีใครที่จะหึงหวงยิงกว่า อัลเลาะห์ ที่พระองค์เห็นปาวผู้ชายของพระองค์ หรือบ่าวผู้หญิงของพระองค์ละเมิดประเวณี โอ้ ประชากรของมุฮำหมัด ถ้าหากพวกท่านรัสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้แล้ว พวกท่านจะหัวเราะเพียง เล็กน้อย และร้องไห้มากมาย[434]

รายงานโคย บุคอรี

เล่าจาก สะอัด บุตร อุบาดะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าถ้าหากข้าพเจ้าเห็นชายคนหนึ่ง อยู่กับภรรยาของข้าพเจ้า แน่นอนว่าข้าพเจ้าจะต้องฬนเขาด้วยคมดาบ โดยไม่ได้ฬนด้วยข้างดาบ ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า      พวกท่านพอใจความหึงหวงของสะอัดไหม ความจริงแล้วข้าพเจ้า

หึงหวงยิงกว่าเขา และอัลเลาะห์หึงหวงยิงกว่าข้าพเจ้า             รายงานโดย บุคอรี และมุส!)ม และ

มุสลิมได้รายงานเพิ่มเติมว่า      เนื่องมาจากความหึงหวงของอัลเลาะห์ พระองค์จึงกำหนดห้าม

สิ่งที่น่าบัดสีทั้งหลาย ทั้งสิ่งที่เปิดเผยของมัน และสิ่งที่ข้อนเร้น และไม่มีใครที่หึงหวงยิ่งกว่า อัลเลาะห็, และไม่มีใครที่จะรักการยอมรับคำแก้ตัวยิ่งกว่าอัลเลาะห์ เพราะเหตุดังกล่าว พระองค์ จึงได้ส่งบรรดาศาสนพูดมาเป็นผู้แจ้งข่าวดี และเป็นผู้เตือนให้ระมัดระวัง[435] และไม่มีใครที่ รักคำสรรเสริญยิ่งกว่าอัลเลาะห์ เนื่องจากเหตุนั้น อัลเลาะห์จึงได้ทรงสัญญาให้สวรรค์[436]

บทที่แปด

การแต่งงานที่ศาสนาห้าม ได้แก่การแต่งงานในสมัยญาฮิลียะห์

เล่าจาก อาอิชะห็  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า การแต่งงานในสมัยญาฮิลียะห์มีสี่ประเภท การ แต่งงานหนึ่งจากสี่นั้น ได้แก่การแต่งงานของประชาชนในวันนี้ คือการที่ชายคนหนึ่งสู่ขอจาก


 

ชายอีกคนหนึ่ง หญิงที่อยู่ในปกครองของเขา หรือบุตรสาวของเขา และเขาก็ให้ค่าสมรสแก่หญิงนั้น แล้วแต่งงานกับหล่อน[437]  และการแต่งงานอีกประเภทหนึ่งที่คือ ชายคนหนึ่งได้กล่าว แก่ภรรยาของเขา เมื่อหล่อนสะอาดจากการมีประจำเดือนแล้วว่า เธอจงไปหาชายคนนั้น คนนั้น แล้วขอให้เขาร่วมประเวณีกับเธอ โดยสามีของนางจะปลีกตัวออกห่างนาง จนกว่าจะ ปรากฏชัดว่า นางตั้งครรภ์ และเมื่อปรากฏชัดว่า (นางตั้งครรภ์แล้ว) เขา (สามี) ที่จะร่วมประเวณี กับนาง (อีก) ในยามที่เขาต้องการ ความจริงที่กระทำดังนั้น ก็เพราะต้องการได้บุตรที่ดี และ เรียกการแต่งงานประเภทนี้ว่า “อัลอิสติบดออ์,513 การแต่งงานอีกประเภทหนึ่ง ก็คือ ชายกลุ่มหนึ่ง ไม่ถึงสิบคนได้เข้าไปหาผู้หญิงคนหนึ่ง พวกเขาทั้งหมดร่วมประเวณีกับหล่อน ต่อมาเมื่อหล่อน ตั้งครรภ์ ได้คลอดลูก และเวลาผ่านไปนาน หล่อนจะส่งคนไปตามพวกผู้ชายเหล่านั้นมา โดย ไม่มีผู้ชายคนใดของพวกเขาสามารถขัดขืนได้ จนพวกเขาได้มาชุมนุมกันอยู่ที่หล่อน หล่อนทีจะ กล่าวแก่พวกเขาว่า ความจริงพวกท่านทราบดี สิ่งที่เป็นกิจกรรมของพวกท่าน และความจริง ข้าพเจ้าได้คลอดบุตรแล้ว และเขาก็เป็นบุตรของท่าน โอ้คนนั้น คนนี้ โดยหล่อนจะเอ่ยชื่อบุคคลที่หล่อนต้องการ และลูกของหล่อนทีจะใช้สกุลของเขา โดยที่ชายคนนั้นไม่สามารถขัดขืนได้[438] และการแต่งงานประเภทที่สี่ ก็คือ มีประชาชนจำนวนมาก เข้าไปหาผู้หญิงคนหนึ่ง โดยหล่อนจะ ไม่ขัดขืนผู้ใดที่ได้เข้ามาหาหล่อน เพราะพวกหล่อนเป็นหญิงโสเภณี พวกหล่อนจะชักธงไว้ที่ ประตู (บ้าน) ของพวกหล่อน เป็นเครื่องหมาย ผู้ใดปรารถนาพวกหล่อนก็เข้าไปหา และเมื่อ พวกหล่อนคนใดตั้งครรภ์ และคลอดบุตร พวกเขาทีจะมาชุมนุมที่หล่อน และเรียกหมอตูลักษณะมา หลังจากนั้น พวกเขาทีจะให้บุตรของหล่อนใช้สกุลของคนที่พวกเขาเห็น (ลักษณะใกล้เคืยงที่สุด) และเด็กนั้นทีจะติดเป็นบุตรของเขา และจะเรียกว่าเป็นบุตรของเขาโดยเขาไม่อาจขัดขืนได้จากการ ดังกล่าว และเมื่อมุฮำหมัด  ซ.ล. ลูกแต่งตั้งมาด้วยสัจธรรม มุฮำหมัดก็ได้ทำลายการแต่งงาน ในสมัย ญาฮิลียะห์ลงทั้งหมด นอกจากการแต่งงานของประชาชนในวันนี้[439]

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และอะบู ดาวูด

และได้แก่การแต่งงาน ชิฆอร[440]

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีการแต่งงาน ชิฆอร ใน อิสลาม[441] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี 

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ว่า แท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ไต้ห้ามการแต่งงาน ชิฆอร และการแต่งงาน ชิฆอร ก็คือ การทีชายคนหนึ่งแต่งงานบุตรสาวของเขาให้ชายอีกคน หนึ่ง แลกเปลี่ยนกับการที่ผู้ชายคนนั้นจะต้องแต่งงานบุตรสาวของตนให้เขา (ผู้ชายคนแรก) โดยไม่ ต้องมีค่าสมรสระหว่างคนทั้งสองนั้น[442]      

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และอะบุ ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า การแต่งงาน ชิฆอร ก็คือ การที่ชายคนหนึ่ง กล่าวแก่ชายอีกคนหนึงว่า ท่านจงแต่งงานบุตรสาวของท่านให้ฉันและข้าพเจ้ากจะแต่งงานบุตรสาวของฉันให้ท่าน หรือกล่าวว่า ท่านจงแต่งงานพี่หรือน้องสาวของท่านให้ฉัน และฉันก็ จะแต่งงานพี่ หรือน้องสาวของฉันให้ท่าน[443] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

และได้แก่ การแต่งงานชั่วคราว[444]

เล่าจาก ญาบิร และ ซะละมะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเคยอยู่ในกองทหาร ต่อมา ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้มาหาเราแล้วกล่าวว่า ความจริงยินยอมให้พวกท่านหาความสุขชั่วคราว ดังนั้นท่านทั้งหลายจงหาความสุขชั่วคราวเถิด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจาก อะลี  ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้ห้ามการแต่งงานชั่วคราว และห้าม เนื้อลาบ้าน ในวันคอยบัร[445] 

รายงานหะดีษโดยบุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และซะละมะห์  ร.ฎ. ไต้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ไต้ยอมผ่อนผันให้ในปีเอาตอสในเรื่องการแต่งงานชั่วคราว เป็นครั้งที่สาม หลังจากนั้นท่านได้ห้ามมัน[446] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจาก ซับเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไต้เห็นท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ยืนอยู่ระหว่างมุมกับประตู[447] โดยท่านกล่าวว่า โอ้ มวลมนุษย์ทั้งหลาย ความจริงข้าพเจ้าเคยยินยอมให้พวกท่านในการหาความสุขชั่วคราวกับผู้หญิงได้ และความจริงอัลเลาะห์ไต้ทรงห้ามการเช่นนั้นจนถึงวันกิยามะห์ ดังนั้นผู้ใดที่มีผู้หญิงอยู่กับเขา ให้เขาจงเปิดทางให้ไป และท่านทั้งหลายอย่า เอาสิงใดทีพวทท่านได้ให้แก่พวกหล่อนไปแล้ว

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

การแต่งงานที่ต้องห้าม, การทำให้ฮะล้าล, และ ทาส

เล่าจาก อุสมาน  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนที่อยู่ในภาวะครองเอียะห์รอมจะแต่งงาน (โดยเป็นเจ้าบ่าว) ไม่ได้ และจะเป็นผู้แต่งไม่ได้ และจะไปสู่ขอก็ไม่ได้[448] 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อับดิ้ลลาห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. สาปเฟงคนที่เป็นตัวกลางทำให้ฮะลาล และคนที่ลูกทำให้ฮะล้าลแก่เขา[449]                                                                      

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ญาบิร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ทาสคนใดที่ได้แต่งงานโดยไม่ ได้รับคำยินยอมจากผู้เป็นนาย ทาสคนนั้นถือว่าเป็นผู้ละเมิดประเวณี และในบางรายงานว่า การแต่งงานของเขาใช้ไม่ได้[450]            

รายงานหะดีษโดยมุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี  ด้วยสายรายงานที่หะซัน

บทที่เก้า การหย่า

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า สิ่งฮะลาลที่อัลเลาะห์ ผู้ ทรงยิ่งใหญ่ และ เกรียงไกร โกรธกริ้วที่สุด ก็คือ การหย่า                                                                                 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และฮากีม ถือว่า เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่ใช่เป็นพวกเรา ผู้ที่ทำให้หญิงคนหนึ่งเสื่อมคลายความเชื่อถือสามีของนาง และทำให้ทาสเสื่อมคลายความเชื่อถือนายของมัน[451]       

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า หญิงคนหนึ่งจะ ต้องไม่ขอให้หย่าพี่น้องผู้หญิงที่เป็นคู่แข่งของหล่อน เพื่อให้พี่น้องผู้หญิงคนนั้นพ้นจากข้อผูกพัน ของการแต่งงาน และเพื่อหล่อนจะได้แต่งงาน (กับสามีของพี่น้องผู้หญิงคนนั้นแทน) ความจริง หล่อนจะได้ตามที่ได้ถูกกำหนดไว้ให้หล่อน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก เซาบาน  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า หญิง คนใดก็ตามที่ได้ขอให้สามีของตนหย่า โดยไม่มีเรื่องร้ายแรงใด ๆ กลิ่นสวรรค์จะเป็นสิ่งต้องห้าม เหนือหญิงนั้น          

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และติรมิซี ถือว่าเป็นหะดีษหะซัน

เล่าจาก อัมร์ บุตร ชุอัยบ์ จากบิดาของเขา จากปูของเขา  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีการหย่า นอกจากในสิ่งที่ท่านปกครองอยู่[452] และไม่มีการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ นอกจากในสิ่งที่ท่านปกครองอยู่[453] และไม่มีการขาย นอกจากในสิ่งที่ท่านปกครองอยู่ และไม่มีการปฏิบัติให้เป็นไปตามคำสาบาน นอกจากในสิ่งที่ท่านปกครองอยู่[454]

ราบงานโดยอะบู ดาวูด และ ติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ทรงผ่อนผัน ให้แก่ประชาชาติของข้าพเจ้า ในสิ่งที่หัวใจของพวกเขานึกคิด ตราบใดที่ยังไม่ได้พูดออกมา หรือ ลงมือกระทำตามที่นึกคิดไว้[455] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า          มีสามประการที่การพูดจริงถึงมัน เป็นจริง และการพูดเล่นถึงมัน ก็เป็นจริง นั่นคือ การแต่งงาน การหย่า และการกลับคืนดี       

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และฮากีม ถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก อะลี  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าปากกาถูกยกออกจากสามคน คือคนนอนหลับ จนกว่าจะตื่น จากเด็กจนกว่าจะบรรลุศาสนภาวะ และจากคนเป็นบ้า จนกว่าจะ มีสติ[456]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า                ทุกการหย่า เป็นที่อนุมัติ นอกจากการหย่าของคนป้ำๆเป๋อๆ ครองสติไม่อยู่[457]                                                                        

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และติรมิซี เป็นหะดีษเมาภูฟ

เล่าจาก อะอิชะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีการหย่า และไม่มีการปลดปล่อยในการบังคับ [458]  

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และฮากีม ถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

จำนวนการหย่า[459] 

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฎว่าชายคนหนึ่งเมื่อได้หย่าภรรยาของ เขาแล้ว เขาก็มีสิทธิ์ยิ่งที่จะคืนดีกับนาง แม้จะหย่าหล่อนถึงสามก็ตาม การเช่นนั้นได้ลูกยกเลิก ด้วยคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า           “การหย่า (ที่กลับคืนดีกันได้) มีเพียงสอง ดังนั้นให้ยึดไว้โดยดี หรือปล่อยไปโดยคุณธรรม’,536

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี อัศศอห์บาอฺ ร.ฎ. ว่า แท้จริงเขาได้กล่าวแก่ อิบนิ อับาสว่าท่านทราบไหมว่า หย่าสามนั่นถูกนับเป็นหนึ่ง ในสมัยของท่านนบี  ซ.ล. และ อะบีบักร์ และ สามปีแรกของการปกครอง โดยอุมัร อิบนุ อับบาส ได้กล่าวว่า ลูกแล้ว [460]

และอิบนุ อับบาส  ร.ฎ.ได้กล่าวว่า           การหย่าในสมัยท่านนบี ซ.ล. ในสมัย อะบีบักร์ และอีกสองปีของการดำรงตำแหน่ง คอลีฟะห์ ของอุมัรนั้น การหย่าสาม เป็นหนึ่ง อุมัร บุตรอัลคอตต๊อบ ได้กล่าวว่า ความจริงประชาชนรีบร้อนในงานชิ้นหนึ่ง ทั้งที่ความจริงพวกเขาควรมีความสุขุมในงานชิ้นนั้น และพวกเราก็ควร ที่จะกำหนดมันใช้บังคับแก่ประชาชน อุมัรจึงได้กำหนดมัน ใช้บังคับแก่ปร ะชาชน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และอะห์มัด

เล่าจาก รกานะห์ บุตร อับดิ ยะชีด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริงฉันได้หย่าภรรยาของฉันขาดเลย ท่านนบีได้ถามว่า          ท่านตั้งใจอย่างไรด้วยคำพูดนั้น      ข้าพเจ้าตอบว่า หนึ่ง ท่านนบีกล่าวว่า  สาบานต่ออัลเลาะห์         ข้าพเจ้าตอบว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ ท่านนบีได้กล่าวว่า มันเป็นไปตามที่ท่านตั้งใจ          

รายงานหะดีษโดยอะบู ดาวูด ติรมิซี ชาฟิอี และฮากีม ถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์[461]

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า การหย่าทาสหญิงนั้น คือ ทำได้สองครั้ง และกำหนดกักตัวของหล่อน ก็คือ สองประจำเดือน540                                                                            

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี

การหย่าที่เปีน ซุนนะห์ และการกลับคืนดี541

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “โอ้ นบี เมื่อพวกท่านได้หย่าบรรดาผู้หญิง พวกท่าน จงหย่าพวกนางในช่วงที่อยู่เริ่มกำหนดกักตัวของพวกนาง และพวกท่านจงตรวจสอบช่วงกำหนด กักตัวให้แน่นอน และจงยำเกรงอัลเลาะห์ ผู้อภิบาลของพวกท่าน” 542

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ว่า แท้จริงเขาได้หย่าภรรยาของเขาในสภาพที่นางกำลังมีเลือด ประจำเดือน ในสมัยท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. อุมัรได้ถามท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ถึงเรื่อง ดังกล่าว ท่านได้กล่าวว่า ท่านจงใช้เขา (อิบนิ อุมัร) ให้กลับไปคืนดีกับนางเสีย แล้วยึดเอานางไว้จนกว่านางจะสะอาด (จากการมีเลือดประจำเดือน) แล้ว มีเลือดประจำเดือนอีกแล้วสะอาด จากนั้นถ้าเขาต้องการ ให้เขายึดเอานางไว้อีก และถ้าหากเขาต้องการ ก็ให้เขาหย่าก่อนที่เขาจะร่วม ประเวณี (กับนาง) นั้นแหละคือ ระยะกักตัว ที่บัญชาใช้ให้ผู้หญิงถูกหย่าในระยะกักตัวนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเคยมีภรรยาคนหนึ่งที่ข้าพเจ้ารักหล่อน แต่บิดาของข้าพเจ้าไม่พอใจหล่อน เขาจึงใช้ข้าพเจ้าให้หย่าหล่อนเสีย ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. แล้วข้าพเจ้าก็ได้เล่าให้ท่านฟัง ท่านได้กล่าวว่า โอ้ อับดุลเลาะห์ เจ้าจงหย่าภรรยาของ เจ้าเกิด543           

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อฺมัร  ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้หย่า ฮัฟเซาะห์ แล้วกลับคืนดีกับนาง 

รรายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และนะซาอี [462]

และ มะห์มูด บุตร ละบีด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้มีผู้เล่าให้ท่านนบี  ซ.ล. ฟังถึงชาย คนหนึ่งที่ได้หย่าภรรยาของเขาหมดทั้งสามตอลาก ท่านนบีได้ลุกขึ้นด้วยอาการโกรธ แล้วกล่าวว่า คัมภีร์ของอัลเลาะห์จะถูกล้อเล่นอย่างนั้นหรือ ทั้งที่ข้าพเจ้ายังอยู่ในหมู่พวกท่านจนในที่สุด ชายคนหนึ่งลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะไม่ฆ่าเขาหรือ

รายงานหะดีษโดย นะซาอี ด้วยสายรายงานที่ดี

หญิงที่ถูกหย่าสาม จะยังไม่เปีนที่อนุมัติ จนกว่าจะได้แต่งงานกับชายอื่นเสียก่อน อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “และถ้าหากเขาหย่านาง (อีกเป็นครั้งที่สาม) นางก็จะไม่ เป็นที่อนุมัติแก่เขา (ที่จะกลับไปคืนดี) จนกว่านางจะแต่งงานกับชายอื่นเสียก่อน”

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า        แท้จริง ภรรยาของริฟาอะห์ อัลกุรอซีย์* ได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริงริฟาอะห์ ได้หย่าข้าพเจ้าแล้ว และได้หย่าขาดข้าพเจ้า ความจริงข้าพเจ้า ได้แต่งงานใหม่หลังจากเขาแล้วกับ อับดุรเราะห์มาน บุตรชุบัยร์ อัลกุรอซีย์ และ ที่จริงที่เขามีอยู่นั้นเหมือนชายผ้า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า คิด ว่าเธออยากกลับไปคืนดีกับ ริฟาอะห์ ยัง (ไปคืนดีกัน) ไม่ได้ จนกว่าเขา (อับดรเราะห์มาน) จะต้องลิ้มรสนํ้าผึ้งน้อยๆ ของเธอ และเธอก็จะต้องลิ้มรสนํ้าผึ้งน้อยๆ ของเขาเสียก่อน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

อุมัยซออฺ หรือ รุมัยซออฺ  ร.ฎ. ได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. ได้ร้องทุกข์เกี่ยวกับสามีของ นางว่า ความจริงเขาไม่ถึงนาง[463] และไม่นานนักสามีของนางได้มาแล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ นางโกหก โดยที่เขาถึงนางแล้ว [464] แต่นางต้องการกลับไปคืนดีกับสามีคนแรกของนาง ท่านนบี  ซ.ล.ได้กล่าวว่า           การเช่นนั้นจะไม่ยินยอมให้เธอ จนกว่าเธอจะได้ลิ้มรสนํ้าผึ้งน้อยๆ ของเขาเสียก่อน [465] 

รายงานหะดีษโดย นะซาอี

ให้ภรรยาเลือก และมอบอำนาจให้ภรรยาจัดการกับตนเอง

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ให้พวกเราเลือก และพวกเราก็ได้เลือกเอาอัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์ และท่านไม่นับการเช่นนั้นเป็น สิ่งใดเหนือพวกเรา[466] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ในเรื่อง บะรีเราะห์ ได้กล่าวว่าปรากฏว่าสามีของนางเป็นทาส ท่านนบี ซ.ล. จึงให้นางเลือก และนางก็ได้เลือกเอาตัวนางเอง และถ้าหากว่าเขา เป็นเสรีชน ท่านก็จะไม่ให้นางเลือก [467] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และตัวบทของมุสลิมในเรื่อง การปลดปล่อยทาสว่าปรากฏว่าในตัวของบะรีเราะห์ นั้นมีสามคดี โดยที่นายของนางต้องการขายนาง และตั้งเงื่อนไขเอาสิทธิ วะลาอุ ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง สิทธิในเรื่องวะลาอุ นั้นตกเป็นของผู้ที่ปลดปล่อย และนางก็ได้เป็นเสรีชน ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ ให้นางเลือก และนางก็ได้เลือกเอาตัวเอง นางได้กล่าวว่า มีประชาชนได้ทำทานซอดาเกาะห์ให้นาง และนางได้มอบเป็นของ ฮะดียะห์ แก่พวกเรา ข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องนั้นให้แก่ท่านนบี  ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า มันเป็นทาน ซอดาเกาะห์ สำหรับนาง และเป็น ฮะดียะห์ แก่พวกท่าน ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงรับประทานมันเกิด [468]

และเล่าจาก อาอิชะห์ ได้กล่าวว่า แท้จริง บะรีเราะห์ ได้ถูกปลดปล่อยเป็นอิสระโดยที่หล่อนเป็นภรรยาของ มุฆีช ซึ่งเป็นทาสของวงศ์วาน อะบีอะห์มัด ท่านร่อซูลุลเลาะห์  ซ.ล. จึงให้นางเลือก และได้กล่าวแก่นางว่า ถ้าหากเขาเข้าใกล้เธอ ก็จะไม่มีสิทธิเลือกแก่เธอ        

รายงานโดย อะบูดาวูด และ อะห์มัด ตัวบทของอะห์มัดว่า      เมื่อทาสผู้หญิงถูกปลดปล่อย หล่อนมีสิทธิ์เลือกถ้าหากหล่อนต้องการ หล่อนก็แยกกับสามี ตราบใดที่สามียังไม่ได้ร่วมประเวณี กับนาง [469]

เล่าจาก ฮัมมาด บุตร เซต  ร.ฎ. ว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ อะบี อัยยูบว่าท่านทราบไหมว่า ความจริงมีใครบ้างที่ได้กล่าวในคำพูดที่ว่า “เรื่องของเธออยู่ในมือของเธอ” ว่า เป็น การหย่าสามนอกจาก หะซัน เขา (ฮัมมาด) กล่าวว่าไม่มี ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดอภัย นอกจากสิ่งที่กอตาดะห์ ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังจาก กะซีร ทาสของ ของตระกูล บะนีซะมุเราะห์ จาก อะบี ซะละมะห์ จาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าสาม 55ะ

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี [470]

การหย่าโดยมีสินจ้าง

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า           “และถ้าหากพวกท่านกลัวว่าเขาทั้งสองจะไม่สามารกยืนหยัดอยู่กับขอบเขตที่อัลเลาะห์กำหนดได้ ก็ไม่มีบาปแก่เขาทั้งสอง ในสิ่งที่นางนำมาไถ่ถอน ตัวเอง นั่นแหละ คือ ขอบเขตที่อัลเลาะห์ทรงกำหนด ดังนั้นท่านทั้งหลายอย่าละเมิดขอบเขต นั้น”[471]

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ภรรยาของ ซาบิต บุตร กอยส์ ได้มาหา ท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะไม่ประณามเขาในเรื่องความ ประพฤติ และศาสนา แต่ข้าพเจ้ารังเกียจ กุฟร์ที่อยู่ในอิสลาม ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เธอจะให้สวนชองเขาคืนหรือ นางตอบว่า ค่ะ ท่านนบีได้กล่าวว่า เจ้าจงรับสวนไป และจงหย่านางหนึ่งตอลาก 556 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) ว่า แท้จริงภรรยาของ ชาบิต .บุตร กอยส์ ได้ขอให้ เขาหย่าโดยมีสินจ้างและท่านนบี  ซ.ล. ได้กำหนดระยะกักตัวของนางหนึ่งระดู [472]

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และ อัรรุบัยยิอุ บุตรสาว มุเอาวิช ได้ขอให้หย่าโดยมีสินจ้างในสมัยท่านนบี ซ.ล. และท่านได้ให้นางหรือ นางถูกให้ให้กักตัวหนึ่งระดู                                                                

รายงานหะดีษโดยติรมิซี และถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

การสาบานไม่ร่วมประเวณีกับภรรยา และการกำหนดว่าภรรยาเป็นสิ่งต้องห้าม

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า            “สำหรับบรรดาผู้สาบานว่าจะไม่ร่วมประเวณีกับภรรยา ของพวกเขานั้น จะต้องรอคอยสี่เดือน และถ้าหากพวกเขาทวนคำสาบาน แท้จริงอัลเลาะห์ ทรงอภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง และถ้าหากพวกเขาตัดสินใจหย่า แท้จริงอัลเลาะห์ ทรงไดยินยิ่ง ทรง รู้ยิ่ง”

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้สาบานไม่ร่วมประเวณีกับบรรดาภรรยาของท่าน และได้ปรากฏว่า เท้าของท่านแพลง ท่านจึงพำนักอยู่ใน ห้องของท่านเป็นเวลา ยี่สิบเก้าคืน หลังจากนั้น (อัลกุรอาน) ได้ลงมา พวกอัครสาวกได้กล่าว ว่า โอ้ ท่านรอซูลัลเลาะห์ท่านได้สาบานไว้หนึ่งเดือน ท่านตอบว่า หนึ่งเดือน มียิ่สิบเก้าวัน[473] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และได้ปรากฏว่า อิบนุ อุมัร ได้กล่าวในเรื่องสาบานไม่ร่วมประเวณีกับภรรยาซึ่งอัลเลาะห์ ได้เอ่ยถึงไว้ว่า      ไม่ยินยอมให้ผู้ใด หลังจากครบกำหนดเวลาแล้ว นอกจากเขาจะยึดเอาไว้ด้วยดี หรือตั้งใจหย่า[474] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

และ อาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ได้สาบานไม่ร่วมประเวณี กับบรรดาภรรยาของท่าน และท่านได้ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม โดยท่านได้กำหนดให้สิ่งที่ ฮะรอม เป็น หะลาล และท่านได้กำหนดในการสาบานว่าต้องจ่าย กัฟฟาเราะห์[475] 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าว เมื่อชายคนหนึ่งได้ถือว่า ภรรยาของเขาเป็นสิ่งต้องห้ามเหนือตัวเขา มันก็ตกเป็นสาบานที่เขาจะต้องจ่ายค่าปรับ และเขาได้กล่าวว่าความจริงในท่านรอซูลัลเลาะห์นั้นเป็นแบบอย่างที่ดีแก่พวกท่าน[476]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม 

(การสาปส่งกัน) ลิอาน[477]

เล่าจาก สะฮัล บุตร สะอัด  ร.ฎ. ว่าแท้จริงชายคนหนึ่งจากชาว อันชอร ได้มาหา ท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า  โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์  ได้โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่ได้พบว่ามีผู้ชายอื่นอยู่กับภรรยาของเขาว่า เขาจะฆ่าผู้ชายคนนั้นไหม หรือ เขาจะกระทำอย่างไร                         ต่อมาอัลเลาะห์ได้ประทานลงมาในเรื่องของเขา ตามที่ถูกระบุอยู่ใน อัลกุรอาน ที่เป็นเรื่องของสองคนที่สาปส่งซึ่งกันและกัน [478] ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ได้ทรงตัดสินในตัวท่านกับภรรยาของท่านแล้ว ต่อมาคนทั้งสองจึงได้สาปส่งซึ่งกันและกันในมัสยิด โดยที่ข้าพเจ้าปรากฏตัวอยู่ด้วย และเมื่อทั้งสองคนได้เสร็จ (จากการสาปส่งกัน) แล้ว ฝ่าย ชายได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าป้ายสีนาง โอ้ท่านร่อซลุ้ลเลาะห์ ถ้าหากข้าพเจ้ายึดเอานางไว้ ต่อมาเขาได้หย่าหล่อนสาม ก่อนที่ท่านนบี  ซ.ล. จะใช้เขา ขณะที่คนทั้งสองเสร็จจากการสาปส่งกัน อิบนุ ชิฮาบ ได้กล่าวว่า ได้ปรากฏเป็นแนวทางปฏิบัติ ภายหลังจากคนทั้งสอง คือการแยกทางกันระหว่างสามีภรรยาที่สาปส่งกัน และโดยที่ฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ ลูกของนางจึงถูกเรียก ด้วยสกุลของแม่ ต่อมาได้เป็นแนวทางปฏิบัติในเรื่องมรดกว่า บุตรของนางจะได้รับมรดกนาง และนางก็จะได้รับมรดกของบุตร ตามส่วนที่อัลเลาะห์ ได้กำหนดไวให้แก่นาง [479] ได้เพิ่มเติม ในรายงานหนึ่งว่า ต่อมาท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า      ถ้าหากนางคลอดออกมา มีผิวแดงเตี้ย เหมือนลูกสัตว์ตัวเล็กๆ สีแดง ข้าพเจ้าจะไม่คาดคิดถึงนาง นอกจากนางพูดจริง และเขา กล่าวหานาง และถ้าหากนางคลอดออกมามีผิวดำ ตาโต สะโพกทั้งสองข้างกว้าง ข้าพเจ้าจะ ไม่คาดคิดถึงเขา นอกจากเขาพูดความจริงที่เป็นโทษต่อนาง ต่อมานางได้คลอดบุตรออกมาด้วยลักษณะที่ ไม่น่าพึงพอใจ จากที่ได้กล่าวนั้น           

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี    และในบางรายงาน ท่านนบีได้กล่าวแก่คนทั้งสองว่า การสอบสวนท่านทั้งสองเป็นหน้าที่ของอัลเลาะห์ คนหนึ่งจากท่านทั้งสองเป็นคน

โกหก ไม่มีทางสำหรับท่านจะไปหาหล่อนได้อีกแล้ว [480] ผู้ชายคนนั้นได้กล่าวว่าทรัพย์สิน ของข้าพเจ้า ท่านนบีได้กล่าวว่า ไม่มีทรัพย์สินใดๆ เป็นของท่านติดอยู่ที่หล่อน ถ้าหากท่านพูด ความจริงที่เป็นโทษต่อหล่อน ทรัพย์สินนั้นก็แลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ท่านได้ถือว่าเป็นสิ่งฮะลาล จากอวัยวะเพศของนาง และถ้าหากท่านป้ายสีนาง นั่นมันก็ยิ่งห่างไกลที่จะเป็นของท่าน [481]

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ผู้ชายชาว อันซอรคนหนึง[482] ได้มาหาแล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ถ้าหากชายคนหนึ่งได้พบว่ามีชายคนหนึ่งอยู่ร่วมกับภรรยาของเขา ดังนั้น (ถ้าหาก) เขาพูด พวกท่านก็เฆี่ยนเขา หรือ (ถ้าหาก) เขาฆ่า พวกท่านก็ฆ่าเขา หรือ (ถ้าหาก) เขานิ่งเฉย เขาก็นิ่งเฉยอยู่บนความแค้นเคือง ท่านนบีได้กล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดเปิดด้วยเถิด และท่านได้เริ่มขอดุอาอ์ ต่อมาอายะห์ในเรื่อง ลิอาน ก็ได้ลงมา ท่านได้ อ่านอายะห์ลิอานให้เขาฟังท่านได้สั่งสอนเขา ได้ตักเตือนเขา และได้แจ้งแก่เขาว่า แท้จริง การลงโทษในโลกนี้ง่ายดายกว่าการลงโทษในอาคิเราะห์ ภรรยาของเขาได้กล่าวว่า     ไม่หรอก ขอสาบานต่อผู้ซึ่งได้แต่งตั้งท่านด้วยสัจธรรมแท้จริงเขาโกหก ท่านนบีได้เริ่มที่ผู้ชายก่อน เขาได้อ้าง คำยืนยันสี่ครั้งด้วยนามอัลเลาะท์ ว่า แท้จริงเขาเป็นคนหนึ่งจากบรรดาผู้มีสัจจะ และครั้งที่ห้า ว่า แท้จริงการสาปแช่งของอัลเลาะห์จะตกอยู่ที่เขา ถ้าหากเขาเป็นคนหนึ่งจากบรรดาผู้ที่โกหก หลังจากนั้นท่านนบีได้ใช้ผู้หญิงเป็นอันดับที่สอง นางไดยืนยัน สี่ครั้งด้วยนามของอัลเลาะห์ ว่า เขาเป็นคนหนึ่งจากบรรดาผู้โกหก และครั้งที่ห้าว่า แท้จริง การโกรธกริ้วของอัลเลาะห์ จะตก อยู่กับนาง อ้าหากเขาเป็นคนหนึ่งจากบรรดาผู้มีสัจจะ หลังจากนั้น ท่านได้พรากระหว่างเขาทั้ง สอง'[483] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และ ติรมิซี

เด็กเป็นของ เจ้าที่นอน[484] 

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า สะอัด บุตร อะบี วักกอส ได้โต้เกียงกับ อับดุลเลาะห์ บุตร ซัมอะห์  ร.ฎ. ในเรื่องเด็กผู้ชายคนหนึ่ง สะอัดได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ นึ่คือ ลูกชายของพี่ชายข้าพเจ้า อุดบะห์ บุตร อะบี วักกอส เขาได้แจ้งแก่ข้าพเจ้าว่า เด็กนี้เป็นบุตรชายของเขา และท่านจงมองดูความคล้ายที่เขา และอับดุลเลาะห์ บุตร ซัมอะห์ ได้กล่าวว่า นึ่คือ น้องชายข้าพเจ้า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ เขาเกิดอยู่บนที่นอนของบิดาข้าพเจ้า กับทาสหญิงของ เขา ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มองดูความคล้ายของเขา ก็ได้พบความคล้ายกันอย่างแจ่มชัด กับ อุดบะห์ ท่านจึงกล่าวว่า เขาเป็นของท่าน โอ้ อับดุ เด็กนั้นเป็นของเจ้าที่นอน และ

สำหรับผู้ที่ละเมิดประเวณี จะขาดทุน ไม่ได้สิ่งใดเลย 570 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และได้มีชายคนหนึ่งมาแล้วกล่าวขึ้นว่า          โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริงคนๆ นั้น เป็นบุตรชายของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าได้ละเมิดประเวณีกับมารดาของเขาในสมัย ญาฮิลียะห์ ท่าน นบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีการทึกทักเอาผู้อื่นเป็นพ่อในอิสลาม, กิจกรรมในสมัย ญาฮิลียะห์ ได้ผ่านพ้นไปแล้ว บุตร เป็นของเจ้าที่นอน และสำหรับผู้ที่ได้ละเมิดประเวณี จะขาดทุน[485]  ไม่ได้สิงใดเลย 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด

ควรระวัง และคิดในแง่ดี672

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งจากตระกูล บะนีฟะซาเราะห์ ได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. แล้วกล่าวว่า แท้จริง ภรรยาของข้าพเจ้าได้คลอดบุตรออกมา มีผิวดำ ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านมีอูฐไหม เขาตอบว่า มีครับ ท่านนบีถามว่า อูฐมันมีสีอะไรบ้าง เขาตอบวา แดง ท่านนบีกล่าวว่า สีเทามีบ้างไหม เขาตอบว่า ความจริงในฝูงอูฐนั้นมีสีเทาด้วย ท่านนบีได้กล่าวว่าที่เป็นเช่นนั้น มาเกิดอยู่ที่อูฐได้อย่างไร    เขากล่าวว่า อาจเป็นได้ว่ากรรมพันธุ์ได้ถอดมันออกไป ท่านนบีได้กล่าวว่า นี่ก็อาจเป็นกรรมพันธุ์ที่ได้ถอดมันออกไป[486]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้หญิงคนใดที่ได้ ทึกทักให้ใช้สกุลของคนพวกหนึ่ง   บุคคลที่ไม่ใช่อยู่ในสกุลของคนของพวกนั้น หล่อนจะไม่ได้อยู่ในสิ่งใดจากอัลเลาะห์ และอัลเลาะห์จะไม่ให้หล่อนเข้าสวรรค์ของพระองค์ และผู้ชายคนใดที่ปฏิเสธลูกของตน ทั้งที่เขามองดูเด็กคนนั้น อัลเลาะห์ จะหันหนีเขา และจะให้เขาอับอาย แก่คนชั้นนำทั้งในยุคก่อน และ ยุคสุดท้าย [487]      

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด นะซาอี  และฮากีม ถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

ให้ปฏิบัติตามความเห็นของนักดูลักษณะ ถ้าไม่เช่นนั้นให้ใช้วิธีจับฉลาก

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้เข้ามาหาข้าพเจ้าใน วันหนึ่งด้วยความดีใจ สีหน้าของท่านมีราศี ท่านได้กล่าวว่า โอ้ อาอิชะห์ เธอไม่เห็นหรือว่า มุยัซซิซ อัลมุดลิยีย์ ได้เข้ามาหาข้าพเจ้า และเขาได้เห็น อุซามะห์ กับ เซด โดยบนร่างของคน ทั้งสองนั้นมีเสื้อคลุมหนาๆ ที่คนทั้งสองได้ปิดศีรษะไว้ แต่เท้าของคนทั้งสองเปิด เขาได้กล่าว ว่า แท้จริง เท้าเหล่านี้ บางส่วนของมันมาจากอีกบางส่วน[488] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจาก เซด บุตร อัรกอม  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้มีชายสามคนถูกนำตัวมาหาอะลี  ร.ฎ. ขณะเขาอยู่ใน ยะมัน ซึ่งชายทั้งสามคนนั้นได้ร่วมประเวณีกับหญิงคนเดียวกัน ในช่วงสะอาด (จากประจำเดือน) เดียวกัน อะลีได้ถามชายสองคนว่า ท่านทั้งสองจะยืนยันไหมว่า เด็ก เป็น ของชายคนนี้ ชายทั้งสองคนกล่าวว่า ไม่ จนเขาได้ถามพวกเขาทั้งหมด และอะลีก็ได้ออกฉลาก ระหว่างพวกเขา และได้ให้เด็กนั้นเป็นของผู้ที่ฉลากได้บ่งว่าเป็นของเขา และได้กำหนดให้เขาจ่าย เศษสองส่วนสาม ของดิยะห์ แก่เพื่อนทั้งสองของเขา ต่อมาอะลีได้นำเรื่องดังกล่าวไปเล่าให้ ท่านนบี  ซ.ล. ฟัง ท่านหัวเราะ จนฟันของท่านเผย [489] 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และนะซาอี

ซิฮาร[490]

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “และบรรดาผู้ที่เปรียบเทียบผู้หญิงของพวกเขา เหมือน หลังมารดา หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับคำพูดเสียใหม่ [491] ดังนั้นจะต้องปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระ หนึ่งคน ก่อนที่เขาทั้งสองจะสัมผัส (ทางเพศ) กัน นั่นแหละ คือ สิ่งที่พวกท่านลูกสั่งสอน และอัลเลาะห์ ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกท่านกระทำ”[492]

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. แล้วกล่าว ว่า โอ้ ท่านรอซูลัลเลาะห์ความจริงข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ภรรยาของข้าพเจ้าว่า “เธออยู่เหนือฉัน เหมือนหลังมารดาของฉัน” และข้าพเจ้าไต้ร่วมประเวณีกับหล่อน ก่อนที่ข้าพเจ้าจะจ่าย กัฟฟาเราะห์ ท่านนบีได้กล่าวว่า อะไรทำให้ท่านปฏิบัติดังนั้น ขออัลเลาะห์ทรงเมตตาท่านด้วยเกิดเขาตอบว่า ข้าพเจ้าเห็นกำไลเท้าของหล่อนอยู่ในแสงจันทร์ ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านอย่าเข้าใกล้หล่อน จนกว่าท่านจะกระทำสิ่งที่อัลเลาะห์ ทรงมีบัญชาต่อท่านด้วยสิ่งนั้นเสียก่อน[493]

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ซะละมะห์ บุตร ซอคร์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ประสบกับ พวกผู้หญิง ด้วยสิ่งที่ผู้อื่นไม่ประสพ[494] และเมื่อเข้าเดือนรอมาดอน ข้าพเจ้ากลัวว่า ข้าพเจ้าจะ ต้องประสพกับภรรยาของข้าพเจ้า[495] ดังนั้นข้าพเจ้าจึง ซิฮาร หล่อน จนกว่าจะพ้นรอมาดอน ขณะที่หล่อนกำลังให้การบริการแก่ข้าพเจ้าในคืนวันหนึ่งนั้น ได้มีสิ่งหนึ่งจากร่างของหล่อนเผย ออกมาให้ข้าพเจ้าเห็น ข้าพเจ้าจึงได้ร่วมประเวณีกับหล่อน ต่อมาเมื่อรุ่งเข้า ข้าพเจ้าได้บอกแก่ พวกพ้องของข้าพเจ้า และได้กล่าวว่า พวกท่านจงพาข้าพเจ้าไปหาท่านนบี  ซ.ล. พวกเขาได้

กล่าวว่า ไม่ ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ข้าพเจ้าจึงได้ไปหาท่าน และเล่าให้ท่านฟัง ท่านนบีได้ กล่าวว่า ท่านกระทำเช่นนั้นหรือ โอ้ ซะละมะห์ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กระทำเช่นนั้น โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ สองครั้ง และข้าพเจ้าเป็นผู้ที่มีความอดทนต่อคำสั่งของอัลเลาะห์ผู้ทรง ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ดังนั้นท่านจงตัดสินในเรื่องของข้าพเจ้าเถิด ตามที่อัลเลาะห์ให้ท่านเห็น ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านจงปลดปล่อยทาสคนหนึ่งให้เป็นอิสระ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า สาบานต่อ ผู้ซึ่งแต่งตั้งท่านด้วยสัจธรรม ข้าพเจ้าไม่มีทาสอยู่ในปกครองนอกจากหล่อนเท่านั้น และข้าพเจ้า ได้ตบชอกคอของข้าพเจ้า ท่านนบีได้กล่าวว่า ดังนั้น ท่านจงถือศีลอด สามเดือน ติดต่อกัน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ประสพสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ประสพ นอกจาก การถือศีลอดหรือ ท่านกล่าวว่า ท่านจงให้อาหารจำนวนหนึ่งวัสก์ที่เป็นอินทผลัมแบ่งกันในระหว่างคนยากจนจำนวน หกสิบคน[496] ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งได้แต่งตั้งท่านด้วยสัจธรรม ความจริงเรานอน ด้วยความหิวโหย เราไม่มีอาหารเลย ท่านนบีได้กล่าวว่า ดังนั้นท่านจงไปยังเจ้าของซะกาตของ ตระถูลบะนี ซุรอยก์ ให้เขาจงจ่ายมันแก่ท่าน[497] และท่านจงให้เป็นอาหารแก่คนยากจนหกสิบคน ด้วยจำนวนหนึ่งวัสก์ที่เป็นผลอินทผลัม ท่านและครอบครัวของท่านจงรับประทานส่วนที่เหลือ ของมัน (ซะกาต) ข้าพเจ้าจึงได้กลับมาหาพวกพ้องของข้าพเจ้า และได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พบ ความแคบแค้น และความเห็นที่เลวที่พวกท่าน แต่ข้าพเจ้าได้พบความกว้างขวาง และความ เห็นที่ดีที่ท่านนบี  ซ.ล. ความจริงท่านได้ใช้ให้มอบแก่ข้าพเจ้าด้วย ชะกาดของพวกท่าน

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี [498]

เมื่อเขาเข้าอิสลามโดยมีพี่น้องผู้หญิงสองคน หรือ มีมากกว่าสี่คนเป็นภรรยาของเขา

เล่าจาก ฟัยรูซ อัดดัยละมีย์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. และ ได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าได้เข้านับถือศาสนาอิสลาม โดยมีภรรยาสองคนเป็นพี่น้องกัน ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านจงเลือกเอาคนหนึ่งจากทั้งสองที่ท่านต้องการ 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี        และตัวบทของอะบีดาวูดว่า ให้ท่านจงหย่าคนหนึ่งจากทั้งสองที่ท่านต้องการ[499]

เล่าจาก อัลฮาริษ บุตร กอยส์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เข้านับถือศาสนาอิสลาม โดยข้าพเจ้ามีภรรยาแปดคน และข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องดังกล่าวแก่ท่านนบี ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า ท่านจงเลือกเอาจากพวกหล่อนนั้นแพียงสี่คน     

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด

เล่าจาก อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ฆอยลาน บุตร ซะละมะห์ อัซซะกอฟีย์ ได้เข้า นับถือศาสนาอิสลาม โดยเขามีภรรยาสิบคนในสมัย ญาฮิลิยะห์ และพวกหล่อนได้เข้านับถือศาสนา อิสลามพร้อมกับเขา ท่านนบี  ซ.ล. ได้ใช้เขาให้เลือกเอาสี่คนจากพวกเหล่านั้น[500]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี และอิบนุมายะห์

                                                       

การเข้าสู่อิสลามของคนใดคนหนึ่งของคู่สามีภรรยา[501]

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ว่า แท้จริงชายคนหนึ่งได้มาในสภาพนับถืออิสลาม (เป็น มุสลิม) ในสมัยท่านนบี  ซ.ล. ต่อมาภรรยาของเขาไต้มาอีกในสภาพนับถืออิสลาม (เป็นมุสลิมะห์) แล้วเขาได้กล่าวว่าโอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริงนางได้เข้าอิสลามพร้อมกับข้าพเจ้า ตังนั้น ท่านจงส่งนางคืนให้ข้าพเจ้าเถิด และท่านนบีก็ได้ส่งนางคืนให้แก่เขา[502]  

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) ได้กล่าวว่า ผู้หญิงคนหนึ่งไต้เข้านับถือศาสนาอิสลาม ในสมัยท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ต่อมานางได้แต่งงาน และสามีคนแรกของนางได้มาหาท่าน นบี  ซ.ล. แล้วกล่าวว่าโอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริงข้าพเจ้าได้เข้านับถือศาสนาอิสลามแล้ว และนางก็ร้ว่าข้าพเจ้านับถือศาสนาอิสลาม ท่านนบี ซ.ล. จึงถอดนางออกจากสามีคนที่สอง และได้ส่งคืนนางไปให้แก่สามีคนแรก[503]

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และอิบนุมายะห์

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ส่งคืน บุตรสาวของท่าน คือซัยหนับให้แก่อะบิ้ลอาส บุตร รอเบียะอฺ หลังจากได้ผ่านไปหกปี ด้วยการแต่งงานครั้งแรก และโดยที่ท่านนบีไม่ได้ทำการนิกาห์ใหม่ 591       

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) ได้กล่าวว่า เมื่อผู้หญิงที่เป็น นัสรอนีก็ ได้เข้านับลือ อิสลามก่อนสามีของนางเพียงครู่เดียว หญิงนางนั้นก็กลายเป็นสิ่งต้องห้ามแก่สามีนางแล้ว 592

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เด็กจะตามคนที่เป็นมุสลิม จากบิดามารดาของเด็ก 503

เล่าจาก รอฟิอฺ บุตร ซินาน  ร.ฎ. ว่าแท้จริงเขาได้เข้านับลือศาสนาอิสลาม ส่วน ภรรยาของเขาไม่ยอมเข้านับถืออิสลาม594 และนางได้กล่าวแก่ท่านนบี  ซ.ล. ว่า บุตรสาว ของฉัน และ รอฟิอฺก็ได้กล่าวว่า บุตรสาวของฉัน ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขาว่า ท่านจง นั่งลงที่มุมหนึ่ง และได้กล่าวแก่ฝ่ายหญิงว่า เธอจงนั่งลงทางอีกด้านหนึ่ง และจับเด็กหญิงคนนั้น ให้นั่งลงระหว่างบุคคลทั้งสองนั้น แล้วท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านทั้งสองจงเรียกเด็กหญิงคนนี้เถิด และเด็กหญิงได้เอนเอียงเข้าหาฝ่ายมารดาของเด็ก ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ จงนำให้แก่เด็กหญิงคนนั้น และได้ปรากฏว่า เด็กนั้นเอนเอียงเข้าหาฝ่ายบิดาของเด็ก และเขา

ก็ได้เอาไป 595 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด และนะซาอี

การเลี้ยงดูเด็ก 506

เล่าจาก อับดิ้ลลาห์ บุตร อัมร์  ร.ฎ. ว่า แท้จริง ผู้หญิงคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ท่าน รอซูลุลเลาะห์ แท้จริงบุตรชายของข้าพเจ้าคนนี้ได้เคยปรากฏว่า ท้องของฉันเคยเป็นถุงใส่เขา และเต้านมทั้งสองของฉันเป็นถุงใสน้ำของเขา และตักของฉัน เป็นที่คุ้มกันเขา และความจริง

 

(581) ซัยหนับ บุตรสาวของท่านนบี  ซ.ล. เคยเป็นภรรยาของอะบูลอาส เมื่อท่านนบี  ซ.ล. ส่งคนไปตาม ซัยหนับได้เข้ารับ แต่อะบุลอาสไม่ได้เข้าอิสลามตามมา พร้อมกับซัยหนับด้วย ท่านนบีจึงยึดเอาซัยหนับไว้ และหลังจากอีกหกปี หรือสามปี หรือสองปี (ตามทัศนะต่าง ๆ) อะบุลอาส จงได้เข้ารับอิสลาม และได้ขอซัยหนับคืนจากท่านนบี  ซ.ล. ท่านได้คืนซัยหนับให้เขาไป โดยไม่ได้แต่งงานใหม่ และในบางรายงานว่า โดยแต่งงานและค่าสมรสใหม่ และนี่เป็นนัศนะของนักวิชาการฟิกฮ์ แม้หะดีษที่ นำมากล่าวในหนังสือนี้จะมีสายรายงานนี่ดีกว่าก็ตาม

  1. ความหมายที่ว่า เป็นหญิงนัสรอนีย์ ก็คือ เป็นผู้หญิง กาฟิรทั่วๆไป ถ้าหากได้เข้าอิสลามก่อนสามีของนาง แม้เพียงครู่เดียว ก็ถือว่าหญ่งนั้นเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเขา เพราะไม่เท่าเทียมกันในเรื่องศาสนา นี่เป็นทัศนะของอิบนุ อับบาสและอะตออ์ แต่ทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ ต่างนับทัศนะของคนทั้งสอง ดังนั้นหญิงนั้น ได้เป็นที่ด้องห้ามแก่สามีจนกว่าจะหมดอิดดะห์ โดยเขาไม่เข้ารับอิสลาม
  2. เมื่อสามีภรรยา ที่เป็นกาฟิรคนใด เข้ารับอิสลาม โดยที่คนทั้งสองมีบุตร ดังนั้น ผู้ที่มีสิทธิ์จะได้รับบุตรไปก็คือคนที่เป็น มุสลิม
  3. โดยหล่อนมีลูกกับรอฟิอฺ คนหนี่งหย่านมแล้ว
  4. โดยนี่ท่านนบี ซ.ล. ยอมรับ และการยอมรับของท่านนบีนั้นเป็นหลักฐาน เมื่อคนใดคนหนึ่งของคู่สามีภรรยาเขารับ อิสลามหรือเสียศาสนา โดยทั้งสองมีบุตรที่มีสิทธิ์ได้ปกครองบุตรนั้นก็คือคนที่เป็นมุสลิม เพราะบุตรจะตามบิดาหรือมารดา ที่อยู่ในศาสนานี่ประเสริฐที่สุด นั่นคืออิสลาม นี่เป็นทัศนะของชาฟิอี และนักวิชาการพวกหนี่ง ฮานะฟีกล่าวว่าเป็นสิฑธิ์ของแม่ ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่แต่งงานใหม่
  5. คือการเลี้ยงดูเด็กจนกว่าจะเติบโต และเข้าใจคำพูดและโต้ตอบได้

 

บิดาของเขาได้หย่าฉัน และต้องการพรากเขาไปจากฉัน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่ หล่อนว่า เธอมีสิทธิในตัวของเด็กยิ่งกว่า ตราบใดที่เธอยังไม่แต่งงาน[504]

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด อะห์มัด และฮากีม ถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก อะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เซด บุตร ฮาริษะห์ ได้ออกเดินทางไปยังมักกะห์ และเขาได้นำบุตรสาวของ ฮัมซะห์ กลับเข้ามา ยะอฟัร ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเอาหล่อนมา ข้าพเจ้า มีสิทธิในตัวหล่อน หล่อนเป็นบุตรสาวของลุงข้าพเจ้า และน้าสาวของหล่อนก์อยู่กับข้าพเจ้า ความจริงแล้ว น้าสาวก็เหมือนกับแม่ อะลีได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ามีสิทธิในตัวของหล่อน หล่อน เป็นบุตรสาวของลุงข้าพเจ้า และบุตรสาวของท่านรอซูลุลเลาะห์ก็อยู่กับข้าพเจ้า และนางมีสิทธิ ยิ่งในตัวของหล่อน เซดได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ามีสิทธิในตัวหล่อนยิ่งกว่า ข้าพเจ้าได้ออกไปหาหล่อน ข้าพเจ้าเดินทาง และนำหล่อนมา ต่อมาท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ออกมาพบพวกเขา และ ได้ตัดสินหล่อนให้แก่ ยะอฟัร และท่านได้กล่าวว่า หล่อนต้องอยู่กับน้าสาวของหล่อน เพราะ ความจริงน้าสาวนั้นเหมือนกับแม่[505]                                                                                                           

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าอยู่กับท่านนบี  ซ.ล. ต่อมาได้ มีผู้หญิงคนหนึ่งมาแล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์  แท้จริงสามีของฉันต้องการเอาลูกชาย ของฉันไป โดยทีความจริงเขาเป็นผู้นำนํ้ามาให้ข้าพเจ้าดื่มจากบ่อน้ำ อะบี อินะบะห์ และความจริง เขาได้ทำประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งสองจงจับฉลาก เอาเด็กไป สามีของนางได้กล่าวว่า ใครที่จะมาโต้แย้งกับข้าพเจ้าในลูกของข้าพเจ้า ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่านี่คือบิดาของเจ้า และนี่คือมารดาของเจ้า ดังนั้นเจ้าจงจับมือของคนหนึ่งจากใน

สองเถิดที่เจ้าต้องการ เด็กคนนั้นได้จับมือมารดาของเขา และมารตาก็ได้นำเด็กนั้นไป[506] 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

ข้อกำหนดในเรื่องการหายสาปสูญของสามี

เล่าจาก อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า หญิงคนใดที่สามีของนางหายสาปสูญไป โดยหล่อน ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน หล่อนจะต้องรอคอยเป็นเวลาสี่ปี หลังจากนั้นต้องกักตัวอีกสี่เดือนกับสิบวัน แล้วจึงถือว่า หล่อนฮาลาล          

รายงานหะดีษโดยมาลิก    และไต้กล่าวว่า ถ้าหากหล่อนไต้แต่งงาน หลัง

จากหมดระยะกักตัวแล้ว ต่อมาสามีของนางได้ร่วมประเวณีกับนาง หรือไม่ไต้ร่วมประเวณีกับนาง สามีเดิมของนางจะไม่มีทางกลับมาหานางได้[507]

และอิบนุล มุวัยยิบ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อเขา (สามี) สาปสูญไปในแกวทหาร ใน ยามสงคราม ให้ภรรยาของเขารอคอยเป็นเวลา หนึ่งปี601

อัซซุห์รีย์ ได้กล่าวในเรื่องเชลยศึก ที่รู้สถานที่ของเขาว่า ภรรยาของเขาจะแต่งงานยัง ไม่ได้ และจะแบ่งทรัพย์ของเขายังไม่ไต้ และเมื่อข่าวคราวของเขาหายไป แนวทางของเขา ก็คือ แนวทางของคนที่หายสาปสูญ[508]          

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

บทที่สิบ

ระยะกักตัว และ ปล่อยตัว [509]

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “และบรรดาผู้หญิงที่ถูกหย่านั้น จะต้องกักตัวเองเป็นเวลา สาม กุรุอฺ โดยไม่ยินยอมให้พวกนางปกปิดสิ่งที่อัลเลาะห์ได้ทรงบันดาลอยู่ในมดลูกของพวกนาง หากพวกนางมีศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และวันสุดท้าย” [510]

และพระองค์ผู้ทรงเทรียงไกร ได้ตรัสว่า         “และบรรดาผู้หญิงที่หมดหวังจะมีเลือดประจำเดือนแล้ว หากพวกนางสงสัย ดังนั้นให้กำหนดระยะกักตัวของพวกนางไว้สามเดือน และบรรดา ผู้หญิงที่ไม่เคยมีเลือดประจำเดือน (ก็เช่นเดียวกัน) และบรรดาหญิงที่มีครรภ์ กำหนดของพวกนาง ก็คือ คลอดบุตรของพวกนาง”[511]

และได้ตรัสว่า “เมื่อพวกท่านได้แต่งงานกับบรรดาสตรีที่มีศรัทธา แล้วต่อมาภายหลัง พวกท่านได้หย่าพวกนาง ก่อนที่จะได้สัมผัส (ทางเพศ) กับพวกนาง ดังนั้นย่อมไม่มีกำหนด กักตัว สำหรับพวกท่านเหนือพวกนางที่พวกท่านจะนับจำนวนของมัน”[512]

และได้ตรัสว่า “และบรรดาผู้ที่เสียชีวิตจากพวกท่าน โดยทิ้งคู่ครองไว้ให้พวกนางกักตัวเองเป็นเวลาสี่เดือนกับสิบวัน” [513]

อะบุ ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะบุ ซะละมะห์ กับ อิบนุ อับบาส  ร.ฎ. ได้ ประชุมกัน และทั้งสองคนได้กล่าวถึงหญิงคนหนึ่งที่คลอดบุตร ภายหลังการเสียชีวิตสามีของหล่อนไปแล้วหลายวัน อิบนุ อับบาสได้กล่าวว่า กำหนดกักตัวของหล่อน คือ ท้ายสุดของสอง กำหนดเวลา[514] และ อะบู ซะละมะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า หล่อนเป็นที่ฮะลาลแล้วด้วยการคลอดบุตร ดังนั้นคนทั้งสองจึงโต้เกียงกัน อะบู ฮุรอยเราะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับบุตรของ น้องชายข้าพเจ้า พวกเขาจึงได้ส่งรุกัยบ์ [515] ไปหาอุมม์ ซะละมะห์ ถามนาง จากนั้น รุกัยบ์

ได้มาแล้วกล่าวว่า แท้จริง อุมม์ ซะละมะห์                  ได้กล่าวว่า ชุบัยอะห์ อัลอัสละมียะห์ได้คลอดบุตร ภายหลังการเสียชีวิตสามีของนางเป็นเวลาหลายคืน และหล่อนได้เล่าเรื่องดังกล่าว แก่ท่านนบี ซ.ล. และท่านได้ใช้หล่อนให้แต่งงาน[516] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของติรมีซีว่า ซุบัยอะห์  ร.ฎ. ได้คลอดบุตรภายหลังจากสามีตาย เป็นเวลายี่สิบสาม หรือยี่สิบห้าวัน ต่อมาหล่อนอยากแต่งงาน แต่หล่อนก็ถูกปฏิเสธ จึงได้มีผู้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้ ท่านนบี  ซ.ล. ฟัง ท่านได้กล่าวว่า ถ้าหากหล่อนจะกระทำ ความจริงก็ได้ถึงกำหนดของหล่อนแล้ว และความจริงได้กล่าวมาแล้วในเรื่องค่าสมรสว่า อิบนุ มัสอูด  ร.ฎ. ได้ตัดสินให้ผู้หญิงที่สามีของหล่อนตายจากก่อนที่จะร่วมเพศกับหล่อนมีกำหนดกักตัว (อิดดะห์) และ มะอกิ้ลอัลอัชยะอีย์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อย่างนี้แหละที่ท่านนบี ซ.ล. ได้ตัดสิน [517] 

ตัวบท ของติรมีชีและอะบีดาวูดว่า การหย่าทาสผู้หญิงนั้น มีสองตอลาก และกำหนดกักตัวของหล่อนคือสองระดู[518]

เล่าจากฮุมัยด์ บุตรนาหิเอฺ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ซัยนับ บุตรสาว อะบีซะละมะห์ ได้ เล่าหะดีษทั้งสามนี้ให้ฉันฟัง[519] ซัยนับได้กล่าวว่า ฉันเข้าไปหา อุมม์ ฮะบีบะห์ ภรรยาของ ท่านนบี  ซ.ล. ขณะที่บิดาของนาง คือ อะบู ซุฟยานเสียชีวิต นางได้เรียกให้นำเอาเครื่องหอมมา ในนั้นมีสีเหลืองที่เป็น “ค่อลูก” หรืออย่างอื่น และนางได้ใช้มันทาทาสหญิง หลังจากนั้น ได้ลูบแก้มทั้งสองข้างของนาง[520]  แล้วกล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ ฉันไม่มีความจำเป็นใดต่อเครื่องหอมเลย นอกจากข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวบนมิมบัรว่า ไม่ยอมให้ผู้หญิงคนใดที่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์และวันสุดท้ายที่จะปล่อยตัวเพื่อคนตายใด เกินกว่าสามวัน นอกจากเพื่อสามี ทีมีกำหนดสี่เดือนสิบวัน ซัยนับได้กล่าวว่า หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้เข้าไปหาซัยนับ บุตร ยะห์ชิ ขณะที่น้องชายของนางเสียชีวิต นางได้เรียกให้นำของหอมมาและนาง ได้สัมผัสมัน จากนั้นได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์  ฉันไม่ต้องการเครื่องหอมเลย นอกจาก ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวบนมิมบัรว่า ไม่ยอมให้หญิงคนใดที่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์  และวันสุดท้ายจะปล่อยตัวเพื่อคนตายคนใดเกินกว่าสามวัน นอกจากเพื่อสามีสี่เดือน สิบวัน ซัยนับ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินมารดาของฉัน คือ อุมม์ ซะละมะห์ กล่าวว่า                                            มีหญิงคนหนึ่ง มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริง บุตรสาวของฉัน สามีเขาตายจากเขาไป และหล่อนก็ได้รับความทุกข์ที่ดวงตาของหล่อน เราจะใส่ยาตาให้หล่อนได้ไหม ท่านตอบว่า ไม่ได้615 จากนั้นท่านได้กล่าวว่า    สี่เดือนสิบวัน616 และความจริงหญิงคนหนึ่งของพวกเธอในสมัยญาฮิลียะห์จะต้องขว้างอุจจาระเมื่อต้นปีฮุมัยด์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ ซัยนับว่า       อะไรคือความหมายที่ว่า หล่อนจะต้องขว้างอุจจาระเมื่อต้นปี ซัยนับตอบว่า                            ผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อสามีของนางตายจากไป หล่อนจะต้องเข้าไปอยู่ในกระท่อมแคบๆ และสวมเสื้อผ้าเลวๆ 517 หล่อนจะไม่กระทบกับเครื่องหอม และไม่กระทบ สิ่งใดๆ จนกว่าจะผ่านพ้นไปหนึ่งปี หลังจากนั้นก็จะนำสัตว์ตัวหนึ่งมา อาจเป็นลา หรือแกะ หรือนก และหล่อนก็จะใช้มันเช็ดทำความสะอาด[521] น้อยมากที่หล่อนใช้สิ่งใดทำความสะอาด แล้วจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ หลังจากนั้น หล่อนก็จะออกไป จะมีผู้นำขี้สัตว์มาให้ หล่อนก็จะขว้าง มันไป หลังจากนั้น หล่อนก็จะกลับไปใช้เครื่องหอมและอื่นๆ ได้อีก[522]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อุมม์ อะดียะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า     พวกเราเคยถูกห้ามการที่พวกเราจะปล่อยตัว เนื่องจากมีคนตายเกินกว่าสามวัน นอกจากในกรณีที่ผู้ตายเป็นสามี คือ สี่เดือนกับสิบวัน และไม่ให้พวกเราทาตา ไม่ให้ใส่เครื่องหอม ไม่ให้สวมใส่ผ้าย้อมสี นอกจากชุดที่ใส่ทำงาน และความจริงพวกเราได้รับการผ่อนผันให้ขณะเมื่อสะอาด เมื่อคนหนึ่งของพวกเราได้อาบนํ้า อันเนื่องจากการมีเลือดประจำเดือนของเขาให้ใช้ก้อนหนึ่งจากเครื่องหอม กุสต์ อัซฟาร[523] [524]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด และนะซาอี

บทสุดท้าย

ที่พักอาศัย และ ค่าเลี้ยงดู621

อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า “พวกท่านจงให้ที่อยู่อาศัยแก่พวกาง[525] จากทีอยู่ทีพวกท่านพักอาศัย เท่าที่พวกท่านมีความสามารถ และพวกท่านอย่าทำให้พวกนางต้องเดือดร้อน โดยพวทท่านมีเจตนาบีบบังคับพวกนาง และหากพวกนางเป็นสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ พวกท่านก็จงจ่ายค่าเลี้ยงดูแก่พวกนาง จนกว่าพวกนางจะคลอดบุตรที่พวกนางตั้งครรภ์อยู่”

เล่าจาก ฟุรอยอะห์ บุตรสาว มาลิก อัลคุดรีย์  ร.ฎ. ว่า แท้จริงหล่อนได้มาหาท่าน รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ถามถึงการที่หล่อนจะกลับไปยังครอบครัวของหล่อน ในตระถูล บะนี คุดเราะห์ เพราะความจริงสามีของนางได้ออกไปติดตามพวกทาสของเขาที่ได้หลบหนีไป จน เมื่อพวกทาสได้อยู่ที่ กอดตูมเขาก็ตามไปทันพวกทาส พวกนั้นได้ฆ่าเขา ข้าพเจ้าจึงได้ถามท่าน รอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ว่า ข้าพเจ้าจะกลับไปหาครอบครัวของข้าพเจ้า (ไหม) เพราะความจริง เขาไม่ได้ทิ้งข้าพเจ้าไว่ให้อยู่ในบัาน ที่เขามีกรรมสิทธิ์อยู่ และไม่มีค่าเลี้ยงตู ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า กลับเกิด ข้าพเจ้าจึงออกเดินทางไป จนเมื่อข้าพเจ้าได้อยู่ในห้อง หรือในมัสยิด ท่านได้เรียกข้าพเจ้า หรือได้ใช้ให้จัดการกับข้าพเจ้า [526] ข้าพเจ้าจึงถูกเรียกไปที่ท่าน ต่อมาท่านได้กล่าวว่า เธอได้กล่าวว่าอย่างไร                                 ข้าพเจ้าจึงได้เล่าเรื่องให้ท่านฟังอีกที เป็นเรื่องเกี่ยวกับสามีของข้าพเจ้า ท่านได้กล่าวว่า       เธอจงอยู่ในบัานของเธอ จนกว่าข้อกำหนดนั้นจะถึงที่ของมัน หล่อนได้กล่าวว่า         ข้าพเจ้าได้กักตัวเองอยู่สี่เดือนกับสิบวัน และข้าพเจ้าได้บอกเล่าเรื่องนี้แก่อุสมาน ต่อมาเขาก็ได้ปฏิบัติตามนั้น และตัดสินตามนั้น [527] 

รายงานหะดีษโดย อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ฟาติมะห์ บุตรสาว กอยส์  ร.ฎ. ว่า แท้จริง อะบาอัมร์ บุตร ฮัฟซ์ ได้ หย่าหล่อนอย่างเด็ดขาด[528] โดยเขาไม่อยู่ และเขาได้ส่งตัวแทนของเขาไปหาหล่อน พร้อมด้วย ข้าวบาเล่ย์ และหล่อนได้ดูถูกเขา ต่อมาเขาได้กล่าวว่าสาบานต่ออัลเลาะห์ เธอไม่มีสิทธิใดๆ เหนือข้าพเจ้า หล่อนได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. และได้เล่าเรื่องนี้แก่ท่าน ท่านได้กล่าว ว่าเธอไม่มีสิทธิได้ค่าเลี้ยงตูจากเขา [529] และท่านได้ใช้หล่อนให้กักตัวอยู่ในบ้านของ อุมม์ ซะรีก หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า นั่นเป็นหญิงที่บรรดาอัครสาวกของฉันจะเข้าไปหาหล่อน เธอจงกักตัวเองอยู่กับ อิบนิ อุมมิ มักตูม เถิดเพราะความจริงเขาเป็นคนตาบอด ที่เธอจะ ถอดเสื้อผ้าของเธอได้ และเมื่อเธอพ้นกำหนดกักตัวแล้ว จงบอกฉัน หล่อนได้กล่าวว่า: เมื่อ ข้าพเจ้าพ้นกำหนดกักตัว ก็ได้เล่าให้ท่านฟังว่า มุอาวิยะห์ กับ อะบูยะห์มฺ ได้มาสู่ขอฉัน ท่าน ได้กล่าวว่า สำหรับ อะบูยะห์มฺ นั้น จะไม่วางไม้เท้าของเขาลงจากไหล่ และสำหรับมุอาวิยะห์นั้น เป็นคนยากจน ไม่มีทรัพย์สิน ดังนั้นเธอจงแต่งงานกับ อุซามะห์ บุตร เซด เถิด แต่ ข้าพเจ้ารังเกียจเขา ท่านได้กล่าวว่า                                                                                เธอจงแต่งงานกับ อุซามะห์ เถิด ข้าพเจ้าจึงได้แต่งงานกับเขาและอัลเลาะห์ก็ได้ประทานความดีให้ในตัวเขา และข้าพเจ้าต้องถูกอิจฉา เพราะตัวเขา[530] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (ฟาติมะห์) ได้กล่าวว่า             สามีของข้าพเจ้าได้หย่าข้าพเจ้าสาม และท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ก็ไม่ได้กำหนดที่พักอาศัย และค่าเลี้ยงตูให้ข้าพเจ้า[531]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบู ดาวูด

เล่าจาก อะบี อิสหาก ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้นั่งอยู่กับ อัสวัด บุตร ยะซีด ในมัสญิด อัลอะอฺดอม และชะอฺบีย์ ก็อยู่กับเราด้วย ชะอฺบีย์ ได้เล่าหะดีษ ฟาติมะห์ บุตรสาว กอยส์ ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ไม่ได้กำหนดที่พักอาศัย และค่าเลี้ยงตูให้แก่ หล่อน อัสวัด ได้กอบลูกกรวดเต็มฝ่ามือ แล้วขว้างเขาด้วยลูกกรวดนั้น และกล่าวว่า จงพินาศเกิด เจ้าเล่าหะดีษอย่างนี้หรือ      อุมัร บุตร อัลคอตต๊อบ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราจะไม่ทิ้งคัมภีร์ของอัลเลาะห์ และซุนนะห์นบีของเรา เพราะคำพูดของผู้หญิงคนหนึ่งที่เราไม่รู้ หล่อนอาจจดจำได้ หรือหลงลืม หล่อนมีสิทธิได้รับที่พักอาศัย และค่าเลี้ยงตู อัลเลาะห์ผู้ทรง ยิ่งใหญ่ และเกรียงไกร ได้ตรัสว่า “พวกท่านอย่าขับไล่พวกนางออกจากบ้านของพวกนาง และ

พวกนางจะต้องไม่ออกไป นอกจากพวกนางกระทำสิ่งอันน่าบัดสีอย่างแจ้งชัด” [532] 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม อะบู ดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และยาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า น้าสาวของข้าพเจ้าถูกหย่าสาม และหล่อนได้ออกไปเก็บอินทผลัมของหล่อน มีผู้ชายคนหนึ่งมาพบหล่อน และได้ห้ามหล่อน ต่อมาหล่อนได้นำ เรื่องนี้ไปเล่าแก่ท่านนบี  ซ.ล. ท่านได้กล่าวแก่หล่อนว่า     เธอจงออกไปเก็บอินทผลัมของเธอเถิด เธออาจใช้มันทำซอดาเกาะห์หรือทำความดี 630    

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การทำซอดาเกาะห์ที่ดีเยี่ยม คือ สิ่งที่ทิ้งความร่ำรวยไว้ มือบนนั้นดีกว่ามือล่าง และท่านจงเริ่มต้นแก่ผู้ที่ท่านอุปการะ ก่อน (คนอื่น) หญิงคนหนึ่งจะกล่าวว่า บางทีท่านต้องให้อาหารข้าพเจ้า และบางทีท่านต้องหย่า ข้าพเจ้า [533] และทาสจะกล่าวว่าท่านจงให้อาหารข้าพเจ้า และจงใช้งานข้าพเจ้า และบุตรจะกล่าวว่าท่านจงให้อาหารข้าพเจ้า ท่านจะทิ้งข้าพเจ้าให้อยู่กับใครต่อมาพวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ อะบู ฮุรอยเราะห์ ท่านได้ยินสิ่งนี้ มาจากท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. หรือ ไม่ใช่หรอก

สิ่งนี้มาจากปัญญาของอะบี ฮุรอยเราะห์ [534]         

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะห์มัด

เล่าจาก อุมัร  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี  ซ.ล. เคยขายผลจากสวนอินทผลัมของพวก ตระลูล บะนี นะดีร และท่านได้กักอาหารหนักไว้ให้แก่ครอบครัวของท่าน เป็นเวลาหนึ่งปี[535] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อาอิชะห์  ร.ฎ. ว่าแท้จริง ฮินด์ บุตรสาว อุตบะห์ ได้กล่าวว่าโอ้ ท่านรอซูลัลเลาะห์ แท้จริง อะบู ชุฟยาน เป็นคนตระหนี่ เขาจะไม่ยอมให้ข้าพเจ้า สิ่งที่จะทำให้ ข้าพเจ้า และลูกของข้าพเจ้าพอเพียง นอกจากข้าพเจ้าจะฉวยเอาจากเขา โดยเขาไม่รู้ ท่านนบี ได้กล่าวว่าเธอจงฉวยเอาสิ่งที่จะทำให้เธอและลูกของเธอพอเพียงด้วยดีเถิด [536] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม 


 

[1]     การค้าขาย ตามหลักภาษา คือการแลกเปลี่ยน ตามบัญญัติศาสนา     คือการแลกเปลี่ยนทรัพย์ด้วยทรัพย์ พร้อมทั้งคำเสนอและสนอง

[2]  นี่เป็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วในยุคของพวกเรา

[3]  นะบีดาวูด อ.ล. ประกอบอาชีพทำเสื้อเกราะเหล็กขาย ท่านจะรับประทาน และทำทานด้วยเงินที่ได้จากการขายเสื้อเกราะนั้น

[4]  หมายควานว่า ตำแหน่งคอสฟ่ะห์ ทำให้อะบู บักร์ไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัวเหมือนเช่นเดิมได้ จึงได้เอาเงินส่วน หนึ่งจากคลังสมบัติ ที่พอเพียงแก่การเลี้ยงดูครอบครัวของท่าน โดยการรู้เห็นของบรรดาอ้ครสาวก

[5]  ตามตัวบทนั้น คือว่า การจ่ายค่าเลี้ยงดูแก่บิดามารดานั้นเป็นหห้าที่ ๆ จำเป็นแก่บุตร ในกรฌที่บิดามารดายากจน และไม่สามารถ ประกอบอาชึพที่เหมาะสมได้ โดยอาศัยคำพูดของท่านนบี ที่ได้กล่าวในหะตีษแรกว่า “เมื่อพวกท่านมีความจำเป็น" และในหะตีษ ที่สองว่า “และเขามีความต้องการทรัพย์ของข้าพเจ้า” โดยได้ตั้งเงื่อนไขในการกินว่า ด้องมีความจำเป็น นี่เป็นทัศนะของชาฟิอี ร.ฎ. ส่วนนักวิชาการส่วนใหญ่กล่าวว่า การจ่ายค่าเลี้ยงดูเป็นหน้าที่ที่จำเป็นแก่บุตร โดยไม่มีเงื่อนไข เพราะบุตรเป็นผลพวง มาจากบิดา และบิดาเป็นต้นเหตุให้มืบุตรขึ้นมา

[6]  หะตีษนี้ และหะตีษก่อน ชี้ชัดว่า ค่าจ้างการกรอกเลือดนั้นเป็นสิ่งฮะลาล ซึ่งเป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ ส่วนการ ห้ามในหะตีษแรกนั้น เพราะถือว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจ

[7]  ชายคนนี้ ได้ร้นความกระทบกระเทือนที่ศีรษะและลิ้นหนัก เขามักถูกหลอกลวงในการทำธุรกิจ เพราะไม่มีความเฉลียวฉลาด จึงได้ใปร้องเรียนต่อท่านนบี ซ.ล. ท่านจงได้กล่าวแก่เขาว่า เมีอท่านจะซื้อขาย แก่ผู้ใด ให้ท่านจงกล่าวแก่เขาว่า ลากิลาบะห์ หมายความว่า ไม่มีการหลอกลวง และอย่ากดขี่ฉัน

[8]  แต่เขาไปพูดว่า “ลาคิยาบะห์” โดยเปลี่ยนอํกษรลาม เป็น ยาอ เพราะเขามีสิ้นคับปาก

[9]  อาหารที่กล่าวนี้ คือ ข้าวสาสิ และมันได้เปียกฝน จึงพอง และมีน้ำหนักเพิ่ม ไม่เหมาะที่จะเก็บเอาไว้ และถือว่าหะรอมที่จะนำออกขาย นอกจากแก่คนที่รู้ว่ามันเป็นเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ท่านนบี ซ.ล. จงได้เตอนว่า ผู้ใดฅบตาหลอกลวงประขากรของฉัน เขาไม่ได้อยู่ในศาสนาของฉํนอย่างสมบูรณ์

[10]     ความหมายของหะดษนก็คือ ใครที่ได้ซื้อสิ่งหนึ่งไปจากคนๆหนึ่ง ต่อมาปรากฏว่า เขาไม่มิความจ่าเป็นต้องใช้สิ่งนั้น จึงได้ มาขอยกเลิกการซื้อขาย คือต้องการคืนสินต้านั้นแล้วเอาราคาคืนไป ถ้าหากผู้ขายยอมยกเลิก อัลเลาะห์ก็จะยกเลิกข้อตำหนิของเขา ให้แก่เขา

[11]                คือต้อง สะอาด ที่ศาสนายอมให้นำมาใช้ได้ ต้องรู้น้ำหนักในสิ่งของที่ต้องชั่ง ต้องรู้ปริมาณในสิ่งที่ต้องตวง ต้องรู้จำนวน ในสิ่งที่ใช้นับ ต้องรู้ขนาดในสิ่งที่ใข้วัด ต้องสามารถส่งมอบได้ ต้องเข้าปกครองได้ และต้องไม่ปะปนกับสิ่งอื่น ดังจะกล่าวต่อไป ในบทของมัน

[12]                เมิออ้ลเลาะน์ทรงห้ามพวกยะฮูด ไขมันบางอย่างของวัวและแพะ พวกมันได้ละลายไขมันนั้น และได้นำออกขาย ซึ่งถือว่า ฮะรอม ดังนั้น สิ่งใดที่ห้ามบริโภค ก็ห้ามขาย

[13]                สำหรับหมานั้นเพราะมันเปีนนะยิส จงห้ามขาย และราคาของมันถือเป็นสิ่งต้องห้าม ที่เป็นทัศนะของชาฟิอี และอะห์มัด พวกหะนะฟียะหและมาลิกิยะห์ กล่าวว่า              ยอมให้ขายหมา และกินราคาของมันได้ และต้องชดใช้ราคาเมื่อมันเสียหาย การละเมิดประเวณี เป็นสิ่งต้องห้าม ค่าด้วฃองโสเภณีที่ละเมิดประเวณีก็เช่นกันถือเป็นสิ่งต้องห้าม ค่ากำนัลของหมอดู คือค่าจ้าง ก็ถือว่า เป็นสิ่งต้องห้าม

[14]                    มิหะดีษที่รายงานโดยบัยฮะกีย์ว่า               ท่านนบี ซ.ล. ได้ห้ามกินแมว และกินราคาของมัน เพราะไม่สามารถเอาตัวมามอบได้ เพราะความเปรียวของมัน และถ้าหากมันเชื่อง การขายมันและราคาของม้นก็ถือเป็นสิ่งต้องห้าม นี่เป็นทัศนะของนักวิชาการบางคน และได้มินักวิชาการบางท่านกล่าวว่ายอมให้ขายแมวที่เชื่องได้ เพราะมิประโยชน์ในการฃ้บไล่ส้ตว์ร้ายต่าง ๆ และที่ห้ามนั้นก็เพราะต้องการให้ออกห่าง

[15]    ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ได้สาปแช่ง บุคคลเหล่าน ส่วนหนํ่งก็ได้แก่ ผู้,เทยและผู้ซื้อ ชงเป็นข้อบ่งชว่า การขายสุรานนเป็นสิ่ง ด้องด้าม และใช่ไม่ได้เนองจากสุราเป็นนะรส และเพราะด้ามบร'โภค

[16]   ด้ามในที่นเพราะเป็นการอะรอม และการขายก็ใช่ไม่ได้ เพราะไม่มีความสามารถมอบใด้!ด้ อย่างอนก็เช่นเตยวกันก่'บอาหาร

ตามคำของอบนอํบบาส   และเพราะหะดษมัยอะก่ย่ ที่ว่า ท่านอย่า'ขายสิ่ง'ใต'ไปจนกว่าจะได้ร้บ่มันมาเสียก่อน ทัศนะนเป็นของ

ชาพ่อ และนักวิชาการอกกล่มหนึ่ง, มาสกกล่าวว่า     การขายใช่ไม่ได้เกพาะในเร้องอาหารเท่าน่น แต่อย่างอน การขายใช่ได้

อะบูอะนพ่ะห์ กล่าวว่า     การขายใช่ไม่ได้ ยกเวัน อส้งหารมฑร้พย์ อะท่มัด กล่าวว่า การขายใช่ไม่ได้ ในสิ่งที่ด้องใข้การตวง

และชงเท่านน

[17]    ใด้พจารณาในสิ่งที่ต้องชง ตามตาชงชองชาวมกกะห์เป็นเกณฑ์ เพราะพวกเขาเป็นพ่อด้า ที่เดนทางไปส่ ชาม และยะมัน เพ่อท่าการค้า พวกเขาจ็งร้เร้องการชํ่งดีกว่าผู้อน นาหนํ'กเหร้ยญทองตนารมํกกะท์เท่าก้'บแปดสืบสอง เศษสามส่วนสืบ ของเมล็ด ข้าวบาร์เล่ย์ นาหน้ก1ของเหรียญเงินดรอ'ม เท่ากับ เศษเจ็ดส่วนสืบของนาหน'กหนึ่งม่ชกอล, นาหน'กของหนึ่งม่ชกอล เท่าก*บ ด้าสืบเจ็ด เศษหกส่วนสืบของเมล็ด, และหนึ่งชง มันาหน'กเท่ากับหนึ่งร้อยยี่สับแปด ดรฮ้ม ของดรอ'มที่กล่าวน และการคดฟ้ก''ด ซะก๊าตทองคำและเงพก็ใด้คดตามน และใด้พจารณาในสิ่งที่ต้องตวง ตามเคร้องตวงของชาวมะดนะห เพราะพวกเขาเป็นเกษตรกร ดังนั้นการตวงในเร้องชะก๊าต และก้พ่พ่าเราะห์ ใด้ถือตาม ชออ และมุด ของชาวมะดนะห์

[18]    การตวง เป็นสิ่งจำเป็นในการซื้อขายแลกเปลี่ยน เพราะต้องทราบปรฆาณฃองสันค้าที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนนน และเป็นสิ่งที่ ควรกระท่าเมื่อด้องการเก็บไว้ เพราะการร้ปร์มาฌของสิ่งหนึ่งนนดกว่าไม่ร้ และการชงก็เช่นเดยวกับการตวง

[19]                หมายความว่า พวกท่านจงระว'ง การลดหย่อน ในการตวงและชั่ง และถ้าไม่เช่นนั้น พวกท่านก็จะต้องพินาศเหมือนประชากร ในยุคก่อน

[20]            คอ จงชั่งราคา และให้หนักพอที่จะแลกเปลี่ยนกัน

  1. การให้เช่าส์ดวตัวผู้เพื่อไปพสมพันธุ์ ถือเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) เพราะน้ำเซื้อของม้น ไม่อาจรู้ได้ ที่ดีแล้วควรให้ขอยืมไป

[22] การขายถูกกรวด คือ กล่าวว่า ฉันจะขายให้แก่ท่าน จากผ้ากองนี้ เฉพาะผืนที่ลูกกรวดที่ฉันจะขว้างไป ไปตกลงที่ผ้าผืนนั้น หรือฉันจะขายผืนแผ่นดินนี้แก่ท่าน นับตั้งแต่ตรงนี้ จนถึงที่ๆลูกกรวดที่ฉันขว้างไป ไปตก หรือฉันจะขายให้ท่าน โดยท่าน มีสิทธิ์ตัตสินใจ จนกว่าฉันจะขว้างคือนกรวดนี้ และหลังจากขว้างคือนกรวดนแล้ว ก็จะต้องรอว่า การซื้อขายเป็นอันแน่นอน การขายแบบหลอกลวง คือ สินค้านั้นไม่อาจรู้ได้ หรือไม่อาจนำส่งมอบไห้ เช่น การขายทาสที่หลบหนีอยู่ หรือขายนกในอากาศ ขายปลาในน้ำ การซื้อขายดังกล่าวนื้ และที่กล่าวมาก่อนใช่ไม่ได้ เพราะสินค้าที่จะขายนั้น ไม่อาจรู้ได้ และอาจนำส่งมอบได้

  1. คือขายคนที่มิใช่เป็นทาส

[24]                หะดีษนี้ชื้ว่า เครื่องประด้บที่ประกอบชื้นจากทองคำ เงิน และสิ่งอื่น ๆ เป็นสายสร้อย และกำไล เป็นต้น การซื้อขายมัน ถือว่าใช่ไม่ได้ เพราะไม่รู้ประเภทของสิ่งต่างๆ ที่มาประกอบเป็นเครื่องประดับนั้น นี่เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ นาลิก และอะบูฮะนีฟ่ะห์ กล่าวว่า ถ้าหากราคา มากกว่าทองคำที่อยู่ในเครื่องประดับนั้น ก็ยอมให้ขายได้ และถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่ยอม ให้ขาย การห้ามในบทนี้ ทั้งหมดเป็นการห้ามแบบฮะรอม เคล็ดลับฃองการห้ามก็คือ เพื่อมิให้มีการทุจริตต่อเพื่อนมนุบย์ และ เพื่อให้มนุษย์รอดพ้นจากการทะเลาะเบาะแว้งกัน

[25]                ค่าว่า หรือในที่นี้ เกิดจากความสงส่ยของผู้เล่า ท่ามนบี ซ.ล. ไค้ขายทาสคนทนึ่งแก่ อัดคาอ และไค้ให้เงื่อนไขแก่เขา ว่าทาสนั้นไม่มีตำหนิดังกล่าว

[26]                ที่ไค้ตกลงก้นไว้ โดยไม่ผิดบัญญัติศาสนา

[27]                บะรีเราะห์ เป็นทาสีของคนพวกหนึ่ง ต่อมาคนพวกนั้นไค้ทำสัญญาปลดปล่อยนาง โดยนางจะค้องนำเงินจำนวนหนึ่งมาเป็น ค่าไถ่ตัว นางจึงได้ไปขอร้องอาอิชะห์ ให้ช่วยชำระเงินจำนวนนั้น และอาอิชะห์ก็ค้องการจะซื้อตัวบะรีเราะห์จากคนพวกนั้น และ พวกเขาก็ยินดีจะขายบะรีเราะห์ให้ แต่มีเงื่อนไขว่า สิทธิในเรื่องวะลาอ คือสิทธิ์ของนายที่ปลดปล่อยทาส จะไค้รับมรดกจากทาส ที่ถูกปลดปล่อยไป หลังจากเสียชีวิตนั้น ค้องตกเป็นของพวกเขา ท่านนบี ซ.ล. ไค้ยินเช่นนั้น จึงไค้กล่าวว่า เธอจงซื้อ บะรีเราะห้ใว้ และตั้งเงื่อนไขแก่พวกเขาตามแต่พวกเขาค้องการเถิด เพราะสิทธิ์ในเรื่อง วะลาอุ นั้น ตกเป็นของนายที่ปลดปล่อย ทาสเท่านั้น

[28]                เงื่อนไขของอัลเลาะห์ มั่นคงเข้มแข็งควรแก่การปฎิบ้ติยิ่งกว่าเงื่อนไขที่เหลวไหลของพวกเจ้า เงื่อนไขของอัลเลาะห์ ก็คือ ข้อกำหนดของพระองค์ที่ว่าสิทธิในเรื่องวะลาอนั้น เป็นของนายที่ปลดปล่อยทาส ในหะตีษนนี้ชื้ว่า เงื่อนไขที่พวกเขาตั้งขึ้นก็ใช้ไม่ไค้

[29]                ญาบิร ร.ฎ. มีอูฐตัวหนึ่งที่เดินไม่คล่อง ต่อมาเขาได้ขายมันแก่ท่านั้นมี ซ.ล. เมีออูฐตกมาอยู่ในกรรมสิทธิของท่าน มันได้กลายเป็นอูฐที่ เชื่องและเดินได้เร็ว แต่ญาบิรได้ตั้งเงื่อนไขไว้แล้วว่าจะต้องขี่มัน จนกว่าจะกลับจากการเดินทาง หลักฐานเหล่านี้ ระบุว่า อนุญาตให้เขียนสัญญาซื้อขาย และระบุเงื่อนไขต่างๆ ที่ศาสนาอนุญาตได้ และอนุญาตให้ขายพร้อมด้วยเงื่อนไขฃ้บฃี่ ดังกล่าวนี้เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่

[30]                และทั้งสองได้แจ้งให้แก่กันทราบถึงตำหนิที่อยู่ในสินค้า และราคาที่จะแลกเปลี่ยนกัน ทั้งสองก็จะได้รับความเพิ่มพูนในการ แลกเปลี่ยนของคนทั้งสอง และถ้าไม่เช่นนั้นก็จะไม่ได้รับความเพิ่มพูน

[31]                หมายความว่า ย้งมีสิทธํ่ที่จะบอกเลิกการซื้อขายได้ จนกว่าเขาทั้งสองจะแยกกัน เมีอทั้งสองแยกจากกันไปแล้ว หรอตัดสินใจ ดำเนินการไปแล้ว ก็เป็นอันหมดสิทธิ์ที่จะบอกเลิกการซื้อขาย

[32]                สิทธิในการด้ดสินใจนั้นมีอยู่ทั้งในผู้ซื้อและผู้ขาย ตราบที่ทั้งสองฝ่ายยังอยู่ในที่ ๆ ทำการตกลง และเมี่อทั้งสองฝ่ายตั้งเงื่อนไข ให้มีการตัดสินใจภายในสามวัน หรีอน้อยกว่านั้น ก็เช่นกัน ทั้งสองประการนี้เรียกว่า การตัดสินใจในสถานที่ตกลง และการตัดสินใจตามเงื่อนไข และการซื้อขายก็เป็นอันแน่นอน เมื่อคนทั้งสองแยกจากกัน หรีอตัดสินใจให้การซื้อขายดำเนินไป

[33]                หมายความว่า ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องไม่แยกจากกันไป นอกจากในสภาพที่มีความพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะนั้นจะ ทำให้การซื้อขายสมบูรณ์ และเป็นสาเหตุให้เกิดความมีความเพิ่มพูนในการซื้อขายนั้น การห้ามที่กล่าวในหะดีษนี้ เพื่อให้ออกห่าง จากสภาพเช่นนั้น

[34]                เป็นการทดแทนค่าน้ำนมที่เกินจากค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูสัตว์นั้น อย่างนี้เรียกว่า การด้ดสินใจในเรีองสินค้ามีตำหนิ

[35]                หมายความว่า ผลประโยชน์ที่เกิดจากสินค้านั้น ผู้ซื้อมีสิทธิ์ไค้มัน เพราะเฃาต้องรับชดใช้ เช่นเมื่อซื้อทาส หรือซื้อสัตว์มา และไค้ใช้งานไปแล้วเป็นเวลาหลายวัน จึงไค้ปรากฏว่า ทาสหรอสัตว่นั้นมีตำหนิที่เกิดชื้นก่อนจะซื้อมา โดยคำพูดของผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นยอมให้ผู้ซื้อยกเลิกการซื้อไค้ และผลประโยชน์ของมันในช่วงเวลานี้ ก็ฅกเป็นของผู้ซื้อ เพราะเขาค้องรับชดใช้ถ้ามันเกิด เสียหายชื้นขณะอยู่ที่เขา

[36]                ในกรณีที่ผู้ซื้อกับผู้ชาย ขัดแย้งกันในเรื่องสินค้า โดยทั้งสองฝ่ายไม่มีพยานหลักฐาน หรือทั้งสองฝ่ายมีพยานหลักฐาน ให้ตัดสินไปตามการให้การของผู้ขาย เมีอฝ่ายผู้ซื้อยินยอม และถ้าไม่เช่นนั้นการขายก็เป็นอันว่าตกไป มาลิกและชาฟิอีกล่าวว่า ให้ผู้ขายสาบานยืนยันคำพูดของตน และถ้าหากผู้ขายสาบาน ก็ให้ผู้ซื้อเลือกเอาระหว่างการรับเอาการซื้อขายนั้น กับการสาบาน และคืนสินค้า หรือราคาของสินค้า ถ้าหากสินค้าเสียหายไปแล้ว และตัวบทของอะบูดาวูดว่า           พันธะผูกพันในเรื่องทาสนั้นมีกำหนดสามวัน หมายความว่า ถ้าพบว่าทาสนั้นมีตำหนิในช่วงสามวัน ก็ให้คืนแก่ผู้ขายไค้ และถ้าพบตำหนิที่ทาสภายหลังจากนั้น ผู้ซื้อจะค้องหาพยานมายืนว่าตนไค้ซื้อทาสมา และทาสนั้นมีตำหนิ, อะห์มัดและอิบนุมายะน์ ไค้รายงานโดยใช้ถ้อยคำว่าพันธะ ผูกพันในเรื่องทาส มีกำหนดสี่คืน และมาลิก ก็ไค้กล่าวเช่นนํ้น และไค้กล่าวค้วยว่าในเรื่องอาการเป็นบ้า โรคเรื้อน และโรคด่าง มีพันธะผูกพันหนึ่งปี ถ้าหากหนึ่งปีผ่านไป โดยไม่ปรารกฎอาการของโรคตังกล่าว ผู้ขายก็พ้นพันธะผูกพันทั้งหมด ชาฟิอี กล่าวว่า สำหรับเรื่องโรค ให้ยึดถือเอาความเห็นฃองผู้เชี่ยวขาญเฉพาะโรค

[37]    เป็นผู้กำ หมายถึง เป็นผู้ให้เกิดความคับแค้นแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ เป็นผู้แบ หมายถึง เป็นผู้ให้เกิดความกว้างขวาง แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ บรรดาอัครสาวกไค้มาขอร้องให้ท่านนบี ซ.ล. กำหนดราคาสินค้าที่กำลังแพงขึ้น แต่ท่านไม่ยอม กำหนด เพราะอาจทำให้เช้าใจไค้ว่าเป็นการทุจริต ประชาชนมีอำนาจเต็มในสิทธิ์ของตน จึงไม่ควรที่จะกีดกันพวกเขา, และผล ประโยชน์ของผู้ซื้อก็มีใช่จะยิ่งหย่อนไปกว่า ผลประโยชน์ของผู้ขาย เมีอผลประโยชน์ชองทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน ก็จ่าเป็น ต้องปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายวินิจฉัยในผลประโยชน์ของเขาทั้งสองกันเอง การกำหนดราคาสินค้า ถือเป็นสิ่งค้องห้าม (ฮะรอม) ใน ทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ มาลิกกล่าวว่า              ยินยอมให้มีการกำหนดราคาไค้ เช่นในกรณึที่คนหนึ่งกักตุนสินค้าจนขาดตลาด และสามารถตั้งราคาเอาเองตามอำเภอใจ ดังนั้นยอมให้ผู้นำ กำหนดราคาไค้ ตามที่เห็นเหมาะสม

[38]    เขาเป็นคนผิด คือ ผิดจากความจริง สะอีดผู้นี่คือ สะอีด บุตร มุซัยยิบ เป็นตาปีอีย์ ที่มีชื่อเสียง ร.ฎ. เขาเคยกํกตุน สินค้าเอาไว้ ต่อมาได้มีผู้คนมาพูดก้บเขาในเร้องนี่ เขาจงกล่าวว่า มะอมัร ผู้รายงานหะดีษนี้ ก็เคยกักตุน และต่วบทของ อิบนุมายะห์ ว่า ผู้ไดก้กตุน อาหาร ทำความเดือดร้อนแก่มุสลิม อัสเลาะห์จะกำหนดให้เขาเป็นโรคเรื้อน และล้มละลาย ต่วบท ของหลักฐานต่างนี้ ระบุว่า การกักตุน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด เป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) เพราะทำให้เกิดความเดือดร้อนกับประชาชน นี่เป็นทัศนะของนักวิชาการพวกหนี่ง ชาฟิอึ และอะห์มัดกล่าวว่า จะไม่เรียกว่า เป็นการกักตุน นอกจากในเรื่องอาหาร มีนัก วิชาการบางท่านกล่าวว่า การกักตุนพืชพันธุ์ที่เราเพาะปลูก และงานหัตถกรรมถือว่าไม่เป็นไร และมีบางท่านกล่าวว่า เมื่อมี สิ่งต่างๆหลงไหลมาอย่างมากมาย ก็จะ'ไม่ถือว่ามีการกักตุน และให้ถือเอารายงานที่ว่า สะอึด กับมะอมัร ก็กักตุนนั้น เป็นไป ตามทัศนะนี้

[39]     มีบางท่านกล่าวว่า ความหมายของการขายแบบนี้ก็คือฉันขายลูกของลูกที่อย่ในห้องอูฐตัวเมียตัวนี้ให้แก่ท่านเดี๋ยวนี่ การตีความอย่างนึ ใกล้เคียงกับหลักภาษา และแจ้งชัดในคำว่า ฮะบะลี่ลฮะบะละท่ แต่ความหมายแรก เข้มแข็งกว่า เพราะเป็นการ แปลของผู้เล่าหะดีษเอง, จะอย่างไรก็ตาม การขายทั้งสองรูปแบบ ถือว่าใข้ใม่ได้ เพราะไม่รู้กำหนดเวลาที่แน่นอนในรูปแรก และ ไม่อาจรู้สินค้าที่จะขายได้ ในรูปที่สอง และเพราะเป็นการขายสิ่งที่ยังไม่มี การห้ามในเรื่องนี้ และเรื่องที่จะมีมาทั้งหมด เป็นการ ห้ามเด็ดขาด เพราะฮะรอม

(ธ0) ตามรายงานหลังนี่ การขายแบบขว้างและแบบคลำนนเกิดจากฝ่ายเดียว ส่วนในรายงานก่อนเกิดขึ้นจากทั้งสองฝ่าย แต่การ ขายทั้งสิ่นนี่ใช้ไม่ได้ เพราะไม่รู้สินค้าที่จะแลกเปลี่ยนก้น

[41]   ในเรีองนลักวิชาการมีการขัดแย้งกันมากมาย ส่วนหนึ่งของการขัดแย้งนั้น คือประเด็นที่ อิบนุล อะซีร ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อันนิฮายะห์ ว่า เช่นการที่คน ๆ หนึ่ง ออกเงินทดลองให้แก่อีกคนหนึ่ง จำนวนหนึ่งเหรียญทองเป็นค่าข้าวสาลี จำนวนหนึ่งซื้ออฺ โดยมีกำหนดชำระหนึ่งเดือน เมีอครบกำหนดก็ได้ทวงถามข้าวสาสิจากเขา เขาจงกล่าวว่า จงขายข้าวสาสื ซออฺนั้น ให้แก่ฉันเถิด ด้วยราคาสอง ชออฺ โดยมีกำหนดชำระสองเดือน ที่เรียกว่าเป็นการขายตรงที่สองและเข้าอยู่ในการขายครํ๋งแรก จึงกลายเป็น สองการขายในการขายครั้งเด็ยว และให้กลับคืนไปสู่ราคาต่ำสุดของทั้งสองครั้ง คือ หนึ่งชออ และถ้าไม่เช่นนั้น ก็จะถือเป็น ริบา (ดอกเบี้ย) เพราะมีการเกินเลยกัน และเช่นที่อีหม่ามชาฟิอีได้ยกตัวอย่างไว้ เช่น ท่านกล่าวว่า ฉันขายบ้านหลังที่ให้ท่าน ด้วยราคาเท่านั้นเท่านี้ โดยท่านจะด้องขายทาสของท่านให้ฉัน ด้วยราคาเท่านั้นเท่านี้ และเมีอตกลงว่าทาสเป็นของฉันแน่ บ้านก็เป็นของท่านแน่ และเช่นที่กล่าวว่า ฉันขายผ้าผืนที่ให้ท่านด้วยราคาสิบเหรียญเป็นเงินสด และยี่สิบเหรียญเป็นเงินเชื่อ และทั้งผู้ซื้อและผู้ขายก็แขกย้ายกันไป  โดยไม่ได้ตัดสินใจว่าจะตกลงเอาตามข้อตกลงใดจากทั้งสองนั้น  ที่เป็นการชือฃายที่ใช่ไม่ได้

เพรวะไม่รู้ว่า จะดำเนินการตามข้อตกลงใด และถ้าหากผู้ซื้อตัดสินใจเอาตามข้อตกลงหนึ่งข้อตกลงใด จากสองข้อตกลงนั้น ก็ถือ ว่าใช่ได้ ตามทัศนะของนักวิชาการส่วนมากที่มีทัศนะว่า ยินยอมให้ขายสินค้าด้วยราคาที่มากกว่าวันนี้ โดยพิจารณาเอาการล่าช้า

[42]      ไม่อนุมัติการกู้ยืมพร้อมกับการขาย” มีผู้ถาม อะห์มัดว่าหมายความว่าอย่างไร ท่านตอบว่า           คือการที่ท่านให้เขากู้ยืมเงินจำนวนหนึ่ง และขายสินค้าให้เขาตามไป เกินกว่าหนี้ที่ให้กู้ยืมนั้น เป็นการตกลงที่ใช่ไมได้ เพราะเข้ามาอยู่ภายใต้หะดีษที่ว่า “ทุกๆ การให้กู้ที่ลากผลประโยชน์ (มาสู่ผู้ให้กู้) นั้น เป็นริบา (ดอกเบี้ย) และคำที่ว่า “ไม่อนุมัติสองเงื่อนไขในการขายครั้งเดียว” อีหม่าม อะห์มัดกล่าวว่า คือการที่ท่านกล่าวว่า ฉันจะขายผ้าผืนที่ให้แก่ท่าน ด้วยราคาเท่านั้นเท่านี้ โดยฉันจะด้องเย็บและตัดมันเอง ดังนั้นหากเขากล่ากว่า โดยฉันจะต้องเย็บมันเอง ก็ถือว่าเป็นเงื่อนไขเดียว และการซื้อขายนั้นก็ใช่ได้ เหมีอนที่ญาบีรได้ตั้งเงื่อนไข ว่าด้องขี่อูฐกลับบ้านหลังจากได้ขายให้ท่านนบีแล้ว และคำที่ว่า “ไม่อนุมัติผลกำไรของสิ่งที่ไม่ต้องรับผิดชอบ" เช่น ซื้อสินค้า ชิ้นหนึ่ง แล้วขายไปโดยมีกำไร ก่อนที่จะรับสินค้าชิ้นนั้นมา เป็นการขี่อฃายที่ใช่ไม่ได้ และผลกำไรนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ด้องห้าม ทั้งนี้เพราะสินค้านั้นยังอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ขายคนแรก ตราบที่สินค้านั้นย้งอยู่ในมีอของเขา

[43]    คือไม่อนุญาตให้ชาวเมีองออกไปดักพบกองคาราวานสินค้าที่มาจากชนบทเพื่อนำสินค้ามาขาย เพื่อดักซื้อสินค้าของพวกเขา ก่อนจะเข้าถึงตลาด เพราะสันนิษฐานได้ว่าจะมีการฉ้อโกงเกิดขึ้น ดังนั้นท่านนบีจึงกล่าวว่า          ถ้าหากมีผู้ใดออกไปดักพบเขา (ชาวชนบท) แกะซื้อสินค้าจากเขา เจ้าของสินค้านั้นมีสิทธิ์ตัดสินใจได้เมี่อมาถึงตลาด และไม่ให้ชาวเมีองทำตัวเป็นคนกลางให้แก่ชาว ชนบท ด้วยเหตุนี้ท่านนบีจึงได้กล่าวว่า จงปล่อยประชาชนให้อัลเลาะห์ จัดปัจจัยยังชีพให้แกับางคนของพวกเขาจากบางคน”

[44]      ฟนกล่าวแก่ผูช0สินค้า'ชื้นหพง ขณะอยู่ระหว่างการดกลงใจ ว่า จงยกเลกข้อตกลงซื้อขายของท่าน!ลด ค้นจะขายไห์ท่าน ด้วยสินค้าอย่าง!ดยวก่นหรือดกว่า ด้วยราคาที่ถูกกว่านั้น และเข้น!ดยวกน “อย่า‘รงซื้อ!หนอการซื้อของพี่น้องของท่าน” เช่นกล่าว แก่คนที่จะขายสินค้าชนหนึ่งว่า “จงยก!สิกข้อตกลงซื้อขายของท่าน!ถด ค้นจะซื้อท่านด้วยราคาที่มากกว่านั้น

[45]    เช่นกล่าวแก่คนที่ตกลงจะซื้อสินค้าชิ้นหนึ่ง หรือจะขายสินค้าชิ้นหนึ่ง แต่ยังไม่ได้ตกลงเป็นคำพูด ว่า ฉันจะซื้อสินค้าชิ้นนั้น จากท่านด้วยราคาที่แพงกว่า หรือฉันจะขายให้ท่านดีกว่านั้นด้วยราคาที่ถูกกว่า

[46]     การห้ามในเรื่องนและเรื่องก่อน เพราะเป็นสิ่งด้องห้าม (ฮะรอม) เพราะเป็นการท่าให้ประชาชนเดือดร้อน แต่การซื้อขาย ใช้ได้ เพราะสิ่งที่ด้องห้ามนั้นอยู่นอกข้อตกลง

[47]    คืออยู่ในสภาพที่มีผู้ด้องการเป็นส่วนมาก และปลอดจากโรคพื่ช

  1. หรือแล้วแต่สีผิวของพืชผลแต่ละชนิด

[48]      เป็นการหามที่ฮะรอม  การขายสิ่งใดๆ ก่อนที่มันจะใช้การได้นั้นถือว่าฮะรอม และการซื้อขายนั้นกีใช้ไม่ได้ เพราะไม่อาจรับประกันได้ว่ามันจะปลอดภ้ย และเพราะมันจะท่าความเดือดร้อนให้กับผู้ซื้อ

  1. ซุนยา คือการขายสิ่งหนึ่งพร้อมกับการยกเว้นบางส่วนที่ไม่รู้ว่าเป็นส่วนใดของสิ่งนั้น เข้นกล่าวว่า ฉันขายข้าวกองนี้ให้ท่าน ยกเว้นบางส่วนของมัน หรือฉันขายผ้าผืนนี้ให้ท่าน ยกเว้นบางส่วนของมัน นอกจากผู้ขายจะเจาะจงให้แน่นนอนลงไปส่วนที่ ตนยกเว้นนั้น ส่วนการขายอะรอยานั้นจะได้นำมา,กล่าวต่อไป

[50]     มุคอบะเราะห็ ก็คือ มุซาระอะห์ ที่จะได้กล่าวต่อไปในเรื่องการเพาะปลูก มุฮากอละห์ คือขายพืชในไร่นาด้วยข้าวสาลี โดยการตวง มุชาบะนะห์คือการขายผลไม้บนต้น ด้วยอีนทผลัมแห้งและด้วยองุ่นแห้งโดยการตวง การห้ามในทั้งสองเรื่องนี้ เพราะฮะรอม และการซื้อขายก็ใช้ไม่ได้ เพราะไม่อาจรู้ได้ว่ามีจำนวนเท่าก้นหรอไม่ ซึ่งเป็นเงื่อนไขข้อหนึ่งของการแลกเปลี่ยน สินค้าประเภทเดียวก้นด้วยประเภทเดียวก้น ซึ่งจะได้นำมากล่าวในเรื่องริบา (ดอกเบี้ย) มุอาวะมะห์ คือ การขายพืชไร่เป็น เวลาหลายๆปี เช่น กล่าวว่า: ฉันขายผลไม้ของสวนแห่งนี้ให้ท่านเป็นเวลาสี่ปี การตกลงอย่างนี้ฮะรอมและใช้ไม่ได้เพราะเป็น การขายสิ่งที่ยิงไม่มี และไม่สามารถมอบให้ก้นได้

[51]    การห้ามที่ฮะรอม เพราะไม่เท่าก้นในสินค้าประเภทเดียวก้น ดังนั้นการแลกเปลี่ยนอีนที่ผลัมสด กับอีนทผลัมแห้งจึงใข้ไม่ได้ และใช้ไม่ได้อีกเช่นก้น การแลกเปลี่ยนข้าวสาลีกองหนึ่งกับข้าวสาลีโดยการตวง เพราะไม่รู้ความเท่าเทียมกัน

[52]     การเอาสัตว์แลกก้น โดยเชื่อก้นเอาไว้ก่อน เป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นข้อตกลงที่ใช้ไม่ได้ โดยความเห็นพ้องของนักปราชญ์ เพราะเท่ากับเป็นการแลกหนี้ด้วยหนี้ สำหริบในกรณีที่เชื่อไว้เพียงฝ่ายเดียว ถือว่ายินยอมให้ แม้จะมีการเกินเลยกันก็ตาม คำว่า ‘'มีอต่อมีอ” หมายความว่า ต่างคนต่างรับเอาไป

[53]    นี่เท่าก้บเป็นการแลกสัตว์หนึ่งตัวกับสัตว์สองตัว โดยต่างฝ่ายต่างรับเอาไป และหะดีษนี้ช่วยสนับสนุนหะดีษก่อน

[54]     เช่นเดียวกันกับการขายผืนแผ่นดีนที่มีพืชไร่ที่ใข้การได้แล้วอยู่ในผืนแผ่นดีนนั้น, และผู้ใดขายผืนแผ่นดีนที่มีต้นไม้อยู่ ต้นไม้นั้นถือว่าติดไปกํบผืนแผ่นดินด้วย

[55]    ผู้ใดขายทาสทรัพย์ของทาสที่อยู่ในมีอฃองทาสนั้นตกเป็นของผู้ขาย เพราะทาสนั้นได้ทรัพย์มาขณะยังอยู่ในปกครองของเขา นอกจากจะตั้งเงื่อนไขให้แก่ผู้ซื้อ

[56]     เป็นการห้ามที่ฮะรอม และข้อตกลงนั้นไม่เป็นผล เพราะสันนิษฐานได้ว่ามี่การขาดทุน เจ้าหนี้ควรที่จะคอยจนกว่าลูกหนี้ ที่ยากจน จะมีเงินชดใช้หนี้ ยกเว้นในกรณีที่เขามีความจำเป็นต้องขาย เพี่อเอาไปเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นแก่ครอบคร่วของเขา ก็ถือว่าการขายนั้นใช้ได้ คำที่ว่า “คนรวยจะกัดสิ่งที่อยู่ในมือทั้งสองข้างของเขา" ก็คือไม่ยอมเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

[57]     และเช่นพ่อกับลูก พี่น้องผู้ชายกับพี่น้องผู้หญิง

[58]    หมายความว่า จงยกเลิกการซื้อขาย ดังนั้นการพรากกันระหว่าง คนโตกับคนเล็กที่ยังต้องอาศัยคนโตอยู่นั้นเปีนสิ่งต้องห้าม(ฮะรอม) เพราะเท่ากับเป็นการลงโทษ ด้วยการพรากและความว้าเหว่ นอกจากในกรณีที่ขายลูกส์ฅว์ เพี่อนำไปเชือดถือว่าไม่ฮะรอมตามตัวบทที่กล่าวนี้ถือว่า การขายเป็นสิ่งต้องห้าม และใช้ไม่ไต้นเป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่

[59]     การซื้อขายพวกหล่อน สอนพวกหล่อน และราคาของพวกหล่อน เป็นสิ่งต้องห้าม เพราะเป็นส่วนหนึ่งของคำพูดที่ไร้สาระ ที่ถูกประณาม และใช้หลักอนุมานกับทาสหญิงพวกนี้คือ เครื่องละเล่นต่างๆ การค้าขายเครื่องละเล่นถือว่าใช้ไม่ได้ เพราะเงื่อนไขในการซื้อขายประการหนึ่งที่ได้กล่าวมาแล้วก็คือต้องเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุมัติให้ใช้งานได้ ส่วนในกรณีที่ซื้อทาสหญิง เหล่านั้นมาเพี่อใช้งาน ก็ถือว่าไม่เป็นไร

[60]     เป็นการห้ามเพี่อให้ออกห่างไกล แต่การซื้อใช้ได้

[61]     “การซื้อติดขายสด” คือซื้อสิ่งหนึ่งด้วยราคาเป็นเงินเชื่อ และผู้ซื้อก็ได้รับเอาสิ่งนั้นมา แล้วขายต่อใด้แก่ผู้ขายด้วยราคา เป็นเงินสดแต่น้อยกว่าราคาที่ซื้อมาเป็นเงินเชื่อ การซื้อขายที่ใช้ไม่ได้ ในทัศนะของนักวิชาการส่วนมากและผู้นำทั้งสาม แต่เป็น สิ่งที่อนุญาตในทัศนะของชาฟิอี เพราะไม่มีข้อห้ามการซื้อขายแต่อย่างใด และเพราะหะดีษนี้เป็นหะดีษดออีฟ และความหมาย ของหะดีษนี้ก็คือ เมื่อพวกท่านทั้งหลายยุ่งอยู่ ในทางโลกนี้ของพวกท่าน โดยละที้งสิ่งที่เป็นหน้าที่ของพวกท่าน เช่น การ ญิฮาด และอื่น ๆ อัลเลาะห์ก็จะให้เกิดความตกต่ำอันยิ่งใหญ่กับพวกท่าน โดยจะไม่ถูกยกออกไป จนกว่าพวกท่านจะกลับคืนสู่ศาสนาของพวกท่าน และนี่เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับมุสลิมในปัจจุบัน

[62]     อะรอยา คือการที่คนรวยปล่อยต้นอินทผลัมไว้ให้คนจนกินผลของมัน ต่อมาเจ้าของต้นอินทผลัมได้รับความเดือดร้อน จากการบุกรุกของคนจน จึงยอมให้แลกเปลี่ยนอินทผลัมบนต้นจากเจ้าของต้นกับอินทผลัมแห้ง และมีบางคนกล่าวว่า คือต้น อินทผลัมที่อุทิศไว้ให้แก่คนยากจน แต่คนยากจนไม่อาจรอคอยมันได้ จงยอมผ่อนผันให้คนยากจนแเลกมันกับอินทผลัมแห้ง การซื้อขายแบบนี้เป็นข้อยกเว้นมาจากการซื้อขายแบบมุชาบะนะห์ที่ได้กล่าวมาแล้ว               เพราะเกิดความจำเป็น

“การขายแบบประมูลขึ้นราคา” คือการน่าเอาสินค้าเสนอขายแก่คนพวกหนึ่ง มีคนหนึ่งจากพวกนั้นกล่าวว่า ฉันจะซื้อมันเองด้วย ราคาเท่านั้นเท่านี้ ผู้ขายจะกล่าวว่าใครจะให้ราคาเกินกว่านี้ เมื่อมีคนเสนอราคาสูงสุด เจ้าของสินค้านั้นก็จะขายให้

[63]    หมายความว่าไม่ใช่ด้วยอินทผลัมแห้ง และองุ่นแห้ง ยกเว้นการขายแบบอะรอยา เพราะความจำเป็นของคนยากจนที่ด้อง ขายมัน

[64]     คือเจ้าของต้นอินทผลัม หรือคนอื่นจะแลกเอาอินทผลัมสดมา หลังจากได้กำหนดปริมาณอินทผลัมสดบนต้นแล้ว ด้วยอินทผลัมแห้งที่คนยากจนจะได้ใป การกำหนดปริมาณของผลไม้บนต้นก่คือคะเนดูว่า           อินทผลัมสดบนต้นเมื่อแห้งแล้วจะตวงได้เท่าไหร่ หรือคะเนดูว่า องุ่นสดบนต้นเมื่อแห้งแล้วจะตวงได้เท่าไหร่

[65]     ที่เป็นเงื่อนไขในการขายอะรอยา จะไม่ยอมให้ขายนอกจากเมื่อมันมึปริมาณน้อยกว่าห้าเอาซุก โดยใช้หลักป้องก้นเอาไว้ หนึ่งวัสก์ (เป็นเอกพจน์ของเอาซุก) ประมาณสองร้อยสิ่สิบสิตร

[66]    หะดษนระบุว่า การขายแบบประมูลขึ้นราคา เป็นสิ่งอนุพ้ต ชํ่งเป็นทํศนะของนักวิชาการบางท่าน

[67]    คำว่า ริบา ในทางภาษาแปลว่าเกิน ในทางบ้ญญัติคือ ทุกข้อตกลงที่ศาสนากำหนดห้าม ริบามีสามประเภทได้แก่ ริบาอัลฟัดล์คือการแลกเปลี่ยนที่สิ่งหนึ่งจากสองสิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนกันนั้นเกินกว่าอีกสิ่งหนึ่ง. ริบาอัลยัด คือการแลกเปลี่ยนพร้อมกับการรับ สองสิ่งหรือสิ่งหนึ่งจากทั้งสองที่ใช้แลกเปลี่ยนก้นล่าช้า ริบาอันนะชาอุ        คือการแลกเปลี่ยนที่เชื่อกันไว้ก่อน ริบาถือว่าเป็นสิ่ง

ต้องห้าม (ฮะรอม) เพราะเป็นการทุจริต และคือเป็นบาปใหญ่ การแลกเปลี่ยนคือการแลกทองคำกับเงินหรือเงินกับทองคำ การแลกเปลี่ยนนี้กินความแคบกว่า ริบา เหตุผลที่มีริบาในทองคำกับเงินก็เพราะทั้งสองเป็นประเภทของสิ่งที่ใช้เป็นราคา จึงจำก้ดอยู่แต่เพียงสองสิ่งนี้ ไม่เลยไปถึงแร่ธาตุอย่างอื่น ๆ เช่น อัญมณี เหตุผลที่มีริบาในข้าวสาลีและที่เหมือนก้บข้าวสาลี เพราะ มันทั้งสองเป็นที่รู้กันดี จึงนับมันทั้งสองเข้ากับทุกสิ่งที่ร่วมกับมันทั้งสองในเหตุผลเดียวกันคือเป็นอาหาร

[68]     เพราะมันทั้งสองเป็นนะยิส การขายมันทั้งสองและราคาของมันทั้งสองคือว่าต้องห้าม (ฮะรอม)

[69]    การสักคือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง คำที่ว่า “ราคาหญิงที่ท่าการสัก” หมายถึง ค่าจ้างของหล่อน และ “หญ่งที่ลูกสัก" หมายสิงห้ามการกระทำของหล่อน

[70]     คือห้ามการกระทำของผู้เอาริบา และผู้ใหริบา การห้ามทั้งหมดนี้เพราะฮะรอม

[71]    คือผู้ที่ทำรูปสัตว์ ไม่ใช่สิ่งที่ไร้วิญญาณ ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในเรื่องเครื่องอาภรณ์

[72]     คือในเรื่องบาป และการสาปแช่งซึ่งก็คือการขับไล่ออกไปจากความเมตตา

[73]     คอขอแลกเปลี่ยนเหรียญเงิน (ดิรฮัม) ด้วยจำนวนหนึ่งร้อยเหรียญทอง (ดินาร์) ที่อยู่ในมือฉัน

[74]      ในกรณีที่มีการแลกเปลี่ยนสิ่งของประเภทหนึ่ง ด้วยสิ่งที่เหมือนกัน เช่น ทองคำกับทองคำ อินทผลัมแห้งด้บอินทผลัมแห้ง มีเงื่อนไขอยู่ว่า ทั้งสองสิ่งที่จะแลกเปลี่ยนกันนั้นด้องเท่ากัน ต้องรีบกันไปในสถานที่ๆ ตกลงนั้น และถ้าหากต่างประเภทกัน แต่มีเหตุผลในทางรีบาเดีขวก้น เช่นทองคำด้วยเงิน ข้าวสาลีกับข้าวบาร์เล่ย์ มีเงื่อนไขอยู่เพียงว่าต้องรับก้นไปในสถานที่ๆ ที่ตกลงกันนั้นเท่านั้น และถ้าหากทั้งสองสิ่งที่จะแลกเปลี่ยนก้นนั้นต่างประเภทและเหตุผลในทางรีบากัน เช่นทองคำก้นข้าวสาลี และเงินกับข้าวบาร์เล่ย์ ทองคำกับผ้า และเงินกับไม้ เป็นต้น ก็ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ที่กล่าวนี้ โดยมติของนักปราชญ์ดังจะได้ กล่าวต่อไปในเรื่องอนุญาตขายเชื่อ

[75]    ทองคำแท่งกับทองคำที่เป็นเงินตราแล้ว หรีอเงินแท่งกับเงินที่เป็นเงินตราแล้ว ในเรีองนี้ถือว่าเท่าเทียมกัน

[76]    สิ่งที่ไม่รู้ปริมาณ การชํ้อขายมันใช้ไม่ได้

[77]     คือ เซด กับ อัลบะรออ

[78]     การแลกเปลี่ยนเงินกับทองคำถือว่าใช้ไม่ได้ ยกเว้นในกรณีที่ต่างคนต่างรับกันเอาไป

[79]        คือได้ท่านเอาเงินมีมูลค่าเท่ากับทองคำที่ท่านขายด้วยราคาในวันนี้          โดยมีเงื่อนไขว่าด้องต่างคนต่างรับในขณะนั้น นี่เป็นทัศนะของอัครสาวกบางคน อะห์มัด และอิสหาก แต่นักวิชาการส่วนใหญ่ไม่ยึดถือหะดีษบทนี้เพราะเป็นหะดีษดออีฟ

[80]    หมายถึงในสิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนทั้งสองไม่มีเหตุผลร่วมกันในทางริบา คือเป็นราคา และเป็นอาหาร ดังปรากฏในหะดีษแรก เป็นการซื้ออาหารด้วยเงินเชื่อ และในหะดีษที่สองเป็นการซื้อผ้าด้วยเงินเชื่อโดยสงที่ใช้แลกเปลี่ยนกันทั้งสองอย่างนั้นไม่มีเหตุผลร่วมกันในทางริบา

[81]     ท่านนบ ซ.ล. ได้ซื้ออาหารจากยะฮูดจำนวนสามสิบซออฺเป็นช้าวบาร์เล่ย์ และท่านได้ให้เสื้อเกราะของท่านไว้เป็นการ ประกันราคาของมันจนกว่าท่านจะนำมาชำระ

[82]     ในหะด้ษทั้งสองนี้ชี้ว่า อนุญาตให้ซื้อขายโดยเชื่อราคาไว้ก่อนโดยมีกำหนดเวลา อนุญาตให้มีการจำนำ (ประกัน) การ ชำระหนี้ อนุญาตให้ทำธุรกิจกับกาฟิรได้ ในกรณีนี่ไม่อาจหาสิ่งที่ด้องการจากมุสลิมได้โดยง่าย

[83]     คือการขายสิ่งหนึ่งที่ได้พรรณาลักษณะไว้อยู่ในพันธะ ด้วยราคาที่จ่ายให้ในสถานที่ ๆ ตกลงกัน ที่เรียกว่า สะลัม เพราะ ได้มีการมอบเงินต้นทุนให้ไป, และเรียกอีกว่า '‘สะลัฟ” เพราะมีการมอบต้นทุนํให้ไปก่อน การขายสะลัมเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุมัติ เพราะมีความด้องการมัน โดยมีเงื่อนไขว่าทั้งสองสิ่งที่จะแลกเปลี่ยนกันนั้น ด้องไม่อยู่ในเหตุผลเดียวกันในทางริบา รูปแบบ ของการขายสะลัม อาทิเช่น ฉันมอบเหรียญเงินนี้ให้ท่านเพื่อท่านจะขายให้ฉันแลกเปลี่ยนกับมัน สิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยท่านจะด้อง นำมันมามอบให้ฉันในเวลาเท่านั้นเท่านี้ ในสถานที่นั้นที่นื้

[84]     ความหมายของหะดีษก็คือต้องพรรณาลักษณะของสินด้านั้นจนแจ่มแจ้ง เพราะเงื่อนไขประการหนึ่งของสินด้าก็คือต้อง รู้แน่ชัด และจำเป็นต้องระบุสถานที่ๆ จะรับมอบสินด้านั้นเพื่อป้องก้นการพิพาท

[85]    ยินยอมให้,ขอขายแบบสะลัม ดับบุคคลหนึ่งแม้เขาจะไม่มีสินด้านั้น หรือผลิตมันขึ้นเองก็ตาม

[86]     การจำนำในหลักศาสนาคือการให้ทรัพย์ไว้เป็นการประกันหนี้

[87]       หมายความว่า ถ้าหากพวกท่านเดินทางและกู้หนื้ยืมสินกัน และไม่สะดวกที่จะบันทึกเอาไว้ ก็ให้พวกท่านจำนำเพื่อเป็น การประกันหนี้

[88]      เสื้อเกราะของท่านถูกจำนำไว้กับผู้ขายเพื่อประกันราคาอาหาร การจำนำในยุคญาฮลิยะห์นั้น ผู้รับจำนำจะยึดเอาทรัพย์ ที่ประกันไว้เมื่อครบกำหนด และไม่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ ต่อมาอิสลามได้ทำลายการจำนำในรูปแบบดังกล่าว โดยบังคับ ผู้จำนำ เมื่อไม่สามารถชำระหนี้ได้ ให้ขายทรพย์ที่จำนำไว้ และชำระหนี้แก่ผู้ร้บจำนำ และเอาราคาที่เหลือไป

[89]       แต่นักวิชาการมีการชัดแย้งกันในเรื่องที่ นักวิชาการส่วนใหญ่ ถือว่าความมุ่งหมายของผู้เอาประโยชน์ในเรื่องนี้คือผู้จำนำ เพราะเป็นผู้มืกรรมสิทธิ์ และเพราะหะดีษของซาฟิอิ และฮากีมที่ว่า สื่งที่ถูกจำนำจะไม่ถูกกีดกันจากผู้เป็นเจ้าของ เขาจะเป็น ผู้ได้ประโยชน์ และรองรับความเสียหาย อะห์มัดและอิสหาก กล่าวว่า ผู้เอาประโยชน์ในเรื่องนี้คือผู้รับจำนำ แม้เจ้าของทรัพย์ ที่จำนำจะไม่ยินยอมให้ก็ตาม เพราะมันอยู่ในมือเขา ดังนั้นเขาจึงควรได้ประโยชน์แลกเปลํ่ยนกับการจ่ายค่าเลี้ยงดู ส่วนสื่งที่ไม่ด้องการค่าดูแล เช่นเสื้อผ้า และผืนแผ่นดิน ก็ไม่ยอมให้ผู้รับจำนำเอาประโยชน์ นอกจากจะได้รับอนุญาตจากผู้จำนำ ตาม ทัศนะที่อ่อน ส่วนทัศนะของนักว้ชาการส่วนใหญ่ตรงข้ามกับที่กล่าวนั้น เพราะหะดิษที่ว่า ทุกการกู้ที่จะนำผลประโยชน์ (มาสู่ผู้ให้กู้) คือเป็นริบา

[90]      ชุฟอะห์ ตามหลักภาษาคือ สิทธิ์ที่เกิดขึ้นแก่คู่หุ้นส่วนเดิม ที่จะบังค้บคู่หุ้นส่วนใหม่ให้ขายสิ่งที่ปกครองอยู่โดยมืสิ่งแลกเปลี่ยน

[91]       คือท่านตัดสินให้ใช้สิทธิ์ชุฟอะห์ ในทุก ๆ สิ่งที่มืหุ้นส่วนอยู่อย่างคลุมเครือ และสามารถแบ่งแยกได้ และเมื่อสิ่งนั้นแบ่ง เป็นสัดส่วนแน่ชัดแล้ว มีถนนหนทางขึ้น ก็ไม่อนุญาตให้ใช้สิทธิ์ชุฟอะห์

[92]      อะบูรอเฟึยะอ ผู้นี้เป็นคนรับใช้ของท่านนบี ซ.ล. และเขาได้รายงานหลายหะดีษจากท่าน

[93]      เป็นการห้ามเพิ่อให้ออกห่าง ดังนั้นไม่บังควรที่จะห้ามเพิ่อนบ้าน ไม่ให้ฝังปลายไม้ลงในกำแพงนี่ติดกัน เพราะนั่นเปีน การขัดขืนคำสิ่งที่ใช้ให้ทำความดีต่อเพิ่อนบ้าน นอกเสียจากการทำเช่นนั้นจะส่งผลเสียหายให้แก่เจ้าของกำแพง

[94]      หมายความว่า ไม่สมควรที่พวกท่านจะขัดขวางคำสั่งเสียนี้ สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ฉันจะต้องพูดมันให้พวกท่านได้ยิน เพิ่อให้พ้นจากการปีดบังความรู้ และหวังว่าจะมีการนำไปปฏิบัติ

[95]      การเช่าหรือว่าจ้างคือ ข้อตกลงให้เอาประโยชน์ โดยมีสิ่งแลกเปลี่ยน

[96]      ลูกจ้างเมื่อไดปฏิบ้ตตามคำสิ่งของนายจ้างด้วยความโอบอ้อมอารี เขาก็จะได้ผลบุญเหมือนผลบุญของผู้ที่ทำทานจาก กรรมสิทธิ์ของเขาเอง

[97]      ลูกจ้างคนนี่ชื่อ อับดุลเลาะน์ บุตร อุรอยกิต เขาเป็นกาฟิร แต่เพราะความชำนาญในเส้นทาง ท่านนบี ซ.ล. และ อะบุบักร์ ร.ฎ. จึงได้ว่าจ้างเขาให้เป็นผู้นำทางในการอพยพลี้ลัยสู่นครมะดินะห์ โดยบุคคลทั้งสองได้มอบพาหนะให้เขาไป และสัญญากันว่าให้เขามาพบในถ้ำ หลังจากนี้สามคน ซึ่งเขาก็ได้ปฎิบัติตามสัญญา และได้นำบุคคลทั้งสองเดินทางสู่มะดินะห์

[98]      อาชีพที่ดี คือค่าจ้างที่เกิดขึ้นด้วยอัลกุรอาน จะด้วยถารสอน หรือคาถา หรือเขียน หรืออ่าน ก็ตาม เพราะหะดีษนี่ไม่ได้ จ่ากัดไว้ นี่เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ อะห์มัด และพวกฮะนะฟืย์ กล่าวว่าไม่ยอมให้เอาค่าจ้างที่เกิดขึ้นด้วยอัลกุรอาน เพราะอัลกุรอานเป็นอีบาดะห์ ผลตอบแทนของอีบาดะห์อยู่นี่อัลเลาะห์ตาอาลา ยกเว้นการใจ้อัลกุรอานเป็นคาถา เพราะมีหะดีษ ปรากฏ ซึ่งจะกล่าวในเรื่องการแพทย์อย่างละเอียด และอีกเช่นกันที่ไม่ยอมให้เอาค่าจ้างที่เกิดขึ้นด้วยอัลกุรอาน เพราะหะดีษ ของอะห่มัดและบัซซาร ว่า “ท่านทั้งหลายจงอ่านอัลกุรอาน อย่าเลยเถิดในอัลกุรอาน อย่าเหินห่างจากอัลกุรอาน และอย่าใช้อัลกุรอานหากิน” และค่าจ้างของการซิกร์ ก็เช่นเดียวกับค่าจ้างของอัลกุรอาน

[99]      พวกเขาเป็นนักวิชาการตาบิอึนรุ่นอาวุโส พวกเขาได้กล่าวว่า ยอมให้เอาค่าจ้างในการเป็นนายหน้า เพราะเป็นงานที่กำหนดแน่นอนได้

[100]    ไม่มีผู้ใดกล่าวเช่นนี้นอกจากคนทั้งสอง เพราะค่าจ้างในทั้งสองรูปนั้น เป็นสิ่งที่ยังไม่รู้ ดังนั้นเมื่อเขาขายก็จะ'ได้รับค่าจ้าง ในอัตราที่เหมือน ๆ กัน ในทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ นอกเสียจากจะกล่าวว่า ค่าจ้างนั้นเป็นสิ่งที่รู้กันอยู่บางส่วน เช่นที่ เกิดขึ้นในป็จจุบัน จากถ้อยคำของเจ้าของที่กล่าวแก่นายหน้าว่า จงขายสิ่งนี้แล้วท่านจะได้ร้อยละห้า นี่ถือว่าใช้ได้ ในทัศนะของบุคคลทั้งสอง

[101]    อัลเลาะห์ จะร่วมให้ความช่วยเหลือและให้ความเพิ่มพูนแก่คู่หุ้นส่วนทั้งสอง ตราบเท่าที่คนทั้งสองคนยังคงซื้อสัตย์ ต่อกัน และเมื่อใดที่มีการทุจริตกัน อัลเลาะห์ก็จะปลีกด้วออกจากเขาทั้งสอง และชัยฏอนก็จะเจ้ามาเป็นคู่หุ้นส่วนของเขาทั้งสอง

[102]    ที่เป็นการตกลงทำการเพาะปลูกแบ่งผลที่ได้กันระหว่างท่านนบี ซ.ล. กับพวกยะฮูดที่คอยบัร และคงทำการเช่นนี้ เรื่อยมาจนถึงสชัย อุมัร ร.ฎ. จนคอลิฟะห์อุมัรได้ชับไล่พวกเขาไปจากคอยบัร

[103]    เพราะการแลกอินทผล้มแห้ง ด้วยอีนทผล้มแห้งนั้นเปีนริบา นอกจากจะด้องเท่าก้น

[104]     คือท่านนบี ซ.ล. ได้มอบหมายให้อะลี ร.ฎ. แจกทานด้วยด้าปูหล้งอูฐที่ถูกเชือดเป็นกุรบาน และหนังของมัน ในวันเชือดคือวันที่สิบเดือนซุลฮิจญะห์

[105]    คือถ้าหากเขาขอให้ท่านแสดงเครื่องหมายว่าท่านพูดจริงก็จงเอามือวางลงที่ไหปลาร้าชองเขา หนึ่งวัสก์ประมาณยี่สิบถัง

[106]     คำว่า หรือแกะหนึ่งต้ว เป็นความสงส่ยฃองผู้เล่า หะดีษนี้ชี้ว่า ด้วแทนที่ได้รับมอบ ถ้าหากไปดำเนนการมากกว่าที่ได้ ร้บมอบหมายแล้วได้กำไร การดำเนินการของเขาใช้ได้

[107]    การไกล่เกลี่ยนั้นเป็นผลดีอันใหญ่หลวงแก่มวลมนุษย์

[108]     แต่เป็นสิ่งอนุมัติระหว่างกาฟิร ก้บ มุสลิมอีกด้วย

[109]    ทุกเงื่อนไขที่ไม่ถูกต้องตามบ้ญญัติ เป็นเงื่อนไขที่ไม่มีคุณค่า

[110]     อิบนิ อะบี อัยดัร เป็นหนี้กะอับอยู่ ต่อมากะอ้บได้หวงถามเขาในมัสญิด ทั้งสองส่งเสียงดัง จนท่านนบี ซ.ล.ได้ยิน ท่านจึงมาเปีดม่านห้องของท่าน แล้วเรียกกะอับ, กะอับตอบรับคำเรียกของท่าน ท่านจึงหำท่าว่าให้ลดหนี้ลงครีงหนึ่ง และเอา ที่เหลือเพื่อสงสารแก่ลูกหนี้ และเพื่อฃจ้ดการวิวาทกัน กะอับได้ตอบรับตามคำเรียกร้องนี้ ที่เป็นการไกล่เกลี่ยให้สละหนี้ไป บางส่วน และขี้นำให้เจ้าหนี้สงสารลูกหนี้

[111]    เกิดข่าวลือในนครมะดีนะห์ว่ามิ

ศัตรูมา ประชาชนพากันตกใจ อะบูตอลฮะห์มิม้าอยู่ต่วหนึ่งชื่อ อัลมันคูบ เป็นม้าที่เดีนช้า

ท่านนบี ซ.ล. ได้ขอยืมมันฃี่ไป และต่อมามันก็กลายเป็นม้าที่วิ่งได้เร็ว เมื่อกลับมาท่านกล่าวว่า       เราไม่พบสิงใด (ที่น่าตกใจ)

[112]     เสื้อที่อิชะห์พูดถึงนี้ เป็นผ้าเนื้อหยาบ ที่ผู้เป็นเจ้าสาวมักฃอยืมไปสวม ในสมัยท่านนบี แต่บัดนี้เป็นเสื้อที่ทาสหญิงภูมิใจ ที่ได้สวมใส่อยู่บ้าน เพราะเสื้อผ้าเนื้อดี ๆ นั้นเกิดขึ้นมากแล้ว

[113]     “การให้เอาประโยชน์” เช่นการให้ยืมสัตว์เพื่อน้ำนม ให้ยืมแผ่นดิน เพื่อทำทารเพาะปลูก ให้ยืมต้นไม้เพื่อเอาผล “หนี้ ต้องถูกชำระ” คือจำเป็นต้องชำระตามบัญญัติศาสนา “ผู้ค้ำประกันต้องเป็นลูกหนื้” ในสิ่งที่ตนค้ำประกันไว้ เมื่อลูกหนี้ไม่สามารถ ชำระหนได้ “การขอยืมต้องถูกใช่คืน” คือจำเป็นต้องถูกส่งคืนให้เจ้าของ หลังจากได้ใช้เอาประโยชน์แล้ว ถ้าหากเกิดความเสียหาย โดยความประมาทเลินเล่อ ผู้ขอยืมต้องรับใช้ และถ้าไม่เช่นนั้น ก็ไม่ต้องรับใช้

[114]        “ตกเป็นภาระอยู่เหนือมือสิ่งที่มือได้เอาไป” คือจำเป็นต้องรักษาสิ่งที่มือได้รับเอาไป ต้วยการเช่า หรือขอยืม หรืออื่น ๆ จนกว่าจะส่งมันคืนไปให้เจ้าของ ตามตัวบทของหะดีษนี้ชี้ว่า สิ่งที่มือเอามานั้น ถ้าเกิดเสียหายต้องชดใช้แม้ไม่ได้เกิดจากความ เลินเล่อหรือประมาทก็ตาม แต่หะซัน ซึ่งเป็นผู้เล่าหะดีษ ต่อจากซะมุเราะห้ได้กล่าวว่า ไม่ต้องชดใช้ ที่ว่านื้อาจเป็นเพราะมัน เกิดเสียหายขึ้นโดยไม่เลินเล่อ หรือเพราะกระทำตามที่ได้รับอนุญาต กอดาดะห้ ซึ่งเป็นคนที่เล่าต่อมาจากหะซัน เป็นผู้กล่าว ว่า หะซันลืม

[115]       “เป็นของขอยืมที่ต้องค้ำประกัน” คือ ท่านขอยืมมันไป ในฐานะเป็นของขอยืมที่ต้องค้ำประกันว่าจะชดใช่ต้วยราคา ถ้า มันเกิดเสียหายหรือเป็นของขอยืม ที่ต้องคืนแก่เจ้าของถ้ายังคงสภาพ และถ้าหากเสียหายโดยไม่เลินเล่อ ก็ไม่ต้องชดใช้

[116]       ภรรยาคนที่ท่านนปึ ซ.ล. อยู่ในบ้านของหล่อนคือ อาอิชะห์ และเป็นผู้ทำถาดแตก ซึ่งใส่อาหารมาจาก ชัยนับ บุตรสาว ยะห์ช หรือ อุมม์ ซะละมะห้ หรือ ซอฟืยะน์ ซึ่งเป็นภรรยาของท่านนบีต้วยกัน ที่ทำเช่นนั้น เพราะความหึงหวงของอาอิชะห์

[117]       "อนุญาตการละเมิดศักดิ์ศรีของเขา โดยทิ่มตำเขาว่าเป็นคนผลัดวันประกันพรุ่ง และเป็นคนทุจริต ทำให้อนุญาตลงโทษเขา คือยอมให้เจ้าหน้าที่กักขัง และลงโทษเขาตามแต่จะเห็นสมควร เพื่อเป็นการสั่งสอน และทำให้คนอื่นหลาบจำ

[118]        บาปใหญ่ที่สุดหลังจากบรรดาบาปใหญ่ทั้งหลายก็คือการที่คนหนึ่งตายไป โดยมีหนี้สินติดอยู่ และไม่ได้ทิ้งสิ่งที่จะใช้ ชำระหนี้ไว้ โดยที่เขาบกพร่องในการชำระหนี้ หรือกู้ไปเพื่อทำความผิด และ ถ้าไม่เช่นนั้น ก็ไม่เป็นอย่างที่ว่านี้

[119]        หนี้สินที่ยังไม่ได้ชำระเป็นเหตุข้ดช้องที่จะเข้าสวรรค์ แม้ผู้นั้นจะตายในฐานะเป็นนักรบชะฮีดหลายครั้งก็ตาม

[120]        ในระยะแรก ๆ ท่านนบี ซ.ล.      จะไม่ละหมาดให้แก่ศพที่มีหนี้สืนติดอยู่ โดยไม่ได้ที่งสิ่งที่จะนำไปชำระหนี้ได้ เพื่อประกาศให้รู้ก้นว่า การไม่ชำระหนี้นั้นเป็นบาปใหญ่ ซึ่งท่านนบีเกือบจะปฎิปตแก่ลูกหนี้ดังกล่าวเหมือนเป็นพวกคนตีสองหห้า (มุนาฟิก) ที่ท่านถูกห้ามมิให้ละหมาดให้แก่พวกนั้น แต่ต่อมา เมื่อได้ทรัพย์สงครามมากขึ้น ท่านนบี ซ.ล. ก็จะใช้หนี้แทนให้แก่ มุสลิมที่เสียชีวิตไปโดยมีหนี้สินห้างชำระอยู่

[121]        คือพวกเขาไม่ยอมรับคำขอร้องของท่านนบี ซ.ล. ที่จะเอาอินทผลัมทั้งหมดและยอมอะลุ้มอล่วยแก่บิดาของเขา

[122]        ชํ่งเปีนเวลาตัดอินทผลัมในสวนของท่าน

[123]        อํลเลาะท่ไห้ให้ความเพิ่มพูนเกิดขึ้นในอินทผลัม และเราก็สามารถขำระหนื้ให้แก่เจ้าหนี้ทุกคน โดยยังมีอินทผลัมเหลือ เป็นของเราอืก

[124]        คำว่า หรือ เป็นความสงสัยของผู้เล่า

[125]        ด้วยสายรายงานทเป็นมุรซั้ล มาลิก ซุฟยาน และคนอื่น ๆ ได้อ้างหะดีษนี้เป็นหล้กฐาน แต่ชาฟิอี และนักวิชาการรุ่นหล้ง ชาฟิอี ไม่ใช้หะดีษนี้เป็นหลักฐาน

[126]       ในกรณที่เจ้าหนี้ของลูกหนี้ที่ล้มละลายมีหลายคน และมีคนหนึ่งพบทรัพย์ของเขาที่ลูกหนี้ซื้อไป โดยยังไม่ได้ชำระราคาเลย เขาย่อมมีสิทธิ์ในสิ่งนั้นยิ่งกว่าคนอื่น ๆ แต่ถ้าหากเขาได้รับราคาไปบ้างแล้ว หรือลูกหนี้ที่ล้มละลายตายไป เขาก็มีสภาพเหมือน เจ้าหนี้คนอื่น ๆ นี่เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ ชาฟิอีกล่าวว่า เจ้าของสื่งนั้นย่อมมีสิทธิ้ในสิ่งนั้นยิ่งกว่าเจ้าหนี้คนอื่นไม่ว่า ลูกหนี้ที่ล้มละลายนั้นจะยังมี่ชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว จะรับราคามาบ้างแล้วหรือยังไม่ได้รับก็ตาม

[127]        ผู้ใดพบทร้พย่ของตน ที่ลูกปล้นเอาไป หรือขโมยเอาไป อยู่ที่คน ๆ หนึ่ง เขาย่อมมีสิทธิ์ในสิ่งนั้น และให้ผู้ซื้อไปทวง ถามเอาจากผู้ขายและเอาราคาคืน เพราะปรากฏแน่ชัดว่า ผู้ขายได้ขายสิ่งที่ตนไม่มีสิทธิ์ปกครอง

[128]        ชายชาวอ้นชอรคนหนึ่ง ชอ อะบูมัซกูร มีทาส ชาวกิบตี คนหนึ่ง ชื่อ ยะอกูบ เขาได้กล่าวแก่ทาสของเราว่า ถ้า หากฉันตายเจ้าเป็นอิสระ แต่อะบูม้ซกูร เป็นคนล้มละลาย ท่านนบี ซ.ล. ได้ขายทาสของเขาด้วยราคาแปดร้อย ดิรฮัม และได้มอบ ให้เราไป แล้วกล่าวว่า จะนำไปชำระหนี้สินของท่าน เพราะการชำระหนี้ เป็นฟัรฎู ส่วนการปล่อยทาส เป็น ซุนนะห์ ฟัรฎูย่อมด้องอยู่ก่อนซุนฺนะท์ ในหะดีษนี้ระบุว่า ผู้ปกครองจะขายทรัพย์สินของผู้ที่ล้มละลาย เพื่อชำระหนสืนที่ติดอยู่ และการขาย นั้นถือว่าใช่ได้ และในทะดีษนี้ ระบุว่า ยินยอมให้ขายทาส มุดับบัร (คือทาสที่นายบอกว่า ถ้าฉันตายเจ้าเป็นอิสระ)

[129]        การโอนหนี้ คือ การที่ลูกหนี้เปลี่ยนให้ถ้าหนี้ของตนไปเอาหนื้จากลูกหนี้ของตน

[130]        เป็นคำสั่งที่ควรปฎิบ้ติ เมื่อเจ้าหนี้ถูกเปลี่ยนให้ไปเอาหนี้จากลูกหนี้ที่รวย ที่ดีแล้วควรรับ

[131]       ความหมายของตัวบทที่กล่าวมา คอ ยอมให้ม่การโอนหน และการร'บโอนหนถ้อเป็นการอถ้มอล่วย         อบุญาติ'ให้

ติดตามทวงถามลูฑหน. อนุญาตให้เรียกหๅผู้คาประกัน โดยผู้คาประกันจะตองจ่ายชำระแทนถูกหน เมื่อลูกหนไม่สามารถชำระได้ และให้ผู้คาประกันทวงสืทธํ่ของเขาคนจากลูกหน

[132]        “แผ่นดินที่ตาย’’ คือแผ่นดินที่ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ใด ไม่ใช่เป็นที่สงวนของกษัตริย์ ที่มีการปลูกสร้าง หรือเพาะปลูก พืชล้มลุกและต้นไม้ยืนต้น และไม่ใช่ที่ๆ ผู้คนทั่วไปเอาประโยชน์ เช่นที่ๆ ใช้เป็นตลาดนัด เป็นต้น “การพัฒนา และปรับปรุง” ใต้เป็นไปตามจาริตประเพณีของประชาชน เช่น การล้อมกำแพงที่ดิน ปรับพื้นดิน เพื่อก่อสร้าง หรือเพาะปลูก ขุดบ่อ และอื่นๆ ที่จำเป็นในการจับจองที่ดิน ดังนั้นผู้ใดที่จ้บจองที่ดินที่ตาย ที่ดินนั้นก็ฅกเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา แม้ว่าผู้ปกครอง (ประเทศ) จะ ไม่ยินยอมก็ตาม เพราะถือว่าศาสนาได้อนุมัติแล้ว และผู้ใดเพาะปลูกในแผ่นดินที่ผู้อื่นจับจองไว้แล้ว มันจะไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ ของเขา

[133]        ที่ดินสงวน คือ แผ่นดินที่ผู้นำประกาศเป็นที่สงวน จากผืนแผ่นดินที่ตาย เพื่อใช้เลี้ยงอูฐที่ใช้ในสงคราม และอูฐที่เก็บ ซะกาตมา โดยห้ามประชาชนเข้าไป ที่ดินสงวนนสำหรับผู้นำและต้วแทนเท่านั้น สำหรับผู้อื่นให้เลี้ยงสัตว์ของตนในทุ่งสาธารณะ โดยไม่มีสัทธห้ามผู้อื่น

[134]       อ้นบะเก็ยะอ คือสถานที่แห่งหนึ่ง อยู่ห่างนครมะดินะห์ ประมาณยี่สิบฟัรชัค อ้ซซะรอฟ เป็นสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ใกล้ๆ ตันอีม อ้รรอบะซะห์ เป็นสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ระหว่าง ม้กกะน์กับมะดินะห์

[135]       คือท่านนบี ซ.ล. ได้ตัดสิน ในความกว้างของทางสัญจรว่า ต้องมความกว้างเจ็ดศอกเพื่อให้กองคาราวานหนักผ่านไปได้ ความกว้างขนาดนี้พอเพียงในสมยนั้น ถ้าไม่เช่นนั้น ให้พิจารณาตามคำพูดของผู้ชำนาญในเรื่องนี้

[136]        “พืชที่มีลำต้น” ได้แก่ต้นอินทผลัม องุ่น ทับทิม แอปเปิล พืชล้มลุกได้แก่ต้นข้าว เป็นต้น

[137]        เพื่อป้องกันการพิพาทที่อาจเกิดขึ้น เพราะผลผลิตที่ได้ในแต่ละแปลงไม่แน่นอน

[138]        คือ อิบนุ อับบาส ร.ฎ.

[139]        ซึ่งจัดอยู่ในเรื่อง “จงทิ้งสิ่งที่ทำให้ท่านเกิดสงสัย ไปสู่สิ่งที่จะไม่ทำให้ท่านสงสัย”

[140]        ความหมายที่กล่าวมานั้นก็คือได้เกิดการพิพาทกันขึ้นในขณะเก็บเกี่ยวระหว่างเจ้าของที่ดินกับผู้ทำการเพาะะปลูก ท่านนบี 

(104) อะบูยะอฺฟัร กล่าวว่า พวกผู้อพยพทุกครอบคร่ว ที่นครมะดินะห่นั้น พวณขาจะทำการเพาะปลูกโดยต้องจ่ายผลผสิต ในอ้ตราเศษหนึ่งส่วนสาม หรือ เศษหนึ่งส่วนสี่ ตามแต่ทั้งสองฝ่ายจะตกลงก้น เพราะพวกผู้อพยพส่วนใหญ่นั้น ไม่มีที่ดินเป็น ของตนเอง แต่ที่ดินนั้นเป็นของชาวอันซอร แต่บรรดาอัครสาวกที่ได้เอ่ยนามเหล่านั้น ก็ได้ทำการเพาะปลูกโดยต้องจ่ายส่วนหนึ่ง ของผลผสิฅ และเป็นเรื่องที่ห่างไกลมากถ้าจะกล่าวว่า การกระทำมุซารออะห่ดังกล่าวของพวกเรา ห่านนบี ซ.ล.ไม่รู้ เพราะ นั้นเปีนปัจจัยยังชึพของพวกเขา

  1. หมายความว่า พวกเราเคยเช่าที่ดินจากเจ้าของ โดยแลกเปลี่ยนกับพืชผลที่งอกงามอยู่ในพื้นที่ๆ ใกล้กับสายน้ำ เพราะ เป็นพื้นที่ ๆ อุดมสมบูรณ์ และพวกเราก็ไปทำการเพาะปลูกในที่อื่น ต่อมาพวกเราก็เกิดขัดแย้งก้น ท่าน่นบี ซ.ล. จึงห้ามพวก เราจากการกระทำดังกล่าวและใช้ให้พวกเราเช่าแผ่นดินด้วยทองคำและเงิน

[142] ในหะดิษเหล่านี้ บ่งชี้ว่า ยอมให้เช่าที่ดินด้วยทองคำหรือเงิน และสี่งอื่น เช่นผ้า และอาหารที่รู้จำนวนกันดินเป็นทศนะของ อะบูฮะน์ฟะห์และชาฟิอ่ ทั้งสองท่านกล่าวว่า: อนุญาตใต้เช่าที่ดินด้วยทุกสี่ง ยกเว้นด้วยส่วนหนึ่งของที่ดินนั้น หรือส่วนหนึ่ง จากพืชไร่ของที่ดินนั้น เพราะมันเป็น “มุคอบะเราะห’, ที่ศาสนาห้าม เนื่องจาก มีการหลอกลวงกันได้ มาลิกกล่าวว่า ยินยอมให้ เช่าด้วยทองคำและเงิน และต้วยสี่งอื่นๆ ยกเว้น อาหาร อะห์มัด และสานุศิษข์บางคนของมาลิกและชาฟิอีกล่าวว่า ยินยอม ให้ทำ “มุซารออะห์” ได้ ด้วยทองคำและเงิน ด้วยอาหาร ด้วยส่วนหนึ่งที่ได้จากแผ่นดิน และด้วยทุกๆสี่ง ตามหล้กฐานที่ได้ กล่าวมาแล้วจากการกระทำของอัครสาวก และตาบิอีน ร.ฎ. ที่ห้านนั้นก็เพื่อระงับการพิพาทเท่านั้น จึงถือว่าเป็นการห้ามเพื่อให้ ออกห่างไกล นะวะวีย์ได้กล่าวว่า ทัศนะนี้เป็นทัศนะที่เลือกสรรแล้วจากทุกๆทัศนะ เคล็ดลับของมุซารออะห่ ก็คือเพื่อให้เกิด ความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่าย บางที่เจ้าของที่ดินไม่มีความสันทัดในเรื่องการเพาะปลูก และบางที่ผู้ที่สันทัดในการเพาะปลูกก็ เป็นผู้ที่ไม่มีที่ดิน จึงยอมให้ดำเนินการ มุซารออะห์ ได้ เพื่อผลประโยชน์ร่วมก้นของทั้งสองฝ่าย

[143]       มุซากอห์ คือการมอบให้คน ๆ หนึ่งดูแลต้นไม้ที่มีผล ด้วยการรดน้ำและอื่น ๆ ที่จำเป็น โดยแลกเปลี่ยนก้บผลไม้ส่วนหนึ่ง “การกะคะเน” คือ การกะคะเนปริมาณผลไม้บนต้น

[144]        ท่านนบ ซ.ล. ได้แต่งตั้งให้พวกยะฮูด ดำเนินการในที่ดินของพวกเขาต่อไป หลังจากที่ท่านได้เข้าพิชิตแล้ว โดยมอบ ค่าตอบแทนการดำเนินการนึ่ เป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของผลไม้และพิชไร่ที่ผสิตได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็น มุชารออะห์ ที่แบ่งครึ่งของ มุซากอห์

[145]        ชาวอันซอร ได้เสนอต่อท่านนบี ซ.ล. ที่จะให้ชาวมุฮารรีน ได้มีกรรมสิทธิ์ในสวนอินทผลัมของพวกเขา         แต่ท่านนบีไม่ยอม พวกเขาจงกล่าวว่า ให้พวกมุฮายิรีน ดูแลสวนอินทผสัม และพวกเขาก็จะได้ครึ่งหนึ่งของผลผลิต พวกมุฮายิรีนจึง ตอบรับข้อเสนอของพวกเขา

[146]     เคล็ดลับในการคะเน ก็เพื่อรักษาผลไม้ และรู้พิกัดที่จะต้องจ่ายชะกาต เริ่องการคะเนได้กล่าวมาแล้วในเริอง ซะกาฅ หนึ่งวํสก์ ปร ะมาณสองร้อยสี่สิบสิตร

[147]      สุนัขมีไว้เพื่อเฝ้าบ้าน หรือไร่นา หรือสัตว์ หรือมีไว้เพื่อล่าสัตว์ เป็นต้น ที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์ วัวมีไว้ เพื่อ นมของมัน ลูกของมัน และมีไว้ไถ เป็นต้น

[148]       ผู้ใดครอบครองสุน้ขไว้ ไม่'ใช่ เพื่อวัตถุประสงค์ทางศาสนา ผลบุญจากการทำความดีของเขาจะลดหย่อนลงวันละหนึ่ง กิรอต หรือ สองกิรอต

[149]     ประชาชนพากันประหลาดใจที่ว้วพูดได้ ท่านรอซูล้ลเลาะห์ ซ.ล. จึงได้กล่าว ฉันเชื่อว่ามันพูดได้ รวมทั้งอะบุบักร์ และอุม้ร ก็เชื่อ

[150]        เมื่อหมาป่าจ้บแกะไปได้ เจ้าของแกะก็ออกติดตามไปจนเอาคืนมาได้ หมาป่าได้พูดขึ้นว่า ท่านสามารถเอามันคืนไปได้ ในว้นนื้ และใครจะเป็นผู้ดูแลม้นในวันที่ไม่มีใครดูแลมัน นอกจากข้าฯ ในว้นที่ความป่นป่วนวุ่นวายเกิดขึ้นทั่วไป สัตว์เลี้ยงจะถูก ปล่อยทิ้งไว้ตามลำพัง ประชาชนพากันประหลาดใจที่หมาป่าพูดได้ ท่านรอซูลุลเลาะห ซ.ล. ได้กล่าวว่า:ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย

ผู้ที่สามารถให้มนุษย์พูดได้ ย่อมสามารถให้สัตว์พูดได้เช่นกัน ฉันเชื่อเรื่องนี้ รวมทั้งอะบูบักร์ และอุมัรก็เชื่อ โดยบุคคลทั้งสอง ไม่ได้อยู่ที่นั่น เป็นข้อบ่งชี้ถึงความประเสริฐฃองบุคคลทั้งสอง

[151]        ตามตัวบทที่กล่าวนื้ บ่งชี้ว่า ผู้ทิ้เช่าที่ดิน และได้ทำการเพาะปลูกในที่ดินนั้น หรือได้ซื้อต้นพืช หรือผลไม้ หลังจากมัน ใช้การได้แล้ว ต่อมาก็เกิดโรคพืชขึ้น ข้อกำหนดของศาสนาก็คือด้องล้มเลิกค่าเช่าที่ดิน ราคาพืชและผลไม้ เพราะสาเหตุที่เกิด โรคระบาดนั้น นี่เป็นทัศนะของนักวิชาการพวกหนึ่ง และชาฟิอี ตามทัศนะเดิม แต่ชาฟิอีได้มีพัศนะใหม่ และอะบู อะนีฟะห์ว่า ผู้ซื้อด้องชดใช้แต่เจ้าหนี้ควรอลุ้มอล่วย เพราะหะดิษแรก มาลิกได้กล่าวว่า: ถ้าหากถูกโรคต่ำกว่าเศษหนึ่งส่วนสาม ผู้ซื้อด้อง ชดใช้ ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่ด้องชดใช้ นี่เป็นทัศนะของชาวมะดินะห้

[152]        ความมุ่งหมายในที่นี้ก็คือ น้ำและหญ้าที่เกินจากความต้องการของเขา การหวงห้ามมันทั้งสองถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะ อัลเลาะห่ทรงสร้างทั้งสองขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่มวลมนุนย์ ดังนํ้นผู้ใดที่หวงห้ามมันทั้งสอง เท่ากับเขาประกาศตัวเป็นศัตรู กับอัลเลาะห่ในข้อกำหนดของพระองค์

[153]      วายิบต้องให้น้ำที่เหลือจากความต้องการแก่ผู้อื่น เมื่อเขาร้องขอให้คนหรือสํตว์ได้ดื่ม หรือเพื่อต้นพืช ที่เป็นท่ศนะ ของมาลิก ชาฟิอี และ ฮะนะฟีย์ กล่าวว่า ไม่วายิบต้องให้เพื่อรดต้นไม้ เพราะต้นไม้ไม่ใช่สิ่งที่ได้รับการคุ้มครอง แต่ก็ฮะรอมที่จะ ขายให้แก่ผู้มีความต้องการมัน ความหมายของหะดีษก็คือณ ที่แห่งนั้น ที่ทั้งน้ำและทุ่งหญ้า สัตว์จะเข้าไปกินหญ้าในทุ่งนั้นต้อง ผ่านแหล่งน้ำของเขา เขาก็ห้ามสัตว่เข้ามากินน้ำ เพื่อสัตว์จะไม่เลยเข้าไปกินหญ้าในทุ่งนั้น

[154]        ได้กล่าวถึง “คนเดินทาง” เป็นการเฉพาะ ก็เพราะเขาที่ความต้องการน้ำมาก และที่กล่าวถึงการสาบานเท็จ ในเวลาอัสรี เป็นการเฉพาะ ก็เพราะเป็นเวลาที่ มะลาอิกะห่ จะนำอะมัลขึ้นสู่เบื้องบน

[155]        ความมุ่งหมายของทั้งสามสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่ไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของคนใดคนหนึ่ง เช่น น้ำทะเล แม่น้ำ ฝน และตาน้ำ หญ้าที่อยู่ในที่ดินที่ไม่ที่ใครปกครอง ความหมายที่ว่า ไฟ ในที่นี้หมายถึงไม้ฟืนที่ใข้จุดไฟ มนุษย์ทุกคนที่สืทธิ์เท่าเทียมกันในสิ่ง เหล่านี้ นอกเสียจาก เมื่อมีใครคนใดเก็บไว้เป็นกรรมสิทธิ์ ก็ไม่ยินยอมให้เขารุกล้ำเอามา นอกจากจะด้วยความพอใจของเขา แม้ว่าจำเป็นจะต้องให้สิ่งเหล่านี้แก่คนที่มีความจำเป็นก็ตาม

[156]        การตีชิง คือการข่มเหงเจ้าของทรัพย์ แล้วเอาของไป จำเป็นต้องเอาของนั้นคืนแก่เจ้าของ หรือของที่เหมือนกัน หรือราคา ของสิ่งนั้น ตามบ้ญญัติศาสนา

[157]        ไม่มีศรัทธาเลยสำหรับบุคคลที่ได้กระทำสิ่งต้องห้ามเหล่านี้ โดยเขาถือว่าอนุมัติให้กระทำ และถ้าไม่เช่นนั้นเขาก็เป็นผู้ที่ หย่อนศรัทธา

[158]        เมื่อมีผู้ใดประสงค์ภัยต่อชิวิตของท่าน หรึอทรัพย์สินของท่านหรึอศักดิ์ศรึของท่าน จำเป็นท่านต้องขัดขวางเขาด้วย มาตรการที่เบาที่สุดก่อน และถ้าเขายังไม่ยอมหยุดยั้ง ให้ท่านขัดขวางเขาโดยมาตรการที่รุนแรง และถ้าหากท่านสังหารเขา เลือด ของเขาก็เสียไปเปล่าๆ ท่านไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ และถ้าหากเขาสังหารท่าน ท่านก็ตายเป็นชะฮีด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขา ต้องการให้ท่านทิ้งศาสนา เพราะศาสนาเป็นสิ่งที่มีเกียรติยิ่งเหนือสิ่งใด ๆ

[159]        การให้ของตอบแทนนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำเท่านั้น

[160]        ท่านนบี ซ.ล. จะไม่ปฏิเสธ ฮะดียะห์ แม้จะเล็กน้อยก็ตาม และท่านจะไม่ปฏิเสธคำเชื้อเชิญ แม้จะเชิญไปสู่สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม เป็นความถ่อมตนของท่านที่ควรเอาเป็นแบบอย่าง

[161]        หมายความว่า ไม่ควรเหยียดหยาม ผู้ที่นำสิ่งของมา ฮะดียะห์แก่ท่านแม้จะเล็กน้อยก็ตาม และควรที่จะสงวนตัวไม่รับ ฮะดิยะห์ ของผู้ตั้งภาคี

[162]        อัลมะนีฮะห์ คือ อูฐ แกะ หรือวัวที่มีนม ที่มอมให้ผู้อื่นเอาประโยชน์ด้วยน้ำนมของมัน แล้วส่งตัวมันคืนให้เจ้าของ ในสิ่งซึ่งความหมายในที่นี้ คลุมถึงต้นไม้ที่มีผลด้วย

[163]       ไม่ว่าของให้นั้น จะเป็นของให้เฉยๆ หรือเป็นฮะดิยะห์หรือซอดาเกาะห์ เพราะเมื่อผู้รับ รับเอาไปแล้ว ก็ถือว่าตกเป็น กรรมสีทธิ์ของเขา

[164]       นี่เป็นการเปรียมเทียบที่ลึกซึ้ง และบ่งชี้ได้ดีว่าเป็นสิ่งด้องห้าม ดังนั้น การเรึยกเอาสิ่งที่ให้ไปแล้วคืน จึงเป็นสิ่งด้องห้าม (ฮะรอม) ในทัศนะของมาลิกและชาฟิอึ อะบุฮะนีฟ่ะห์ มีทัศนะว่า เพียงมักโรห์เท่านั้น ไม่ถึงขั้นฮะรอม ยกเว้นบิดามารดาที่ได้ให้แก่บุตรของตน ยอมให้เร่ยกเอาคืนได้ แม้จะผ่านพ้นไปนานแล้วก็ตาม เพราะบุตรและสิ่งที่อยู่ในมือของบุตรนั้น เป็น กรรมสิทธิ์ของบิดา

[165]        อุมรอ เช่นคนหนึ๋งกล่าวว่า ฉันให้บ้านหลังนี้แก่ท่าน ชั่วอายุของท่าน อุกบา เช่นคนหนึ่งกล่าวว่า ฉันให้บ้านหล้งนี้แก่ท่าน ถ้าหากท่านตายก่อนฉัน บ้านหลังนี้ก็กลับมาเป็นของฉัน และถ้าฉันตายก่อน บ้านนี่ก็คงอยู่กับท่าน ข้อกำหนดของ อุมรอ และ รุกบา นั้น ก็คือข้อกำหนดในเรื่องการให้ จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับด้วยการรับเอาไป ส่วนค่าที่ว่า “ถ้าหากท่าน ตายก่อนฉัน มันก็กลับมาเป็นของฉัน” นั้นถือเป็นโมฆะ

[166]        หมายความว่า เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา และของลูกของเขา ใครจะมายื้อแย่งไปไม่ได้

[167]        หะดีษเหล่านชี้ชัดว่า การให้แบบ อุมรอ และ อุกบา นี้สิ่งที่ถูกยกให้จะตกเป็นของผู้ที๋ถูกยกให้ และลูกหลานของเขา แม้ว่าผู้ทึ๋ยกให้จะตั้งเงื่อนไขว่า เอาคืนก็ตาม เงื่อนไขนั้นถือเปีนโมฆะ และแม้ว่าเขาจะกล่าวเพียงว่า ฉันยกบ้านนี่ให้ท่านชั่วอายุ ของท่าน” ก็ตาม นี่เป็นทัศนะของ นักวิชาการส่วนใหญ่ อะบูฮะนีฟ่ะห่และชาฟิอี มาลิกกล่าวว่า การให้แบบอุมรอนั้น เป็น การให้ครอบครองผลประโยชน์เท่านั้น ไม่ใช่ให้ครอบครองว้ตถุ อะห์มัดกล่าวว่า การตั้งกำหนดเวลาใช่ไม่ได้ เพราะขัดกํบ ความหมายของถ้อยคำ

[168]        นี่เป็นการว่น์จฉิยของ ญาเบร เอง และ ซุห็รีย์ ก็มีความเห็นคล้อยตาม แต่ไม่ไปจำกัดความของหะดีษก่อน นี่มีความหมาย กว้างๆ

[169]        ค่าที่ว่า “นั้นมันเปีนสิ่งที่ห่างไกลยิ่งแก่ท่าน” ก็คือการที่ท่านจะเอาสวนคืนมานั้น เป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะหล่อนได้รับเอาไปจากท่านแล้ว และการทำทาน ซอดะเก๊าะนั้น จะเข้าครอบครองได้ก็ด้วยการรับนี่เป็นการสนับสนุน ทัศนะนักวิชาการส่วนใหญ่

170   ท่านนบี ซ.ล. ต้องการจะมอบที่ดินที่ บะห์รอยน์ ให้แก่พวกอันซอร พวกเขาได้กล่าวว่า ถ้าเป็นไปได้ ก็ควรให้พี่นอง ของเราคือพวกมุฮาญิรีน ได้มีสิทธิ์ร่วมก้บพวกเราด้วย แต่ที่ดินมีไม่พอจะแบ่งให้แก่ทั้งสองพวก ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ต่อไป พวกเจ้าจะได้พบเห็นการกีดก้น ดังนั้นพวกเจ้าจงบีควานอดทน จนกว่าจะไปพบก้บฉันพี่สระน้ำ ในว้นกิยามะห์ และพวกเจ้าก็ จะได้รับผลบุญอย่างสมบูรณ์

202 ฮัดรอเมาต์ เป็นเมื่องหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ ยะมัน 203 เป็นคำถามว่า จะเพิ่มให้ท่านอีกไหม ถ้าหากท่านต้องการ

[171]        กอบะลียะห์ เป็นซื้อสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ชายทะเล มีระยะทางห่างจากนครมะดินะห์เป็นเวลาเดินทางห้าวัน

[172]        หมายความ นอกจากที่ ๆ เป็นกรรมสิทธิ์ของมุสลิม ก็จะไม่เข้าอยู่ในการให้นี้

[173]        การวักฟ์ คือการ ก้กก้นทรัพย์ที่สามารถเอาประโยชน์ได้ พร้อมก้บตัวทรัพย์นั้นไม่สลาย         เพี่อเอารายได้ของทรัพย์นั้นใข้จ่ายไปในทางที่ดี เป็นการทำต้วให้เข้าใกล้ชิดอัลเลาะห์ ตาอาลา

  1. ทานพี่หลั่งไหล ก็คือการวักฟ์

[175]        และรวมถึงสิ่งที่อยู่ในที่ตินทั้งต้นไม้และอาคาร

[176]        จงดำเนั้นการให้เป็นไป ตามความประสงค์ของท่านเถิด

[177]        และในบางรายงานว่า อะบูตอลฮะห์ ได้มอบมันให้แก่ ฮัซซาน บุตรซาบิต อุบัยย์ บุตร กะอับ และคนอื่น ๆ ที่เป็น วงศ์ญาติใกล้ชิดของเขา เป็นไปตามที่ท่านนบี ซ.ล. ให้คำแนะนำ

[178]       หมายความว่า ถ้าหากท่านต้องการ กีให้กักเอาที่ดินไว้ และใช้ผลผลิตจากที่ตินนั้นทำทาน โดยจะทำทานเฉพาะผลที่เกิด จากที่ตินนั้นเท่านั้น โดยที่ดินยังคงเป็นของเจ้าของอยู่ตามเติม

[179]        เป็นการบรรยายคำที่ว่า ให้กักต้นมันไว้ ซึ่งเป็นคำพูดของท่านนบี ซ.ล.

[180]        คือไม่ใช่เป็นผู้ที่จะยึดเอามันเป็นกรรมสิทธิ์

[181]       คำที่ว่า “หากเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ขึ้น" หมายถึงความตาย “ซัมม์” กับ “ซิรมะห์" ทั้งสองนี้เป็นทรัพย์สินที่รู้กันดีฃองอุมัร อยู่ที่นครมะคีนะห์ หรือความหมายทว่า “ซิรมะห์” ในที่นี้คือ สวนอินทผลัมแปลงเล็กๆ หรือ หมายถึงอูฐฝูงเล็กๆ และ“ร้อยส่วน ที่คอยบัร” ซึ่งเขาได้อุทิศไว้ในสมัยท่านนบี ซ.ล. และ “อีกหนึ่งร้อย (วัสก์)" ซึ่งเป็นส่วนได้ของเขา ที่วาดีย์ เป็นตำบลหนึ่ง ตั้ง อยู่ระหว่างมะคีนะห์ กับ ชาม หมายความว่า ทั้งหมดที่กล่าวนี้ อุทิศเป็นวักฟ์ให้แก่ ฮ้ฟเซาะห์ บุตรสาวของอุมัร ร.ฎ.

[182]        ในบางรายงานว่า สวนแห่งนั้นเป็นของเด็กกำพร้าสองคน จากตระถูลบะนึ อันนัจญาร แต่ท่านนบีไม่ยอมรับ นอกจาก ต้องจ่ายราคา และท่านก็ได้ซื้อมันด้วยราคา สิบดินาร์ โดยอะบูบักร์ ร.ฎ. ได้จ่ายราคาแทนท่านนบื และได้มีการขัดแย้งกันว่า ใครเป็นผู้สร้างมัสญิด และไม่มีตัวบทชี้ชัดว่า มัสญิดถูกอุทิศ (วักฟ์) ในทัศนะของน้กวิชาการส่วนใหญ่ ว่าจะไม่ปรากฏการวักฟ์ นอกจากต้องพูดออกมาอย่างซัดเจนว่าเป็นวักฟ์ ในทัศนะของอะบูฮะนีฟะห์ว่า ถ้าพวกผู้นำอนุญาต ให้เข้าไปละหมาดในมัสญิด ก็ถือว่าเป็น วักฟ์ และถ้าหากไม่เช่นนั้น ก็ถือว่าไม่เป็นวักฟ์

[183]        ของตก คือ สิ่งที่ถูกเก็บได้ เป็นทรัพย์ที่สูญหายไป เป็นสิ่งที่ศาสนาคุ้มครอง ไม่สามารถใช้กำลังป้องก้นเองได้ ผู้เก็บ ได้ถือเป็นผู้ที่รักษาของตกนั้น เขาจะเข้าครอบครองทันภายหลังจากได้ทำการประกาศแล้ว พร้อมทั้งด้องชดใช้ในกรณีที่ปรากฏตัวเจ้าของ

[184]        ผู้ใดเอาของตกไว้โดยไม่ประกาศ ผู้นั้นก็หลงไปจากทางที่ถูกด้อง เพราะไม่ประกาศตามคำสั่งของศาสนา การประกาศ ก็คือ ตัวผู้เก็บของตกได้หรือผู้แทนป่าวประกาศในที่ๆ พบ และในที่ชุมนุมชนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงนั้น เข่นที่ตลาด และประตู มัสญิด โดยประกาศว่า ใครที่มีสิ่งใดหายไปให้มาติดต่อกับช้าพเจ้า และถ้าหากเขาพบมันตามทาง หรือในที่โล่งๆ ให้เขาป่าว ประกาศมัน ในเมืองที่เขาตั้งใจจะไป ที่อยู่ใกล้ๆนั้น ไม่ควรที่จะประกาศเรืองของหายในมัสญิด ดังได้กล่าวมาแล้วในเรืองระเบียบ ของมัสญิด

[185]       หมายความว่าให้รู้จักมันอย่างดี เพื่อไม่ให้สับสนกับของอื่น และจนเมื่อเจ้าของมันมา เขาก็จะรู้ว่าเป็นเจ้าของจริงหรือเท็จ และหลังจากนั้นก็ให้ทำการป่าวประกาศ มีกำหนดหนึ่งปีจันทรคติ              ซึ่งถือว่าเป็นการเพียงพอแล้ว เพราะมันครอบคลุมถึงฤดูกาลทั้งสิ่ และเพราะเจ้าของมันจะออกตามหาอย่างจรืงจัง ก็ในช่วงหนึ่งปีนี้ แล้วก็จะลืมมันเป็นส่วนใหญ่ และถ้าหากปรากฏ ตัวเจ้าของ และสามารถบอกลักษณะได้ลูกด้อง เจ้าของก็จะรับเอาคืนไป และถ้าไม่ปรากฏตัวเจ้าของ ผู้เก็บก็จะเข้าครอบครอง พร้อมทั้งต้องชดใช้ (เมื่อมเจ้าของมาปรากฏตัว)

[186]        ท่านนบีฅอบว่า “มันเป็นของหมาป่า” คือหมาป่าจะกินมัน ถ้าท่านปล่อยมันไว้ ที่ดีแล้วให้เอามันมา และมันก็จะเป็น กรรมสิทธิ์ของท่าน ถ้าหากไม่ปรากฏตัวเจ้าของหลังจากได้ประกาศแล้ว หรือจะเป็นของเจ้าของถ้าเจ้าของมาปรากฏตัว ซึ่งทั้ง สองกรณีนี้ เป็นการดียิ่งกว่าปล่อยให้เป็นของหมาป่า

[187]        ท่านนบีตอบว่า “ท่านไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งเกี่ยวกับมัน มันมีถุงน้ำของมัน และมีรองเท้าของมัน” หมายความว่า เมื่อมัน กระหาย มันก็สามารถเดีนไปยังแหล่งน้ำ เพื่อดื่มน้ำเองได้ และที่เหมือนกับอูฐ ในเรื่องนี้ก็คือ สัตว์ที่สามารถใช้กำลังป้องกัน ตนเอง จากสัตว์ร้ายได้ เข่น วัว และม้า หรือด้วยการวิ่ง เช่น เก้ง และกระต่าย หรือด้วยการบิน เช่น นกพิราบ สัตว์ทั้งหมดนี้ไม่ยินยอม ให้เก็บเอามานอกจากเก็บเอามาเพึอประกาศ เพราะสัตว์เหล่านี้สามารถคุ้มครองตัวเองได้ จนกว่าเจ้าของของมันจะมาพบ

[188]       หะตีษนี้ชี้ชัดว่า ของตกนั้น เมือพ้นเวลาของการป่าวประกาศไปแล้ว ก็จะกลายเป็นสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของผู้เก็บ เมือปรากฏตัวเจ้าของ ก็คืนมันให้ไป หรือคืนสิ่งที่เหมือนกัน หรือคืนราคาของมัน โดยเจ้าของต้องออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แก่ผู้ที่เก็บได้

[189]        ที่ใช้ให้ทำทาน ก็เพื่อสงวนตัวเท่านั้น และถ้าไม่เข่นนั้นก็ยอมให้ดำเนินการได้ตามต้องการ ดังได้กล่าวมาแล้ว, สองหะตีษ ก่อนชี้ว่า ระยะเวลาของการประกาศเรื่อง เก็บของตกมีกำหนดหนึ่งปี ไม่ว่าของที่เก็บได้นั้นจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม แต่ไม่จำเป็น ต้องประกาศทั้งปี ให้ประกาศในสัปดาห์แรกทุกวัน วันละสองครั้ง คือในตอนเช้าและตอนเย็น ในส้ปดาห์ที่สอง ว้นละหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นให้ประกาศสัปดาห์ละสองครั้ง จากนั้นเดือนละสองครั้ง จากนั้นก็เดือนละหนึ่งครั้ง และให้ถือประเพณีในเรื่องดังกล่าว ที่เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ และตามตัวบทของอะห์มัด และบัยฮะกีย์ ว่า ระยะเวลาในการประกาศนั้นให้พิจารณาราคา ของแต่ละสิ่ง เข่น เหรืยณูเงิน(ดิรฮัม) ให้ประกาศสามวัน ครึ่งเหรืยญทอง (ดีนาร์) ให้ประกาศหนึ่งสัปดาห์ แกะ ประกาศสาม สัปดาห์ โดยพิจารณาราคาของแต่ละสิ่งเป็นเกณฑ์กำหนดระยะเวลาประกาศ แต่ก็ไม่เกินหนึ่งปี ที่เป็นทัศนะของนิกวิชาการบางท่าน และมืบางท่านกล่าวว่า สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต้องประกาศ เพราะมืหะตีษ อะห์มัด และ อะบี ดาวูด เล่าจากญาบิรว่า ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้ยอมผ่อนผันให้พวกเรา ในไม้เรืยว เชือก และสิ่งที่คล้ายคลึงกันนี้ที่ชายคนหนึ่ง เก็บมันมาได้ไห้เขาเอา มันไปใช้ประโยชน์ได้ อะบูฮะนิฟะห์ และมีนักวิชาการอีกบางท่านมีทัศนะว่า สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ให้ประกาศสามวัน เพราะมีหะดีษ ตีรมิซีและคนอื่น ๆ ว่า อะลี ร.ฎ. ได้มาหาท่านนบี ซ.ล. พร้อมต้วยเหรืยญทอง (ตีนาร์) ที่เขาเก็บมาได้ไนตลาด ท่านได้กล่าวว่า จงประกาศมัน ต่อมาอะลีก็ไม่พบเจ้าของ จ่งได้ถามท่านนนิ ซ.ล. ท่านกล่าวว่า ท่านจงใช้มันหาความสุขเถิด อารมณ์จะโห้มเอียงเขา หาทัศนะที่ว่า “ให้พิจารณาแต่ละสิ่งตามขนาดของมัน” และหะดีษนี้ จะจำกัดความของรายงานอีนๆ อีบนุรอสะสานได้กล่าวว่า: เป็นสิงที่ควรใช้ปฏิบ้ติ เพราะการประกาศสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เป็นเวลาหนึ่งปีนั้น ทำให้ประชาชนได้ร้บความลำบาก และจะทำให้ สิ่งนั้นเสียหายขึ้นได้

[190]         ด้วยสายรายงานที่หะซ้น และจำเป็นต้องประกาศหนึ่งปี หรือ ไม่ถืงหนึ่งปี ในกรณ์ที่ฃองตกนั้นสามารถอยู่ได้โดยไม่ เสียหาย แต่ถ้าหากของตกนั้น เป็นสิงที่รับประทานได้ และจะเสียหายโดยเร็ว เข่น อีนทผลํมสด และองุ่นสด เป็นต้น ก็ให้ ประกาศ จนกลํวว่าฟ้นจะเสีย ก็ให้ด่าเนินการต้วยการรับประทานหรือทำทาน หรืออื่นๆ ต่อมาถ้าเจ้าของปรากฏตัว ก็ให้ชดใช้ แก่เขา และถ้าหากผู้เก็บต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลสิ่งที่เก็บตกได้ ก็ให้เรืยกร้องเอาจากเจ้าของของมัน ถ้าหากเจ้าของมาปรากฏตัว ยกเว้นในกรณีที่เขาได้ประโยชน์จากมันแล้ว ด้วยการขี่หรือนม ผลประโยชน์นั้นก็เท่ากํบเป็นค่าตอบแทนการดูแล

[191]        การรีดนมสัตว์ ของคนอื่น โดยไม่ได้ร้บอนุญาต ถือเป็นส่งต้องห้าม (ฮะรอม) ถ้าหากไม่พบเจ้าของสัตว์ และเรามีความเดือดร้อนอย่างที่สุด ก็ให้รีดนมและดื่มเท่าที่จำเป็น โดยไม่ต้องรับภาระใดๆ

เดือดร้อนอย่างที่สุด ก็ให้รีดนม และดื่มเท่าที่จำเป็น โดยไม่ต้องร้บภาระใดๆ

[193]        คือข้อกำหนดที่จะเกิดความยุติธรรมในการแบ่งมรดก บางท่านกล่าวว่า ข้อกำหนดที่เที่ยงธรรมคือ อิจมาอ บางท่านว่าคือ กิยาส เพราะเป็นหน้าที่ของนัถวิขาการ ในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

[194]        บางรายงานว่า ทรัพย์สินนั้น คือ ทาส

[195]        ในบางรายงานว่า “จงให้ผู้อนเป็นพยานเถิด เพราะฉันจะไม่เป็นพยานให้ในเรื่องการล่าเอียง และในอีกรายงานหนึ่งว่า “จงเอามันคืน ดังนั้นการให้บุตรไม่เท่าเทียมกันนั้น เป็นมักโรห์ เพราะท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า จงให้ผู้อื่นเป็นพยานเกิด” และ ถ้าหากมันเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) แล้ว ท่านก็จะต้องบอกว่าเป็นสงต้องห้าม การล่าเอียงไม่ว่าจะเปีนสิ่งต้องห้ามที่ฮะรอม หรือ มักโรห์ ท่านนบี ซ.ล. จะไม่กระทำ และคำสั่งที่ว่า “และจงยุติธรรมในบรรดาบุตรของพวกท่าน” เป็นคำสั่งที่ควรปฎบัติเท่านั้น และคำที่ว่า “จงเอามันคืน" นั้นเป็นคำแนะน่าให้ปฎบัติสิ่งที่สมบูรณ์ นั่นคือ ความยุติธรรมในระหว่างลูกๆ และเพราะนักวิชาการลงความเห็นกันว่า ยอมให้คน ๆ หนึ่งยกทรัพย์สืนทั้งหมดของตน ให้แก่ผู้อื่นที่ไม่ใช่เป็นบุตรได้ ในเมื่อการกีดกันทร้พย์ทั้งหมดยังเป็นสิ่ง อนุมัติ การให้แก่บุตร โดยมีการเกินเลยกันนั้น ก็ยิ่งสมควรต้องอนุมัติ นี่เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ แต่มีนักวิชาการ บางท่านว่า การให้แก่บุตรโดยไม่เท่าเทียมกันนั้น เป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) โดยมีหลักฐานว่า ท่านนบี ซ.ล. ไม่ยอมเป็นพยานให้ และเพราะท่านนบีใข้ให้เอาคืน      และเพราะการล่าเอียงนั้นปรากฎชัดว่าเป็นการทุจริต ดังนั้นการให้โดยไม่เท่าเทียมกัน จงถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม โดยมีหลักฐานต่างๆเหล่านี้ และถือว่า การให้อย่างเท่าเทียมกันนั้นเป็นฟัรฎู แต่ก็มีการขัดแย้งกันในเรื่อง ความเท่าเทียมที่ บางท่านกล่าวว่า ให้ผู้ทญ่งได้เท่าเท่ยมกับผู้ชาย เพราะมีหะดีษต็อบรอนี และบัยฮะกิว่า ท่านทั้งหลายจงให้ ลูก ๆ เท่าเทียมกัน และถ้าหากท่านจะให้ผู้ใดได้มากกว่า ก็ควรให้ผู้หญ่งไต้นากกว่า อะห์มัด กล่าวว่า ให้ผู้หญ่งได้ครึ่งหนึ่งของ ที่ผู้ชายได้ เพราะเป็นส่วนที่ผู้หญ่งจะได้หลังจากเจ้าของมรดกตาย

[196]     คือ จะไม่มีผู้ใดขอแต่งงานกับเธอทั้งสอง นอกจากเธอทั้งสองจะมีทรัพย์

[197]     นี่ไม่ขัดกับหะดีษก่อน ที่ว่า อายะห์นี้ลงมา เป็นคำตอบคำถามของ ญาบิร เพราะอาจเป็นไปได้ว่า คำถามทั้งสองนี่ใกล้ เคียงกัน อายะห์นี้จึงลงมาภายหลังคำถามทั้งสอง

[198]     คำที่ว่า “จงมอบให้มารดาของเขาทั้งสอง เศษหนี่งส่วนแปด” เพราะอัลเลาะห์ตาอาลา ทรงตรัสว่า - ดังนั้นถ้าหากพวก ท่านมีบุตร พวกหล่อน - หมายถึงภรรยา - ก็จะได้เศษหนี่งส่วนแปดของสิ่งนี่พวกท่านทิ้งไว้ – และคำที่ว่า “และส่วนที่เหลือ ตกเป็นของท่าน” ด้วยการได้มรดกอย่างไม่มีส่วนกำหนดตายตัว (ตะอฺซีบ) เพราะมีหะดีษกล่าวว่า พวกท่านจงให้ส่วนกำหนด ตายตัวแก่ผู้ที่มีสิทธิ์ และส่วนที่เหลือนั้น ตกเป็นของผู้ชายที่อยู่ในลำดับดีที่สุด” เคล็ดลับที่ผู้ชายได้เท่ากับส่วนได้ของผู้หญิง สองคนนั้น ก็เพราะผู้ชายด้องเป็นผู้รับผิดขอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของครอบครัว ของบุตร และช่วยเหลือผู้นำด้วยทรัพย์สินเพื่อ ประโยชน์ส่วนรวมต่างๆ สำหรับผู้หญิงนั้นไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ จากที่กล่าวนั้น และยิ่งไปกว่านั้น ค่าใช้จ่ายของตัวเอง สามี ก็เป็นผู้รับผิดชอบ

  1. และโดยไม่มีสิ่งใดตกเป็นของลูกสาวของบุตรชาย (คือหลานสาวของผู้ตายที่เกิดจากลูกผู้ชายของผู้ตาย) ตามที่ อะบู มูชา ร.ฎ. เข้าใจ

[200]    ถ้าหากฉันมีความเห็นตรงกับอะบู มูซา

[201]        ความหมายก็คือถ้าปรากฏว่าทารกนั้นมีชีวิต ก็จะได้มรดก เครื่องหมายการมีชีวิตของทารก                      ก็คือส่งเสืยง หรือหายใจ หรือจาม หร่ออื่นๆ นี่เป็นทัศนะของเซารีย์ เอาซาอีย์ ชาฟิอี และสานุศิษย์ของอะบุฮะนีฟะห์ นักวิชาการ อื่น ๆ กล่าวว่า คือ การส่งเสียงอย่างเดียว และพอเพียงที่จะยืนยันในเรื่องนี่แล้ว ผู้หญิงที่มีคุณธรรมหนี่งคน มาลิกกล่าวว่า ต้องผู้หญิงที่มึคุณธรรมสองคน ชาฟิอี กล่าวว่า ต้องผู้หญิงที่มีคุณธรรมสี่คน ถ้าหากคนหนี่งเสียชีวิต โดยที่ทายาทของเขายัง อยู่ในท้อง หรือในจำนวนทายาทนั้นมีทารกที่ยังอยู่ในท้อง ก็จะต้องระงับการแบ่งมรดกไว้ก่อนจนกว่าจะคลอด นี่เป็นมติของ มวลมุสลิม

[202]     มารดาจะได้รับเศษหนึ่งส่วนหกของมรดกที่บุตรทิ้งไว้ ถ้าหากผู้ฅายมีบุตร หรือพี่น้องหลายคน และถ้าไม่เช่นนั้นมารดาก็ จะได้เศษหนึ่งส่วนสาม บิดาจะได้รับเศษหนึ่งส่วนหกของมรดกที่บุตรทิ้งไว้ ถ้าหากผู้ตายมีบุตร และถ้าหากผู้ตายไม่มีบุตร บิดา ก็จะได้มรดกที่เหลือทั้งหมด หลังจากทายาทที่มีสิทธิ์ในส่วนที่กำหนดตายตัวได้รับเอาไปแล้ว และถ้าไม่มีทายาทอื่น บิดาก็จะได้ ทรัพย์ทั้งหมด ถ้าหากมีพี่น้องของผู้ตายร่วมกับบิดา พ่อก็จะกันพี่น้องไม่ให้ได้รับสี่งใดเลย

[203]       เศษหนี่งส่วนแปดเป็นส่วนที่กำหนดให้แก่ภรรยาในกรณีที่สามี่มีบุตร และถ้าสามี่ไม่มีบุฅร ภรรยาก็จะได้เศษหนี่งส่วนสี่ ครึ่งหนึ่งเป็นส่วนที่กำหนดใต้แก่สามี่ในกรณที่ภรรยาไม่มีบุตร และถ้าภรรยามี่บุฅร สามีก็จะได้เศษหนี่งส่วนสี่

[204]     คือ พี่น้องพ่อเดียวแม่เดียวกัน หรือไม่ใช่ และอธิบายคำว่า กะลาละห์

[205]     คำว่า กะลาละห์ คือ พี่น้องผู้หญิงเจ็ด หรอเก้าคน ดังปรากฏในสายรายงานหนึ่ง จึงได้ลงมาว่า พวกเราจะขอคำชึ้แจงจากท่าน, ท่านจงกล่าวว่า อ้ลเลาะห์จะทรงชี้แจงในเรื่องกะลาละห์ คือถ้าหากคนๆ หนึ่งเสียชีวิต โดยไม่มีบุตร แต่เขามีพี่น้อง ผู้หญิงคนหนึ่ง หล่อนก็จะได้ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่คนๆ นั้นที่งไว้ และคนๆ นั้นก็จะได้มรดกของหล่อน ถ้าหากหล่อนไม่มีบุตร และ ถ้าหากหล่อนมีสองคน คือ พี่น้องผู้หญิงมีสองคน คือ หรือมากกว่า หล่อนทั้งสองก็จะได้เศษสองส่วนสามจากสิ่งที่เขาที่งไว้ และถ้าหากพวกเขาเป็นพี่น้องทั้งชายและหญิง ผู้ชายก็จะได้เท่ากับส่วนได้ของผู้หญิงสองคน

[206]     “อายะห์ที่ลงในฤดูร้อน" คือ อายะท่ที่ว่า พวกเขาจะมาขอคำชี้แจงจากท่าน ท่านจงกล่าวว่า อ้ลเลาะห์จะทรงชี้แจงใน เรื่องกะลาละห์ – อายะห์นี้ลงมาในฤดูร้อนอยู่ในซูเราะห์ อ้นนิซาอฺ ส่วนอายะห์แรกลงในฤดูหนาว

[207]     คือที่พวกเขาเข้าใจกัน ในต่วบทเหล่านี้ระบุว่า กะลาละห์นั้นคือ บุคคลที่ตายไปโดยไม่ที่งบรรพบุรุษ และลูกหลานไว้

ที่เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ มีบางทัศนะว่า คือ คนที่ไม่มีพ่อเท่านั้น และบางทัศนะก็ว่า คือ คนที่ไม่มีลูกเท่านั้นและยังมีทัศนะอื่น ๆ อีก

[208]    คือท่านได้ตัดสืนให้ชำระหนี้ที่ติดอยู่กับกองมรดกก่อนที่จะจัดการกับพินัยกรรม เพราะการชำระหนี้นั้นเป็นสิ่งจำเป็น (ฟัรฎู) ส่วนพินัยกรรมนั้นเป็นความสมัครใจ

[209]     หมายความว่า พี่น้องผู้ชายพ่อเดียวแม่เดียวกันจะกีดกัน พี่น้องผู้ชายพ่อเดียวกันไม่ให้ได้มรดก และลูกของพี่น้องผู้ชาย พ่อเดียวแม่เดียวกันก็จะกีดกัน ลูกของพี่น้องผู้ชาย พ่อเดียวกันไม่ให้ได้มรดก, ลุงและลูก ๆ ของลุงก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน ที่เป็นความเห็นตรงกันของนักวิชาการ

[210]     ด้วยสายรายงานที่ดออีฟ แต่นักวิชาการให้การยึดถือ

[211]     เศษหนึ่งส่วนสิ่ เป็นส่วนที่กำหนดให้แก่สามีจากมรดกของภรรยา ในกรณีที่ภรรยามีบุตร ที่เกิดจากสามีนั้น หรึอสามีอื่น และถ้าภรรยาไม่มีบุตร สามีก็จะได้เศษหนึ่งส่วนสอง, ภรรยาคนเดียวหรือหลายคน จะได้เศษหนึ่งส่วนแปดจากกองมรดกของ สามี ถ้าหากสามีมีบุตร ที่เกิดจากภรรยานั้น หรือภรรยาอื่น และถ้าไม่มีบุตรภรรยาก็จะได้เศษหนึ่งส่วนสิ่, การแบ่งมรดกจะยังไม่ เกิดนอกจากจะได้ใช้หนี้ และจัดการตามพินัยกรรมเสียก่อน

[212]     คือ ทายาทอะซอบะห์ จากฝ่ายบิดา จะต้องช่วยดิยะห์ (คือ ค่าเสียหายที่จ่ายใต้แก่ฝ่ายของผู้ที่ถูกฆ่าตาย) ในกรณีของการฆ่าที่เกิดขึ้นจากการพลาดพลั้ง อุมัรได้กล่าวว่า ทายาฑอะซอบะห์ เมื่อต้องเป็นผู้จ่ายดิยะห์ในกรณีของการฆ่าที่เกิดขึ้นจากการ พลาดพลั้ง แทนให้แก่พวกของเขาที่ฆ่า พวกเขาก็จะได้ดิยะห์ ในกรณีที่พวกของเขาถูกฆ่า โดยภรรยาจะไม่ได้รับ แต่ดอห์หาก ได้กล่าวแก่อุมัรว่า           ท่านรอซูลัลเลาะข่ ซ.ล. ได้มีสาส์นมาถึงข้าพเจ้าแจ้งว่า ให้ข้าพเจ้าให้ภรรยาของอัชยัม อ้ดดวบบาบีย์ รับมรดกจากดิยะห์ สามีของนาง อุมัร ร.ฎ. จึงคืนคำ ในท้ศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ถือว่า ดิยะห์นั้น ตกเป็นของผู้ที่ถูกฆ่า เป็นอันดับแรก หลังจากนั้นก็ย้ายไปสู่ทายาทของผู้ที่ถูกฆ่า เหมือนกับสิทธอื่นๆ และได้รายงานจากอะลี ร.ฎ. ว่า เขาไม่ให้ พี่น้องแม่เดียวกัน และภรรยาและสามี ได้รับมรดกจากดิยะห์เลย

[213]    ปู่ คือพ่อของพ่อ ย่า คือแม่ของพ่อ ยาย คือ แม่ของแม่

[214]     รูปแบบของปัญหานี้ก็คือ คนตายได้ที่งบุตรสาวไว้สองคน และปู่ ท่านนปี ซ.ล. จ่งให้ปู่ได้รับเศษหนึ่งส่วนหกเป็นส่วน กำหนดตายตัว และบุตรสาวสองคนได้เศษสองสํวบสาม ก็ยังคงเหลืออีกเศษหนึ่งส่วนหก ท่านจึงให้แก่ปู่ เป็นส่วนที่ไม่กำหนด

[215]    ปู่ร่วมก้บพี่น้องสองคนขึ้นไป แม้จะเป็นพ่อเดียวกันกับผู้ตาย ปู่จะได้เศษหนึ่งส่วนสาม

(206) ได้ม่ย่า (แม่ของพ่อ) มาหาอะบุ บักร์ ร.ฎ. ขอสิทธิ์ของหล่อนจากกองมรดกของหลานผู้ชายของหล่อนที่เกิดจากถูกชาย อะบู บักร์ได้ถามประชาชนจึงรู้ว่า หล่อนมีสิทธิ์ได้เศษหนึ่งส่วนหก จากกองมรดกจงให้แก่หล่อนไป ต่อมาได้มียาย (แม่ของแม่) มาหาอุม้ร ร.ฎ. ขอสิทธิ์ของหล่อนจากกองมรดกของหลานผู้ชายของหล่อนที่เกิดจากลูกผู้หญิง อุม้รได้กล่าวแก่หล่อนว่า ไม่มี ระบุอยู่ในอ้ลกุรอานว่า เธอจะได้สิ่งใด และได้ตัดสินมาก่อนแล้วว่า ให้มอบเศษหนึ่งส่วนหกแก่ย่า (แม่ของพ่อ) และหล่อนก็ ได้เอาไปแล้ว ถ้าหากเธอทั้งสองอยู่พร้อมกันในเวลาเดียวกัน เศษหนึ๋งส่วนหกก็จะตกเป็นของเธอทั้งสองคนละครึ่งหนึ่ง และ บุคคลใดที่ได้เศษหนึ่งส่วนหกไปก่อน อีกคนหนึ่งก็จะไม่ได้อะไรเลย

[217]    เงื่อนไขที่ยายจะได้มรดกทั้น คือ จะต้องไม่มีแม่ของผู้ตาย ล้ามีแม่ของผู้ตายอยู่ ก็จะกีดกันไม่ให้ยายได้รับมรดก เช่นเดียวกับ พ่อของผู้ดายจะกีดกันไม่ให้ปู๋และย่า ได้มรดก

[218]     คำว่า วะลาอ คอสีทธิที่นายผู้ปลดปล่อยทาสจะได้รับมรดกของทาสที่ถูกปลดปล่อยนั้น และรวมถึงทายาทของผู้เป็นนาย ที่มีสิทธิ์ได้มรดกที่ไม่มีส่วนกำหนดตายตัว (อะซอบะห์) ด้วยตัวเอง

[219]     คือ ผู้จ่ายราคา และซื้อทาส และให้ความโปรดปรานแก่ทาสด้วยการปลดปล่อยไป

[220]     เพราะทาสนั้นจะใชสกุลของทวกเขา ใช้ชื่อเผ่าของพวกเขา และพวกเขาจะได้มรดกของทาสที่ปอดปล่อยไป ถ้าหากทาส นั้นไม่มีทายาท

[221]     “เด็กที่หล่อนเก็บมาเลี้ยง คือ เด็กที่หล่อนพบว่าถูกที่งไว้ตามทางสัญจร โดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อแม่ และหล่อนได้เก็บมา เลยงดู ดังนั้น ผู้ใดเก็บเด็กมาเลี้ยงไว้ เม่อเด็กนั้นโตขึ้นมีทรัพย่สมบ้ติแล้วตายไป โดยไม่มีทายาท มรดกนั้นจะตกเป็นของผู้เก็บ มาเลี้ยง ที่เป็นทัศนะของอีสหาก อิบนุ รอฮุวัยฮ์ แต่นักวิชาการโดยทั่วไป กล่าวว่า คนที่เก็บมาเลี้ยง จะไม่ได้มรดกของ เด็กนั้น เพราะไม่มีวงศ์ตระกูลเที่ยวข้อง ไม่มีการนิกาห์ และไม่มีสิทธิ์ในเรื่องวะลาอ ซึ่งทั้งสามประการนี้ เป็นสาเหตุที่จะให้ได้ รับมรดกจากกันและกัน แด่ทรัพย์ฃองเด็กนั้น จะตกเป็นของ บัยตุ้ลมาล “ลิอานก้นกับสามี" คือ การสาปส่งไม่ขอเป็นสามี ภรรยาก้นอีกต่อไป อันเนื่องมาจากสามีกล่าวหาภรรยาของตนว่ามีชู้ และปฏิเสธลูกที่เกิดจากภรรยาว่าไม่ใช่ถูกของตน ลูกที่ลูก ปฏิเสธนั้นจะใข้สกุลของแม่ และมีสิทธิ์ได้รับมรดกจากกันและกันกับแม่เท่านั้น ดูรายละเอียดในเรื่องลิอาน

[222]     คำว่าเครือญาติ ในที่นี้ คือ ญาติใกล้ชิดของผู้ตายที่ไม่มีส่วนได้ในกองมรดกอย่างไม่ตายตัว (ฟัรฎู) และอย่างไม่ตายตัว (อะ ซอบะห์) เช่น บุตรชายหญิงของบุตรสาวผู้ตาย บุตรชายหญิงของบุตรสาวของบุตรชายผู้ตาย แม้จะทอดสูงขึ้นไป และเช่น บุตรของพี่ หรือน้องสาวผู้ตาย บุตรสาวของพี่ หรือ น้องชายผู้ตาย และเช่น ป้า และลูกๆของป้า แม้จะทอดต่ำลงไป

[223]    หมายความว่า เขาจะได้รับประโยชน์ในสิ่งที่พวกเขาได้รับ และต้องรับภาระในสิ่งที่พวกเขาร้บภาระ ตามต้วบทของหะดีษนื้ บ่งชี้ว่า บุตรชายของพี่หรือน้องสาว (ของผู้ตาย) จะมีสิทธได้รับมรดก

[224]    คือ ผู้ใดเสียชิวิตไป โดยทิ้งหนี้สินไว้ยังไม่ได้ชำระ และทิ้งครอบครัวไว้ ข้าพเจ้าจะชำระหนสินของเขา และจ่ายค่าเลี้ยงดู แก่ครอบครัวของเรา

[225]     คำที่ว่า "จ้าพเจ้าเป็นผู้ปกครองของผู้ที่ไม่มีผู้ปกครอง” คือ จ้าพเจ้าจะรับมรดกทรัพย์สินของคนที่ไม่มีทายาท เพราะ ทรัพย์สินของฉันกีคือ บัยตุ้ลมาล ของมวลมุสลิม และจ้าพเจ้าจะเป็นผู้ปลดเปลื้องเชลยของเขา

[226]     ตัวบทของหลักฐานเหล่าที่ระบุว่า พี่หรัอน้องผู้ชายของแม่จะได้รับมรดก และลูกชายของพี่หรือน้องสาว และเครือญาติ อื่นอีก ที่เป็นทัศนะของอัครสาวกและตาบิอีน และอะบูฮะนีฟะห์ แต่มีอัครสาวกบางท่าน รวมทั้งตาบิอีน และน้กวิชาการส่วนใหญ่มีทัศนะว่า พวกเครือญาติจะไม่ได้มรดก เพราะ'ไม่มีในบัญญ้ติ'ให้พวกเขาได้มรดก ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่กำหนดตายตัว (ฟัรดู) และไม่ตายตัว (อะชอบะห์) ดังนั้น ในกรณีที่ผู้ตายไม่มีทายาท ทั้งทายาทที่มีส่วนได้ไม่ตายตัว และตายตัว ทรัพย์มรดกนั้นก็จะ ตกเป็นของ บัยตุลมาล ถ้าหากสิทธิ์ต่างๆได้ถูกมอบให้แก่เจ้าของมันแล้ว และถ้าไม่เช่นนั้น มันก็จะกลับมาตกเป็นของเครือญาติ

[227]     ผู้!ดได้เข้าสู่อิสลาม โดยการชักชวนของมุสลิมคนใด เมีอเขาตายไปโดยไม่ได้ทิ้งทายาทไว้ มุสลิมคนนั้นจะได้รับมรดก ของเขา ที่เป็นทศนะของอิสหาก และพวกฮะนะฟี แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า เขาทั้งสองจะต้องมีสัญญาให้ความช่วยเหลือกันขณะมี ชีวิต และมีสัญญารับมรดกกันหล้งจากตาย แต่นักวิชาการส่วนใหญ่มีทัศนะว่า คนทั้งสองจะรับมรดกกันไม่ได้ เพราะไม่มีข้อความ ใดในหะตีษที่ระบุชัดเจนเช่นนั้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหะดีษที่ เป็นหะดีษดออิฟ สำหรับอะท่ม้ด และมีนักรายงานที่ไม่ เป็ดเผยตัวเองอยู่ในสายรายงาน สำหรับทัศนะของชาฟิอี แต่ทรัพย์ของเขาดกเป็นของบัยดุ้ลมาล

[228]    ที่ท่านนบี ซ.ล. ได้ใชให้ให้สิ่งนั้นแก่คนที่มาจากแผ่นดินเตียวกับเขาเป็นการท่าทานซอดาเกาะห์ให้เขาเท่านั้น ไม่ใช่ เป็นมรดก นักวิชาการทั่วไปถือว่า ทรัพย์สินของชายคนนี้และที่เหมีอนกันนี้ ด้องตกเป็นของบัยตุ้ลมาล

[229]     ทรัพย์สินทุกอย่างที่ได้แบ่งไปแล้ว ในสมัยญาฮิลิยะห์ ให้ถือเอาตามการแบ่งนั้น แต่เมี่อเข้าสู่ยุคอิสลาม ก็ให้ดำเนินตาม ข้อกำหนดต่าง ๆ ของอิสลาม

[230]    หมายความว่า ประชากรของท่านทั้งหมด ใช้มันเป็นประโยชน์ได้ แต่ต้องภายหลังจากเป็นที่เพียงพอแก่บรรดาภรรยา ของท่าน และคนในครอบครัวของท่านเสียก่อน

[231]     พบัยกรรม ในความหมายทางศาสนา คือ พันธะในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวคับสิทธิ์ อันจะเกิดเป็นผลบังคับ เมื่อผู้ทำ พินัยกรรมตาย

[232]    ไม่เหมาะสมแก่มุสลิมที่ร่ำรวย จะอยู่นิ่งเฉย โดยไม่เขียนพน้ยกรรมไว้ และหาพยานมารับรู้การทำพินัยกรรมนั้น

[233]     มุสลิมบางคนทำคุณความดี โดยการภักดีต่ออ้ลเลาะห์ เป็นเวลายาวนาน แต่ขณะเสียชีวิตเขาได้ทำพินัยกรรมที่ไม่เป็นธรรมขึ้น เช่น ทำพินัยกรรมกีดกันทายาทบางคน ไม่ใท้ได้มรดก หรือตัดทอนส่วนได้ของทายาทบางคน โดยไม่มีเหตุที่ด้อง ทำอย่างนั้น แน่นอนเขาจะด้องได้ไฟนรก

[234]     คือ ข้าพเจ้าจะต้องร่นการอพยพออกไป และอยู่ที่ม้กทะห์ต่อไป เพราะอาการป่วยของข้าพเจ้าหรือ นี่เป็นคำพูดที่แสดง ความเศร้าใจของเขา ที่ไม่ได้ติดตามท่านนบี ซ.ล. ไป และท่านนบี ซ.ล. ได้ตอบเขาไปว่า การที่เขาต้องร่นการอพยพออกไป เพราะอาการป่วยนั้น จะไม่เป็นภัยแก่เขา แต่การกระทำคุณความดี จะเสริมเกียรติให้เขาหลายขั้น

[235]      และหวังว่าท่านจะอยู่ต่อไป จนกระทั่งมวลมุสลิมจะได้รับประโยขน่จากท่าน และพวกมุชรีกีน จะได้รับภัยอันตรายจากท่าน และความหวังของท่านนบี ซ.ล. ก็เป็นความจริง เพราะต่อมาสะอัดก็หายป่วย และมีชีวิตอยู่จนถงปีที่ฮิจญ์เราะห์ที่สิบห้า

[236]    ท่านนบ ซ.ล. ได้ตำหนิเขาอย่างรุนแรง ที่ได้กระทำเช่นนี้ เพราะการปลดปล่อยทาสในขณะที่ป่วยใกล้ตายนั้น เหมอนก้บ เป็นพิน้ยกรรม

[237]     อัลเลาะห์ทรงชี้แจงสิทธิต่างให้แก่ผู้มีสิทธิแล้ว ในเรื่องมรดกดังได้กล่าวมาแล้ว ดังนั้น การทำพินัยกรรมให้แก่ทายาทอีก จึงถือว่าใช้ไม่ได้ นอกจากทายาททุกคนจะยินยอมให้กระทำเช่นนั้น ที่เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ มีนักวิชาการบางท่าน กล่าวว่า การทำพินัยกรรมให้แก่ทายาทใช้ไม่ได้ แม้ทายาททุกคนจะยินยอมให้ก็ตาม และการห้ามทำพินัยกรรมนเป็นสิทธิของ ศาสนา ซึ่งทายาทไม่มีสิทธิปกครอง

[238]    หมายความว่า เด็กนั้นจะใช้สกุลของสามีผู้เป็นเจ้าของที่นอน ไม่ใช่เป็นของผู้ที่อ้างเอาว่าได้ผิดประเวณีกับมารดาของ เด็กนั้น ดังนั้น ผู้ที่อ้างดังกล่าวนี้เขาจะได้รับก้อนหนี้ เพราะเขาได้ให้การร้บสารภาพว่าละเมิดประเวณี

[239]    ผู้ดูแล คือผู้ที่ได้รับมอบให้ดูแลเรื่องของเด็กกำพร้า          หรือคนที่ถูกยึดทรัพย์ เพราะใช้จ่ายไม่ถูกทาง โดยผู้ดูแลนี้จะต้องเป็นคนที่มีศาสนาดี และซื่อสัตย์

[240]    ยินยอมให้ผู้ดูแลเอาจากทรัพย์ฃองเด็กกำพร้า และคนที่ถูกยึดทรัพย์ได้ โดยเป็นที่ยอมรับของประชาชน ด้วยการเอาค่าจ้าง เหมาะสมกับคุณภาพของงานที่ทำ เช่นเด็ยวกับที่เขาจำเป็นจะต้องดำเนินการในทรัพย์สินของเด็กกำพร้า และคนที่ลูกยึดทรัพย์ เพื่อให้เพิ่มพูนขึ้น

[241]    “ช้าพเช้าเห็นว่า ท่านเป็นคนอ่อนแอ” คอ ที่จะคำหห้าที่บริหารงาน “และช้าพเช้าก็ปรารถนาจะให้ท่านไห้ในสิ่งที่ช้าพเช้า ปรารถนาไห้มันเอง” นพคอความปลอดภัย และริกทางเช่นm๓คอ ให้ท่านออกห่างจากการเป็นผู้นำ แม้จะเป็นผู้นำคนเพยง สองคนก็ตาม และให้ท่านออกห่างไกลจากการเป็นคนดูแล

[242]    หนายลง จะสนสุดภาวะของกไรเป็นเด็กกำพร้า เนอได็บรรลุศาสนภาวะด้วยควานฝัน หรอมอายุครบ หร้อมีฃนใด้ร่นผ้า งอกขนนาภิตาน

[243]    การนิ่งเงยบในเวลากลางล่นนั้น เป็นนิ่งฑผู้คน'ในยุคยารล่ขะห์กระทำ เพราะเฟ้นว่า เป็นนิ่งที่ด็ ต่อมาอสลานภิได้ปฏิเสธ การกระทำดังกล่าว และไม่ล่อว่านความประเสรฐใด ๆ

[244]    การครบอายุสิบห้าปีฟ้นฑรคต่บร่บรณ์นั้นเป็นฃึดขํ๋นระหว่างควานเป็นเด็กก*บความเป็นผู้ใหญ่

245 อะตึยะห์ อํลกุรอดีย์ แห่งเผ่าบะนีกุรอยเดาะห่ ซึ่งเป็นชาวยะฮูด ที่ได้ละเมิดสัญญาที่ได้ทำไว้กับท่านนบี ซ.ล. ท่าน จึงได้มาปิดล้อมพวกเขาไว้ จนในที่สุดพวกเขาได้ยอมจำนนให้สะอัด บุตร มุอาซ ร.ฎ. ท่าการตัดสืน สะอัดได้ตัดสันให้ฆ่า ผู้ชาย จับเอาผู้หญิงและเด็กเป็นเชลยศึก ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่าน'ได้ตัดสินพวกเขาตรงตามที่ อัลเลาะห์ทรงตัดสินแล้ว, เมื่อฝ่ายมุสลิมต้องการจะแยกผู้ใหญ่ออกจากพวกเด็ก ๆ ก็เกิดปัญหาที่ไม่อาจจะรู้ผู้ที่บรรลุศาสนภาวะ โดยการฝันและด้วยอายุ พวกเราจงได้หันไปใช้เครืองหมายที่สาม นั่นคือ ขนใต้ร่มผ้างอก และปรากฏว่าอะตียะห่ผู้นี้ เป็นบุคคลที่ขนใต้ร่มผ้ายังไม่งอก จึงไม่ถูกฆ่า

[246]     ทรัพย์สินของทาสเมื่อถูกปลดปล่อยก็จะตกเป็นของม้น นอกจากผู้เป็นนายจะตั๊งเงื่อนไขไว้ มี่รายงานของอะห์มัดว่า ผู้ใดได้ปลดปล่อยทาส โดยทาสคนทั้นมีทรัพย์ ทรัพย์นั้นตกเป็นของทาส นี่เป็นความโปรดปรานอย่างสมบูรณ์ที่มอบให้แท่ทาส เป็นประเพณีของคนที่ใจบุญ เมื่อเขาได้ปลดปล่อยทาส เขาก็จะมอบสิ่งหนี่งให้แก่ทาสไว้เฟ้อทำทุนต่อไป

[247]     ความชั่วทั้งสามก็คือตัวพ่อ แม่ และถูก (ซินา) แม้ว่าลูกนอกสมรสนั้นจะไม่มีบาปใดๆ ที่เกิดมาโดยทางผิดประเวณี แต่เด็กนั้นก็เกิดจากน้ำที่ต้องห้ามและบัดสีจากทั้งสองฝ่าย

[248]     คำที่ว่าลูก รวมทั้งลูกผู้ชาย และลูกผู้หญิง และที่ทอดต่ำไปกว่านั้น คำที่ว่า ผู้บังเกิดเกล้า หมายถึง พ่อ แม่ และที่สืบทอดสูงขึ้นไป ดังนั้น ลูกจะไม่สามารถตอบแทนผู้บ่งเกิดเกล้าได้ นอกจากจะพบว่าผู้บังเกิดเกล้าเป็นทาส และถูกไห้ซื้อมาปล่อย ให้เป็นอิสระ และใช้หลักการเด็ยวท่นก้บผู้บังเกิดเกล้า คือ ลูกและที่สืบทอดลงไป ก็จะไห้รับการปลดปล่อยเมื่อผู้บังเกิดเกล้าได้ ซื้อเอามา

[249]     นี่เป็นทัศนะของอัครสาวกและตาบิอินส่วนใหญ่ รวมทั้งอะบูอะนี่ฟะห์ และอะห์มัด แต่มีอัครสาวกและตาบิอินบางท่าน รวมทั้งชาฟิอี กล่าวว่า    ที่จะหลุดจากการเป็นทาสด้วยสาเหตุของการเข้าครอบครองนี้ก็มีเพียง ฟ่อ แม่ และที่สืบทอดสูงขึ้นไป และลูกและที่สืบทอดต่ำลงมาเท่านั้น มาลิกมีทัศนะว่า พ่อแม่และที่สืบทอดสูงขึ้นไป ลูกและที่สืบทอดต่ำลงมา และพี่น้องเท่านั้นที่หลุดพ้นจากการเป็นทาส ด้วยสาเหตุของการเข้าครอบครอง

[250]      ผู้ใดที่ม่หุ้นส่วนในการเป็นเจ้าของทาสคนหนี่ง ต่อมาเขาได้ปลดปล่อยทาสคนนั้นเฉพาะส่วนของเขา มีหสักเกณฑ์ในการ พิจารณาดังนี้ ถ้าหากเขารวย ทาสก็หลุดพ้นไปทั้งตัว และจำเป็นที่เขาจะห้องจ่ายราคาส่วนที่เหลืออยู่ให้แก่คู่หุ้นส่วนของเขา และ ถ้าหากไม่เช่นนั้น ก็ไม่มีสิ่งใดตกเป็นภาระของเขา และทาสคนนั้นก็จะหลุดพ้นการเป็นทาสเฉพาะส่วนที่เขาปล่อยไป สำหร้บส่วน ของคู่หุ้นส่วนของเขานั้น ก็จะย้งคงเป็นทาสอยู่ต่อไป

[251]     อัลมุกาตะบะห์ คือ สัญญาระหว่างนายกับทาสของตน โดยมีเงื่อนไขว่า เมีอทาสสามารถชำระเงินจำนวนที่กำหนดให้แก่ ผู้เป็นนายในเวลาที่กำหนดได้ ทาสคนนั้นก็เป็นอิสระ เช่นนาย กล่าวว่า ฉันทำสัญญากับท่านห้าเหรียญทองในกำหนดห้าปี

ถ้าหากท่านสามารถชำระได้ตามกำหนดท่านก็เป็นอิสระ และทาสก็ตอบรับ สัญญานจะผูกมัดเฉพาะฝ่ายผู้เป็นนาย นอกจากใน กรณีที่ทาสไม่มีความสามารถ ก็ยอมให้ยกเลิกสัญญานีได้ และทาสที่ได้ทำสัญญานี้เรียกว่า มุกาต้บ (308) คือ รู้ว่าทาสนั้นซื้อสัตย์ ขยันขันแข็งและประกอบอาชีพได้

[253] คือ สี่สิบดิรฮัม (311) คือ ปฏิเสธสิ่งที่หล่อนพูด

  1. สามีของหล่อน ชีอ มุฆีซ ท่านนบี ซ.ล. ได้ให้หล่อนเลือกเอาระหว่างการอยู่ร่วมเป็นสามีภรรยากันต่อไป กับการเลือก

[255]    หมายความว่า เมีอทาสมุกาต้บ ยังไม่สามารถชำระได้หมดตามสัญญา ก็ยังถือว่าเป็นทาสอยู่เต็มต็ว แม้สิ่งที่ค้างชำระนั้นมี เพียงเล็กน้อยก็ตาม

[256]    มุดับบัร คือ ทาสที่นายได้ผูกพันการเป็นอิสระไว้กับความตายชองตน เช่นกล่าวว่า เมีอฉันตาย ท่านเป็นอิสระ

[257]    วะลาอ ได้กล่าวมาแล้วในเรืองมรดก อุมม์ วะลัด คือ ทาสหญิงที่นายได้ร่วมประเวรมี ตั้งท้องและคลอด บุตรที่คลอด ออกมานั้นเป็นอิสรชน ส่วนทาสหญิงนั้นจะเป็นอิสระเมีอผู้เป็นนายตาย

[258]    เป็นการห้ามที่ฮะรอมและใช่ไม่ได้ เพราะสิทธิในเรืองวะลาอนั้น เหมีอนกับสิทธิในวงศ์ตระคูล สิทธี้นจะไม่สูญเสียไปด้วย การจ่าหน่ายจ่ายแจก

[259]    ด้วยสายรายงานที่หะซัน

[260]     “ทาสทั้นเปีนคนทรยศ’’ คือเป็นคนเนรคุณ

[261]    คือ ผลบุญที่ร้บใช้นายด้วยความซื้อสํตย์ และผลบุญที่ได้ปฎิบัติฟัรฎูต่างของอ้ลเลาะห์

[262]     มีบางท่านกล่าวว่า ชายคนนั้นคือ บิลาล

[263]    โดยข้าพเจ้ากล่าวว่า โอ้ลูกหญิงดำ

[264]     คือ จงดำรงละหมาด และปฎิบัติละหมาดตามเวลา

[265]     คือ จงเมตตาทาสของพวกท่าน และทำสิ่งที่ดีแก่พวกเขา

[266]     คือ ห้ามทำร้ายที่ใบหห้า เพราะใบหห้าเป็นอว้ยวะที่ประเสรฐที่สุดในร่างกาย และเป็นที่รวมของความงาม

[267]    ที่กล่าวนแม้จะไม่มีบาป แต่โดยมารยาทแล้วควรทำ

[268]     คนโสด ในที่นี้คือ คนที่ไม่มีค่ครอง ทั้งผู้ชาข และผู้หญิง ทั้งที่เคยแต่งงานแล้ว และยังไม่เคยแต่งงาน ตามต่วบทของ อายะห์นี้ก็คือ ผู้ปกครองจะต้องจับผู้ที่อยู่ใต้ปกครองของเขาแต่งงาน และตัวเขาเองก็จะต้องแต่งงาน เมื่อโอกาสอำนวย ใจชอบ และกลัวจะละเมิดประเวณี นี่เป็นทัคนะของนักวิชาการบางคน แต่นักวิชาการส่วนใหญ่กล่าวว่า คำสางในที่นี้หมายถึง ควรกระทำเท่าทั้น เพราะอัลเลาะที่ดาอาลาทรงตร่สว่า หรือทาสที่มือฃวาของพวกท่านปกครองอยู่ อัลเลาะที่ได้ให้เลือกระหว่างการแต่งงาน กับการมีนางบำเรอเป็นทาสหญิง ถ้าหากการแต่งงานเป็นสิ่งที่จำเป็นแล้ว พระองค์ก็คงจะไม่เป็ดโอกาสให้เลือกระหว่าง การแต่งงานกับการมีนางบำเรออย่างแน่นอน

[269]   หมายความว่า ลัลเลาะห์ให้ข้าพเจ้าร'กสามประการนิ่ม-เกทว่าอย่ๅงอน

[270]   คอ เพื่อทำอบาดะห์ต่ออ้ลเลาะห์

[271]   การตอม มิคอ การตดลูกอ'ณฑะออกทั้งลองลูก!พอไม่ให้!ทดความ{สกทางเพศ

[272]    ความขากลำบากในนิ่นิ่คอ การละเมิดประเวณี คือฉันกลัวการละเมิดประเวณี และข้าพเจ้าก็ไม่มิค่าสมรส (มะฮัร) ดังนั้น จงอนุญาตให้ข้าพเจ้าตอนเถิด ท่านนบี ซ.ล. นิ่งเงียบ จนเขาได้ถามขึ้นหลายครั้ง ท่านจึงตอบว่า ปากกาได้แห้งไปเสียแล้ว ด้วยสิ่งที่ท่านกำลังเผชิญ หมายความว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านนั้น มันได้ถูกกำหนดมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ท่านจงตอน หรือทิ้งเสีย คำนิ่ไม่ใช่เปีนการให้เลือกกระทำ แต่เป็นคำขู่ ในกรณที่เขาจะไม่อดหนต่อไปจนกว่าจะรวย

334) ในบางรายงานว่า จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า :

[274]    ได้แก่ อาอิชะห์, ฮัฟเซาะห์, เซาดะห์, ซอฟืยะห์, มัยมูนะห์, รอมละห์, ฮินด์, ซัยนับ และยุวัยรียะห์ ซึ๋งก่อนหน้านั้นท่านได้เคยแต่งงานกับคอดิญะห์ ร.ฎ. มาแล้ว และบุตรทุกคนของท่านนบี ซ.ล. เกิดจากคอดิญะห์ ภรรยาของท่านคนนี้ นอกจากอิบรอฮีมที่เกิดจากนารียะห์อ้ลกิบดิยะห์ ท่านนบี ซ.ล. ไม่ได้แต่งงานกับหญิงอิ่น จนกระทงคอดญะห์เสํยชีวิต ท่านจึง

ได้แต่งงานกบหญิงคนหนึ่ง ชีอ ซัยน้บ อุมน์ มะซากิน และได้เสียชีวิตไปขณะท่านนบี ซ.ล. ย้งมีชีวิตอยู่ ส่วนรอยฮานะห์ นั้นบางทัศนะว่าเป็นภรรยา บางทัศนะว่าเป็นนางบำเรอ ซึ่งเปีนทัศนะที่แพร่หลาย

[275]    เพื่อสนองควานต้องการของท่าน แต่ต่อมาอัลเลาะห์ได้ทรงห้ามโดยตรัสว่า “บรรดาสตรีนั้นจะไม่เป็นที่อนุมัติแก่ท่านกิกหลังจาก (เก้าคน) นั้น และไม่อนุมัติให้ท่านเปลี่ยนคู่ครองใหม่ด้วย (การหย่าร้าง) คู่ครองเดิม แล้ท่านจะพอใจในความงดงามของพวกหล่อนก็ตาน ยกเว้นสิ่งที่มือขวาของท่านปกครองอยู่ (คือทาสผู้หญิงที่เป็นนางบำเรอ)’’

[276]    หมายถึง สตรีที่ผู้ชายปรารถนา และที่ศาสนายกย่อง

[277]    หนายความว่า ท่านจะต้องยากจน ถ้าท่านไม่หาหญิงที่มีศาสนา

[278]    ผู้หญิงที่ขี่ลูฐหมายถึงผู้หญิงชาวอาหรับ เปีนผู้ตูแลบุตร และรักษาทรัพย์สีนของสามที่ตี

[279]     และน้ำลายของหล่อน หมายถึง การดูดลิ้น และจูบปาก ซึ่งจะเกิดขึ้นขณะหยอกล้อกัน

[280]    อับดุลเลาะห์ คือ บิดาของญาบิร ได้เสียชวิตไป ที่งลูกสาวไว้เจ็ดคน หรือเล้าคน ด้วยเหตุนี้ ญาบิร จ็งได้แต่งงานกับ ผู้หญิงหม้าย เพื่อมาดูแลงานบ้าน และเลี้ยงดูน้องๆของเขา ท่านนบิ ซ.ล. จึงขอดุอาอให้เขา

[281]     ที่จะรู้เข่นนั้นได้ ก็โดยรู้จากแม่ของหล่อน และญาติใกล้ชิดของหล่อน

[282]     วิกฤตการณ์ในเรืองผู้หญิง ยิ่งใหญ่กว่าวิกฤตการณ์ใด ๆ ด้วยเหตุนี้จึงให้เลือกผู้หญิงที่ดีแต่งงานด้วย

(844) “หล่อนไม่ห้ามมีอที่มาสัมผัส” เขาหมายถึงการผิดประเวณีกับหล่อน         หรือหมายถึง การเอาทรัพย์สามีของหล่อน “จงเนรเทศหล่อน” หมายถึง จงหย่าหล่อน

[284]    คือ ที่ศาสนาสรรเสริญ และควรแต่งงานด้วย

[285]     คนแรกนั้น เพราะความรวยของเขา คำพูดของเขา จงมีผู้ริบฟัง, คำขอร้องของเขาจงมีผู้ตอบรับ ส่วนคนที่สองเพราะ ความจนคำพูดของเขาไม่มีผู้รับฟัง และคำขอร้องของเขาไม่มีผู้ตอบสนอง ท่านนบ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขายยากจนที่เป็นคนดีผู้นี้ สำหรับอัลเลาะห์แล้ว เขาดิยิ่งกว่ามีเต็มแผ่นดินเสมีอนชายคนนั้น

[286]    ความประเสริฐไม่ใช่อยู่ที่มีทริพย์ แต่อยู่ที่ความประพฤติที่ดีงาม

[287]     คือ ควรมองใบหน้า และฝ่ามือทั้งสองข้าง เพื่อให้รู้จ้ก

[288]     ชายผู้นั้น คือ ญิบรีล

[289]     คือ ตาเป็นต้อ ในหะดีษนี้ระบุว่าอนุญาตให้กล่าวถึงลักษณะในทำนองนื้ได้ เพื่อเป็นคำแนะนำ

[290]    หะดีษนื้ชี้ว่า การมองดูไม่ใช่เป็นสิ่งจำเป็น แต่เป็นสิงที่ควรกระทำเท่าทั้น

[291]     ต่วบทเหล่านี้ ชี้ว่า ให้มองดูผูหญิงที่จะไปสู่ขอ สิ่งที่ให้มองดูก็คือ ใบหน้าและมือทั้งสองข้างเท่านั้น แม้จะมากกว่าหนึ่งครั้งก็ตาม และฝ่ายหญิงก็ให้มองดูฝ่ายชายเช่นเดยวกันนั้น

[292]    การห้าม ในที่นี้เพราะฮะรอม เนื่องจากเป็นการทำความเดือดร้อนให้แก่มุสลิม ซึ่งถือเป็นสิ่งต้องห้าม

[293]     คือ ความเท่าเที่ยมกันในต้านศาสนาระหว่างคู่สามืภรรยา นี่เป็นทํศนะที่นักวิชาการเห็นพ้องกัน

[294]    “ท่านทั้งหลายจงแต่งงานให้อะบาอินดี” ถ้าเขาต้องการ และแต่งงานกับลูกสาวของเขา ถ้าหากพวกท่านต้องการ เพราะ เขาเป็นทาสของพวกท่าน และอาชีพของเขาคือ กรอกเลือด

[295]      ต่อไปจะได้กล่าวถึง การกรอกเลือด ในเรื่องการแพทย์ ดัวบทเหล่านี้ชี้ว่า ความเหมาะสมกันนั้นพิจารณาเรื่องศาสนาเท่าทั้น โดยไม่พิจารฌาสิ่งอื่น ๆ แต่นักว่ชาการส่วนใหญ่มืทัศนะในเรื่องความเหมาะสมนี้ว่า มากกว่าเรื่องศาสนาแต่เพียงอย่างเดียว โดยให้พิจารณาถึงสิ่งต่างๆ ด้วย อันได้แก่  การปลอดจากข้อเสียในเรื่องการแต่งงานที่ทำให้ต้องยกเลิก ความเป็นอิสรชน วงศ์ตระกูล และอาชีพซาฟิอิได้เพิ่ม ความสงวนดัวไม่กระทำบาปประการหนึ่ง และอะบูฮะนีฟ่ะศ์ได้เพิ่มเติมความร่ำรวยขึ้นอิก ประการหนึ่ง

[296]    ทั้งนเพราะท่านนบ ซ.ล. ได้แต่งงานทบนางในเดีอนเชาวาล และได้ร่วม (เพศ) กับนางในเดีอนเชาวาล

[297]    เพราะอะลีก้บฟาติมะห์ มีอายุไล่เลี่ยกัน ซึ่งต่างก้บอาบูบ้กร์ และอุมัร เพราะอายุต่างกันมาก หะดีษนี้ชี้ว่า ความเหมาะสม กันในเรื่องอายุ ไม่ใช่เป็นสิ่งจำเป็น แต่ควรให้ความสนใจ เพราะความเหมาะสมในเรื่องอายุ เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่จะทำให้ชีวิต การสมรสยั่งยืน

[298]    หมายถึง การเสนอให้โดยผู้ปกครองของฝ่ายหญิง หรือโดยตัวผู้หญิงเอง

[299]     ฮัฟเซาะห์กันเป็นบุตรสาวของอุมัร บุตร ค๊อตตอบ ร.ฎ. ในหะดีษนี้ระบุว่าการพูดเรื่องแต่งงานนั้นถือเป็นความลับที่ควร ปกปีดไว้ เพราะบางทีอาจไม่สำเร็จ ก็จะทำให้ฝ่ายหญิงเสียหาย

[300]    หะดีษนี้ชี้ว่า ยินยอมให้มองดูผู้ที่มาเสนอตัว

[301]    หะดีษนี้และหะดีษก่อนชี้ว่า ยินยอมให้ผู้ปกครองเสนอผู้หญิงที่อยู่ในปกครองของตนให้แก่ผู้ชายที่เป็นคนดี และเช่นกัน ยินยอมให้ผู้หญิงเสนอตัวเองเพื่อแต่งงาน ซึ่งไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสียหาย และน่าดำหนิ ทั้งทางศาสนาและประเพณี แต่ฝ่ายชาย ที่มีผู้หญิงมาเสนอตัวให้นั้นควรต้องปกปีดเรื่องไว้ เพื้อให้เกียรติแก่ผู้หญิง

(308) ดุรเราะห์ บุตรสาวของ อุมม่ ชะละมะห์ ห้ามแต่งงานกับท่านนบี สองด้าน ด้านที่หนี่งคือ หล่อนเป็นลูกเลี้ยงของท่าน คือ เป็นบุตรสาวของอุมม์ ชะละมะห์ ซึ่งเป็นภรรยาของท่าน และอีกด้านหนึ่งก็คือ เป็นบุตรสาวพี่น้องของท่านที่ร่วมดื่มนม เดียวกัน

[303]     บุตรสาวของภรรยา และพี่น้องผู้หญิงของภรรยา ถือเป็นผู้หญิงที่ด้องห้าม

[304]     โดยการแต่งงานกับลูกสาว ก็ถือว่า ห้ามแต่งกับแม่ของหญิงนั้น แต่จะไม่ห้ามแต่งงานกับลูกสาว นอกเสียจากจะได้ร่วม กับแม่แล้ว

[305]    หมายถึง การดื่มนมร่วมก่น ที่จะทำให้เกิดการห้ามแต่งงาน

[306]     คำที่ว่า “ต่อมามันได้ถูกยกเลิก” หมายความว่า ถูกยกเลิกทั้งการอ่าน และข้อกำหนด และคำที่ว่า “โดยที่ถ้อยคำเหล่านี่ยังคงถูกอ่าน” หมายถึงบางพวกที่ข่าวการยกเลิกการอ่านยังไปไม่ถึงพวกเขา          เพราะมัเกิดขึ้นก่อนท่านนบี ซ.ล. เสียชีวิตเพึยงเล็กน้อย คำที่ว่า “ตามที่รู้กัน" คือ อย่างไม่มีข้อสงสัยในจำนวนนั้น ดังนั้น จะด้องให้แน่นอนว่า มีการดื่มห้าครั้ง ในห้าคราว นี่เป็นทัศนะของอัครสาวกและตาบิอีนบางท่าน รวมทั้ง ลัยซ์และชาฟิอี สำหรับทัศนะของนักวิขาการส่วนใหญ่ว่า การร่วมดื่มนม จะน้อยหรือมาก ก็ทำให้ห้ามแต่งงานทั้งสิ้น เพราะความหมายกว้างๆของอายะห์ที่ว่า 11และมารดาของพวกท่านที่ได้ให้นมแก่ พวกท่าน”

[307]    ความจริงที่จะเปีนการร่วมดื่มนมเดียวกันนั้น จะต้องเกิดจากความหิวในขณะดื่มนมด้วย เพราะหะดีษอะบดาวูดที่ว่า “ไม่ถือเป็นการร่วมดีมนมเดียวกัน นอกจากการดื่มที่จะทำใด้กระดูกแข็ง และทำให้เนื้องอก” และเพาะหะดีษ ติรมีซีนละดารุกุตนี ว่า “ไม่ถือเป็นการร่วมดีมนมดียวกัน นอกจากการดื่มที่ทำให้ลำไส้โป่ง และเกิดขึ้นก่อนสองขวบ” ตัวบทเหล่าที่ชี้ว่า การร่วมดืม นมดียวกันที่จะทำให้ห้ามแต่งงานนั้น คือ ในช่วงอายุสองขวบ เพราะคำด่ารัสของอัลเลาะห์ที่ว่า     แม่นั้นจะต้องให้นมลูกมี

กำหนดสองปีเต็ม นั่นส่าหริบผู้ที่ต้องการให้นมอย่างครบสมบูรณ์ ที่เป็นทัศนะของน้กวิชาการส่วนใหญ่

[308]    หะดีษที่ชี้ว่า การแต่งงานใช้ไม่ได้ โดยการเป็นพยานนี้ และในหะดีษที่ก็ระบุว่า ให้รับการเป็นพยานของผู้หญิงเพียงคนเดียวในเรื่องการให้นม ที่เป็นทัศนะของอัครสาวกและตาบิอีนบางท่าน รวมทั้งอะห์มัด แต่นักวิชาการส่วนใหญ่ กล่าวว่า ไม่รับการเป็นพยานของผู้หญิงคนเดียว ที่ท่านนบี ซ.ล. ได้ใช้ให้เขาทิ้งภรรยา เพราะความคลุมเครือ และต้องป้องกันไว้ก่อน ไม่ใช่เป็นข้อกำหนดให้เขาแยกกับภรรยา เพราะการเป็นพยานไม่ได้เกิดจากผู้หญิงสี่คน และถ้ามีผู้หญิงสี่คนมาเป็นพยาน ก็จำเป็น ต้องแยกทางกัน

[309]    หมายความว่า เชื้อนั้นมาจากชายคนเดียวกัน คล้ายกับเด็กชายเละเด็กหญิงคนนั้น ได้ดีมนมจากผู้หญิงคนเดียวกัน

[310]     การนิ่งเงียบของหญิงสาวถือเป็นการพอเพียงแล้วว่า เป็นการอนุญาตเพราะหญิงสาวมีความอายมาก ซึ่งต่างกับหญิงหม้าย นิ่จำเป็นต้องอนุญาตเป็นคำพูด

[311]     “หญิงหม้ายมีสิทธิในตัวของหล่อนเองยิ่งกว่าผู้ปกครอง (วะลี) หมายความว่า มีสิทธิในการอนุญาตให้แต่งงานฅัวเธอยิ่งกว่า ผู้ปกครองของหล่อน นิ่เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ หรือมีสิทธิที่จะแต่งงานตัวเองยิ่งกว่าผู้ปกครองตามทัศนะของ ชะอบีย์ ซุหรีย์และฮานาฟี ดังนั้น หญิงหม้ายที่บรรลุศาสนภาวะแล้ว ก็สามารถแต่งงานตัวเองได้ ผู้ปกครองนั้นเป็นส่วนเสริมให้ การแต่งงานสมบูรณ์เท่านั้น ในท่ศนะของพวกเขา

[312]     จะแต่งงานเด็กหญิงที่เป็นกำพร้ายังไม่ได้ จนกว่าภายหล้งจากบรรลุศาสนภาวะ และได้อนุญาตแล้ว แม้จะเป็นความนิ่งเงียบก็ตาม เพื่อรักษาผลประโยชน์ของหล่อน นิ่เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ มีบางทัศนะว่า เมีอเด็กหญิงที่เป็นกำพร้ามี อายุถืงเก้าขวบ และได้ถูกจับแต่งงานด้วขความพอใจของหล่อน หล่อนกิจะไม่มีสืทธิ ตัดสินใจเลือกระหว่างการยกเลิกกับรักษา นิกาห์ต่อไป เมีอได้บรรลุภาวะแล้ว เพราะอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เด็กผู้หญิงเมีอมีอายุเก้าขวบ หล่อนก็เป็นผู้หญิงเต็มตัว

[313]    หะด็ษนิ้ชี้ว่า ในการแต่งงานหญิงหม้ายที่บรรลุศาสนภาวะแล้ว จ่าเป็นต้องได้รับอนุญาต และได้ร้บค่ายินยอมจากหล่อน และถ้าไม่เช่นนั้นการแต่งงานก็ใช้ไม่ได้ สำหรับหญิงหม้ายที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะนั้น ยินยอมให้บิดาบ้งคับหล่อนให้แต่งงานได้ เป็นทัศนะของมาลิก และอะบูฮะนิฟ่ะห์ สำหรับชาฟิอี จะต้องให้บรรลุศาสนภาวะและให้คำยินยอม

[314]    คือ ให้เถือกเอาระหว่างการแต่งงานนั้น กับการยกเถืก เพราะหล่อนไม่พอใจ หะดีษนิ้ระบุว่า การจับหญิงสาวแต่งงานโดย ขืนใจนั้นใช่ได้ โดยไม่คำนึงว่าหญิงนั้นจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ นิ่เปีนทัศนะของบรรดาผู้นำมัซฮับ นอกจากอะบูฮะนีฟะห์ที่กล่าว ในเรืองผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แล้วว่า ถ้าจับผู้หญิงสาวที่โตเป็นผู้ใหญ่แต่งงาน พร้อมทั้งมีการบังคับฝืนใจก็ใช้ไม่ได้

[315]    “และถ้าหากบรรดาผู้ปกครองขัดแย้งกัน" คือ ไม่ยอมทำการแต่งงานหล่อนให้แก่ชายที่เหมาะสมกัน ผู้ปกครองชองหล่อน ก็คือซุลตอน คือ ฮากิม

[316]    การแต่งงานที่ไม่มีพยานผู้ชายสองคนที่มีคุณธรรม ถือว่าใช้ไม่ได้ นี่เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ อะห์มัดและอิสหาก กล่าวว่า: ยินยอมให้ชายหนึ่งหญ่งสองเป็นพยานในเรื้องการแต่งงาน เพราะอัลเลาะห์ตรัสว่า - '“ถ้าไม่มีผู้ชายสองคน ให้มีผู้ชายหนึ่งคน และผู้หญ่งสองคน จากบุคคลที่พวกท่านพอใจของบรรดาผู้มีคุณสมบัติเป็นพยาน”

[317]    ผู้ใดขายสืนค้ชิ้นหนึ่งให้แก่ลูกค้าสองคน การขายตกเป็นของลูกค้าคนแรฺกเท่านั้น และถ้าหากพี่ห้องผู้ชายสองคน แต่งงาน ห้องสาวของตนให้แก่เจ้าบ่าวสองคน การแต่งงานแรกเท่านั้นที่ใช้ได้ และถ้าหากการแต่งงานทั้งสองนั้นเกิดขึ้นพร้อมกัน หรื้อ ไม่รู้อันใดก่อน อันใดหลัง ก็ถือว่าใช้ไม่ได้ทั้งคู่

[318]    หมายความว่า เงื่อนไฃต่างๆที่สามีภรรยา หรื้อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตั้งขึ้น ขณะทำการแต่งงานนั้น จำเป็นด้องปฎบตตาม เงึอนไฃนั้น ๆ อย่างสิ้นเชิง

[319]    คำสุนทรพจน์ (คุดบะน์) คือ ถ้อยคำที่กล่าวก่อนจะพูดเรื้องสำคัญ เพี่อให้เกิดความมีสิริมงคลและสำเร็จ การแต่งงาน เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น คุตบะน์ก่อนแต่งงานจึงเป็นสิ่งควรทำอย่างยิ่ง

[320]    หมายความว่า จะอยู่กับอิสลามตลอดไปจนกว่าจะตายอยู่ในอิสลาม

[321]    และ (จงเกรง) เครือญาติ คือ จงระวังการตัดขาดจากเครือญาติ

[322]    หะดีษนี้ชี้ว่า (คุตบะห์) สุนทรพจน์ก่อนการแต่งงานนั้น เป็นสิ่งที่ควรกระทำ ไม่ใช่เป็นสิ่งจำเป็น

[323]     คือขาดความมีมงคล

[324]    คือสืงที่ฝ่ายชายมอบให้แก่ภรรยาของตน แลกเปลี่ยนกับการเอาประโยชน์ที่อวัยวะเพศของนาง และค่าสมรสอาจเป็น แรงงานก็ได้ และการกล่าวค่าสมรสในคำตกลง ถือว่าเป็นสิ่งควรกระทำ

[325]     เปีนเครืองหอมที่เข้าหญ้าฝรั่น ใช้กับผู้เป็นเจ้าสาว

[326]     อุมม์ ฮะบีบะห์ เป็นบุตรสาวของอะบีชุฟยาน หล่อนมีชื่อจรืงว่า รอมละห์ หรือฮนค์ เป็นภรรยาของอุบัยดิลลาห์ ต่อมา อุบัยดิลลาห์ได้เสียชีวิตไปหลังจากได้เข้ารืตเปีนนัสรอนีย์ ส่วนอุมม์ ฮะบีบะห์ ยังคงยืนหยัดอยู่ในอิสลามอย่างมั่นคง และต่อมา ได้แต่งงานก้นท่านนบ ซ.ล.

[327]     คำที่ว่า “เกินกว่าสิบสองออนซ์’’ นั้นไม่ขัดตับค่าสมรสของอุมม์ ฮะป็บะห์ เพราะผู้ที่จ่ายให้คือ นัจญาซีย์

[328]    คือ อนุญาตให้แก่สามี ทั้งที่เพราะดำเนินตามข้อตกลงที่สามีและภรรยา ได้ตกลงก้นไว้ แม้จะเล็กน้อยก็ตาม ที่เป็นทัศนะ ของนักวิชาการส่วนใหญ่ ทั้งยุคก่อนและยุคหลัง มาลิกกล่าวว่า ค่าสมรสอย่างน้อยที่สุดคือ หนึ่งในสี่ของเหรืขญทอง (ดินาร์) อะบูฮะนีฟ่ะห์กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุดคือ สิบดิรฮัม เพราะเป็นจำนวนที่จะตัดมีอขโมย และไม่มีขอบเขตความมากของค่าสมรส และไม่ควรจะเกินสิบสองออนซ์ เท่าตับค่าสมรสภรรยาของท่านนบี และ'ไม่ควรต่ำกว่าสิบดิรฮัม เพื่อรกษามัซฮับของอะบูฮะนีฟะห์

[329]    หะดีษนี้ชี้ว่า ในการแต่งงานที่ถูกต้องนั้นไม่จ่าเป็นต้องระบุค่าสมรส แต่ควรจะระบุเพื่อใหเกิดควานสบายใจแค่ทั้งสองฝ่าย และเพื่อป็องกันการขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น

[330]    เป็นชื่อเผ่าหนึ่งของอับดุลกอยส์ ที่มีชื่อเสัยงในการทำเสื้อเกราะ

[331]     คือ เป็นแรงงานที่สามีทำให้แก่ภรรยา เช่น สอนอ้ลกุรอานให้แก่ภรรยา เป็นต้น

[332]     คือ จงแต่งงานกับฉัน โดยไม่มีค่าสมรส

[333]     เพื่อนำมาเป็นค่าสมรสให้นาง

[334]     บางท้ศนะว่า คือซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์ และอาลิ อิมรอนที่เขาท่องจำไค้อย่างขึ้นใจ

[335]     เพี่อการให้เกียรตแก่นางและตระกูลของนาง เพราะซอฟึยะห์ เป็นบุตรสาวของห้วหห้าเผ่า

[336]     ในกรณีที่ค่าสมรสนั้นไค้ถูกระบุไว้ในข้อตกลงแต่งงาน จำเป็นต้องให้ค่าสมรสตามที่ไค้ระบุไว้นั้น และถ้าไม่ไค้ระบุไว้ และคนใดคนหนึ่งของคู่สามีภรรยาไค้เสียชีวิตไป หรือไค้ร่วมกับภรรยาแถ้ว กีจำเป็นต้องให้ค่าสมรสแก่ภรรยาของตน เท่ากับค่า สมรสของหญิงที่เหมือน ๆ กีนกับภรรยานั้น

[337]     ผู้หญิงคนใดที่สามีตายจาก ก่อนที่จะไค้ร่วมเพศกัน และไม่ไค้ระบุค่าสมรสไว้ในช้อตกลง หล่อนจำค้องกักตัวในกรณีที่ สามีตาย หล่อนมีสิทธิ์ไค้มรดก และไค้ค่าสมรสเท่ากับค่าสมรสของหญิงที่เหมือนๆกันกับหล่อน เช่น ของแม่, น้าสาว, ป้า และ พี่น้องผู้หญิง เป็นต้น, ที่เป็นทัศนะของอ้ครสาวก และตาบิอีนบางท่าน รวมทั้ง อะบูฮะนีฟ่ะห้ อะห้มัด และอิสหาก, อะลี อิบนุ อุมัร อิบนุ อ้บบาส, มาลิก ลัยซ์ และชาฟิอีกล่าวว่า หญิงนั้นค้องกักตัวในกรณีที่สามีตาย และมีสิทธิไค้มรดกเท่านั้น ส่วนค่าสมรสนั้นไม่มีสืทธิ์ไค้รับ เพราะค่าสมรสจะไค้ค้วยการร่วมเพศ และการร่วมเพคยังไม่เกีดขึ้น

[338]     ท่านนบีได้ตัดสินให้หล่อนได้รับค่าสมรสด้วยการร่วมเพศ และเพราะเป็นการแต่งงานที่ถูกด้อง คำที่ว่า “และเด็กนั้นตก เป็นทาสของท่าน" คือ ท่านจะด้องเอาใจใส่เลิ้ยงดู และปฎบิตด้วยดีต่อเด็กนั้น ซึ่งก็เปรียบเหมือนเป็นทาสของท่าน และถ้าไม่เช่นนั้น เด็กนอกสมรส (ลูกซินา) ที่เกิดจากหญิงที่เป็นอิสรชน เด็กนั้นก็เป็นอิสรชน และให้ใช้สกุลของแม่ และได้เพิ่มเติมใน บางรายงานว่า “และให้แยกระหว่างเขาทั้งสอง” นี่เป็นหลักฐานของ เซารีย์, อะห์มัด และอิสหากที่พวกเขาได้กล่าวว่า การตั้งครรภ์ที่เกิดจาก (ซินา) การละเปิดประเวถํเนั้นเป็นอุปสรรคห้ามการแต่งงาน อะบูฮะนึฟะห์ และชาฟิอีกล่าวว่า ไม่เป็น อุปสรรคห้ามการแต่งงาน เพราะการตั้งครรภ์ที่เก็ตจากซินานั้นไม่มีค่า แต่ (การแต่งงานกับหญิงที่ทั้งครรภ์มาจากซินา นั้น) เป็น มักรูห์ และไม่ด้องมีระยะกิกต่ว ในทัศนะของซาฟิอิ

[339]     อิซกิร เป็นต้นไห้ชนิตหนึ่งมีกลิ่นหอม ใช้ทำไส้หมอนและอื่นๆ

[340]     ท่านนบีได้ห้ามหล่อนกล่าวถึงเรีองนี้ และใช้ให้หล่อนกลับไปพูดถึงนักรบในสมรภูมิบัดร์ หะติษนี้ชี้ว่า เสียงของผู้หญิงไม่ใช่เป็นสิ่งพึงปกปีต (เอาเราะห์) ในทัศนะของนักวิชาการพวกหนึ่งและชาฟิอีเมื่อไม่เกิดความวุ่นวาย (ฟิตนะห์) ขึ้น และอยู่หลังม่าน

[341]     หมายถึง ข้อแตกต่างระหว่างการแต่งงานที่ฮะลาล กับฮะรอม ก็คือการตีกลอง และเสียงขับลำนำ ทั้งสองอย่างนี้เป็น สิ่งที่ควรทำในการที่แต่งงานที่ถูกด้องตามบัญญัติ

[342]    การละเล่นตามประเพณีในงานรื่นเริงนั้น เป็นสิ่งที่ศาสนาอนุมัติ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่มีสิ่งต้องห้ามอยู่ด้วย เช่น การ ดื่มสุรา และการร่วมปะปนของผู้หญิงกับผู้ชาย

[343]    หมายถึง ความประพฤติที่ดีงาม

[344]    วะลิมะห์ คืออาหารที่จัดขึ้นเพื่อเลี้ยงแขกที่เชื้อเชิญไปเนื่องในโอกาสที่น่ายินดี เช่น แต่งงาน เป็นสัพ หรือเรียกว่า งาน ฉลอง

[345]    ผู้ที่มา คือ คนยากจน คนที่ฝืนใจมา คือ คนที่ร่ำรวย งานวะลิมะห์ในรูปแบบนี้เป็นวะลิมะห์ที่เลวที่สุด

[346]    หะดีษที่ชี้ว่า จำเป็นต้องตอบรับคำเชื้อเชิญ เพราะการฝ่าฝืนนั้นจะไม่เกิดขึ้น นอกจากเพราะทิ้งสิ่งที่จำเป็น

[347]    หะสืษนี้ชี้ชัดว่า ท่านนบึ ซ.ล. ตอบรับคำเชื้อเชิญที่ไม่ใช่พิธีแต่งงาน

[348]    นนแหละ คือ อาหารเลี้ยงฉลองพิธีแต่งงานของท่าน

คำที่ว่า งานแต่งงาน หรอที่เหมือนกันนั้น (เปีนคำพูดของผู้เล่า ตามทัศนะของนักวิชาการบางท่าน

[349]      ประชาชนถกเถียงกันในเรื่องซอฟิยะห์ว่า  ท่านนบีจะเอาเป็นเพียงนางบ่าเรอ หรือเอาเป็นภรรยาหล้งจากได้ปลดปล่อยนางเป็นอิสระแล้ว และได้เป็นมารดาของมวลมุสลิม เมิอท่านนบี ซ.ล. ออกเดินทาง ท่านได้ให้หล่อนขี่สัตว์ข้างหลังท่าน และได้ ปกปิดหล่อนอย่างมิดชิด ประชาชนจงรู้ว่า ท่านนปีได้ปลดปล่อยหล่อนให้เป็นอีสระแล้ว จงได้แต่งงานกับหล่อนดังได้กล่าวมา แล้วในเรื่องค่าสมรส

[350]     คือ ท่านได้เอาม่านกั้น เพราะอายะห์อีญาบได้ลงมาหะดีษนื้ชี้ชัดว่า   งานฉลองพิธีแต่งงานนั้น เกิดขึ้นในตอนเช้าของคืนที่ร่วมเพศ ดังนั้น เวลาของการจัดงานวะลิมะห์ ก็คือ ภายหลังจากได้ร่วมเพศแล้ว นี่เป็นทัศนะของนักวิขาการส่วนใหญ่ มินักวิชาการ กลุ่มหนึ่งกล่าวว่า ขณะร่วมเพศ อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ขณะทำาพิธีแต่งงาน แต่ตามต้วบทแล้วขี้ว่า เวลาของการจัดงานฉลอง พิธีแต่งงาน (วะลิมะห์) นี้ มิเวลากว้างขวาง นับตั้งแต่ทำพิธีแต่งงานเป็นต้นไปจนถึงการร่วมเพศ ไม่ว่าจะจัดขึ้นในเวลาใดก็ถือว่า เพียงพอแล้ว

[351]     คำว่า หรือ วัว นั้นเกิดจากความสงสัยของผู้เล่า

[352]     ในกรณีที่ในสถานฑจัดงานวะลมะห์นั๊น มีสิ่งที่ศาสนาปฏิเสธอยู่ด้วย การตอบรับคำเชื่อเชิญก็เปีนอันตกไป

[353]     เพราะการตกแต่งบ้านเป็นประเพณีของพวกที่ฝักใฝ่ในทางโลก และความหรูหรา ซี่งไม่เหมาะสมกับท่าน

[354]     อันได้แก่ การขอป้องกันจากชัยฏอน การกล่าวบิสมิลลาห์ก่อนร่วมประเวณี การปกปิด การออกห่างจากการร่วมทาง ทวารหนัก และในเวลาที่มีระดู ไม่หลั่งนอก ไม่พูดคุยขณะร่วมประเวณีปฎิบัติอย่างนุ่มนวลต่อเพศหญิง ถ้าหากฝ่ายชายหลั่ง ก่อนก็ให้คอยจนกว่าฝ่ายหญงจะเสร็จกิจ และให้มีการเล้าโลม ซี่งจะทำให้ความรักยั่งยืน

[355]     ห้ามพูดขณะร่วมประเวณี นอกจากจำเป็น หรือพูดด้วยถ้อยคำที่มีตัวบทเฉพาะ และผู้ใดด้องการร่วมประเวณีก็ให้เขา กล่าวตามที่ปรากฏในหะดษนี้

[356]     พวกเขาคือ มะลาอิกะห์ผู้ทำหน้าที่จดบันทึกความดีความชั่ว

[357]    คอ ไพ่ว่าจะด้วยท่าใด จากทางด้านหน้า หร่อทางด้านหลัง รน หรอนง หรึอนอน ตราบใดที่เป็นการร่วมเพศทางทวาร เบา ก็จะไพ่มสิ่งใดเป็นภ์ยแก่พวกท่าน

[358]     อาหรับที่อยู่ชนบทได้เรียนถามท่านนบี ซ.ล. ถึงการผายลมเล็กน้อย ที่เกิดทางทวารหนัก ท่านนบีได้ตอบเขาว่า การผายลมท่าให้เสียน้ำละหมาดโดยไม่มีฃ้อแม้ และท่านได้เพิ่มเติมด้วยการห้ามร่วมสังวาสทางทวารหนัก

[359]     หมายถึง การฝึกปรือเพื่อเตรียมพร้อมทำการญิฮาด ทั้งการยิงธนู และขับขี่ม้า

[360]    และพวกเราต้องการจะขายเชลยศึกเพิ่อเอาราคา และพวกเราก็ปรารถนาจะร่วมประเวณีกับพวกหล่อนโดยใชํวิธีหลั่งนอก เพราะกลัวจะตั้งครรภ์ อันจะท่าใน้ห้ามขายพวกหล่อน เพราะอุมมุล วะลัด (คือ ทาสผู้หญิงที่ตั๊งท้องกันนาย) จะขายไม่ได้, เรา จึงได้ไปถามท่านนบี ซ.ล. และท่านก็ได้ตอบว่าไม่เป็นไรหรอกที่พวกท่านจะกระท่ามัน เพราะสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วมันย่อมต้องเกิดขึ้น

 

[361]    ชาวอาหลับได้เคยดังลูกผู้หญิงทั้งเป็น เพราะกลัวความเสื่อมเสีย หรือความยากจน ต่อมาอิสลามได้ห้ามการกระทำเช่นนั้น พวกยะฮูดคิดว่า การหลั่งนอกนั้น เท่ากับเป็นการฝังชีวิดน้อยๆ ทั้งเป็น เพราะมันจะทำให้ไม่ตั้งห้อง ท่านนบ ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกยะสูดโกหกที่คิดว่า การหลั่งนอกจะสามารถยับยั้งการตั้งครรภ์ได้ เพราะความจริงลัลเลาะห่นั้น เมื่อพระองค์ทรงประสงค์สิ่งใด สิ่งนั้นย่อมด้องเกิดขึ้น

[362]     คิอ ได้มาหลังจากนั้นอิกระยะหนึ่ง

[363]     หมายถึง ท่านมีสัจจะที่ว่า การหลั่งนอกนั้น ไม่อาจลับยั้งการตั้งครรภ์ได้

[364]    หะดีษนี้ระบุว่า อนุญาตให้หลั่งนอกได้โดยไม่มีฃ้อแม้เป็นทัศนะของอัครสาวก และตาบิอินบางคน รวมทั้งชาฟิอี และในหะดืษแรกๆ ที่ระบุว่าเป็นการห้ามนั้น เพื่อให้ออกห่างเท่านั้น มีนักวิชาการบางท่านกล่าวว่า การหลั่งนอกเป็นสิ่งด้องห้ามโดย ไม่มีข้อแม้ เพราะหะดีษเหล่านั้น การห้ามที่ระบุอยู่ในหะดืษเหล่านั้น เพราะถือว่าฮะรอม และเพราะผู้หญิงจะได้รับความเดือดร้อน จากการกระทำเช่นนั้น และเพราะการร่วมประเวณีนั้นก็เป็นสิทธิของหญิงด้วยเช่นกัน และยินยอมให้ผู้หญิงเรียกร้องสิทธินนี้ได้ เหมือนที่ยินยอมให้ผู้หญิงขอเลิกการแต่งงาน   เพราะสาเหตุที่อลัยวะเพศของเขาไร้สมรรถภาพดังนั้น เคล็ดลับที่ห้ามการหลั่งนอก ก็คิอ ความเดือดร้อนและขัดขวางการตั้งครรภ์ แต่ที่ดืแล้วควรด้องมีการแยกระหว่างทาสผู้หญิงกับภรรยาที่เป็นอิสรชน สำหรับทาสผู้หญิงนั้น ยอมให้หลั่งนอกได้ โดยไม่มีข้อแม้เพราะตัวบทเหล่านั้นมีมาในเรื่องทาสผู้หญิง ส่วนภรรยาที่เป็นอิสรชนนั้น ไม่อินยอมให้สามีหลั่งนอก ยกเว้นในกรณีที่ภรรยาอนุญาตให้ ดังกล่าวนี้เป็นทัศนะชองนักวิชาการส่วนใหญ่ ทั้งยุคก่อนและยุคหลัง รวมทั้ง มาลิก อะบูฮะนึฟะห์ และอะห่มัด

[365]     คือ นำเอาสิ่งที่เกิดขึ้นในการร่วมประเวณีนั้นไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง

[366]     ข้อเปรียบเทียบของคนที่เอาความลับในการร่วมเพศกับภรรยาออกเปิดเผยนั้นก็จะมีสภาพเหมือนชัยฏอนต่วผู้ ที่ได้ร่วมประเวณีกับชัยฏอนตัวเมืย ต่อหน้าฝูงชน ดังนั้นการนำเอาเรีองร่วมประเวณีไปเปิดเผยไม่ว่าจะโดยฝ่ายภรรยาหรีอสามืก็ตาม ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะจะทำใน้เขาตกอยู่ในฐานะที่ย่ำแย่ที่สุดในวันกิยามะห์ และพวกเขาถูกเปรียบเป็นชัยฏอน

[367]       ชาวอาหรับเคยยับยั้งการกระทำเช่นนั้น เพราะกลัวเด็กจะได้รับอันตราย และต่อมาท่านนบี ซ.ล. ก็ได้ห้ามพวกเขา โดยที่พวกเปอร์เชียกับ'โรมันก็ร่วมประเวณีกับภรรยาของตนขณะตั้งครรภ์และใน้นมบุตรโดยไม่เกิดอันตรายใดๆ

[368]    ห้ามร่วมประเวณีกับทาสผู้หญิงที่ได้มาเป็นกรรมสืทธิ์ จนกว่าจะปรากฏว่าทาสผู้หญิงนั้นมีมดถูกที่ว่างจากการดั้งครรภ์

[369]     ท่านนบี ซ.ล. กับอัครสาวกในสงครามฮุนัยน์ ซึ่งเป็นสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ระหว่างมักกะห่กับตออีฟ ประมาณสิบไมล์ ท่านนบีได้ส่งกองทหารไปยังเอาตอส ซึ่งเป็นสถานที่แห่งหนึ่งห่างจากมักกะห์สามไมล์ ทหารมุสลิมได้รบกบพวกนั้น และได้จับพวกนั้นเป็นเชลยศึก ทหารมุสลิมต้องการที่จะร่วมประเวณีกับเชลยคกที่เป็นหญิง แต่ก็เกรงสามืของพวกนาง จงได้มืวะฮืย่ลง มาว่า อนุม้ตใน้ร่วมประเวณีเชลยศึกผู้หญิงได้ เมื่อหมดกำหนดกักต้วของพวกหล่อนแล้ว ด้วยการคลอดบุตรของหญิงที่มีครรภ์ และด้วยการมืระดูหนึ่งครีง สำหรับเชลยศึกหญิงที่ไม่ได้ดั้งครรภ์ หะดีษนี้ระบุว่า การจับเชลยศึกที่เป็นหญิงกาฟิร นั้น เป็นเหตุ ทำใน้การแต่งงานของหล่อนถูกยกเลิกไป แม้สามืของหล่อนที่เป็นกาฟิรจะถูกจ้บพร้อมกันก็ตาม ที่เป็นทัศนะของมาลิก ชาฟิอี และอะบูเซาร์

[370]     “คิดว่าเจ้าของของหล่อน คงทำให้หล่อนเจ็บ (ใช่ไหม )” คือ เขาไห้ร่วมเพศกับหล่อนใช่ไหม? “ข้าพเจ้าตั้งใจจะสาปแช่ง เขา” เพราะเขาไห้ร่วมเพศก็บหล่อน ก่อนที่หล่อนจะคลอด” เขาจะให้เด็กในห้องรับมรดกของเขาไห้อย่างไร ทั๊งที่เด็กนั้นไม่เป็น ที่อนุมัติแก่เขา "เพราะอาจเป็นลูกของคนอื่น" “และเขาจะเอาเด็กในห้องเป็นทาสได้อย่างไร ทั้งที่เด็กนั้น ไม่เป็นที่อนุมัติแก่ เขา” เพราะเด็กนั้นอาจเป็นลูกของเขา ซึ่งจะพ้นจากความเป็นทาสเมื่อคลอดออกมา การที่จะหลุดพ้นจากข้อห้ามนี้ไปได้ ก็คือ ต้องกักตัวทาสหญิงไว้ตามกำหนด ก่อนร่วมประเวณี

[371]     “น้ำของเขา” คิออสุจิของเขา “พืชของคนอื่น” คือ หญิงมีครรภ์ที่ได้ตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา

[372]     ผู้!ดมีกรรมสิทธิในทาสผู้หญิง จะด้วยซื้อมาหรือจับเป็นเชลยมา หรือมีผู้ให้มา ห้ามเขาร่วมประเวณีกับหล่อนจนกว่าจะ ไห้กักตัวหล่อนไว้ คิอจนกว่าจะปรากฏว่า มดลูกของหล่อนว่างจากการตั้งห้อง ถ้าหากหล่อนมีครรภ์ ก็ด้วยการคลอด และถ้าหาก หล่อนมีระดูก็ด้วยการมีระดูหนึ่งครั้ง และถ้าหากไม่มีระดู เพราะชรา หรือเป็นเด็ก ก็ให้กักต้วหนึ่งเดือน การกักตัวทาสเพื่อให้ รู้ว่าไม่ตั้งครรภ์นี้เป็นความเห็นพ้องของทุกคน

[373]     หมายถึง สิทธิต่าง ๆ ที่สามีจะไห้รับจากภรรยา

[374]     ผู้ชายจะเป็นผู้คุ้มครองผู้หญิง เพราะผู้ชายเหนอกว่าผู้หญิงหลายด้าน ทั้งสสืปัญญา. ศาสนา, ความคิดเห็น, และเป็น ผู้จ่ายให้แก่ผู้หญิง

[375]     หมายถึง ศีลอดที่เป็นสุนัต ถ้าหากเป็นศีลอดฟัรดูก็ไม่ต้องขออนุญาตจากสามี

[376]     คนเป็นก็เหมีอนคนตายที่ไม่มีสทธิได้รับการถ้มกราบ, การถ้มกราบนั้นสมควรแก่ผู้ทรงเป็นไม่รู้ตายเท่านั้น

[377]     นี่แสดงว่า สิทธิของสามีที่จะได้จากภรรยานั้นใหญ่หลวงนัก

[378]     ไม่ยินยอมให้ภรรยาอนุญาตให้ผู้ใดเข้าบ้านของสามี และยิ่งไปกว่านั้น คือ การนั่งบนที่นอน นอกจากภรรยาจะรู้ว่าสามี ยินยอมให้กระทำเช่นนั้นได้

[379]     ภรรยามีสิทธิได้รับเครื่องนุ่งห่ม และค่าเลี้ยงดูจากสามี

[380]    ภรรยาจะต้องตอบรับสามี แม้กำลังหมกมุ่นอผู่กับงานบ้านก็ตาม

[381]    เพราะผู้ชายต้องจ่ายค่าสมรส และค่าเลิยงดูแก'พวกผู้หญิง

[382]    ผู้หญิงนั้นจะไม่มนคง แต่จะพลิกผันไปตามธรรมชาตของหญิง     ดงนน ถ้าหากท่านต้องการจะดดให’'ตรง ท่านกต้อง

ทำใหมันแตก'หก และการแตก'หกก็ค่อ การหย่าร้าง,

[383]    และน่นมันก็จะเป็นสิ่งที่ฑดแทนกน

[384]    สามีที่หายหน้าไปเป็นเวลาหลายวัน ไม่ควรเข้าบ้านในเวลากลางคืน หรือกลางว้นแบบจู่โจม เพื่อจับผิดภรรยา

[385]      หมายความว่า ควรแจ้งให้ภรรยาได้ทราบก่อน เพื่อจะได้เตรียมตัวหวีผม และใข้มีดโกน โกนขนใด้ร่มผ้า ไว้คอยด้อนรับสามี ไม่ได้หมายความว่าใช้ให้เข้าไปหาภรรยาในเวลากลางคืน ซึ่งจะขัดกับหะดีษก่อน แต่หมายความว่าให้แจ้งแก่ภรรยาเป็น การล่วงหน้าก่อน

[386]     เซาดะห่ เป็นภรรยาคนหนึ่งของท่านนบี ซ.ล. ได้ออกไปท่าธุระในเวลากลางคืน อุมัรรู้ว่าเป็นหล่อนเพราะอ้วน แล้ว กล่าวว่า เรารู้จํกเธอ โอ้ เซาดะห์ เพราะความเป็นห่วง เชาดะห่จงได้เข้าไปหาท่านนบ ซ.ล. ร้องเรียนท่านถึงเรื่องนี้ และ ได้มีวะฮีย์ลงมาแจ้งให้ทราบว่า ยินยอมให้ผ้หญิงออกไปท่าธุระนอกบ้านได้

[387]     คือ จำเป็นด้องปกปีดให้พ้นจากสายตาของผู้คน เมื่อผู้หญงออกไปนอกน้าน ชัยฏอนจะท่าให้เกิดความรู้สกว่า หล่อน เป็นคนสวย จงท่าให้ผู้หญงนั้นแสดงท่าทางต่าง ๆ จนเป็นการดังดูดสายตาของผู้คน และการกระท่าเช่นนื้เปืนสิ่งต้องห้าม

[388]     ฟ่าต่มะห์ บุตรสาวของท่านนบี ซ.ล. ได้ไปร้องเรียนต่อท่านนบีว่า เธอได้วับความล่าบากเพราะต้ลงหมุนโม่เองจนพอง เธอต้องการขอคนรับใช้คนหนึ่งจากท่านนบี เพราะได้ทราบข่าวว่า ท่านนบีได้รับเชลยศึกคนหนึ่งเปีนทาส, ต่อนาท่านนบีจึง ได้แนะนำบุคคลทั้งสองด้วยสิ่งที่ดีกว่าคนวับใช้นั่นคือกล่าวตัสบีห์, ตะห่มีด และฅ้กบีร หนึ่งร้อยครั้งก่อนนอน

[389]     คนที่หนึ่งได้!ปร่ยบเทียบสามีของนางว่า เหมือนกับเนื้ออูฐที่ซูบผอมอยู่บนยอดเขาที่กันดาร ขึ้นไปเอาได้ลำบาก และไบ่มื ใครต้องการเพราะควานผอมของมัน เท่ากับว่าเขาเป็นคนขี้หนียว ยะใส อัปลักษณ์ และหวังในความดีไม่ได้

[390]     คนที่สองได้กล่าวว่า ช้อเสียของสามีของตนทีมากมาย ไม่อาจจาระไนยได้หมด

[391]     คนที่สามได้กล่าวว่า ฉันจะต้องถูกแขวน คือ เป็นเหมือนหญิงที่ไม่มีสามีดูแล และไม่ใช่หญิงที่ถูกหย่า เพื่อไปแต่งงานกับคนอื่นได้ หล่อนหมายถึงเขาเป็นคนที่ไม่ยอมวับฟังคำร้องทุกข์ของภรรยาในเรื่องความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่

[392]     คนที่สี่ไดํสรรเสริญสามีของตนว่า เป็นคนที่ไม่มีพิษมีภัย เหมือนยามค่ำคืนแห่งติฮามะห์ที่ไม่ร้อนจัด และไม่หนาวจัด ฉันได้วับความปลอดวัยจากเขา และไม่น่า!บอที่จะอยู่ร่วมวับเขา

[393]     คนที่ห้าได้กล่าวว่า     สามของนางเหมอนเสือดาวเมื่ออยู่ในห้าน คือ ชอบนอน และเมื่อออกนอกบ้านกจะกล้าหาญดังสังโต เป็นคนง่ายๆไม่จุกจิก

[394]     คนที่หกได้ตำหนิสามีของตนว่า กินจุ ดื่มเก่ง เห็นแก่ต่ว และไม่เกยสนใจความด้องการทางเพศของภรรยา

[395]     คนที่เจ็ดได้ตำหนิสามีของตนเองอย่างที่สุด

[396]     คนที่แปดได้ชมเชยสามีฃองตน ว่ามีควานนุ่มนวลดุจหนึ่งกระด่าย และหอมฟุ้งในหมู่ผู้คน คือ เป็นที่กล่าวขว้ญถึงของผู้คน

[397]     คนที่เก้าได้สรรเสริญสามีของตนว่า “เป็นคนเสาสูง” คอเป็นคนมีเกียรติ “สายสะพายดาบยาว" คือเป็นคนรูปร่างสูง “ขี้เถ้ากว้างใหญ่” คือ เป็นคนใจบุญ เพราะหุงต้มมากจึงมีขี้เถ้ามาก “บ้านใกล้กับสถานที่ชุมนุม" คือ เป็นคนสำคัญที่ผู้คนต้องขอ คำปริกษาหาริอ

[398]    คนทสิบได้ชมเชยสามีของนางเหนือกว่าสามีชองคนใดที่ได้ชมเชยมาแล้า เพราะสามีของนางม่ฝูงอูฐมากมาย และจะมีไว้ จำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ออกไปสู่ทุ่งเลี้ยง เพื่อเตริยมไว้เชื่อดเลี้ยงแขก โดยฝึกให้มันเคยชินกับเสียงไม้กระทบกัน เมื่อมันได้ยิน มันก็จะรู้ว่ามีแขกมา และพวกมันจะต้องถูกเชื่อด

[399]     อุมม ซัรอ์ ได้พรรณนาถึงแม่สามีของนางว่า เป็นคนที่มีอุปกรณ์ต่างๆ เคริองตกแต่งบ้าน และเสื้อผ้ามากมาย มืทรัพย์สมบัติและบ้านกว้างขวาง

[400]    หลอนไดสรรเสริญลูกชายของสามว่ากินน้อยเพียงขาแกะก็ฑำให้อิ่มแล้ว และที่นอนเล็กคค้ายเปลือกชองต้นไม้ที่ลอกเอา มาทำเป็นเบาะ เนื่องจากเป็นคนที่มีร่างสะโอดสะอง

[401]     ลูกสาวของอะปึ ซัรอ์ก็ยิ่งใหญ่ เป็นที่ชิงชังของผู้หญ่งรุ่นเดียวกัน เพราะความงาม และสงวนตัว “เต็มเครื่องสวมใส่ของ หล่อน” เพราะเป็นคนอ้วน และยิงเป็นหญิงที่เชื่อฟังบิดา มารดา

[402]     คือ กำล่งเล่นเต้านม ที่แดงเหมือนผลทับทิม

[403]    หอก คอตต์ คือ หอกที่ทำมาจากตำบลคอดต์ ชื่งตั้งอยู่ที่รมทะเล ระหว่าง บาหรอยน กับ อุมมาน

[404]     ความหมายของอายะห์นี้ก็คือ พวกท่านไม่สามารถจะให้ความยุติธรรมแก่บรรดาภรรยาของพวกท่านได้ แม้พวกท่านจะมี ความปรารถนาก็ตามที ดังนั้น ท่านทั้งหลายอย่าล่าเอียงกับคนที่ท่านไม่รัก จนหล่อนกลายแปีนเหมือนหญิงที่ถูกแขวน จนไม่รู้รสชาดของความมีคู่ครอง และการอยู่เป็นโสด

[405]     คือท่านนบี ฃ.ล. จะแบ่งเวรให้นกับรรดาภรรยาของท่าน และบ่ความยุต่ธรรมในเรื้องค่าเลี้ยงดู เครื้องนุ่งห่ม ที่พักอาศํย และการแสดงออกในเรื้องความรัก และท่านจะกล่าวว่า ขำแต่อัลเลาะห์ นี่คือ การแบ่งของข้าพเจ้าในสิ่งที่ข้าพเจ้าปกครองอยู่ ดังนั้น ท่านอย่าประณามข้าพเจ้าในสิ่งที่พระองค์ท่านปกครอง โดยที่ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์ปกครอง นั่นคือ ความล่าเอียงของหัวใจ

[406]    หะดีษนี้ชี้ว่า ยินยอมให้ยกสิทธของตนแก่ภรรยาด้วยกันเมื่อสามียินยอม

[407]     การทำเช่นนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะเป็นการโกหก และจะส่งผลร้ายให้แก่สามีของตนและภรรยาที่เป็นคู่แข่งของตน

[408]     หมายถึง ได้ร่วมประทณึก้บภรรยาทั้งเก้าของท่านด้วย

[409]     หมายถึง เจ็ดวันเจ็ดคืน และสามวันสามคืน

[410]    หมายความว่า เมื่อเขาได้แต่งงานลับผู้หญิงสาว โดยเขามีภรรยาอื่นอยู่ก่อนแล้ว ผู้หญิงสาวจะมีสิทธิได้อยู่ลับสามีเจ็ดวัน และเมีอได้แต่งงานลับหญิงหม้าย โดยมีภรรยาอนอยู่ก่อนแล้ว หญิงหม้ายจะมีสิทธิได้อยู่ลับสามีสามวัน นี่เป็นสิ่งที่จำเป็น และ จะไม่คิดวันเหล่านี้ว่าเป็นการแบ่งเวร

[411]     เพราะความแก่ชราของหล่อน หรอเพราะความอบ่ล่กษฌ์ของหล่อน

[412]    เมี่อหล่อนกลัวสามีจะหย่า เธอจึงได้มอบสิทธิของเธอให้แก่สามี ดังนั้น เมีอภรรยาเห็นอาการรังเกียจเกิดกับสามีของตน

และได้สละสิทธิของตนเป็นบางส่วน หรือทั้งหมด ก็เป็นที่อนุมัติให้กระทำได้ และด้วยการกระทำดังว่านื้สามีก็จะไม่ออกไปจาก ความยุตธรรมที่ศาสนาเรืยกร้องจากสามี                                                                (488) คอ อายะห็ที่ 128 อันนิซาอ์

[414]     การทรยศของภรรยา อาทิเช่น การออกไปนอกบานโดยสามีไม่ไดอนุญาต หรอการใช้วาจาก้าวร้าว สามี หรือก้าวร้าวบิดา หรือมารดา หรือพี่น้องผู้ชาย หร้อพี่น้องผู้หญิงของสามี เป็นต้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย และการไม่ ยอมให้ร่วมหส์บนอน

[415]     ห้ามเฆี่ยนตีภรรยาอย่างรุนแรงเหมีอนเฆี่ยนทาส เพราะเขาอาจร่วมเพศกับนางในตอนเย็นของวันนั้นก็ได้

[416]     หมายศวามว่า ถ้าเขาตีภรรยาหลังจาก’ได้สั่งสอน และทิ้งให้อยู่อย่างเตียวดายแก้ว เขาก็จะไม่คูกสอบสวน และไม่มีบาป แก่เขา

[417]     พวกผู้หญิงจำนวนมาก ได้ร้องเรียนว่า ถูกสามีของพวกนางทุบตี ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ใครทุบตีภรรยาของเขา เขาไม่ใช่เป็นคนดี แต่ที่เป็นความดีก็คือการละทิ้งการทุบตี และอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาคัยกัน

[418]     คือ การที่สามีภรรยาพี่วิวาทกัน มอบให้อนุญาโตตุลาการสองคนจัดการเรีองของคนทั้งสอง อนุญาโตตุลาการทั้งสองจะต้อง ปฎิบัติตามคำให้การของทั้งสองฝ่าย และการตัดสินจะยังไม่เกิดขึ้น จนกว่าจะหมดทางทำให้คนทั้งสองคืนดีกัน และหมดทางที่จะไกล่เกลี่ยบุคคลทั้งสอง,อนุญาโตตุลาการจึงจะใช้การตัดสิน

[419]     ฝ่ายหญิงยอมรับว่าหล่อนพร้อมจะรับรองความเห็นของอนุญาโตตุลาการทั้งสองท่าน ส่วนฝ่ายชายแสดงออกว่า จะไม่รับการแยกทางกัน ในกรณที่อนุณูาโตตุลาการทั้งสองเห็นว่าควรแยกทางกัน อะอี ร.ฎ. จงได้เตือนฝ่ายชายและชี้แจงให้เข้าใจว่า คำตัดสินของอนุญาโตตุลาการจะใช้ไม่ได้ ถ้าสามีภรรยาไม่ยอมรับความเห็นของเขาทั้งสอง

[420]    ท่านนบีได้ส่งหล่อนคืนเพราะเป็นโรคด่าง โดยท่านไม่ได้เอาสิ่งที่ท่านได้ให้หล่อนไปคืน

[421]     ดังกล่าวนี้เป็นท่ศนะของมาลิกและสานุสืษย์ของซาฟิอี, อะบูฮะนีฟ่ะห์ และซาฟิอีกล่าวว่า สามีจะไปเรียกร้องเอาสิ่งใด จากใครไม่ได้ เพราะค่าสมรสนั้นเป็นสิ่งจ่าเป็นด้วยการร่วมประเวฌึ

[422]    นั่นคือให้ทิ้งค่าสมรสไว้ให้แก่นาง ทั้งนี้เพื่อเป็นการถนอมจิตใจของนาง

[423]     ผู้ใดได้แต่งงานกับหญิงคนหนึ่ง และได้ร่วมประเวณีกับนางแม้เพียงครั้งเดียว และหลังจากนั้นเขาก็หมดสมรรถภาพที่จะ ร่วมประเวณีอีก จะไม่มีการแยกทางระหว่างบุคคลทั้งสอง เพราะถือว่าได้ผ่านการสมรสแล้ว แม้ด้วยการร่วมประเวณีเพยงครั้งเดียว สำหรับในกรณีที่สามีย้งไม่เคยได้ร่วมประเวณีกับภรรยาเลย แม้เพียงครั้งเดียว เช่น สามีเป็นคนที่มีอว่ยวะเพศไร้สมรรถภาพ ก็ยอมให้ภรรยานำเรื่องขึ้นฟ้องผู้พิพากษาศาสนา และให้ตั้งกำหนดเวลาแก่เขาหนึ่งปี ถ้าหากเขาสามารถร่วมประเวณีได้ และถ้า ไม่เช่นนั้นก็ให้แยกทางกันไป จะปรากฏการร่วมประเวณี หรือไม่มีการร่วมประเวณีด้วยการร้บสารภาพของคนทั้งสอง

[424]     อัลเลาะห์ทรงใช้ศรัทธาชนทั้งชายหญ่ง ให้ลดสายตาลงต่ำและรักษาอวัยวะเพศ เพราะมันเป็นความบริสุทธิ์ฃองพวกเขา การใช้สำนวณด้วยคำว่า “มีน = จากสายตา" ชี้ว่า ยินยอมให้มองใบหน้า และมีอทั้งสองช้าง แก่บุคคลที่ต้องการแต่งงาน ดัง ได้กล่าวมาแล้ว และยินยอมอีกขณะที่ร่วมนำธุรกิจกัน ในการซื้อขาย และอื่น ๆ และยินยอมให้แพทย์ชายมองดูที่ ๆ จะนำการ รักษา ในกรณีที่ไม่มีแพทย์หญิงที่ชำนาญ และในทางกล้บกัน แต่นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า ยินยอมให้มองดูใบหน้าและมีอ ทั้งสองข้าง เมีอไม่เกิดความป่นป๋วนขึ้น แต่นักวิชาการส่วนใหญ่มีทัศนะว่า ไม่ยินยอมให้มองเพื่อปิดประดูที่จะเกิดความปั่นป่วนขึ้น และในเมีอห้ามมองดู โดยอาศัยอายะห์ดังกล่าวนี้ การห้ามอยู่ก่นตามลำพังและสัมผัสก็ถือว่าต้องควรห้ามยิ่งกว่า

[425]    [มื้อท่านนบ ซ.ล. ได้เต่อนใด้ระม้ดระวงการเข้าไปหาผู้หญิงที่แต่งงานก่นได้ จงได้มื้ผู้ลามลงญาติผู้ชายที่ใกล้ชิดฝ่าย สามื้ เช่น พี่น้องผู้ชายของสามื้ หรอลูกชองลุงสามื้ ท่านนมื้ได้ตอบว่า มันคอกวามตาย เพราะมื้ภ้ยล่นตรายใหญ่หลวงที่อำพรางอยู่

[426]    กอ ตั้งใจจะไปทำล่จย์ ท่านนบได้ใข้ใด้เขากล่บไปทำฮ้จย์พร้อมกับภรรยา เพราะสำก่ญกว่าออกไปรบ ตั้งที่ตั้งสองอย่าง เป็นฟัรดู

[427]    และหญิงสาว ก็เหมื้อนกับหญิงหม้าย ในเรึองนื้

[428]     “หล่อนจะปนหน้าด้วยสี่ และจะหันหลังด้วยแปด” หมายความว่า หล่อนเป็นคนสวยที่อ้วนท้วน มืลอนที่ท้ายสี่ลอนยามเมื่อหันหน้ามา และเมื่อหันหลังไปจะมืแปดลอน คือ ปลายลอนทั้งสี่ที่อยู่ที่สีข้างทั้งสองข้าง ท่านนบี ซ.ล. ได้ห้ามคนดัดจริตเป็นหญิงเข้าไป เพราะจะเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง การทำต่วเป็นหญิง เป็นสิ่งที่ถูกตำหนิ ถ้าเกิดจากการดัดจริต ถุ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร

[429]     คือ อย่านอนร่วมกันในผ้าผืนเดียวก้น และอย่ามองดูกันขณะเปลือยกาย แล้วน่าไปพรรณนาให้ผู้ชายฟัง เพราะบางที ผู้ชายคนนั้นอาจหลงเสน่ห์ของผู้หญิงคนนั้น หรออาจแยกทางกับภรรยาของตนที่เป็นผู้มาเล่า และแต่งงานกับหล่อน และถ้าหาก หล่อนได้นำไปพรรณนาด้วยลักษณะที่น่าเกลึยด ก็เป็นการนินทา และฮะรอมพรรณนาลักษณะของผู้หญิง ยกเว้นแก่ผู้ที่ด้องการ แต่งงานกับหล่อน

[430]     ยะรีร ได้ถามท่านนบี ซ.ล. ถึงการเหลือบไปเห็นผู้หญิงโดยบังเอิญ ท่านนบีกล่าวว่า จงเบือนสายตาของท่านหนิไป

[431]     เพราะการมองครั้งแรกเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ แต่การมองครั้งหลัง เกิดจากเจตนา

[432]     ผู้หญิงทีมีเสน่ห์ยั่วยวนเหมือนชัยฏอน ดังนั้น เมื่อผู้ใดพบเห็นผู้หญิงอื่น และมันได้ทำให้เขาเกิดรู้สึกหลงใหล ให้เขากลับ ไปร่วมประเวณึกับภรรยาของเขา เพราะมันจะทำให้ความหลงใหลของเขาผ่อนคลายลง

[433]     ซินา มีหลายประเภท ซินาที่เกิดจากดวงตาทั้งสอง คือ การมองสิ่งที่ศาสนาไม่อนุมัติ ที่เกิดจากลิ้น คือพูดสิ่งที่ศาสนา ไม่อนุมัติ และทุก ๆ อวัยวะที่ทำบาปก็ถือว่ามันได้ทำซินา อารมณ์จะมุ่งหวังและอยากทำซินา โดยธรรมชาติของมัน และอว้ยวะเพศจะยืนยันว่า อว่ย์วะต่างๆ ได้ทำซินาจริง ถ้ามันได้ดกอยู่ในซินา และจะว่าอวัยวะต่างๆทำซินาโกหก ถ้ามันสามารถยับยํ้งไว้ได้

[434]     คือ ถ้าหากพวกท่านรู้เหมือนที่ฉันรู้ เรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับความตาย และสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากตายไปแล้ว พวกท่านจะหัวเราะได้เพียงเล็กน้อย และร้องไห้อย่างมากมาย

[435]    เพื่อไม่ให้ประชาชนมีข้ออ้างในวันกิยามะห์ หมายความว่า จะไม่มีการลงโทษ นอกจากจะได้มีการแจ้งเตือนไว้ก่อนแล้ว

[436]    เพื่อคำสรรเสริญพระองค์จะได้คงอยู่ตลอดไป

[437]    นี่เป็นการแต่งงานที่ถูกต้องตามปัญญัติ และตรงกับการแต่งงานที่มีมาแต่บรรพบุรุษของท่านนบื ซ.ล. จนถึงนบีอาดัม อ.ล.

[438]    ผู้หญิงได้ท่าความตกลงกับผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ให้ร่วมเพศกับนางภายในวันเคียวกัน หรือคีนเคียวกัน และหลังจากนั้นนางก็จะไม่ร่วมเพศกับใครอีก จนนางตั้งครรภ์ครบกำหนดและคลอดบุตร และทอดเวลาไปสักระยะหนึ่ง นางก็จะส่งคนไปเรียกพวก ผู้ชายเหล่านั้นมา และนางก็จะเอ่ยชื่อคนที่หล่อนต้องการให้เป็นพ่อของเด็กนั้น โดยผู้ชายคนนั้นจะปฎิเสธไม่ได้

[439]    นั่นคีอ ประเภทแรก

[440]    คำว่า ชิฆอร แปลว่า ความว่างเปล่า เพราะเป็นการแต่งงานที่ไม่มีค่าสมรส

[441]    หมายความว่า อิสลามไม่อนุมัติการแต่งงานแบบชิฆอร

[442]    โดยแต่ละคนยกเลิกค่าสมรสของหญ่งอีกคนหนึ่งให้แก่กัน

[443]    การแต่งงานแบบ ชิฆอร ถือว่าใช้ไม่ได้ตามทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ ฮะนะฟื และชุฟยานกล่าวว่า ใช้ได้ โดย ผู้หญ่งแต่ละคนจะได้ค่าสมรสเท่ากับค่าสมรสของผู้หญ่งที่เหมือน ๆ กับหล่อน การห้ามในท่ศนะของพวกเขาเป็นเพียงไม่ควรกระทำ เท่านั้น

[444]     คือ การแต่งงานชั่วคราว โดยมีกำหนดแน่นอน เช่น หนึ๋งเดือน หรือไม่แน่นอน เช่น จนกว่าคนนั้นคนนี้จะมา การแต่งงานชั่วคราวใช้ไม่ได้ เพราะข้ดกับเป้าหมายของการแต่งงานที่ม่เป้าหมายให้อยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาอย่างยั่งยืน

[445]     คือ ห้ามร้บน่ระทานเนื้อลาที่ใช้งานอยู่ตามบ้าน ยังมีลาอีกชนิดหนึ่งที่เร่ยกว่า ลาป่า ซึ่งศาสนาอนุญาตให้รับประทานได้

[446]     คือ ท่านนบีได้อนุญาตมันเป็นครั้งที่สาม ในปีที่เกิดสงครามที่เอาตอส หลังจากได้ห้ามมาแล้วในสงครามคอยบัร และหลัง จากได้ห้ามมาแล้วในปีที่เข้าพิชิตมักกะห์ ความจริงท่านนบี ซ.ล. ได้อนุญาตให้แต่งงานชั่วคราวหลายครั้ง เพราะมีความจำเป็น เกิดขึ้น หลังจากนั้นท่านก็ได้ห้ามอย่างเด็ดขาดในปีฮํจญ์อำลา

[447]     คือ มุมหินดำกับประตูบัยตุ้ลเลาะห์ ในพิธีฮ้จย์อำลาและได้กล่าวว่า         แห้จร่งอัลเลาะห์ได้ทรงห้ามการเช่นนั้น จนลงวันกิยามะห์ และด้วยเหตุนเอง การแต่งงานแบบชั่วคราว จึงเป็นสิ่งต้องห้ามตลอดกาล ที่เปีนมติของประชาชาติอิสลาม, อิบนุ อับบาส ได้กล่าวว่า การแต่งงานแบบชั่วคราวเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุมัติให้แก่ผู้ที่มีความจำเป็น แต่เป็นที่รู้ก่นโดยแพร่หลายว่า อํบนุ อ้บบาส

มีทัศนะว่า เป็นที่อนุมัติโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ และในเรื่องนี้ยังมีรายละเอียดอืกมาก

[448]     ห้ามคนที่อยู่ในภาวะเอึยะห์รอมแต่งงาน หรือเป็นผู้ประกอบพิธีแต่งงาน โดยมีอำนาจเต็ม หรือเป็นตัวแทน สำหรับการ

สู่ขอนั้น ถูกห้าม และไม่ควรกระทำ (มักรูห์)

[450]     “ตัวกลางที่ทำให้ฮะลาล" คือ ผู้ที่แต่งงานกับหญิงที่ถูกสามีคนแรกหย่าสามตอลาก เพื่อจะหย่าแล้วให้หญิงนั้นไปแต่งงานคืนดีกับสามีเดิม “คนที่ถูกทำให้ฮะลาลแก่เรา” คือ สามีที่หย่าภรรยาของตนสามตอลาก การสาปแช่งจะไม่เกิดขึ้นนอกจากใน การกระทำที่ฮะรอม การแต่งงานที่ทำให้ฮะลาลนี้ เป็นสิ่งห้องห้าม (ฮะรอม) และใช้ไม่ได้ เมื่อได้มีการตั้งเป็นเงื่อนไขไว้ในข้อ ตกลงแต่งงานว่า เมื่อได้ร่วมเพศกับหญิงนั้นแล้ว ผู้หญิงคนนั้นจะขาดกันกับเขา (บาอิน) เลย หรือเขาจะห้องหย่าหล่อน เพราะ เท่ากับเป็นการแต่งงานชั่วคราว และถ้าไม่ได้ตั้งเป็นเงื่อนไขไว้ในข้อตกลงแต่งงาน และฝ่ายชายไห้ตั้งเจตนาไว้ว่า เขาจะต้องหย่า ภายหลังจากไห้ร่วมประเวฌแล้ว การแต่งงานนั้นใช่ได้แต่ม้กรูห์ นี่เป็นทัศนะของชาฟิอี และนักวิชาการพวกหนึ่ง แต่อะบูเซาร์ ได้กล่าวว่า ความจริงผู้ทำให้ฮะลาลนั้นได้รับผลบุญ เพราะเป็นต้นเหตุให้ผู้หญิงนั้นไห้กลับไปสู่สามีของนางอีก และไห้ถ่ายทอดมาจากอะบูฮะนีฟะห์เช่นเดียวกันนั้น และว่า ถ้ามีเจตนาทำเพื่อให้อะลาล ก็ถือว่าไม่เป็นเที่อนุมัติ และไห้ถ่ายทอดจากพวก เขาว่า อนุมัติให้แม้จะตั้งเจตนาว่าจะหย่า ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะตั้งเป็นเงื่อนไขว่าต้องหย่าก็ตาม และถือว่าเงื่อนไขนั้นเป็นโมฆะ

(526) การแต่งงานของทาสโดยไม่ไห้รับอนุญาตจากผู้เป็นนายของตนถือว่า ฮะรอม และใช่ไม่ได้ เพราะทาสจะต้องทำงาน รับใช้ผู้เป็นนาย และไม่อาจทำงานอื่นได้ โดยไม่ได้รับอนุญาต นี่เป็นทัศนะของชาฟิอีและอะห์มัด มาลิกีและฮะนะฟี กล่าวว่า ห้าหากผู้เป็นนายยินยอมให้ภายหลังจากไห้ทำพิธีแต่งงานไปแล้ว การแต่งงานนั้นถือว่าใช้ได้ และถ้าไม่เช่นนั้นก็ใช่ไม่ได้

[451]    “ไม่ใช่เป็นพวกเรา’’ คือ ไม่ได้อยู่ในศาสนาของเราอย่างสมบูรณ์ ‘‘ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งเสื่อมคลายความเชื่อถือสามีของนาง” เช่น กล่าวข้อเสียของสามีให้หล่อนฟัง หรอกล่าวถึงความดีของคนอื่นให้หล่อนฟัง เป็นต้น

[452]    หมายความว่า ไม่มีการหย่าก่อนแด่งงาน ดังนั้น         ถ้าเขากล่าวว่า ถ้าหากฉันได้แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว ถือว่าหล่อนถูกหย่า หรือผู้หญิงทุกคนที่ฉันแต่งงานต้วย ถือว่าหล่อนถูกหย่า จะถือว่าไม่มีการหย่าใดๆ เกิดขึ้นภายหลังการแต่งงาน นี่เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ทั้งรุ่นก่อนและรุ่นหลัง และเป็นทัศนะของชาฟิอี ฮะนะฟี กล่าวว่า ถือว่าได้มีการหย่าเกิดขึ้นแล้ว โดยไม่มีข้อแม่ใดๆ เพราะถือว่าเป็นคำสาบาน ซึ่งไม่ต้องอาศัยอำนาจปกครองสิ่งนั้นก่อนจงจะสาบานได้ มาลิกิ กล่าวว่า: ให้พิจารณาดูก่อน ถ้าหากเขาพูดกว้างๆก็ไม่เกิดการหย่า และถ้าหากเขาจำก้ดเช่นเขากล่าวว่า     ถ้าหากฉันแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น หรือผู้หญิงทุกคนที่ฉันแต่งงานด้วยจากตระถูลนั้นตระกูลนี้ หรือจากเมืองนั้นเมืองนี้ ถือว่าหล่อนถูกหย่า เช่นนี้ ถือว่า เป็นการหย่า หลังจากการแต่งงานกับหล่อน

[453]     ถ้าหากเขากล่าวว่า เมื่อทาสคนนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของฉัน เขาเป็นอสระ ถือว่าทาสคนนั้นจะไม่เป็นอสระ เมื่อเขาได้ปกครอง มัน

[454]     คือ จะไม่ถือว่าเป็นการบนบาน ถ้าเขากล่าวว่า เป็นกรรมสิฑธิ์ของอัลเลาะห์ ที่จะบ้งคับเอาจากข้าพเจ้า ถ้าหากสิ่งนี้เป็น กรรมสิทธิ์ของข้าพเข้าเมีอใด ฉันจะต้องใข้มันทำทาน ซอดาเกาะห์

[455]    การหย่าก็เช่นกัน ถ้าเพียงแต่นึกคิด ยังไม่ได้ลั่นวาจาออกมา ก็ถือว่าไม่เป็นการหย่า

[456]    หมายความว่า จะไม่มีการบังคํบและเอาความผิดกับบุคคลทั้งสามนั้น,

[457]    ที่ว่านี้ หมายถึง อาการดังกล่าวเกิดขึ้นจากการกำหนดของอัลเลาะห์ดาอาลา สำหร่บในกรณีที่ได้เกิดความบกพร่องทางสติขึ้นด้วยการกระทำของตัวเอง เช่น เสพของมึนเมา หรือกระโดดลงมาจากที่สูง และสมองได้รับความกระทบกระเทือน หลังจากนั้น เขาได้หย่ากรรยาของเขา ถือว่าเป็นการหย่า เพราะเขาได้กระทำการโดยละเมิด นี่เป็นทัศนะของนักวิขาการส่วนใหญ่

[458]     ทัศนะของนักวิขาการส่วนใหญ่ มาลิก ซาฟิอี และอะห์มัค ถือว่าคนที่ถูกบังคับให้หย่า และถูกบังคับให้ปล่อยทาสนั้น จะไม่เป็นการหย่าและไม่เป็นการปลดปล่อย ฮะนะฟี กล่าวว่า การหย่าและปล่อยทาสของคนที่ถูกบังคับใช่ได้

[459]    การหย่าที่จะทำให้คืนดีกับภรรยาไม่ได้ คือ สาม ส่วนหนึ่งและสองยอมให้สามีคืนดีกับภรรยาได้ คำหย่ามีสองประเภท คือ คำพูดที่ชัดเจนว่า เป็นการหย่า ซึ่งมีอยู่สามคำ คือ คำว่า ตอลาก (หย่า) ฟืรอก (แยก) และสะรอฮ์ (บอกให้ออกไป) ประเภทที่สอง คือ คำที่ด้องตีความ เพราะอาจเป็นการหย่าก็ได้ และไม่ใช่ก็ได้ ดังนั้น ในคำประเภทนี้จำเป็นจะด้องอาด้ย เจตนาหย่าเป็นหลัก เช่น พูดว่า เธอจงกล้บไปหาครอบคร่วของเธอ, หร่อเธอเป็นอสระแล่'ว เป็นต้น

[460]     คำว่า สามปีแรกของการปกครองโดยอุมัร หมายถึง ช่วงแรกๆที่อุมัรเช่ารับตำแหน่งคอลีฟะห์ ซึ่งจะไม่ขัดกับหะด้ษต่อไปที่ว่า “สองปี"

[461]    ความหมายของหะดีษทั้งสองก็คือในสมัยท่านนบี ซ.ล. อะบูบ้กร์ และในยุคต้นของคอลิฟะห์อุมัร พวกเขาถือว่า การหย่าสามตอลากในคำเดียว เช่น กล่าวว่า เธอถูกหย่าสาม    เป็นการหย่าเพียงหนึ่งตอลากเท่าทั้น ต่อมา อุมัรได้กล่าวว่า ประชาชนรีบร้อนในเรื่องการหย่า ทั้งที่พวกเขาควรจะรอบคอบ และกระทำสี่งที่ปลอดภ้ยไว้ก่อน และอุมัรก็ได้กำหนดใต้การหย่า สามตอลากในคำพูดเดียวเป็นสามตอลาก อุมัรได้เริยกอักรสาวกมาประชุมปรึกษาหารือกันในเรื่องดังกล่าว พวกเขาก็เห็นต้อง กันกับอุมัร ดังนั้น อุมัรจ็งได้นำออกบังคับใช้กับประชาชนว่าเป็นสามตอลาก และได้กลายเป็นมฅิฃองบรรดาอัครสาวก ร.ฎ. ดังนั้น ผู้ใดที่ได้กล่าวแก่ภรรยาของเขาว่า       เธอถูกหย่าสามตอลาก หรือเธอถูกหย่า เธอถูกหย่า เธอถูกหย่า ก็ถือว่าเป็นการหย่าสามตอลาก และเป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่และบรรดาผู้นำมัซฮับทั้งสี่ และนักวิชาการกลุ่มหนึ่งกล่าวว่า เป็นการหย่าเพียงหนึ่งตอลากเท่าทั้น เหมือนการหย่าในสถานที่เดียว ชึ่งจะได้กล่าวต่อไปในหะดีษอะห์มัด และเป็นทัศนะของอะลี อิบนิ อับบาส, อับดุรเราะห์มาน บุตรเอาฟ์, ซุบัยริ บุตร เอาวาม, อะตออ, ฅอวูส, อินบุ ดีนาร, อิกริมะห์ และสานุศิษย์ของมาลิก ฮะนะฟี และอะห์มัดบางท่าน หลักฐานของพวกเขาในเรื่องนี้คือ สองหะดีษนี้ หะดีษอะห่มัด และอาบียะอ์ลา ที่เป็นหะดีษ เศาะฮีหะห์ว่า “รุกานะห์ บุตร อับดุยะซีด ได้หย่าภรรยาของเขาสามตอลาก ในสถานที่แห่งเดียว ต่อมา รุกานะห่ เกิดความเสียใจอย่างรุนแรง ท่านรอซูล้ลเลาะห์ ซ.ล. ได้ถามเขาว่า ท่านหย่าหล่อนอย่างไร? เขาตอบว่า สาม ท่านถามว่า ในสถานที่ เดียวใช่ไหม? เขาตอบว่า ถูกแล้ว ท่านนบีได้กล่าวว่า ความจริงมันเป็นเพียงหนึ่งเท่าทั้น จงกลับไปคืนดีก้บหล่อนเถิด ถ้าหากท่านต้องการ ผู้เล่ากล่าวว่า รุกานะห่ ได้กลับไปคืนดีกับหล่อน ได้กล่าวในหนังสือ ฟัตฮุลบารีว่า หะดีษที่เป็นหลักฐานในเรื่องที่จะตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ที่เป็นการชี้ชัดว่า การหย่าในสถานที่เดียว แม้จะหย่ามาก ๆ ก็ตาม จะนับว่าเป็นการหย่า เพียงหนึ่ง แต่ได้มีรายงานจากอิบนิ อับบาสว่าเป็นการหย่าสาม ในมุวัตเตาอ์ ชายคนหนึ่งได้กล่าวแก่อิบนิ อับบาสว่า     ฉันหย่าภรรยาฉัน หนึ่งร้อยตอลาก ท่านจะเห็นเป็นอย่างไร อิบนุ อับบาสตอบว่า หล่อนถูกหย่าจากท่านเพียงสาม และอีกเก้าสิบเจ็ดนั้น ท่านได้ยึดเอาอายะห์ต่างๆ ของอัลเลาะห่เป็นเครื่องล้อเล่น และตัวบทของอะบี ดาวูด ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์ เล่าจากมุยาฮิด ได้กล่าวว่า            ข้าพเจ้าอยู่กับอิบนิ อับบาส ได้มีชายคนหนึ่งมาหาอิบนิ อับบาส แล้วกล่าวว่า       ฉันได้หย่าภรรยาของฉันสามตอลาก อิบนุอับบาสนิ่งจนข้าพเจ้าคดว่าอิบนุ อับบาสจะให้ผู้หญิงคืนดีกับเขา หลังจากนั้นเขาได้กล่าวว่า คนหนึ่งของ พวกท่านรีบร้อน เขาจึงกระทำเหมือนคนโง่ ต่อมาชายคนนั้นได้กล่าวว่า โอ้ อิบนุ อับบาส แท้จริงอัลเลาะห์ทรงตรัสว่า       และผู้ใดที่มีความยำเกรงอัลเลาะห่ พระองค์จะให้เขามีทางออก” แต่ท่านไม่มีความยำเกรงอัลเลาะห่ ดังนั้น              ข้าพเจ้าไม่พบทางออกของท่าน ท่านได้ละเมิดพระผู้อภิบาลของท่าน และภรรยาของท่าน ก็ขาดกันกับท่าน (บาอิน)”

[462]     กำหนดกํกต้ว (อิดดะห์) ของทาสหญิง คือ มีระดูสองครั้ง และถ้าไม่มีระดูก็สองเดือน และการหย่าทาสผู้หญิงมีเพียง สองตอลาก และจะไม่ยอนให้คืนดีจนกว่าจะได้แต่งงานก้บสามีใหม่เสียก่อน โดยไม่คำนึงว่า ทาสหญิงมีสามีเป็นทาส หรือเสรีชน นี่เป็นทัศนะของฮะนะฟี และเซารี่ น้กวิชาการส่วนใหญ่กล่าวว่า ถ้าหากทาสหญิงมีสามีเป็นเสรีชน การหย่าหล่อนมีสามตอลาก เพราะการหย่าพิจารฌาที่ผู้ชาย ส่วนกำหนดกักต้ว (อิดดะห์) พิจารณาที่ผู้หญิง

(575) “และที่จรงที่เขามีอยู่นนเหมอนชายผ้า” หมายถึง อวั่ยวะเพศของอับดุรเราะห์มานนั้น อ่อนปวกเปียกเหมีอนชายผ้า “ลิ้บรสน้ำผึ้งน้อย ๆ” หมายถึงต้องได้ลิ้มรสการร่วมประเวณีอย่างแห้จริงของก่นและก่นเสียก่อน

  1. คือ ไม่สามารลร่วมประเวณีกับหล่อนได้ เพราะอวัยวะเพศของเขาเล็ก หรืออ่อนปวกเปียก

[464]          “โดยที่เขาถึงนาง" หมายความว่า เขาสามารลจะร่วมเพศกับนางได้

[465]    ดังนั้น การร่วมประเวณีอย่างถูกต้อง เป็นสิ่งที่จะทำให้หล่อนสามารลกลับไปคืนดีกับสามีคนแรกของหล่อนได้ ดังกล่าวนื้ เป็น อิจมาอ์ นอกจาก สะอีด          อิบนิ มุช้ยยิบ, สะอีด            อิบนิ ญุบัยร์ และดาวูดที่กล่าวว่า    การตกลงแต่งงานกับสามีคนที่สองก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้หล่อนกล่บไปคืนดีกับสามีคนแรกได้ โดยพิจารณาตามตัวบทของอายะหที่ว่า “จนกว่านางจะแต่งงาน กับชายอนเสียก่อน” และการแต่งงานจะเกิดขึ้นได้ด้วยข้อตกลง บางที่หะดีษที่อาจไม่ถึงพวกเขา และมีบางคนกล่าวว่า พวกเขาได้ถอนคำพูดแล้ว เคล็ดลับที่ต้องมีการร่วมประเวณีจากสามีคนที่สองก็เพื่อสั่งสอนคู่สามีภรรยานั้น ให้เป็นบทเรียน เพื่อจะ ได้ออกให้ไกลจากการหย่าสามตอลาก เพราะการที่สามีคนที่สองร่วมประเวณีกับหญิงนั้น นับเป็นความตกต่ำและเสิ่อมเสียอย่างยิ่ง ในระหว่างครอบครัว

[466]      เมื่ออ้ลเลาะห์ได้ประทานลงมาว่า โอ้นบี เจ้าจงประกาศแก่บรรดาภรรยาของเจ้าว่า าหากพวกเธอปรารถนาชีวิตในทาง โลกนี้ และเครื่องประดับของมัน ขอเชิญพวกเธอมา ฉันจะให้ความทุขแก่พวกเธอและปล่อยพวกเธอไปอย่างดงาม และถ้าหาก พวกเธอปรารถนา อัลเลาะห์ ศาลนฑูตของพระองค์ และโลกอาค์เราะห์ แน่แห้อัลเลาะห์ได้ทรงจ้ดเตรืยมไว่ให้แก่บรรดาผู้ทำดี ของพวกเธอเป็นผลบุญอันใหญ่หลวง ท่านนบี ซ.ล. ได้ให้บรรดาภรรยาของท่านเลือกเอาระหว่างการอยู่กับท่านต่อไปอย่าง สามีภรรยา และการหย่าร้าง โดยท่านได้เริ่มต้นที่อาอิชะห์ ท่านได้อ่านอายะห์ท่งสองให้เธอฟ้งแล้วกล่าวว่า เธอไม่ต้องรีบร้อน จนกว่าจะได้ปรึกษากับบิดามารดาเสียก่อน โดยท่านนบีก็ทราบว่าบุคคลทั้งสองจะไม่ใช้อาอิชะห์ให้แยกทางกับนบี อาอิชะห้ได้ กล่าวว่า ฉันจะปรึกษาเรื่องอะไร ในเมื่อฉันเลือกเอาอัลเลาะท่ และศาลนทูฅของพระองค์ และท่านก็ได็ให้ภรรยาฃอฺงท่านทุกคน ได้เลือก และภรรยาทุกคนก็เลือกเอาการที่จะอยู่ร่วมกํบท่านนบี ซ.ล. และการเลือกเช่นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการหย่าแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อสามีได้ให้ภรรยาของตนเล่อก และหล่อนได้เล่อกเอาการอยู่ร่วมกับสามี ก็ไม่ถือว่าเป็นการหย่า และไม่เป็นการแยกทางแด่อย่างใด นี่เป็นท่ศนะของ อัครสาวก ตาบิอีน และนักวิชาการส่วนใหญ่ แด่มีนักวิชาการกลุ่มหนี่ง ได้กล่าวว่า เมื่อสามีได้ให้ ภรรยาเลือก ก็ถือว่าเป็นการหย่าหนี่งตอลากที่เป็นบาอิน คือจะคืนดีกันไม่ได้ นอกจากต้องประกอบพธีแต่งงานใหม่

[467]      บะรีเราะห์นั้นเมื่ออาอิชะห์ได้ปลดปล่อยหล่อนเป็นอ่สระ ท่านนบี ซ.ล. ได้ให้หล่อนเลือก เพราะสามีของฺนางเป็นทาส

บะรีเราะห์ได้กล่าวว่า ฉันได้เลือกเอาตัวเอง ดังนั้น การแต่งงานจึงถือว่า ถูกยกเลิกไปและหล่อนก็กลายเป็นหญ่งที่ลูกหย่า หนี่งตอลากบาอิน

[468]     สามคดีนั้นก็คือหนี่ง สิฑธิ์ในเริ่อง วะลาอ (ซึ่งได้กล่าวมาแล้วว่าในเรื่องมรดก) นั้นฅกเป็นของนายที่ปลดปล่อย สองการ ให้ทาสหญ่งที่ถูกปลดปล่อยเลือกระหว่างการอยู่เป็นสามีภรรยาต่อไปหรือเลิกกัน ในกรณีที่สามีของนางเป็นทาส สาม ของให้ที่ ให้แก่คนยากจนนั้นเป็นซะดาเกาะห์ และของให้นั้นถ้าคนยากจนให้ต่อแก่คนร่ำรวยก็ถือเป็น ฮะดิยะห์

[469]     เมื่อทาสผู้หญิงถูกปลดปล่อยเป็นอิสระโดยที่หล่อนมึสามีเป็นทาส หล่อนก็จะมีสิทธิ์เลือกเมื่อไหร่ก็ได้ ตราบที่สามียังไม่ได้ ร่วมประเวณึกับทล่อน และเมื่อไหร่ที่สามีได้ร่วมประเวณีกับหล่อนแล้ว สิทธิ์ในการเลือกนั้นก็เป็นอันขาดตอนลง นี่เป็นท่ศนะ ของผู้นำมัซฮับทั้งสี่

[470]    ด้วยสายรายงานที่ดออึฟ และที่เศาะฮีหะห์นั้นเป็นหะดีษ เมากูฟ ที่อะบู ฮุรอยเราะห์ ตามต้วบทนี้ชี้ว่า หะซัน กับอะบู ฮุรอยเราะห์ ก็มีทัศนะในคำที่ว่า “เรื่องของเธออยู่ในมือของเธอ” ว่าเป็นการหย่าสาม แม้ภรรยาจะไม่ได้พูดอะไรเลยก็ตาม แต่ที่มีรายงานมานั้นก็คือเมื่อสามีได้กล่าวแก่ภรรยาของตนว่า “เรื่องของเธออยู่ในมือของเธอ" ให้ตัดสินตามที่ภรรยาได้จัดการลงไป อาจเป็นหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่ง นี่เป็นทัศนะของอัครสาวก และตาบิอีนบางท่าน และเป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ มีอ้ครสาวก และตาบิอีนบางท่านกล่าวว่า เป็นการหย่าหนึ่งตอลากบาอิน แม้ภรรยาจะว่ามากกว่าหนึ่งก็ตาม ให้ถือเอาน้อยเป็นหลัก นี่เป็นท่ศนะของซุฟยาน และพวกกูฟิยูน อิบนุ อุมัรได้กล่าวว่า     เมื่อสามีได้กล่าวว่า “เรื่องของเธออยู่ในมือของเธอ" และภรรยาได้หย่าตนเองสามตอลาก แต่สามีอ้างว่า ได้มอบให้ภรรยาจ้ดการเพียงหนึ่งฅอลากเท่านั้น ก็ให้สามสาบาน และให้ฅัดสินตามคำของ สามีพร้อมการสาบาน

[471]    “ในสิ่งที่นางน่ามาไถ่ถอนตัวเอง" คือมอบให้สามีเป็นสินจ้างเพื่อให้สามีหย่านาง

[472]    ภรรยาของ ซาบิต ชื่อ ยะมีละห์ บุตรสาว อะบิ สะลูล ไต้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า            โอ้ท่านรอซูล้ลเลาะห์ ดิฉันด้องการแยกทางกับสามี ดิฉันไม่ได้ประณามเขาในเรื่องความประพฤติ และศาสนา แต่ดิฉันรังเกียจลักษณะการเป็นกุฟร์ (ไร้ศรัทธา) โดยดิฉันเป็นมุสลิมะห์ หรือรังเกียจที่จะกลับไปสู่กุฟร์ ภายหลังจากข้าพเจ้าได้เข้าสู่อิสลาม ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เธอจะคืนสวนให้สามีไหม ที่เขาได้มอบให้เธอเป็นค่าสมรส หล่อนได้กล่าวว่า ค่ะ ท่านนบิจึงใช้ให้ซาบิตลับสวนคืนไป และหย่าหล่อนหนึ่งตอลาก เพื่อป้องกันการแตกแยก ซาบิตจึงตอบรับ และได้ปรากฏว่า ซาบิตนั้นมีภรรยาอีกคนหนึ่ง ชื่อ ฮะบิบะห์ บุตรสาว สะหัล หล่อนได้มาร้องทุกข์ต่อท่านนบิ ซ.ล. ว่าเขาได้ตีหล่อน จนร่างกายบางส่วนของหล่อนแตก และหล่อนได้กล่าวในครั้ง หนึ่งว่า เขาเป็นคนอัปลักษณ์ และหล่อนได้ขอแยกทางกับเขา เขาจึงได้เอา (สินจ้าง) จากหล่อน และหล่อนก็ได้ไปอยู่กับครอบครัวของหล่อน การหย่าโดยมีสินจ้างที่ได้เกิดซ้ำกับชาบิต ร.ฎ. คอตตอบิได้กล่าวว่า ในหะดีษที่เป็นหลักฐานว่า การ

หย่าโดยมีสินจ้างนั้นเป็นการยกเลิก (ฟะซัค) การแต่งงานไม่ใช่เป็นการหย่า (ตอลาก) เพราะถ้าหากเป็นการหย่า ก็จะด้องมีเงื่อนไข ของการหย่า เช่นด้องหย่าในขณะภรรยาอยู่ในระยะสะอาดจากระดู โดยสามีไม่ได้ร่วมประเวณ์ในระยะที่สะอาดนี้ การหย่าเกิดจาก สามีเพียงคนเดียว โดยไม่มีความยินดีจากฝ่ายหญิงด้วย และในเมีอท่านนบิ ซ.ล. ไม่ได้ทราบสถานการณ์ในเรื่องนี้ และท่าน ได้อนุญาตให้สามีเลิกกับภรรยาในสถานที่นั้น ก็ชี้ว่า นั้นเป็นการยกเลิกการแต่งงาน (ฟะซัค) ไม่ใช่เป็นการหย่า (ตอลาก) และ เพราะกำหนดกักตัว (อิดดะห์) ในการฟะซัคนี้เพียงมีระดูครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนอิดดะห์ในเรื่องหย่านั้นด้องมีระดูสามคร้ง นี่เป็น ทัศนะของอิบนิ อับบาส โดยอิบนิ อับบาสได้ล้างหลักฐาน จากคำดำรัสฃองอัลเลาะห์ฅาอาลาทว่า "การหย่า (ที่จะคืนกันได้นั้น) คือสองตอลาก" จากนั้นได้กล่าวถึงเรื่องการหย่าโดยมีสินจ้าง โดยอ้างถึงคำดำรัสที่ว่า “ดังนั้นถ้าหากพวกท่านกลัวว่าเขาทั้งสองจะไม่สามารถยืนหยัดอยู่กับขอบเขตที่ลัลเลาะห้กำหนดได้” แล้วกลับมาพูดถึงเรื่องการหย่าอีก โดยล้างคำดำรัสที่ว่า และถ้าหากเขาหย่าหล่อน นางก็จะไม่เป็นที่อนุมัติแก่เขาอีก จนกว่านางจะด้องแต่งงานกับสามีคนใหม่เสียก่อน" ดังนั้นถ้าหากการ หย่าโดยมีสินจ้างนับว่าเป็นการหย่าแล้ว การหย่าก็จะด้องมีสี่ตอลาก สำหรับในเรื่องนี้ ฅอวูส, อิกริมะห้, อะห์มัด. อิสหาก, อะบุเซาร์ เห็นพ้องกับอิบนิ อับบาสด้วย และเป็นทัศนะที่อ่อนของชาฟิอี จำนวนตอลากจะไม่พร่องไปในกรณีที่ใข้คำว่า “ปลดภรรยาออกไป” หรือใช้คำว่า “ไถ่ตัว” โดยไม่ได้มีเจตนาว่าเป็นการหย่า (ตอลาก) อิบนุ กอยยิมได้กล่าวว่าหลักฐานที่ว่าการหย่าโดยมีสินจ้างนเป็นการยกเลิกการแต่งงาน (ฟะชัค) ไม่ใช่เป็นการหย่า (ตอลาก) เพราะการหย่าหลังจากได้ร่วมเพศแล้วจะท่าให้เกีดข้อบังคับ ขึ้นสามประการ ชึ่งทั้งสามประการที่ไม่มีในการหย่าโดยมีสินจ้าง ประการแรก คือ สามีมีสิทธิ์กลับไปคืนดี ประการที่สอง คิดจาก จำนวนสามฅอลาก และประการที่สาม มีกำหนดกักตัว (อิดดะห์) คือ สาม กุรุอ์ นักวิชาการส่วนใหญ่ ทั้งอัครสาวกและตาบิอีน ได้กล่าวว่า การหย่าโดยมีสินจ้างนั้นถือฺว่าเป็นการหย่าบาอิน และเป็นทัศนะที่ถูกต้องที่สุดในสองทัศนะของชาฟิอี และเมื่อเป็น ไปตามที่ จำนวนการหย่าก็จะพร่องลงไป ซึ่งต่างกับการฟะซัค และดำเนินตามทั้งสองทัศนะ การหย่าโดยมีสินจ้าง ถือว่าเป็นบาอินเล็ก ที่จะคืนดีกับภรรยาได้อีกก็ด้วยการท่าพิธีแต่งงานกันใหม่ และการหย่าโดยมีสินจ้างที่จะทำให้หลุดพ้นจากการหย่าที่มีข้อผูกพัน

(ตะอลิก) แม้จะมีข้อผูกพันด้วยการหย่าสามต่อลากก็ตาม เช่น ชายคนหนึ่งสาบานว่า ถ้าเขาพูดกับนายเซด เขากับภรรยาของเขาขาดก้นสามตอลาก และเขาด้องการจะพูดกับนายเซด ให้เขาหย่าภรรยาโดยมีสินจ้าง แล้วพูดกับนายเซด และทำพิธีแต่งงานกันใหม่ เป็นครั้งที่สอง ก็จะถือว่าไม่ได้มีการหย่าเกิดขึ้น เพราะผู้หญิงที่ถูกหย่าบาอิน นั้น การหย่าจะไม่มาพ่วงติดอีก ดังนั้น การที่เขาพูดกับนายเซดหลังจากได้หย่าภรรยาโดยมีสินจ้างไปแล้ว จึงไม่ถือเป็นการหย่าตามที่เขาได้ตั้งข้อผูกพันไว้ แต่ให้นับว่า การหย่าโดยมีสินจ้างที่เป็นการหย่าหนึ่งตอลาก ในทัศนะชองนักวิชาการส่วนใหญ่

[473]    หมายความว่า เดีอนนี้มียี่สิบเก้าวัน และมันก็ครบแล้ว และฉันได้ทำในสิ่งที่เห็นว่าดี ในคำสาบานของฉัน

[474]    หล้ง์จากสิ่เดือนไปแล้ว สามีจำเป็นต้องกลับไปอยู่ร่วมกับภรรยาโดยดี หรือไม่ก็หย่า ถ้าไม่เช่นนั้น จะเป็นบาป และไม่เป็นการหย่าในทัศนะของนักว่ชาการส่วนใหญ่ อัครสาวก และตาบิอีนบางท่าน รวมทั้งซุฟยาน และพวกกูฟิยีน ได้กล่าวว่า เมื่อ พ้นกำหนดสิ่เดีอนไปแล้ว ถือว่าเป็นการหย่าหนี่งตอลากบาอิน

[475]    ท่านนบิ ซ.ล. ได้เคยสาบานไม่ร่วมประเวณีลับภรรยาของท่าน และได้กาหนดของฮะลาลบางอย่าง เป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) แก่ตัวท่าน เช่น การร่วมประเวณีกับมารียะห์ และการดื่มน้ำผํ้ง เพราะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ท่านต้องสาบาน แต่ต่อมาท่านก็ได้ทวน คำสาบานนี้ และได้ทำให้สิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) กลายเป็นสิ่งฮะลาล และท่านได้จ่ายกัฟฟาเราะห์ในเรีองสาบาน

[476]     ดังนั้นผู้ใดได้กล่าวแก่ภรรยาของตนว่า “เธอเป็นสิ่งต้องห้ามสำหร้บฉัน” จะถือว่าไม่ใช่เป็นการหย่า แต่เขาต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์สาบาน นี่เป็นทัศนะของ อิบนิ อับบาส อิบนิ อุมัร และเซด บุตรชาบิต มีอัครสาวก ตาบิอิน และนักวิชาหะดีษ บางท่านกล่าวว่า เป็นเพียงคำพูดที่ไร้สาระ ไม่มีสิ่งใดตกหน้กแก่เขา ได้มีรายงานจากอะลี ร.ฎ. ว่า เป็นการหย่าสาม และ เป็นทัศนะของมาลิกี หะซันบัสรี และชาฟือี กล่าวว่า เป็นคำกินายะห์ ที่อาจดีความเช่นการหย่าก็ได้หรือไม่ใช่ก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้พูด ดังนั้นถ้าหากผู้พูดเจตนาว่าเป็นการหย่า มันก็เป็นการหย่า ถ้าไม่เจตนาเป็นการหย่า มันก็'ไม่เป็น ฮะนาฟี กล่าวว่า ถ้าหากเจตนาเป็นการหย่า ก็ตกเป็นหย่าบาอิน และถ้าไม่เช่นนั้น ก็ตกเป็นการสาบานอะห์มัดและน้กวิชาการกลุ่มหนี่งกล่าวว่า ในคำพูดที่ว่านี่ ต้องจ่าย กัฟฟาเราะห์สาบาน

[477]     ลิอาน แปลว่า ขับไสไล่ส่ง แปลตามบัญญัติ คือ การทึ๋สามีสาบานต่อหล้า ฮากิม ว่าเชาพูดความจริงที่ได้กล่าวหาว่าภรรยา ของตนละเมิดประเวณี หล้งจากนั้นภรรยาก็สาบานว่า สามีของตนพูดเท็จ การลิอานเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุมัติ ถ้าหากภรรยาได้ ละเมิดประเวณีจริง และเมื่อได้เกิดการสาบานกันและกันแล้ว หญิงนั้นจะแต่งงานกับชายผู้นั้นไม่ได้ตลอดกาล นี่เป็นทัศนะของ นักวิชาการส่วนใหญ่ ฮานะฟี ได้กล่าวว่า จะไม่ทำให้ต้องห้าม และจะไม่มีการแยกทางกัน จนกว่า ฮากิม จะตัดสินให้เป็นเช่นนั้น

[478]    คอ-และบรรดาผู้ที่ได้กล่าวหาภรรยาของตนว่าละ!ม่ดปรรทณ โดยที่พวกเขาไม่มีพนาน นอกจากต่วของพวกเขาเอง ดังล้น ให้คนหนี่งของพวกเขา ปฎิญาณสิ่ครั้งด้วยนามของกัล!ลาะนี่ ว่าเขาเป็นคนที่พูดความจริง และครั้งที่ห้าว่า ให้การสาปแช่งของ อ่ล!ลาะห์!ก่ดก้บ!1ขา ล่าหากเขาเป็นคนทิพูดโกหก และที่จะป็องก่ล้การลงโทบหล่อนได้ก็คือให้หล่อนปฎญาณสิ่ครั้งด้วยนามของ ทิล!ลาะห์ว่า 1ฃาเป็นคนโกหก และครั้งที่ห้าว่าให้การโกรธกริวของกัล!ลาะห์ เกดกับหล่อน ล่าหากเขาเป็นคนที่พูดความจริง

[479]   ในบางรายงานว่า ท่านนบซ.ล. ไดให้ชายคนหนี่งกบภรรยาของเขาสาปส่งก่ง! และเขาได้ปฎิ!ลธลูกที่!ทดกับนาง และต่อมา ท่านได้แยกทางระหว่างบุคคลล้งสอง และได้ให้บุตรที่เกิดมาใช่สกุลของฝ่ายหญ่ง

[480]    หมายความว่า หล่อน เป็นสิ่งด้องห้าม แก่ท่านตลอดกาล

[481]    สามีได้กล่าวว่า ทรัพย์สินของข้าพเจ้า ที่หล่อนได้เอาไปเป็นค่าสมรสและอื่นๆ ท่านได้กล่าวว่า จะไม่มิทรัพย่สินใดๆ เปีนของท่านติดอยู่ที่หล่อน ถ้าหากท่านพูดความจริง ทรัพย์สินนั้นก็แลกเปลี่ยนกับการที่ท่านได้ร่วมเพศกับหล่อน และถ้าหากท่าน พูดโกหก ทรัพย์สินกันก็จะยิ่งห่างไกลจากท่าน เพราะท่านได้หาความสุขจากนาง แล้วยังได้กล่าวหานาง ที่ว่านี้หมายถึงภรรยา ที่ได้ถูกร่วมเพศแล้ว โดยความเห็นต้องกันของนักวิชาการ ส่วนภรรยาที่ลังไม่ถูกร่วมเพศ ก็จะได้ค่าสมรสคร่งหนึ่งตามทัศนะของ ชาฟิอี มาลิก และอะบีฮะนีฟะห์ บางทัศนะว่า หล่อนจะได้ทั้งหมด และบางทัศนะว่า หล่อนจะไม่ได้อะไรเลย 

482 เขาชื่อ อุวัยรี อัลอัจลานึย์ ได้มาหาท่านนบื ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห่ เมิ่อผู้ชายคนหนึ่งเห็นมีผู้ชาย

อื่นร่วมประเวณีกับกรรยาของเขา (เขาจะทำอย่างไร?) ถ้าหากเขาพูดออกไป พวกท่านก็จะเฆี่ยนเขาเป็นการลงโทษการทล่าวหา และถ้าหากเขาฆ่าคนใดคนหนึ่ง พวกท่านก็จะต้องฆ่าเขา และถ้าหากเขาเฉยเสีย ความแค้นเคืองก็จะต้องฆ่าเขา ท่านนบี ซ.ล. จึงได้วิงวอนขอต่อพระผู้อภบาลของพระองค์อายะห่ในเรื่องลิอาน จึงได้ถูกประทานลงมา ท่านนบี ซ.ล. จึงได้เรียกคนทั้งสองมา แล้วอ่านอายะห์ลิอาน ให้คนทั้งสองฟัง และได้อบรมคนทั้งสอง เพื่อว่าเขาทั้งสองจะกลับคำ และกลับตัวสู่ลัลเลาะห์ แต่คน ทั้งสองก็ไม่ยอม ท่านนบีจึงให้คนทั้งสอง ลิอานกันในมัสญิด ต่อหน้าประชาชนกลุ่มหนึ่ง และได้แยกทางคนทั้งสอง เพื่อฟ้องก้น ความเส์อมเสีย หากจะอยู่ก้นอย่างสามีภรรยาต่อไป

[483]     คำปฎิญาณของฝ่ายชุายก็คือข้าพเจ้าขอปฎิญาณด้วยนามของอัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้าเป็นคนที่พูดความจริง ที่ได้กล่าวหา ภรรยาของข้าพเจ้าชื่อนั้น ชื่อนั้น ว่าละเมิดประเวณี, กล่าวสี่ครั้ง และในครํ้งที่ห้าให้กล่าวว่า ให้การสาปแช่ง'ของอัลเลาะห์เกิดกับเขา ถ้าหากเขาพูดโกหก หลังจากนั้น ให้ภรรยาปฎิญาณว่า ข้าพเจ้าขอปฎิญานต่อลัลเลาะห่ว่า สามีของข้าพเจ้าชื่อนั้น ชื่อนั้น เป็นคนพูดโกหก ที่ได้กล่าวหาข้าพเจ้าว่าละเมิดประเวณี กล่าวสี่ครั้ง และในครั้งที่ห้าว่า ให้ความกรํ้วโกรธของอัลเลาะห์ เก้ด กับหล่อน ถ้าหากเขาเป็นคนพูดความจริง นักวิชาการมีทัศนะต่างกัน ในบุคคลที่ได้พบผู้ชายอื่น ละเมิดประเวณีอยู่ก้บภรรยา ของตน, นักวิชาการส่วนใหญ่มีทัศนะว่า ไม่ให้เขาฆ่าชายชู้ และถ้าหากเขาฆ่าชายชู้ เขาก็จะต้องถูกกิสอส นอกเสียจากเขาจะน่า พยานมายืนยัน และมีนักวิชาการบางท่านว่า ถ้าหากเขาฆ่าชายชู้ เขาก็จะไม่ถูกฆ่า เพราะปรากฎเครื่องหมายแห่งความสัจจะของเขา เพราะคำแก้ตัวของเขาฟังขึ้น

[484]     เด็กที่เกิดจากทารละเมิดประเวณี จะไม่ใช้สกุลของขายที่ละเมิดประเวณี แด่จะใช้สกุลของแม่ ถ้าทากแม่เป็นเสรีชน ดังได้กล่าวนาแล้วในเรีองลิอาน และถ้าหากแม่เป็นทาสหญิง เด็กนั้นด็จะใช่สกุลของนายแม่ ดังปรากฎในเรี่องนี้

[485]     หมายความว่ากิจกรรมในสมัยญาฮิลียะห์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว มีแต่หลักการของอิสลาม ดังนั้น เด็กจะต้องเป็นของเจ้าที่นอน คือเป็นของแม่ เพราะแม่เป็นเสรีชน ต่างกับทาสผู้หญิง ซึ่งเด็กนั้นจะใช้สกุลของผู้เป็นนายของนาง

[486]    ดังนั้นการที่มีสีผิวต่างกัน ไม่ใช่เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเด็กนั้น เกิดจากการผิดประเวณี บางที่อาจเป็นเพราะกรรมพันธุ์ที่ตกทอด จากบรรพบุรุษก็ได้ ดังนั้นจงควรมองในแง่ดี นอกจากในกรณีที่คล้ายกับชู้มาก หรือละเมิดประเวณีจริง

[487]     ผู้หญิงคนใดที่อ้างเด็กคนหนึ่งว่า อยู่ในสกุลของคนพวกหนึ่ง ทั้งที่ไม่ใช่เช่นนั้น หล่อนจะไม่ได้ส่วนดีใด ๆ ในศาสนาของ อัลเลาะห์เลย แต่หล่อนจะได้ไฟนรก และชายคนใดที่ปฎิเสธลูกของตนทั้งที่รู้ดีว่าเป็นลูกของตน อัลเลาะห์จะเบือนหนีเขา และ ทำให้เขาต้องอับอาย

[488]    เซคคนนี้เป็นทาสของท่านนบี ซ.ล. มีผิวขาว ส่วนลูกชายของเขาคือ อุซามะห์ มีผิวดำ เพราะเกิดจากมารดาที่มีผิวดำ

บางคนเกิดความสงสัยว่าเป็นลูกของเขาจริงไหม เพราะอุซามะห ผิวดำ แต่เชด ผิวขาว เมื่อนักดูลักษณะเข้ามา แล้วกล่าวว่า เท้านี้บางส่วนมาจากอีกบางส่วน หมายความว่า คนทั้งสองนี้ มีคนหนึ่งเป็นลูกและอีกคนเป็นพ่อ ท่านนบ ซ.ล. จงดีใจมาก คำ ของนักดูลักษณะนี้ใข้เป็นหลักฐานไต้ใดย อุมัร และอิบนุ อันบาส'ได้ไข้ตัดสินมาแล้ว และเป็นทัศนะของ อะตออ, มาลิก, ชาฟิอี, อะห์มัด และนักวิชาการหะดีษโดยทั่วไป ฮานะฟีกล่าวว่า ไม่พิจารณาคำพูดของนักดูลักษณะ เพราะเป็นการคาดหมายที่อาจถูกและผิดได้

[489]    การที่ท่านนป็ ซ.ล. ดีใจมากนี้ ถือเป็นการยอมรับของท่านในการจับฉลาก ดังนั้นการปฏิบัติให้เป็นไปตามฉลาก ถือว่าถูกด้อง เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ทั้งยุคก่อนและยุคหลัง นอกจาก มาลิก และอะบุฮะนีฟะย์ ซะย์

[490]     ซิฮาร คือการที่ชายคนหฺนึ่งกล่าวกับภรรยาของตนว่า “เธออยู่เหนือฉัน เหมีอนหลังมารดาของฉัน” หมายความว่า การที่ ฉันจะอยู่ร่วมกับเธอ เป็นสิ่งต้องห้ามเหมือนกับการที่ฉันจะอยู่ร่วมกับมารดาของฉันเองอย่างสามีภรรยา, ซิฮาร ถือเป็นการหย่า เหมือนกับการสาบานไม่ร่วมเพศกับภรรยา ในสมัยญาฮิลียะห์ แต่อิสลามได้มาเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดดังกล่าว เป็นว่า ภรรยานั้น เป็นสิ่งต้องห้าม หลังจากเขาทวนคำจนกว่าจะจ่ายกัฟฟาเราะห์ และถ้าหากเขาไม่ได้กล่าวถืงแม่เช่นกล่าวว่า เธออยู่เหนอฉัน เหมือนหลังของพี่สาวฉัน, เช่นนี้ถือว่าไม่เป็น ซิฮาร ในทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ แต่ซิฮาร จำก้คอยู่เฉพาะที่ แม่ เท่านั้น ดังปรากฏใน กิตาบ และ ซุนนะห์ ฮานะฟี และเซารีย์ได้กล่าวว่า คนที่ต้องห้ามแต่งงานอื่น ๆ ก็เหมือนกับแม่ เพราะมีเหตุผล ร่วมคือ ห้ามแต่งงานตลอดกาล

[491]     คือไม่ทำตามที่พูด ที่ว่า เขากับภรรยาจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ เพราะการยึคเอาภรรยาไว้ โดยไม่หย่า ถือว่าเป็นการไม่ทำตาม คำพูด

[492]     ความหมายของอายะห์ที่เหลอก็คือดังนั้นผู้ใดไม่มี (ทาส) ให้ถือศีลอดสองเดือนติดต่อกัน ก่อนที่เขาทั้งสองจะสัมผัส (ทางเพศ)กัน ดังนั้น ผู้ใดไม่มีความสามารถ ให้เขาจงให้อาหารแก่คนยากจนหกสิบคน ดังนั้นแหละ เพื่อพวกท่านจะมีศรัทธา ต่ออัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์ และนั่นแหละ คือขอบเขตของอัลเลาะห์ และพวกผู้ไร้ศรัทธานั้น จะได้รับการลงโทษ อันเจ็บปวด

[493]    ดังนั้นถือว่าห้ามร่วมประเวณีกับนางจนกว่าจะจ่ายกัฟฟาเราะห์ ตามที่ปรากฏในต้วบทของอัลกุรอานเสียก่อน

[494]    หมายความว่า เขามีความต้องการผู้หญิงมาก

[495]   คอภล่วว่าจะร่วมเพศึก*บภรรยา

[496]    หนึ่งวัสก์ มีหกสิบ ซออ์ แบ่งให้คนยากจนจำนวนหกสิบคนๆ ละหนึ่ง ชออ และที่ท่านนบีกล่าวว่า “ที่เป็นอินทผลัม" เพราะมันเป็นอาหารของพวกเขาในขณะนั้น และถ้าไม่เช่นนั้นก็ให้ใช้สิ่งที่ใช้เป็นอาหารหนักของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม

[497]    หมายถึง จงไปหาคนรวบรวมชะกาตของตระภูลบะนชุรอยก็ ซึ่งเป็นเผ่าใหญ่เผ่าหนึ่ง โดยซะละมะห์คนนี้เป็นคนอยู่ใน ตระภูลบะยาเดาะห์ ซึ่งแตกมาจากเผ่าดังกล่าว ตามตัวบท,ของรายงานที่ ว่า คนยากจนแต่ละคนจะได้หนึ่งชออเป็นทัศนะของ อะนะฟี ยกเว้นข้าวสาลี คนละครึ่ง ซออฺ ก็ใช้ได้ แต่นักวิชาการส่วนใหญ่ว่า จะต้องจ่ายให้แก่คนยากจน คนละหนึ่งมุด (หนึ่ง ซออฺ มีสี่มุด) โดยมีหะตีษที่รายงานโดย เดาละห์ บุตรสาว ซอมิต ซึ่งจะได้นำมากล่าวในภาคการบรรยายความหมายอัลกุรอาน และโดยอาศัยหลักกิยาส กับ กัฟฟาเราะห์ การร่วมประเวณในรอมาดอน

[498]    และอะห์มัด และฮากีมถือว่าเป็นหะตีษเศาะฮีหะห์ ดังนั้นผูใดที่ได้กล่าวแก่ภรรยาของเขาว่า “เธอเป็นสงต้องห้ามสำหรับฉัน เหมือนแม่” เป็นต้น ถื้อว่าเป็นการฮะรอมที่เขาจะร่วมประเวณีกับหล่อน จนกว่าจะจ่ายกัฟฟาเราะห์ ด้วยการปลดปล่อยทาส ถ้าไม่มีให้ถือศลอด สองเดือนติดต่อกัน, ถ้าไม่สามารถถือศีลอดก็ให้อาหารแก่คนยากจนหกสิบคน และถ้าหากเขาได้ร่วมประเวฌี

กับหล่อนก่อนที่จะจ่ายกัฟฟ่าเราะบ่ ก็จะไม่ต้องจ่ายกัฟฟาเราะบ่ซ้ำ ในทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ มีนักวิชาการมางท่านกล่าวว่า เขาจะต้องจ่ายสองกัฟฟาเราะบ่ และกัฟ่ฟ่าเราะห์นี้จะไม่หลุดพ้นไปเพราะไม่มีความสามารถ แต่จำเป็นจะต้องจ่ายเมื่อเขามั่งมี

[499]     เพราะเป็นการฮะรอม ที่จะรวบเอาไว้ทั้งสองคนพี่น้อง และดามตัวบทของหะดิษที่ ชี้ว่าเขาจะเลือกเอาคนใดไว้ก็ได้โดย ไม่มีข้อแม้ ที่เป็นทัศนะของนํก่วิชาการส่วนใหญ่ ฮะนาฟีได้กล่าวว่า ให้เขาเลือกเอาคนที่แต่งงานก่อน และถ้าหากเขาแต่งงาน พร้อมก่น ก็ให้แยกทางทั้งสองคน และแต่งงานใหม่กํบคนที่เขาต้องการ

[500]    หลักฐานเหล่าที่ชี้ว่า การแต่งงานของกาฟิรนั้นใข้ได้ เพราะเมื่อพวกเขาเข้าสู่อิสลาม พวกเขาไม่ได้ถูกใข้ให้แต่งงานใหม่

[501]    การเข้าสู่อีสลามของคนหนึ่งคนใดจากคู่สามีกรรยา จะทำให้การแต่งงานทั้นถูกยกเลิก ถ้าหากอีกคนหนึ่งยังล่าช้าอยู่เป็น เวลานาน

[502]    และท่านนปึก็ได้ส่งนางคืนให้แก่เขา โดยกล่าวว่า หล่อนเป็นภรรยาของท่าน และเมีอสามีภรรยาคู่หนึ่งเข้าอิสลามพร้อมกัน เขาทั้งสองก็อยู่ในนิกาห์เดิม

[503]     เมื่อคนหนึ่งคนใดของสามีภรรยาได้เข้าอิสลาม และอีกคนหนึ่งได้เข้าอิสลามตามมาก่อนหมดกำหนดกักตัว (อิดดะห์) การ นิกาห้ ของคนทั้งสองยังคงอยู่ นี่เป็นทัศนะของนิกวิชาการส่วนใหญ่ ฮะนะฟีได้กล่าวว่า การแยกทางระหว่างทั้งสองจะเกิดขึ้น ด้วยหนึ่งจากสามประการคือ หมดอิดดะห์ หรือ เสนอให้อีกคนหนึ่ง ร้บอิสลาม แต่เขาไม่ยอม หรือคนหนึ่งคนใดย้ายจากประเทศ อิสลามไปยังประเทศของฝ่ายศัตรู

[504]     ความมุ่งหมายของหล่อนก่คอ หล่อนม่สิทธิ์ที่จะได้เด็กไปเลื้ยงดู เพราะหล่อนมีคุณล่กษฌะเหล่านื้ โดยพ่อไม่มีสิทธิ์ ท่าน นบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เธอมีสิทธิ์ได้เด็กไป ตราบเท่าที่เธอยังไม่แต่งงาน นี่เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่

[505]     เชดได้เดินทางไปย้งมักกะห์ และได้นำเอา อิมาเราะห์ บุตรสาว ฮัมซะห์มา อะลี และยะอฺฟ่รได้แย่งกันเอาตัวหล่อนไป เพราะหล่อนเป็นบุตรสาวลุงของเขาทั้งสอง ท่านนบีซ.ล. ได้ตัดสืนหล่อนให้แก่ยะอฺฟ้ร บุตรอะบีตอสิบ เพราะน้าสาวของอิมาเราะห์ ชื่ออัสมาอ์ บุตรสาวอุมัยส์ เป็นภรรยาของเขา และท่านนบีได้กล่าวว่า น้าสาว เหมือนแม่

[506]    เมื่อสามีกับภรรยาได้ขัดแย้งกันในเรื่องบุตรของคนทั้งสอง ท่านนบี ซ.ล. จงได้เสนอไน้คนทั้งสองจับฉลาก ฝ่ายบิดาได้กล่าวว่า ใครจะมาโต้แย้งกับฉันในเรื่องลูกของฉัน เมื่อคนทั้งสองไม่ยอมจับฉลาก ท่านนบี ซ.ล. จึงให้เด็กเลือก และเด็กได้เลือกเอามารดา ท่านนบี ซ.ล. ไดให้การยอมรับ นี่เปีนวิธีการที่จะได้ตัวผู้เลี้ยงดูเด็ก ให้จับฉลาก ถ้าหากทั้งสองฝ่ายยินยอม ถ้าไม่เช่นนั้นเให้เด็กเลือก ระยะเวลาของการเลี้ยงดู       จะสิ้นสุดเมื่อเด็กมีอายุเจ็ดหรือแปดปี ในทัศนะของชาฟิอี และอิสหาก ฮะนะฟี และ เซารี กล่าวว่า แม่มีสิทธในตัวเด็กผู้ชาย จนกว่าเด็กจะกินและสวมใส่ได้ด้วยตัวเอง และเด็กผู้หญิง จนกว่าจะมีระดู หลัง จากนั้น ผู้เป็นพ่อจะเป็นผู้มีสิทธิ์ มาลิก ได้กล่าวว่า แม่มีสิทธิ์ในตัวเด็กผู้หญิง จนกว่าจะแต่งงาน และพ่อมีสิทธิ์ในตัวเด็กผู้ชาย จนกว่าจะบรรลุศาสนภาวะ

[507]     เมีอสามีหายหน้าไป ไม่รู้ที่อยู่ ไม่มีข่าวคราว ภรรยาจะต้องรอสามีเป็นเวลาสี่ปี ซึ่งเปืนเวลาของการตั้งครรภ์ที่มากที่สุด จากนั้นให้กักตัว เท่ากับระยะกักตัวของสามีตาย เพราะอาจเป็นได้ว่าสามีได้ตายไปแล้ว หลังจากนั้นภรรยาก็จะแต่งงานใหม่ได้ตาม ต้องการ และจะไพ่พิจารณาใด ๆ ต่อการที่สามีจะกลับมาหลังจากนั้น เพราะถือว่า สามีเลินเล่อ ที่ไม่แจ้งข่าวให้ภรรยารู้ และในเรื่องนี้ จำเปีนต้องให้ผู้พิพากษาศาสนารู้เรึ่องและอนุมัติ นี่เปีนทัศนะของ ซุห์รีย์ และมาลิก ชาฟิอีได้กล่าวว่า เมีอมีหลักฐาน ยืนยันว่าสามีตาย หรอกอดี ได้ตัดสันว่าสามีตาย โดยผ่านช่วงเวลาที่สามีไพ่อาจมีช่วิตอยู่ได้เกินกว่านั้น ก็ให้ภรรยาตั้งกำหนดกักตัว แต่งงาน และแบ่งมรดกของสามี

[508]    ถ้าหากเป็นเชลยสงครามที่รู้ว่า ยังมีชีวิตอยู่ ทรัพย์ของเขายังแบ่งไม่ได้ และภรรยาของเขาก็จะยังแต่งงานไม่ได้ ถ้าหากข่าวของเขาขาดหายไป ให้ภรรยารอคอยเปีนเวลาสี่ปี และให้กักตัวเท่ากับระยะกักตัวของหญิงที่สามีตาย, หลังจากนั้นยินยอมให้ ภรรยาแต่งงานได้ ให้แบ่งทรัพย์ของเขา และจะไม่พิจารณาการที่เขามาภายหลังจากนั้น         เพราะถือว่าเขาประมาท

[509]     ระยะกักตัว (อิดดะห์) คือระยะที่ภรรยาต้องกักตัวเองจากการแต่งงาน ภายหลังจากสามีตายหรือแยกทางกัน เคลดลับใน การนี้ก็คือเพื่อให้มดลูกปลอดจากการตั้งครรภ์ “การปล่อยตัว” คือการที่ผู้หญิงไม่แต่งตัว ไม่ใส่เครื่องหอม เพราะสามีตาย หรือ ญาติสนิทคนหนึ่งคนใดตาย

[510]     คำว่า คุรุอ เปีนพหูพจน์ แปลว่า ความสะอาด (ในระหว่างสองระดู) หรือ แปลว่า ระดู เป็นคำที่ใช้ร่วมกันระหว่างทั้ง สองความหมายนั้น “สิ่งที่อัลเลาะห์สร้างไว้ในมดลูกของพวกผู้หญิง” ก็คือครรภ์และระดู ดังนั้น อิดดะห์ของหญิงที่ถูกหย่าก็คือสาม คุรุอ

[511]    ดังนั้น อิดดะห็ของหญิงที่หมดหว้งจากการมีระดูแล้ว เพราะชราภาพ และหญิงที่ไม่มีระดูโตยธรรมชาติ หรือยังเป็นเด็ก อิดดะห็ของนางคือ สามเดือน จันทรคติ ส่วนหญิงที่ตั้งครรภ์ อิดดะห็ของหล่อนคือ การคลอดบุตร

[512]    ผู้หญิงที่ถูกหย่าก่อนร่วมเพศ ไม่ต้องมีอิดดะห์

[513]    ผู้หญิงที่สามีตายจาก อิดดะห์ฃองนางคือ สี่(เดือนสิบวัน ถ้าไม่มีครรภ์ และถ้ามีครรภ์ อิดดะห์ของนายก็คือการคลอดบุตร

[514]    คืออิดดะห์ที่ยาวที่สุดของสองอิดดะห็ ป่นก็คืออิดดะห็สามีตาย

[515]    รุกัยบ์ เป็นทาสของ อิบนุ อับบาส อิบนุ อับบาส กับ อะบุ ซะละมะห์ โต้เถียงกันในเรื่องผู้หญิงที่คลอดบุตร หลังจากสามีตายไปเป็นเวลาหลายวัน อิบนุ อับบาส กล่าวว่า อิดดะห์ของนางคือ อิดดะท์สามีตาย อะบุ ซะละมะห์ได้กล่าวว่า อิดดะห์ของ นางคือ การคลอดบุตร อะบู ฮุรอยเราะห็ เห็นต้วยรับอะบู ซะละมะห์ หลังจากนั้นพวกเขาได้ส่ง     ทาสของอิบนุ อับบาสไปถาม

อุม ซะละมะห์ และนางได้ตอบมาว่า อิดดะห็ของหญิงนั้นคือ การคลอดบุตร

[516]     คอถ้าหากหล่อนปรารถนา เพราะอิดดะห์ ได้สิ้นสุดลงแล้วด้วยการคลอดบุตร

[517]     ตังนั้นผู้ไดที่สามีของนางตายจาก นางจะต้องอยู่ในกำหนดกักตัวของหญิงที่สามีตาย แม้สามียังไม่ได้ร่วมประเวณึกับนาง ก็ตาม สรุปที่ผ่านมาว่า ผู้หญิงที่มีอิดดะห์นั้น บางที่ตั้งครรภ์หรือไม่ตั้งครรภ์ ถ้าหากตั้งครรภ์ อิดดะห ก็คือคลอดบุตร และถ้า หากไม่ตั้งครรภ์ ก็พิจารณาว่า ถ้าหากเป็นอิดดะห์เนื่องจากสามีตาย ก็สี่เดือนสิบวัน และถ้าหากไม่ตั้งครรภ์ และอิดดะห์นั้นไม่ใช่ เพราะสามีตาย ก็ให้พิจารณาว่า หญิงนั้นมีระดูไหม ถ้ามีระดู ก็สามกุรุอ์ และถ้าไม่มีระดูก็สามเดือน ส่วนทาสผู้หญิงนั้น ให้มี อิดดะท่ครึ่งหนึ่งของเสรีชน

[518]    กำหนดตักตัว (อิดดะห์) ของทาสผู้หญิงนั้น คือสองระดู เพราะกับครึ่งหนึ๋งของผู้หญิงที่เป็นเสรีชน และด้วยการมีระดู ครั้งเดียวนั้น ก็รู้แน่ช้ดแล้วว่า มดลูกว่าง การกำหนดให้มีสองระดู หรือสามระดูนั้นก็เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน สำหร่บทาสหญิง ที่ไม่มีระดู อิดดะห์ ของนางคอ หนึ่งเดือนครื่ง และถ้าสามีตายก็ หกสิบห้าวัน

(618)       ซัยนับ คนนี้เคยเป็นลูกเลี้ยงของท่านนบี ซ.ล. นางเป็นผู้แตกฉานในวิชาฟิกฮ์ยิ่งกว่าผู้ใดในสมัยของนาง หล่อนได้รายงานหะดีษทั้งสามนี้ หะดีษแรกจาก อุมมี ฮะบีบะห์ หะดีษที่สองจาก ซัยนับ บุตรสาว ยะห์ช และหะดีษที่สามจากมารดาของ นางเองคืออุมม์ซะละมะห์ ทั้งสามหะดีษระบุว่า การปล่อยตัวเพื่อคนตายเกินกว่าสามวัน นอกจากคนตายที่เป็นสามีนั้นถือว่า เป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม)

[520] “คอลูก” เป็นเครื่องหอมผสมชนิดหนึ่ง อุมม์ฮะบีบะห์ ได้ร้องขอเครื่องหอมชนิดนื้แล้วชะโลมมีอทั้งสองช้างของนาง

คือได้ถามสองหรือสามครั้ง และทุกครั้งท่านนบีจะตอบว่าไม่ได้ ที่ท่านนบีห้ามหล่อน ก็เพื่อไม่ให้ผู้หญิงใช้การป่วยเป็นข้ออ้าง ในการตกแต่งในระหว่างที่ยังอยู่ในช่วงกักตัว ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว การป๋วยย่อมทำให้อนุญาต ยิ่งไปกว่านั้นยังวายิบ (จำเป็น) ต้องใส่ยาตาในกรณีที่ไม่มียาอื่นอีกต้วย

  1. คือกำหนดกักตัวที่สามีตนจาก
  2. เพราะเศร้าใจในการจากไปของสามี

[522]         จะมีผู้นำเอาขี้ส้ตว์มาให้ และหล่อนก็จะขว่างมัน เพื่อแสดงว่าสิ่งที่หล่อนได้กระทำไปเพื่อสามีนนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย ยิ่งกว่าขี้สัตว์, การปล่อยต้วและกำหนดกักตัวอันเนื่องมาจากสามีตายจากในสมัยญาฮิลิยะห์นั้น มีกำหนดหนึ่งปีโดยอยู่ในสภาพนี้

  1. กุสต์ อัซฟาร ทั้งสองขนิดนี้เป็นเครืองหอมท่เข้าการะบูน ใข้เป็นเครื่องประทินหรืออบ ผู้หญงขณะที่อยู่ในระยะ กักต้ว เพราะสามีตายจากนั้นถูกห้ามตกแต่ง ห้ามใช้เครืองหอม นอกจากเพียงเล็กน้อยที่จะใส่ไว้ที่ทวารเบาของนๅง หลังจาก หมดระดู เฟ้อป้องกันกลิ่นที่น่ารังเกียจ
  2. ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งจำเป็นแก่หญิงที่ถูกหย่าที่คืนตีก้นได้ หรือตั้งครรภ์จนกว่าจะคลอด ส่วนหญงที่ถูกหย่าบาอิน ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์นั้น มีทัศนะแตกต่างกันดังจะได้นำมากล่าวต่อไป
  3. หมายถึงแก่พวกผูหญิงที่ถูกหยา ดังนั้นผู้หญงที่ตั้งครรภ์จำเป็นต้องจ่ายค่าเลี้ยงดู และให้ที่พักอาศัยแก่นางจนกว่า

[526]           คำที่ว่า “ห้อง" คือห้องของท่านนบี หรือมัสญิดนบี คำที่ว่า “ท่านได้เรึยกข้าพเจ้าหรือใช้ให้จัดการกับข้าพเจ้า” คำว่า หรือทั้งสองแห่ง เยนความสงสัยของผู้เล่า

[527]          “เธอจงอยู่ในบ้านของเธอ” หมายถึงบ้านที่เธอเคยอยู่ “จนกว่าข้อกำหนดนั้นจะถึงที่ของมัน” คือจนกว่าจะหมดกำหนดก้กตัวเพราะสามีตายจาก อยู่ในบ้านของสามีที่ตายอยู่ในบ้านนั้น และให้หล่อนคงอยู่ในบ้านหลังนั้นในช่วงกักตัว และ นางก็ได้เล่าให้อุสมาน บุตรอัฟฟานทราบถึงเรื่องนี้ และอุสมานก็ได้ตัดสีนตามนี้ ดังนั้นหญิงที่สามีตายจากนั้นจ่าเป็นด้องได้ ที่พักอาศัยในที่ๆนางเคยอยู่กับสามืของนาง ถ้าหากเป็นสถานที่ๆปลอดภัย จนกว่าจะหมดระยะกักตัว และถือเปีนสิ่งต้องห้าม ที่นางจะออก และถูกขับออกจากบ้านนั้น นี่เปีนทัศนะของอัครสาวก ตาบิอีน และนักวิชาการฟิกฮ์ส่วนใหญ่ โดยไม่มีค่า เลี้ยงตูให้แก่นาง และค่าเลี้ยงดูนั้นจะเป็นสิ่งจ่าเปีนโดยพินัยกรรม เพราะอัลเลาะห่ตาอาลา ทรงตรัสว่า และบรรดาผู้ที่เสียชีวิตไป่จากพวกท่าน และที่งคู่ครองไว้ ให้พวกเขาจงทำพินัยกรรมให้แก่คู่ครองของพวกเขา ด้วยสิ่งอำนวยศวามสุขจนครบปี โดย

จะไม่ถูกขับออกไป     ต่อมาอายะห่นี้ก็ถูกยกเลิกด้วยอายะห์ที่ว่าด้วยเรื่องมรดก

[529]          คือหย่าสามตอลาก ดังปรากฏในหะดีษหลัง

(626)       และไม่มีสิทธิได้ที่พักอาศัยอีกด้วย เพราะท่านนบึได้ใช้ให้หล่อนไปใช้กำหนดกักตัวอยู่ในบ้านของอุมม่ซะรีก

[530]           “อะบูยะห์ม จะไม่วางไม้เท้าของเขาลงจากไหล่" ตีความได้ว่า เขาเป็นคนเดนทางบ่อย หรือชอบทุบตีผ้หญิง สิ่งที่ ท่านนบี ซ.ล. กระท่านี้เป็นคำแนะนำที่วาญิบแก่ผู่ที่ถูกขอคำปรึกษาที่ด้องแนะนำแก่ผู้ที่มาขอคำปรึกษา

[531]           ชี้ช้ดว่า ผู้หญิงที่ถูกหย่านั้นจะไม่ได้ ทั้งที่พักอาศัยและค่าเลี้ยงดู นี่เป็นทัศนะของอิบนิ อับบาส และอะห์มัด, อุมัร และฮานะฟึกล่าวว่า: ได้ทั้งค่าเที่ยงดูและที่พักอาศัยนักวิชาการบางส่วนของมาลิกีและชาฟิอีกล่าวว่า ได้แต่ที่พักอาศัยโดยมี หลักฐานจากอัลกุรอาน แต่ไม่ได้ค่าเที่ยงดู โดยหลักฐานจากหะดีพฃองฟ่าติมะห์นี่

[532]          มัสญิด อ้ลอะอดอม คือมัสญิดแห่งเมืองกูฟะห่ “และพวกท่านอย่าขับไล่พวกนางออกจากบ้านของพวกนาง" 

  1. หะดีษนี้ชี้ว่า ยินยอมให้หญิงที่อยู่ในระยะกักตัว ออกไปนอกบ้านได้ในเวลากลางวันเพื่อทำธุระ เป็นทัศนะของนักวิชาการบางท่าน เพราะมีความจ่าเป็น ฮานะฟีกล่าวว่า:ไม่ยอมให้ออกไปทั้งในเวลากลางคืนและเวลากลางวัน เหนือนหญิงที่ถูกหย่าที่คืนดีกันได้
  2. “บางทีท่านต้องให้อาทารข้าพเจ้า และบางทีท่านต้องหย่าข้าพเจ้า” บ่งให้รู้ว่า ค่าเลี้ยงดูของภรรยานั้นเป็นสิ่งจำเป็น เหนือสามีของนาง ในกรณที่สามียากจน และภรรยาได้เลือกเอาการแยกทางกับสามี ก็ต้องให้คนทั้งสองแยกทางกัน ดังกล่าวนี้ เป็นทัศนะของอะลี อุมัร อะบี ฮุรอยเราะห์ มาลิก ชาฟิอี และอะห์มัด เพราะคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า— “และท่าน ทั้งหลายอย่ายึดเอาพวกนางไว้ (ด้วยการกลับไปคืนดี) เพราะต้องการให้เกิดความเดือดร้อน เพื่อพวกท่านจะละเมิดพวกนาง และผู้ใดกระทำดังว่านั้น เขาก็เป็พผู้ทุจริตต่อตัวเอง” และมิบางทัศนะว่า เมื่อสามียากจน ให้ภรรยาอดทนอย่ร่วมกับสามิ ไม่ให้ แยกทางกัน เป็นทัศนะของ อะตออ เซาริย่, ชุหริย์ ฮานะฟี และทัศนะหนึ่งจากสองทัศนะของชาฟิอี

[534]         หะดีษนี้ชี้ว่า จ่าเป็นห้องจ่ายค่าเลี้ยงดูให้แก่ทาสด้วยเข่นกัน

(638)       หะดีษนี้ชี้ว่า ยินยอมให้เก็บอาหารไว้ให้แก่ครอบครัวและแขก และไม่ขัดกับการมอบหมายต่ออัลเลาะห์ เพราะนั่นเป็นการยึดมั่นอย่กับอัลเลาะห์ด้วยหัวใจ และการขวนขวายหาต้นเหตุนั้นก็เป็นสิ่งที่ศาสนาเริยกร้องให้กระทำ แต่เป็นสิ่งจ่าเป็น อีกด้วย เพราะมิเคล็ดลับมากมาย

[536]         ภรรยาของอะปี ชุฟยาน ร้องเริขนท่านนบี ซ.ล. ว่าสามีของนางขื้เหนืยว ไม่จ่ายค่าเลยงดูแก่หล่อนและบุตรจนพอเพียง ท่านนบีจึงใข้หล่อนให้เอาจนพอ หะดีษนี้ระบุว่า ยินยอมให้กล่าวข้อเสียของผู้อื่นได้เมิ่อจ่าเป็น และยินยอมให้ผู้หญิง และลูกเอาค่าเลี้ยงดูจนพอเพียงจากทรัพย์สินของสามิและพ่อที่ฃื้เหนืยว เพราะลือว่าเป็นผู้บกพร่องต่อหน้าที่

หมายเลขบันทึก: 703766เขียนเมื่อ 9 กรกฎาคม 2022 14:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 สิงหาคม 2022 18:19 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท