หะดีษซอเฮี๊ยห์เล่มที่6


 

ซูเราะห์ อัลมุอมิน

มักกียะห์ มีแปดสิบห้า อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

อับดุลเลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. ถูกลามเกี่ยวกับความรุนแรงที่สุดของสิงที่บรรดาพวก ผู้ตั้งภาคีได้กรทำต่อท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เขาตอบว่าขณที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กำลังละหมาดอยู่ที่ลานกอฺบห์ บังเอิญอุกบห์ บุตร อบี มุอัยต์ มุ่งหน้ามา แลได้จับไหล่ ของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. แล้ว รัดด้วยผ้าที่คอของท่าน เขาได้ทำให้ท่านหายใจไม่ออกอย่าง- รุนแรง อบูบักร์ได้มุ่งหน้ามา แลคว้าไหล่ของเขา แลได้ป้องกันท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. แล้วกล่าวว่า“พวกท่านจสังหารชายคนหนึ่งที่เขากล่าวว่า พรผู้อภิบาลของข้าฯ คืออัลเลาะห์ หรือ ทั้งที่ความจริงเขาได้นำประจักษ์พยานต่าง ๆ จากพรผู้อภิบาลของพวกท่านฺมาสู่พวกท่าน”[1]

ราบทนโคบ!/คร ร

เล่าจาก อันนัวอฺมาน บุตร บซีร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าการขอดุอา

เป็นการกรทำภักดี (อิบาดห์) จากนั้นท่านได้อ่าน “พรผู้อภิบาลของพวกท่านได้ตรัสุว่าพวก เจัาจงวิงวอนขอเราเถิด เราจะตอบสนองค่าวิงวอนขอของพวกเจ้า แท้จริงบรรดาผู้หยิ่งผยอง ต่อการสักการะเรา พวกเขาจเข้านรกยฮันนัมอย่างต่ำด้อย[2]ราบทน โคบทรมๆ}

ซูเราะห์ ฟุชซิลัต
มักกียะห์ มีห้าสิบสาม อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอับดิ้ลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีชาวกุเรชสองคน แลชาวตระกูลซกีฟคนหนึ่ง[3] หรือชาวตระกูล ซกีฟสองคน ชาวกุเรชหนึ่งคนได้ชุมนุมกันที่บัยตุลเลาห์ ไขมันที่ ท้องมีมาก แต่ความเข้าใจที่มีอยู่ในใจของพวกเขามีน้อย คนหนึ่งจากจำนวนนั้นได้กล่าวขึ้นว่าพวกท่านจงบอกเถิดว่า แท้จริงอัลเลาะห์จะได้ยินเสียงที่พวกเราพูดไหม อีกคนหนึ่งกล่าวว่าพระองค์จะได้ยิน ถ้าหากพวกเราพูดดัง แลพระองค์จไม่ได้ยินถ้าหากพวกเราพูดค่อย อีก คนหนึ่งกล่าวว่าถ้าหากพระองค์ได้ยินเมื่อเราพูดดัง แน่นอนว่าพระองค์ก็จต้องได้ยินเมื่อเรา พูดค่อย อัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่แลเกรียงไกร จึงได้ปรทานลงมาว่า “พวกเจ้าไม่อาจปกปีด การที่จไม่ให้หูของพวกเจ้าไม่ให้ตาของพวกเจ้า แลไม่ให้ผิวหนังของพวกเจ้าเป็นสักขีพยาน ปรักปรำพวกเจ้าได้”[4] จนจบอายะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม แลติรมิซี

ซูเราะห์ อัซซูรอ

มักกียะห์ยกเว้นสี่อายะห์ มีห้าสิบสาม อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ออก มาหาเรา โดยในมือของท่านมีหนังสือสองเล่ม[5] ท่านได้กล่าวว่าพวกท่านทราบไหมว่า หนังสือ สองเล่มนี้คืออไร พวกเราตอบว่าไม่ทราบ โอ้ท่านเราซูลุลลอห์ นอกจากท่านจบอกแก่พวกเรา ท่านได้กล่าวแก่เล่มที่อยู่ในมือขวาของท่านว่า นี่คือหนังสือที่มาจากพรผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ในนั้นมีรายชื่อชาวสวรรค์ ชื่อบิดาของพวกเขา แลชื่อเผ่าของพวกเขา จากนั้นท่านได้แจ้งพวก เขาจนถึงคนสุดท้าย ดังนั้น มันจะเพิ่มเติมไม่ได้อีกแลจไม่บกพร่องไปจากพวกเขาตลอดกาล ต่อมาท่านได้กล่าวแก่เล่มที่อยู่ในมือ5ซ้ายของท่านว่านี่คือหนังสือที่มาจากพรผู้อภิบาลแห่ง สากลโลก ในนี้มีรายชื่อชาวนรก ชื่อบิดาของพวกเขา แลชื่อเผ่าของพวกเขา จากนั้นท่านได้ แจ้งพวกเขาจนถึงคนสุดท้าย ดังนั้น มันจะเพิ่มเติมไม่ได้อีก แลจไม่บกพร่องไปจากพวกเขา ตลอดกาล บรรดาสาวกของท่านได้กล่าวว่า ดังนั้น จกรทำสิ่งใด โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ใน เมื่อคำสั่งมันผ่านพ้นไปแล้ว ท่านได้กล่าวว่าท่านทั้งหลายจงเดินสายกลางในกิจการทั้งปวง โดยไม่เลยเถิดแลบกพร่อง เพราความจริงชาวสวรรค์นั้นเขาจะได้รับการประทับตราด้วยกิจกรรม ของชาวสวรรค์ แม้เขาจะทำกิจกรรมใดๆ ก็ตาม แลความจริงซาวนรกจะได้รับการประทับตรา ด้วยกิจกรรมของชาวนรก แม้เขาจกรทำกิจกรรมใดๆ ก็ตาม จากนั้นท่านเราซูลุลลอห์ ซ.ล. ได้ทำท่าด้วยมือทั้งสองของท่านแล้ว ได้ขว้างหนังสือทั้งสองเล่มทิ้งไป แล้วกล่าวว่าพรผู้ อภิบาลของพวกท่านได้ตัดสินบรรดาบ่าวผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว “พวกหนึ่งอยู่ในสวรรค์แลอีกพวกหนึ่งอยู่ในขุมนรก[6]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี  ในเรื่องกำหนดการของอัลเลาะห์

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่าเขาถูกถามถึงคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า“จงประกาศเถิดว่า เราไม่ขอค่าจ้างพวกเจ้าในการเผยแพร่ศาสนา นอกจากความรักในเครือญาติ” สอีด บุตร ยุบัยร์ ได้กล่าวว่าคำว่า “กุรบา” หมายถึงวงศ์วานของมุฮัมมัด ซ.ล. อิบนุ- อับบาส ได้กล่าวขื้นว่าท่านรีบร้อนเกินไป แท้จริงท่านนบี ซ.ล. นั้นไม่มีก๊กใด จากเผ่ากุเรซ นอกจากจมีความสัมพ้นธ์ทางเครือญาติกับท่านอยู่ในพวกเขา ท่านได้กล่าวว่านอกจาก (ข้าพเจ้า จขอ) ให้พวกท่านเชื่อมสิ่งที่มีอยู่รหว่างข้าพเจ้ากับพวกนั้น นั่นคือ ความเป็นญาติกัน[7]

รายงานหะดีษโดย บุคอรีม แลติรมิซี

เล่าจากอาอิชห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า หกคนที่ข้าพเจ้าขอสาปแช่ง พวกเขา แลพระองค์อัลเลาะห์ก็สาปแช่งพวกเขา แลไม่ว่าจะเป็นนบีท่านใดก็สาปแช่ง นั่นคือ ผู้เพิ่มเติมในคัมภีร์ของอัลเลาะห์ผู้ไม่เชื่อกำหนดการของอัลเลาะห์ ผู้ปกครองด้วยเผด็จการ เพื่อ ไช้อำนาจผลักดันให้ผู้ที่อัลเลาะห์ให้เขาตกต่ำ มีเกียรติขื้นมา แลผลักดันให้คนที่อัลเลาะห์ยกย่อง เขา ให้ตกต่ำลง ผู้ที่ถือว่าสิ่งที่อัลเลาะห์ปัญญัติห้าม เป็นสิ่งที่อนุญาต ผู้ทีถือว่าสิ่งที่อัลเลาะห์ บัญญัติห้ามจากครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นสิ่งอนุญาต[8] แลผู้ทีทงชุนนห์ของข้าพเจ้า[9]

เล่าจากอบี มูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีจุดใดประสพกับบ่าวคนใด หรือทีใหญ่กว่านั้น หรือเล็กกว่านั้น นอกจากเพรามีบาป แลสิ่งที่อัลเลาะห์จะอภัยให้แก่เขา นั้นมากกว่า ผู้เล่าได้กล่าวว่า และท่านได้อ่าน “แลภัยใดๆ ก็ตามที่ได้ปรสบกับพวกเจ้า ก็เป็น เพราสิ่งที่มือของพวกเจ้าพากเพียรไว้ แต่พระองค์ก็ทรงอภัยบาปมากมายให้” 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“ ไม่สมควรแก่มนุษย์คนใดที่พระองค์อัลเลาะห์ จะทรงเจรจากับเขานอกจากเป็นวะฮีย์หรือจากเบื้องหลังเครื่องกั้นหรือ พระองค์จส่งทูตมา แล้วพูด ก็จสื่อสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาด้วยอนุมัติของพระองค์ แท้จริงพระองค์ทรงสูงยิ่ง ทรงเชี่ยวชาญยิ่ง”[10]

เล่าจากอบี ฮุรอยเราห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าไม่มีนบีท่านใดจาก บรรดานบีทั้งหลาย นอกจากเขาจะได้รับจากอภินิหารต่างๆ ที่พอจะทำให้มนุษย์ศรัทธาต่อนบี ท่านนั้น แลความจริงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับก็คือ วะฮีย์ ที่พระองค์ได้ให้ปรากฏแก่ข้าพเจ้า แล ข้าพเจ้าก็หวังว่า ข้าพเจ้าจะเป็นผู้ที่มีบริวารมากที่สูดในวันกิยามะห์ 

รายงานหะดีษโดยมุสลิมในเรื่องการศรัทธา

ซูเราะห์ อัซซุครุฟ
มักกียะห์ มีแปดสิบเก้า อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอบี อุมามห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าไม่มีกลุ่มชนใดหลงผิด หลังจากได้รับทางนำที่พวกเขายึดมั๋นอผู่กับทางนำนั้น นอกจากพวกเขาจะได้รับข้อโต้แย้ง จากนั้น ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้อ่านอายะห์นื้ “พวกเขาไม่ได้ตั้งอุทาหรณ์นั้นขึ้นมาเสนอท่าน นอกจากเป็นการโต้แย้งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นพวกที่ชอบโต้เถืยง”[11] 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

เล่าจาทอบี สอีด ร.ฎ. จาทท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าจะมีผู้ประกาศ684 ว่าแท้จริง พวกท่านจต้องมีชีวิตอยู่โดยไม่ตายตลอดไป แท้จริงพวกท่านจต้องมีสุขภาพดี โดยไม่เจ็บป่วย ตลอดไป แท้จริงพวกท่านจต้องเป็นหนุ่มโดยไม่แก่ตลอดไป แลแท้จริงพวกท่านจต้องได้ รับความสุขโดยจะไม่มีความทุกข์โศกตลอดไป นั่นคือ คำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “แล นั่นคือสวรรคํที่พวกเจ้าได้รับสืบทอดมัน ด้วยสิ่งที่พวกเจ้าได้กรทำไว้”685

รายงานหะดีษโดยมุสลิม แลติรมิซี

ซูเราะห์ อัดดุคอน
มักกียะห์ มีห้าสิบเจ็ด อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา กรุณายิ่ง

อับดุลเลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าแท้จริงพวกกุเรชเมื่อได้แสดงการต่อต้านท่านนบี ซ.ล. ท่านได้วิงวอนขอความพินาศให้ปรสบกับพวกเขาด้วยความแห้งแล้ง เหมือนความแห้งแล้งในสมัยนบียูชุฟ ต่อมาความแห้งแล้ง แลกันดารก็ได้เกิดขึ้นกับพวกเขา จนพวกเขาต้องกินกรถูก ผู้ชายคนหนึ่งมองดูฟ้า เขาจเห็นสิ่งที่กั้นรหว่างเขากับฟ้าคล้ายควัน อันเนื่องมาจากความ แห้งแล้ง อัลเลาะห์ตาอาลาจึงได้ปรทานลงมาว่า “ดังนั้น เจ้าจงรอคอยเถิด  วันที่ท้องฟ้าจ ปรากฏควันอันชัดเจน มันจะปกคลุมมนุษย์ นี่คือการลงโทษอันเจ็บปวด” ต่อมาได้มีผู้มาหา ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. แล้วกล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ จงขอฝนต่ออัลเลาะห์ให้แก่พวกมุดอรเถิด เพราความจริงพวกเขาได้พินาศแล้ว ท่านได้กล่าวว่าแก่พวกมุดอรหรือ ความจริงท่านบังอาจะมาก ต่อมาท่านได้ขอฝนให้แก่พวกเขา แลพวกเขาก็ได้รับนํ้าฝน จึงได้ ลงมาว่า “แน่นอนว่าพวกเจ้าต้องกลับคืน” ต่อมาเมื่อพวกเขาได้ปรสบกับความสุขสำราญ พวกเขาก็กลับไปสู่สภาพเดิมของพวกเขา อัลเลาะห์ตาอาลาจึงได้ปรทานลงมาว่า “วันที่เราจะ ตปบอย่างขนานใหญ่ แท้จริงเราแค้นเคือง” หมายถึงในวันบัดร 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม แลติรมิซี

เล่าจากอนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าไม่มีผู้ศรัทธาคนใดนอกจากจ มีสองปรตูสำหรับเขา ปรตูหนึ่งการกรทำของเขาจะขึ้นไป แลอีกปรตูหนึ่งปัจจัยยังชิพ ของเขาจลงมา แลเมื่อเขาเสียชีวิตปรตูทั้งสองจะร้องไห้ให้กับเขา แลนั่นคือคำดำรัสของ อัลเลาะห์ที่ว่า “ฟ้าแลแผ่นดินไม่ได้ร้องไห้ให้แก่พวกเขาเลย แลพวกเขาไม่ได้ถูกรอคอย”[12]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

ซูเราะห์ อัลยาซิยะห์
มักกียะห์ มี สามสิบเจ็ดอายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอบิ ฮรอยเราห์ ร.ฎ. จากท่านนป ซ.ล. ได้กล่าวว่าคัลเลาห์ผู้ยิ่งใหญ่ แลเกรียงไกรได้ตรัสว่าบุตรหลานของอาดัมรังควานเรา เขาด่ากาลเวลา แลเราคือกาลเวลา กิจการทั้งปวงอยู่ในเงื้อมมือของเรา เราจะพลิกผันกลางคืนแลกลางวัน[13]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ซูเราะห์อัลอห์ก๊อฟ

มักกียะห์มี สามสิบห้า อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ทรงกรุณายิ่ง

มุอาวิยะห์ ร.ฎ. ได้แต่งตั้งมัรวานให้ปกครองแคว้นฮิญาซ ต่อมามัรวานได้แสดงสุนทรพจน์ โดยได้กล่าวถึงยชิด บุตร มุอาวิยะห์ เพื่อยชิดจะได้รับสัตยาบัน หลังจากบิดาของเขาจากไป ต่อมาอับดุรเราห์มาน บุตร อบิบักร์ ได้กล่าวสิ่งหนึ่งแก่มัรวาน มัรวานได้กล่าวว่าจงจับตัวเขาไว้ แต่เขาได้หลบเข้าไปในบ้านของอาอิชห์ แลพวกเขาไม่สามารถจับตัวอับดุรเราห์มาน ได้ มัรวานจึงได้กล่าวว่าแท้จริงคนนี้คือผู้หนึ่งอัลเลาะห์ได้ปรทานลงมายังเขาว่า “แลผู้ที่ได้ กล่าวแก่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองของเขาว่าชิช ท่านทั้งสองจให้สัญญาแก่ข้าพเจ้าหรือว่า ข้าพเจ้า จถูกนำออกมา (จากหลุมฝังศพ) อีก” จนจบอายะห์[14] อาอิชห์ ได้กล่าวขึ้นมาจากด้านหลังเครื่องกั้นว่าอัลเลาะห์ไม่เคยปรทานสิ่งใดจากอัลกุรอานลงมาในหมู่พวกเรานอกจากที่พระองค์ ได้ปรทานลงมาเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้า[15]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าไม่เคยเห็นท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. หัวเราจน ข้าพเจ้าเห็นลิ้นไก่ของท่านเลย แท้ที่จริงท่านจยิ้มเท่านั้น อาอิชห์ได้กล่าวว่าแลเมื่อท่าน เห็นเมฆครึ้มหรือพายุ จรู้ได้ที่ใบหน้าของท่าน[16] อาอิชห์ได้กล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริงมนุษย์ทั้งหลายเมื่อเห็นเมฆครึ้มพวกเขาจดีใจ โดยหวังว่าจะมีฝนในก้อนเมฆนั้น แล ข้าพเจ้าเห็นท่านเมื่อเห็นมันจะพบความไม่พอใจที่ใบหน้าของท่าน ท่านนบีได้กล่าวว่าโอ้อาอิชห์ การที่จมีการลงโทษแฝงมากับก้อนเมฆนั้น มันจะไม่ทำให้ข้าพเจ้าปลอดภัย พวกหนึ่งถูกลงโทษ ด้วยพายุ แลความจริงพวกหนึ่งได้เห็นโทษทัณฑ์ พวกเขากล่าวว่านึ่คือก้อนเมฆที่นำฝนมา ให้แก่เรา[17]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด แลติรมิซี แลตัวบทของบุคอรีแลมุสลิมว่า  ข้าพเจ้าได้รับชัยชนะด้วยสายลมที่มาจากทิศตะวันออก แลพวกอาด ถูกทำลายด้วยสายลมที่มาจากทิศตะวันตก[18]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“แลจงระลึกเถิดโอ้มุฮัมมัดขณที่เราได้ให้ญินกลุ่มหนึ่ง มุ่งหน้ามายังเจ้า เพึ่อรับฟังอัลกุรอาน เมื่อพวกเขาเหล่านั้นได้มาฟัง พวกเขาได้กล่าวแก่กันว่า พวกท่านจงตั้งใจฟังเถิด แลเมื่อการอ่านยุติลง พวกเขาได้กลับไปยังพวกพ้องของพวกเขาใน สภาพผู้ตักเตือน”[19]

อัลกอมห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่อับนิ มัสอูดว่ามีใครจากพวกท่านบ้างที่ติดตามไปกับท่านนบี ซ.ล. ในคืนของญินนั้น เขากล่าวว่า   ไม่มี แต่ความจริงพวกเรา หาท่านไม่พบในคืนหนึ่ง ขณที่ท่านอยู่ในมักกห์ พวกเราได้กล่าวกันว่าท่านถูกลอบสังหาร หรือมีใครโฉบเอาตัวไป[20] พวกเรานอนไปกับกลางคืนที่ชั่วร้ายที่สุดเท่าที่จมีคนพวกหนึ่งนอน ในคืนนั้น ต่อเมื่อรุ่งเช้าพวกเราจึงได้พบกับท่าน กำลังมาจากด้าน ฮิรออ พวกเขาจึงได้เล่าให้ ท่านฟังถึงสิ่งที่พวกเขาปรสบท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวผู้เชื้อเชิญของพวกญินได้มาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้ไปหาพวกเขา แลข้าพเจ้าได้อ่านให้พวกเขาฟัง ต่อมาท่านได้ไป แลได้ให้พวกเรา ดูรอยของพวกญิน แลรอยไฟของพวกเขา[21] แลพวกเขา (อัครสาวก) ได้ถามท่านเกี่ยวกับ เสบียง ท่านได้กล่าวว่ากรถูกทุกชนิดที่กล่าวนามของอัลเลาะห์[22] ที่มันเคยตกอยู่ในมือของ พวกท่าน มีเนึ่ออย่างมากมาย แลมูลสัตว์ที่ไม่มีกลีบเท้าแยกจากกัน แลที่มีกลีบเท้าแยกกัน ทุกชนิด ที่เป็นอาหารสัตว์ของพวกท่าน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าดังนั้น ท่านทั้งหลายอย่าใช้มันทั้งสองอย่างชำร เพราแท้จริงมันทั้งสองเป็นอาหารของที่น้องของพวกท่าน ที่เป็นญิน 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

แลได้มีผู้กล่าวแก่อับดิ้ลลาห์ ร.ฎ. ว่าผู้ใดบอกให้ท่านนบีทราบเกี่ยวกับพวกญินใน คืนที่พวกนั้นได้รับฟังอัลกรอาน อับดุลเลาห์ ตอบว่าต้นไม้ต้นหนึ่งได้บอกให้รู้เกี่ยวกับ พวกนั้น[23] แลได้มีผู้กล่าวแก่ท่านนบี ซ.ล. ว่ากรถูกแลมูลสัตว์มีสภาพเป็นอย่างไร จึงจะนำมาเป็นเครื่องชำรไม่ได้ ท่านตอบว่ามันทั้งสองเป็นอาหารของพวกญิน แลความจริง คณของญินได้มาหาข้าพเจ้าอย่างเป็นพวกที่โชคดี703 แลเป็นพวกญินที่ดี พวกเขาได้ถามข้าพเจ้าถึงอาหาร ข้าพเจ้าได้วิงวอนต่ออัลเลาะห์ให้พวกเขาว่า พวกเขาจไม่ได้ผ่านกรถูก แลไม่ได้ผ่าน มูลสัตว์ นอกจากพวกเขาจะได้พบว่ามีอาหารอยู่บนมัน[24]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี ในเรื่องข้อที่เป็นคุณความดีค่าง ๆ

ซูเราะห์ มูฮัมมัด ซ.ล.

มะดะนียะห์ มีสามสิบเก้า อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอบี ฮุรอยเราห์ ร.ฎ. (ในอายะห์ที่ว่า) “แลเจ้าจงวิงวอนขออภัยโทษให้แก่ บาปของเจ้า แลแก่มวลผู้ศรัทธาทั้งชายแลหญิง”[25] ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าความจริง ข้าพเจ้าขออภัยโทษต่ออัลเลาะห์ในวันหนึ่งถึงเจ็ดสิบครั้ง[26] 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

แลเล่าจาทเขา (อบี ฮุรอยเราห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าพระองค์อัลเลาะห์ ทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ความเกี่ยวดองเป็นเครือญาติได้ลุกขึ้นแล้วเข้าไป ใกล้พรผู้ทรงเมตตา พระองค์ได้ตรัสว่าเจ้าต้องการอไร มันตอบว่านี่คือตำแหน่งของ ผู้ที่ขอความคุ้มครองด้วยพระองค์ท่านจาการตัดขาดเครือญาติ พระองค์ได้ตรัสว่าเจ้าไม่พอใจ หรือที่เราจะเชื่อมสัมพ้นธ์กับผู้ที่เชื่อมสัมพ้นธ์กับเจ้า แลเราจะตัดขาดจากผู้ที่ตัดขาดกับเจ้า มันกล่าวว่าหามิได้ ข้าแด่พรผู้อภิบาล พระองค์ได้ตรัสว่า นี่แหลเจ้าจะได้รับ

อบู ฮุรอยเราห์ได้กล่าวว่าท่านทั้งหลายจงอ่านเถิด ถ้าต้องการ “แล้วพวกเจ้าหวังหรือว่า หากพวกเจ้ามีอำนาจแล้ว พวกเจ้าจะสร้างความเสียหายขึ้นในแผ่นดิน แลตัดขาดวงศ์ญาติของพวกเจ้า [27]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี แลมุสลิม

แลเล่าจากเขา (อบี ฮุรอยเราห์) ได้กล่าวว่าอัครสาวกกลุ่มหนึ่งของท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ใครคือพวกที่อัลเลาะห์ได้กล่าวว่า ถ้าหากพวกเราหันหลัง พวกเขาจถูกนำมาเปลี่ยนกับพวกเรา หลังจากนั้นพวกเขาจไม่เป็นเช่นพวกเรา[28] อบู ฮุรอยเราห์ ได้กล่าวว่า แลปรากฏว่ามีซัลมานอยู่ข้างๆ ท่านนบี ซ.ล. ท่านนบี ซ.ล. ได้ตบขาอ่อนของ ซัลมานแล้วกล่าวว่าคนนี่แลเพื่อนๆ ของเขา สาบานต่อผู้ชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของ พระองค์ว่า ถ้าหากอีหม่าน อยู่ถึงดาวลูกไกก็จมีพวกผู้ชายจากชาวเปอร์เซียไปคว้าเอามาได้[29]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

ซูเราะห์อัลฟัตฮ์ 878
มะดะนียะห์ มียี่สิบเก้า อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา กรุณายิ่ง

เล่าจากอาอิชห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าแท้จริงนบีของอัลเลาะห์ เคยลุกขื้นท่าอิบาดห์ ในเวลากลางคืน จนเท้าทั้งสองข้างบวม ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าทำไมท่านต้องทำเช่นนี่ โอ้ท่าน รอซูลุลเลาะห์ ทั้งที่ความจริง ท่านได้รับการอภัยให้แล้วในบาปของท่านที่แล้วมา แลที่จเถิด ขึ้นต่อไป ท่านได้กล่าวว่าข้าพเจ้าจะไม่ปรารถนาเป็นยบ่าวที่รู้สำนึกในบุญคุณหรือ ต่อเมื่อเนื้อ ท่านมากขึ้น ท่านได้ละหมาดโดยนั่ง แลเมื่อท่านต้องการ รุกัวอฺ ท่านได้ลุกขึ้นยืนแล้วก้ม รุกวอุ710 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากอนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าเมื่อได้ลงมายังท่านนบี ซ.ล. ว่า “แน่นอนอัลเลาท์ จต้องอภัยโทษให้แก่ท่าน ทั้งบาปที่ล่วงเลยมาแล้ว แลบาปที่จเกิดขึ้นในภายหลัง”[30] ขณ ทีท่านกลับจากฮุดัยบียห์ ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าความจริงมีอายะห์หนึ่งได้ลงมายังข้าพเล้า ที่ข้าพเจ้ารักยิ่งกว่าสิ่งที่มีอยู่ในหน้าแผ่นดินทั้งหมด และท่านได้อ่านอายะห์นั้นให้พวกเขาฟัง พวกเขาได้กล่าวว่าสดวกสบายแล้ว โอ้นบีของอัลเลาะห์ ความจริงอัลเลาะห์ได้แจ้งให้ท่านทราบ แล้วว่า พระองค์จะทำอไรกับท่าน แลจกรทำอไรกับพวกเรา           จึงได้ลงมายังท่านว่า “พระองค์จต้องให้ผู้มีศรัทธาทั้งชายแลหญิงได้เข้าสวรรค์ ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลฝานอยู่ เบื้องล่างของมัน โดยเป็นนิรันดร อยู่ในนั้น”[31]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร อัมร์ บุตร อัลอาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าแท้จริงอายะห์นื้ซึ่ง อยู่ในอัลกุรอาน “โอ้นบี แท้จริงเราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นสักขีพยาน เป็นผู้แจ้งข่าวดี แลเป็นผู้ตักเตือน”[32] ได้กล่าวในคัมภีร์อัตเตารอตว่า โอ้นบี แท้จริงเราแต่งตั้งเจ้าเป็นสักขีพยาน เป็นผู้แจ้ง ข่าวดี แลเป็นผู้ตักเตือนชนชาติที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เจ้าเป็นบ่าวของเราเป็นศาสนทูตของเรา เราตั้งนามเล้าว่า ผู้รับมอบอำนาจ ไม่ใช่เป็นคนแซึ่งกร้าว ไม่ใช่เป็นคนหยาบกรด้าง แลไม่ใช่ เป็นคนที่ชอบส่งเสียงตามตลาด เขาจไม่ปัดป้องความชั่วด้วยความชั่ว แต่จให้อภัยแลไม่ถือโทษ แลอัลเลาะห์จะไม่เก็บเขาไปจนกว่าพระองค์จดัดศาสนาที่คดงอให้ตรงด้วยเขาเสียก่อน โดย ปรชาชนจกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น เขาจอาศัยคำนี้เปิดตาคน ที่ตาบอด เปิดหู คนที่หูหนวก แลเปิดใจคนที่ใจมืดมิด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อัลเลาะห์ตาอาลาใต้1ตรัส,ว่า“ขอยืนยันว่า แท้จริงอัลเลาะห์พอใจบรรดาผู้ศรัทธา ขณ ที่พวกเขาให้สัตยาบันต่อท่านใต้ต้นไม้นั้น แลพระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ภายในหัวใจของพวกเขา

พระองค์ได้ปรทานความสงบลงมายังพวกเขา แลทรงตอบแทนพวกเขาด้วยชัยชนะที่ใกล้จถึงแล้ว”[33]

เล่าจากอบีวาอิ้ล ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเราอยู่ที่ ซิฟฟิน[34] มีชายคนหนึ่งกล่าวขื้น ว่าท่านไม่ได้มองดูพวกที่ถูกเรียกร้องไปสู่คัมภีร์ของอัลเลาะห์หรือ อลีได้กล่าวว่าถูกแล้ว

สหั้ล บุตร ฮุนัยห์ ได้กล่าวว่าพวกเจ้าจงกล่าวหาตัวเองเถิด ขอยืนยันว่า แท้จริงข้าพเจ้าเห็น พวกเราในวันฮุดัยบิยห์ อยู่ในการเจรจาสงบศึกที่เกิดขึ้นรหว่างท่านนบี ซ.ล. กับพวกผู้ตั้งภาคี แลถ้าหากพวกเราเห็นว่าจะต้องทำสงคราม แน่นอนพวกเราจะต้องเข้าสู่สงคราม อุมัร ได้มาแล้วกล่าวว่าพวกเราไมใช่ตั้งอยู่บนสัจจะธรรม แลพวกนั้นตั้งอยู่บนความเหลวไหลหรือ พวกเราที่ถูกฆ่าตายไม่ใช่อยู่ในสวรรค์ แลพวกนั้นที่ถูกฆ่าตายไม่ใช่อยู่ในนรกหรือ ท่านนบี

ตอบว่าหามิได้ อุมัรใต้กล่าวว่า ดังนั้นในสิ่งใดเล่าที่เราจะหยิบยื่นความตกต่ำให้อยู่ในศาสนาของ เรา แล้วเราก็ถอยกลับ โดยอัลเลาะห์ยังไม่ได้ตัดสินรหว่างเรา ท่านนบีกล่าวว่าโอ้บุตรของ ค๊อตต๊อบ แท้จริงข้าพเจ้าเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ แลอัลเลาะห์จะไม่ทำลายข้าพเจ้าตลอดไป จากนั้นอุมัรได้กลับไปด้วยความโกรธ โดยที่เขาไม่อาจอดทนได้ จนกรทั่งเขาได้ไปหาอบู บักร์ แล้วกล่าวว่าเราไม่ได้อยู่บนสัจจะธรรมหรือ แลพวกนั้นไม่ได้อยู่บนความเหลวไหลหรือ อบู บักร์กล่าวว่าโอ้บุตรของค๊อตต๊อบ แท้จริงเขาเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ แลอัลเลาะห์ จไม่ทำลายเขาตลอดไป ซูเราะห์ อัลฟัตฮ์ จึงได้ลงมา717

 รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ในเรื่องฮุดัยบิยห์

เล่าจาก อนัส ร.ฎ. ว่าแท้จริงมีแปดสิบคน ลงมาจากภูเขา ตันอีมมาปิดล้อมนบี ซ.ล. กับบรรดาอัครสาวกของท่าน ขณละหมาดชุบฮ์ โดยพวกเขาต้องการฆ่าท่าน แต่พวกเขาถูกจับได้ ต่อมาท่านรอซูลุลลอฮ์ซ.ล. ได้ปล่อยพวกเขาไป[35]18 อัลเลาะห์ได้ปรทานลงมาว่า “แล พระองค์ทรงยับยั้งมือของพวกเขา ให้พ้นไปจากพวกท่าน แลมือของพวกท่านให้พ้นไปจากพวก เขา ณ ท้องที่มักกห์ ภายหลังจากพระองค์ทรงให้พวกท่านมีชัยชนะเหนือพวกเขา แลพระองค์ อัลเลาะห์ทรงเห็นสิ่งที่พวกเจ้ากรทำ”[36]

รายงานหะดีษโดยมุสลิม แลติรมิซี

เล่าจาก อุบัยย์ บุตร กะอับ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. (ในอายะห์ที่ว่า) “แลพระองค์ ทรงผูกมัดพวกเขากับถ้อยคำแห่งความยำเกรง”[37] ท่านนบีได้กล่าวว่า คือคำว่า “ไม่มีพระเจ้า ที่เที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์”[38]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

ซูเราะห์ อัลฮุญุรอต 881
มะดะนียะห์ มีสับแปด อายะห์
ด้วยนามของอํณลาห์ผู้ทรงเมตฅา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บุตร อัซซุบัยร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าขบวนของตระกูลตมีม ได้เข้า มาหาท่านนบี ซ.ล. อะบูบักร์ ได้กล่าวขึ้นว่าท่านจงแต่งตั้ง อัลเกาอุ กออุ บุตร มอุบัด เป็นหัวหน้า อุมัรได้กล่าวว่าท่านจงแต่งตั้ง อัลอัฟเราอุ บุตร ฮาบิล, อะบูบักร์ ได้กล่าวว่าท่านไม่ต้องการอไรนอกจากขัดแย้งกับข้าพเจ้าเท่านั้น อุมัรกล่าวว่าข้าพเจ้าไม่ต้อง การขัดแย้งกับท่าน แล้วทั้งสองก็โต้เถียงกัน จนเสียงของคนทั้งสองดังขรมไป จึงได้ลงมาว่า “โอ้บรรดาผู้ที่มีศรัทธา พวกท่านอย่ากรทำการใดๆ ลํ้าหน้าอัลเลาะห์แลศาสนทูตของพระองค์ แลพวกท่านจงยำเกรงอัลเลาะห์ แท้จริงอัลเลาะห์ทรงได้ยิน ทรงรอบรู้ยิ่ง [39]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากอบี มุลัยกห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าคนดีทั้งสองคนคือ อบูบักร์ แลอุมัร ร.ฎ. เกือบพินาศแล้ว ทั้งสองได้ส่งเสียงที่ท่านนบี ซ.ล. ขณที่ขบวนของตระกูลตมีมได้เข้ามา คนหนึ่งจากทั้งสองได้ชี้ให้เอา อัลอักเราอุ บุตร ฮาบิส เป็นผู้นำ แลอีกคนหนึ่งได้ชี้ใหัเอา คนอื่น อบู บักร์ได้กล่าวแก่ อุมัรว่าท่านไม่ต้องการอไรนอกจากขัดแย้งกับข้าพเจ้าเท่านั้น อุมัรได้กล่าวว่าข้าพเจ้าไม่ต้องการขัดแย้งกับท่าน แลเสียงของคนทั้งสองดังฃรมไปหมดใน เรื่องนั้น อัลเลาะห์จึงได้ปรทานลงมาว่า “โอ้บรรดาผู้ที่มีศรัทธา พวกท่านอย่าส่งเสียงดังเกินกว่า เสียงนบี”[40] จนจบอายะห์ อิบนุซชุบัยร์ ได้กล่าวว่าอุมัรไม่เคยส่งเสียงให้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ไดียินอีกภายหลังจากอายะห์นี้ จนท่านต้องถามเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี แลติรมิซี

เล่าจาออนัส ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. พบว่า ซาบิต บุตร กอยส[41] ได้หาย หน้าไป ต่อมามีชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่าโอ้ท่านเราซูลุลลอห์ ข้าพเจ้าจะไปสืบเอาความรู้เกี่ยวกับ ตัวเขามาบอกกับท่าน จากนั้นชายคนนั้นก็ได้มาหาเขาแลพบเขาอยู่ในบ้าน นั่งในสภาพหัวตก ชายคนนั้นได้กล่าวแก่เขาว่าท่านเป็นอย่างไรบ้าง เขาตอบว่าชั่วร้ายเพราเขาเคยส่งเสียง เกินกว่าเสียงท่านนบี ซ.ล. ความจริงความดีของเขาที่กรทำพินาศสิ้น แลเขาก็เป็นชาวนรก[42]ต่อมาชายคนนั้น ได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แลได้เล่าให้ท่านฟัง ท่านได้กล่าวว่าเจ้าจงไปหาเขา แลบอกเขาว่า แท้จริงท่านไม่ใช่เป็นชาวนรก แต่ความจริงท่านเป็นชาวสวรรค์[43]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจาทอัลบรออฺ บุตร อาซิบ ร.ฎ. ในล่าดำรัสของพระองค์ที่ว่า “แท้จริงบรรดาผู้ ที่เรียกเจ้ามาจากด้านหลังห้องเหล่านั้น ส่วนมากของพวกเขาไม่ให้สติ”[44] เขาได้กล่าวว่าชาย คนหนึ่งได้ลุกขึ้น แล้วกล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริงการสรรเสริญข้าพเจ้า เป็นความงาม แลการประณามข้าพเจ้าก็เป็นความเสื่อมเสีย ท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า “นั้นแหล อัลเลาะห์”[45]

อบูสอีด ได้อ่าน “พวกเจ้าจงรู้เถิดว่าในหมู่พวกเจ้านั้น มีศาสนทูตของอัลเลาะห์ หาก เขาจปฎิบัติตามพวกเจ้าในส่วนใหญ่ของกิจการแล้ว พวกเจ้าก็ต้องหายนอย่างแน่นอน”[46] เขา กล่าวว่านึ่คือนบีของพวกท่าน ซ.ล. ที่ได้รับวะฮีย์ แลนี่คือบรรดาผู้นำที่ดีของพวกท่าน[47] ถ้าหากเขาเชื่อฟังพวกเขาเหล่านั้น ในส่วนใหญ่ของกิจการแล้ว พวกเขาก็จต้องพินาศ แล้วพวก ท่านทั้งหลายในวันนึ้จะเป็นอย่างไร[48]  

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

เล่าจากอนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่ามีผู้กล่าวแก่ท่านนบี ซ.ล. ว่า หวังว่าท่านจะมาหา อับดุ้ลเลาห์บุตร อุบัยย์ ท่านนบี ซ.ล. จึงขึ้นขี่ลา แลไปหาเขาพร้อมด้วยมุสลิมบางคน แลแผ่นดินนั้นเป็นแผ่นดินที่ไม่มีต้นไม้ขึ้น เมื่อท่านนบี ซ.ล. ได้มาหาเขา เขาได้กล่าวว่าจงออกไปให้ห่าง สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า แท้จริง กลิ่นเหม็นของลาท่านทำความรำคาญแก่ข้าพเจ้า ผู้ชายชาวอัรซอรคนหนึ่งได้กล่าวว่าสาบานต่ออัลเลาะห์ ลาของท่านรอซูลุลเลาห้ ซ.ล. นั้น มีกลิ่นหอมยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก มีผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นพวกของอับดุลเลาห์รู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้น แทนเขา แลได้มีผู้ชายชาวอันชอรีคนหนึ่งเป็นเดือดเป็นแค้นแทนซาวอันชอรีคนนั้น อนัสได้ กล่าวว่าต่อมาพวกเราทราบว่าได้มีลงมาในเรื่องของพวกเขาว่า “แลถ้าหากมีสองกลุ่มจาก บรรดาผู้มีศรัทธารบกันให้ท่านทั้งหลายจงประนีประนอมรหว่างทั้งสองฝ่าย”[49] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ในเรื่องสงครามศักดิ์สิทธิ์

อะบู ยุบัยเราห์ บุตร อัดดอห์ฮาก ได้กล่าวว่าปรากฎว่าผู้ชายของพวกเรามักจมี สองชื่อ แลสามชื่อ เขาจถูกเรียกด้วยบางชื่อ จากชื่อทั้งสอง แลเขาอาจไม่พอใจ จึงได้ลง มาว่า “และท่านทั้งหลายอย่าเรียกซึ่งกันแลอันด้วยฉายาต่าง ๆ”[50]

รายงานหะดีษโดยอบูดาวูด แลติรมิซี  ในเรื่องมารยาท ด้วยคำว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้เข้ามาหาพวกเราโดยไม่มีใครจากพวกเราเลย นอก จากเขาจมีสองชื่อหรือสามชื่อ ท่านนบี ซ.ล. ได้เรียกชื่อว่า โอ้คนนั้น (พร้อมกับระบุนาม) พวกเขากล่าวขึ้นว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริงเขาไม่พอใจชื่อนื้ อายะห์นั้นจึงได้ลงมา

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อปรชาชน ในวันเข้ายึดนครมักกห์ ท่านได้กล่าวว่าโอ้ปรชาชนทั้งหลาย แท้จริงอัลเลาะห์ใด้ทำลายการ โอ้อวดแบบ ญาฮีลิยห์แลการเอาบรรพบุรุษมาอวดอ้างกันให้พ้นไปจากท่านทั้งหลายแล้ว มนุษย์ มีสองคน คนดี คนยำเกรง เป็นคนมีเกียรติสำหรับอัลเลาะห์ คนชั่ว คนเลว เป็นคนที่ด้อยต่ำ สำหรับอัลเลาะห์ มนุษย์ทั้งหมดคือลูกหลานของอาดัม อัลเลาะห์ทรงสร้าง อาดัมขึ้นมาจากดิน อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “โอ้มวลมนุษย์แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าขึ้นมาจากชายหนึ่งแลหญิงหนึ่ง”[51] จนจบอายะห์

เล่าจาก ซมุเราห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า “ตระกูลกับทรัพย์สิน แล เกียรติกับความยำเกรง

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

ซูเราะห์ ก๊อฟ 883
มักกียะห์ มีสี่สิบห้า อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอบี ฮุรอยเราห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่ามีผู้กล่าวแก่นรกยฮันนัม ว่า เจ้าเต็มแล้วหรือยัง มันจะกล่าวว่ามีอีกไหม พรผู้อภิบาลผู้ทรงมีมงคลแลสูงยิ่งจวางฝ่าเท้า ของพระองค์ลงไปบนมัน มันจะกล่าวว่าพอแล้ว พอแล้ว[52]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม แลติรมิซี

แลเล่าจากเขา (อบี ฮุรอยเราห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าสวรรค์แลนรก ทะเลากัน นรกได้กล่าวว่าข้าชอบพวกที่อวดโต แลพวกที่กดขี่ข่มเหง สวรรค์กล่าวว่าข้าเป็นอย่างไร จึงไม่มีใครเข้ามาอยู่กับข้านอกจากมนุษย์ที่อ่อนแอ แลคนที่ด้อยคำ อัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่แลเกรียงไกรตรัสแก่สวรรค์ว่าเจ้าคือความเมตตาของเราที่เราจะใข้เจ้าเป็นเครื่อง แสดงความเมตตาแก่ผู้ที่เราต้องการ จากมวลบ่าวของเรา แลพระองค์ได้ตรัสแก่นรกว่าเจ้า คือการลงโทษของเรา ที่เราจะใช้เป็นเครื่องมือลงโทษแก่ผู้ที่เราต้องการ จากมวลบ่าวของเรา แลแต่ลอย่างทั้งสวรรค์แลนรกก็จะได้รับการบรรจุจนเต็ม สำหรับนรกนั้น จะยังไม่เต็มจนกว่า พระองค์จวางฝ่าเท้าของพระองค์ลงไปที่มันแลมันจะกล่าวว่า พอแล้ว แล ณ บัดนั้น นรกก็จเต็ม โดยที่บางส่วนของมัน จถูกนำไปรวมกับอีกบางส่วน แลอัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่แล เกรียงไกรจไม่ทรงทุจริตสิ่งใดจากสรรพสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น ส่วนสวรรค์นั้น แท้จริงพระองค์ อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่แลเกรียงไกร พระองค์จบังเกิดปรชาชาติหนึ่งขึ้นเพื่อสวรรค์[53]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

ยรีร บุตร อัลดิ้ลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเรานั่งอยู่กับท่านนบี ซ.ล. ในคืนหนึ่ง และท่านได้มองดูดวงจันทร์ในคืนขึ้นสิบสีคำ แล้วท่านได้กล่าวว่าแท้จริงพวกท่านจะได้เห็น พรผู้อภิบาลของพวกท่าน[54] เหมือนอย่างที่พวกท่านกำลังเห็นนี้ โดยพวกท่านจไม่ถูกเบียด ปังในการแลเห็นพระองค์เลย แลถ้าหากพวกท่านสามารถที่จไม่ให้พ่ายแพ้ แก่การละหมาดก่อน ตะวันขึ้น แลก่อนตะวันตกให้พวกท่านจงกรทำเถิด หลังจากนั้นท่านได้อ่าน “แลเจ้าจงสดุดี ด้วยการสรรเสริญพรผู้อภิบาลของเจ้าก่อนตะวันขึ้น แลก่อนตะวันตก”[55]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“แลส่วนหนึ่งของกลางคืนเจ้าก็จงสดุดีพระองค์เถิด รวม ทั้งเวลาหลังละหมาดด้วย”[56]

อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า “พระองค์ได้ใช้ท่านนบีให้สดุดีในเวลาหลังละหมาด ทั้งหมด”[57]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ซูเราะห์อัซซาริยาต 884
มักกียะห์ มีหกสิบ อายะห์
ด้วยนามของอํณลาห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอัลฮาริษ บุตร ยอีด อัลบักรีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้มาที่นครมดีนห์ แลได้เข้าไปหาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ข้าพเจ้าได้กล่าวที่ท่านนบีถึงผู้ที่เข้ามาหาพวก อาด แล้วข้าพเจ้าได้กล่าวว่าข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยอัลเลาะห์จาการที่ข้าพเจ้าจะเป็นเช่นเดียวกับเขา ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าอไรคือผู้ที่เข้ามาหาพวก อาด[58] ข้าพเจ้าตอบว่าท่านพบผู้ร้คำตอบแล้ว ความจริงพวก อาด เมื่อปรสบกับความแห้งแล้ง พวกเขาได้ส่ง กอยล์[59]ไป ต่อมากอยล์ได้พำนักอยู่กับ บักร์ บุตร มุอาวิยะห์[60] แลบักร์ ก็ได้เลี้ยงสุราเขา แลมี ทาสหญิงเสียงดีขับกล่อมเขา จากนั้นเขาได้ออกไปยัง เทือกเขาที่ก๊กมหเราห[61]อาศัยอยู่ แล้ว กล่าวว่าขัาแต่อัลเลาะห์ ความจริงข้าพเจ้าไม่ได้มายังพระองค์ท่าน เพราคนป่วย นอกจาก พระองค์จะทรงเยียวยาให้เขา แลไม่ได้มาเพราเชลยศึกนอกจากพระองค์จะทรงไล่ต้อนเขา ดังนั้น ขอพระองค์ท่านทรงให้ฝนตกที่บ่าวของพระองค์ท่านอย่างที่พระองค์ท่านไม่เคยให้ฝนตก อย่างนี้มาก่อน แลได้โปรดให้ฝนตกที่ปักร์ บุตร มุอาวิยะห์ พร้อมกับเขาด้วย[62][63] เมฆทั้งหลาย ถุกยกมาให้เขา แลมีผู้กล่าวแก่เขาว่าเจ้าจงเลือกเอาก้อนหนึ่ง เขาก็ได้เลือกเอาเมฆดำก้อนหนึ่ง จากบรรดาเมฆทั้งหลาย ต่อมามีผู้กล่าวแก่เขาว่า เจ้าจงเอาฝันไปเถิดอย่างรุนแรงแลร้อนเป็นที่สุด โดยฝันจไม่ปล่อยผ็ใดจากพวกอาดไว้เลย และท่านนบีได้กล่าวว่าความจริงพายุไม่ได้ถูกส่งไปยังพวกเขานอกจากเท่ากับขนาดของห่วงนี้ ท่านหมายถึงห่วงแหวน จากนั้นท่านได้อ่าน “เมื่อเราได้ส่งลมหมุนไปทำลายล้างพวกเขา ลมนั้นจะไม่ปล่อยสิ่งใดที่ฝันพัดผ่านไปไว้นอกจาก ฝันจะทำให้สิ่งนั้นเป็นเช่นผุยผง”742

รายงานหะดีษโดยติรมิซี แลนซาอี

ซูเราะห์อัตตูร

มักกียะห์มี สี่สิบเก้า อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

ยุบัยร์ บุตร มุตอิม ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี ซ.ล. อ่าน ซูเราะห์ อัตดูร ในละหมาดมัฆริบ แลเมื่อได้อ่านไปถึงอายะห์เหล่านี้คือ “หรือพวกเขาถูกบันดาลขื้นมา โดยไม่มีผู้บันดาล หรือพวกเขาเป็นผู้บันดาลเสียเอง หรือพวกเขาได้บันดาลชั้นฟ้าแลแผ่นดิน แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่เชื่อ หรือพวกเขามีคลังของพรผู้อภิบาลของเจ้า หรือพวกเขาเป็นผู้ดำเนิน การเสียเอง”[64] หัวใจของข้าพเจ้าเกือบบิน[65]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี แลตัวบทของฅิรมิซีว่า “เวลาที่ดวงดาวให้หลัง” คือ ละหมาดสองรอกาอัต ก่อน แสงอรุณขื้น “แลเวลาหลังละหมาด” คือ สองรอกาอัตหลังละหมาดมัฆริบ[66]

ซูเราะห์ อันนัจม์ 886
มักกียะห์ มีหกสับสอง อายะห์
ด้วยนามของ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

อัชชัยบานีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ถาม ซิรร[67]ถึงดำดำรัสของพระองค์ที่ว่า “จนเขา (ยิบรีล) ได้เข้ามาอยู่ใกล้ชิดในรยเท่ากับสองด้ามของคันศร หรือ ใกล้กว่านั้น แล พระองค์ได้วะฮีย์แก่บ่าวของพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ได้วะฮีย์ จิตย่อมไม่โกหกสิ่งที่ตนมองเห็น”[68]เขาได้กล่าวว่าอับดุลเลาห์ได้เล่าแก่เราว่า แท้จริง มุฮัมมัด ซ.ล. ได้เห็นยิบรีลมีหกร้อยปีก[69]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม แลติรมิซี

มัสรูก ร.ฎ. ได้กล่าวแก่อาอีชะห์ ร.ฎ. ว่าไหนเล่าคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลา ที่ได้ตรัสว่า “หลังจากนั้นเขาได้เข้ามาใกล้ แล้วเขาก็เคลื่อนเข้ามาอีก จนเขาได้เข้ามาใกล้ชิด ใน รยเท่ากับสองด้ามของคันศรหรือใกล้กว่านั้น”[70] อาอิชห์ กล่าวว่า นั่นคือยิบรีล เขาเคยมาหาท่านนบี ในรูปของผู้ชายหลายคน แต่ความจริงในครั้งนั้นเขาได้มาหาท่านในรูปที่แท้จริงของเขา แลมันก็เต็มขอบฟ้า[71]

ราบงานโตบ บุคอรี ในเริ่องเริ่มการสร้าง

แลอาอิชห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้เห็นญิบรีล อ.ล.ในรูปจริงของเขา สองครั้ง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม แลติรมิซี        แล ติรมีชิได้รายงานเพิ่มเติมว่าครั้งหนึ่งที่ชิดเราห์ อัลมุตตฮา แลอีกครั้งหนึ่งที่ญิยาด[72] ญิบรีล มีหกร้อยปีก ความจริงมันเติมขอบฟ้า

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร ซกีก ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ อบี อบี ซัรร์ว่า ถ้าหากข้าพเจ้าทันได้พบท่านนบี ซ.ล. ข้าพเจ้าจะต้องถามท่าน เขากล่าวว่าท่านจะถามอไร ท่านนบี เขากล่าวว่าข้าพเจ้าจะถามท่านบีว่า มุฮัมมัดได้เห็นพรผู้อภิบาลของเขาไหม อบู ซัรร์ กล่าวว่าความจริงข้าพเจ้าได้ถามท่านนบีแล้ว ท่านตอบว่าเป็นรัศมี ข้าพเจ้าจะเห็นพระองค์ได้อย่างไร 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม แลติรมิซี

เล่าจาก อิกริมห์ จาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่ามุฮัมมัดได้เห็นพรผู้อภิบาล ของเขา ข้าพเจ้าถามว่าอัลเลาะห์ไม่ได้ตรัสหรือว่า “ดวงตาทั้งหลายไม่อาจสัมผัสพระองค์ได้ แต่พระองค์ทรงหยั่งรู้บรรดาดวงตาทั้งมวล”757 เขากล่าวว่าอนิจจานั่นมันขณที่พระองค์ทรง เปล่งรัศมีของพระองค์ ซึ่งมันก็คือรัศมีของพระองค์ 758 แลเขายังได้กล่าวว่า เขาได้ให้มุฮัมมัด เห็นพรผู้อภิบาลถึงสองครั้ง ชอฺบีย์ได้กล่าวว่าอิบนุ อับบาสได้พบกับกะอับ ร.ฎ. ที่ อะรอฟะห์ เขาได้ถามกะอับถึงสิ่งหนึ่ง แลกะอับได้กล่าวคำตักบีรด้วยเสียงอันดังจนเถิดเสียงสท้อน ขึ้นจากภูเขา อิบนุ อับบาสได้กล่าวว่าความจริงพวกเราคือตระกูลบะนีฮาชิม759 ต่อมากะอับ ได้กล่าวว่าแท้จริงอัลเลาะห์ได้แบ่งการแลเห็นพระองค์ กับการเจรจาของพระองค์ รหว่าง มุฮัมมัด กับ มูซา แลพระองค์ได้เจรจากับมูซาสองครั้ง มุฮัมมัดได้เห็นพระองค์สองครั้ง

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

และ อนัส ได้กล่าวว่ามุฮัมมัดได้เห็นพระผู้อภิบาลของเขา 

รานงานโดย อิบนุ คุซัยมห์ ด้วยสายรายงานที่เข้มแข็ง

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า“จิตนั้นย่อมไม่โกหกสิ่งที่เขามองเห็น แลขอ ยืนยันว่า แท้จริงเขา (มุฮัมมัด) ได้เห็นพระองค์ (อัลเลาะห์) อีกครั้งหนึ่ง” เขาได้กล่าวว่ามุฮัมมัดได้เห็นพระองค์ด้วยจิตใจของเขาสองครั้ง

รายงานหะดีษโดยมุสลิม

อับดุลเลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ขึ้นใปถึง ซีดรอตุล มุนตฮา ซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่ ท่านได้กล่าวว่าสิ่งที่ขึ้นมาจากแผ่นดิน แลสิ่งที่ลงมาจาก เบื้องบนจะมาสิ้นสุดที่มัน ผู้เล่า (อับดุลเลาห์) ได้กล่าวว่าแลพระองค์อัลเลาะห์ได้ปรทาน ให้ท่านนบี ณ ต้นไม้ใหญ่นั้น สามปรการ ซึ่งพระองค์ไม่เคยปรทานมันทั้งสามแก่นบีท่านใด มาก่อนนั่นคือ ละหมาดห้าเวลาถูกกำหนดเป็นหน้าที่จำเป็นแก่ท่าน ท่านได้รับมอบอายะห์ท้ายๆ ของซูเราะห์                บกอเราห์               แลการที่ประชากรของท่านจะได้รับการอภัยโทษบาปใหญ่ๆ ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ได้นำสิ่งใดมาตั้งภาคีกับอัลเลาะห์

รายงานหะดีษโดยมุสลิม แลติรมิซี 

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “ขอยืนยันว่า แท้จริงเขาได้แลเห็นสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่บาง ปรการของพรผู้อภิบาลของเขา”[73]

อับดุลเลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบีได้เห็นพรมผืนใหญ่สีเขียวเต็มขอบฟ้า[74]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวถึง อัลลาต แล อัลอุซซาว่า อัลลาตนั้น คือ ชายคนหนึ่ง ที่เคยกวนอาหารสวีกเลี้ยงแก่ผู้บำเพ็ญฮัจย[75]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. “บรรดาผู้ซึ่งห่างไกลบาปใหญ่ๆแลสิ่งที่น่าบัดสีต่าง ๆ นอกจากบาปเล็ก ๆ น้อย ๆ”[76] ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า 

หากพระองค์ท่านทรงอภัย ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดอภัยอย่างกว้างขวาง และบ่าว ของพระองค์ท่านคนใดเล่าที่ไม่ทำบาปเล็ก ๆ น้อย ๆ 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

แลเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้ก้มกราบด้วยซูเราะห์ อันนัจม์ แลมวลมุสลิม มวลผู้ตั้งภาคี พวกญินแลมนุษย์ ก็ได้ก้มกราบพร้อมกับท่าน[77]

อับดุลเลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ซูเราะห์แรกที่มีการก้มกราบ (สุหญด) ถูกประทาน ลงมาคือซูเราะห์ อันนัจม์ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ก้มลงกราบ และผู้ที่อยู่ข้างหลังท่านก็ ได้ก้มลงกราบ ยกเว้นชายคนหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นเขา กอบฝ่นขื้นมากำมือหนึ่ง แลได้ก้มกราบลง ไปบนมัน ต่อมาข้าพเจ้าได้เห็นเขาภายหลังจากนั้น ถูกฆ่าตายในสภาพของผู้ไร้ศรัทธา (กาฟิร)[78]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

ซูเราะห์อัลกอมัร
มักกียะห์ มีห้าสิบห้าอายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าชาวมักกะห์ได้ขอให้ท่านนบี ซ.ล. แสดงอภินิหารหนึ่ง ต่อมาดวงจันทร์ได้แยกออกจากกัน ที่นครมักกะฮ์ แลได้ลงมาว่า “อวสานของโลกใกล้เข้ามา แล้ว และดวงจันทร์ได้แยกออกจากกัน และถ้าแม้พวกเขาเห็นอภินิหาร พวกเขาก็คงหันหลังให้ และคงกล่าวว่า มันเป็นมายากล อันต่อเนื่อง”[79]

แลอับดุลเลาะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าขณะที่พวกเราอยู่กับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ที่ตำบลมินา ดวงจันทร์ได้แยกออกเป็นสองซีก ซีกหนึ่งไปทางด้านหลังภูเขา แลอีกซีกหนึ่ง ไปอีกทางหนึ่งท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่พวกเราว่าพวกเจ้าจงมองดู 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี      ตัวบทของ ติรมิซีว่าดวงจันทร์ได้แยกออกในสมัยท่านนบี

ซ.ล. เป็นสองซีก บนภูเขาลูกนี้ และบนภูเขาลูกนั้น[80] และพวกเขาได้กล่าวว่ามุฮัมมัด แสดงมายากลให้พวกเราชม แลมีพวกเขาบางคนกล่าวว่าถ้าหากเขาแสดงมายากลให้พวกเราชม เขาย่อมไม่สามารกแสดงให้มนุษย์ทุกคนชมได้[81]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“และขอยืนยันว่า แท้จริงเราได้ทิ้งมัน (เรือ) ไวให้เป็น สัญลักษณ์หนึ่ง แล้วมีใครไหมที่สำนึกในคำเตือน”[82]

กอตาดะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพระองค์อัลเลาะห์ได้รักษาเรือของนบีนัวฮ์ให้คงอยู่ จน กระทั่ง รุ่นแรกของประชากรนี้ได้พบมัน

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวขณะที่อยู่ในกระโจมที่พัก ในวันสงครามที่บัดร์ว่าข้าแด่อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าขอคำมั่น และสัญญาของพระองค์ท่าน ข้าแด่ อัลเลาะห์ ถ้าหากพระองค์ท่านประสงค์ ก็จะไม่มีผู้ใดสักการะพระองค์ท่านอีกหลังจากวันนี้[83]  อะบู บักร์ได้จับมือท่านแล้วกล่าวว่าพอแล้ว โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านได้เคี่ยวเข็ญต่อพระผู้อภิบาลของท่านแล้ว ท่านผลุดลุกขึ้นในชุดเสื้อเกราะ หลังจากนั้นท่านได้ออกมาพร้อมกับกล่าวว่ากลุ่มชนนั้นจะต้องถูกทำให้พ่ายแพ้ และพวกเขาจะต้องหันหลังหนียิ่งไปกว่านั้น อวสาน ของโลกเป็นกำหนดสัญญาของพวกเขา แลอวสานของโลกนั้น คือวิกฤติการณ์อันยิงใหญ่ และแสนจะขื่นขม

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกผู้ตั้งภาคีชาวกุเรชได้มาโต้เกียงกับท่าน นบี ซ.ล. ในเรื่องกำหนดการของอัลเลาะห์ จึงได้ลงมาว่า “ในวันที่พวกเขาจต้องคว่ำหน้า ลงในขุมนรก พวกเจ้าจงลิ้มรสสัมผัสของไฟนรกเถิด ความจริงทุกสิ่งเราได้สร้างมันขึ้นมาตาม กำหนดการทีแน่นอน”[84]

รายงานหะดีษโดยมุสลิม และติรมิซี

แล เล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ออกมา หาพวกเราขณะที่พวกเรากำลังโต้เถียงกันด้วยเรื่องกำหนดการของอัลเลาะห์ ท่านโกรธจนหน้าแดงคล้ายมีเมล็ดทับทิมฝังอยู่ที่แก้มสองข้างของท่าน และท่านได้กล่าวว่าสิ่งนี้หรือที่พวกท่านถูก บัญชา หรือ ข้าพเจ้าถูกแต่งตั้งมายังพวกท่านด้วยสิ่งนี้หรือ ความจริงผู้คนในยุคก่อนพวกท่าน ได้พบกับความพินาศมาแล้ว ขณะที่พวกเขาข้ดแย้งกันในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอยํ้ากับพวกท่าน ขอยํ้า กับพวกท่านว่า พวกท่านจะต้องไม่ขัดแย้งกันในเรื่องนี้775

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ในเรื่องกำหนดการของอัลเลาะห์

ซูเราะห์ อัรเราะห์มาน 890

มักกียะห์ มีเจ็ดสิบแปด อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากยาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ออกมาพบกับอัครสาวก ของท่าน และได้อ่านซูเราะห์ อัรเราะห์มาน ให้พวกเขาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาก็สงบนิ่ง ท่านได้กล่าวว่าความจริงข้าพเจ้าก็ได้อ่านให้พวกญินฟังในคืนของพวกญิน ได้ปรากฏว่าพวก เขามีปฏิกริยาโต้ตอบดียิ่งกว่าพวกท่าน ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าอ่านถึงคำดำรัสของอัลเลาะห์ที่ว่า“แล้ว ยังจะมีความโปรดปรานใดของพรผู้อภิบาลของท่านทั้งสอง (ญินและมนุษย์) อีกเล่าที่ท่านทั้งสองว่ามุสา” พวกเขา (ญิน) ได้กล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นความโปรดปรานของพระองค์ท่าน ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเราที่พวกเราจะกล่าวว่ามุสา แลการสรรเสริญเป็นของพระองค์ท่าน

รายงานหะดีษโดยติรมิซี และฮากิม

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“และสำหรับผู้ที่ยำเกรงฐานะของพระผู้อภิบาลของเรา จะได้รับสองสวรรค์”[85]

เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บุตร กอยส์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าสองสวรรค์ นั้นทำจากเงินทั้งภาชนะเครื่องใช้รวมทั้งสิ่งที่มีอยู่ในสวรรค์ทั้งสอง และสองสวรรค์ทำจากทองคำ ทั้งภาชนะเครื่องใช้รวมทั้งสิ่งที่มีอยู่ในสวรรค์ทั้งสอง[86] และไม่มีอะไรกั้นขวางระหว่างพวกนั้น กับการที่พวกเขาจะมองดูองค์พระผู้อภิบาลของพวกเขา นอกจากคุณลักษณะแห่งความยิ่งใหญ่ ที่ปรากฏอยู่ที่พระองค์ในสวรรค์ชั้นอัดน์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และเล่าจากเขา (อับดิลลาห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงในสวรรค์นั้นมี กระโจมหนึ่งทำจากไข่มุกที่เป็นโพลงมีความกว้างหกสิบไมล์ ในทุกด้านจะมีชนกลุ่มหนึ่ง ที่พวก เขาจะไม่มองดูคนอื่นๆ โดยจะมีมวลผู้ศรัทธาห้อมล้อมพวกเขา[87]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ซูเราะห์อัลวากิอะห์

มักกียะห์ มีเก้าสิบเจ็ด อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา กรุณาเสมอ

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงในสวรรค์มีต้นไม้ ด้นหนึ่ง[88] ผู้ขับขี่พาหน จะเดินทางอยู่ในร่มเงาของมันเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ก็ไม่อาจตัดระยะ ทางพ้นจากมันไปได้ และท่านทั้งหลายจงอ่านเถิดถ้าต้องการ “และร่มเงาที่ทอดยาว”[89]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ในคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า“และที่ นอนที่ถูกยกขึ้นสูง”[90] ท่านได้กล่าวว่าความสูงของมันเท่ากับระยะระหว่างฟ้ากับแผ่นดิน และ ระยะทางระหว่างมันทั้งสองนั้นใช้เวลาเดินทางห้าร้อยปี

เล่าจากอนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. “แท้จริงเราได้สร้างพวกนางขื้นมาจริง ร|”[91]ท่านได้กล่าวว่าจากบรรดาหญิงที่ถูกสร้างขึ้นซึ่งอยู่ในโลกนี้เป็นคนอ่อนแอที่มีดวงตาฟ่าฟาง ตาแฉะ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“เราได้กำหนดความตายไว้แล้ว ระหว่างพวกเจ้า[92] และ เราย่อมไม่อ่อนแอที่จะเปลี่ยนแปลงเอาประชาชาติที่เหมือนกับพวกเจ้า (มาแทนที่พวกเจ้า) และ ที่จะสร้างพวกเจ้าขึ้นมาในรูปลักษณ์ที่พวกเจ้าไม่คุ้นเคย”[93]

อบูบักร์ได้กล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริงท่านผมหงอกแล้ว ท่านได้กล่าว ว่าที่ทำให้ข้าพเจ้าผมหงอกก็คือ ซูเราะห์ ฮูด อัลวากิอห์ อัลมุรซะลาต อัมมะ ยะตะซาอะลูน และ อิซัชชัมซุ กูวิร๊อต[94]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

เล่าจากอะลี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ในคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า “และสมควรหรือ ที่พวกเจ้าจะนำเอาการขอบคุณที่พวกเจ้าได้รับเครื่องยังชีพ[95] มาเปลี่ยนเป็นการที่พวกเจ้ากล่าวหา ว่าโกหก”[96] ท่านได้กล่าวว่ามันคือการขอบคุณของพวกเจ้า แต่พวกเจ้าเปลี่ยนเป็นกล่าวว่าพวกเราได้รับน้ำฝนเพราะดาวฝนดวงนั้น ดวงนี้ และด้วยดาวดวงนั้นดวงนี้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี และตัวบทของมุสลิมว่าฝนได้ตกลงมาที่ประชาชน ในสมัยท่านนบี ซ.ล. และ ท่านได้กล่าวว่าประชาชนบางคนกลายเป็นผู้สำนึกในบุญคุณ และบางคนก็กลายเป็นผู้ทรยศ พวกเขาได้กล่าวว่านี่คือความเมตตาของอัลเลาะห์ และบางคนได้กล่าวว่าดาวฝนดวงนั้น ดวงนี้ สัจจะ,[97] อายะห์นี้จึงได้ลงมา “ที่จะจริงเราขอยืนยันด้วยที่ตกของดวงดาว” จนถึง “พวกเจ้า กล่าวว่าโกหก”[98] อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

ซูเราะห์ อัลหะดีด

มะดะนียะห์ มียี่สิบเก้า อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าขณะที่นบีของอัลเลาะห์ และอัครสาวก ของท่าน กำลังนั่งอยู่ ทันใดนั้นได้มีหมู่เมฆมายังพวกเขา นบีของอัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวขึ้น ว่าพวกท่านทราบไหมว่า นี่คือ อะไร? พวกเขากล่าวว่าอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ ทราบดี ท่านกล่าวว่านี่คือเมฆ นี่คือสิ่งที่จะให้ความชุ่มฉ่ำแก่แผ่นดิน พระองค์อัลเลาะห์จะไล่ต้อนมันไปสู่กลุ่มชนที่ไม่สำนึกในบุญคุณ และไม่สักการะพระองค์ ท่านได้กล่าวว่าพวกท่าน ทราบไหมว่า อะไรอยู่เบื้องบนพวกท่าน พวกเขากล่าวว่า อัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ทราบดี ท่านกล่าวว่ามันคือหลังคาที่ถูกพิทักษ์ และเป็นคลื่นที่อยู่สูง[99] ท่านได้ กล่าวว่าพวกท่านทราบไหมว่าระยะระหว่างพวกท่านกับมันห่างกันเท่าไหร่ พวกเขาตอบว่า อัลเลาะห์ และ ศาสนทูตของพระองค์ทราบดี ท่านกล่าวว่าระยะระหว่างพวกท่านกับมันห่าง กันเป็นระยะเดินทางห้าร้อยปี หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่าพวกท่านทราบไหมว่าสูงขึ้นไปกว่า นั้นเป็นอะไร พวกเขาตอบว่าอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ทราบดี ท่านกล่าวว่าแท้จริงสูงขึ้นไปกว่านั้น เป็นฟ้าสองชั้น ระยะห่างระหว่างฟ้าทั้งสองเท่ากับเดินทางห้าร้อยปี จนท่านได้นับฟ้าครบทั้งเจ็ดชั้น ระหว่างแต่ละสองชั้นฟ้าห่างกันเท่ากับระยะทางฟ้ากับแผ่นดิน หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่าพวกท่านทราบไหมว่า อะไรที่อยู่สูงขึ้นไปกว่านั้น พวกเขาตอบว่า

อัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ทราบดี ท่านได้กล่าวว่าแท้จริงสูงขึ้นไปกว่านั้นเป็นอัรซ์ (บัลลังก์) ระยะระหว่างบัลลังก์กับฟ้าห่างกันเท่ากับระยะทางระหว่างฟ้าสองชั้น จากนั้นท่าน ได้กล่าวว่าพวกท่านทราบไหมว่า อะไรอยู่ข้างใต้พวกท่าน พวกเขาตอบว่าอัลเลาะห์และ ศาสนทูตทราบดี ท่านกล่าวว่าแท้จริงมันคือแผ่นดิน จากนั้นท่านได้กล่าวว่าพวกท่านทราบ ไหมว่า อะไรอยู่ต่ำไปกว่านั้น พวกเขาตอบว่าอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ทราบดี ท่านกล่าวว่าแท้จริง ใต้แผ่นดินลงไป ก็คืออีกแผ่นดินหนึ่งระยะระหว่างสองแผ่นดินเท่ากับ ระยะทางห้าร้อยปี จนท่านได้นับแผ่นดินครบทั้งเจ็ดชั้น ระหว่างแต่ละสองชั้นแผ่นดินห่างกัน เท่ากับระยะทางห้าร้อยปี หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่าสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของมุฮัมมัดอยู่ใน เงื้อมมือของพระองค์ ถ้าหากพวกท่านห้อยชายคนหนึ่งด้วยเชือกหย่อนลงไปจนถึงแผ่นดินชั้นต่ำสุด เขาก็จะตกลงไปบนอัลเลาะห์[100] จากนั้นท่านได้อ่าน“พระองค์ทรงเป็นองค์แรก พระองค์ ทรงเป็นองค์สุดท้าย พระองค์ทรงเป็นภายนอก พระองค์ทรงเป็นภายใน และพระองค์ทรงรอบรู้ ทุกสิ่ง”[101] 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

อับดุลเลาะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าไม่ปรากฏช่วงที่พวกเราเข้ารับอิสลามกับช่วงที่พระองค์ ทรงตำหนิพวกเราด้วยอายะห์นี้ “ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือสำหรับบรรดาผู้มีศรัทธาที่หัวใจของพวกเขา จนอบน้อมเพื่อการระลึกถึงอัลเลาะห์”[102] นอกจากระยะสี่ปี

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

ซูเราะห์ อัลมุยาดะละห์

มะดะนียะห์ มียี่สิบสอง อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากเคาละห์ บุตรสาวมาลิก บุตรซอฺละบะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าสามีของข้าพเจ้า คือ เอาส์ บุตร อัซชอมิต ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “ตัวเธอกับฉันเป็นเหมือนหลังมารดาของฉัน” ข้าพเจ้าจึงได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ร้องเรียนต่อท่าน และท่านได้โต้เถียงกับข้าพเจ้า ในเรื่องนี้โดยท่านนบีได้กล่าวว่าเธอจงกลัวอัลเลาะห์เถิด เพราะความจริงเขาก็เป็นบุตรลุงของ เธอเอง และข้าพเจ้าก็ยังคงอยู่อย่างนั้น จนกรทั่งอัลกุรอานได้ลงมาว่า “แท้จริงอัลเลาะห์ทรง ได้ยินคำพูดของหญิงที่ทำการโต้ตอบกับเจ้าในกรณีสามีของนาง”[103] จนถึงที่อัลเลาะห์ทรงกำหนด[104] จากนั้นท่านได้กล่าวว่าให้เขาปลดปล่อยทาสหญิง หล่อนกล่าวว่าเขาไม่มีทาส ท่านกล่าวว่าขาจะต้องถือศีลอดสองเดือนติดต่อกัน หล่อนกล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์เขาเป็นชายชรา ท่านกล่าวว่าให้เขาจงแจกจ่ายอาหารแก่คนยากจนจำนวนหกสิบคน หล่อนกล่าวว่า เขาไม่มีสิ่งใดจะบริจาคได้หรอก หล่อนได้กล่าวว่า ทันใดนั้นได้มีผู้นำตะกร้าใส่อินทผลัมมามอบให้เขา ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลลอห์ข้าพเจ้าจะช่วยเขาอีกตะกร้าหนึ่ง ท่านกล่าวว่า  เธอ ทำดีมาก จงไปและนำมันไปแจกจ่ายแก่คนยากจนหกสิบคน แทนเขาและเธอจงกลับไปหาบุตร ลุงของเธอเถิด 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

อนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าชาวยะฮูดีคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. และอัครสาวกของ ท่านแล้วกล่าวว่า “อัซซามมุอะลัยกุม” (ซึ่งแปลว่าความตายจงประสบกับพวกท่าน) พวกเขา เหล่านั้นได้ตอบสลามเขา ต่อมานบีของอัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าพวกท่านทราบไหมว่า ชายคนนี้พูดอะไร            พวกเขาตอบว่าอัลเลาะห์และศาลนทูตของพระองค์ทราบดี โอ้ผู้เป็นนบีของอัลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่าเขาไม่ได้กล่าวสลาม แต่เขาได้กล่าวว่าอย่างนั้นอย่างนี้ พวกท่าน จงไปนำตัวเขามาหาข้าพเจ้า จากนั้นพวกเขาได้ใปนำตัวชาวยะฮูดีคนนั้นกลับมา ท่านได้ถามว่าเจ้ากล่าวว่าอัชซามุอะลัยกุมใช่ไหม เขาตอบว่าใช่ครับ ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวในขณนั้นว่า เมื่อชาวคัมภีร์คนใดกล่าวสลามแก่พวกท่าน ให้พวกท่านทั้งหลายกล่าวว่า ขอให้ท่านได้รับตามที่ ท่านพูด ท่านได้กล่าวว่า“เมื่อพวกเขาได้มาหาท่าน พวกเขาได้กล่าวดำคารวะต่อท่านด้วยคำ ที่อัลเลาะห์ไม่ได้ใช้ให้ท่านนำมากล่าวคารวะ”796

อะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อได้ลงมาว่า “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย เมื่อพวกท่านจะเข้าพบศาสนทูต พวกท่านจงเอาการทำทานไว้ก่อน การเข้าพบของพวกท่าน”797 ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่าท่านเห็นควรอย่างไร หนึ่งเหรียญทอง ข้าพเจ้ากล่าวว่าพวกเขาคงไม่มีความสามารกหรอก ท่านกล่าวว่าครึ่งเหรียญทอง ข้าพเจ้ากล่าวว่าพวกเขาคงไม่มี ความสามารถ ท่านกล่าวว่าเท่าไหร่ ข้าพเจ้าตอบว่า ทองคำมีน้ำหนักเท่าหนึ่งเมล็ดข่าวสาลี ท่านได้กล่าวว่า ความจริงท่านเป็นคนมักน้อย จึงได้ลงมาว่า “พวกท่านกลัวว่า จะต้องจ่ายทาน ล่วงหน้าการเข้าพบของพวกท่านเป็นประจำหรือ”[105] จนจบอายะห์ อะลีได้กล่าวว่าเพราะ ข้าพเจ้า อัลเลาะห์จึงได้ผ่อนผันให้ประชาชาตินี้[106]

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

ซูเราะห์ อัลฮัชร์

มะดะนียะห์ มียี่สิบสี่ อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายี่ง

เล่าจากสะอีด บุตร ญุบัยร์ ร.ฎ. ว่าข้าพเจ้าได้ถาม อิบนิ อับบาสถึง ซูเราะห์ อัต- เตาบะห์ เขาตอบว่า อัตเตาบะห์ หรือ เป็นซูเราะห์ที่เปิดเผยความอับอาย ซูเราะห์นี้ลงมาอยู่ เสมอด้วยดำทีว่า และบางส่วนของพวกเขา และบางส่วนของพวกเขา จนพวกเขาคาดกันว่า

ซูเราะห์อัตเตาบะห์ไม่ได้ปล่อยผู้ใดจากพวกนั้นไว้ นอกจากได้ถูกระบุอยู่ในซูเราะห์นื้, ข้าพเจ้า ได้ถามถึง ซูเราะห์ อัลอันฟาล[107] เขาตอบว่า  ได้ลงมาในศึกบัดร์ ข้าพเจ้าได้ถามถึงซูเราะห์ อัลฮัชร์ เขาตอบว่าได้ลงมาในพวกยะฮูดี บะนีนะดีร 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

อิบนุ อุมัรได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เผาต้นอินทผลัมของพวกยะฮูดี บะนีนะดีร และได้ตัดทิ้ง ซึ่งอยู่ที่อัลบุวัยเราะห อัลเลาะห์ได้ประทานลงมาว่า “ด้นอินทผลัม ใดที่พวกท่านได้ตัดมันหรือปล่อยมันยืนต้นอยู่บนโคนของมัน นั่นเป็นไปโดยอนุมัติของอัลเลาะห์ และแน่นอนพระองค์จะให้ความต่ำด้อยเกิดกับบรรดาผู้ละเมิดทั้งมวล”[108]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่าทรัพย์สินของพวกยะฮูดี บะนีนะดีร เป็นสิ่งที่ อัลเลาะห์ได้ประทานให้แก่ศาสนทูตของพระองค์ มันเป็นสิ่งทิ่มุสลิมไม่ต้องควบม้า และ อูฐ เข้าพิชิตมัน และมันได้ตกเป็นของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. โดยเฉพาะท่านได้จ่ายมันให้แก่ ครอบครัวของท่าน เป็นค่าใช้จ่ายได้หนึ่งปี หลังจากนั้นได้ใช้จ่ายส่วนที่เหลือไปในเรื่องอาวุธ และ ม้า เพื่อเป็นกำลังอาวุธในวิถีทางของอัลเลาะห์[109]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อับดุลเลาะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าอัลเลาะห์ได้สาปแช่งพวกผู้หญิงที่สักและพวกผู้หญิง ที่ขอร้องให้สัก พวกผู้หญิงที่ถอนผมด้วยแหนบ และพวกผู้หญิงที่กรอฟันเพื่อความสวยงาม ซึ่งเป็นพวกที่เปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลเลาะห์ ต่อมาคำพูดดังกล่าวนั้นได้ล่วงไปถึงผู้หญิงคนหนึ่งจากตระกูล อะซัด ซึ่งมีชื่อเรืยกว่า อุมมุยะอฺกูบ ต่อมาหล่อนได้ มาหาเขา และได้พูดกับเขา อับดุลเลาห์ได้กล่าาว่าไม่เป็นการสมควรที่ข้าพเจ้าจะไม่สาป แช่งบุคคลที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้สาปแช่งไว้ แล้วใครที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของอัลเลาะห์ หญิงคนนั้นได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้อ่านสิ่งที่อยู่ระหว่างสองปกของคัมภีร์ แต่ข้าพเจ้าก็ ไม่พบสิ่งที่ท่านกล่าวว่า ปรากฏอยู่ในนั้น อับดุลเลาะห์กล่าวว่าถ้าหากเธออ่าน เธอจะต้อง พบอย่างแน่นอน เธอไม่ได้อ่านหรือว่า “และสิ่งใดที่ศาสนทูตได้นำมายังท่านทั้งหลาย ก็ให้ ท่านทั้งหลายจงยึดมั่นไว้ และสิ่งใดที่เขาได้ห้ามพวกท่านทั้งหลายก็ให้ท่านทั้งหลาย จงยุติ”[110]หญิงผู้นั้นกล่าวว่าหามิได้ อับดุลเลาะห์จึงกล่าวว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ใด้ห้ามมัน หญิงผู้นั้นกล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าเห็นภรรยาของท่านกำลังทำมันอยู่ เขาได้กล่าวว่าเธอจงไปดูเถิด หล่อนได้ไปดูและไม่เห็นสิ่งที่หล่อนต้องการเลย เขาได้กล่าวว่าถ้าหากหล่อน (ภรรยา ของข้าพเจ้า) ได้ทำอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะไม่อยู่ร่วมกับหล่อน[111]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าสิ่งใดที่ข้าพเจ้า ได้ห้ามพวกท่าน ให้ท่านทั้งหลายจงออกให้ห่าง และสิ่งใดที่ข้าพเจ้าใช้พวกท่าน ให้พวกท่าน จงปฏิบัติ ตามที่พวกท่านมีความสามารถ[112] ความจริงมันได้ทำความพินาศแก่พวกที่อยู่ในยุค ก่อนพวกท่านนั่นคือ คำถามมากมายของพวกเขา แลการที่พวกเขาขัดแย้งกับนบีของพวกเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าขอสั่งเสีย คอลีฟะห์ ด้วยบรรดาผู้อพยพรุ่นแรกๆ ให้ยอมรับสิทธิต่าง ๆ ของพวกเขา และข้าพเจ้าขอสั่งเสียคอลีฟะห์ด้วยบรรดาชาวอันซอรสั่งได้ สำรองบ้านแลการศรัทธาไว้ก่อนที่ท่านนบี ซ.ล. จะอพยพให้รับรองผู้ที่ทำดีของพวกเขา และ อภัยให้แก่ผู้ทำชั่วของพวกเขา[113]

รายงานโตย บุคอรี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่ามีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้ว กล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความหิวโหยได้เถิดกับข้าพเจ้า ท่านจึงส่งคนไปยังบรรดาภรรยา ของท่าน แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่บรรดาภรรยาของท่านเลย จากนั้นท่านได้กล่าวว่าจะมีใครต้อนรับ เขาเป็นแขกในคืนนี้บ้างไหม ขออัลเลาะห์ทรงเมตตาเขา ชายชาวอันซอรคนหนึ่งลุกขื้นแล้ว กล่าวว่าข้าพเจ้าเองโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ เขาจึงได้ไปยังครอบครัวของเขาแล้วกล่าวแก่ภรรยา ของเขาว่านี่คือแขกของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เธออย่าเก็บงำสิ่งใดไว้ หล่อนได้กล่าวว่าสาบานต่ออัลเลาะห์ ข้าพเจ้าไม่มีอะไรเลยนอกจากอาหารของเด็กๆ ชาวอันซอรคนนั้นกล่าวว่าถ้าหากเด็กๆ ต้องการอาหารคํ่าให้เธอกล่อมพวกเขานอน[114] และเธอจงมานี่และดับตะเกียง เสีย และเราก็จะพับท้องของเราในคืนนี้[115] หล่อนได้ทำตาม ต่อมาชายคนนั้นได้ไปยังท่าน รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ในตอนเช้าและท่านได้กล่าวว่าความจริงอัลเลาะห์ ทรงชอบใจ หรือ อัลเลาะห์ ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรทรงหัวเราะ ผู้ชายคนนั้น และผู้หญิงคนนั้น อัลเลาะห์ ตาอาลาได้ประทานลงมาว่า “และพวกเขาให้ความสำคัญแก่พวกผู้อพยพยิ่งกว่าตัวของพวกเขา เอง และแม้พวกเขาจะมีความขัดสนสักปานใดก็ตาม”[116]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ซูเราะห์ อัลมุมตะฮินะห์
มะดะนียะห์ มีสิบสาม อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากล อะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้แต่งตั้งข้าพเจ้าอ้ซซุบัยร์ และ อัลมิกดาด โดยได้กล่าวว่าพวกท่านจงเดินทางไปจนถึง เราเฎาะห์คอค ความจริง ที่นั่นมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในประทุนบนหลังอูฐ หล่อนมีสาส์น ฉบับหนึ่งพวกท่านจงเอาสาส์น ฉบับนั้นมาจากหล่อน พวกเราจึงได้ออกไป ม้าของเราได้นำพวกเราห่างออกไป จนพวกเรา ได้มาถึงเราเฎาะห์ และเราก็ได้พบผู้หญิงคนนั้น พวกเราได้กล่าวว่า เธอจงนำสาส์นออกมา หล่อนกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่มีสาส์นใดๆ พวกเราได้กล่าวว่าเธอจะต้องเอาออกมา หรือ เธอ จะต้องแก้ผ้า หล่อนจึงยอมนำเอาสาส์นอออมาจากมวยผมของหล่อน พวกเราได้นำหล่อนกลับ มาหาท่านนบี ซ.ล. ในสาส์นฉบับนั้นมาจาก ฮาดิบ บุตร อะบี บัลตะอะห์ไปถึงกลุ่มหนึ่ง จากพวกผู้ตั้งภาคีที่อยู่ในนครมักกะห์ แจ้งให้พวกเขารู้การเคลื่อนไหวบางอย่างของท่านนบี ซ.ล. ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่านี่มันคืออะไร โอ้ฮาดิบ            ฮาดิบได้กล่าวว่าท่านอย่ารีบร้อนในเรื่องของข้าพเจ้าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ความจริงข้าพเจ้าเป็นคนหนึงจากเผ่า กุเรช แต่ข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นชาวกุเรชโดยทางตระกูล[117] และได้ปรากฏว่าบรรดาผู้อพยพนั้น มีความเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกันกับพวกกุเรชที่พวกเขาจะใช้มันปกป้องครอบครัวของพวกเขา และทรัพย์สินของพวกเขาที่มักกะห์ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมีความปรารถนาขณะที่ข้าพเจ้าไม่มีความ เกี่ยวดองทางวงศ์ตระกูลร่วมกับพวกกุเรชที่จะใช้พวกเขาให้เป็นมือปกป้องวงศ์ญาติของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าไม่ได้กรทำการดังกล่าว เพราะไม่ศรัทธา และไม่ใช้เพราะทิ้งศาสนาของข้าพเจ้า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงเขาพูดความจริงกับพวกท่าน อุมัรได้กล่าวว่า ปล่อยข้าพเจ้า เถิด โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะฟันคอเขา ท่านนบีได้กล่าวว่าแท้จริงเขาได้ปรากฏตัวใน สมรภูมิ บัดร์ และอะไรบอกท่านให้รู้ แน่นอนอัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรทรงรู้เห็นชาว บัดร์เป็นอย่างดี พระองค์ได้ตรัสว่า “พวกท่านจงกระทำสิ่งที่พวกท่านต้องการเถิด แท้จริงเรา ได้อกัยโทษให้แก่พวกท่านแล้ว”[118] และได้ลงมาในเรื่องของ ฮาดิบว่า “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธา ทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่ายึดเอาศัตรูของเราและศัตรูของพวกท่านมาเป็นมิตร” จนจบอายะห์[119]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย เมื่อมีเหล่าสตรีทีมศรัทธา มาหาพวกท่านในสภาพเป็นผู้อพยพ ให้พวกท่านทดสอบพวกนางเสียก่อน อัลเลาะห์ทรงทราบ ดีในศรัทธาของพวกนาง ถ้าหากพวกท่านรู้ว่าพวกนางเป็นผู้มีศรัทธา ดังนั้น พวกท่านอย่าส่ง พวกนางกลับไปหาพวกผู้ใร้ศรัทธา พวกนางไม่เป็นที่อนุมัติแก่พวกผู้ไรัศรัทธา และพวกผู้ไร้ ศรัทธาก็จะไม่เป็นที่อนุมัติแท่พวกนาง”[120]

อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เคยทดสอบผู้ที่ได้ อพยพมาหาท่าน จากบรรดาสตรีที่มีศรัทธาโดยอาศัย อายะห์นี้ “โอ้นบี เมื่อบรรดาสตรีทีมี ศรัทธาได้มาหาเจ้าให้สัตยาบันกับเจ้า” จนถึง “ทรงอภัยยิ่งทรงเมตตายิ่ง”[121] ดังนั้นผู้ใดยอมรับ ตามเงื่อนไขนื้จากบรรดาสตรีที่มีศรัทธา ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. จะกล่าวแก่หล่อนว่า   แท้จริงข้าพเจ้าได้ให้สัตยาบันต่อเธอแล้ว โดยคำพูด และไม่ ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า มือ ของท่านไม่เคยสัมผัสกับมือของผู้หญิงคนใดเลยในการให้สัตยาบันต่อกัน ท่านไม่เคยให้สัตยาบัน กับพวกผู้หญิง นอกจากโดยคำพูดของท่านที่ว่า แท้จริงข้าพเจ้าขอให้สัตยาบันแก่เธอตามนั้น[122]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

ซูเราะห์ อัซซอฟฟ์

มักกียะห์ หรือ มะดะนียะห์ มีสีบสี่ อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมฅตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

อับดุลเลาะห์ บุตร ซะลาม ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเรากลุ่มหนึ่งที่เป็นอัครสาวก ท่านนบี ซ.ล. ได้นั่งทบทวนกัน พวกเราได้กล่าวกันว่า ถ้าหากพวกเรารู้ว่า กิจกรรมอะไรที่ อัลเลาะห์ทรงรักยิ่งแล้ว พวกเขาก็จะกระทำมัน อัลเลาะห์ได้ลงมาว่า “สรรพสิ่งในฟากฟ้า และสรรพสิ่งในแผ่นดินได้สดุดีพระองค์อัลเลาะห์[123] และพระองค์ทรงอำนาจยิ่ง ทรงเชี่ยว ชาญยิ่ง โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย ทำไมพวกเจ้าจึงพูดในสิ่งที่พวกเจ้าไม่กระทำ”[124]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และ (จงระลึกเถิด) ขณะที่อีชา บุตร มัรยัม ได้กล่าวว่า โอ้วงศ์วานของอิสรออีล แท้จริงข้าพเจ้าเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์มายังพวกท่าน ยืนยันใน สัจจะของสิ่งที่มีมาก่อนข้าพเจ้านั่นคือคัมภีร์ เตารอต และเพื่อแจ้งข่าวดีด้วยศาสนทูตที่จะมี มาหลังจากข้าพเจ้า ชึ่อของเขาดีอ อะห์มัด ต่อเมื่อเขานำหลักฐานอันขัดแจ้งมายังพวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า นี่คือมายากลอันชัดแจ้ง”[125]

เล่าจาก ญุบัยร์ บุตร มุตอิม ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงข้าพเจ้า มีหลายชื่อ ข้าพเจ้าคือ มุฮัมมัด ข้าพเจ้าคือ อะห์มัด ข้าพเจ้าก็คือ อัลมาฮีย์ (ผู้ลบ) ซึ่งอัลเลาะห์จะลบการไม่ศรัทธาโดยข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคือ อัลฮาชิร (ผู้รวม) ซึ่งมนุษย์จะถูกรวบรวมอยู่แทบเท้าข้าพเจ้า และข้าพเจ้าคือ อัลอากิบ (ผู้มาที่หลัง)[126] 

รายงานหะดีษโดยบุคอรี 

ซูเราะห์ อัลญุมอะห์
มะดะนียะห์ มีสิบเอ็ด อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเราอยู่ที่ท่านนบี ซ.ล. ขณะที่ ซูเราะห์ อัลญุมอะห์ได้ถูกประทานลงมายังท่าน และท่านได้อ่านเมื่ออ่านไปถึง “แลกลุ่มอื่นๆ นอกจากพวกเหล่านั้น ซึ่งพวกนั้นยังไม่เคยติดต่อกับพวกเขามาก่อนเลย”[127] ได้มีชายคนหนึ่ง กล่าวแก่ท่านว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ใครคือพวกที่ยังไม่เคยติดต่อกับพวกเรามาก่อนเลย  ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ไม่พูดกับเขา[128] ผู้เล่าได้กล่าวว่าและซัลมาน อัลฟารีซีย์ อยู่ ในหมู่พวกเราด้วย ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้วางมือของท่านลงบนร่างของเขาแล้วกล่าวว่าสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า ถ้าหากการศรัทธาอยู่ที่กลุ่มดาว ถูกไก่ พวกผู้ชายของพวกเขา[129] เหล่านั้นก็จะต้องคว้าเอามาได้ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่ากองคาราวานอูฐได้มาในวันศุกร์ ขณะที่พวกเรา อยู่กับท่านนบี ซ.ล. ประชาชนได้พากันลุกฮือขื้น นอกจากสิบสองคนเท่านั้น อัลเลาะห์ ได้ประทานลงมาว่า “และเมื่อพวกเขาเห็นการค้า หรือ การละเล่นเพลิดเพลิน พวกเขาก็แยกย้ายกันไปหามัน 

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และติรมิซี

ซูเราะห์ อัลมุนาฟิกูน
มะดะนียะห์ มีสิบเอ็ด อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก เซด บุตร อัรกอม ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าอยู่กับลุงของข้าพเจ้า[130] และ ต่อมาข้าพเจ้าได้ยิน อับดุลเลาะห์ บุตร อุบัยย์ บุตร ซะลูล กล่าวว่าท่านทั้งหลายอย่าบริจาค ให้แก่คนที่อยู่กับท่านรอซูลุลเลาะห์ เพื่อว่าพวกเขาจะแยกตัวออกไป และเขาได้กล่าวว่าขอ ยืนยันว่าถ้าหากพวกเรากลับไปถึงนครมะดีนะห์ผู้มีอำนาจสุดจะต้องขับผู้ตํ่าด้อยออกไปอย่าง แน่นอน[131] ต่อมาข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องนี้ให้ลุงของข้าพเจ้า และลุงของข้าพเจ้าก็ได้นำไปเล่าต่อให้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ฟัง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ส่งตัวแทนไปหา อับดุลเลาะห์ และเหล่าสหายของเขา และต่อมาพวกนั้นได้สาบานว่า ไม่,ได้พูด ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เชื่อพวกนั้น แลกล่าวหาว่า ข้าพเจ้าโกหกความเศร้าหมองได้เถิดกับข้าพเจ้าอย่างไม่เคยเกิดขึ้น มาก่อน ข้าพเจ้าได้นั่งอยู่ในบ้านของข้าพเจ้า ต่อมาอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ได้ ประทานลงมาว่า “เมื่อพวกหน้าไหว้หลังหลอกได้มาหาท่าน” จนถึง “คือพวกที่พูดว่า ท่านทั้งหลายอย่าบริจาคให้แก่คนที่อยู่กับศาสนทูตของอัลเลาะห์ เพื่อว่าพวกเขาจะแยกตัวไป” จนถึงคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า “ขอยืนยันว่า ผู้มีอำนาจสุดจะต้องขับผู้ต่ำต้อยออกไปอย่างแน่นอน” 827 ท่านรอซูลุลเลาะห์ได้ส่งผู้แทนไปหาข้าพเจ้า และได้อ่านมันให้ข้าพเจ้าฟัง และหลังจากนั้น ได้กล่าวว่าแท้จริงอัลเลาะห์ได้รับรองว่า ท่านสัจจะแล้ว โอ้เซด[132]

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าขณะที่พวกเราอยู่ในสงครามหนึ่งได้มีผู้ชายชาว มุฮาญิรีน ต่อยผู้ชายชาวอันซอร ต่อมาชาวอันซอรได้กล่าวขึ้นว่าโอ้ชาวอันซอรทั้งหลายช่วย ข้าพเจ้าด้วย และชาวมุฮาญิรีนก็กล่าวว่าโอ้ชาวมุฮาญิรีน ทั้งหลายช่วยข้าพเจ้าด้วย ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ยินดังนั้น จึงกล่าวว่าเพราะเหตุใดจึงต้องเรียกกันตามแบบญาฮีลียะห์ พวกเขากล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. มีผู้ชายชาวมุฮาญิรีน ต่อยผู้ชายชาวอันซอร ท่านได้กล่าวว่าพวกท่านจงทิ้งการเรียกร้องกันอย่างนั้น เพราะความจริงมันเป็นคำเรียกร้อง กันที่เน่าเหม็น อิบนุ อุบัยย์ ได้ยินดังนั้น จึงกล่าวว่าพวกเขาได้กระทำการเรียกร้องกันแล้ว พึงทราบเถิด สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ถ้าหากพวกเรากลับคืนนครมะดีนะห์แล้ว แน่นอนว่า ผู้มีอำนาจที่สุดจะต้องขับผู้ต่ำต้อยออกไปอย่างแน่นอน[133] และคำพูดนี้ก็ล่วงไปถึงที่ท่านนบี ซ.ล. อุมัรได้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ปล่อยข้าพเจ้าให้ฟันคอคนหน้าไหว้หลัง หลอกคนนี้เถิด ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าปล่อยเขาเถิด ประชาชนจะได้ไม่พูดว่า มุฮัมมัดสังหารสาวกของเขา 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอยส์ บุตร อุบาด ร.ฎ. ว่าพวกเราได้กล่าวแก่ อัมมารว่าบอกข้าพเจ้าเถิดว่า ที่พวกท่านร่วมกับ อะลี ร.ฎ. รบกับชาว ชาม นั้น มันเป็นความเห็นที่พวกท่านเห็นเช่นนั้น เพราะแท้จริงความเห็นอาจถูกและผิดได้ หรือเป็นความรู้ที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. สอน พวกท่าน[134] เขากล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ไม่ได้สอนสิ่งใดแก่พวกเราโดยที่ท่าน จะไม่สอนสิ่งนั้นแก่มวลมนุษย์ และเขาได้กล่าวว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ กล่าวว่าความจริงในประชากรของข้าพเจ้ามีคนหน้าไหว้หลังหลอก สิบสองคน[135] พวกเขา จะไม่ได้เข้าสวรรคํ และจะไม่ได้พบกลิ่นของมันจนกว่าอูฐจะเข้าไปในรูเข็มได้ แปดคนจาก จำนวนนั้น พอแล้วที่ฝีจะเล่นงานพวกเขามันเป็นตะเกียงที่มาจากไฟนรก จะเกิดขึ้นที่บ่าของเขา และลุกลามมาถึงหน้าอกของพวกเขา[136]

เล่าจาก ญาบีร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ได้กลับมาจาการเดินทาง เมื่อ เข้ามาใกล้นครมะดีนะห์ได้เถิดพายุขึ้นอย่างรุนแรง เกือบจะฝังผู้ขี่พาหนะทุกคน ญาบิรคาดว่า ท่านนบี ซ.ล. พูดว่า ลมพายุนื้ถูกส่งมาเพื่อความตายของคนหน้าไหว้หลังหลอก เมื่อท่าน เข้าสู่นครมะดีนะห์ ก็ได้พบว่าคนหน้าไหว้หลังหลอกที่ยิ่งใหญ่จากบรรดาคนหน้าไหว้หลังหลอก ได้เสียชีวิตลง [137]

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าเปรียบคนหน้าไหว้หลัง หลอกเหมือนแกะที่ลังเลอยู่ระหว่างแพะสองฝูง[138] ไปหาฝูงนี้ทีหนึ่งไปหาฝูงโน้นทีหนึ่ง 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ในภาคคนหน้าไหว้หลังหลอก

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าผู้ใดที่มีทรัพย์ถึงขั้นที่ทำให้เขาสามารก เดินทางไปทำฮัจย์ ณ อาคารแห่งพระผู้อภิบาลของเขาได้ หรือ ถึงขั้นที่ซะกาตเป็นสิ่งวาญิบแก่เขา และเขาไม่ได้กระทำ เขาจะขอกลับไปมีชีวิตในโลกดุนยาอีกครั้งหนึ่ง ขณะใกล้ตาย ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่าโอ้ อิบนิ อับบาส จงกลัวอัลเลาะห์เถิดความจริงที่จะขอกลับไปมี ชีวิตในดุนยาอีกครั้งนั้นคือ พวกผู้ไร้ศรัทธา อิบนิ อับบาส กล่าวว่าข้าพเจ้าจะอ่าน อัลกุรอาน ในเรื่องนี้ให้ท่านฟังคือ “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย อย่าให้ทรัพย์สินและลูกหลานของพวก ท่านทำให้พวกท่านเพลิดเพลินจาการรำลึกถึงอัลเลาะห์ และผู้ใดกระทำเช่นนั้น แน่นอน พวกเขาเป็นพวกที่ขาดทุน และจงบริจาคบางส่วนของสิ่งที่เราได้ประทานเป็นปัจจัยแก่พวก ท่านก่อนที่ความตายจะมาประสพกับคนหนึ่งคนใดของพวกท่าน”[139] จนจบซูเราะห์ เขาถามว่าอะไรที่ทำให้ วาญิบ ต้องจ่ายซะกาต อิบนุ อับบาส ตอบว่าเมื่อทรัพย์สินมีถึง สองร้อย ดิรฮัมหรือมากกว่านั้น เขาถามว่าอะไรทำให้วาญิบต้องทำฮัจย์ อิบนุ อับบาสตอบว่าเสบียง และอูฐ 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

ซูเราะห์ อัตตะฆอบุน 902
มะดะนียะห์ มีสิบแปด อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อิบบิ อับบาส ร.ฎ. โดยมีชายคนหนึ่งถามเขาเกี่ยวกับอายะห์นี้ “โอ้บรรดา ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย แท้จริงบางคนจากคู่ครองของพวกท่าน และบางคนจากบุตรหลานของ พวกท่าน เป็นศัตรูของพวกท่านเอง ดังนั้น ท่านทั้งหลายพึงระวังพวกเขาเถิด”[140] เขาได้กล่าวว่า พวกนั้นคือพวกผู้ชายที่เข้านับถือศาสนาอิสลามจากชาวมักกะห์ และพวกเขาปรารถนาอพยพลี้ภัยไปหาท่านนบี ซ.ล. แต่คู่ครองและลูกหลานของพวกเขาไม่ยินยอมและยับยั้งพวกเขาไว้ ต่อมาเมื่อพวกเขาได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. และได้พบว่าประชาชนมีความเข้าใจใน ศาสนากันเป็นอย่างดีแล้ว พวกเขามีความคิดจะลงโทษครอบครัวของพวกเขา อัลเลาะห์จึงได้ ประทานอายะห์นั้นลงมา[141]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

ซูเราะห์ อัตตอล๊าก

มะดะนียะห์ มีสิบสองอายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก ซาลิม ว่า แท้จริงอับดุลเลาะห์ บุตร อุมัร ร.ฎ. ได้หย่าภรรยาของเขาขณะ ที่หล่อนมีเลือดประจำเดือน อุมัรได้เล่าเรื่องนี้ให้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ฟัง ท่านโกรธเขามาก ต่อมาท่านได้กล่าวว่าให้เขากลับไปคืนดีกับหล่อน หลังจากนั้นให้เขากักหล่อนไว้ จนกว่าหล่อนจะสอาด จากนั้นก็มีเลือดประจำเดือน แล้วสอาด จากนั้น ถ้าเขาเห็นว่าควรจะ หย่าหล่อนก็ให้เขาหย่าหล่อนเถิด ในสภาพที่สอาด (ไม่มีเลือดประจำเดือน) ก่อนที่เขาจะเข้า สัมผัสกับหล่อน ดังนี้ แหละคือกำหนดกักตัว ที่อัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ และเกรียงไกรได้บัญชาไว้ 

รายงานหะดีษโดยบุคอรี

อะบู ซะละมะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่ามีชายคนหนึ่งมาหา อิบนิ อับบาส โดยมีอะบู  ฮุรอยเราะห์นั่งอยู่กับเขา แล้วกล่าวว่าจงให้คำอธิบายแก่ข้าพเจ้าในเรื่องที่มีผู้หญิงคนหนึ่ง คลอดบุตรหลังจากสามีของหล่อนจากไป[142] เป็นเวลาสี่สิบวัน อิบนุ อับบาสได้กล่าวว่ามันคือสุดท้ายของสองกำหนดเวลา[143] ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าและบรรดาหญิงที่ตั้งครรภ์นั้น  ตัวของพวกนาง ก็คือการที่พวกนางคลอดบุตรของพวกนาง อะบู ฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าเห็นด้วยกับอะบี ซะละมะห์ อิบนิ อับบาส จึงส่งเด็กรับใช้ของเขาชื่อ กุรอยบ์ ไปหา อุมมิ ซะละมะห์ ถามนาง และนางได้ตอบว่าสามีของ ซุบัยอะห์ ตระกูลอัสละมียะห์ถูกฆ่าตายขณะที่หล่อนมีครรภ์ และต่อมาหล่อนได้คลอดบุตรหลังจากสามีหล่อนได้ตายไปเป็นเวลา สี่สิบวัน และได้มีผู้มาสู่ขอหล่อน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ก็ได้แต่งงานหล่อน และอะบู  อัชซะ นาบิล เป็นคนหนึ่งในจำนวนผู้ที่ได้มาสู่ขอหล่อน

รายงานหะดีษโดยบุคอรี

ซูเราะห์ อัตตะห์รีม

มะดะนียะห์ มีสิบสอง อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เคยดื่มนํ้าผึ้งขณะที่ อยู่กับ ซัยนับ บุตร ยะห์ช และพำนักอยู่กับนาง ข้าพเจ้าและฮัฟเซาะห์ได้ตกลงกันว่า ผู้ใด ก็ตามจากพวกเราที่ท่านนบีเข้ามาหา ให้บอกแก่ท่านนบีว่าท่านได้รับประทาน ยางไม้[144] แท้จริง ข้าพเจ้าได้กลิ่นยางไม้จากท่าน ท่านได้กล่าวว่าไม่ใช้ แต่ข้าพเจ้าได้ดื่มนาผึ้ง ที่ซัยนับ บุตร ยะห์ช และข้าพเจ้าจะไม่กลับไปดื่มมันอีก ขอสาบานว่า เธอจะด้องไม่บอกเรื่องนึ่แก่ใคร

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้ารอคอยมาเป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อจะถามอุมัร ร.ฎ. ถึงอายะห์หนึ่ง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่สามารลทำอย่างนั้นได้ เพราะความน่าเกรงขามของเขา จนกระทั่ง ข้าพเจ้าได้ออกไปทำฮัจย์พร้อมกับเขา ขณะเมื่อเราเดินทางกลับ และอยู่ในบางเส้นทาง อุมัรได้หันออกนอกเส้นทางไปยัง หมู่ไม้อัลอะรอก เพื่อทำธุรส่วนตัวของเขา ข้าพเจ้า จึงได้หยุดคอย จนเขาเสร็จธุระ ข้าพเจ้าได้เดินมากับเขา แล้วกล่าวว่าโอ้ท่านผู้นำของมวล ผู้มีศรัทธา ใครคือภรรยาทั้งสองคนที่ได้ร่วมมือกันรังควานท่านนบี ซ.ล. อุมัรตอบว่านั่น คือฮัฟเซาะห์และอาอิชะห์ ข้าพเจ้ากล่าวว่าสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้าตั้งใจจะถามท่าน เรื่องนี้มาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่สามารกเพราะยำเกรงท่าน อุมัร กล่าวว่าอย่าทำ เช่นนั้นสิ่งใดที่ท่านคิดว่า ข้าพเจ้ารู้จงถามข้าพเจ้าถึงเรื่องนั้นเถิด ถ้าหากข้าพเจ้ามีความรู้ก็จะ บอกให้ท่านทราบ หลังจากนั้น อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า แท้จริงพวก เราในสมัยญาฮิลียะห์ไม่เคยให้ความสำคัญแก่พวกผู้หญิงในเรื่องใดเลย จนกระทั่งอัลเลาะห์ ได้ประทานลงมาในเรื่องของพวกผู้หญิง สิ่งที่พระองค์ได้ประทานมา และได้แบ่งให้พวกหล่อน สิ่งที่พระองค์ได้แบ่ง อุมัรได้กล่าวว่าขณะที่ข้าพเจ้ากำลังใช้ความคิดอยู่กับเรื่องหนึ่ง ทันใด นั้นภรรยาของข้าพเจ้าได้เอ่ยขื้นว่าหวังว่าท่านจะจัดการอย่างนั้นอย่างนี้ ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ หล่อนว่าเธอมีอะไรที่จะต้องมายุ่งเกี่ยวทีนี่ และเธอคับใจในเรื่องใดที่ข้าพเจ้าต้องการหรือ หล่อนได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่าช่างน่าประหลาดจริงที่ท่าน โอ้ บุตรของคอดต๊อบต่อการที่ท่าน ไม่ต้องการจะถูกสวนคำ ทั้งที่ความจริงลูกสาวของท่าน[145] ก็สวนคำกับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. จนทำให้ท่านนบีด้องโกรธเคืองไปทั้งวัน         อุมัรได้ลุกขื้นยืน และคว้าผ้าห่มของเขาจนได้เข้าไปหา ฮัฟเซาะห์ และได้กล่าวแก่หล่อนว่าโอ้ลูกรัก เธอสวนคำกับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. จนท่านนบีต้องโกรธเคืองไปทั้งวันหรือ ฮัฟเซาะห์ได้กล่าวว่าสาบานต่ออัลเลาะห์ ว่าแท้จริงพวกเรา สวนคำกับท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าเธอก็คงทราบดี ข้าพเจ้าขอเตือนเธอ ให้ระวังตัวเธอจาการลงโทษของอัลเลาะห์ และความโกรธเคืองของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เธออย่าหลงเชื่อหญิงคนนี้ที่ความงามของหล่อน และความรักของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ทำให้หล่อนครื้มใจ[146] อุมัรได้กล่าวว่าหลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ออกไปจนได้เข้าไปหา อุมม์ ซะละมะห์ เพราะข้าพเจ้าเป็นญาติที่ใกล้ชิดกับหล่อน ข้าพเจ้าได้พูดกับหล่อน แล้วหล่อนก็ กล่าวว่าช่างน่าประหลาดใจจริงที่ท่านโอ้บุตร ค๊อตต๊อบ เข้าไปยุ่งเกี่ยวทุกเรื่อง แม้กระทั่ง ท่านต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กับบรรดาคู่ครองของท่าน และหล่อน ก็สามารกทำความพอใจแก่ข้าพเจ้า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ได้จริงๆ หล่อนได้ทำให้ข้าพเจ้า คลายความโกรธลงได้บ้าง ข้าพเจ้าจึงกลับออกไป และข้าพเจ้าเคยมีเพื่อนที่เป็นชาวอันซอร คนหนึ่ง ถ้าข้าพเจ้าหายหน้าไปเขาจะนำข่าวมาบอกข้าพเจ้า และถ้าเขาหายหน้าไป ข้าพเจ้าก็จะ นำข่าวไปบอกเขา[147] และโดยที่พวกเราเคยหวั่นเกรงกษัตริย์องค์หนึ่งจากบรรดากษัตริย์แห่งฆอซซานที่เราได้ข่าวว่า จะยกกองทัพมารุกรานพวกเรา และหัวใจของเราก็ครุ่นคิดอยู่กับการ เคลื่อนไหวของเขา ต่อมาโดยไม่คาดคิดมาก่อนเพื่อนของข้าพเจ้าชาวอันซอรคนนั้นได้มาเคาะ ประตูบ้านแล้วกล่าวว่าเปิดประตู เปิดประตู ข้าพเจ้าได้กล่าวว่ากษัตริย์แห่งฆอซซานมา แล้วหรือ เขาตอบว่าแต่มันร้ายแรงกว่านั้นอีก ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ปลีกตัวจาก บรรดาภรรยาของท่านแล้ว ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าฮัฟเซาะห์กับอาอิชะห์ได้ตกต่ำแล้ว ข้าพเจ้าได้คว้าผ้าแล้วออกไป จนข้าพเจ้าได้มา ขณะที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. อยู่ในห้องของท่าน จะขึ้นไปบนห้องได้โดยทางบันได และมีเด็กรับใช้คนหนึ่งของท่านรอซูลุลเลาะห์ ผิวดำอยู่บน บันไดนั้น ข้าพเจ้าได้บอกแก่เด็กรับใช้นั้นว่าจงบอกเถิดว่า นึ่คือ อุมัร บุตร ค๊อตต๊อบ ต่อมา ท่านได้อนุญาตให้ข้าพเจ้า อุมัรได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องนี้ให้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ฟังเมื่อข้าพเจ้าเล่ามาถึงคำพูดของอุมม์ ซะละมะห์ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ยิ้ม และความ จริงท่านอยู่บนเสื่อโดยไม่มีสิ่งใดรองระหว่างร่างของท่านกับเสื่อเลย และใต้ศีรษะะของท่านมี หมอนทำจากหนังดิบยัดด้วยใยอินทผลัม ที่เท้าทั้งสองของท่านมีใบไม้กอรอซที่ถูกกองไว้[148]และที่ศีรษะะของท่านมีแผ่นหนังแขวนอยู่ ข้าพเจ้าได้เห็นรอยเสื่อที่สีข้างของท่าน แล้วข้าพเจ้า ก็ร้องไห้ ท่านได้กล่าวว่าอะไรทำให้ท่านร้องไห้ ข้าพเจ้าตอบว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริง จักรพรรดิกิสรอ แลกอยซอร อยู่ท่ามกลางสิ่งที่พวกเขากำลังเป็นอยู่[149] และท่าน เป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่าท่านยังไม่พอใจ ที่พวกเขาจะได้โลกนี้ และพวก เราได้โลกหน้าอีกหรือ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อะนัส ได้กล่าวว่าอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าบรรดาภรรยาของท่านนบี ซ.ล. ได้ชุมนุมกันแสดงความหึงหวงตัวท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่พวกนางว่าหวังว่าพระผู้ อภิบาลจะให้ท่านนบีหย่าพวกเธอ และทดแทนให้ท่านได้ภรรยาที่ดีกว่าพวกเธอ อายะห์นี้จึง ได้ลงมา[150]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ซูเราะห์ ตะบารอกัลละซี บิยะดิฮิลมุลก์
มักกียะห์ มีสามสิบ อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

ไม่ปรากฏในหนังสือแม่บทของเราว่ามีสื่งใดเกี่ยวกับคำบรรยายของซูเราะห์นี้

ซูเราะห์ นูน วัลกอลัม วะมายัซตุรูน

มักกียะห์ มีห้าสิบสอง อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อุบาดะห์ บุตร อัซซอมิต ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริง สิ่งแรกที่พระองค์อัลเลาะห์ทรงสร้างขื้นคือ ปากกา พระองค์ได้ตรัสแก่มันว่า “เจ้าจงเขียน มันจึงได้ดำเนินการในสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น จนชั่วนิรันดร”[151]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

เล่าจาก ฮาริษะห์ บุตร วะห์บ จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าพึงทราบเถิด ข้าพเจ้า จะบอกพวกท่านถึงชาวสวรรค์ คือผู้อ่อนแอทุกคนทีถ่อมตน ถ้าหากมีผู้ใดสาบานต่ออัลเลาะห์ เขาก็จะต้องทำตามคำสาบานของผู้นั้นพึงทราบเถิด ข้าพเจ้าจะบอกพวกท่านถึงชาวนรก คือ ทุกคนที่หยาบคาย อ้วนพี ยะโส

เล่าจาก อะบีสะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าพระผู้อภิบาลของเรา จะเผยหน้าแซึ่งของพระองค์[152] และจะสุหญูดต่อพระองค์ ผู้มีศรัทธาทั้งชายและหญิงทุกคน จะเหลืออยู่ก็บุคคลที่เคยสุหญูดในโลกดุนยา เพราะโอ้อวด และต้องการชื่อเสียงเขาจะไปเพื่อ สุหญูด แต่กระถูกสันหลังของเขาจะกลายเป็นชิ้นเดียวกัน

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

ซูเราะห์ อัลฮากเกาะห์
มักกียะห์ มีห้าสิบสอง อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“และจะมีแปดมะลาอีกะห์ แบกปัลลังก์ (อัรช์) ของ พระผู้อภิบาลของท่านอยู่เหนือพวกเขาในวันนั้น”[153]

อัลอับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้านั่งอยู่ในที่โล่งกว้างในท่ามกลางคนกลุ่มหนึ่ง โดยมีท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. อยู่ในพวกเขาด้วย ทันใดนั้นมีก้อนเมฆผ่านมาเหนือพวกเขา และพวกเขาก็ได้มองดูมัน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวขึ้นว่าพวกท่านรู้ไหมว่านี่มีชื่อ ว่าอะไร พวกเขาตอบว่ารู้ครับนึ่ก้อนเมฆ ท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า และเรียกว่า มุซน์ พวกเขาได้กล่าวว่าและมันคือ มุซน์ ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าและมันคือ อะนาน พวกเขาได้กล่าวว่าและมันคืออะนาน หลังจากนั้นท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่พวกเขา ว่า  พวกท่านรู้ไหมว่า ไกลกันเท่าใดระยะระหว่างฟ้ากับแผ่นดิน พวกเขากล่าวว่า  ไม่ สาบานต่ออัลเลาะห์ พวกเราไม่รู้ ท่านได้กล่าวว่า   แท้จริงความห่างระหว่างมันทั้งสองคือ เจ็ดสิบเอ็ด หรือ สองหรือสามปี ฟ้าชั้นที่อยู่สูงขี้นไปจากนั้นก็เช่นกัน จนท่านได้นับฟ้าทั้งเจ็ดชั้น อย่าง เดียวกัน[154] หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า   เหนือฟ้าชั้นที่เจ็ดมีทะเล ช่วงที่สูงสุด และต่ำสุด ของมัน เท่ากับระยะจากฟ้าชั้นหนึ่งถึงฟ้าอีกชั้นหนึ่ง และสูงขี้นไปกว่านั้น มีแพะภูเขาแปดตัว ระหว่างเท้ากับเข่าของมันเท่ากับระยะระหว่างฟ้าชั้นหนึ่งถึงฟ้าอีกชั้นหนึ่งบนหลังของพวกมันมี บัลลังก์ (อัรช์) ช่วงที่ต่ำสุดและสูงสุดของมัน เท่ากับระยะระหว่างฟ้าชั้นหนึ่งถึงฟ้าชั้นหนึ่ง และพระองค์อัลเลาะห์อยู่เหนือนั้น 

รายงานหะดีษโดยอะบูดาวูด และติรมิซี 

ซูเราะห์ อัลมะอาริจ

มักกียะห์ มีสี่สิบสี่ อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อะบี สอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ในคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า “เหมือน นํ้าหนอง” ท่านได้กล่าวว่า   เหมือนกับขี้ตะกอนนํ้ามัน เมื่อมันถูกนำเข้ามาใกล้ใบหน้าของเขา เนื้อหนังที่ใบหน้าจหลุดตกลงไปในนั้น[155]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า   “แท้จริงมนุษย์ถูกสร้างขี้นมามีธรรมชาติวิตกกังวล เมื่อ มีความเลวร้ายมาประสพกับเขา จะตกตลึง และเมื่อมีความดีมาประสพกับเขา ก็จะหวงแหน”[156]ท่านนบี ซ.ล. ได้รับทรัพย์สินมา ต่อมาท่านก็ได้มอบให้แก่คนกลุ่มหนึ่ง และไม่ให้ อีกกลุ่มหนึ่ง หลังจากนั้นท่านได้รับทราบว่า พวกนั้นได้ตำหนิท่าน ท่านได้กล่าวว่า   แท้จริง ข้าพเจ้าให้แก่ชายคนหนึ่งและทิ้งชายคนหนึ่ง และผู้ที่ข้าพเจ้าทิ้งนั้น เป็นที่รักของข้าพเจ้ายิ่ง กว่าคนที่ข้าพเจ้าให้ ข้าพเจ้าให้แก่พวกหนึ่ง เพราะในจิตใจของพวกเขามีความตระหนกและ กังวล และข้าพเจ้าทิ้งพวกหนึ่งไว้กับสิ่งที่อัลเลาะห์ได้บันดาลให้เกิดขี้นในหัวใจของพวกเขานั้น คือ ความพอ และความดี คนหนึ่งจากพวกเขาคือ อัมร์ บุตร ตัฆลิบ อัมร์ได้กล่าวว่า   ข้าพเจ้า ไม่ปรารถนาที่จะได้อูฐแดงเป็นกรรมสิทธิ์โดยแลกกับคำพูดของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. นี้

รายงานหะดีษโดยบุคอรี ในเรื่องศรัทธา ในพระเจ้าองค์เดียว

ซูเราะห์ นัวฮ์ อ.ล.

มักกียะห์ มียี่สิบเก้าอายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“และพวกเขาได้พูดว่า พวกท่านอย่าทอดทิ้งบรรดาพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่าน และอย่าทอดทิ้ง วัดด์ อย่าทอดทิ้ง สุวาดฺ ยะฆูษ ยะอูก และนัสร์ และความจริงพวกนั้นได้ทำให้หลงผิดมากมาย”[157]

อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่ารูปเคารพต่างๆ ที่เคยอยู่ในพวกของนัวฮ์นั้นได้กลาย มาอยู่กับชาวอาหรับในภายหลัง สำหรับรูปเคารพที่ชื่อ วัดด์ นั้น ปรากฏอยู่กับเผ่ากัลบ์ ที่ เดามะติ้ลยันดั้ล สุวาดฺ อยู่กับเผ่าฮุซัยล์ ยะฆูษ อยู่กับเผ่ามุรอต ภายหลังตกเป็นของพวกบะนี ฆุตอยฟ์ ที่อัลเยาฟ์เ ใกล้กับซะบะอุ ส่วน ยะอูกเป็นของเผ่า ฮัมดาน และนัสร์ เป็นของ ฮิมยัร ของวงศ์วาน เซิ้ลกะลาอ์ ทั้งหมดนี้เป็นชื่อคนที่มีคุณธรรม จากพวกพ้องของนัวฮ์ เมื่อ พวกเขาเสียชีวิตไป ชัยฏอนได้บงการไปยังพวกพ้องของคนเหล่านั้นว่า จงตั้งรูปของคนเหล่านั้น ไว้ในที่ๆ พวกเขาเคยนั่ง และตั้งชื่อตามชื่อของพวกเขา และพวกนั้นก็ได้ทำตาม แต่รูปนั้น ยังไม่ได้ถูกกราบสักการะะ จนเมื่อคนพวกนั้นเสียชีวิตไปแล้ว และความรู้สูญสิ้นไป รูปปั้นจึง ถุกกราบสํกการธ 

รายงานหะดีษโดยบุคอรี

ซูเราะห์ อัลญิน

มักกียะห์มียี่สิบแปด อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.ได้เดินทางไป กับอัครสาวกของท่านกลุ่มหนึ่ง ตั้งใจไปที่ตลาด อุกาซ[158] และความจริงมันถูกขวางกั้นระหว่าง พวกญินกับข่าวที่มาจากฟากฟ้า และลูกอุกาบาตก็ได้ถูกส่งไปยังพวกมัน บรรดาญินได้พากัน กลับแล้วกล่าวว่ามีสิ่งใดเถิดขึ้นกับพวกท่าน              พวกเขากล่าวว่า พวกเรากับข่าวที่มาจาก

ฟากฟ้าได้ถูกขวางกั้นเสียแล้ว และได้มีลูกอุกาบาตถูกส่งมายังพวกเรา มันได้กล่าวว่า[159] ไม่มี สิ่งใดขวางกั้นระหว่างพวกท่านกับข่าวที่มาจากฟากฟ้านอกจากต้องมีเหตุการณ์เกิดขึ้น[160] ดังนั้น พวกท่านจงออกเดินทางไปยังแผ่นดินทางตะวันออกและตะวันตก และดูว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นี้คืออะไร และพวกญินก็ได้ออกเดินทางไปดู พวกที่มุ่งหน้าไปทาง ติฮามะฮ์ ได้ยินการอ่าน ของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ขณะท่านกำลังละหมาดฟัจร์ พร้อมกับบรรดาอัครสาวกของท่านที่ นัคละห์ และพวกญินก็ได้มาแอบฟังท่าน พวกญินได้กล่าวว่านี่แหละคือเหตุการณ์ที่ ขัดขวางระหว่างพวกท่านกับข่าวที่มาจากฟากฟ้า พวกเขาจึงกลับไปหาพวกพ้องของเขาแล้ว กล่าวว่า“โอ้พวกพ้องของเราแท้จริงพวกเราได้ยินกรอานอันมหัศจรรย์ที่จะนำสู่แนวทางที่ถูกต้อง และพวกเราได้ศรัทธาต่อคัมภีร์นั้นแล้ว และพวกเราจะไม่นำผู้ใดมาตั้งภาคีกับพระผู้อภิบาลของเรา”[161] และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ประทานลงมาว่า “จงประกาศเถิดได้มีวะฮีย์ มายังข้าพเจ้าว่า แท้จริงมีญินกลุ่มหนึ่งมารับฟัง”[162] และความจริงคำพูดของญินได้ถูกวะฮีย์ มายังท่านแล้ว 

รายงานโดย บุคอรี ติรมิซี    และติรมีซีได้รายงานเพิ่มเติมว่าเมื่อญินได้เห็น

ท่านนบีและบรรดาอัครสาวกของท่าน กำลังละหมาดตามท่านนบี และพวกเขาได้สูหญูดตาม การสุหญูดของท่าน พวกญินประหลาดใจในความภักดีของบรรดาอัครสาวกทีมีต่อท่านนบี และ พวกญินได้กล่าวแก่พวกพ้องของตนว่า “และเมื่อบ่าวของอัลเลาะห์ (มุฮัมมัด) ลุกชื้นยืน สักการะพระองค์ พวกญินเกือบจะเข้าห้อมล้อมเขา”[163]

ซูเราะห์ อัลมุซซัมมิล

ไม่ปรากฏหะดีษอยู่ในแม่บท เกี่ยวกับซูเราะห์นี้

ซูเราะห์ อัลมุดดัษษิร
มักกียะห์ มีห้าสิบห้า อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิง

เล่าจาก ยะห์ยาได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ถาม อะบาซะละมะห์ ร.ฎ. ว่า อัลกุรอาน ใดที่ถูกประทานลงมาเป็นอันดับแรก เขาตอบว่ายาอัยยุฮั้ล มุดดัษษิร ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้รับการบอกเล่าว่า แท้จริงมันคือ “อิกเราอุ บิชมิร๊อบบิก” เขาได้กล่าวว่าข้าพเจ้า จะไปบอกท่านนอกจากสิ่งที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวไว้ คือท่านได้กล่าวว่าข้าพเจ้า ได้พำนักอยู่ในถ้ำฮิรออุ ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าได้พำนักเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็ลงมา ขณะอยู่ ที่ท้องลำธาร ข้าพเจ้าถูกเรียกจึงมองไปทางด้านหน้า ด้านหลัง ทางขวา และทางซ้ายของข้าพเจ้า พลันก็พบว่าเขา (ยิบรีล) นั่งอยู่บนบัลลังก์ระหว่างฟ้ากับแผ่นดิน ข้าพเจ้าได้มาหาคอดียะห์แล้ว กล่าวว่า พวกท่านจงห่มผ้าให้ฉัน และเอานํ้าเย็นมาเทรดฉันด้วย และพวกเขา (คนในครอบครัว ของนบี) ก็ได้ทำตาม และได้ถูกประทานลงมาว่า “โอ้ผู้ห่มผ้า จงลุกขึ้นยืนแล้วจงประกาศเตือน เถิด และเฉพาะผู้อภิบาลของเจ้าจงสดุดีในความยิ่งใหญ่เถิด”[164]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าอัซซออูดเป็นภูเขาถูก หนึ่งสร้างขึ๊นจากไฟนรก ที่ผู้ไร้ศรัทธาจะต้องไต่ขื้นไปเป็นระยะเวลาเจ็ดสิบปี จากนั้นก็จะ ต้องลงมา (ในระยะเวลา) อันเดียวกันอยู่ในนั้นตลอดกาล[165]

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่ายะฮูดกลุ่มหนึ่งได้กล่าวแก่อัดรสาวกกลุ่มหนึ่งว่า นบี ของพวกท่านรู้จำนวนผู้เฝ้านรกยฮันนัมไหม                                                                      บรรดาอัครสาวกตอบว่าพวกเราไม่รู้จนกว่าจะได้ถามนบีของพวกเราเสียก่อน ต่อมาได้มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่าโอ้ มุฮัมมัด วันนี้ อัครสาวกของท่านแพ้ ท่านถามว่า พวกเขาแพ้ด้วยเรื่องใด ชายผู้นั้นได้กล่าว ว่าพวกยะฮูดีได้ถามพวกเขา แล้วพวกเขาตอบว่าพวกเราไม่รู้จนกว่าพวกเราจะถามนบีของ เราเสียก่อน ท่านนบีได้กล่าวว่าพวกที่ถูกถามสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ และพวกเขาก็กล่าวว่าจนกว่าจะถามนบีของเราก่อนเป็นพวกแพ้หรือ แต่พวกยะฮูดีนั้นแหละ ที่ได้ถามนบีของพวกเขา โดยพวกนั้นกล่าวว่าจงให้พวกเราได้เห็นอัลเลาะห์อย่างชัดๆ เถิด ข้าพเจ้าจะต้องชนะศัตรูของ อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะถามพวกเขาถึงดินสวรรค์ สิ่งมันคือแป้งบริสุทธิ์ชนิดดี เมื่อพวกยะฮูดีมาก็ ได้กล่าวว่าโอ้ อบั้ลกอซิม จำนวนผู้เฝ้านรกยฮันนัมมีเท่าไหร่ ท่านตอบว่า  เท่านี้กับเท่านี้ครั้งหนึ่งสิบ อีกครั้งหนึ่งเก้า[166] พวกเขาตอบว่าถูกต้อง ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่พวก เขาว่าดินสวรรค์คืออะไร พวกเขาหยุดนิ่งครู่หนึ่ง หลังจากนั้นได้กล่าวว่าได้โปรดบอกพวกเราเถิด โอ้อะบั้ลกอซิม ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าขนมปังที่ทำจากแป้งบริสุทธิ์ชนิดดี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวในอายะห์นี้ “พระองค์ทรงได้ รับการยำเกรง และทรงให้อภัย”[167] ท่านได้กล่าวว่าอัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้ ตรัสว่าเราเป็นผู้ได้รับการยำเกรงดังนั้นผู้ใดยำเกรงเราเขาจะไม่ตั้งพระเจ้าขื้นเคียงเรา และ เราเป็นผู้ที่จะให้อภัย แก่เขา

รายงานหะดีษทั้งสามโดยติรมิซี

ซูเราะห์ อัลกิยามะห์
 มีสี่สิบ อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. นั้น เมื่อ ญิบรีลนำวะฮีย์ ลงมา และปรากฏว่า มันเป็นสิ่งที่จะทำให้ลิ้นของท่านและริมฝีปากทั้งสอง ของท่านกระดิก และมันจะเกิดความรุนแรงแก่ท่าน โดยสามารถรู้ได้จากท่าน อัลเลาะห์จึงได้ลงมาว่า “อย่ากระดิกลิ้นของเจ้าในการท่องอัลกุรอานเพื่อเจ้าจะรีบเร่งมัน แท้จริงเป็นหน้าที่ ของเราที่จะต้องรวบรวมอัลกุรอาน และอ่านมัน” พระองค์ได้กล่าวว่าเป็นหน้าที่ของเราที่ จะต้องรวบรวมอัลกุรอานแลการอ่านมันไว้ในอกของเจ้า “และเมื่อเราได้อ่านมัน เจ้าจงอ่านตาม” และเมื่อเราได้ประทานมันลงมา เจ้าจงตั้งใจฟัง “หลังจากนั้นเป็นหน้าที่ของเราที่จะอธิบายมัน” คือเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องอธิบายมันโดยผ่านลิ้นของเจ้า และได้ปรากฎว่าเมื่อยิบรีลมาหา ท่าน ท่านจะหยุดนิ่ง และเมื่อยิบรีลไปแล้วท่านจะอ่านมันเหมือนที่อัลเลาะห์ได้สัญญาไว้ “ ความ พินาศจะเป็นของเจ้า แล้วก็ความพินาศ เป็นสัญญาลงโทษ”[168]

รายงานโดย บุคอรี ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงชาวสวรรค์ที่มีขั้นต่ำสุด คือ ผู้ที่จะได้มองดูสวรรค์ของเขาภรรยาของเขา และเตียงของเขาเท่ากับระยะหนึ่ง พ้นปี และผู้ที่มีเกียรติสูงสุดของชาวสวรรค์ สำหรับอัลเลาะห์คือผู้ที่จะได้มองดูหน้าของพระองค์ ทั้งเช้าและเย็นหลังจากนั้นท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้อ่าน “ในวันนี้มีหลายดวงหน้าที่ชื่นบาน เพ่งมองไปยังผู้อภิบาลของ เจ้าของดวงหน้านั้น”[169]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดจากพวกท่าน ได้อ่าน ซูเราะห์วัตตีนิวัตซัยตูน จนจบซูเราะห์ให้เขาจงกล่าวว่าหามิได้ และข้าพเจ้าเป็นคน หนึ่งจากบรรดาผู้ที่ยืนยันเช่นนั้น, และผู้ใดได้อ่าน “ลาอุกซิมุ บิเยามิ้ลกิยามะห์” จนจบซูเราะห์ ให้เขาจงกล่าวว่าหามิได้ และผู้ใดได้อ่านซูเราะห์ อัลมุรซะลาต และได้อ่านไปถึง “แล้ว ยังจะมีถ้อยคำอื่นใด หลังจากอัลกุรอานอีกหรือ ที่พวกเจ้าจะศรัทธา”[170] ให้เขาจงกล่าวว่าพวกเราได้ศรัทธาต่ออัลเลาะห์แล้ว 

รายงานหะดีษโดยอะบูดาวูด ในเรื่อง รุกัวะ และสุหญูด และโดยติรมิซี

ซูเราะห์ ฮั้ลอะตา
มะดะนียะห์ สามสิบเอ็ด อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“และพวกเจ้าจะไม่ประสงค์นอกจากสิ่งที่อัลเลาะห์ทรง ประสงค์ แท้จริงอัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่ง ทรงเชื่ยวชาญยิ่ง”[171]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้มีศรัทธาที่เข้มแข็ง ดีและเป็นที่รักของอัลเลาะห์ยิ่งกว่าผู้มีศรัทธาที่อ่อนแอ และล้วนก็มีความดี[172] ท่านจงโลภเอาสิ่งที่เกิดประโยชน์แก่ท่าน จงขอความช่วยเหลือด้วยอัลเลาะห์ และอย่าเฉื่อยชา[173] ถ้าหากมี สิ่งใดมาปรสบกับท่าน อย่าพูดว่า ถ้าหากข้าพเจ้ากระทำอย่างนั้น ก็จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่จงกล่าวว่าเป็นกำหนดของอัลเลาะห์ และสิ่งใดที่พระองค์ประสงค์พระองค์ก็จะกระทำ เพราะแท้จริงคำว่า ถ้าหาก จะเปิดงานของชัยฏอน[174]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ในเรื่องกำหนดการของ อัลเลาะห์

ซูเราะห์ อัลมุรซะลาต

มักกียะห์ มีห้าสิบ อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง 

อับดุลเลาะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าขณะที่พวกเราอยู่กับท่านนบี ซ.ล. ในถ้ำ[175] โดย ไม่คาดคิด วั้ลมุรซะลาติ ก็ได้ลงมายังท่าน และความจริงท่านได้อ่านมัน ส่วนข้าพเจ้าก็ได้รับ มันไจ้จากปากของท่าน และความจริงปากของท่านเปียกด้วยการอ่านซูเราะห์นี้ บังเอิญมีงูตัว หนึ่งพุ่งเข้ามาหาพวกเรา ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าพวกท่านจงฆ่ามันเสีย ต่อมางูนั้นได้หาย ไป[176] ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่ามันถูกรักษาจากความร้ายกาจของพวกท่าน เช่นเดียวกัน กับที่พวกท่านถูกรักษาจากความร้ายกาจของมัน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม 

ซูเราะห์ อัมมะยะตะอะลูน 

มักกียะห์ มีสี่สิบ อายะห์

ไม่ปรากฏมีสิ่งใดในการขยายความซูเราะห์นี้

ซูเราะห์ อันนาซิอาต

มักกียะห์ มีสี่สิบหก อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก ซะหั้ล บุตร สะอัด ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี ซ.ล. ท่าน ได้กล่าวโดยใช้นี้วมือทั้งสองของท่านอย่างนี้ด้วยนี้วกลางและนี้วที่ติดกับหัวแม่มือว่าข้าพเจ้า ถูกแต่งตั้งมากับวันสุดท้ายนั้นเหมือนเช่นนิ้วทั้งสองนี้[177]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

ซูเราะห์อะบะซะ

มักกียะห์มีสี่สิบสอง อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าอิบนุ อุมม์ มักตูม ชายตาบอดได้มาหาท่าน รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. แล้วเริ่มกล่าวขึ้นว่า   โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ได้โปรดแนะนำข้าพเจ้า เถิด เป็นขณะเดียวกันกับที่มีชายคนหนึ่งจากบรรดาผู้มีเกียรติของพวกที่ตั้งภาคีอยู่กับท่านรอซูลุลเลาะห์ด้วย ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. จึงเบือนหนีไปจากเขา และหันหน้าไปยังคนอื่น พร้อมกับกลาวว่าท่านเห็นว่าสิ่งที่เราพูด มีความสำคัญไหม เขาตอบว่า ไม่ ในเรื่องนี้ได้ ลงมาว่า “เขามีสีหน้าบึ้งตึง และหันหลังให้ การที่มีชายตาบอดมาหาเขา” หลายอายะห์[178]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าเปรียบผู้ที่อ่านอัลกุรอาน อีกทั้งจดจำไว้ได้ เหมือนอยู่ในกลุ่มของมะลาอิกะห์ผู้คัดลอกอัลกุรอาน[179] เป็นมะลาอีกะห์ ที่ทรงเกียรติ ทรงคุณธรรม และเปรียบผู้ที่อ่านอัลกุรอาน และผูกพ้นอยู่กับอัลกุรอานโดยเขา มีความเคร่งครัดต่ออัลกุรอาน เขาจะได้สองผลบุญ  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าพวกท่านจะถูกนำไป รวมกันในสภาพที่เปลือยเท้าเปลือยกาย มีหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ หญิงคนหนึ่งได้กล่าวขึ้นว่า พวกเราจะมองดูอวัยวะเพศของกันและกันไหม ท่านกล่าวว่าโอ้เธอเอ๋ย แต่ละคนจากพวก เขาในวันนั้นต่างก็มีภารกิจที่จะทำให้เขาต้องพะวง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ซูเราะห์ อัตตักวีร
มักกียะห์ มียี่สิบเก้าอายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดที่ภูมิใจจะได้ดูวัน กิยามะห์เหมือนเห็นด้วยตาให้เขาจงอ่าน วะอิซัซชัมซุ กูวิร๊อต (เมื่อดวงอาทิตย์ถูกม้วนและดับแสง) วะอิซัซชมาอุนฟะ ต่อร๊อต (และเมื่อฟ้าได้แตกออก) วะอิซัซมาอุนชักก๊อต (และ เมื่อฟ้าแตกทลาย)[180] 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

ซูเราะห์ อัลอินฟิตอร

ไม่ปรากฏมีสิ่งใดในแม่บทของเรา เกี่ยวกับซูเราะห์นื้

ซูเราะห์ อัลมุต๊อฟฟิฟิน

มะดะนียะห์ มีสามสิบหกอายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าในวันที่มวลมนุษย์จะลุกขึ้นยืนเพื่อพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกจนกระทั่งคนหนึ่งจากพวกเขาจะจมอยู่ในเหงื่อของเขาถึงกลางใบหูทั้งสองข้างของเขา[181]

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงผู้เป็นบ่าว นั้นเมื่อทำความผิดขึ้น จุดสีดำจงอกขึ้นในหัวใจของเขา และเมื่อเขาถอนตัวออกขออภัยโทษและ กลับตัว หัวใจของเขาก็สอาด และถ้าเขากลับไปทำผิดอีก จุดดำก็จะเพิ่มขึ้นจนท่วมหัวใจของ เขา และมันก็คือ “การครอบงำ” ที่อัลเลาะห์ได้ตรัสว่า “หามิได้ แต่สิ่งที่พวกเขาพากเพียรไว้ นั้น มันได้ครอบงำจิตใจของพวกเขา”[182]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

ซูเราะห์อัลอินชิกอก

มักกียะห์ มียิ่สับห้าอายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา กรุณายิ่ง

อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าไดํยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่าไม่มี ผู้ใดที่ถูกสอบสวน นอกจากเขาจะต้องพินาศ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ขออัลเลาะห์ได้โปรดให้ข้าพเจ้าเป็นค่าไถ่ตัวท่าน อัลเลาะห์ตาอาลาไม่ได้กล่าวหรือว่า“อซึ่งผู้ที่ ได้รับหนังสือของเขาด้วยมือขวาของเขา แน่นอนเขาจะถูกสอบสวนอย่างง่ายตาย”[183] ท่านได้ กล่าวว่านั่นแหละคือการนำเสนอที่พวกเขาจะถูกนำเสนอ และผู้ใดถูกไต่สวนอย่าง เขายอมพบกับความพินาศ[184]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ซูเราะห์ อัลบุรูจ 915
มักกียะห์ มียี่สิบสองอายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา กรุณายี่ง

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าวันที่ถูกสัญญาไว้ คือวันกิยามะห์ วันที่ถูกประจักษ์ คือ วันอะรอฟะห์ และวันที่เป็นประจักษ์พยานคือวันศุกร์ ไม่มีตะวันขึ้นและตะวันตกของวันใดที่จะประเสริฐยิ่งกว่าวันศุกร์ ในวันศุกร์นั้นมีอยู่ชั่วโมงหนึ่ง ซึ่งไม่มีบ่าวคนใดวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ด้วยความดี ตรงกับชั่วโมงนั้น นอกจากอัลเลาะห์จะตอบสนองให้เขา และไม่มีบ่าวคนใดที่ขอป้องกันจากความชั่ว นอกจากอัลเลาะห์ จะทรงป้องกันเขาจากความชั่วนั้น 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

เล่าจากชุเฮบ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าเคยมีกษัตริย์องค์หนึ่งในยุคก่อน พวกท่าน เขามีนักไสยศาสตร์คนหนึ่ง ต่อมาเมื่อนักไสยศาสตร์แก่ตัวลงก็ได้กล่าวแก่กษัตริย์ นั้นว่าความจริงข้าพเจ้าแก่แล้วได้โปรดส่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาหาข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะสอน ไสยศาสตร์ให้เขา กษัตริย์จึงได้ส่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งไปยังเขาเพื่อให้เขาสอน และปรากฏว่าใน ระหว่างทางที่เด็กหนุ่มไปนั้น มีนักบวชคนหนึ่งอยู่ในทางผ่าน[185] เขาจึงนั่งลงอยู่กับนักบวช คนนั้นและรับฟังคำพูดของเขา และคำพูดของเขาทำให้เด็กหนุ่มพอใจะมาก และปรากฏว่า เมื่อ เขามาหานักไสยศาสตร์คนนั้นเขาจะต้องผ่านนักบวช และนั่งอยู่กับเขา และเมื่อเขาไปหานัก ไสยศาสตร์ ก็จะตีเขา เขาจึงได้ร้องทุกข์ต่อนักบวช และนักบวชได้กล่าวแก่เขาว่าเมื่อเจ้า กลัวนักไสยศาสตร์ เจ้าจงกล่าวว่าครอบครัวของฉันทำให้ฉันล่าข้า และเมื่อท่านกลัวครอบครัว ของท่านก็จงกล่าวว่านักไสยศาสตร์ทำให้ฉันล่าข้า ขณะที่เขาได้ปฎิป้ตอยู่เช่นนั้น บังเอิญเขา ได้พบกับสัตว์ใหญ่ตัวหนึ่ง มันได้ขัดขวางประชาชน[186] เด็กหนุ่มได้กล่าวว่าวันนึ่ ข้าพเจ้าจะ ได้รู้เสียทีว่า นักไสยศาสตร์ จดีกว่าหรือนักบวชจดีกว่า เขาได้หยิบก้อนหินเนมาก้อนหนึ่ง แล้วกล่าวว่าข้าแด่อัลเลาะห์ ถ้าหากกิจกรรมของนักบวชเป็นสิ่งที่ท่านรักยิ่งกว่ากิจกรรมของ นักไสยศาสตร์แล้วได้โปรดสังหารสัตว์ตัวนี้ เพื่อประชาชนจะได้ผ่านไปได้ แล้วเขาก็ขว้างก้อน หินไป และก้อนหินก็ได้สังหารสัตว์นั้น ประชาชนก็ผ่านไปได้ จากนั้นเขาได้มาหานักบวชและ เล่าให้เขาฟัง นักบวชได้กล่าวแก่รเขาว่าโอ้ถูกรัก ในวันนี้เจ้าดีกว่าข้าเสียอีก ความจริงกิจกรรม ของเจ้าถึงขั้นที่ข้าเหินสมควรแล้ว และแท้จริงเจ้าจะต้องถูกทดสอบ ถ้าหากเจ้าถูกทดสอบ เจ้าอย่าเมาหาข้า และได้ปรากฏว่าเด็กหนุ่มคนนั้นสามารกรักษาคนตาบอดและคนเป็นโ7คผิๆ หนังให้หายได้ เขาได้เยียวยารักษาประชาชนทุกโรค ต่อมาคนสนิทของกษัตริย์ ซึ่งเขาเป็นคน

ตาบอดได้ยิน (ข้อเสียงของเขา) จึงได้มาหาเขาพร้อมด้วยของกำน้ลมาฑมาย เขาได้กล่าวว่าสิ่งที่ข้าพเร้ารวบรวมมานี๊เป็นของท่าน ถ้าหากท่านทำให้ข้าพเร้าหาย เด็กหนุ่มกล่าวว่าแท้ จริงข้าพเจ้าไม่อาจะทำให้ผู้ใดหายได้ ความจริงอัลเลาะห์จะทำให้หาย ถ้าหากท่านศรัทธาต่อ อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะวิงวอนต่ออัลเลาะห์ และพระองค์ก็จะทำให้ท่านหาย เขาได้ศรัทธาต่อ อัลเลาะห์ และอัลเลาะห์ก็ได้ให้เขาหาย ต่อมาเขาได้มาที่กษัตริย์ และได้นั่งลงเหมือนที่เขาเคย นั่ง[187] กษัตริย์ได้กล่าวแก่เขาว่าใครทำให้ท่านกลับมองเห็นอีก เขาตอบว่าพระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า เขากล่าวว่ายังมืพระผู้อภิบาลอื่นจากเราอีกหรือ เขาตอบว่าผู้อภิบาลของข้าพเจ้าและผู้อภิบาลของท่านคืออัลเลาะห์ กษัตริย์จึงจับตัวเขาและคงลงโทษเขา จนเขาได้ บอกถึงเด็กหนุ่มคนนั้น ต่อมาเด็กหนุ่มก็ได้ถูกนำตัวมากษัตริย์ได้กล่าวแก่เขาโอ้ลูกน้อยไสยศาสตร์ของเจ้าถึงขั้นที่ทำให้คนตาบอด และคนเป็นโรคผิวหนังหาย และเจ้าก็กระทำ และ กระทำ[188] เขาได้กล่าวว่าแท้จริงข้าพเจ้าไม่สามารกทำให้ใครหายได้ ความจริงอัลเลาะห์จะให้หาย กษัตริย์ได้จับตัวเขา และคงลงโทษเขาจนเขาชี้บอกถึงนักบวชคนนั้น ต่อมานักบวชก็ ได้ถูกนำตัวมา และได้มีผู้กล่าวแก่เขาว่าจงเลิกนับถือศาสนาของเจ้า แต่เขาไม่ยอมกษัตริย์ จึงได้เรียกให้นำเลื่อยมา ได้วางเลื่อยลงกลางหัวของเขา และได้ผ่าเขาจนร่างทั้งสองซีกของเขา ล้มลง จากนั้นคนสนิทของกษัตริย์ได้ถูกนำตัวมา ได้มีผู้กล่าวแก่เขาว่าจงเลิกนับลือศาสนา ของเจ้า แต่เขาไม่ยอม เขาจึงเอาเลื่อยวางลงกลางศีรษะะของเขาและผ่ามันด้วยเลื่อยจนร่างทั้ง สองซีกของเขาล้มลง จากนั้นได้นำเด็กหนุ่มนั้นมาแล้วก็มีผู้กล่าวแก่เขาว่าจงเลิกนับลือศาสนา ของเจ้าแต่เขาไม่ยอม กษัตริย์จึงได้ส่งเขาไปให้สาวกกลุ่มหนึ่งของตนแล้วกล่าวว่าจงนำตัวเขาไป ยังภูเขานั้น จงพาเขาขึ้นภูเขา เมื่อพวกเจ้าไปถึงยอดเขา ถ้าหากเขาเลิกนับลือศาสนาของเขา (จงไว้ชีวิตเขา) และถ้าไม่เช่นนั้นให้พวกเจ้าโยนเขาลงมา พวกนั้นได้พาเขาไป และได้พาเขา ขื้นภูเขา เขาได้กล่าวว่าข้าแต่อัลเลาะห์ได้โปรดให้ข้าพเจ้าพ้นจากพวกนั้นตามที่พระองค์ท่าน ทรงประสงค์เถิด ภูเขาได้สั่นสะเทือนขึ้น พวกนั้นก็ได้หล่นลงมา เขาได้เดินทางกลับมาหากษัตริย์ กษัตริย์ได้ถามเขาว่าพวกนั้นทำอะไรกับท่านบ้าง เขาตอบว่าอัลเลาะห์ทรงให้ข้าพเจ้าพ้นจากพวกนั้น กษัตริย์จึงได้สั่งเขาไปหาสาวกของตนกลุ่มหนึ่ง แล้วกล่าวว่าพวกเจ้าจงพา เขาไป และบรรทุกเขาลงในเรือเล็ก จงพาเขาออกไปกลางทะเล ถ้าหากเขายอมเลิกนับลือศาสนา ของเขา (จงไว้ชีวิตเขา) และถ้าไม่เช่นนั้น ก็จงโยนเขาลงทะเลไป พวกนั้นจึงได้นำเขาไป ต่อมา เขาได้กล่าวว่าข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดให้ข้าพเจ้าพ้นจากพวกเขา และเรือก็ได้พาพวกเขาล่ม พวกนั้นจะมนํ้าตาย เขาได้เดินทางกลับมาพบกษัตริย์ กษัตริย์ได้กล่าวแก่เขาว่าพวกนั้นทำ อะไรกับท่านบ้าง เขาตอบว่าอัลเลาะห์ทรงให้ข้าพเจ้าพ้นจากพวกนั้น และเขาได้กล่าวแก่ กษัตริย์อีกว่าแท้จริงท่านจะไม่ใช่ผู้ที่ฆ่าข้าพเจ้าให้ตายหรอก จนกว่าท่านจะต้องกระทำตาม ที่ข้าพเจ้าสั่งท่านให้ทำเสียก่อน กษัตริย์กล่าวว่ามันคืออะไร เขาตอบว่าท่านจะต้องรวบรวม ประชาชนไว้ในพื้นที่เปิดเผยเพียงแห่งเดียว และท่านจะต้องจับข้าพเจ้าตรึงกางเขนอยู่บนต้น อินทผลัม จากนั้นท่านจงหยิบลูกธนูจากลุงเก็บลูกธนูของข้าพเจ้า และวางมันลงกลางคันศร จากนั้นจงกล่าวว่าด้วยนามของอัลเลาะห์พระผู้อภิบาลของเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วยิงข้าพเจ้า ความ จริงเมื่อท่านกระทำได้ดังนี้ท่านก็จะสามารถฆ่าข้าพเจ้าได้ ต่อมากษัตริย์ก็ได้กระทำตามที่เด็ก หนุ่มกล่าวไว้แก่เขา เขาได้กล่าวว่า ด้วยนามของอัลเลาะห์ พระผู้อภิบาลของเด็กหนุ่มคนนั้น จากนั้นกษัตริย์ได็ยิงเขาและลูกธนูได้พุ่งเข้าที่ขมับของเขา เขาได้เอามือของเขาวางลงที่ลูกธนู นั้น แล้วก็เสียชีวิต ประชาชนได้พากันกล่าวว่าพวกเราได้ศรัทธาต่อพระผู้อภิบาลของเด็ก หนุ่มนั้นแล้ว พวกเราได้ศรัทธาต่อผู้อภิบาลของเด็กหนุ่มนั้นแล้ว พวกเราได้ศรัทธาต่อพระผู้ อภิบาลของเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว ต่อมาได้มีผู้กล่าวแก่กษัตริย์ว่าความจริงได้เกิดกับท่านแล้ว สาบานต่ออัลเลาะห์ สิ่งที่ท่านเคยหวั่นเกรง ความจริงประชาชนได้ศรัทธาแล้ว กษัตริย์จึงได้ ใช่ให้ขุดร่อง ตามปากทางต่างๆ และต่อมาพื้นแผ่นดินก็ถูกขุดเป็นร่อง และได้จุดไฟชื้น แล้ว กษัตริย์ได้กล่าวว่าผู้ใดไม่ยอมเลิกนับถือศาสนาของเขา เราจะโยนเขาลงไปในหลุมไฟ หรือ มีผู้กล่าวแก่เขาว่าเจ้าจงเข้าไปและประชาชนก็ได้ปฏิบัติตาม[189] จนถึงผู้หญิงคนหนึ่ง กับ ทารกของหล่อนได้มา หล่อนได้หยุดยืนลังเลที่จะโดดลงไป ทารกน้อยได้กล่าวแก่ผู้เป็นแม่ว่าแม่จ๋า จงอดทนเถิดท่านอยู่บนทางที่ถูกต้องแล้ว 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (ชุเฮบ) ได้กล่าวว่าปรากฏว่า ท่านนบี ซ.ล. เมื่อ1ได้ละหมาดอัสร์ แล้ว ท่านได้พูดพึมพำ ต่อมา ท่านถูกถามถึงเรื่องนี้ ท่านได้กล่าวว่าแท้จริงมีนมีท่านหนึ่ง จากบรรดานมี มีความแปลกใจต่อประชากรของเขา โดยกล่าวว่าใครจยืนหยัดเพื่อพวกเขาได้ อัลเลาะห์จึงได้วะฮีย์มายังเขา ว่าเจ้าจงให้พวกเขาเลือกเอาระหว่างการที่เราจะล้างแค้นพวกเขา และระหว่างการที่เราจะให้ศัตรูของพวกเขาได้เข้าปกครองพวกเขา นบีท่านนั้นได้เลือกเอาการ ล้างแค้น ต่อมาความตายก็ได้เข้าครอบงำพวกเขา พวกเขาเสียชีวิตในวันหนึ่งถึงเจ็ดหมื่นคน[190]

รา[นานโตน ตรรข

ซูเราะห์วัซซมาอิ วัตตอริก 

ไม่ปรากฏหะดีษใด ในซูเราะห์นี้

ซูเราะห์ อัลอะอฺลา 918
มักกียะห์ มี สิบเก้า อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอัลบะรออฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าบุคคลแรกที่เข้ามาถึงพวกเราจากบรรดาอัครสาวกของท่าน นบี ซ.ล. คือ มุสอับ บุตรอุมัยร์ และ อินบุ อุมม์ มักตูม บุคคลทั้งสอง ได้มาสอนอัลกุรอานให้พวกเรา หลังจากนั้น อัมมาร บิลาล และ สะอัด[191] ก็ได้ตามมา จากนั้น ก็อุมัร บุตร คอตต๊อบ กับ อัครสาวกอีกยี่สิบคน จากนั้นก็ท่านนบี ซ.ล. ได้มา ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นชาวมะดีนะห์ดีใจด้วยสิ่งใด เหมือนที่พวกเขาดีใจในการมาของท่าน ข้าพเจ้าได้เห็นแม้ กระทั่งบรรดาทาสหญิง และเดีกๆ พูดกันว่า นี่คือศาสนทูตของอัลเลาะห์ได้มาแล้ว และ ท่านยังไม่ได้มาจนกระทั่งข้าพเจ้าสามารถอ่าน “อับบิฮิซมะร๊อบบิกั้ลอะอฺลา” และซูเราะห์ต่างๆ ที่สั้นๆ  เหมือนกับซูเราะห์นั้นได้ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ซูเราะห์ อัลฆอชิยะห์
มักกียะห์ มียี่สิบหกอายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าถูกบัญชาให้สงคราม กับมนุษย์จนกว่าพวกนั้นจะกล่าวว่าไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น และเมื่อ พวกเขาได้กล่าวคำนั้นแล้ว พวกเขาก็จะได้รับการคุ้มครองจากข้าพเจ้าทั้งเลือดเนื้อ และทรัพย์ สินของพวกเขา นอกจากเป็นไปตามสิทธิของมัน แลการสอบสวนพวกเขาเป็นหน้าที่ของ อัลเลาะห์ หลังจากนั้นท่านได้อ่าน “แท้จริงเจ้าเป็นเพียงผู้ตักเตือน เจ้าไม่ใช้ผู้ที่จะมาบังคับ พวกเขา [192] 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

ซูเราะห์ อัลฟัจร์
มักกียะห์ มีสามสิบ อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อิมรอน บุตร ธุชอยน์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ถูกถามถึง “คู่และที่” ท่านตอบว่าคือ ละหมาด บางละหมาดเป็นจำนวนคู่ และบางละหมาดก็เป็นจำนวนคี่889

ซูเราะห์ อัลบะลัด

ไม่ปรากฏมี หะดีษใด ใน1ซูเราะห์นื่

ซูเราะห์ วัชชัมซิ วะดุฮาฮา

มักกียะห์ มีสิบห้า อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อับติ้ลลาห์ บุตร ซัมอะห์ ร.ฎ. ว่า เขาได้ยินท่านนบี ซ.ล. กล่าวสุนทรพจน์ และได้กล่าวถึงเรื่องอูฐ[193] และผู้ที่เชือดมัน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าขณะ เมื่อคนเลวที่สุดของพวกนั้นได้รับแต่งตั้ง คือชายคนหนึ่งได้รับการแต่งตั้งเพื่อเชือดอูฐ เขาเป็นคนที่แข็งแรง ขี้เหร่ มีอิทธิพล ในพวกพ้องของเขา เช่นเดียวกับ อะบี ซัมอะห์[194] และท่าน ก็ได้กล่าวถึงพวกผู้หญิงโดยกล่าวว่า คนหนึ่งคนใดจากพวกท่านจะตั้งใจเฆี่ยนภรรยาของเขา เหมีอนเฆี่ยนทาส และบางทีเขาอาจร่วมหลับนอนกับหล่อนในตอนท้ายของวันนั้น[195] หลังจาก นั้นท่านได้สั่งสอนพวกเขาในเรื่องการที่พวกเขาหัวเราะ อันเนื่องมาจาการผายลม และท่านได้ กล่าวว่าเพราะอะไรคนหนึ่งคนใดจากพวกท่านจึงหัวเราะในสิ่งที่เขากระทำ[196] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ซูเราะห์ อัลลัยล์

มักกียะห์ มียี่สิบเอ็ด อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเราอยู่พร้อมกับท่านนบี ซ.ล. ที่บเกียอฺ อัลฆอรกอด ในพิธีศพ ท่านได้กล่าวว่าไม่มีใครจากพวกท่านสักคนเดียวนอกจากเขาจะถูก ปันทึกไวัแล้วว่ามีที่พำนักของเขาอยู่ในรก และที่พำนักของเขาอยู่ในสวรรค์[197] พวกเขาได้ กล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ พวกเราไม่ควรวางใจะอยู่กับปัญข็ปันทึกของเราหรือ และเลิก ทำความดี        ท่านได้กล่าวว่าพวกท่านจงกระทำความดีเถิด เพราะทุกคนจะได้รับความ

สดวกในซึ่งที่เขาถูกปังเถิดขี้นมาเพื่อซึ่งนั้น สำหรับผู้ที่เป็นพวกที่ดี เขาจะได้รับความสดวก

ที่จะกระทำสิ่งที่พวกที่ดีกระทำ และสำหรับผู้ที่เป็นพวกรัว เขาก๊จะได้รับความสดวกที่จะ กระทำสิ่งที่พวกรัวกระทำ หลังจากifนท่านได้อ่าน “สำหรับผู้ที่ให้และยำเกรงและยืนยันด้วย สิ่งที่ดีงาม เราจะให้เขาได้ตรเตรียมสิ่งที่จะนำไปสู่ความสดวกสบาย”[198]rmmiTm มุคฟ้

มุตตม แตร ตรมข

 

ซูเราะห์อัดดุฮา
มักกียะห์ มีสิบเอ็ดอายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา และผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก ยุนดุบ บุตร ซุฟยาน ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ล้มป่วยลงจนไม่สามารกลุกขึ้นได้เป็นเวลาสองหรือสามวัน ได้มีหญิงคนหนึ่ง[199] มาหาแล้วกล่าว ว่าโอ้ มุฮัมมัด ข้าพเจ้าคิดว่า ชัยฏอนของท่านคงทิ้งท่านแล้ว ข้าพเจ้าไม่เห็นเขาเข้ามาใกล้ ท่านตั้งสองหรือสามวันแล้ว อัลเลาะห์ตาอาลาจึงได้ประทานลงมาว่า “สาบานต่อเวลาสาย และยามกลางคืนเมื่อสงัด พระผู้อภิบาลของท่านไม่ได้ทอดทิ้งท่าน และไม่ได้ชิงชัง”[200]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และเล่าจากเขา (ยุนดุบ) ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าเคยอยู่กับท่านนบี ซ.ล. ในถ้ำแห่งหนึ่ง และนิ้วของท่านมีเลือดไหล ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าเจ้านั้นไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นนิ้ว ที่เลือดไหล และสิ่งที่เจ้าพบก็เป็นไปในวิถีทางของอัลเลาะห์ ผู้เล่าได้กล่าวว่าและญิบรีล อ.ล. ก็ยังล่าช้าอยู่ พวกผู้ตั้งภาคีจึงกล่าวว่ามุฮัมมัดถูกทอดทิ้งแน่แล้ว อัลเลาะห์จึงได้ประทาน ลงมาว่า“พระผู้อภิบาลของท่านไม่ได้ทอดทิ้งท่าน และไม่ได้ชิงชัง”

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

ซูเราะห์ อะลัมนัชเราะห์

มักกียะห์มี แปดอายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าเราไม่ได้ให้หัวอกของเจ้าปลอดโปร่งแก่เจ้าหรือ”

คือเพื่อรับอิสลาม “และแท้จริงพร้อมกับความลำบากคือความสบาย แท้จริงพร้อมกับความ ลำบากหรือความสบาย” อิบนุ อุยัยนห็ ได้กล่าวว่าหมายความว่า พร้อมกับความลำบาก

นั้นมีความสบายอื่น เช่นเดียวกับที่พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านไม่ต้องรอคอยว่าจะมีสิ่งใดปรสบ กับพวกเรานอกเสียจากหนึ่งจากสองคุณความดี” และความยากลำบากหนึ่งนั้นจะไม่สามารล เอาชนสองความสบายได้[201]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ซูเราะห์อัตตีน
มักกียะห์ มีแปด อายะห์

ด้วยนามของอิณลาห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  ผู้ใดได้อ่านวัตตีนิ วัซซัยตูน และเขาได้อ่าน “อัลเลาะห์ไม่ใช่หรือเป็นผู้ตัดสินที่เที่ยงธรรมที่สุดของบรรดาผู้ทำ การตัดสิน”899 ให้เขาจงกล่าวว่า หามิได้ และข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งจากบรรดาผู้ที่ยืนยันเช่นนั้น

รายงานหะดีษโดยอะบูดาวูด และติรมิซี

ซูเราะห์ อิกเราะอฺ บิสมีรอบบิกะ
มักกียะห์ มีสิบเก้าอายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าอะบู ยะฮั้ล ได้กล่าวว่าขอยืนยันว่า ถ้าหากข้าพเจ้าเห็นมุฮัมมัด ละหมาดอยู่ที่กะอฺบะห์ ข้าพเจ้าจะต้องเหยียบต้นคอเขาแน่ๆ และ มันได้ล่วงไปถึงท่านนบี ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่าถ้าหากเขาได้กระทำเช่นดังกล่าว แน่นอน เหลือเกินว่า มะลาอิกะห์ จะจัดการกับเขาให้เห็นด้วยตา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี และตัวบทของมุสลิมว่าอะบู ยะฮัลได้กล่าวว่ามุฮัมมัดจะทำให้หน้าของเขาเปื้อนฝุ่นอยู่ ในท่ามกลางพวกท่านหรือ                           มีผู้ตอบว่าถูกแล้ว เขาจึงกล่าวว่า สาบานต่อรูปั้นอัลลาต และอัลอุซซา ถ้าหากข้าพเจ้าเห็นเขากระทำเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะต้องเหยียบต้นคอเขาอย่างแน่นอน และเขาได้มาหาท่านนบี ซ.ล. ขณะที่ท่านกำลังละหมาดอยู่ไม่มีสิ่งใดทำให้พวกเขาตกตลึง จาการกระทำของอะบู ยะฮั้ล เขาคุกเข่าลงทั้งสองข้างและปิดป้องด้วยมือทั้งสองข้างของเขา และได้มีผู้ถามเขาว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่านหรือ เขากล่าวว่าความจริงระหว่างข้าพเจ้ากับ มุฮัมมัดมีคูที่เป็นเพลิง มีความปั่นป่วนและมีปีก ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า “ถ้าหากเขา เข้ามาใกล้ข้าพเจ้า มะลาอิกะห์จะโฉบเขาทีละอวัยวะ ทีละอวัยวะ (ออกเป็นชิ้นๆ) อัลเลาะห์ ได้ประทานลงมาว่า “หามิได้แท้จริงมนุษย์นั้น กระทำล่วงละเมิดที่เขาเห็นว่าตัวเองมีความ พอเพียงแล้ว”[202]จนถึงคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า “หามิได้ท่านอย่าเชื่อฟังเขา”[203]

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. กำลังละหมาด อะบู ยะฮั้ล ได้มาแล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าไม่เคยห้ามท่านจากสิ่งนี้หรือ ข้าพเจ้าไม่เคยห้ามท่านจากสิ่ง

นี้หรือ ท่านนบี ซ.ล. ได้ขึ้นเสียงกับเขา และ อะบุยะฮั้ล ก็ได้กล่าวว่าความจริง

ท่านก็ทราบดีว่า ไม่มีบริวารใครที่กะอฺบะห์ จะมากกว่าบริวารของข้าพเจ้า อัลเลาะห์ได้ประทาน ลงมาว่า “ดังนั้นให้เขาจงเรียกบริวารของเขามาเถิด เราก็จะเรียกมะลาอิกะห์ ซะบานียะห์มา”[204]อิบนุ อับบาสได้กล่าวว่าสาบานต่ออัลเลาะห์ถ้าหากเขาเรียกบริวารของเขา มะลาอีกะห์ซบานียะห์ ของอัลเลาะห์ก็จะจัดการกับเขา 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

ซูเราะห์ อัลกอดร์
มักกียะห์ มีห้าอายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากยูชุฟ บุตร สะอัด ร.ฎ. ได้กล่าวว่าชายคนหนึ่งได้ลุกขึ้นไปหา หะซัน บุตร อะลี หลังจากได้ให้สัตยาบันแก่มุอาวิยะห์ แล้วกล่าวว่าท่านได้ทำให้ใบหน้าของบรรดา ผู้มีศรัทธาหมองคลํ้าหรือ โอ้ผู้ที่ทำให้ใบหน้าของบรรดาผู้มีศรัทธาหมองคลํ้า หะซันได้กล่าว ว่าท่านอย่าประณามข้าพเจ้าเลย ขอพระองค์อัลเลาะห์ใด้เมตตาท่าน แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้ฝันเห็นพวกตระกูลบะนี อุมัยยะห์ อยู่บนมิมบัร ของท่าน[205] แลการฝันนั้นทำให้ท่าน เสียใจ จึงได้ลงมาว่า “แท้จริงเราได้ประทานธารนํ้าอัลเกาสัรให้ท่าน”[206] โอ้มุฮัมมัด หมายถึง ธารน้ำในสวรรค์ และได้ลงมาว่า “แท้จริงเราได้ประทานอัลลุรอานลงมาให้ในคืนแห่งเกียรติยศ และอะไร หรือที่ทำให้ท่านรู้ว่าอะไร คือ คืนแห่งเกียรติยศ ? คืนแห่งเกียรติยศ ประเสริฐ กว่าพ้นเดือน”[207] พวกตระกูลบะนีอุมัยยะห์จะได้ครองหนึ่งพันเดือนนั้น โอ้มุฮัมมัด อัลกอซิม ได้กล่าวว่า พวกเราได้นับมันได้หนึ่งพันวัน[208] ไม่เกินไม่ขาดสักวันเดียว 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

ซูเราะห์ ลัมยะกุน
มะดะนึยะห์ มีแปด อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่อุบัยย์ บุตร กะอับว่า-  แท้จริงอัลเลาะห์ได้บัญชาข้าพเจ้าให้อ่านอัลกุรอานให้ท่านฟัง อุบัยย์ได้กล่าวว่าพระองค์ อัลเลาะห์ได้กล่าวนามข้าพเจ้าแก่ท่านหรือท่านตอบว่าถูกแล้ว เขาได้กล่าวว่าข้าพเจ้าถูก

เอ่ยถึง ณ พระผู้อภิบาลสากลโลกหรือท่านตอบว่าถูกแล้ว และดวงตาทั้งสองของเขาก็

เอ่อนองด้วยนํ้าตา และในบางรายงานว่าแท้จริงอัลเลาะห์ได้บัญชาข้าพเจ้าให้อ่าน “ลัมยะกุน” ให้ท่านฟัง เขากล่าวว่าพระองค์ได้กล่าวนามของข้าพเจ้าหรือท่านตอบว่าถูกแล้ว และ

เขาก็ร้องไห้ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ในเรื่องนี้ มุสลิม และติรมิซี ในเรื่องความประเสริฐต่าง ๆ

ซูเราะห์ อัซซิลซาล
มะดะนียะห์ มีเก้า อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้อ่านอายะห์นี้ “วันนั้นมันจะแจ้งข่าวต่างๆ ของมัน”[209] ท่านได้กล่าวว่าพวกท่านทราบไหมว่า ข่าวต่างๆ ของมันคืออะไร พวกเขาได้กล่าวว่าอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ทราบดี ท่านได้กล่าวว่าแท้จริงข่าวของมันก็คือมันจะเป็นพยานปรักปรำ บ่าวผู้ชายหรือบ่าวผู้หญิงทุกคน ตามสิ่งที่ได้กระทำไว้บนหลังของมัน โดยมันจะกล่าวว่าเขาได้กระทำในวันนั้น อย่างนั้นอย่างนี้ นี้แหละคือข่าวต่างๆ ของมัน[210] 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ถูกถามถึงเรื่องลา[211] ท่านตอบว่าไม่มีสิ่งใดประทานลงมายังข้าพเจ้าในเรื่องของลาเลย นอกจากอายะห์นี้ ทีมความ หมายรวบรัด และเอกเทศคือ “ดังนั้นผู้ใดทำความดีหนึ่ง มีนํ้าหนักเพียงผงธุลี เขาจะได้เห็น มัน และผู้ใดทำความชั่วหนึ่ง มีนี้าหนักเพียงผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”[212] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ในเรื่องนี้ และ มุสลิม ในเรื่องซะกาต

ซูเราะห์ อัลอาดิยาต และ อัลกอริอะห์

ไม่ปรากฏมีหะดีษ ในแม่บทของเรา เกี่ยวกับสอง1ซูเราะห์นี้

ซูเราะห์ อัตตะกาซุร
มักกียะห์ มีแปด อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง 

เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บุตร ซิคคีร ร.ฎ. ว่าเขาได้ไปถึงท่านนบี ซ.ล. ขณะที่ท่าน กำลังอ่าน “อัลฮา กุมุตตะ กาซุร” ท่านได้กล่าวว่ามนุษย์ที่เป็นถูกหลานของ อาดัม จะกล่าวว่าทรัพย์ของฉัน ทรัพย์ของฉัน[213] และท่านจะมีกรรมสิทธิในทรัพย์สินของท่านหรือ นอกจากที่ท่านได้บริจาคไปแล้วและท่านได้ทำให้มันยังคงอยู่เป็นของท่าน[214] หรือที่ท่านได้รับ ประทาน ท่านก็ได้ทำให้มันสูญสิ้นไป หรือที่ท่านส่วมใส่ ท่านก็ได้ทำให้มันขาดวิ่นไป 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ในเรื่องนี้ และมุสลิมในเรื่องการสละโลกีย์

อะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเรายังคงมีความสงสัยในเรื่องการลงโทษในหลุมฝังศพ อยู่ จนกระทั่งได้ลงมาว่า “การแข่งขันกันสร้างสมได้ทำให้พวกท่านหลงลืม”[215]

เล่าจาก ซุเบร บุตร อัลเอาวาม ร.ฎ. ได้กล่าวว่าเมื่อได้ลงมาว่า “หลังจากนั้น ขอยืนยันว่าพวกท่านจะต้องถูกถามในวันนั้นถึงความสุข”[216] ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความสุขใดที่เราจะถูกถาม ทั้งที่มันมีเพียงสองดำ[217] คือ อินทผลัมกับนํ้า ท่านได้ กล่าวว่า พึงทราบเถิดว่า การสอบถามจะต้องมีขึ้นอย่างแน่นอน

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงสิ่งแรกที่ บ่าวจะถูกสอบถามในวันกิยามะห์ อันเนื๋องจากความสุขก็คือจะมีผู้ถามเขาว่าเราไม่ได้ให้ท่าน มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์หรือ และเราไม่ใต้ให้ท่านใด้ดื่มนํ้าเย็นหรือ

รายงานหะดีษทั้งสามโดยติรมิซี

ซูเราะห์ อัลอัศริ อัลฮุมะซะห์ อัลฟีล กุรอยช์ และ อัลมาอูน

ไม่ปรากฎมีหะดีษในแม่บทของเรา เกี่ยวกับ ซูเราะห์เหล่านี้

 

ซูเราะห์ อัลเกาซัร
มักกียะห์ มีสามอายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จาลท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าขณะเมื่อข้าพเจ้าได้ถูกนำขึ้นฟ้า[218] ข้าพเข้าได้มาที่ธารนํ้าสายหนึ่ง สองฝังของมันเป็นโดมไข่มุกกลวง ข้าพเจ้าได้กล่าวขึ้นว่า   นี่คืออะไรโอ้ญิบรีล เขาตอบว่านี่คือ ธารน้ำอัลเกาซัร 

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และติรมิซี

และอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้ถูกถามเกี่ยวกับดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “แท้จริงเรา ได้ประทานอัลเกาซัรให้แก่ท่าน” อาอิชะห์ได้กล่าวว่าธารน้ำที่นบีของพวกท่าน ซ.ล. ถูก ประทานให้ สองฝั่งของมันเป็นเพชรกลวง ภาชนะของมันเท่ากับจำนวนดวงดาว[219]

รายงานหะดีษโดยบุคอรี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าระหว่างที่ข้าพเจ้าเดินอยู่ ในสวรรค์ ทันใดได้ปรากฏธารนํ้าสายหนึ่งแก่ข้าพเจ้า สองฝังของมันเป็นโดมไข่มุข ข้าพเจ้า ได้กล่าวแก่มะลาอิกะห์ว่า นี่คืออะไร เขาตอบว่ามันคือ ธารนํ้า อัลเกาซัร ซึ่งอัลเลาะห์ได้มอบมันให้ท่าน จากนั้นเขาได้เอามือตบลงไปที่พื้นของมัน ได้มีชมดเชียงไหลออกมา จากนั้นซิดรอตุ้ลมุนตะฮา ได้ถูกยกมาให้ข้าพเจ้าชม และข้าพเจ้าได้เห็นรัศมีอันยิ่งใหญ่ที่มัน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าอัลเกาซัร คือธารฟ้า ในสวรรค์ สองฝั่งของมันทำจากทองคำ และทางน้ำไหลเป็นเพชร และทับทิม พื้นของมัน หอมยิ่งกว่าชมดเชียง และน้ำของมันหวานกว่าน้ำผื้ง และ ขาวกว่าหิมะ 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

ซูเราะห์ อัลกาฟิรูน

ไม่ปรากฏมีหะดีษ เกี่ยวกับซูเราะห์นี้

ซูเราะห์ อิซายาอะนัซรุลลอห์
มะดะนียะห์ มีสามอายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่า ท่านเราะซูลุลลอห์ ซ.ล. มักจะกล่าวเป็นประจำในการรุกัวอฺ และสุหญูดของท่านว่า “มหาบริสุทธิ์ แต่พระองค์ท่าน ข้าแต่ พระองค์อัลเลาะห์ผู้อภิบาลของเรา และด้วยการสรรเสริญพระองค์ท่าน ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ ได้โปรดอภัยแก่ข้าพเจ้า” โดยท่านปฏิบัติตามอัลกุรอาน[220]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าอุมัรได้เคยให้ข้าพเจ้าเข้าไปพร้อมกับบรรดา ผู้อาวุโสที่ปรากฏตัวในสมรภูมิ บัดร์ และคล้ายกับบางคนของพวกเขา เถิดความไม่พอใจะขึ้น แล้วกล่าวว่า ทำไมคนนึ่จึงเข้ามาร่วมกับเรา ทั้งที่เรามีลูกรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา[221] อุมัร จึงกล่าวว่าแท้จริง เขาเป็นบุคคลที่ความจริงพวกท่านรู้จัก เขาดี910 ต่อมาอุมัรได้เชิญเขามา ในวันหนึ่ง และได้ให้เขาเข้าไปพร้อมกับบรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้น ข้าพเจ้าไม่ได้คาดคิดว่าการที่ เขาเชิญข้าพเจ้ามาในวันนั้น นอกจากเพื่อเขาจะทำให้พวกนั้นเห็น[222] อุมัรได้กล่าวว่า  พวกท่าน จะว่าอย่างไรในคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “เมื่อความช่วยเหลือของอัลเลาะห์แลการ พิชิตได้มาแล้ว” พวกเขาบางคนได้กล่าวว่าพวกเราถูกบัญชาให้สรรเสริญอัลเลาะห์และขอ อภัยโทษต่อพระองค์ เมื่อพวกเราได้รับการช่วยเหลือ และเราได้พิชิต แต่บางคนก็เงียบ อุมัร ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่าท่านก็กล่าวเช่นนั้นหรือ อิบนุ อับบาส ข้าพเจ้าตอบว่าเปล่า เขากล่าวว่าถ้าเช่นนั้นท่านจะว่าอย่างไร ข้าพเจ้าตอบว่ามันคือขีดความตายของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ที่อัลเลาะห์ได้แจ้งมันให้ท่านรู้ พระองค์กล่าวว่า เมื่อความช่วยเหลือของอัลเลาะห์ แลการพิชิตได้มาแล้วนั่นคือ เครื่องหมาย ขีดความตายของท่าน ดังนั้นท่านจงสดุดีด้วยการ สรรเสริญองค์อภิบาลของท่าน และขออภัยโทษต่อพระองค์ แท้จริงพระองค์เป็นผู้รับการกลับตัว (เตาบะห์)ยิ่ง อุมัรได้กล่าวว่าข้าพเจ้าไม่รู้จากซูเราะห์นี้นอกจากตามที่ท่านกล่าว[223]

รายงานหะดีษโดยบุคอรี ติรมิซี และอะห์มัด

ซูเราะห์ อะบี ละฮับ

มักกียะห์ มีห้าอายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าเมื่อได้ลงมาว่า “และเจ้าจงเตือนวงศ์ญาติของท่าน ที่ใกล้ชิด”[224] และพวกพ้องของเจ้า ที่บางคนของพวกเขามีหัวใจบริสุทธิ์ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ออกไปจนได้ขึ้นไปบนภูเขาซอฟา แล้วท่านได้ส่งเสียงตะโกนว่า มาเถิดมีข่าวสำคัญ ต่อมาพวกเขาก็ได้มาร่วมชุมนุมกันที่ท่าน ท่านได้กล่าวว่าพวกท่านจงบอกข้าพเจ้าเถิด ถ้าหาก ข้าพเจ้าบอกท่านทั้งหลายว่า มีม้าออกมาจากยอดภูเขาลูกนี้ ท่านทั้งหลายจะเชื่อข้าพเจ้าไหม พวกเขาตอบว่าพวกเราไม่เคยรู้มาก่อนว่า ท่านโกหก ท่านได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าคือ ผู้ มาเตือนพวกท่านทั้งหลายว่า กำลังเผชิญกับการลงโทษอันร้ายแรง อะบู ละฮับ ได้กล่าวว่าเจ้าจงพ้นาศเถิด เจ้าไม่ได้เรียกพวกเรามานอกจาก เพื่อสี่งนี้ เท่านั้นเองหรือ จากนั้นท่านนบี ได้ลุกขื้นและได้ลงมาว่า “สองมือของอะบีละฮับ จงพินาศเถิด และเขาก็ได้พินาศ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และอัลอับบาส ร.ฎ. ได้ฝันขณะนอนหลับเห็น อะบุละฮับ หลังจากเสียสิวิตไปแล้ว ว่าอยู่ในสภาพที่ชั่วร้ายยิ่ง เขาจึงถามอะบู ละฮับว่าท่านได้ประสพกับอะไรบ้าง เขาตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ได้พบกับความดีอีกเลยภายหลังจากพวกท่าน นอกจากข้าพเจ้าได้น้ำดึ่มจากนี้ และเขาก็ชี้ไปที่รู ซึ่งอยู่ใต้นิ้วหัวแม่มือของเขาด้วยสาเหตุที่ข้าพเจ้าได้ปล่อย ซุวัยบะห์ ให้เป็นอิสระชน[225]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ในเรื่องการร่วมดื่มนมมารดาเดียวกัน และเรื่องนิกาห์

ซูเราะห์ อัลอิคลาซ
มักกียะห์ มีสี่หรือห้า อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อุบัยย์ บุตร กะอับ ร.ฎ. ว่าแท้จริงพวกผู้ตั้งภาคี ได้กล่าวแก่ท่านเราะซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ว่าจงบรรยายลักษณพระผู้อภิบาลของท่าน แก่พวกเขา อัลเลาะห์จึงได้ ประทานลงมาว่า “จงประกาศเถิด อัลเลาะห์มีองค์เดียว อัลเลาะห์ทรงเป็นที่พึ่ง”[226] เป็นที่พึ่ง “สิ่งไม่ให้กำเนิดบุตร และไม่ถูกกำเนิดเป็นบุตร” เพราะแท้จริงไม่มีสิ่งใดที่ถูกกำเนิดขึ้นนอกจากจะต้องตาย และไม่มีสิ่งใดที่ต้องตายนอกจากจะถูกสืบทอดมรดก อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร จะไม่ตาย และไม่ถูกสืบทอดมรดก “และไม่มีสิ่งใดเปรียบเทียบพระองค์เลย”[227]ท่านได้กลาวว่า คือไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมและเสมอเหมือนพระองค์เลย และไม่มีสิ่งใดเหมือน พระองค์ 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   อัลเลาะห์ตาอาลา ได้กล่าวว่า “ถูกหลานของอาดัมได้กล่าวหาเราโกหก โดยเขาไม่มีสิทธิเช่นนั้น และเขาได้ด่าเรา โดยเขาไม่มีสิทธิ์เช่นนั้น ที่เขากล่าวหาว่าเราโกหกคือการที่เขากล่าวว่าแท้จริงเราไม่สามารกกลับ คืนเขาขื้นได้อีกเหมือนที่เราสร้างเขาในตอนต้น ส่วนที่เขาด่าเราก็คือการที่เขากล่าวว่า อัลเลาะห์ มีบุตร ทั้งที่เราเป็นที่พึ่ง พึ่งไม่ให้กำเนิดบุตร และไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมเรา”

รายงานหะดีษโดยบุคอรี

ซูเราะห์ อัลฟะลัก

มักกียะห์ หรือ มะดะนียะห์ มีห้าอายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านนบี ซ.ล. ได้มองดูดวงจันทร์แล้วกล่าวว่าโอ้อาอิชะห์ เธอจงขอป้องกันด้วยอัลเลาะห์ จากความชั่วร้ายของสิ่งนี้ เพราะความจริงนี้แหละ คือยามกลางคืน เมื่อมืดมิด[228]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

ซูเราะห์ อันนาซ

ไม่ปรากฎมีหะดีษ อธิบาย ซูเราะห์นี้

ภาคความฝัน และ คำเปรียบเทียบ

มีสี่บท และ บทสุดท้าย

บทที่หนึ่ง

ประเภทของความฝัน และสิ่งที่ผู้ฝันควรต้องกล่าว[229]

เล่าจาก อุบาดะห์ บุตร อัซซอมิต ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าความฝัน ของผู้ที่มีศรัทธา เป็นส่วนหนึ่งจากสี่สิบหกส่วนของตำแหน่งนบี[230]

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงตำแหน่งรอซู้ล และ ตำแหน่งนบีนั้นขาดตอนไปแล้ว ดังนั้น จะไม่มีรอซูล และนบีอีกภายหลังจากข้าพเจ้าผู้เล่า (อะนัส) ได้กล่าวว่าคำพูดดังกล่าวได้ทำความลำบากใจแก่ประชาชนเป็นอันมาก ต่อมาท่าน ได้กล่าวว่าแต่ยังมีสื่อที่จะแจ้งข่าวดี พวกเขาได้กล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ อะไรคือสื่อ ทีจะแจ้งข่าวดี ท่านตอบว่าความฝันของมุสลิมคือส่วนหนึ่ง จากหลาย ส่วนของตำแหน่ง นบี[231]

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และติรมิซี

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าเมื่อคนใดจากพวกท่าน ได้ฝันแล้วชอบมัน ความจริงฝันนั้นมาจากอัลเลาะห์ ให้เขาสรรเสริญอัลเลาะห์ และนำมันไป เล่าต่อ[232] และเมื่อคนใดได้ฝันเห็นนอกเหนือจากที่กล่าว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่พอใจ ความจริง ฝันนั้นมาจากชัยฏอน ให้เขาขอป้องกันจากความชั่วร้ายของมัน และอย่าเล่ามันแก่ผู้ใดเพราะแท้ จริงจะไม่เป็นภัยแก่เขา[233]

รายงานหะดีษโดยบุคอรี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าเมื่อใกล้เวลา (สิ้นโลก) เข้ามา ความฝันของมุสลิมเกือบจะไม่เป็นเท็จ[234] และผู้ที่ความฝันเป็นจริงที่สุดในหมู่พวกท่านก็คือ ผู้ที่พูดจริง และความฝันของมุสลิมเป็นส่วนหนึ่งจากสี่สิบห้าส่วนของตำแหน่ง นบี ฝันมีสามประเภทฝันดีคือข่าวดีที่มาจากอัลเลาะห์ และความฝันที่ทำให้หมองเศร้า มา จากชัยฏอน และความฝันที่เถิดจาการที่คนหนึ่งรำพึงกับตัวเอง[235] ดังนั้นถ้าหากคนหนึ่งคนใด จากพวกท่านเห็นสี่งที่เขาไม่พอใจให้เขาจงลุกขื้นละหมาด[236] และอย่าเล่ามันแก่ประชาชน อะบุฮุรอยเราะห์ ได้กล่าวว่าและข้าพเจ้าชอบการผูกเท้าไม่ชอบการคล้องคอ[237]

เล่าจาก อะบีกอตาดะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ฝันไปและมันได้ทำให้ข้าพเจ้า ป่วย จนกระทั่งข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่าฝันดีมาจากอัลเลาะห์ ตังนั้น เมึ่อคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านฝันถึงสี่งที่พอใจ เขาอย่าเล่ามันแก่ผู้ใดนอกจากผู้ที่เขารัก[238] และ ถ้าหากเขาฝันถึงสี่งที่เขาไม่พอใจให้เขาจงล่มนํ้าลายทางด้านข้ายของเขาสามครั้ง[239] และอย่าเล่ามันแก่ผู้ใดเพราะแท้จริง มันจะไม่เป็นภัยกับเขา 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี 

เมื่อความฝันถูกเล่ามันจะเกิดเป็นจริง 930

เล่าจากซะมุเราะห์ บุตร ยุนดุบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. เมื่อ ละหมาดซุบฮิ แล้ว ท่านได้หันหน้ามายังประชาชน แล้วกล่าวว่าเมื่อคืนนี้มีใครฝันถึงอะไร บ้างไหม [240] 

รายงานโดยบุคอรี มุสลิม ติรมิซี และอะบู ดาวูด                                         

และอะบู ดาวูดได้เพิ่มเติมว่า และท่านนบีกล่าวว่า แท้จริงจะไม่มีตำแหน่งนบีเหลืออยู่อีก ภายหลังข้าพเจ้านอกจากฝันดีเท่านั้น

เล่าจาก อะบี รอซีน อัลอุกอยลีย์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าความฝัน ของผู้มีศรัทธาเป็นส่วนหนึ่งจากสี่สิบส่วน ของตำแหน่งนบี และความฝันนั้นจะอยู่บนเท้านก ตัวหนึ่ง ตราบใดที่เขาไม่ได้นำมันมาเล่า และเมื่อเขานำมันมาเล่า มันก็จะหล่นลงมา ผู้เล่าได้ กล่าวว่าและข้าพเจ้าคิดว่าท่านกล่าวว่า และเขาอย่านำมันไปเล่านอกจากแก่ผู้ทีเฉลียวฉลาด หรือแก่คนที่รัก 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

และตัวบทของ อิบนิ มายะห์ ว่าท่านทั้งหลาย จงทำนายฝันโดยอาศัยชื่อจริงของมัน และจงทำนายมันโดยอาศัยชื่อเล่นของมัน[241] และความ ฝันนั้นจะเป็นไปตามการแก้ฝันของคนแรก

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่ามีชาวอาหรับพเนจรคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าได้ฝันเห็น คล้ายกับศีรษะของข้าพเจ้าถูกฟันและ มันได้กลิ้งไป ข้าพเจ้าได้รับความลำบากในการติดตามมันไป ท่านได้กล่าวว่าท่านอย่าเล่าแก่ ผู้คนถึงการที่ชัยฏอนได้มาเล่นกับท่านในขณะที่ท่านนอนหลับ[242]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

ห้ามโกหกในการเล่าความฝัน 931

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดอ้างว่าฝันถึงความฝันใด ๆ โดยที่เขาไม่ได้ฝัน เขาจะถูกบังคับให้ผูกเมล็ดข้าวสาลีสองเม็ดเข้าด้วยกัน โดยที่เขา จะไม่สามารกทำได้ และผู้ใดแอบฟังคำพูดของคน พวกหนึ่ง โดยพวกเขาไม่พอใจจะให้แอบฟังหรือโดยที่พวกเขาหลบหนีจากเขาไป ผู้นั้นจะถูกเทน้ำตะกั่วเข้าไปในรูหูของเขาทั้งสองข้าง ในวันกิยามะห์ และผู้ใดได้สร้างรูปหนึ่งขื้นมา ผู้นั้นจะถูกลงโทษและถูกบังคับให้เป่าวิญญาณ เข้าไปในรูปนั้น โดยที่เขาไม่ใช้ผู้เป่าวิญญาณ

รายงานหะดีษโดยบุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และตัวบทของบุคอรีว่าแท้จริงผู้ที่โกหกมากที่สุด คือ ผู้ที่ให้ดวงตาทั้งสองของเขาฝันถึงสิ่งที่มันไม่ได้ ฝันถึง[243]

บทที่สอง

สิ่งที่ท่านนบี ซ.ล. ฝันถึง

เล่าจากซะมุเราะห์ บุตร ยุนดุบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. เมื่อ ท่านได้ละหมาดหนึ่ง[244] เสรีจแล้ว ท่านได้หันหน้ามาทางพวกเราแล้วกล่าวว่า   มีผู้ใดบ้างจาก พวกท่านที่ได้ฝันเมื่อคืนนี้ ถ้ามีผู้ใดฝันก็จะเล่าฝันนั้น และท่านก็จะแก้ฝันตามที่อัลเลาะห์

ประสงค์ และท่านได้ถามพวกเราในวันหนึ่ง โดยกล่าวว่ามีใครจากพวกท่านฝันบ้างไหม พวกเราตอบว่าไม่มี ท่านได้กล่าวว่าแต่ข้าพเจ้าฝันเมื่อคืนนี้ถึงผู้ชายสองคน เขาทั้งสอง ได้มาหาข้าพเจ้า จับมือข้าพเจ้า แล้วพาข้าพเจ้าออกไปยังแผ่นดินคักดิ์สิทธิ์[245] ทันใดก็ได้พบผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่อีกคนหนึ่งยืน ในมือของคนยืนมีตะขอเหล็ก เขาร้อยตะขอเหล็กเข้าไปใน กระพุ้งแก้มของคนนั่งจนถึงต้นคอ[246] จากนั้นก็ได้ทำกับกระพุ้งแก้มอีกด้านหนึ่งเหมือนกัน และ กระพุ้งแก้มของเขาก็จะประสานกัน แลกลับมีสภาพดังเดิม เขาก็จะกระทำเหมือนเช่นเคยอีก ข้าพเจ้าได้กล่าวขึ้นว่านี่คือใคร เขาทั้งสองได้กล่าวว่าจงเดินทางต่อไปเถิด พวกเราจึงได้ออกเดินทางไป จนพวกเราได้มาถึงชายคนหนึ่งนอนหงายอยู่ และมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่

ศีรษะของเขาพร้อมด้วยหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งหรือหินก้อนใหญ่ และเขาก็ใช้หินก้อนนั้นทุบหัว ของคนนอน เมื่อเขาได้ทุบหัวของคนนอน หินนั้นก็กลิ้งไป เขาจะเดินไปยังหินก้อนนั้นเพื่อเก็บ เอามา โดยเขาจะยังไม่กลับมาหาชายคนนั้นจนกระทั่ง หัวของเขาได้ประสานกันแลกลับมี สภาพดังเดิม เขาก็จะกลับมายังคนนอนและทุบเขาอีก ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าผู้นื้เป็นใคร เขา

ทั้งสองได้กล่าวว่าจงเดินทางต่อไปเถิด พวกเราจึงได้ออกเดินทางจนถึงรูหนึ่งมีสภาพคล้าย เตาอบขนมปัง ข้างบนแคบ ข้างล่างกว้าง มีไฟจุดอยู่ข้างล่าง เมื่อมันเดือดพวกนั้นก็ลอยขึ้น จนเกือบหลุดออกมา และเมื่อไฟมอดลงพวกนั้นก็กลับลงไปอีก ภายในนั้นมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง เปลือยกาย ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าพวกนี้เป็นใคร เขาทั้งสองได้กล่าวว่าจงเดินทางต่อไปเถิด พวกเราจึงได้ออกเดินทางไปจนมาถึงแม่นํ้าเลือดสายหนึ่งมีผู้ชายอยู่กลางแม่น้ำ และ บนฝั่งมีชายคนหนึ่งเบื้องหน้าเขามีก้อนหิน ผู้ชายที่อยู่กลางแม่น้ำได้หันมา และเมื่อเขาต้องการ จะขึ้นฝั่ง ชายคนนั้นจะขว้างด้วยก้อนหินเข้าไปในปากเขา ได้ทำให้เขากลับไปอยู่ในที่เดิม ดังนั้น ทุกครั้งที่เขามาเพื่อจะขึ้นฝั่ง ชายคนนั้นจะขว้างก้อนหินเข้าไปในปากเขา และเขาก็กลับไปอยู่ ในที่เดิมอีก ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าผู้นี้เป็นใคร เขาทั้งสองกล่าวว่า“จงเดินทางต่อไปเถิด พวกเราจึงได้ออกเดินทางจนไปสุดลงที่สวนสีเขียว ในสวนนั้นมีต้นไม้ใหญ่และที่โคนต้นมีชายชราและเด็กๆ และมีชายคนหนึ่งใกล้กับต้นไม้ต่อหน้าของเขามีไฟที่เขาจุดขึ้น เขาทั้งสองได้พา ข้าพเจ้าขึ้นไปในต้นไม้นั้น และได้นำข้าพเจ้าเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นที่จะสวยงามยิ่งกว่ามันมาก่อนเลย ในนั้นมีชายชรา คนหนุ่ม ผู้หญิง และเด็กๆ หลังจากนั้นเขา ทั้งสองได้นำข้าพเจ้าออกจากบ้านนั้น และทั้งสองได้พาข้าพเจ้าขึ้นต้นไม้นั้น ได้นำข้าพเจ้าเข้า ไปในบ้านที่ดี และประเสริฐกว่า ในนั้นมีชายชราและชายหนุ่ม ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าคืนนี้ท่าน ทั้งสองได้พาข้าพเจ้าตระเวนไปทั่ว ดังนั้น ท่านทั้งสองจงบอกข้าพเจ้าเถิดถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ เห็นมา เขาทั้งสองได้กล่าวว่าขอรับ สำหรับผู้ที่ท่านเห็นถูกฉีกกระพุ้งแก้มนั้น คือจอมโกหก เขาพูดคำโกหก และคำโกหกนั้นได้ถูกถ่ายทอดไปจากเขาจนถึงขอบฟัา และเขาจะถูกกระทำ จนถึงวันกิยามะห์ และผู้ที่ท่านเห็นเขาถูกทุบหัว เขาเป็นผู้ชายที่อัลเลาะห์ได้สอน อัลกุรอาน แก่เขา และเขาก็นอนในเวลากลางคืน ทิ้งอัลกุรอานไว้และเขาไม่ได้ปฏิบัติตามอัลกุรอานในเวลา กลางวัน เขาจะต้องถูกกระทำจนถึงวันกิยามะห์ และผู้ที่ท่านเห็นเขาอยู่ในรู พวกนั้นคือพวก ละเมิดปรเวณี และผู้ที่ท่านเห็นเขาอยู่ในแม่นํ้า คือผู้ที่กินดอกเบี้ย (ริบา) ชายชราที่อยู่โคน ต้นไม้ คือ อิบรอฮีม (อ.ล.) และเด็กๆ ที่ห้อมล้อมอยู่รอบๆ เขาคือ ถูกหลานมนุษย์[247]และผู้ที่จุดไฟคือ มาลิกผู้ดูและนรก และบ้านแรกที่ท่านเข้าไปคือสวรรค์ เป็นบ้านของบรรดา ผู้ศรัทธาโดยทั่วไป ส่วนบ้านนี้คือ บ้านของนักรบที่ถูกสังหารในสงครามศักดิ์สิทธิ์[248] ข้าพเจ้าคือ ยิบรีล และนึ่คือมีกาอีล จงเงยศีรษะะขื้น ข้าพเจ้าได้เงยศีรษะะขื้นก็ได้พบอยู่เหนือข้าพเจ้า มีสภาพคล้ายก้อนเมฆ[249]  เขาทั้งสองได้กล่าวว่า นั่นคือที่พำนักของท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า จงปล่อยให้ข้าพเจ้าเข้ายังที่พำนักของข้าพเจ้า เขาทั้งสองกล่าวว่าความจริงท่านยังมีอายุเหลือ อยู่อีกช่วงหนึ่งที่ยังไม่ครบ ถ้าหากท่านครบอายุแล้ว ท่านก็จะได้มายังที่พำนักของท่าน 

รายงานหะดีษโดยบุคอรี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าขณะที่ข้าพเจ้าอยู่บนบ่อ กำลังชัก (น้ำ) ออกจากบ่อ ทันใดนั้น อะบู บักร์ และ อุมัร ร.ฎ. ก็ได้มา อะบู บักร์ ได้คว้าภาชนะตักนํ้า และได้ชักนํ้าออกมาเต็มภาชนะ หรือ สองภาชนะ และในการชักนํ้าของเขานั้น อ่อนแอ ขออัลเลาะห์ได้อภัยโทษให้เขา หลังจากนั้น(อุมัร) อิบนุ คอตต๊อบ ก็ได้เอาภาชนะนั้น ไปจากมือของอะบีบักร์ และมันได้เปลี่ยนเป็นภาชนะตักนํ้าใบใหญ่ อยู่ในมือของอุมัร ข้าพเจ้า ไม่เคยเห็นอัจฉริยะคนใดจากมวลมนุษย์ จะทำงานได้ยอดเยี่ยมเหมือนเขา จนประชาชนได้ให้อูฐของพวกเขาดื่มน้ำ และพามันกลับคอก          

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจาก ญาบีร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าแท้จริง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าเมื่อคืนนี้ ชายที่มีคุณธรรมคนหนึ่งได้ฝันว่า อะบู บักร์ เกาะเกี่ยวอยู่กับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. และอุมัรเกาะเกี่ยวอยู่กับอะบู บักร์ และอุสมานก็เกาะเกี่ยวอยู่กับอุมัร ญาบิร ได้กล่าวว่าเมื่อ พวกเราลุกออกมาจากท่านนบี ซ.ล. พวกเราได้กล่าวว่าชายทีมีคุณธรรมคือท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ส่วนการเกาะเกี่ยวกันของบางคนกับบางคนนั้น เพราะพวกเขาเป็นผู้นำของงานชิ้นนี้ ซึ่งนบีของอัลเลาะห์ ซ.ล. ได้ถูกแต่งตั้งมาเพื่อมัน           

รายงานหะดีษโดยอะบูดาวูด ในเรื่องความประเสริฐ

สิ่งที่ท่านนบี ซ.ล. ฝันถึงและได้แก้ฝัน 933

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าขณะที่ข้าพเจ้ากำลัง นอนหลับ ข้าพเจ้าได้ฝันถึงประชาชนกำลังถูกนำมาให้ข้าพเจ้าชม โดยบนร่างของพวกเขามี เสื้อสวมอยู่ เสื้อบางตัวถึงเต้านม และบางตัวถึงตํ่ากว่านั้น และอุมัร บุตร คอดต๊อบ ได้เดิน ผ่านข้าพเจ้า บนร่างของเขามีเสื้อที่เขาต้องลากมัน พวกเขาได้กล่าวว่าท่านจะแก้ฝันอย่าง ไร โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านกล่าวว่ามันคือศาสนา[250] 

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าขณะที่ข้าพเจ้ากำลัง นอนหลับ ได้มีผู้นำภาชนะใส่นมมายังข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ได้ดื่มมันจนข้าพเจ้าเห็นความอิ่มน้ำ ปรากฏออกมาจากเล็บของข้าพเจ้า หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้มอบที่เหลือให้แก่อุมัร พวกเขาได้ กล่าวว่าท่านแก้ฝันนี้อย่างไร โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านกล่าวว่ามันคือ วิชาความรู้[251]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าขณะที่ข้าพเจ้า กำลังนอนหลับ ข้าพเจ้าได้ฝันเห็นว่าในมือทั้งสองของข้าพเจ้า มีกำไลสองวงทำจากทองคำ สภาพของมันทั้งสองทำให้ข้าพเจ้าหม่นใจ ต่อมาได้มีวะฮีย์ มายังข้าพเจ้าในขณะที่กำลังหลับว่า ท่านจงเป่ามันทั้งสอง ข้าพเจ้าได้เป่ามันทั้งสอง และมันทั้งสองก็ได้ปลิวไป ข้าพเจ้าได้แก้ฝัน มันทั้งสองว่าคือ จอมโกหกสองคนที่จะปรากฏตัวหลังจากข้าพเจ้า และได้ปรากฏว่า หนึ่งจาก ในสองคือ อัลอันซีย์ แห่งซอนอาอฺ และอีกคนหนึ่งคือ มุซัยลิมะห์ แห่งยะมามะห์[252]

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อะบี มูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ฝันว่า ข้าพเจ้า อพยพลี้ภัยจากนครมักกะห์ไปยังแผ่นดินแห่งหนึ่งที่นั้นมีต้นอินทผลัม ข้าพเจ้ามั่นใจว่ามันคือ ยะมามะห์ หรือ ฮะยัร[253] แต่ที่จริงมันคือ มะดีนะห์ ยัซริบ และข้าพเจ้าได้เห็นในความฝัน ของข้าพเจ้าครั้งนี้ว่า ข้าพเจ้าได้แกว่งดาบเล่มหนึ่ง และต่อมาดาบนั้นได้หักกลาง และนั่นก็คือ สิ่งที่มวลผู้มีศรัทธาต้องประสพในวันศึกที่ อุฮุด หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้แกว่งมันอีกครั้งหนึ่ง มันได้กลับมีสภาพดีกว่าเดิม และนั่นก็คือสิ่งที่พระองค์ได้นำชัยชนะมาให้ และความสามัคคี ของบรรดาผู้ที่มีศรัทธา และข้าพเจ้าได้เห็นในความฝันครั้งนี้อีกเช่นกัน วัวตัวหนึ่ง[254] และ (การกระทำของ) อัลเลาะห์เป็นสิ่งที่ดี (แก่พวกเขา) นั่นก็คือ พวกหนึ่งของพวกผู้มีศรัทธาใน วันอุฮุด และสิ่งที่ดีนั้นก็คือสิ่งที่อัลเลาะห์ได้นำความดีมาในภายหลังและคือผลบุญของความสัจจะ ซึ่งอัลเลาะห์ได้นำมามอบให้พวกเราหลังจากวันบัดร์[255] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ฝันเห็นคล้าย หญิงผิวดำคนหนึ่งที่มีผมเป็นกระเซิง ออกไปจากนครมะดีนะห์ จนกระทั่งหล่อนได้หยุดอยู่ที่ มะห์ยะอะห์ คือ อัลยัวห์ฟะห์ ข้าพเจ้าจึงได้แก้ฝันว่า แท้จริง โรคระบาดร้ายแรงของนคร มะดีนะห์ได้ถูกย้ายออกไปยัง ยัวห์ฟะห์แล้ว 

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าฝันขณะนอน หลับว่า ถูฟันด้วยแปรงถูฟัน ได้มีชายสองคนละากตัวข้าพเจ้าไป หนึ่งจากในสองนั้น มีอาวุโส กว่าอีกคนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยื่นแปรงถูฟันให้คนที่มีอาวุโสน้อยกว่า จึงได้มีผู้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่าจงมอบแก่ผู้อาวุโส ข้าพเจ้าจึงยื่นให้แก่ผู้ที่อาวุโสกว่า[256] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ฝันในคืนหนึ่งถึงสิ่งที่คนจะฝันเห็นคล้ายกับพวกเราอยู่ในบ้านของ อุกบะห์ บุตร รอเฟียะอฺ และได้มีผู้นำ อินทผลัมสุกครึ่งดิบครึ่ง มามอบให้พวกเรา จากอินทผลัมของ อิบนิ ตอบิ ข้าพเจ้าได้แก้ฝันว่าความสูงส่งจะเป็นของพวกเราในโลกนี่ และวาระสุดท้ายที่ดีก็จะเป็นของพวกเราในอาคิเราะห์ และแท้จริงศาสนาของเราดีแล้ว[257] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด

บทที่สาม

ความฝันที่ท่านนบี ซ.ล. ได้ทำนายไว้

เล่าจากอับดุลลาห์ บุตร ซะลาม ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ฝันเห็นคล้ายข้าพเจ้า อยู่ในสวนแห่งหนึ่งที่กลางสวนมีเสา ที่ยอดเสามีห่วง ได้มีผู้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ไต่เสาขื้นไป ข้าพเจ้ตอบว่าข้าพเจ้าไม่มีความสามารถ ต่อมาได้มีคนรับใช้คนหนึ่งมาหาข้าพเจ้า และได้ ยกผ้าของข้าพเจ้าข้น ข้าพเจ้าจึงได้ไต่ข้นไป ข้าพเจ้าได้ยึดห่วงไว้ แล้วข้าพเจ้าก็รู้สึกตัวขณะที่ ข้าพเจ้ายึดห่วงไว้ ต่อมาข้าพเจ้าได้เล่าความฝันให้ท่านนบี ซ.ล. ฟัง ท่านได้กล่าวว่าสวน นั้น คือสวนอิสลาม และเสานั้นคือเสาอิสลาม และห่วงนั้น คือ ห่วงอันมั่นคงที่ท่านจะคงยึด มั่นไว้จนตาย[258]

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ฝันขณะนอนหลับ คล้ายกับในมือ ของข้าพเจ้ามีผ้าไหมอยู่ท่อนหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่ได้ใช้มันชี้ไปยังที่ใดในสวรรค์ นอกจากมันได้พา ข้าพเจ้าปีนไปยังสถานที่แห่งนั้น ต่อมาข้าพเจ้าได้กล่าวความฝันให้ ฮัฟเซาะห์ฟัง และฮัฟเซาะห์ ก็ได้เล่ามันต่อให้ท่านนบี ซ.ล. ฟังท่านได้กล่าวว่าน้องชายของเธอเป็นชายที่มีคุณธรรม[259]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจาก อุมม์ อัลอะลาอุ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ฝันขณะนอนหลับว่า มีตาน้ำ ที่ไหลอยู่เสมอแห่งหนึ่งเป็นของอุสมาน บุตร มัซดูน และข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องนี้ แก่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า นี้แหละ คือผลการกระทำของเขาที่หลั่งไหลสู่เขา952

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่า แท้จริงชายคนหนึ่งได้มาหาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริง ข้าพเจ้าได้ฝันขณะนอนหลับเมึ่อคืนนี้ถึงเมฆก้อนหนึ่งที่ได้หยดลงมาเป็นเนยและนํ้าผึ้ง ข้าพเจ้าเห็นประชาชนรองมันด้วยมือของพวกเขา มีผู้ที่ รองได้มากและรองได้น้อย และข้าพเจ้าได้เห็นเชือกเชื่อมต่อจากฟากฟ้าถึงแผ่นดิน ข้าพเจ้า เห็นท่านจับเชือก และท่านก็ขึ้นไป จากนั้นได้มีชายคนหนึ่งหลังจากท่านจับเชือกแล้วเขาก็ชื้นไป จากนั้นก็มีอีกคนหนึ่ง จับเชือกแล้วเขาก็ขึ้นไป ต่อมาได้มีอีกคนหนึ่งจับเชือก แต่เชือกได้ขาด ลงเพราะเขา หลังจากนั้นเชือกได้ถูกต่อให้เขา และเขาก็ได้ขึ้นไป อะบู  บักร์ได้กล่าวว่าโอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ โดยเอาบิดาของข้าพเจ้าไถ่ตัวท่าน สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ท่านจะต้องปล่อย ให้ข้าพเจ้าให้ทำนายความฝันนี้ ท่านได้กล่าวว่าท่านจงทำนายฝันนี้เถิด อะบู บักร์ได้กล่าวว่า   สำหรับเมฆก้อนนั้นคือเมฆอิสลาม ส่วนสิ่งที่มันหยดมาเป็นเนยและนี้าผึ้งนั้นก็คือ อัลกุรอาน ทั้งความหวานและอ่อนโยนของมัน ส่วนสิ่งที่ประชาชนรองรับเอาจากนั้น มีผู้ที่ได้มากจาก อัลกุรอาน และได้น้อย ส่วนเชือกที่เชื่อมต่อจากฟากฟ้าถึงแผ่นดินนั้นคือสัจจะธรรมชื่งท่านยึด มั่นอยู่ ท่านจับมัน อัลเลาะห์ก็จะยกท่านให้สูงชื้นเพราะมัน จากนั้นจะมีชายคนหนึ่งมารับมัน หลังจากท่านและมันก็จะพาเขาชื้นไป จากนั้น จะมีชายอีกคนหนึ่งมารับมัน และมันก็จะพา เขาขึ้นไป จากนั้นจะมีชายอีกคนหนึ่งมาจับมัน และมันก็ขาดลงเพราะเขา จากนั้น เชือกได้ถูกต่อให้เขา และมันก็จะนำเขาขึ้นไป953 ดังนั้นได้โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ โดยเอาบิดาของข้าพเจ้าไถ่ตัวท่านว่า ข้าพเจ้าทำนายถูกหรือผิดท่านนบีตอบว่า ท่านถูกเป็นบางอย่าง และผิดเป็นบางอย่าง954 อะบูบักร์กล่าวว่าสาบานต่ออัลเลาะห์ โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ท่านจะต้องบอกข้าพเจ้าถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าผิด ท่านได้กล่าวว่า ท่านอย่าสาบาน955 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และชายคนหนึ่ง[260] ได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าได้ฝันเห็นคล้ายตาชั่งได้ ลงมาจากฟ้า และตัวท่านกับ อะบู บักร์ ได้ถูกชั่ง ปรากฏว่าท่านหนักกว่า อะบู บักร์ กับอุมัร ได้ถูกชั่ง ปรากฏว่า อะบูบักร์หนักกว่า อุมัร กับอุสมานถูกชั่ง ได้ปรากฏว่า อุมัรหนักกว่า จากนั้นตาชั่งได้ถูกยกขื้นไป ผู้เล่าได้กล่าวว่าพวกเราได้เห็นความไม่พอใจปรากฏอยู่ในใบหน้า ของท่านรอซูลุลเลาะห์[261] ซ.ล. 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าคอดีญะห์ ได้ถามท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ถึงวะรอเกาะห์ บุตร เนาฟัล โดยกล่าวว่าความจริงเขาเชื่อท่าน แต่เขาตายก่อนที่ท่านจะ เปิดเผย ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ฝันเห็นเขาขณะนอนหลับ โดยบน ร่างของเขามีเสื้อผ้าสีขาว และถ้าหากเขาเป็นชาวนรก จะต้องปรากฏมีเสื้อผ้าอย่างอื่นอยู่บน ร่างของเขา[262]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี 

การฝันเห็นท่านนบี ซ.ล. ขณะหลับ

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดฝันเห็นข้าพเจ้า ขณะหลับ ความจริงเขาได้ฝันเห็นข้าพเจ้า เพราะความจริง ชัยฏอนจะไม่แปลงร่างเป็นข้าพเจ้า

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดฝันเห็นข้าพเจ้า ขณะหลับ เขาก็จะได้เห็นข้าพเจ้าขณะตื่น[263] และชัยฏอนจะไม่แปลงร่างเป็นข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด    และตัวบทของบุคอรี มุสลิมว่าผู้ใดฝันเห็นข้าพเจ้า แท้จริงเขาก็ได้ฝันเห็นข้าพเจ้า เพราะแท้จริงชัยฏอนจะไม่แปลงร่างเป็นข้าพเจ้า

บทที่สี่ 937

ระเบียบการนอน แลการขอพร

เล่าจาก อัลบะรออฺ บุตร อาซิบ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าเมื่อท่าน จะมายังที่นอนของท่าน ให้ท่านจงอาบนํ้าละหมาดเหมือนที่ท่านอาบเพื่อทำละหมาด จากนั้น ให้ท่านจงนอนทับบนสีข้างด้านขวา และจงกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าได้มอบชีวิตต่อพระองค์ ท่าน และข้าพเจ้าได้มอบกิจการทั้งปวงของข้าพเจ้าให้พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าเอาหลังของข้าพเจ้า พึ่งพิงกับพระองค์ท่าน ด้วยความเกรงกลัวและปรารถนายังพระองค์ท่าน ไม่มีที่หลบหนีและไม่มีทางรอดพ้นไปจากพระองค์ นอกจากจะต้องไปยังพระองค์ท่านเท่านั้น ข้าพเจ้าศรัทธาต่อคัมภีร์ ของพระองค์ท่านที่ได้ประทานลงมา และต่อนบีของพระองค์ท่านที่ได้ส่งมา ดังนั้น ถ้าหากท่าน เสียชีวิตลงไปในคืนนั้นท่านก็จะเสียชีวิตอยู่ในธรรมชาติบริสุทธิ์[264] ดังนั้นจงให้คำเหล่านี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่ท่านจะกล่าว ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอทบทวนมัน คือ และต่อศาลนทุตของพระองค์ ท่านที่ได้ส่งมา ท่านนบีกล่าวว่า  ไม่ใช่ (ต้องกล่าวว่า) และต่อนทีของพระองค์ท่านที่ได้ส่งมา

เล่าจากฮุซัยฟะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. เมื่อได้ลงนอนในเวลา กลางคืนท่านจะวางมือของท่านไว้ใต้แก้ม(ขวา) และจะกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าขอตาย และมีชีวิตอยู่ด้วยนามของพระองค์ท่าน[265] และเมื่อดื่นนอนท่านได้กล่าวว่า มวลภารสรรเสริญถวายแด่อัลเลาะห์ ซึ่งได้ให้เรามีชีวิตขื้นอีกหลังจากได้ให้เราตายไป แลการบังเถิดใหม่นั้น[266]ต้องกลับไปยังพระองค์

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  เมื่อใครคนหนึ่งจากท่าน จล้มคัวลงยังที่นอนของเขา ให้เขาจงบัดที่นอนของเขาด้วยด้านในของผ้านุ่งของเขา เพราะแท้จริง เขาไม่รู้ว่ามีสิ่งใดบ้างที่เขาทิ้งไว้บนที่นอน[267] หลังจากนั้นให้เขากล่าวว่า ด้วยนามของพระองค์ท่าน ข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าวางสีข้างลง และด้วยพระองค์ท่านที่ข้าพเจ้าจะยกมันขั๊น ถ้าหากพระองค์ท่านเก็บชีวิตของข้าพเจ้าไป ขอพระองค์ท่านได้โปรดเมตตามัน และถ้าหากพระองค์ท่านปล่อยมันไว้ ขอพระองค์ท่านได้โปรดรักษามันเหมือนที่พระองค์รักษาคนที่มีคุณธรรมทั้งหลาย

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ว่าแท้จริงฟาติมะห์ อ.ล. ได้ร้องทุกข์ที่เธอต้องประสพจากรอยโม่ที่ มือของเธอ[268] ต่อมาเธอได้มาหาท่านนบี ซ.ล. เพึ่อขอคนรับใช้[269] แต่เธอก็ไม่พบท่านนบี เธอจึงเล่าเรื่องนั้นให้อาอีชะห์ฟัง และเมื่อท่านนบีมา อาอีชะห์ก็ได้เล่าให้ท่านนบีทราบ ท่าน จึงได้มาหาเราโดยที่ความจริงเราได้นอนกันแล้ว ข้าพเจ้าได้ลุกขื้น ท่านกล่าวว่า จงอยู่ในที่เดิม ของท่านเถิด และท่านก็ได้นั่งลงระหว่างเราจนข้าพเจ้าได้สัมผัสความเย็นจากเท้าทั้งสองข้าง ของท่านอยู่ที่หน้าอกของข้าพเจ้าและท่านก็กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะไม่ชี้นำแก่ท่านทั้งสองหรือถึง สิ่งหนึ่งที่จะเป็นความดี แก่ท่านทั้งสองยิ่งกว่าคนรับใช้ นั่นคือ เมื่อท่านทั้งสองมาสู่ที่นอนหรือ ล้มตัวลงนอน ให้ท่านทั้งสองจงกล่าวคำตักบีร สามสิบสามครั้ง กล่าวคำตัสบีหะสามสิบสาม แลกล่าวคำตะห์มีด สามสิบสาม นึ่แหละจะเป็นความดีแก่ท่านทั้งสองยิงกว่าคนรับใช้[270]

และอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. นั้นเมื่อล้มตัวลงนอนทุกคืน ท่านจะรวมมือทั้งสองของท่านแล้วเป้าลงไปในมือทั้งสองข้างนั้น และท่านได้อ่านลงในมือทั้งสองข้าง นั้นด้วย “กุลฮุวั้ลลอฮุอฮัด” กุ้ลอดูซุบิร๊อบบิ้ลฟลัก และ กุ้ลออูซุปิร๊อบบิ้ลนาส จากนั้น ท่านจะเอามือทั้งสองข้างลูบไปตามลำตัวของท่านที่จะสามารถลูบได้ โดยเริ่มมันที่ศีรษะของท่าน ที่ใบหน้า และสิ่งที่อยู่ด้านหน้าของร่างกายท่านจะทำเช่นนั้นสามครั้ง

รายงานหะดีษทั้งห้าโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี 

อะบู ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. เคยใช้พวกเราขณะเมื่อ คนหนึ่งจากพวกเรา จะล้มตัวลงนอนให้เขากล่าวว่าข้าแด่อัลเลาะห์ ผู้อภิบาลชั้นฟ้า ผู้อภิบาล แผ่นดิน ผู้อภิบาลบัลลังก์ (อัรช์) อันยิ่งใหญ่ พระผู้อภิบาลของเรา และผู้อภิบาลทุกสิ่ง ผู้ผ่า เมล็ด และเมล็ดอินทผลัม[271] เป็นผู้ประทานคัมภีร์ เตาร๊อต คัมภีร์ อินญีล และอัลฟุรกอน ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยพระองค์ท่านจากความชั่วร้ายของทุกสิ่งซึ่งท่านคือผู้คว้าขม่อมของมัน[272]ข้าแด่อัลเลาะห์ท่านเป็นองค์แรกที่ไม่มีสิ่งใดอยู่ก่อนพระองค์ท่าน และท่านเป็นองค์สุดท้ายที่ ไม่มีสิ่งใดอยู่หลังจากพระองค์ท่านอีก ท่านเป็นภายนอกที่ไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือพระองค์ท่าน ท่านเป็นภายใน ที่ไม่มีสิ่งใดอยู่ต่ำกว่าพระองค์ท่าน ดังนั้นขอพระองค์ท่านได้โปรดใช้หนี้สินแทนพวกเรา และ ได้โปรดให้พวกเราพ้นจากความยากจน

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.ว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เมื่อได้เข้าสู่ที่นอนของท่าน ได้กล่าวว่า  มวลการสรรเสริญถวายแด่อัลเลาะห์ผู้ซึ่งได้ให้เรามีอาหาร และมีน้ำดื่ม ได้ให้พวกเรา พอเพียง และให้พวกเรามีที่พักพิง มีมากเท่าไหร่ ผู้ที่ไม่มีใครให้พอเพียงและไม่มีผู้ให้การพักพิง

อิบนิ อุมัร ได้ใช้ผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อเข้าที่นอนให้เขากล่าวว่า  ข้าแด่อัลเลาะห์พระองค์ท่าน ได้สร้างชีวิต และพระองค์ให้ชีวิตจบลง ความตาย และความเป็นอยู่ในกรรมสิทธิของพระองค์ท่าน ถ้าหากท่านให้มันเป็นอยู่ได้โปรดคุ้มครองมัน และถ้าหากท่านให้มันตาย ก็ได้โปรดอภัย,ให้มัน ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าขอได้รับความสุขสำราญต่อพระองค์ท่าน ได้มีชายคนหนึ่งกล่าวแก่ อิบนิ อุมัรว่า ท่านได้ยินสิ่งนี้มาจากอุมัรหรือ                                                                               เขาตอบว่า  จากคนที่ดีกว่า อุมัร คือได้ยินมาจากทานรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และ อิบนิ ฮิบบาน

เล่าจาก มุอ๊าช บุตร ญะบัล ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  ไม่มีมุสลิมคนใด ที่นอนอยู่บนการระลึกถึงอัลเลาะห์ในสภาพที่สอาด และเขาตื่นนอนในเวลากลางคืน เขาวิงวอนขอ ต่ออัลเลาะห์ให้ได้ความดีทั้งโลกนี้และโลกหน้า นอกจากพระองค์จะต้องมอบมันให้แก่เขา

เล่าจากฟัรวะห์ บุตร เนาฟัล ร.ฎ. จากบิดาของเขาว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว แก่เขาว่า  ท่านจงอ่าน “กุลยาอัยยุฮั้ลกาฟิรูน” จากนั้นท่านจงนอนเมื่ออ่านมันจะบลง ความจริง มันจะทำให้พ้นจาการตั้งภาคี[273]

เล่าจาก ฮัฟเซาะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. เมื่อท่านประสงค์จนอน ท่านได้ เอามือขวารองไว้ใต้แก้มของท่านแล้วกล่าวว่า  ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดปกป้องข้าพเจ้าจากการ ลงโทษของท่านในวันที่พระองค์ท่านได้บังเถิดบ่าวของพระองค์ท่านขึ้นอีกครั้งหนึ่ง สามครั้ง

รายงานหะดีษทั้งสามโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจาก อะบิล อัซฮัร อัลอันมารีย์ ร.ฎ.[274] ว่า แท้จริงท่านรอชูลุ้ลเลาะห์ ซ.ล. เมื่อ เข้าที่นอนในตอนกลางคืน ท่านได้กล่าวว่า  ด้วยนามของอัลเลาะห์ที่ข้าพเจ้าวางสีข้างลง ข้าแด่ อัลเลาะห์ได้โปรดอกัยโทษ บาปของข้าพเจ้า และได้โปรดขับไล่ชัยฏอนประจำตัวข้าพเจ้าไป และได้โปรดไถ่ถอนการจำนองจำนำของข้าพเจ้า และได้โปรดบันดาลให้ข้าพเจ้าอยู่ในที่ชุมนุมสูงสุด 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และฮากีม

เล่าจาก อะลี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ว่าท่านเคยกล่าวขณะเข้าที่นอนของท่านว่า  ข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยดวงหน้าของพระองค์ท่านที่ประเสริฐยิ่ง ด้วยพระคำ ของพระองค์ท่านที่สมบูรณ์ จากความชั่วของสิ่งที่พระองค์ท่านคว้าขม่อมของมันไว้ ข้าแด่อัลเลาะห์ พระองค์ท่านจงช่วยให้หลุดพ้นจากหนี้สินและบาปกรรม ข้าแด่อัลเลาะห์ ทหารของท่านจะไม่ พ่ายแพ้สัญญาของท่านจะไม่คลาดเคลื่อน และความพยายามจะไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้พยายามจะให้พ้นไปจากท่าน มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ท่าน และพร้อมด้วยการสรรเสริญพระองค์ท่าน

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  มวลการสรรเสริญถวายแด่ อัลเลาะห์ผู้ซึ่งให้ความพอเพียงแก่ข้าพเจ้า ให้ที่พักพิงแก่ข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าได้มีอาหาร และให้ ข้าพเจ้าได้มีน้ำดื่ม และมวลการสรรเสริญถวายแด่อัลเลาะห์ผู้ซึ่งให้ความโปรดปรานแก่ข้าพเจ้า และได้ให้อย่างล้นเหลือ และผู้ซึ่งให้แก่ข้าพเจ้า และให้อย่างมากมาย มวลการสรรเสริญถวาย แด่อัลเลาะห์ทุกสภาพการณ์ ข้าแด่อัลเลาะห์ พระผู้อภิบาลทุกสิ่ง และเป็นเจ้าของทุกสิ่ง และ เป็นพระเจ้าของทุกสิ่งข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยพระองค์ท่านจากไฟนรก

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

เล่าจากตอฟเคาะห์ บุตร กอยส์ อัลฆิฟารีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ขณะที่ข้าพเจ้านอนคว่ำอยู่ ในมัสยิด เนื่องจากเป็นโรคที่เกี่ยวกับปอด ได้มีชายคนหนึ่งเขี่ยข้าพเจ้าด้วยเท้าของเขาแล้วกล่าวว่า  นี่เป็นท่านอนที่อัลเลาะห์กริ้วโกรธ ข้าพเจ้าได้มองไปก็ปรากฏว่า คือท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.[275]

เล่าจาก อะลี บุตร ซัยบาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  ผู้ใดนอนบนหลังคาบ้าน โดยไม่มีหินกั้นไว้ การคุ้มครองของศาสนาได้พ้นไปจากเขา[276] และตัวบทของติรมีซีว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ห้ามการที่ชายคนหนึ่ง จนอนบนดาดฟ้า โดยไม่มีสิ่งใดกั้นเขา

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   ผู้ใดล้มตัวลงนอน โดยไม่ได้ระลึกถึงอัลเลาะห์ในการนอนนั้นนอกจากเขาจะประสพกับความเสียใจในวันกิยามะห์

รายงานหะดีษทั้งสามโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากชัดดาด บุตร เอาส์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีมุสลิมคนใดที่ ได้อ่านซูเราะห์หนึ่งจากตัมภีร์ของอัลเลาะห์ขณะที่เขาจนอน นอกจากอัลเลาะห์จะมอบหมาย มลาอิกะห์ท่านหนึ่งให้อยู่กับเขา จะไม่มีสิ่งใดเข้าใกล้เขาได้จนกว่า เขาจะตื่น 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   ผู้ใดได้กล่าวขณะเขาเข้าที่นอน ว่า ข้าพเจ้าวิงวอนขออกัยโทษต่ออัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจาก พระองค์ ผู้ทรงเป็นอยู่ ทรงดำรงอยู่ด้วยพระองค์เอง และข้าพเจ้าขอกลับตัวสู่พระองค์ สามครั้ง อัลเลาะห์จะอภัยบาปต่างๆ ของเขา แม้มันจะมีอยู่เหมือนฟองทะเล และแม้มันจะมีอยู่เท่ากับ จำนวนใบไม้ และแม้มันจะมีอยู่เท่าจำนวนเม็ดทรายที่กองทับถมกัน และแม้มันจะมีอยู่เท่าจำนวน วันของโลกดุนยาก็ตาม 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

คำกล่าวขณะตื่นนอน 941

เล่าจาก อุบาดะห์ บุตร อัซซอมิต ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   ผู้ใดตื่นขึ้น ในเวลากลางคืน แล้วกล่าวขณะที่ตื่นนอนว่า   ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์องค์เดียว ไม่มีภาคีแก่พระองค์ กรรมสิทธิ้ทั้งมวลเป็นของพระองค์ แลการสรรเสริญทั้งมวลเป็นของ พระองค์ พระองค์ทรงอนุภาพยิ่งเหนือทุกสิ่ง มหาบริสุทธิ์ และมวลการสรรเสริญถวายแด่ อัลเลาะห์ และไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ และอัลเลาะห์ทรงยิ่งใหญ่ และไม่มี การเคลื่อนไหวใด และไม่มีพลังใดนอกจากโดยประสงค์ของอัลเลาะห์ จากนั้น เขาได้วิงวอนขอ เขาจะได้รับการตอบสนอง และถ้าหากเขาลุกขึ้นอาบนํ้าละหมาด และได้ละหมาด ละหมาด ของเขาจะถูกรับรอง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

และอาอีชะห์ ร.ฎ. ได้ภล่าวว่า   ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. เมื่อตื่นนอนในเวลากลางคืน ท่านได้กล่าวว่าไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจากพระองค์ท่าน มหาบริลุทธิ้ แต่พระองค์ท่าน ข้าแต่อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าขออภัยโทษต่อพระองค์ท่านให้แก่บาปของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าขอความ เมตตาของพระองค์ท่านต่อท่าน ข้าแต่อัลเลาะห์ได้โปรดเพิ่มพูนความรู้แก่ข้าพเจ้า และอย่าให้ หัวใจของข้าพเจ้าหันเห หลังจากพระองค์ท่านชื้ทางนำแก่ข้าพเจ้าแล้ว และได้โปรดมอบความ เมตตาที่มาจากพระองค์ท่านแก่ข้าพเจ้า แท้จริงพระองค์ท่านเป็นผู้ให้ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด 

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าชัยฏอนจะผูกปมที่ ท้ายทอยคนหนึ่งของพวกท่าน เมื่อเขานอน สามปม โดยมันจะกำกับแต่ละปมว่า กลางคืนยังอยู่กับ ท่านอีกนาน จงหลับเถิด ถ้าหากเขาตื่นขึ้นและระลึกถึงอัลเลาะห์ ปมหนึ่งก็จะหลุดไป ถ้าหาก เขาอาบนํ้าละหมาด ก็จะหลุดไปอีกปมหนึ่ง และถ้าหากเขาละหมาด ปมทั้งหมดก็จะหลุดไป เขาจะตื่นเข้าขึ้นอย่างกรปีกรเปร่า สดชื่น และถ้าไม่เช่นนั้น เขาจะตื่นเข้าขึ้นอย่าง งัวเงีย และ ขึ้เกียจ

และอับลุลเลาะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า   ชายคนหนึ่งได้ถูกพูดถึงที่ท่านนบี ซ.ล. ว่าเขา นอนตลอดทั้งคืน จนรุ่งเข้า ท่านได้กล่าวว่าชายคนนื้ ชัยฏอนได้ปัสสาวะ ลงในหูทั้งสองข้าง ของเขา หรือท่านได้กล่าวว่า   ในหูของเขา

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี ในเรื่องเริ่มสร้าง

บทสุดท้าย 

ถ้อยคำที่ยกขึ้นเปรียบเทียบ

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ออกมาหาพวกเราใน วันหนึ่ง แล้วกล่าวว่าแท้จริงข้าพเจ้าฝันขณะนอนหลับคล้ายกับมียิบรีลอยู่ที่ศีรษะของข้าพเจ้า และมีกาอีลอยู่ที่เท้าของข้าพเจ้า หนึ่งจากในสองได้กล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งว่าจงยกตัวอย่างขึ้น เปรียบเทียบตัวเขา อีกฝ่ายหนึ่งจึงได้กล่าวว่า   จงฟังเถิดหูของท่านยังได้ยิน จงใช้สติเถิด หัวใจของ ท่านยังรับ ความจริงเปรียบตัวท่านกับประชากรของท่านก็เหมือนกับกษัตริย์องค์หนึ่ง ได้ยึด เอาบริเวณหนึ่ง ต่อมาก็ได้สร้างบ้านขึ้นในบริเวณนั้น จากนั้นได้จัดสำรับอาหารขึ้นในบ้าน หลังนั้น และได้ส่งทูตออกไป เชื้อเชิญผู้คนให้มารับประทานอาหาร บางคนก็ตอบรับคำเชื้อเชิญ ของทูต และบางคนก็ละเลยคำเชื้อเชิญของทูต อัลเลาะห์คือกษัตริย์องค์นั้น บริเวณนั้นคืออิสลาม บ้านหลังนั้นคือสวรรค์ ท่านโอ้มุฮัมมัด คือ ทูต และผู้ที่ตอบรับท่านก็ได้เข้าอิสลาม และผู้ใดได้ เข้าอิสลาม เขาก็ได้เข้าสวรรค์ และผู้ใดได้เข้าสวรรค์ก็ได้กินสิ่งที่มีอยู่ในสวรรค์นั้น 

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร มัสอูด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า   ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ละหมาด อิชาอฺ หลังจากนั้นได้จับมือข้าพเจ้า และได้ออกไปยังทะเลทรายของนครมักกะห์ แล้วท่านได้ จับข้าพเจ้านั่งลง และได้ขีดเส้นล้อมข้าพเจ้าไว้ และท่านได้กล่าวว่า   ท่านอย่าไปไหนและอย่า พูดกับใคร จากนั้นท่านก็ไป และได้มาในช่วงท้ายของเวลากลางคืน ท่านได้เข้ามาหาข้าพเจ้าใน วงที่ขีดไว้นั้น และได้ใช้ขาอ่อนของข้าพเจ้าหนุนหัว แล้วท่านก็นอน และปรากฎว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ขณะนอน ท่านได้เป่า และขณะที่ข้าพเจ้านั่ง โดยมีท่านนอนเอาหัวหนุนขาอ่อนของ ข้าพเจ้าอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็ได้พบกับพวกผู้ชายหลายคน บนร่างของพวกเขามีเสื้อผัาสีขาว อัลเลาะห์ ทรงรู้ยิ่งถึงความงดงามที่พวกเขามี ต่อมาพวกเขาได้มาสุดที่ข้าพเจ้า พวกเขากลุ่มหนึ่งนั่งลง ทางด้านศีรษะของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. และอีกกลุ่มหนึ่งนั่งลงทางด้านเท้าทั้งสองข้างของท่าน จากนั้นพวกเขาได้พูดกันเองว่า   พวกเราไม่เคยเห็นบ่าวคนใดจะได้รับเหมือนที่นบี ท่านนี้ได้รับ[277] แท้จริงตาทั้งสองข้างของเขาหลับแต่ใจของเขาตื่น พวกท่านจงยกตัวอย่างขึ้น เปรียบเทียบตัวเขาเถิด เปรียบเทียบว่ามีผู้นำคนหนึ่งได้สร้างปราสาทขึ้น หลังจากนั้นได้จัด สำรับอาหารขึ้น และได้เชื้อเชิญประชาชนมายังอาหารและเครื่องดื่มของเขา ผู้ใดตอบรับคำเชื้อเชิญ เขาก็ได้กินอาหารนั้น และได้ดื่มเครื่องดื่มนั้น และผู้ใดที่ไม่ตอบรับคำเชื้อเชิญ เขาก็ จะตอบแทนผู้นั้นด้วยการลงโทษ หรือเขาได้กล่าวว่า เขาก็จะลงโทษผู้นั้น ต่อมาพวกเขาได้ ลุกขึ้น และท่านนบี ซ.ล. ก็ตื่นนอน ท่านได้กล่าวว่า   ท่านได้ยินสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นพูดไหม และท่านทราบไหมว่า พวกเหล่านั้นเป็นใคร ข้าพเจ้ากล่าวว่า   อัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ทรงทราบดี ท่านได้กล่าวว่าข้อเปรียบเทียบที่พวกเขายกขึ้นมานั้น คือ องค์พระผู้ ทรงเมตตาที่ทรงสิริมงคลและสูงส่ง พระองค์ได้สร้างสวรรค์ขึ้น และได้เชื้อเชิญบรรดาบ่าว ของพระองค์มาสู่สวรรค์นั้น ผู้ใดตอบรับพระองค์ เขาก็ได้เข้าสวรรค์ และผู้ใดไม่ตอบรับพระองค์ พระองค์ก็จะตอบแทนเขาด้วยการลงโทษหรือพระองค์จะทรงลงโทษเขา

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

เล่าจาก อัลฮาริษ อัลอัซอะรีย์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงอัลเลาะห์ ได้ทรงบัญชา ยะห์ยาบุตร ซะกะรียา ห้าคำ ให้ปฏิบัติตามนั้น และเขาจะต้องใช้วงศ์วานของ อิสรออีลให้ปฏิบัติตามนั้นด้วย และความจริงเขาเกือบจะปฏิบัติมันล่าช้าไป[278] อีซาได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ได้บัญชาท่านด้วยห้าคำเพื่อให้ท่านปฏิบัติตามนั้น และท่านก็ใช้วงศ์วานของ อิสรออีลให้ปฏิบัติตามนั้นด้วย และบางทีท่านอาจใช้พวกเขาและบางทีอาจะเป็นข้าพเจ้าที่ใช้พวกเขา[279] ยะห์ยาได้กล่าวว่าข้าพเจ้าเกรงว่า ถ้าหากท่านล่วงหน้าไปก่อนข้าพเจ้าด้วยคำสั่งนั่นแล้ว ข้าพเจ้า ก็จะต้องถูกแผ่นดินสูบ หรือข้าพเจ้าจะต้องถูกลงโทษ ดังนั้นเขาจึงได้รวบรวมผู้คนให้อยู่ใน บ้ยติ้ล มักดิส จนเต็มมัสยิด และประชาชนได้นั่งกันอยู่ตามหลืบผนังของมัสยิด แล้วได้กล่าวว่าแท้จริง อัลเลาะห์ทรงบัญชาข้าพเจ้าด้วยห้าคำ ให้ข้าพเจ้าปฏิบัติตาม และได้ใช้พวกท่านให้ปฏิบัติตามด้วย ที่หนึ่งคือให้พวกท่านทั้งหลายเคารพสักการะอัลเลาะห์ โดยไปนำสั่งใดมาตั้งภาคีกับพระองค์ และ แท้จริงผู้ที่ตั้งภาคีนั้นก็เปรียบเหมือนชายคนหนึ่งที่ได้ซื้อทาส จากทรัพย์สินที่บริสุทธิ์ของเขาเองเป็น ทองคำหรือเงิน และเขาได้กล่าวว่า นี่คือบ้านของข้า และนี่คือบ้านของข้า เจ้าจงทำงานและ ซื่อสัตย์ต่อข้า และทาสก็ได้ลงมือทำงาน และนำไปให้คนอื่นที่ไม่ใช่นายของตน มีใครบ้างไหม จากพวกท่านที่ยินยอมให้ทาสของตนเป็นเช่นนี้97,6 และแท้จริงอัลเลาะห์ใช้พวกท่านให้ทำละหมาด และเมื่อพวกท่านละหมาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว อย่าผินออก เพราะแท้จริงอัลเลาะห์จะตั้งใบหน้าของ พระองค์ตรงกับใบหน้าของบ่าวของพระองค์ในขณะที่เขาละหมาดตราบใดเขายังไม่ได้ผินออก[280]  และพระองค์ได้ใช้ท่านทั้งหลายให้ถือศิลอด ความจริงข้อเปรียบเทียบ เช่นนั้นก็เปรียบได้กับ ผู้ชายคนหนึ่งอยู่ในหมู่คน พร้อมกับเขามีถุงใส่ชมดเชียงคนทั้งหมดในกลุ่มนั้นพอใจกลิ่นหอม ของชมดเชียง และความจริงกลิ่นหอมของผู้ถือศิลอดนั้น ดีกว่ากลิ่นหอมของชมดเชียง ณ พระองค์อัลเลาะห์ และพระองค์ได้ใช้พวกท่านให้บริจาคทาน ความจริงข้อเปรียบเทียบเช่นนั้นก็ เปรียบเทียบได้กับชายคนหนึ่งที่ฝ่ายศัตรูได้จับตัวเขาไปเป็นเชลย พวกนั้น ได้มัดมือเขาติดกับต้นคอ และได้นำตัวเขามาเพื่อฟันคอ และเขาได้กล่าวว่าข้าพเจ้าขอไถ่ต้นคอจากพวกท่านด้วยทุกสิ่ง ที่มีทั้งน้อยและมาก และเขาก็ได้ไถ่ตัวเองจากพวกนั้น[281] และพระองค์ได้ใช้พวกท่านให้รำลึกถึงอัลเลาะห์ ความจริงข้อเปรียบเทียบเช่นนั้น ก็เปรียบได้กับผู้ชายคนหนึ่งที่ศัตรูได้ออกแกะรอย ตามเขาไปอย่างรวดเร็ว จนเมื่อเขาได้มาถึงป้อมปราการที่แข็งแรง และเขาก็ได้ซ่อนตัวเองจาก พวกนั้น ก็เช่นเดียวกันกับบ่าวที่ไม่อาจซ่อนตัวเองจากชัยฏอน นอกจากด้วยการรำลึกถึงอัลเลาะห์ ตาอาลา ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   และข้าพเจ้าใช้พวกท่านทั้งหลายด้วยห้าปรการที่อัลเลาะห์ ได้ใช้ข้าพเจ้าคือ เชื่อฟังและปฏิบัติตาม [282] สงครามศักดิ์สิทธิ์ อพยพลี้กัย และชนส่วนมาก[283]เพราะความจริงผู้ใดปลีกตัวออกจากคนส่วนมากเพียงคืบเดียว ก็เท่ากับเขาได้ถอดห่วงอิสลามออกจากต้นคอของเขา นอกจากเขาจะต้องกลับเข้ามาอีก และผู้ใดเรียกร้องแบบยุคญาฮิลียะห์[284]ความจริงเขาก็เป็นเชื้อเพลิงของนรกยฮันนัม ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า   โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ แม้ว่าเขาจะละหมาดและกือศิลอดหรือ ท่านตอบว่าแม้เขาจะละหมาดและถือศิลอด ดังนั้น พวกท่านจงเรียกร้องกันแบบที่อัลเลาะห์เรียกร้อง ซึ่งพระองค์ได้เอ่ยนามพวกท่านว่าเป็นมุสลิมีน เป็นมุอฺมีนีน เป็นบ่าวของอัลเลาะห์ 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

ภาคการญิฮาด แลการศึกต่างๆ[285]

มี เจ็ด บท

บทที่หนึ่ง 946

ความประเสริฐของสงครามศักดิ์สิทธิ์

 

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“โอ้บรรดาผู้ที่มีศรัทธาแล้วทั้งหลาย เอาไหมเราจะให้ พวกท่านทำการค้าหนึ่งที่จะทำให้พวกท่านพ้นจาการลงโทษอันเก็บปวด นั่นคือ ให้พวกท่าน มีศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์ และพวกท่านจะต้องต่อสู้ในวิถีทางของอัลเลาะห์ โดยใช้ทรัพย์สินของพวกท่าน และตัวของพวกท่าน นั่นแหละเป็นการดีแก่พวกท่าน ถ้าหาก พวกท่านรู้ แน่นอนพระองค์จะทรงให้อภัยในความผิดต่าง *1 ของพวกท่าน และจะให้พวกท่าน เข้าสวรรค์ ซึ่งมีธารนํ้าหลายสายไหลอยู่เบื้องล่าง1ของมัน และเข้าสู่ที่พำนักที่ดีในสวรรค์อัดน่ นั่นแหละคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่”[286]

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์ เขาได้ดำรงละหมาดและถีอศิลอดในเดือนรอมาฎอน นับเป็นความ โปรดปรานของอัลเลาะห์ ที่จะให้เขาเข้าสวรรค์ ไม่ว่าเขาจะต่อสู้ในวิถีทางของอัลเลาะห์หรือ พำนักอยู่ในแผ่นดินของอัลเลาะห์ที่เขาลือกำเนิดขื้นมาในแผ่นดินนั้น ต่อมาพวกเขาได้กล่าวว่า   โอ้ท่านรอชูลัลเลาที ข้าพเจ้าจะไม่แจ้งข่าวดีแก่ประชาชนหรือ ท่านได้กล่าวว่าแท้จริงในสวรรค์มีอยู่หนึ่งร้อยชั้น ที่อัลเลาะห์ได้ทรงเตรียมไวิให้แก่บรรดาผู้ที่ต่อสู้ในวิถีทางของอัลเลาะห์ ระยะทางระหว่างสองชั้นนั้นเท่ากับระยะทางระหว่างฟ้ากับแผ่นดิน และเมื่อท่านทั้งหลาย วิงวอน ขอมันต่ออัลเลาะห์ให้ท่านทั้งหลายจงขอสวรรค์ชั้นฟิรเดาส์ต่อพระองค์ เพราะมันเป็นสวรรค์ที่ดีเยิ่ยม และเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดที่ข้าพเจ้าคาดคิด ท่านได้กล่าวว่าเหนือสวรรค์ชั้นฟิรเดาส์ คือ บัลลังก์ (อัรช์) ของพระผู้ทรงเมตตายิ่ง และธารนํ้าของสวรรค์ก็จะพุ่งออกจากบัลลังก์นั้น

รายงานหะดีษโดยบุคอรีในเรื่องนี้ และติรมิซีในเรื่องสวรรค์

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   พระองค์อัลเลาะห์ ทรงรับประกันให้แก่ผู้ที่ออกไปในวิถีทางของอัลเลาะห์ที่ไม่มีสิ่งใดทำให้เขาออกไปนอกจากเพื่อ ต่อสู้ในวิถีทางของเรา และศรัทธาต่อเรา เชื่อมั่นต่อศาสนทูตของเรา เราจะเป็นผู้รับประกัน ให้เขาเองว่า เราจะให้เขาเข้าสวรรค์ หรือจะให้เขาได้กลับสู่ที่พำนักของเขาซึ่งเขาได้ออกไปโดยได้รับสิ่งที่เขาได้คือผลบุญหรือทรัพย์สงคราม ขอสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของมุฮัมมัดอยู่ใน เงื้อมมือของพระองค์ว่าไม่มีบาดแผลใดที่ถูกกระทำในวิถีทางของอัลเลาะห์ นอกจากบาดแผลนั้น จะมาในวันกิยามะห์ ในสภาพของมันเหมือนขณะที่ถูกทำให้เกิดบาดแผล สีของมันเปีนสีเลือด แลกลิ่นของมันเป็นกลิ่นชมดเชียง สาบานต่อผู้ซึ่งสีวิตของมุฮัมมัดอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า ถ้าหากมันจะไม่เป็นการลำบากเหนือมวลมุสลิมแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่ยอมนั่งโดยปล่อยให้กองทหาร ออกไปทำสงครามในวิถีทางของอัลเลาะห์เลย แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ร่ำรวยพอที่จะจัดหาพาหนะให้แก่ พวกเขาได้ และพวกเขาก็ไม่ร่ำรวย แลการที่พวกเขาจะปล่อยให้ข้าพเจ้าออกไปก็เป็นความ ลำบากใจของพวกเขา สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของมุฮัมมัดอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ ความจริง ข้าพเจ้าปรารถนาออกทำสงครามในวิถีทางของอัลเลาะห์แล้วถูกฆ่าตาย จากนั้นก็ออกไปทำ สงครามอีก แล้วถูกฆ่าตาย จากนั้นก็ออกไปทำสงครามอีก และถูกฆ่าตายอีก

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม 

ตัวบทของบุคอรีว่าสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า ความ จริงข้าพเจ้า ปรารถนาถูกฆ่าตายในวิถีทางของอัลเลาะห์ แล้วฟื้นคืนชีพขึ้น จากนั้นก็ถูกฆ่าตาย แล้วฟื้นคืนชีพอีก และถูกฆ่าตาย แล้วฟื้นคืนชีพอีกและถูกฆ่าตายอีก[287]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้มีผู้กล่าวว่า   โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ อะไรจึงจะ เท่ากับการต่อสู้ในวิถีทางของอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ และเกรียงไกร ท่านกล่าวว่า   พวกท่านไม่สามารถทำมันได้ พวกเขาได้พูดยํ้าแก่ท่านอีกสองครั้งหรือสามครั้ง ทุกครั้งท่านจะกล่าวว่า พวกท่านไม่สามารถทำมันได้ และท่านได้กล่าวในครั้งที่สามว่าข้อเปรียบเทียบของผู้ที่ต่อสู้ ในวิถีทางของอัลเลาะห์นั้นเปรียบได้กับผู้ถีอศิลอดที่ลุกขึ้นทำความดีในเวลากลางคืน ที่อ่านอายะห์ ต่างๆ ของอัลเลาะห์โดยไม่เลิกละหมาด และไม่เลิกถีอศิลอด จนกว่าผู้ต่อสู้ในวิถีทางของอัลเลาะห์ จะกลับมา

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   รอยเท่าคันธนู ในสวรรค์[288] ดียิ่งกว่าสิ่งที่ดวงตะวันส่องไปถึงมันและลับดวงไป และท่านได้กล่าวว่าช่วงเช้า หรือช่วงเย็นในวิถีทางของอัลเลาะห์ดียิ่งกว่าสิ่งที่ดวงตาตะวันส่องไปถึงและลับดวงไป

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

ตัวบทของบุคอรีและติรมีซีว่าและถ้าหากมีผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นชาวสวรรค์ โผล่มา มองชาวดิน แน่นอนหญิงนั้นจะทำให้สิ่งทีอยู่ระหว่างสวรรค์และแผ่นดิน สว่างไสวทั่วไปหมด และหญิงนั้นจะทำให้เถิดกลิ่นหอมกระจายเต็มแผ่นดิน และเพียงผ้าคลุมศีรษะที่อยู่บนศีรษะ ของหญิงนั้นก็ดีกว่าโลกนี้และสิ่งที่อยู่ในโลกนี้ทั้งหมด 

และท่านนบี ซ.ล. ได้ถูกถามว่า   มนุษย์คนใดประเสริฐที่สุด            ท่านตอบว่า   ผู้ศรัทธาที่ต่อสู้ในวิถีทางของอัลเลาะห์ด้วยตัวของเขา และด้วยทรัพย์สินของเขา พวกเขาถามว่ารองลงไปได้แก่ผู้ใด ท่านตอบว่าคือผู้ศรัทธาที่อยู่ในทุบเขาแห่งหนึ่งจากบรรดาทุบเขาต่างๆ เขามีความยำเกรงอัลเลาะห์ และทอดทิ้งมนุษย์ให้พ้นจากความชั่วร้ายของเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของบุคอรี และ มุสลิม ว่า   อัลเลาะห์ทรงหัวเราะผู้ชายสองคน คนที่หนึ่ง จากในสองได้ฆ่าอีกคนหนึ่งตาย แต่ทั้งสองคนได้เข้าสวรรค์ คนนี้ต่อสู้ในวิถีทางของอัลเลาะห์ และถูกฆ่าตาย ต่อมาอัลเลาะห์ทรงรับการกลับตัวของผู้ฆ่า และเขาก็ถูกฆ่าในฐานชะฮีด

เล่าจากอบี สะอีด อัลคุดรีย์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขาว่า โอ้อบาสะอีด ผู้ใดที่ยินดียึดเอาอัลเลาะห์เป็นพรเจ้า ยึดเอาอัลอิสลามเป็นศาสนา และยึด เอามุฮัมมัดเป็นนบี สวรรค์ตกเป็นของเขาแน่นอน อะบู สะอีดพอใจในคำพูดนี้มาก จึงได้กล่าวว่า ได้โปรดพูดให้ข้าพเจ้าฟังอีกครั้งเถิด โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ และท่านก็ได้กระทำ จากนั้นท่าน ได้กล่าวว่าและอีกสิ่งหนึ่งที่บ่าวจะถูกยกขื้นไปโดยอาศัยสิ่งนี้ถีงหนึ่งร้อยชั้นในสวรรค์ ระยะทาง ระหว่างทุกๆ สองชั้นเท่ากับระยะทางระหว่างฟ้ากับแผ่นดิน อะบู สะอีด ถามว่าสิ่งนั้นคือ อะไรท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านตอบว่าคือ การต่อสู้ในวิถีทางของอัลเลาะห์ การต่อสู้ในวิถีทาง ของอัลเลาะห์ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และนะซาอี                                               

และตัวบทของอะบีดาวูดว่าสามคนนี้ทั้งหมดถูกรับประกันโดยอัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรคือชายคนหนึ่งออกไปในฐานนักรบในวิถีทาง ของอัลเลาะห์ เขาถูกรับประกันโดยอัลเลาะห์จนกว่าพระองค์จะให้เขาจบชีวิตลง และให้เขา เข้าสวรรค์หรือจะให้เขากลับบ้านพร้อมกับสิ่งที่เขาได้รับคือ ผลบุญ และ ทรัพย์สงคราม, และ ชายคนหนึ่งที่ไปมัสยิด เขาถูกรับประกันโดยอัลเลาะห์ จนกว่าพระองค์จะให้เขาจบชีวิตลง และให้ เขากลับบ้านพร้อมกับสิ่งที่เขาได้รับคือผลบุญและทรัพย์สงคราม[289] และชายคนหนึ่งที่ได้เข้าบ้าน ของเขา พร้อมกับการกล่าวสลาม เขาก็ถูกรับประกันโดยอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร

และตัวบทของมุสลิม อะบีดาวูด และน่าซาอีว่าไม่มีกลุ่มนักรบใดหรือกองทหารใดที่ ออกศึกและได้ทรัพย์สงครามมาโดยปลอดภัยนอกจากพวกเขาได้รับล่วงหน้าไปแล้วสองในสาม ผลบุญของพวกเขา และไม่มีกลุ่มนักรบใดหรือกองทหารใดที่ออกศึกโดยไม่ได้ทรัพย์สงคราม แต่ประสพกับวิกฤติการ นอกจากผลบุญของพวกเขาจะได้เต็มสมบูรณ์[290]

และตัวบทของบุคอรี น่าซาอี และ ติรมีซี ว่า   ไม่มีสองเท้าของบ่าวคนใดที่เปื้อนฝุ่น ในวิถีทางของอัลเลาะห์ แล้วไฟนรกจะมาสัมผัสเขา

และตัวบทของติรมีซีว่า   จะไม่ได้เข้านรกชายคนหนึ่งที่ร้องไห้ เพราะเกรงกลัวอัลเลาะห์ เว้นแต่นํ้านมจะไหลคืนเข้าเต้านม[291] และฝุ่นในวิถีทางของอัลเลาะห์จะไม่รวมอยู่กับควันของนรกยฮันนัม

และท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวในเรื่องของชาวบัดร์ว่า   และอะไรบอกให้ท่านรู้ (โอ้อุมัร) แน่นอนอัลเลาะห์ทรงรู้เห็นชาวบัดรได้เป็นอย่างดี และพระองค์ได้ตรัสว่า พวกท่าน จงกระทำสิ่งที่พวกท่านต้องการเถิด แท้จริงเราได้อภัยโทษให้แก่พวกท่านแล้ว 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และตัวบทของบุคอรี มุสลิม และ ติรมีซี ว่า   พวกท่านจงรับทราบเถิดว่า แท้จริง สวรรค์อยู่ใต้เงาดาบ[292]

และตัวบทของมุสลิม อะบีดาวูดและน่าชาอีว่า   ผู้ใดเสียชีวิตไปโดยไม่ได้ออกศึก และ ไม่เคยรำพึงกับตัวเองถึงเรื่องนี้เท่ากับเสียชีวิตอยู่บนการหน้าไหว้หลังหลอกชนิดหนึ่ง

และตัวบทของมุสลิมกับ อะบีดาวูดว่า   กาฟิร (ผู้ไร้ศรัทธา) จะไม่ได้อยู่ร่วมกับผู้ที่ สังหารเขาในนรกตลอดกาล

เล่าจากอุมม์ ฮะรอม ร.ฎ. ได้กล่าวว่า   ท่านนบี ซ.ล. ได้มาหาพวกเราในวันหนึ่ง ท่านได้นอนกลางวันอยู่กับพวกเรา และท่านได้ตื่นขื้นมาหัวเราะ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า   อะไรทำ ให้ท่านหัวเราะโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ โดยเอาบิดาและมารดาของข้าพเจ้าเป็นค่าไก่ตัวท่าน ท่านได้กล่าวว่า   ข้าพเจ้าได้ฝันเห็นพวกเหนึ่งจากประชากรของข้าพเจ้า โดยสารไปในทะเลคล้าย กษัตริย์ ทั้งหลายนั่งอยู่บนเตียง ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า   ท่านจงวิงวอนต่ออัลเลาะห์ให้ข้าพเจ้าเป็น คนหนึ่งของพวกเขา ท่านได้กล่าวว่า   แท้จริงเธอเป็นคนหนึ่งของพวกเขา จากนั้นท่านได้นอน และตื่นขื้นมาหัวเราะอีก ข้าพเจ้าได้ถามท่าน, ท่านก็ได้ตอบเหมือนที่เคยตอบ ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า   ท่านจงวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ให้ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งของพวกนั้น ท่านได้กล่าวว่า   แท้จริงเธอ เป็นคนหนึ่งของพวกแรกๆ ผู้เล่าได้กล่าวว่าจากนั้น อุบาดะห์ บุตร ซอมิต ก็ได้แต่งงานกับ นางในภายหลัง และเขาก็ได้นำนางออกศึกในทะเล และเมื่อนางมาได้มีผู้นำล่อตัวหนึ่งเข้ามา ใกล้นาง นางก็ได้ขี่ล่อตัวนั้น และล่อตัวนั้นได้สลัดนางร่วงลงมา และนางก็เสียชีวิต[293]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อุมม์ ฮะรอม) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   ผู้ที่เมาคลื่นในทะเล ซึ่ง อาการอาเจียรเกิดขึ้นกับเขา เขาจะได้ผลบุญของนักรบที่ถูกฆ่าในสงครามศักดิ์สิทธิ์หนึ่งคน และผู้ที่ จมนํ้าตาย เขาจะได้ผลบุญของนักรบที่ถูกฆ่าในสงครามศักดิ้สิทธิ์สองคน[294]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

ตัวบทของติรมีซีและน่าซาอีว่าผู้ใดได้ทำสงครามในวิถีทางของอัลเลาะห์จากผู้ชายที่ เป็นมุสลิม ชั่วรีดนมอูฐเสร็จ สวรรค์จะตกเป็นของเขา

และตัวบทของทั้งสองอีกเช่นกันว่า   ผู้ใดที่ผมเกิดหงอกขึ้นเส้นหนึ่ง ในวิถีทางของ อัลเลาะห์ มันจะเป็นรัศมีแก่เขาในวันกิยามะห์

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   ข้าพเจ้าจะไม่บอกพวกท่านถึงคนที่ดีที่สุดหรือ คือผู้ชายที่กำบังเหียรม้าของเขาในวิถีทางของอัลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะไม่บอก

พวกท่านถึงผู้อยู่ถัดลงไปหรือ คือผู้ชายคนหนึ่งที่ปลีกตัวไปอยู่อย่างสันโดษกับฝูงแพะของเขาปฏิบัติตามสิทธิ ของอัลเลาะห์ทีมีอยู่เหนือเขา ข้าพเจ้าจะไม่บอกพวกท่านถึงคนที่ชั่วร้ายที่สุด หรือ คือคนที่ถูกขอด้วยนามของอัลเลาะห์ และเขาปฏิเสธที่จะให้[295]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี

และอารมณ์ของชายคนหนึ่งชอบการปลีกตัวออกไปอยู่อย่างสันโดษ เขาได้ถามท่านนบี ซ.ล.ถึงความสันโดษ ท่านตอบว่า   อย่าทำ เพราะแท้จริงตำแหน่งของคนหนึ่งจากพวกท่าน ในวิถีทางของอัลเลาะห์ประเสริฐยิ่งกว่าการที่เขาละหมาดอยู่ ภายในบ้านของเขาเจ็ดสิบปี พวกท่าน ไม่ปรารถนาหรือที่อัลเลาะห์จะอภัยโทษให้แก่พวกท่านและให้พวกท่านเข้าสวรรค์พวกท่านจงออกศึกในวิถีทางของอัลเลาะห์เถิด ผู้ใดทำสงครามในวิถีทางของอัลเลาะห์ชั่วรีดนมอูฐเสร็จ สวรรค์จะตกเป็นของเขา 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

บทที่สอง

บรรดานักรบชะฮีด และ ควานประเสริฐของพวกเขา

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และท่านอย่าคิดว่าบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าตายในวิถีทางของอัลเลาะห์นั้นเป็นผู้เสียชีวิต แต่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ณ องค์อภิบาลของพวกเขา โดยพวกเขายังได้รับเครื่องยังชีพ พวกเขาดีใจด้วยสิ่งที่อัลเลาะห์ประทานแก่พวกเขา จากความโปรดปรานของพระองค์ และพวกเขา มีความปีติยินดีต่อบรรดาผู้ทียังไม่ได้ติดตามพวกเขาไป โดยทิ้งพวกนั้นอยู่เบื้องหลัง ไม่มีความ หวาดกลัวใดๆ เกิดกับพวกเขา และพวกเขาจะไม่โศกเศร้า พวกเขามีความปีติยินดีกับความ โปรดปรานและความล้นเหลือ และแท้จริงอัลเลาะห์จะไม่ลบล้างผลบุญของบรรดาผู้ศรัทธา” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าระหว่างที่ชายคนหนึ่ง กำลังเดินอยู่ตามทาง เขาได้พบกิ่งหนามอยู่บนทางสัญจรนั้น เขาจึงนำมันออกไปพ้นทางสัญจรอัลเลาะห์ทรงขอบคุณเขา อภัยโทษให้เขา[296]

และท่านนบีได้กล่าวว่าชะฮีดมีห้าจำพวกคือ ผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคอหิวาต์ ผู้ที่เสียชีวิตด้วย โรคที่เกี่ยวกับท้อง คนที่จมนํ้าตาย และผู้ที่ถูกอาคารกล่มทับตาย และนักรบที่ถูกฆ่าในวิถีทาง ของอัลเลาะห์ตาอาลา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   ใครที่พวกท่าน นับว่าเป็นชะฮีด ในหมู่พวกท่าน พวกเขากล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ คือผู้ที่ถูกฆ่าตายใน

วิถีทางของอัลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นบรรดานักรบชะฮีดในประชากรของข้าพเจ้าก็มีน้อย พวกเขากล่าวว่า ดังนั้น พวกเขาคือใครโอ้ท่านรอซูลุลลอห์ท่านกล่าวว่า   คือผู้ที่ตายในวิถีทางของอัลเลาะห์คือ นักรบชะฮีด 995 ผู้ที่เสียฮึวิตในโรคอหิวาต์ คือนักรบชะฮีด ผู้ที่เสียชีวิตในโรคที่เกี่ยวกับท้อง[297] คือนักรบชะฮีด และคนที่จมนํ้าตาย คือนักรบชะฮีด 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และนะซาอี

และในรายงานหนึ่ง ของน่าซาอีว่าบรรดานักรบชะฮีดและผู้ที่เสียชีวิตบนที่นอนโต้เถียง กันไปหาองค์อภิบาลของเราในเรึ่องของบรรดาผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคอหิวาต์ บรรดานักรบชะฮีด กล่าวว่าพี่น้องของเราถูกฆ่าเช่นเดียวกันกับที่พวกเราถูกฆ่า บรรดาผู้ที่เสียชีวิตบนที่นอนกล่าวว่า   พี่น้องของเราตายบนที่นอนเช่นเดียวกันกับที่พวกเราตาย องค์อภิบาลของเรากล่าวว่า   พวกเจ้าจง มองลูบาดแผลของพวกเขา ถ้าหากบาดแผลของพวกเขาเหมือนกับบาดแผลของผู้ที่ถูกฆ่า พวกเขาก็ เป็นส่วนหนึ่งของพวกที่ถูกฆ่าตายและจะได้อยู่ร่วมกับพวกเขา ก็ได้พบว่าบาดแผลของพวกเขา เหมือนกับบาดแผลของพวกที่ถูกฆ่าตาย[298]

เล่าจาก อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   นักรบชะฮีดมีสี่จำพวกคือ   ชายที่ มีศรัทธาเขามีศรัทธาทีดีเยี่ยม เขาได้พบกับศัตรู และเชื่อมั่นต่ออัลเลาะห์ จนเขาถูกฆ่าตายคนนื้แหละ คือผู้ที่ประชาชนจะต้องแหงนหน้ามองดูเขาในกันกิยามะห์อย่างนี้ และท่านได้แหงนหน้าขึ้นจนหมวกของท่านร่วง ผู้เล่าได้กล่าวว่า   ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า เป็นหมวกของอุมัรหรือหมวกของท่าน นบี ซ.ล. และชายคนหนึ่งที่มีศรัทธา เขามีศรัทธาดีเยี่ยม เขาพบกับศัตรูพร้อมกับความขลาด (ถ้าจะเปรียบก็)คล้ายกับผิวหนังของเขาถูกกระทบด้วยหนามของไม้ชนิดหนึ่ง ลูกธนูที่ไม่รู้ว่ายิง มาจากใครได้มาถูกเขา และได้ทำให้เขาเสียชีวิตดังนั้นเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่สอง และชายคนหนึ่ง ที่มีศรัทธาเขาได้คละเคล้าทั้งการกระทำที่ดีและชั่ว เขาพบกับศัตรู เขาเชื่อมั่นต่ออัลเลาะห์จน ถูกฆ่าตาย ดังนั้นคนนี้แหละทีได้อยู่ในตำแหน่งที่สาม และชายคนหนึ่งที่มีศรัทธา เขาได้ละเมิดต่อ ตัวเองอย่างฟุมเฟือย เขาได้พบกับศัตรู และเขามีความเชื่อมั่นต่ออัลเลาะห์จนถูกฆ่าตาย ดังนั้นคนนี้ ได้อยู่ในตำแหน่งทีสี่ 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   ไม่มีบ่าวคนใดที่เสียชีวิตไปแล้วซึ่ง เขามีความดีอยู่ ณ อัลเลาะห์ ที่การกลับไปมีชีวิตในโลกดุนยาอีก แลการที่โลกดุนยารวมทั้ง สรรพสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกตกเป็นของเขาจะทำให้เขาภาคภูมิใจ นอกจากนักรบชะฮีด เพราะเขา พบแล้วถึงความประเสริฐของการเป็นนักรบชะฮีด ความจริงการที่เขาจะกลับไปมีชีวิตยังโลกนี้ และถูกฆ่าตายอีกครั้งหนึ่งจะทำให้เขาภาคภูมิใจ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และในรายงานหนึ่งว่าไม่มีผู้ใดที่เข้าสวรรค์แล้วเขาต้องการจะกลับไปมีชีวิตอีกในโลก จะต้องการให้สิ่งที่มีอยู่บนพื้นแผ่นดินตกเป็นของเขา นอกจากนักรบชะฮีด เพราะความจริงเขา ปรารถนาจะกลับไปอีก แล้วถูกฆ่า สิบครั้ง เนื่องจากความมีเกียรติที่เขาได้พบเห็นมา

และตัวบทของน่าซาอีว่าผู้ชายชาวสวรรค์จะถูกนำตัวมา แล้วอัลเลาะห์จะถามว่าโอ้ ลูกหลานของอาดัม เจ้าได้พบที่พำนักของเจ้าเป็นอย่างไร เขาจะตอบว่าข้าแด่องค์ผู้อภิบาลของข้าพเจ้า เป็นที่พำนักที่ดีที่สุด พระองค์จตรัสว่าเจ้าจงขอ และอยากได้เถิด เขาจะกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอต่อท่านให้นำข้าพเจ้าไปยังโลกดุนยาอีก แล้วข้าพเจ้าก็ถูกฆ่าในวิถีทางของอัลเลาะห์ สิบครั้ง เนื่องจากความประเสริฐของการเป็นนักรบชะฮีดที่เขาพบเห็นและชาย คนหนึ่งได้กล่าวว่า   โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์จงบอกข้าพเจ้าเถิดว่า ถ้าหากข้าพเจ้าถูกฆ่าในวิถีทางของอัลเลาะห์ ความผิดต่าง ๆ ของข้าพเจ้าจะถูกลบล้างไปจากข้าพเจ้าใหม     ท่านตอบว่า   ถูกแล้วความผิดต่างๆ ต้องถูกลบล้างไป โดยท่านจะต้องมีความอดทน มุ่งหวังสิ่งตอบแทนจากอัลเลาะห์ หันหน้า สู้โดยไม่หันหลัง นอกจากหนี้สินเท่านั้น เพราะญิบรีล อ.ล. ได้บอกข้าพเจ้าอย่างนั้น[299]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่านักรบชะฮีดจะไม่ พบกับการสัมผัสของการฆ่านอกจากเหมือนกับคนหนึ่งคนใดจากพวกท่านสัมผัสกับการหยิก 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   คนแรกจากใน สามที่จะ เข้าสวรรค์ซึ่งได้ถูกนำมาให้ข้าพเจ้าชม คือ นักรบชะฮีด คนรักษาตัวที่ได้รับการคุ้มครอง[300]และบ่าวคนหนึ่งที่ได้ทำการสักการะต่ออัลเลาะห์เป็นอย่างดี และได้แนะนำสั่งสอนแก่บริวาร ของเขา 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

เล่าจากอับดิ้ลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าองค์ผู้อภิบาลของเราทรง พอพรฑัย ชายคนหนึ่งที่ได้ทำสงครามในวิถีทางของอัลเลาะห์ แต่บรรดาสหายของเขาพ่ายแพ้ และเขาก็รู้หน้าที่ของเขา เขาจึงกลับไปจนเลือดของเขาถูกกระทำให้หลั่งนอง อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ และเกรียงไกรกล่าวแก่มวลมะลาอิกะห์ของพระองค์ว่า  พวกเจ้าจงมองดูบ่าวของเราคนนี้ เขากลับไปเพราะต้องการสิ่งที่มีอยู่ที่เรา และสงสารสิ่งทีมีอยู่ที่เรา จนเลือดของเขาถูกทำให้หลั่งนอง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอะบี อุมามะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   ไม่มีสิ่งใดที่อัลเลาะห์จะรักยิ่งกว่าสองหยด และสองรอย คือหยดนํ้าตา เพราะความกลัวอัลเลาะห์ และหยดเลือดที่ หลั่งในวิลืทางของอัลเลาะห์ ส่วนสองรอยนั้น คือรอยที่เกิดขึ้นในวิถีทางของอัลเลาะห์ และ รอยที่เกิดขึ้นในฟัรฎูหนึ่งจากบรรดาฟัรฎูของอัลเลาะห์[301]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

ตัวบทของมุสลิมและน่าซาอีว่า ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะอยู่ที่ไหน ถ้าหากข้าพเจ้าถูกฆ่า       ท่านได้กล่าวว่า   อยู่ในสวรรค์ และชายคนนั้นได้โยนผลอินทผลัมที่อยู่ในมือของเขาทิ้งไป จากนั้นได้เข้าทำการต่อสู้จนในที่สุดได้ถูกฆ่า

เล่าจากอัลบรออฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าชายคนหนึ่งจากตระกูลบะนี อันนะบีด[302] ได้ มาแล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ และแท้จริง ท่านเป็นบ่าวและเป็นศาสนทูตของพระองค์ หลังจากนั้นเขาก็ได้บุกเข้าทำการต่อสู้ จนถูกฆ่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   ชายคนนี้กระทำเพียงเล็กน้อย แต่ได้ผลบุญมาก[303]

และญาบิร ได้กล่าวว่าบิดาของข้าพเจ้าได้ถูกนำมาหาท่านนบี ซ.ล. ในสภาพที่ศพ ของท่านถูกสับเป็นท่อน และได้ถูกนำลงวางต่อหน้าท่านนบี ข้าพเจ้าได้ใปเปิดดูหน้าของท่าน แต่พวกพ้องของข้าพเจ้าได้ห้ามข้าพเจ้า ต่อมาท่านนบีได้ยินเสียงหญิงคนหนึ่งร้องครํ่าครวญ และได้มีผู้กล่าวว่า คือ บุตรสาวของอุมัร หรือ น้องสาวของอัมร์[304] ท่านได้กล่าวว่าเธอ ร้องไห้ทำไมหรือ   เธออย่าร้องไห้ มะลาอิกะห์จะยังคงให้ร่มเงาแก่เขาด้วยปีก จนกว่าเขาจะถูกยกไป

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และมุสลิม

และท่านนบี ซ.ล. ถูกลามว่า ผู้ใดอยู่ในสวรรค์ท่านกล่าวว่านบีอยู่ในสวรรค์ นักรบชะฮีดอยู่ในสวรรค์ ทารกที่ถูกคลอดมาอยู่ในสวรรค์[305] และทารกที่ถูกฝังทั้งเป็นอยู่ใน สวรรค์[306]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

นักรบชะฮีด จะช่วยเหลือผู้คนได้เป็นจำนวนมาก

เล่าจาก อะบี อัดดัรดาอฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่านักรบชะฮีดจะได้รับอนุมัติ ให้ช่วยเหลือคนในครอบครัวของเขาได้เจ็ดสิบคน[307]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และ ติรมิซี

และตัวบทของติรมีช่ว่าสำหรับนักรบชะฮีดมีสิทธิได้รับจากอัลเลาะห์ หกปรการ เขาจะได้รับการอนัยโทษในพวกแรก เขาจะได้เห็นที่อยู่ของเขาในสวรรค์ เขาจะพ้นจาการ ลงโทษในหลุมฝังศพ เขาจะปลอดนัยจาการตกใจครั้งใหญ่ และมงกุฎแห่งความเคารพจะถูก สวมีอยู่บนศีรษะของเขา ทับทิมเพียงเม็ดเดียวจากมงกุฎนั้นดียิ่งกว่าโลกนี้ รวมทั้งสรรพสิ่งที่มี อยู่ในโลกทั้งหมด เขาจะได้สมรสกับสาวสวรรค์เจ็ดสิบสองคน และจะได้รับอนุมัติให้ช่วยเหลือ ญาติใกล้ช่ดของเขาจำนวนเจ็ดสิบคน

และด้วบทของอิบนิมายห็ว่า   ที่จะช่วยเหลือผู้อึ่นได้ในวันกียามห์ มีสามคน คือ บรรดานบี นักปราชญ์ แฉนักรบชะฮีด

ความประเสริฐของผู้ที่เตริยมพร้อม และยามรักษาการณ์ในวิถีทางของอัลเลาะห์ 954

เล่าจาก สะฮั้ล ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   การเตรียมพร้อมเพียงหนึ่งวัน ในวิถีทางของอัลเลาะห์ดีกว่าโลกนี้ รวมทั้งสรรพสิ่งที่มีอยู่บนโลกนี้ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

ตัวบทของ ติรมีซี และ น่าชาอีว่า การเตรียมพร้อมในวิถีทางของอัลเลาะห์ประเสริฐกว่า หรือดีกว่า การถือศีลอดหนึ่งเดือนพร้อมด้วยการลุกขึ้นทำความดีในยามค่ำคืนของเดือนนั้นด้วย และผู้ใดตายอยู่ในหน้าที่เขาจะถูกปกปักรักษาจากวิกฤติการในหลุมฝังศพ และผลงานของเขา จะเพิ่มพูนขึ้นจนถีงวันกิยามะห์

และตัวบทของติรมีซี และ น่าชาอีว่า   การเตรียมพร้อมเพียงหนึ่งวันในวิถีทางของ อัลเลาะห์ดีกว่าหนึ่งพันวัน ที่นอกจากนั้น จากตำแหน่งต่างๆ

เล่าจากฟะฎอลห์ บุตร อุบัยค์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   คนตายทุกคน งานของเขาจะสิ้นลุดลง นอกจากผู้ที่เตรียมพร้อม เพราะแท้จริงงานของเขาจะเพิ่มพูนขึ้น จนถึงวันกิยามะห์ และเขาจะได้รับความปลอดภัยจากบรรดาผู้ที่สร้างวิกฤติการณ์ในหลุมฝังศพ

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี 

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มีสองดวงตาที่ไฟนรก ไม่อาจสัมผัสได้ คือ ดวงตาที่ร้องไห้เพราะกลัวอัลเลาะห์ และดวงตาที่อดนอนรักษาการณ์ใน วิถีทางของอัลเลาะห์

รายงานหะดีษโดยติรมิซี และนะซาอี

ความประเสริฐของการบริจาคในวิถีทางของอัลเลาะห์

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า  “เปรียบบรรดาผู้ที่สละทรัพย์สินของพวกเขาในวิถีทางของ อัลเลาะห์เหมือนกับเมล็ดพืช หนึ่งเมล็ดที่งอกงามออกเจ็ดรวง แต่ละรวงมีหนึ่งร้อยเมล็ด และ อัลเลาะห์จะทรงทวีคูณขึ้นอีก แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลเลาะห์ทรงกว้างขวาง ทรง รอบรู้ยิ่ง”

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   ผู้ใดสละคู่ครองสองคน ไปในวิถีทางของอัลเลาะห์ บรรรดาผู้ดูและสวรรค์ จะร้องเรียกเขา ผู้ดูแลแต่ละประตูจะกล่าวว่า ขอ เชิญมาทางนี้เถิด โอ้คนนั้น คนนี้ อะบู บักร์ได้กล่าวว่า   โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์นั่นคือผู้ซึ่งไม่มี อะไรน่าวิตก ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   แท้จริงข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะต้องเป็นคนหนึ่งของ พวกเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

และได้มีชายคนหนึ่งนำอูฐที่ถูกสนตะพายแล้ว มา และได้กล่าวว่า   อูฐตัวนี้อุทิศให้อยู่ ในวิถีทางของอัลเลาะห์ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า   จะเป็นของท่านเพราะอูฐตัวนี้ ในวันกิยามะห์ อูฐเจ็ดร้อยตัว ที่ทุกตัวสนตะพายแล้ว 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม และนะซาอี

และตัวบทของอะบีดาวูดและน่าชาอี ว่าการทำสงครามมีสองแบบ สำหรับผู้ที่แสวงหา พระองค์อัลเลาะห์ เชื่อฟังผู้นำและสละทรัพย์ที่เลือกสรรค์แล้ว อลุ่มอล่วยกับผู้ที่ทำธุระกิจ (กับเขา) และหลีกหนีความเสื่อมเสีย แท้จริงทั้งยามหลับและยามตื่นของเขาเป็นผลบุญทั้งหมด ส่วนผู้ที่ทำสงครามเพึ่อโอ้อวด เพื่อแสดงให้เห็นและเพื่อชื่อเสียง และเขาได้ฝ่าฝืนคำสั่งของ ผู้นำ ได้สร้างความเสื่อมเสียขึ้นในหน้าแผ่นดิน แท้จริงเขาไม่ได้กลับมาพร้อมด้วยความพอเพียง[308]

ตัวบทของติรมีซี และ น่าชาอีว่า   ผู้ใดได้สละสิ่งใดไปในวิถีทางของอัลเลาะห์ จะถูก

บันทึกเป็นของเขาถึงเจ็ดร้อยเท่า

และตัวบทของติรมีซีว่า การทำทานที่ประเสริฐที่สุด คือการทำทานด้วยร่มเงาของ กระโจมที่พักในวิถีทางของอัลเลาะห์ การให้ผู้บริการในวิถีทางของอัลเลาะห์[309] หรือสัตว์ตัวเมีย ที่ตัวผู้ทับได้แล้วในวิถีทางของอัลเลาะห์[310]

ความประเสริฐของการช่วยเหลือแก่นักรบ 956

เล่าจากเซด บุตร คอลิด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดจัดเตรียมเสบียงให้แก่ นักรบ เท่ากับเขาได้ออกรบเอง และผู้ใดได้รับทำหนัาที่แทนนักรบในวิถีทางของอัลเลาะห์เป็น อย่างดี เท่ากับเขาได้ออกรบเอง[311]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และได้มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่าพาหนะของข้าพเจ้าได้ล้มตาย ลงไปแล้ว ขอท่านได้โปรดจัดพาหนะให้แก่ข้าพเจ้าด้วย ท่านได้กล่าวว่าข้าพเจ้าไม่มี ชายคนหนึ่ง ได้กล่าวว่า   โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะแนะนำเขาไปหาผู้ที่จะสามารถจัดหาพาหนะให้ เขาได้ ท่านนบีได้กล่าวว่าผู้ใดแนะนำไปสู่การดี ผู้นั้นก็จะได้เหมือนกับผลของผู้ที่ทำความดีนั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้ส่งชายคนหนึ่งไปยังบะนีลิห์ยาน เพื่อแจ้งว่า ทุกๆ ผู้ชายสองคนจะต้องออกรบหนึ่งคน[312] จากนั้นท่านได้กล่าวแก่ผู้ที่ไม่ได้ ออกรบว่าผู้ใดจากพวกท่านที่ทำหน้าที่แทนผู้ที่ออกไปรบในด้านครอบครัว และทรัพย์สินของเขา เป็นอย่างดี เขาจะได้เท่ากับครึ่งหนึ่งของผลบุญผู้ที่ออกรบ

รายงานหะดีษโดยมุสลิม และอะบูดาวูด

 เล่าจากบุรอยดะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าศักดิ์ศรีภรรยาของนักรบ ต่อผู้ที่ ไม่ได้ออกรบนั้น มีศักดศรีเหมือนเป็นมารดาของพวกเขา และไม่มีผู้ชายคนใดที่ไม่ได้ออกรบ ที่เขาทำหน้าที่ดูและแทนชายคนหนึ่ง จากบรรดานักรบ ในเรื่องครอบครัวของเขา และต่อมาเขา ได้ทุจริตนักรบผู้นั้นในเรื่องครอบครัว[313] นอกจากเขาจะถูกนำไปยืนอยู่ต่อหน้านักรบคนนั้น ในวันกิยามะห์ และนักรบผู้นั้นก็จะเอาผลแห่งการกระทำของเขาตามต้องการ แล้วพวกท่านคิดอย่างไร[314]

รายงานหะดีษโดยมุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

บทที่สาม

ตั้งเจตนาทำสงครามศกดสืฑธและข้อกำหนดของสงครามศ้กดิสิทธิ

เล่าจากอะบี มูซา ร.ฎ. ได้กล่าวว่าชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่าชายคนหนึ่งทำสงครามเพื่อทรัพย์สงคราม, ชายคนหนึ่งทำสงครามเพื่อชื่อเสียง[315] และชาย คนหนึ่งทำสงครามเพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ตำแหน่งของเขา[316] ดังนั้นผู้ใดที่อยู่ในวิถีทางของ อัลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่าผู้ที่ทำสงครามเพื่อให้พระคำของอัลเลาะห์สูงส่ง เขาผู้นั้นแหละอยู่ในวิถีทางของอัลเลาะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากสะหั้ล บุตรฮุนัยพิ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดขอตำแหน่ง นักรบชะฮีดต่ออัลเลาะห์ด้วยใจจริง[317] อัลเลาะห์จะให้เขาได้ถึงตำแหน่งของบรรดานักรบ ชะฮีด แม้เขาจะตายอยู่บนที่นอนก็ตาม 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และชายคนหนึ่งได้กล่าวว่าโอ้ท่านร่อซูลุลเลาะห์ ได้โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดว่า ชาย คนหนึ่งทำสงครามเพราะต้องการค่าจ้างและชื่อเสียง เขาจะได้อะไรบ้าง ท่านตอบว่าเขาไม่ได้อะไรเลย ชายผู้นั้นได้ยํ้าถึงสามครั้ง ท่านก็ตอบว่าเขาไม่ได้อะไรเลย แท้จริงอัลเลาะห์ จะไม่รับการกระทำใด ๆ นอกจากงานที่เถิดขึ้นด้วยความบริสุทธิ้ใจ และแสวงหาอัลเลาะห์ ด้วยการกระทำนั้นเท่านั้น 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ผู้รับจ้างออกสงครามศักดิ์สิทธิ์เขาจะ1ไม่ได้รับผลบุญใด ๆ เลย

เล่าจากอะบี อัยยูบ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า   ต่อไปหัวเมืองต่าง ๆ จะถูกพวกท่านเข้าพิชิต และจะพบมีกองทหารที่ถูกเกณฑ์มาโดยจะถูกแยกออกเป็นพวกๆ ประจำ อยู่ในหัวเมืองเหล่านั้น ชายคนหนึ่งไม่พอใจที่จะถูกส่งไปประจำอยู่ตามหัวเมืองเหล่านั้น[318]เขาก็จะแยกตัวออกไปจากพวกพ้องของเขา ต่อมาเขาได้ไต่ถามเพื่อไปพบกับเผ่าต่างๆ จึงได้ เสนอตัวเข้ารับใช้พวกนั้นโดยกล่าวว่าผู้ใดบ้างที่ข้าพเจ้าจะป้องกันกองทหารนั้นให้เขา ผู้ใด บ้างที่ข้าพเจ้าจะป้องกันกองทหารนั้นให้เขา[319] เขาผู้นั้นแหละคือ นักรบรับจ้างจนเลือดหยด สุดท้าย

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าสำหรับนักรบ เขาจะได้รับผลบุญของเขา และสำหรับผู้ที่จัดเตรียมเสบียงให้นักรบเขาจะได้รับผลบุญของเขา และผลบุญของนักรบด้วย[320] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

อัลหะซัน และอิบบุ ซิรีน ร.ฎ. ได้กล่าวว่านักรบรับจ้างก็จะได้ส่วนแบ่งจากทรัพย์ สงคราม และอดียะห์ บุตร กอยส์ ได้เอาส่วนของม้าครึ่งหนึ่ง และเฉพาะส่วนของม้าสูงถึง สี่ร้อยเหรียญทอง และเขาได้เอาไว้สองร้อย และให้เจ้าของม้าสองร้อย[321] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ในเรื่องลูกจ้าง

สงครามศักดิ์สิทธิ์เป็นหน้าที่โดยส่วนรวม[322]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“พวกท่านทั้งหลายจงออกไปเถิดทั้งเบาและหนัก[323]   และท่านทั้งหลายจงต่อสู้ด้วยทรัพย์สินของพวกท่าน และชีวิตของพวกท่านในวิถีทางของอัลเลาะห์ นี่แหละเป็นความดีของพวกท่าน ถ้าหากพวกท่านรู้,,1023

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า“ถ้าหากพวกท่านไม่ออกไป พระองค์ก็จะ ลงโทษพวกท่านอย่างเจ็บปวดยิ่ง,, “และไม่บังควรแก่ชาวมะดีนะห์ และพวกที่อยู่รอบๆ พวกเขา จากพวกอาหรับเร่ร่อน จะปล่อยให้ศาลนทูตของอัลเลาะห์ออกศึกโดยลำพัง”[324]  ได้ยกเลิกอายะห์นึ่ คืออายะห์ที่อยู่หลังจากนึ่คือ “และไม่บังควรที่บรรดาผู้ศรัทธาจออกไป (สู่สมรภูมิ) ด้วยกันทั้งหมด,,1026 

รายงานโดยอะบู ดาวูด

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) จากท่านนบี ซ.ล. ว่า ท่านได้กล่าวในวันเข้าพิชิตนคร มักกะห์ว่าไม่มีการอพยพลี้ภัยอีกหลังจากชัยชนะนี้แล้ว แต่ยังคงเหลือสงครามศักดิ์สิทธิ์และ การตั้งเจตนา และเมื่อท่านทั้งหลายถูกเรียกร้องให้ออกไป ให้ท่านทั้งหลายจงออกไปเถิด[325] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของอะบีดาวูดว่าสงครามศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นหน้าที่ว่าเป็นเหนือพวกท่าน[326]ร่วมกับผู้นำทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว และละหมาดก็เป็นหน้าที่ว่าเป็นเหนือพวก ท่าน ข้างหลังมุสลิมทุกคน ไม่ว่าเขาจะดีหรือเลว และแม้เขาจะก่อบาปใหญ่ก็ตาม และละหมาด เป็นหน้าที่ว่าเป็นเหนือมุสลิมทุกคน[327] ไม่ว่าเขาจะดีหรือเลว และแม้เขาจะก่อบาปใหญ่ก็ตาม

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าจะยังคงมีพวกหนึ่งจากประชาชาติ ของข้าพเจ้าที่ต่อสู้เพื่อสัจธรรมโดยมีชัยชนะจนถึงวันกิยามะห์[328]

รายงานโดยมุสลิม ติรมิซี และอะบู ดาวูด และอะบูดาวูดได้เพิ่มเติมว่าโดยมีชัยชนะเหนือผู้ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเขา จนกว่าคนสุดท้ายของพวกเขาจะต่อสู้กับ มะซีห์ ดัจญาล และตัวบทของมุสลิมว่าศาสนานี้ จะยังคงยืนหยัดอยู่ โดยมีมุสลิมกลุ่มหนึ่ง ต่อสู้เพื่อศาสนานี้จนถึงวันกิยามะห์

ไม่มีบาปแก่ผู้ที่มีอุปสรรค

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“ไม่มีบาปใดๆ แก่ผู้ที่อ่อนแอ และไม่มีบาปใดๆ แก่ บรรดาผู้ป่วย และไม่มีบาปใดๆ แก่บรรดาผู้ซึ่งไม่มค่าใช้จ่าย เมื่อพวกเขามีเจตนาบริสุทธิ์ต่อ อัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์”[329]

เล่าจากเซต บุตร ซาบิต ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้บอกให้ ข้าพเจ้าจดบันทึกว่า “ย่อมจะไม่ทัดเทียมกัน บรรดาผู้ที่ไม่ออกสู่สมรภูมิ จากบรรดาผู้ที่มีศรัทธา กับบรรดานักรบในวิถีทางของอัลเลาะห์”[330] อิบนุ อุมมิ มักตูม ได้มาขณะที่ท่านกำลังบอก ให้ข้าพเจ้าจดบันทึก เขาได้กล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ถ้าหากข้าพเจ้ามีความสามารก แน่นอนข้าพเจ้าจะต้องออกศึก โดยที่เขาเป็นชายตาบอด อัลเลาะห์ตาอาลาได้ประทานลงมายัง ศาสนทูตของพระองค์ ซ.ล. ในขณะที่ขาอ่อนของท่านทับอยู่บนขาอ่อนของข้าพเจ้า และมัน ก็ทำให้ข้าพเจ้าหนัก จนข้าพเจ้ากลัวว่า ขาอ่อนของข้าพเจ้าจะแตก จากนั้นมันก็ค่อยๆ คลาย ออกจากท่าน และอัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้ประทานลงมาว่า “นอกจากบรรดาผู้ที่มี ความจำเป็น [331]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าแท้จริงทานนบี ซ.ล. ปรากฏอยู่ในสงครามหนึ่ง และท่าน ได้กล่าวว่า  แท้จริงพวกพ้องต่างๆที่อยู่ ณ นครมะดีนะห์นั้นอยู่ข้างหลังเรา เราไม่เคยเดินทาง ไปในหุบเขา และท้องลำธารใดนอกเสียจากพวกเขาจะต้องร่วมไปกับเราในทางนั้นๆ (แต่) ความจำเป็นได้หน่วงพวกเขาไว้[332]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และได้มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. ขออนุญาตท่านออกรบ ท่านได้ถามว่าท่านมีบิดามารดาไหม เขาตอบว่ามีครับ ท่านจึงกล่าวว่าดังนั้นท่านจงต่อสู้เพื่อะบูคคลทั้งสองเถิด[333]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และได้มีชายคนหนึ่งมาจากยะมัน เพื่อต่อสู้ร่วมกับท่านนบี ซ.ล. ท่านนบีได้ถามว่าท่านยังมีใครอยู่ที่ยะมันบ้าง เขาตอบว่าบิดามารดาของข้าพเจ้า ท่านจึงกล่าวว่าบุคคลทั้งสองได้อนุญาตให้ท่านแล้วหรือ เขาตอบว่าไม่ได้อนุญาต ท่านนบีจึงกล่าวว่าท่านจงกลับไปยังบุคคลทั้งสองเถิด และขออนุญาตจากเขาทั้งสอง ถ้าหากเขาอนุญาตให้ท่านก็จงออก ทำสงคราม และถ้าหากเขาทั้งสองไม่อนุญาต ก็ให้ท่านทำดีแก่เขาทั้งสอง[334]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด 

การให้สัตยาบันว่าจะทำการญิฮาด 960

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเราไม่เคยให้สัตยาบันแก่ท่านนบี ซ.ล. ว่าจะ ตาย แต่ที่จริงเราได้ให้สัตยาบันแก่ท่านว่าพวกเราจะไม่หนี

ซะละมะห์ บุตร อัลอักวะอุ ร.ฎ. ถูกถามว่า  สิ่งใดที่พวกท่านได้ให้สัตยาบันแก่ ท่านนบี ซ.ล. ในวันฮุดัยบียะห์ เขาตอบว่า   ความตาย[335]

รายงานหะดีษทั้งสองโดยบุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากมุญาชิอุ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า   ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี ซ.ล.[336] ตัวข้าพเจ้า เองและน้องชายของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้กล่าวว่า   จงให้สัตยาบันแก่เราว่าจะอพยพเกัย ท่านได้กล่าวว่า   การอพยพลี้ภัยได้ตกเป็นของพวกที่อพยพลี้ภัยไปแล้ว ข้าพเจ้าถามว่า   ดังนั้น ท่านจะให้สัตยาบันอะไรแก่พวกเรา ท่านตอบว่า   อิสลาม และญิฮาด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

พวกผู้หญิงร่วมรบกับผู้ชาย

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าในวันอุฮุด เมื่อประชาชนแตกพ่ายออกจากท่านนบี ซ.ล. ขอยืนยันว่าข้าพเจ้าเห็นอาอีชะห์ บุตรี อะบีบักร์ และอุมม์ ซุลัยม์ และความจริงคนทั้ง สองถลกผ้า จนข้าพเจ้าเห็นกำไลที่ขาของคนทั้งสอง ขณะที่ทั้งสองกระโดดไปพร้อมกับถุงหนัง ใสน้ำอยู่บนหลังของคนทั้งสอง และคนทั้งสองได้เทมันลงไปในปากของพวกนั้น[337] หลังจาก นั้นคนทั้งสองก็กลับไปเติมมาจนเต็มอีก แล้วนำมาเทลงในปากของพวกนั้นอีก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม 

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่าปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. เคยทำสงครามโดยมี อุมม์ ซุลัยม์ และพวกผู้หญิงชาวอันซอร อยู่พร้อมกับท่าน พวกผู้หญิงจะแจกจ่ายนํ้าและรักษา ผู้ได้รับบาดเจ็บ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

อัรรุบัยยิอุ บุตรี มุเอาวิซ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเราเคยออกรบร่วมกับท่านนบี ซ.ล. พวกเราจะแจกจ่ายนํ้าแก่พวก (นักรบ) เหล่านั้น ให้บริการพวกเขา และนำผู้ได้รับบาดเจ็บ และ คนตายกลับนครมะดีนะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อุมม์ อะตียะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ออกรบร่วมกับท่านนบี ซ.ล. เจ็ดสงคราม ข้าพเจ้าจะทำหน้าที่แทนพวกเขา ในที่พักของพวกเขา ข้าพเจ้าจะทำอาหารให้พวกเขา เยียวยา รักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและดูและผู้ป่วย

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

การอพยพลี้ภัยไปยังประเทศอิสลามเป็นสิ่งที่สมควรกระทำ

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และผู้ใคอพยพลี้ภัยไปในวิถีทางของอัลเลาะห์ เขาจะพบว่า ในหน้าแผ่นดิน มีจุดที่ควรอพยพไปอย่างมากมาย และผู้ใดออกจากบ้านเรือนของเขา โดยมุ่ง อพยพลี้ภัยไปสู่อัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์ และต่อมาความตายได้มาประสพกับเขา แน่นอนผลบุญของเขาอัลเลาะห์ทรงรับประกัน และอัลเลาะห์ทรงให้อภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง”[338]อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ ทรงสัจจะ

เล่าจากอุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงการกระทำต่าง ๆ ขึ้นอยู่ กับเจตนา และความจริงทุกคนย่อมได้รับสิ่งที่ตนได้ตั้งเจตนาไว้ ดังนั้นผู้ใดที่การอพยพลี้ภัย ของเขาไปเพื่ออัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ ก็จะปรากฏว่าการอพยพลี้ภัยของเขาไปสู่ อัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ และผู้ใดที่การอพยพลี้ภัยของเขาเพื่อโลกดุนยา เขาก็จะ ได้รับมันหรือเพื่อผู้หญิง เขาก็จะได้แต่งงานกับหล่อน ดังนั้นการอพยพลี้ภัยของเขาจะเป็นไป ตามที่เขาอพยพลี้ภัยไป[339]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากมุอาวิยะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าการอพยพลี้ภัยจะยังไม่ขาด ตอน จนกว่าการกลับตัว (เตาบะห์) จะขาดตอนแลการกลับตัว (เตาบะห์) จะยังไม่ขาดตอน จนกว่าตะวันจะขึ้นทางทิศที่มันตก[340]

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าต่อไปจะมีการ อพยพลี้ภัยอีก หลังจากมีการอพยพลี้ภัย และชาวดินที่ดีที่สุดคือ พวกที่ติดตามเส้นทางการ อพยพของอิบรอฮีม[341] และที่จะเหลืออยู่ในหน้าแผ่นดินก็คือคนที่ชั่วที่สุดของชาวแผ่นดิน แผ่นดินของพวกเขาจะโยนพวกเขา และอัลเลาะห์จะรังเกียจพวกเขา และไฟนรกจะไล่ต้อน พวกเขาไปรวมกับพวกลิงและหมู

รายงานหะดีษทั้งสองโดยอะบูดาวูด

และได้มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่าโอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้า มาเพื่อให้สัตยาบันต่อท่านว่าจะอพยพลี้ภัย และข้าพเจ้าได้ปล่อยให้บิดามารดาของข้าพเจ้าร้องไห้ ท่านได้กล่าวว่าท่านจงกลับไปและทำให้คนทั้งสองหัวเราะเถิด เหมือนที่ท่านทำให้คนทั้งสอง ร้องไห้[342]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

และตัวบทของอะบีดาวูดว่าผู้ใดร่วมกับผู้ตั้งภาคี และอยู่กับเขา แท้จริงเขาก็มีสภาพ เหมือนผู้ตั้งภาคี[343]

และตัวบทของน่าซาอีว่าการอพยพลี้ภัยจะยังไม่ขาดตอน ตราบใดที่ยังมีการทำสงคราม กับพวกกาฟิร และท่านนบีได้ส่งกองทหารกองหนึ่งไปยังเผ่าคอชอัม ได้มีประชาชนกลุ่มหนึ่ง

ขอรับการคุ้มครองด้วยการก้มลงสุหญูด แต่การฆ่าได้ชิงไปถึงพวกนั้นเสียก่อน ต่อมาท่านนบี ซ.ล. ได้ทราบข่าวนี้จึงได้ออกคำสั่งให้จ่ายจำนวนครึ่งดิยะห์ ให้แก่พวกเขา[344] แล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าพ้นจากมุสลิมทุกคนทีตั้งถิ่นฐานอยู่ ในท่ามกลางพวกผู้ตั้งภาคี

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี 

และได้มีทาสคนหนึ่งมาให้สัตยาบันแก่ท่านนบี ซ.ล. ว่าจะอพยพลี้ภัยโดยท่านไม่รู้ว่า เขาเป็นทาส และต่อมานายของทาสคนนั้นได้มา และทวงถามท่าน ท่านนบี ซ.ล. จึงขอซื้อ ทาสนั้นจะากเขาโดยแลกเปลี่ยนกับทาสผิวดำสองคน และท่านจะไม่ให้สัตยาบันแก่ผู้ใดอีกหลัง จากนั้น จนกว่าจะได้ถามเขาเสียก่อนว่าเขาเป็นทาสไหม

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ในเรื่องจริยวัตร

ซะละมะห์ บุตร อัลอักวะอุ ร.ฎ. ได้เข้าไปหาอัลฮัจญาจ เขากล่าวว่าโอ้ บุตร อัลอักวะอุ ท่านได้กลับหลังแล้วหรือ[345] โดยท่านได้กลายเป็นอาหรับเร่ร่อน เขากล่าวว่า เปล่า แต่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้อนุญาตข้าพเจ้าในเรื่องการเร่ร่อน 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

บทที่สี่

การเดินทาง สัตว์พาหนะ และอุปกรณ์สงคราม

เล่าจากกะอับ บุตร มาลิก ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้ออกเดินทางวันพฤหัสบดี ในการทำศึกที่ตะบุก และเป็นธรรมดาที่ท่านชอบออกเดินทางวันพฤหัสบดี[346]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบู ดาวูด และนะซาอี

เล่าจากซอคร์ อัลฆอมิดีย์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าข้าแต่อัลเลาะห์ ได้ โปรดประทานความเพิ่มพูนแก่ประชาชาติของข้าพเจ้าในการเดินทางเวลาเข้าตรู่ของพวกเขา และปรากฏว่า เมื่อท่านส่งกองทหารหรือกองทัพ ท่านจะส่งพวกเขาออกไปในช่วงเช้า และ ซอคร์เป็นผู้ชายที่เป็นพ่อค้า และเขามักส่งสินค้าของเขาออกไปในช่วงเช้า และเขาก็มั่งคั่ง และ มีทรัพย์สมบัติมากมาย 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของอะบีดาวูดว่าพวกท่านจงยึดถือเอาการเดินทางในช่วงกลางคืน เพราะ แท้จริงผืนแผ่นดิน จะถูกย่นระยะในเวลากลางคืน[347]

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าถ้าหากประชาชนรู้ถึงสิ่งที่ จะเกิดขึ้น โนการเดินทางตามลำพังคนเดียวแล้ว จะไม่มีใครเดินทางตามลำพังคนเดียวในเวลากลางคืน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

ตัวบทของอะบีดาวูดและติรมีซีว่าผู้ขับพาหนะคนเดียวคือ หนึ่งชัยฏอน ผู้ขับพาหนะ สองคน คือ สองชัยฏอน และผู้ขับพาหนะสามคนคือขบวนเดินทาง[348]

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ห้ามการเดินทาง โดยนำอัลกุรอานติดตัวไปยังดินแดนของฝ่ายศัตรู และในบางรายงานว่าท่านทั้งหลายอย่าเดิน ทางพร้อมกับนำอัลกุรอานไปด้วย เพราะแท้จริง ข้าพเจ้าไม่รู้สึกปลอดภัยที่ศัตรูอาจะได้อัลกุรอาน ไป[349]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเราเคยกันว่า เมื่อพวกเราขึ้นเนินสูงก็จะกล่าวคำ ตักบีร และเมื่อพวกเขาลงจากที่สูง ก็จะกล่าวคำตัสบีห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าการเดินทางเป็นท่อนหนึ่งของการลงโทษ เพราะมันจะห้ามคนหนึ่งของพวกท่านจากการนอน จากอาหาร และเครื่องดื่ม ของเขา และเมื่อ คนหนึ่งของพวกท่านเสร็จธุระแล้ว ให้เขาจงรีบกลับไปยังครอบครัวของเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าเมื่อคนหนึ่งของพวกท่านเข้ามา ในเวลากลางคืน ดังนั้นเขาอย่ามาสู่ครอบครัวของเขาในยามสงัด จนกว่าภรรยาที่ผัวไม่อยู่จะได้ ใช้มีด และคนที่ผมกระเชิงจะได้หวีผมให้เรียบร้อย[350] และในบางรายงานว่าท่านนบี ซ.ล. ไม่เคยมายังครอบครัวของท่านในเวลากลางคืน และท่านมักมายังครอบครัวของท่านในช่วงเช้า หรือช่วงเย็น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

อำลานักรบและต้อนรับพวกเขา

เล่าจากอับดิลลาห์ อัลคอตมีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. เมื่อต้องการจะอำลากองทหาร ท่านจะกล่าวว่าข้าพเจ้าขอฝากศาสนาของพวกท่าน และความซื่อสัตย์ ของพวกท่าน รวมทั้งวาระสุดท้ายในกิจกรรมต่างๆ ของพวกท่านไว้กับอัลเลาะห์

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และอิบนุซซุบัยร์ ร.ฎ. ได้กล่าวแก่อิบนิ ยะอฺฟัรว่าท่านนึกได้ไหม ขณะทีพวกเรา ได้พบกับท่านนบี ซ.ล. อันได้แก่ ข้าพเจ้า ตัวท่าน และ อิบนุ อับบาส เขากล่าวว่าจำได้ท่านนบีได้ให้เราขึ้นขี่และปล่อยท่านไว้[351] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

และอัซซาอิบ บุตร ยะชีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า   เราได้ไปแล้วพบว่า ท่านนบี ซ.ล. อยู่กับพวกเด็กๆ จนถึง ซะนียะห์ อัลวะดาอุ1054 

ราบงานโดยบุคอรี

ควานประเสริฐของม้าและลักษณะของม้า 965

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“และพวกท่านทั้งหลายจงเตรียมกำลังเพื่อพวกเขา (พวก ศัตรู) เท่าที่พวกท่านมีความสามารก และเตรียมการผูกม้า ขังพวกท่านจะใช้มันเพื่อข่มขวัญ ศัตรูของอัลเลาะห์ และศัตรูของพวกท่านและบรรดาคนอื่นๆ นอกจากพวกนั้นที่พวกท่านไม่ รู้จักพวกมัน แต่อัลเลาะห์ทรงรู้จักพวกนั้น”[352] อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ ทรงสัจจะ

เล่าจากอุรวะห์ อัลบาริกีย์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าม้าที่ถูกผูกไว้นั้น มีความดีอยู่ที่ขม่อมของมันจนถึงวันกิยามะห์ที่เป็นทั้งผลบุญและทรัพย์สงคราม[353]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดขังม้าไว้ตัวหนึง เพื่อนำไปใช้ในวิถึทางของอัลเลาะห์[354] โดยศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และเชือมันต่อสัญญาของ พระองค์ แท้จริง อาหาร นํ้าดื่ม มูล และเยี่ยว ของมันจะอยู่ในตาชั่งของเขาในวันกิยามะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าม้ามีสามประเภท ม้าเป็นโทษแก่เจ้าของ ม้าเป็นเครื่องปิดบังให้แก่เจ้าของ และม้าเป็นผลบุญแก่เจ้าของ ดังนั้น ม้าที่เป็นโทษแก่เจ้าของก็คือ เขาผูกมันไว้เพื่อแสดง เพื่อโอ้อวด เสริมบารมี และตั้งตนเป็น ศัตรูกับชาวอิสลาม ม้านั้นก็เป็นโทษแก่เขา ส่วนม้าที่เป็นเครื่องปิดบังแก่เจ้าของก็คือ เขาผูก มันไว้ในวิถีทางของอัลเลาะห์ และเขาไม่ลืมสิทธิ์ของอัลเลาะห์ที่มีอยู่ที่หลังของมันและคอของ มัน ม้านั้นก็เป็นเครื่องปกปิดของเขา และม้าที่เป็นผลบุญของเขาก็คือ เขาได้ผูกมันไว้ในวิถีทางของอัลเลาะห์เพื่อชาวอิสลาม[355] ในแผ่นดินที่มีพืชพันธุ์มาภมาย หรือในสวนดอกไม้ ดังนั้น ไม่มีสิ่งใดที่ม้าได้กินเข้าไปจากพืนแผ่นดินที่อุดมนั้น หรือสวนดอกไม้นั้น นอกจากมันจะถูก บันทึกเป็นความดีของเขาเท่ากับจำนวนของสิ่งที่มันกินเข้าไป และมันจะถูกบันทึกเป็นความดี ของเขาเช่นกัน เท่ากับจำนวนของมูลและเยี่ยวของมัน และมันไม่ได้ทำให้เชือกที่ล่ามมันไว้ขาด แล้ววิ่งไปหนึ่งพักหรือสองพัก นอกจากอัลเลาะห์จะบันทึกความดีให้เขาเท่ากับรอยของมัน และมูลของมัน และเจ้าของมันไม่ได้นำมันผ่านแม่นํ้าใด แล้วมันได้ดึ่มนํ้าจากแม่นำนั้น โดย ที่เขาไม่ปรารถนาจะให้นํ้าดื่มแก่มัน นอกจากอัลเลาะห์จะบันทึกความดีให้แก่เขาเท่ากับจำนวน ของสิ่งที่มันดื่มเข้าไป[356]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ไม่ชอบม้าที่มีเท้าหน้า ข้างขวา หรือเท้าหลังข้างซ้ายเป็นสีขาว[357]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าความมีมงคลของม้านั้น อยู่ที่สีแดงเรื่อของมัน[358] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะบีวะฮ์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าให้พวกท่านจงเอาม้าทุกดัว ทีมีสีดำปนแดง มีแด่นขาวที่หน้าผากและขาเป็นสีขาว หรือม้าแดงเรื่อๆ มีแด่นขาวที่หน้าผาก และที่ขาเป็นสีขาว หรือม้าดำที่มีแด่นขาวที่หน้าผาก และที่ขาเป็นสีขาว 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอะบีกอตาดะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าม้าดีคือม้าดำที่มีปาน ที่หน้าผาก ริมสีปากด้านบนมีสีขาว รองลงมฺาได้แก่ม้าที่มีปานที่หน้าผาก ที่ขาเป็นสีขาว แด่ขา ขวาใม่มีสีขาว และถ้าหากไม่พบม้าดำ ก็ให้เอาม้าสีแดงเรื่อๆ ที่มีลักษณตามนี้ 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

และดัวบทของน่าซาอีว่าไม่มีม้าอาหรับตัวใดนอกจากมันจะได้รับคำประกาศ ขณะ ทุกๆ เวลาหลังเที่ยงคืน ด้วยสองดำวิงวอนคือ ข้าแด่อัลเลาะห์ ขอพระองค์ท่านได้มอบข้าพเจ้าให้แก่ ผู้ที่พระองค์ท่านทรงมอบข้าพเจ้าให้จากถูกหลานของอาดัม[359] และพระองค์ได้ให้ข้าพเจ้า เป็นของเขา                                          ดังนั้นขอพระองค์ทรงให้ข้าพเจ้าเป็นที่รักยิ่งแห่งครอบครัวและทรัพย์สินของเขา  หรือเป็นที่รักยิ่งแห่งครอบครัว และทรัพย์สินของเขา

ลาจะไม่ทับม้า[360]

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่าได้มีผู้นำล่อตัวหนึ่งมามอบเป็นของกำนัลแก่ท่านนบี ซ.ล. และท่านก็ได้ขี่มัน อะลีได้กล่าวว่า  ถ้าเราเอาลาไปทับม้า เราก็จะได้เหมือนล่อตัวนี้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าที่จะทำอย่างนั้นก็คือ พวกที่ไม่มีความรู้เท่านั้นรายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การจับสัตว์ชนกัน การตีสัตว์ที่หน้า การสาปแช่งสัตว์ ถือเปีนสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม)

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ห้ามการแหย่สัตว์ให้ชนกัน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

และได้มืผู้นำลาตัวหนึ่งผ่านท่านนบี ซ.ล. โดยที่ลาตัวนั้นถูกนาบด้วยเหล็กเผาไฟที่ หน้า ท่านได้กล่าวว่าพวกท่านไม่ทราบหรือว่า ข้าพเจ้าสาปแช่งผู้ที่ใซเหล็กเผาไฟนาบสัตว์ ทีใบหน้าของมัน หรือตีมันทีหน้า 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี 

และท่านนบี ซ.ล. อยู่ในการเดินทางครั้งหนึ่ง ท่านได้ยินคำแช่งด่า ท่านได้กล่าวว่าอะไรนี่ ? พวกเขากล่าวว่า หญิงคนนี้ได้แช่งด่าพาหนะของหล่อน ท่านนบี ซ.ล. จึงกล่าวว่าพวกท่านจงลงจากพาหนะตัวนี้[361] เพราะมันถูกแช่งด่าแล้ว พวกเขาจึงลงจากพาหนะตัวนั้น

อิมรอน บุตร ฮุซอยน์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าคล้ายกับว่าข้าพเจ้ามองดูสัตว์ที่ถูกสาปแช่ง ตัวนั้นเป็นอูฐทีมีสีดำ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

และตัวบทของมุสลิมว่าคล้ายกับว่าข้าพเจ้าเห็นมันเดินอยู่ในหมู่ประชาชน โดยไม่มีผู้ใดเข้า ขัดขวางมัน[362]

ไม่อนุญาตให้แขวนเชือกที่คอและกระดิ่ง

เล่าจากอะบีบะชีร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเราได้ร่วมไปกับท่านนบี ซ.ล. ในการ เดินทางบางครั้งของท่าน และท่านได้ส่งตัวแทน (ของท่าน) ไปยังประชาชนโดยที่พวกเขากำลัง แรมคืนอยู่ (แล้วให้ประกาศว่า) จะต้องไม่มีที่คอของอูฐตัวใด เชือกคล้องคอที่ทำมาจากสาย ธนู หรือเชือกคล้องคอใด ๆ นอกจากมันจะต้องถูกตัดทิ้งไป[363]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่ามะลาอิกะห์จะไม่ อยู่ร่วมกับกลุ่มคนที่มีหมา และมีกระดิ่งอยู่ในคนกลุ่มนั้น[364]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

อนุญาตการตั้งชื่อสัตว์

เล่าจากสะฮัล ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. มีม้าตัวหนึ่งอยู่ในไร่สวนของเรา มันมีชื่อเรียกว่า อัลลุฮัยฟ์ 

รายปีนโดยบุคอร

และมุอาซ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าเคยเป็นคนขี่ซ้อนข้างหลังท่านนบี ซ.ล. อยู่ บนหลังลาตัวหนึ่ง มันมีชื่อเรียกว่า อุฟัยร์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าได้เกิดโกลาหลขึ้นที่นครมะดีนะห์ และท่านนบี ซ.ล. ได้ขอยืมม้าตัวหนึ่งของเรา ที่มันมีชื่อเรียกว่า มันลูบ ต่อมาท่านได้กล่าวว่าเราไม่เห็น สิ่งที่น่าตกใจใดๆ และความจริงเราได้พบว่ามันก้าวได้ยาว

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และติรมิซี

และความจริงท่านนบี ซ.ล. มีอูฐตัวหนึ่ง มีชื่อเรียกว่า อัลอัดบาอฺ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

และตัวบทของอะบีดาวูดว่า  ท่านนบี ซ.ล. เคยเรียกม้าตัวเมียว่า “ฟะรอซ”

จำเป็นต้องดูแลสัตว์ 

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“และ(พระองค์ทรงบันดาล) ม้า, ล่อ, และลา เพื่อพวก ท่านจะขับขี่มัน และเป็นเครื่องประดับบารมีด้วยอย่างหนึ่ง และพระองค์ทรงบันดาลสิ่งที่พวก ท่านไม่รู้ (อีกมากมาย)”[365]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าเมื่อพวกท่านเดินทาง เข้าไปในแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ พวกท่านจงให้ส่วนได้ของอฐที่มีอยู่ในแผ่นดินนั้น และเมื่อพวกท่านเดินทางเข้าไปในแผ่นดินที่แห้งแล้ง ให้พวกท่านที่อยู่บนอูฐรีบเดินทาง และเมื่อพวก ท่านหยุดพักในเวลากลางคืน ให้ออกห่างทางสัญจร เพราะมันเปีนที่อยู่ของสัตว์เลื้อยคลานใน เวลากลางคืน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี 

และท่านนบี ซ.ล. ได้เดินผ่านอูฐตัวหนึ่ง ที่หลังของมันติดกับท้อง[366] ท่านได้กล่าว ว่าพวกท่านจงยำเกรงอัลเลาะห์ ในสัตว์เหล่านี้ที่พูดไม่ได้ ดังนั้นพวกท่านจงขับขี่มัน ใน สภาพที่ดี และกินมันในสภาพที่ดี1073

และท่านนบี ซ.ล. ได้เข้าไปในสวนของชายคนหนึ่ง จากพวกอันซอร ก็ได้พบกับอูฐ ตัวหนึ่ง เมื่อมันเห็นท่านนบี ซ.ล. ก็ส่งเสียงร้องและนํ้าตาไหลนอง ท่านนบี ซ.ล. จึงเข้า ไปหามันและลูบหัวมัน มันจึงหยุดนิ่ง ต่อมาท่านได้กล่าวว่าใครเป็นเจ้าของอูฐตัวนี้ อูฐตัวนี้เป็นของใครได้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งจากชาวอันซอรมา แล้วกล่าวว่า  มันเป็นของข้าพเจ้าเอง

โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่า   เจ้าจงกลัวอัลเลาะห์ในสัตว์ตัวนี้ ที่อัลเลาะห์ได้ทรงให้ เจ้าได้ครอบครองมัน แท้จริงมันได้มาร้องทุกข์กับข้าฯว่า เจ้าปล่อยให้มันหิว และใช้งานมัน มาก 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยอะบู ดาวูด

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ว่า แท้จริงหญิงโสเภณีคนหนึ่ง ได้และเห็นหมาตัวหนึ่ง ในวันที่ร้อนจัด กำลังเดินวนเวียนอยู่รอบ ๆ บ่อนํ้า มันได้แลบลิ้นออก มาด้วยความกระหายนํ้า หล่อนจึงถอดรองเท้าของหล่อนเพื่อเอานํ้ามาให้มัน และหล่อนก็ได้ รับการอภัยโทษ 

รายงานหะดีษโดยมุสลิมในเรื่องการฆ่างู

ระเบียบการขับขี่ 969

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า   “เพื่อพวกท่านจะได้อยู่บนหลังของมัน[367] หลังจากนั้น พวกท่านก็จงรำลึกถึง ความโปรดปรานขององค์อภิบาลของพวกท่าน เมื่อพวกท่านได้ขึ้นไป อยู่บนมันพวกท่านจะกล่าวว่า มหาบริสุทธิ์จงมีแด่พระผู้ทรงอำนวยสิ่งนี้ ให้เป็นประโยชน์แก่ พวกเรา ทั้งที่พวกเราไม่เคยบังคับมันมาก่อนเลย และแท้จริงพวกเราต้องกลับคืนสู่พระองค์”[368]อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ ทรงสัจจะ

เล่าจากบุรอยดะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าขณะที่ท่านนบี ซ.ล. กำลังเดินอยู่ ได้มีชาย คนหนึ่งมาพร้อมด้วยลาของเขา แล้วเขาได้กล่าวขนว่าโอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ จงขึ้นขี่เถิด พร้อมกับชายคนนั้นได้ขยับถอยหลัง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าไม่ต้องถอย เจ้ามีสิทธิ อยู่ข้างหน้าสัตว์ยิ่งกว่าข้าฯ นอกจากเจ้าจะสละมันให้ข้าฯ ชายคนนั้นได้กล่าวว่าข้าพเจ้าขอสละมัน ให้ท่าน และท่านนบีก็ได้ขึ้นขี่ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี 

และตัวบทของอะบีดาวูดว่าท่านร่อซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ห้ามขี่สัตว์ที่กินขี้ จากสัตว์ จำพวกอูฐ[369]

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร ยะอฺฟัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. นั้นเมื่อท่านมา จากการเดินทาง ท่านจะมุ่งมาหาพวกเรา ดังนั้น พวกเราคนใดที่ถูกท่านมุ่งมาหาเป็นคนแรก ท่านก็จะเอาไว้ข้างหน้าท่าน และข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ถูกมุ่งมา ท่านจึงเอาข้าพเจ้าไว้ข้างหน้าท่าน หลังจากนั้นได้มุ่งไปยังหะซัน หรือ หุเซ็น และท่านก็ได้เอาเขาไว้ข้างหลัง พวกเราได้เข้าสู่ นครมะดีนะห์กัน โดยความจริงพวกเราอยู่ในสภาพอย่างนั้น[370]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้ขี่ลาตัวหนึ่งโดยนั่งอยู่บนผ้ารอง หลัง ที่มีลวดลาย แห่งเมืองฟะดัก ซ้อนอยู่ และท่านได้ให้อุซามะห์นั่งซ้อนอยู่เบื้องหลังของท่าน

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่าพวกเราได้มุ่งหน้ามาพร้อมกับท่านนบี ซ.ล. จากคอยบัร โดยข้าพเจ้าเป็นผู้ที่นั่งซ้อนอยู่เบื้องหลังอะบีตอลฮะห์ และมีภรรยาบางคนของ ท่านนบี ซ.ล. เป็นคู่นั่งของท่าน และอูฐตัวนั้นได้ล้มลง ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่าผู้หญิง [371]ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงหล่อนคือมารดาของพวกท่าน ข้าพเจ้าจึงลงจากพาหนะ และผูกอานจนแน่น และท่านนบี ซ.ล. ได้ขึ้นขี่ เมื่อท่านเห็นนครมะดีนะห์ท่านได้กล่าวว่า  เป็นผู้ที่กลับคืน เป็นผู้ที่สำนึกผิดเป็นผู้ที่สักการะ เป็นผู้ถวายคำสรรเสริญแด่องค์ผู้อภิบาล ของเรา 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าขอเตือนตัวข้าพเจ้าว่า พวกท่านจะต้องยึดเอาหลังสัตว์พาหนะของพวกท่าน เป็นมิมบัร[372] เพราะแท้จริงอัลเลาะห์ ได้อำนวยมันให้สะดวกแก่พวกท่าน ไปสู่บ้านเมืองที่พวกท่านไม่เคยไปถึงมาก่อน นอกจากโดย ความลำบากอย่างที่สุด และพระองค์ได้บันดาลแผ่นดินแก่พวกท่าน ตังนั้น พวกท่านจงจัดการ ธุระต่างๆ ของพวกท่านบนแผ่นดินเถิด[373]

เล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ร.ด. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่ามีอูฐที่เป็นของ ชัยฏอน และมีบ้านที่เป็นของชัยฏอน สำหรับอูฐที่เป็นของชัยฏอนนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นมันแล้ว คือคนหนึ่งจากพวกท่านจะออกไปพร้อมด้ายจูงบรรดาสัตว์ พาหนะของเขา เขาได้ทำให้มัน อ้วนพี โดยที่เขาไม่ได้ข็้นขี่อูฐนั้นสักตัวเดียว และเขาก็ได้เดินผ่านพี่น้องของเขาที่ขาดพาหนะ เขาก็ไม่ได้เอื้อเฟื้อให้พี่น้องของเขาขึ้นขี่มัน ส่วนบ้านชัยฏอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่ได้พบเห็นมัน สะอีดได้ เคยกล่าวว่าข้าพเจ้าไม่ได้คาดคิดว่ามันเป็นอะไรนอกจาก ประทุนเหล่านี้ที่ถูกปกปิดด้วยม่าน ทีทำด้วยผ้าไหม[374]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

การใช้สัตว์ขี่แข็งขันกัน 971

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้จัดแข่งม้า ที่ได้ประคบ ประหงมเป็นอย่างดีแล้ว[375] โดยท่านได้ปล่อยมันออกจาก อัลฮัฟยาอฺ และจุดหมายปลายทาง ของมันคือ ซานียะห์ อัลวะดาอฺ ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่มูซาว่าระยะทางเท่าไหร่ระหว่างนั้น เขาตอบว่าหกไมล์ หรือ เจ็ดไมล์ และท่านได้จัดแข่งม้าที่ยังไม่ได้ถูกประคบประหงม โดย ท่านได้ปล่อยมันจาก ซานียะห์ อัลวะดาอฺ และจุดหมายปลายทางของมันคือ มัสยิดบะนี ซุรอยก์ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่ามีระยะทางเท่าไหร่ ระหว่างนั้น เขาตอบว่าหนึ่งไมล์หรือปรมาณนั้น และอิบนิ อุมัร ก็เป็นหนึ่งจากบรรดาผู้ที่เข้าร่วมแข่งข้นด้วย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. มีอูฐตัวหนึ่งชื่อ อัลอัดบาอฺ ที่ยังไม่เคยแข่งขัน ต่อมาได้มีชาวอาหรับเร่ร่อนคนหนึ่ง ขี่อูฐตัวผู้มา และได้แข่งชนะอูฐอัลอัดบาอุ การเช่นนั้นได้ทำความลำบากใจแก่มวลมุสลิมเป็นอันมาก จนในที่สุดท่านนบีก็รู้ และท่านได้ กล่าวว่าเป็นหน้าที่ของอัลเลาะห์ที่จะไม่มีสิ่งใดจากโลกนี้สูงขึ้นนอกจากพระองค์จะกดให้มัน ต่ำลง[376]

รายงานโดย บุคอรี และนะซาอี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าอยู่ร่วมกับท่านนบี ซ.ล. ในการเดินทาง คราวหนึ่ง ข้าพเจ้าได้แข่งขันกับท่าน และข้าพเจ้าก็ชนะท่านโดยอาศัยสองเท้าของข้าพเจ้า ต่อมา เมื่อข้าพเจ้าต้องแบกเนื้อมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ได้แข่งข้นกับท่านอีก แต่ปรากฏว่าท่านชนะข้าพเจ้า และท่านก็กล่าวว่าครั้งนี้แลกกับครั้งนั้น 

รายงานโดยอะบู ดาวูด

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าไม่มีเดิมพันการแข่งขัน นอกจากในสัตว์ทีมีเท้าแบบอูฐ หรือมีเท้าแบบม้าหรือในหอกสั้น[377]

เล่าจากอิมรอน บุตร ฮุซอยน์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าไม่มีการกระตุ้น ให้วิ่ง และไม่มีการเปลี่ยนตัวในการแข่งขันเดิมพัน[378]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การยิงธนู

เล่าจากอุกบะห์ บุตร อามิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี ซ.ล. ขณะ ท่านอยู่บนมิมบัร กล่าวว่า“และพวกท่านทั้งหลายจงเตรียมกำลัง เพื่อพวกเขา (พวกศัตรู) เท่าที่พวกท่านมีความสามารถ”[379] พึงทราบเถิดว่า แท้จริงกำลังนั้นคือการยิง พึงทราบเถิดว่า แท้จริงกำลังนั้นคือการยิง พึงทราบเถิดว่า แท้จริงกำลังนั้นคือการยิง 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากเขา (อุกบะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  แผ่นดินต่างจะถูกพวกท่านพิชิต และอัลเลาะห์ก็เพียงพอแก่พวกท่านแล้ว ดังนั้นคนหนึ่งคนใดของพวกท่าน จะต้องไม่อ่อนแอ กับการหาความสำราญกับลูกธนูของเขา

และเล่าจากเขา (อุกบะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดเรียนรู้การยิงแล้ว ปล่อยปละละเลยมัน เขาไม่ใช่เป็นพวกเรา หรือความจริงเขาได้ฝ่าฝืน[380]

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม

เล่าจากซะละมะห์ บุตร อัลอักวะอุ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้เดินผ่าน คนกลุ่มหนึ่ง จากเผ่าอัสลัม พวกเขากำลังยิงธนูกัน ท่านได้กล่าวว่าจงยิงเถิด โอ้พวกลูก หลานของอิสมาอีล เพราะแท้จริงบิดาของท่านเป็นนักขมังธนู พวกเจ้าจงยิงเถิด ข้าพเจ้าจะอยู่ กับตระกูลของคนนั้น[381] หนึ่งจากในสองพวกที่กำลังแข่งขันกัน ได้ยึดมือพวกของพวกเขาไว้ ท่านนบีจึงกล่าวว่าทำไมพวกท่านจึงไม่ยิง พวกเขากล่าวว่าพวกเราจะยิงอย่างไรในเมื่อท่านอยู่กับพวกเขาแล้ว ท่านนบีจึงกล่าวว่าพวกท่านจงยิงเถิด ข้าพเจ้าจะอยู่กับพวกท่านทั้งหมด1090 และในวัน ที่บัดร์ขณะที่มุสลิมได้ตั้งแถว เพื่อสงครามกับกุเรช ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าเมื่อพวกเขาเคลื่อนใกล้พวกท่านเข้ามา พวกท่านจงยิง 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

และตัวบทของเจ้าของสุนัน (อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี) ว่าแท้จริงอัลเลาะห์จะต้องให้คนสามคนเข้าสวรรค์ ด้วยลูกธนู เพียงลูกเดียวคือผู้ทำลูกธนูที่เขาต้องการความดีในการกระทำของเขา ผู้ที่ยิงลูกธนู และผู้ที่ ยื่นมันให้เขา และท่านนบีได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจง (ฝึกฝนการ)ยิง และจง(ฝึกฝนการ)ขี่ แลการที่พวกท่านยิงนั้นเป็นที่รักของเรายิ่งกว่าการที่พวกท่านขี่

และตัวบทของติรมีชีว่าผู้ใดที่ยิงลูกธนูหนึ่งในวิถีทางของอัลเลาะห์ เขาจะได้รับผล บุญเท่ากับปล่อยทาสเป็นอิสระ

วอนขอความช่วยเหลือโดยอาศัยผู้ที่อ่อนแอ 973

เล่าจาก มุสอับ บุตร สะอัด ร.ฎ. ได้กล่าวว่าบิดาของข้าพเจ้าเห็นว่าตัวเขามีความ ประเสริฐยิ่งกว่าผู้ที่ต่ำต้อยกว่าเขา ท่านนบี ซ.ล. จึงกล่าวว่าพวกท่านจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ และจะไม่ได้เครื่องประทังชีพ เว้นแต่โดยอาศัยผู้ที่อ่อนแอของพวกท่าน[382]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และนะซาอี

เล่าจากอะบี อัดดัรดาอฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่าพวกท่านจงไปนำผู้ที่อ่อนแอมาที่ข้าพเจ้า เพราะความจริงพวกท่านจะได้รับการช่วยเหลือ และได้เครื่องประทังชีพโดยอาศัยบรรดาคนที่อ่อนแอของพวกท่าน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่ามีผู้คนจำนวนมากที่ ผมเป็นกระเซิงที่ประตูจะถูกผลัก ถ้าหากเขาวิงวอนต่ออัลเลาะห์ พระองค์จะต้องตอบสนองเขา[383] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะห์มัด

จะไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้ตั้งภาคี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้ออกมุ่งหน้าไปทางบัดร์ เมื่อ ท่านไปถึงทีลานหิน วะบะเราะห์[384] ชายคนหนึ่งได้เข้ามาพบท่าน ชายคนนึ่มีชื่อเสียงด้านความ กล้าหาญ แลการช่วยเหลือ บรรดาอัครสาวกดีใจที่พบเขา ต่อมาชายคนนั้นได้กล่าวแก่ท่านนบี ซ.ล. ว่าข้าพเจ้ามาเพื่อติดตามท่าน และขอมีส,วนร่วมด้วยกับท่าน ท่านนบีได้กล่าวว่าท่าน ศรัทธาต่ออัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ไหม เขาตอบว่าไม่ ท่านนบีจึงกล่าวว่า   กลับ ไปเถิดเพราะข้าพเจ้าไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้ตั้งภาคี จากนั้นเขาก็ไป จนพวกเรามาถึง ต้นไม้ ต้นหนึ่ง ชายคนนั้นก็ได้เข้าพบท่านนบีอีก และได้กล่าวแก่ท่านเหมือนที่ได้กล่าวในครั้งแรก ท่าน นบี ซ.ล. ก็ได้ตอบเขาเหมือนที่ตอบในครั้งแรก จากนั้นเขาก็กลับไป และได้มาพบพวกเราอีก ที่ทะเลทราย เขาได้กล่าวเหมือนครั้งแรก และท่านนบีได้กล่าวแก่เขาว่า  ท่านศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์ไหม? เขาตอบว่าศรัทธาแล้วครับ ท่านนบีจึงกล่าวแก่เขาว่า   จงเดินทางไป (ด้วยกัน) เถิด 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

อาวุธสงคราม[385]

เล่าจากอัมร์ บุตร อัลฮาริษ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ไม่ได้ทิ้งสิ่งใดไว้เป็น มรดกนอกจาก อาวุธของท่าน ล่อสิขาว และแผ่นดินที่คอยคอยบัร ที่ท่านได้กำหนดมันไว้เป็นทานแล้ว 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี 

เสื้อเกราะและหอก

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ท่านได้กล่าวในวันบัดร์ ขณะที่ท่าน อยู่ในกระโจมที่พักว่าข้าแด่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าขอคำมั่น และสัญญาของพระองค์ท่าน ข้าแด่อัลเลาะห์ถ้าหากพระองค์ท่านประสงค์ พระองค์ท่านก็จะไม่ถูกสักการะอีกต่อไปหลังจาก วันนี้ อะบู บักร์จับมือท่านแล้วกล่าวว่าพอแล้วท่าน โอ้ท่านรอชูลุลเลาะห์ ความจริงท่านได้ รบเร้าองค์อภิบาลของท่านแล้ว โดยที่ท่านสวมเสื้อเกราะอยู่ ต่อจากนั้นท่านได้ออกมาแล้วกล่าวว่าพวกนั้นจะต้องปราชัย และหันหลังกลับ แต่วันกิยามะห์นั้นคือ กำหนดสัญญาของพวกเขา และ วันกิยามะห์นั้นจะมีเล่ห์กลและขมขื่นกว่า[386]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ตัวบทของอบีดาวูดและติรมีว่าท่านนบี ซ.ล. ได้ใช้เสื้อเกราะสองตัวร่วมกันใน วันอุฮุด หรือ ท่านได้สวมเสื้อเกราะสองตัว

เล่าจากอิบนุ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าเครื่องยังชีพของข้าพเจ้าได้ ถูกบันดาลให้อยู่ใต้ร่มหอก ความตกต่ำและต่ำต้อยได้ถูกบันดาลให้แก่ผู้ขัดแย้งกับงานของข้าพเจ้า

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะห์มัด

ดาบ 975

ญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ทำสงครามร่วมกับท่านนบี ซ.ล. และเวลานอน กลางวันได้มาถึงพวกเรา ขณะอยู่ในทุบเขาที่มีต้นไม้หนาทึบ ประชาชนได้แยกย้ายไปในทุบเขานั้น หาร่มเงาของต้นไม้ และท่านนบี ซ.ล. ได้พักใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ท่านได้เอาดาบแขวนไว้กับต้นไม้นั้น และนอนหลับไป ต่อมาเมื่อตื่นขึ้น ก็ได้พบชายคนหนึ่งอยู่กับท่าน โดยที่ท่านไม่รู้สึกตัวว่ามีเขาอยู่ ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงชายคนนี้ได้ชักดาบข้าพเจ้าออกจากฝัก แล้วกล่าวว่าใคร จะป้องกันท่าน ข้าพเจ้าตอบว่าอัลเลาะห์ และเขาก็สอดดาบเข้าฝัก นี่แหละคือเขาที่กำลังนั่งอยู่ หลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้ลงโทษเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าด้ามดาบของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เป็นเงิน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

หมวกเกราะ

เล่าจากสะหั้ล ร.ฎ. ได้กล่าวว่าใบหน้าของท่านนบี ซ.ล. เป็นบาดแผลในวันอุฮุด ฟันที่ถัดจากซี่หน้าของท่านหัก[387] และหมวกเกราะบนศีรษะของท่านฉีกขาด1097

รายงานหะดีษโดย บุคอรี 

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้เข้า (สู่มักกะห์) ในวันพิชัตมักกะห์ โดยบนศีรษะของท่านมีหมวกเกราะและได้มีผู้กล่าวแก่ท่านว่า แท้จริง อิบนุ คอตอล แขวน ร่างอยู่กับม่านกะอฺบะห์ ท่านได้กล่าวว่าจงฆ่าเขา098

รายงานโพตรมช และร บุคอร

ธงประจำกองทัพ และธงรบ[388]

ได้มีผู้ถามอัลบะรออุ บุตรอาซิบ ร.ฎ. เกี่ยวกับธงรบของท่านนบี ซ.ล. เขาได้กล่าวว่ามันมีสีดำ สี่เหลี่ยม ทำจากขนสัตว์ที่มีลายขาวดำ1100

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้เข้าสู่มักกะห์ โดยที่ธงประจำกองทัพ ของท่านมีสีขาว 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยอะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าธงรบของท่านนบี ซ.ล. มีสีดำ และธง ประจำกองทัพของ,ท่านมีสีขาว

รายงานหะดีษโดยติรมิซี และนะซาอี

บทที่ห้า เป็าหมายของสงครามศักดิ์สิทธิ์ การเชิญชวนบรรดากษัตริย์เข้าสู่อิสลาม[389]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าแท้จริงนบีของอัลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีสาสน์ไปถึงจักรพรรดิกิสรอ ไปถึง กอยซอร ไปถึงนัจยาซี และไปถึงผู้มีอำนาจทุกคน เชิญชวนพวกเขาสู่อัลเลาะห์ตาอาลา แต่ไม่ใช่นัจยาซีที่ท่านนบี ซ.ล. ได้ละหมาดให้เขา[390]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้ส่งสาสน์ของท่านไปยังผู้ มีอำนาจของบะห์เรน เพื่อส่งสาสน์นั้นต่อไปยังกิสรอ และเมื่อกิสรอได้อ่านสานส์ฉบับนั้นเขา ก็ฉีกมัน และท่านนบี ซ.ล. ไดิวิงวอนขอให้พวกเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย[391]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าเมื่อท่านนบี ซ.ล. มีความปรสงค์จะเขียนสานส์ ส่งไปยังโรม ได้มีผู้กล่าวแก่ท่านว่าแท้จริงพวกเขาจะไม่อ่านสานส์นอกจากต้องมีดราประทับ ท่านจึงได้ทำแหวนวงหนึ่งขึ้นจากเงิน และได้สลักลงไปว่า “มุฮัมมัดศาสนทูตของอัลเลาะห์”

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม 

ต้นตอของสงครามเป็นไปเพื่อศาสนา 976

อัลเลาะห์ตาอาลาตรัสว่า  “และพวกท่านทั้งหลายจงสู้รบกับพวกเขาจนกว่าจะไม่มีวิกฤติการ (การตั้งภาคี) และจนกว่าศาสนาจะเพื่ออัลเลาะห์โดยบริสุทธิ์ ดังนั้นถ้าหากพวกเขายุติ ก็จะไม่ มีการเป็นศัตรูต่อกัน นอกจากกับพวกที่ทุจริต”[392] อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าถูกบัญชาให้ สู้รบกับมนุษย์ชาติ จนกว่าพวกเขาจะกล่าวคำปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ ความจริงเขาจะได้รับการคุ้มครองจากข้าพเจ้า ทั้งชีวิตของเขาและทรัพย์สินของเขา นอกจากโดย สิทธิอันชอบธรรมของของมัน[393] แลการสอบสวนเขาเป็นหน้าที่ของพระองค์อัลเลาะห์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าถูกปัญชาให้สู้รบกับ ประชาชน จนกว่าพวกเขาจะปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ และแท้จริง มุฮัมมัดเป็นบ่าวและศาสนพูดของพระองค์ พวกเขาจะต้องผินหน้าสู่กิบลัตของเรา พวกเขาจะ ต้องรับประทานสัตว์ที่เราเชือด พวกเขาจะต้องละหมาดเช่นที่เราละหมาด และเมื่อพวกเขาได้ กระทำการดังกล่าว เลือดเนื้อของพวกเขาและทรัพย์สินของพวกเขาก็เป็นสิ่งต้องห้ามแก่เรา นอก จากโดยสิทธิอันชอบธรรมของมัน[394] พวกเขาจะได้สิทธิเช่นที่มวลมุสลิมได้สิทธิ และพวกเขามี หน้าทีเช่นทีมวลมุสลิมมีหน้าที 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอุซามะห์ บุตร เซด ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านร่อเราซูลุลลอห์ ซ.ล. ได้ส่งพวกเรา ไปเป็นกองทหารไปยังเผ่าต่าง วุ ของญฺฮัยนะห์ พวกนั้นได้ทราบข่าวของเรา แล้วก็เผ่นหนี พวก เราได้พบชายคนหนึ่ง เมื่อพวกเราได้เข้าล้อมเขาไว้ เขาได้กล่าวคำปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยง แท้นอกจากอัลเลาะห์ และพวกเราก็ได้ฟันเขาจนตาย ต่อมาข้าพเจ้าได้นำไปเล่าให้ท่านนบี ซ.ล. ฟัง ท่านได้กล่าวว่าใครเล่าจะช่วยเหลือท่านโต้ตอบกับคำปฏิญาณที่ว่า “ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์”ได้ ในวันกิยามะห์ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า  โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริงที่เขา กล่าวคำปฏิญาณก็เพราะกลัวอาวุธ ท่านได้กล่าวว่าท่านก็ไม่ได้ผ่าใจเขาดู จนรู้ได้จากการนั้นว่า เขาได้กล่าวคำปฏิญาณหรือไม่ ใครเล่าจะช่วยท่านโต้ตอบคำปฏิญาณที่ว่า “ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์” ได้ในวันกิยามะห์ และท่านได้คงกล่าวเช่นนั้น จนข้าพเจ้าอยากจะไม่ได้เข้าอิสลามนอกจากในวันนี้ 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากอัลมิกดาด บุตร อัลอัสวัด ร.ฎ. ว่าข้าพเจ้าได้กล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดถ้าหากข้าพเจ้าได้พบชายคนหนึ่งจากบรรดาผู้ไรัศรัทธา และเขาได้สู้รบกับ ข้าพเจ้า เขาได้ฟันมือข้าพเจ้าด้วยดาบ หลังจากนั้นเขาได้ลอยไปติดต้นไม้ และได้กล่าวว่า ข้าพเจ้า ได้เข้าอิสลามแล้วเพื่ออัลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะสังหารเขาไหม โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ หลังจากเขาได้ กล่าวมันแล้ว        ท่านตอบว่าอย่าฆ่าเขา ข้าพเจ้ากล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ความจริงเขา ตัดมือของข้าพเจ้า ท่านกล่าวว่าอย่าฆ่าเขา ถ้าหากท่านฆ่าเขา เขาก็จะอยู่ในตำแหน่งของท่าน ก่อนที่ท่านจะฆ่าเขา และท่านจะได้อยู่ในตำแหน่งของเขา ก่อนที่เขาจะพูดคำที่เขาพูด[395]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบู ดาวูด

เชิญชวนสู่ศาสนาก่อนลงมือทำสงคราม[396]

เล่าจากบุรอยดะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าโดยปกติของท่านนบี ซ.ล. เมื่อท่านแต่งตั้งผู้ นำทัพใหญ่ หรือทองทหาร ท่านจะสั่งเสียผู้นำเป็นการเฉพาะให้ยำเกรงอัลเลาะห์ และสั่งเสีย มวลมุสลิมที่ร่วมอยู่กับเขาด้วยการดี หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่าพวกท่านจงออกรบด้วยนาม ของอัลเลาะห์ในวิถีทางของอัลเลาะห์ จงสู้รบกับผู้ที่ทรยศต่ออัลเลาะห์ จงสู้รบ แต่อย่าเลยเถิด อย่าหักหลัง อย่าทำให้ศพเสียโฉม และอย่าฆ่าเด็ก และเมื่อท่านได้พบศัตรูของท่านที่เป็น พวกผู้ตั้งภาคี จงเชิญชวนพวกเขามาสู่สามปรการ และประการใดที่พวกเขายอมรับคำเชื้อเชิญ ของท่าน ให้ท่านรับพวกเขา และยับยั้งจากพวกเขา จงเรียกร้องพวกเขาสู่อิสลาม ถ้าหากพวกเขา ตอบรับท่าน ก็จงรับพวกเขา และยับยั้งจากพวกเขา หลังจากนั้น จงเชิญชวนพวกเขามาสู่การ เปลี่ยนแปลงจากบ้านของพวกเขา สู่บ้านของพวกผู้อพยพ และจงบอกพวกเขาว่า แท้จริงพวกเขา ถ้าหากได้กระทำดังนั้น พวกเขาก็จะได้รับสิทธิตามที่พวกผู้อพยพได้ และพวกเขามีหน้าที่เหมือน พวกผู้อพยพมีหน้าที่ ดังนั้นถ้าหากพวกเขาไม่ยอมเปลี่ยน[397] จงบอกพวกเขาเถิดว่า ดวามจริง พวกเขาจะเป็นเช่นอาหรับที่เป็นมุสลิม ข้อกำหนดของอัลเลาะห์ที่ใช้บังคับบรรดาผู้มีศรัทธา[398]ก็จะเป็นข้อกำหนดแก่พวกเขาด้วย และพวกเขาจะไม่มีสิทธิในทรัพย์สงคราม และทรัพย์สงคราม ที่ได้มาโดยไม่มีการสู้รบเลยสักสิ่งเดียว นอกจากพวกเขาจะด้องต่อสู้ร่วมกับมวลมุสลิม และถ้า หากพวกเขาฝ่าฝืน ก็จงบอกพวกเขาให้จ่าย ยิซยะห์11[399] ถ้าหากพวกเขาตอบรับ ท่านก็จงรับพวกเขา และยับยั้งจากพวกเขา และถ้าหากพวกเขายังฝ่าฝืน ก็จงขอความช่วยเหลือต่ออัลเลาะห์ และ เข้าทำสงครามกับพวกนั้น และเมื่อท่านได้โอบล้อมชาวป้อมใด และพวกเขาได้ขอร้องท่านให้ กำหนดข้อผูกมัดของอัลเลาะห์ และข้อผูกมัดของนบีของพระองค์แก่พวกเขา ท่านอย่าได้กำหนด ให้พวกเขาเช่นนั้น               แต่จงกำหนดข้อผูกมัดของท่านและข้อผูกมัดของบรรดาสหายของท่านแก่พวกเขา เพราะความจริงพวกท่านที่จะทำลายข้อผูกมัดของพวกท่านเอง และข้อผูกมัดสหายของ พวกท่าน ย่อมจะง่ายยิ่งกว่าการที่พวกท่านจะทำลายข้อผูกมัดของอัลเลาะห์ และข้อผูกมัดของ ศาสนทูตของพระองค์[400] และเมื่อท่านได้โอบล้อมชาวป้อมใด ต่อมา พวกเขาได้ขอร้องท่าน ให้พวกเขาลงมาโดยคำตัดสินของอัลเลาะห์ ท่านอย่ารับคำขอร้องของพวกเขา แต่จงให้พวกเขา ลงมาโดยคำตัดสินของท่าน เพราะแท้จริงท่านไม่รู้หรอกว่า ท่านจะตัดสินตรงกับการตัดสินของ อัลเลาะห์หรือไม่ [401]

รายงานหะดีษโดยมุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี  


 

และกองทหารหนึ่งจากบรรดากองทหารมุสลิม ได้ล้อมปราสาทหนึ่ง จากบรรดาปราสาท ของพวกเปอร์เซีย และผู้นำกองทัพนั้นคือ ซัลมาน ฟาริซีย์ พวกเขาได้กล่าวว่าโอ้อะบา อับ­ดิลลาห์114 ท่านจะไม่สั่งทหารเข้าโจมตีพวกเขาหรือ เขาตอบว่า  พวกท่านจงปล่อยข้าพเจ้าให้ เชิญชวนพวกเขาก่อน เหมือนที่ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เชิญชวน จากนั้นเขา ได้ไปที่พวกนั้น แล้วกล่าวแก่พวกเขาว่าความจริงข้าพเจ้าเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งของพวก ท่าน เป็นชาวเปอร์เซีย และแม้แต่ชาวอาหรับยังให้การเคารพเชื่อฟังข้าพเจ้า ดังนั้นถ้าหาก พวกท่านนับถืออิสลาม พวกท่านก็จะได้รับเหมือนสิ่งที่พวกเราได้รับ และมีหน้าที่เหมือนที่ พวกเรามี และถ้าหากพวกท่านฝ่าฝืน นอกจากจะอยู่ในศาสนาของพวกท่านแล้วเราก็จะปล่อย พวกท่านให้อยู่ในศาสนานั้น โดยที่พวกท่านจะต้องจ่ายยิซยะห์ด้วยมือ ในสภาพที่พวกท่านต่ำต้อย เขา (ผู้เล่า) ได้กล่าวว่าและเขาได้พูดกับพวกนั้นด้วยภาษาเปอร์เซียว่า “โดยที่พวกท่านจะไม่ได้ รับการยกย่องใดๆ และถ้าหากพวกท่านฝ่าฝืน พวกเราก็จะต้องทำสงครามกับพวกท่านโดย พร้อมเพรียงกัน พวกเขาได้กล่าวว่าพวกเราจะไม่อยู่กับสิ่งที่จะต้องจ่ายยิซยะห์ แต่พวกเรา จะทำสงครามกับพวกท่าน พวกเขา (ทหารมุสลิม) ได้กล่าวว่าโอ้ อะบา อับดิลลาห์ ท่านจะ ไม่สั่งทหารเข้าโจมตีพวก เขาหรือเขา (ผู้เล่า) ได้กล่าวว่าเขา (ซัลมาน) ได้เชิญชวนพวกนั้นสู่เสมือนดังกล่าวนี้เป็นเวลาสามวัน จึงได้กล่าวว่าพวกท่านจงบุกโจมตีพวกเขาได้ เขา (ผู้เล่า) ได้กล่าวว่าพวกเราได้เข้าโจมตีพวกนั้น และเราสามารถพิชิตปราสาทนั้นได้ 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

คำสั่งเสียของท่านนบี ซ.ล. แก่บรรดาผู้นำกองทัพ

เล่าจากอะบี มูซา ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฎว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เมึ่อท่านได้ ส่งคนหนึ่งจากบรรดาอัครสาวกของท่าน ไปปฏิบัติภารกิจบางปรการของท่าน ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงนำข่าวดีไปแจ้ง อย่าทำให้เตลิด จงทำให้ดูง่าย อย่าทำให้เห็นเป็นเรื่องยาก[402]

เล่าจากเขา (อะบี มูซา) ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ส่งข้าพเจ้า และ มุอาชไปยังประเทศยะมัน ท่านได้กล่าวว่าท่านทั้งสองจงทำให้ดูง่าย อย่าให้เห็นว่าเป็นเรื่อง ยาก ท่านทั้งสองจงนำข่าวดีไปแจ้งอย่าทำให้เตลิด ท่านทั้งสองจงทิ้งความขัดแย้ง อย่าสร้าง ความแตกต่าง1115 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และมุสลิม 


 

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.ว่าท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าพวกท่านจงออกเดินทางไปในนามของอัลเลาะห์ และด้วยอัลเลาะห์ และยึดอยู่บนศาสนาแห่งศาสนทูตของอัลเลาะห์ ท่าน ทั้งหลายอย่าฆ่าชายชรา[403] เด็กเล็ก และผู้หญิง[404] และท่านทั้งหลายอย่าหยิบฉวยเอาทรัพย์ สงครามไป จงรวบรวมทรัพย์สงครามของพวกท่านจงปรับปรุงให้ดีขื้น และจงทำดีอย่างปรณีต แห้จริงอัลเลาะห์ทรงรักผู้ทีทำดี 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

ยอมให้โจมตีพวกกาฟิรภายหลังจากได้เชิญชวนพวกเขาแล้ว

เล่าจากอิบนิ เอาน์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้เขียนสาส์นไปถึงนาเฟียอฺ ถามเขา เกี่ยวกับการเชิญชวนก่อนเข้าสู่สงคราม เขาได้เขียนตอบข้าพเจ้าว่า ความจริงการเซ่นนั้นมีอยู่ เฉพาะในยุคต้นๆ ของอิสลาม ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้บุกโจมดีพวกตระกูลบะนี อัลมุส- ตอลิก ขณะที่พวกเขากำลังเผลอตัว และสัตว์เลี้ยงของพวกเขากำลังถูกไล่ต้อนไปยังแหล่งนํ้า และท่านได้สังหารนักรบของพวกเขา ได้จับผู้หญิงและเด็กเป็นเชลย และท่านได้ ยุวัยริยะห์ บุตรสาวอัลฮาริษ เป็นส่วนแบ่งในวันนั้น[405]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าแห้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้ออกไปยังคอยบัร และท่านได้ไปถึง คอยบัรในเวลากลางคืน โดยปกติเมื่อท่านไปถึงพวกใดในเวลากลางคืน ท่านจะไม่บุกเข้าโจมตี พวกเขาจนกว่าจะรุ่งเข้า เมื่อรุ่งเช้าพวกยะฮูดีได้ออกไปพร้อมด้วยจอบและตะกร้า[406] และเมื่อพวกยะฮูดได้เห็นท่านนบี ก็กล่าวว่ามุฮัมมัดจริงๆ ด้วย สาบานต่ออัลเลาะห์ มุฮัมมัด กับกองทหาร ต่อมาท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าอัลเลาะห์ทรงเกรียงไกร คอยบัรถึงกาลพินาศ แล้ว แท้จริงพวกเราเมื่อได้ลงพักอยู่ที่บริเวณของพวกใด ก็เป็นที่แน่นอนว่า เวลาเข้าของพวก ที่ตักเตือนแล้วจชั่วร้ายยิ่ง และในบางรายงานว่าปกติเมื่อท่านนบีได้ทำสงครามกับพวกหนื่ง ท่านจะไม่โจมตีจนกว่าจะรุ่งเช้า และถ้าหากท่านได้ยินเสียงอะซาน ท่านก็จะระงับการโจมตี และถ้าไม่เช่นนั้นท่านก็จะเข้าโจมตีภายหลังจากละหมาดชุบฮ์แล้ว 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และติรมีชิ ได้เพิมเติมในรายงานหนึ่งว่าท่านได้ยินชายคนหนึ่งกล่าวว่าอัลเลาะห์ทรงเกรียงไกรยิ่งท่าน ได้กล่าวว่าเขาอยู่บนธรรมชาติอันบริสุทธิ์[407] ต่อมาชายคนนั้นได้กล่าวว่าข้าพเจ้าขอปฏิญาณ ว่าไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแห้นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น ท่านนบีได้กล่าวว่าท่านออกจากไฟนรก แล้ว[408]

เวลาที่ควรลงมือทำสงคราม

เล่าจากอันนัวอฺมาน ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ร่วมอยู่กับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เมื่อท่านไม่ลงมือทำสงครามในช่วงเช้า ท่านก็จะร่นการทำสงครามไปจนตะวันคล้อย มีลมพัด และชัยชนะก็จะลงมา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และติรมิซี                                                      

ตัวบทของติรมีชีว่า ข้าพเจ้าได้ร่วมรบกับท่านนบี ซ.ล. และเมื่อแสงอรุณขึ้นท่านก็จะระงับการโจมตีไว้ จนกระทั่งตะวัน ขึ้น และเมื่อตะวันขึ้นท่านก็จะลงมือทำสงคราม และเมื่อถึงเวลากลางวัน ท่านก็จะระงับการ โจมตีไว้ จนกระทั่งตะวันคล้อย และเมื่อตะวันคล้อยท่านก็จะทำสงคราม จนถึงเวลาอัสร์ จากนั้นก็จะระงับไว้จนกระทั่งละหมาดอัสร์จึงจะลงมือทำสงครามต่อไป ซึ่งขณะนั้นจะเรียกว่า สายลมแห่งชัยชนะกำลังพัดโชย และมวลผู้มีศรัทธาก็จะวิงวอนให้แก่กองทหารของพวกเขา ในการละหมาดของพวกเขา[409]

ตัวบทของบุคอรีและอะบีดาวูดว่าโดยปกติท่านนบี ซ.ล. เมื่อไปได้ชัยชนะเหนือ พวกหนึ่ง ท่านจะพักอยู่ในบริเวณของพวกนั้นเป็นเวลาสามวัน[410]

การวิงวอนขอขณะทำสงครามเป็นสิ่งที่ควรกระทำ

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร อะบี เอาฟา ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. นั้นใน บางวันที่ท่านเผชิญกับศัตรู ท่านจะรอคอยจนกว่าตะวันจะคล้อย จากนั้นท่านก็จะยืนขึ้นท่าม กลางประชาชนแล้วกล่าวว่าโอ้ประชาชนทั้งหลาย อย่ามุ่งหวังพบกับศัตรู แต่ท่านทั้งหลาย จงวิงวอนขอความสุขต่ออัลเลาะห์ และยามที่พวกท่านพบกับศัตรูก็จงมีความอดทน[411] และ พวกท่านจงทราบเถิดว่า แท้จริงสวรรค์อยู่ใต้เงาดาบ[412] จากนั้นท่านได้กล่าวว่า  ข้าแด่พระองค์ อัลเลาะห์ผู้ทรงประทานคัมภีร์ ผู้ทรงให้เมฆเคลื่อนที่ และผู้ทรงให้พลพรรคของพวกกาฟิร พ่ายแพ้ ขอได้โปรดให้พวกเขาพ่ายแพ้ ขอได้โปรดให้พวกเรามีชัยชนะเหนือพวกเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด 

และในวันอะห์ซาบ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้วิงวอนโดยกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ อัลเลาะห์ ผู้ประทานคัมภีร์ ผู้สอบสวนโดยรวดเร็ว ได้โปรดให้พลพรรคฝ่ายกาฟิรจงพ่ายแพ้ และสั่นคลอนพวกเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เมื่อท่านทำสงคราม ท่านจะกล่าวว่าข้าแด่อัลเลาะห์ พระองค์ท่านทรงสนับสนุนและช่วยเหลือข้าพเจ้า, โดยพระองค์ท่าน ข้าพเจ้าจะใช้กลอุบาย, โดยพระองค์ท่าน ข้าพเจ้าจะบุกเข้าโจมตี และโดย พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าจะทำสงคราม 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การยืนหยัดในการสู้รบเป็นสิ่งจำเป็น[413]

ได้มีผู้กล่าวแก่อัลษัรรออุ ร.ฎ. ว่าพวกท่านลอยหนีในวันฮุนัยน์หรือ โอ้ อบา อุมาเราะห์ เขากล่าวว่า เปล่า สาบานต่ออัลเลาะห์ ท่านรอซูลุลเลาะห์ไม่ได้ถอยหนี แต่พวก คนหนุ่มและพวกที่ว่องไวจากบรรดาอัครสาวกของท่านได้ออกไปโดยไม่มีอาวุธไปด้วย[414] และ พวกเขาได้เผชิญกับฝ่ายศัตรู ที่เป็นนักแม่นธนูจากเผ่าฮะวาซิน และบะนีนัสร์ มันเกือบจะไม่มี ธนูดอกใดพลาดไปจากพวกเขา และฝ่ายศัตรูก็ได้ระดมยิงธนูมายังพวกเขา และมันแทบจะไม่ พลาดเป้าเลย พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปทางโน้น ไปยังท่านนบี ซ.ล. ขณะที่ท่านกำลังอยู่บนล่อ สีขาวของท่าน โดยมีลูกชายลุงของท่าน คืออบู ซุฟยาน บุตร อัลฮาริษ บุตรอับดิ้ลมุตตอลิบ, เป็นผู้จูงมัน ท่านนบีจึงลงและวิงวอนขอชัยชนะ จากนั้นท่านได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าคือนบีไม่โกหก ข้าพเจ้าเป็นหลานอับดิ้ล มุตตอลิบ

จากนั้นท่านก็ได้ตั้งแถวอัครสาวกของท่าน[415]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของบุคอรีว่าแท้จริงอัลเลาะห์จะช่วยศาสนานี้ให้แข็งแกร่งด้วยชายโฉด[416]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าประการที่ชั่วที่สุดที่ อยู่ในสภาพบุรุษคือ ความตระหนี่เหนียวแน่น และความขี้ขลาดขี้ตระหนก

เล่าจากยาบิร บุตร อะตีก ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบีของอัลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าความห่วงใยนั้นบางอย่างอัลเลาะห์รัก และบางอย่างอัลเลาะห์ทรงโกรธกริ้ว สำหรับสิ่งที่อัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรรักนั้นคือ ความห่วงใยในเรื่องความสงสัย[417] และความห่วงใยที่ อัลเลาะห์ทรงโกรธกริ้วนั้นคือความห่วงใยที่นอกจากความสงสัย แท้จริงความโอ้อวดบางอย่าง อัลเลาะห์ทรงโกรธกริ้ว และบางอย่างอัลเลาะห์ทรงรัก สำหรับความโอ้อวดที่อัลเลาะห์ทรงรัก คือ ความโอ้อวดของสุภาพบุรุษขณะสงคราม และความโอ้อวดของเขาขณะบริจาคทาน[418]ส่วนความโอ้อวดที่อัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรกริ้วนั้นคือ ความโอ้อวดของเขาในการ ทุจริต และโอ้อวดกับคนยากจน 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยอะบูดาวูด

การใช้คำพูดเสแสร้งแลการรบคือกลยุทธ

เล่าจากกะอับ บุตร มาลิก ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. นั้น น้อยครั้งนักที่ท่าน ตั้งใจไปสงครามหนึ่งซึ่งท่านจะออกรบ นอกจากท่านจะพูดเสแสร้งว่าไปสงครามอื่น[419]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  การรบคือกลยุทธ[420]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

สัญลักษณ์ในการสงคราม[421]

เล่าจากอัลมุฮั้ลลับ บุตร อะบี ซุฟเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าบุคคลที่ได้ยินท่านนบี ซ.ล. ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังโดยกล่าวว่าถ้าหากพวกท่านถูกโจมตีในเวลากลางคืน สัญลักษณ์ ของพวกท่านคือ ฮา-มีม พวกมันจะไม่ได้รับชัยชนะ[422]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิยาส บุตรซะลามะห์ ร.ฎ. จากบิดาของเขาได้กล่าวว่าพวกเราได้ร่วมรบ อับอะบีบิกร์ ในสมัยท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. สัญลักษณ์ของพวกเราคือ จงให้ตาย จงให้ตาย 

เล่าจากซะมุเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฎว่าสัญลักษณ์ของพวกผู้อพยพคือ “อับดุลเลาะห์” และสัญลักษณ์ของชาวอันซอรคือ “อับดุรเราะห์มาน”[423]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

อย่าฆ่าผู้หญิงและเด็ก 984

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพบผู้หญิงคนหนึ่งถูกสังหารในการทำสงคราม บางครั้งของท่านนบี ซ.ล. ท่านจึงได้ห้ามฆ่าผู้หญิงและเด็ก

และได้มีผู้ถามท่านนบี ซ.ล. เกี่ยวกับชาวเมืองที่เปีนพวกผู้ตั้งภาคีถูกโจมตีในเวลา กลางคืน (จากฝ่ายมุสลิม) โดยผู้หญิงและเด็กๆ ของพวกเขาโดน (ฟันหรือโดนฆ่า) ท่านกล่าว ว่า  พวกเขาจากพวกเขา[424]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

อตียะห์ อัลกุรอซีย์ ได้กล่าวว่าพวกเราได้ถูกนำมาให้ท่านนบี ซ.ล. ตรวจในวัน กุรอยเดาะห์ และปรากฏว่าผู้ใดที่ขนใต้ร่มผ้างอกแล้วจะต้องถูกฆ่า และผู้ใดที่ขนใต้ร่มผ้ายังไม่งอก ก็จะถูกปล่อยตัวไป และข้าพเจ้าก็เป็นหนึ่งจากจำนวนของผู้ที่ขนใด้ร่มผ้ายังไม่งอก จึงได้ถูกปล่อยตัว

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และนะซาอี

จะไม่ใช้ไฟเป็นเครื่องมือลงโทษนอกจากโดยอัลเลาะห์เท่านั้น

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ส่งพวก เราไปกับทองทหารหนึ่ง และท่านได้กล่าวว่าถ้าหากพวกท่านพบคนนั้นกับคนนั้น ให้พวก ท่านเผาคนทั้งสองเสีย ต่อมาเมื่อพวกเราจะออกเดินทาง ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าว ว่าความจริงข้าพเจ้าได้ใช้พวกท่านให้เผาคนนั้นกับคนนั้น และความจริงไฟนั้นจะไม่ถูกใช้ ในการลงโทษ นอกจากโดยอัลเลาะห์เท่านั้น ดังนั้นถ้าหากพวกท่านพบบุคคลทั้งสอง ให้พวก ท่านฆ่าบุคคลทั้งสอง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบู ดาวูด และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงมดตัว หนึ่งได้กัดนบีท่านหนึ่ง จากบรรดานบีทั้งหลาย นบีท่านนั้นได้ให้จัดการกับรังมด ต่อมามันก็ถูก เผา อัลเลาะห์ได้วะฮีย์มายังนบีท่านนั้นว่าการที่มดตัวหนึ่งกัดท่าน ท่านก็ได้เผาประชาชาติ หนึ่ง จากบรรดาประชาชาติที่กล่าวคำตัสบีห์[425]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

การทำให้ศพเสียโฉมเปีนสิ่งต้องห้าม[426]

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร เซต ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้ห้ามการแย่งชิง แลการท่าให้ศพเสียโฉม[427] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ในเรื่องการล่าสัตว์

อิมรอน บุตร ฮุซอยน์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. เคยเร้าพวกเรา ให้บริจาคทาน และห้ามพวกเราจาการทำให้ศพเสียโฉม

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี 

การทรยศหักหลังเป็นสิ่งต้องห้าม

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าเมื่ออัลเลาะห์ได้รวบรวม ผู้คนทั้งรุ่นแรกและรุ่นสุดท้าย ในวันกิยามะห์แล้ว ธงของคนที่ทรยศหักหลังทุกคนจะถูกยกชู ชื้น และจะถูกประกาศว่านี่คือธงที่เป็นเครื่องหมายการทรยศหักหลังของคนนั้นถูกคนนั้น[428]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และได้ปรากฏว่าระหว่างมุอาวิยะห์ กับชาวโรมมีสัญญาต่อกัน เขาเคยเดินทางเข้าไปใน ปรเทศของพวกนั้น ต่อมาเมื่อหมดสัญญา มุอาวิยะห์ได้โอบล้อมพวกเขา บังเอิญมีชายคน หนึ่งอยู่บนหลังม้ากล่าวว่าอัลเลาะห์ทรงเกรียงไกรยิ่ง จงทำตามสัญญา อย่าหักหลัง และ เขาคนนั้นก็คือ อัมร์ บุตร อะบะซะห์ มุอาวิยะห์ได้ถามเขา และเขาได้ตอบว่าข้าพเจ้าได้ยิน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวว่าผู้ใดที่มีสัญญาระหว่างเขากับพวกหนึ่ง เขาจะต้องไม่แก้ และไม่ผูกสัญญานั้น จนกว่าจะหมดกำหนดสัญญา หรือจนกว่าจะประกาศสงครามกับพวกนั้น ผู้เล่าได้กล่าวว่ามุอาวิยะห์จึงได้กลับพร้อมด้วยประชาชน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี และตัวบทของอะบู ดาวูดว่าผู้ใดที่มีสัญญาระหว่างเขากับพวกหนึ่ง เขาจะต้องไม่ผูกปม และ จะต้องไม่แก้ปม จนกว่าจะหมดกำหนดสัญญานั้น หรือจะต้องประกาศสงครามกับพวกนั้น

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดนำพาอาวุธเข้ามา ทำร้ายพวกเรา เขาไม่ใช่เป็นพวกเรา[429]          

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

บทที่หก 986

ทรัพย์สงครามและการแบ่ง*

อัลเลาะห์ตาอาลาได้1ตรัสว่า“และพวกท่านจงรู้เถิดว่าสิ่งใด ๆ ที่พวกท่านได้มาจาก การสงครามนั้น แท้จริงมันจะตกเป็นของอัลเลาะห์เศษหนึ่งส่วนห้า และตกเป็นของศาสนทูต ของญาติสนิท ของลูกกำพร้า ของคนยากไร้ ของคนเดินทาง ถ้าหากพวกท่านศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และศรัทธาต่อสิ่งที่เราได้ประทานแก่บ่าวของเราในวันแห่งการแบ่งแยก คือวันที่สองกองทัพ มาเผชิญหน้ากัน และอัลเลาะห์ทรงเดชานุภาพเหนือทุก ๆ สิ่ง”[430]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่ามีนบีท่านหนึ่งจาก นบีทั้งหลายได้ออกทำสงคราม และท่านได้กล่าวแก่พวกพ้องของท่านว่าอย่าติดตามข้าพเจ้า ออกไปรบ ผู้ชายที่มีสิทธิในอวัยวเพศของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเขาต้องการร่วมเพศกับหล่อน และเขายังไม่ทันได้ร่วมเพศ และอย่าติดตามข้าพเจ้าออกไป ผู้ชายอีกคนหนึ่งทีได้สร้างอาคาร ไว้หลังหนึ่ง โดยที่เขายังไม่ทันได้ขึ้นหลังคา และอย่าติดตามข้าพเจ้าออกไป ผู้ชายอีกคนหนึ่ง ที่ได้ซื้อแกะหรืออฐที่ท้องแก่ไว้ และเขากำลังรอคอยการคลอดลูกจากมัน ท่านนบีได้กล่าวว่า และนบีท่านนั้นได้ออกรบ จนได้เข้าใกล้ตำบลหนึ่ง ขณะที่เข้าเวลาละหมาดอัสร์ หรือใกล้กับ ตำบลนั้น1145 และนบีท่านนั้นได้กล่าวแก่ดวงตะวันว่า  เจ้าก็ถูกบัญชา ข้าพเจ้าก็ถูกบัญชา ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดยับยั้งมันไว้ ให้ส่องสว่างแก่พวกเรา และแล้วมันก็ถูกยับยั้งไว้ ส่องสว่างแก่เขา จนกระทั่งอัลเลาะห์ได้ให้เขาเข้าพิชิต ท่านนบีได้กล่าวว่า   พวกเขาได้รวบรวม ทรัพย์ที่พวกเขาได้จาการสู้รบ และได้มีไฟมุ่งมาเพื่อเผาผลาญทรัพย์ที่ถูกรวบรวมไว้ แต่มัน ได้ยับยั้งที่จะใช้ทรัพย์นั้นเป็นอาหาร ต่อมานบีท่านนั้นได้กล่าวว่ามีการยักยอกเถิดขึ้นในหมู่ พวกท่าน ดังนั้นจงให้ผู้ชายคนหนึ่งจากทุก ๆ เผ่ามาให้สัตยาบันแก่ข้าพเจ้า ต่อมาพวกนั้นได้มา ให้สัตยาบันแก่นบีท่านนั้น และมือของชายคนหนึ่ง ติดอยู่กับมือของนบีท่านนั้น นบีนั้นจึง กล่าวว่าการยักยอกเกิดขึ้นในหมู่พวกท่าน ดังนั้นจงให้เผ่าของท่านมาให้สัตยาบันแก่ข้าพเจ้า เผ่าของชายคนนั้นจึงมาให้สัตยาบันแก่นบีท่านนั้น และมันก็ได้ติดอยู่กับมือของผู้ชายสองหรือ สามคน นบีท่านนั้นได้กล่าวว่าการยักยอกเกิดขึ้นในหมู่พวกท่าน ต่อมาพวกนั้นจึงได้นำ (สิ่ง ที่ยักยอกไป) มาคืนแก่นบีท่านนั้น ซึ่งมีขนาดเท่ากับหัววัวเป็นทองคำ และพวกเราได้นำมันไป วางไว้รวมกับทรัพย์อื่น ซึ่งอยู่บนเนินสูง จากนั้นก็ได้มีไฟมุ่งมา และได้กินทรัพย์เหล่านั้น1146 ดังนั้นทรัพย์สงครามจะไม่เป็นที่อนุญาตแก่ผู้ใดในยุคก่อนพวกเรา ทั้งนี้เพราะอัลเลาะห์ผู้ทรงสิริมงคลและสูงยิ่ง ได้เห็นความอ่อนแอและไร้ความสามารถของเรา พระองค์จึงได้อนุมัติมัน ให้เป็นสิ่งทีดีแก่พวกเรา 

รายงานหะดีษโดยบุคอรีและมุสลิม

เล่าจากมุอาวิยะห์ ร.ฎ. จาทท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดที่อัลเลาะห์ปรารถนา ให้เขาดี พระองค์จะให้เขาเข้าใจในศาสนา และอัลเลาะห์เป็นผู้ให้ ข้าพเจ้าเป็นผู้แบ่ง ประชาชาตินี้ จะยังคงได้ชัยชนะเหนือพวกที่ขัดขืนพวกเขา จนกว่าคำบัญชาของอัลเลาะห์จะมา โดยพวกเขา เป็นผู้ชนะ[431]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าไม่ใช่เป็น ผู้ให้แก่พวกท่าน และไม่ใช่เป็นผู้หวงพวกท่าน แท้จริงแห้ว ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้แบ่งปันเท่านั้น ข้าพเจ้าจะมอบให้ตามที่ข้าพเจ้าถูกบัญชา[432]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้ส่งกองทหารหนึ่งไปยังนัจด์ และข้าพเจ้าได้ออกร่วมไปกับกองทหารนั้นด้วย พวกเราได้ทรัพย์สงครามเป็นอูฐและแกะ ส่วน ได้ของพวกเราแต่ละคนได้อูฐสิบสองตัว อูฐสิบสองตัว และท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ เพิ่มอูฐให้พวกเราอีกคนละะตัว คนละะตัว[433]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้ส่งพวกเราไปในกองทัพ หนึ่งที่มุ่งหน้าไปทางนัจดี และได้มีกองทหารหนึ่งถูกส่งออกไปจากกองทัพนั้น ปรากฎว่าส่วน แบ่งของกองทัพนั้นแต่ละคนได้อูฐสิบสองตัว และท่านนบีได้เพิ่มอูฐให้แก่แต่ละคนในกอง ทหารอีกคนละะตัว คนละะตัว ก็ปรากฏว่าพวกเราแต่ละคนได้สิบสามตัว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้แบ่งปันในทรัพย์ สงครามให้แก่ม้าสองส่วน และคนขี่ม้าหนึ่งส่วน[434]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

ส่วนเกิน[435]

เล่าจากมุสอับ บุตร สะอัด ร.ฎ. จากบิดาของเขาได้กล่าวว่า  บิดาของข้าพเจ้าได้ เอาดาบเล่มหนึ่งมาจากเศษหนึ่งส่วนห้า และได้นำมันไปยังท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่าจง มอบดาบเล่มนี้แก่ข้าพเจ้าเถิด ท่านนบีไม่ยอมให้ ต่อมาอัลเลาะห์ตาอาลาก็ได้ประทานลงมาว่า“พวกเขาจะถามท่าน (โอ้มุฮัมมัด) เกี่ยวกับทรัพย์สงคราม ท่านจงประกาศเถิดว่า ทรัพย์ สงครามเป็นของอัลเลาะห์ และศาสนทุต”[436]

รายงานหะดีษโดยมุสลิม และอะบู ดาวูด

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าว ไว้ในวันบัดร์ว่าผู้ใดได้กระทำอย่างนี้ อย่างนี้ เขาจะได้เพิ่มเติมเท่านั้นเท่านี้[437] พวกคนหนุ่ม จึงได้บุกไปข้างหน้า ส่วนพวกคนชราก็จะประจำอยู่กับธงรบ โดยที่พวกเขาไม่ได้ออกไปพ้น ธงรบเลย ต่อมาเมื่ออัลเลาะห์ได้ให้พวกเขาได้ชัยชนะ พวกคนชราได้กล่าวว่าพวกเราเป็น เกราะกำบังแก่พวกท่าน ถ้าหากพวกท่านแตกพ่ายก็จะได้อาศัยพวกเรา ดังนั้นพวกท่านจงอย่า เอาทรัพย์สงครามไป โดยพวกเรายังคงอยู่ แต่พวกคนหนุ่มไม่ยอมโดยกล่าวว่าท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ได้ยกมันให้พวกเราแล้ว อัลเลาะห์ตาอาลาจึงได้ประทานลงมาว่า“พวกเขา จะถามท่าน (โอ้มุฮัมมัด) เกี่ยวกับทรัพย์สงคราม ท่านจงประกาศเถิดว่า ทรัพย์สงครามเป็น ของอัลเลาะห์และศาสนทูต”

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และฮากีม

และอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. ได้มอบส่วนเกินให้แก่ บางคนที่ท่านส่งไปจากบรรดากองทหาร ซึ่งจะตกเป็นของพวกเขาเองโดยเฉพาะ นอกจาก ส่วนแบ่งทั่วไปของกองทัพ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบูดาวูด

การมอบส่วนเกินต้องกระทำภายหลังการแบ่งออกเป็นห้าส่วนแล้ว[438]

เล่าจากฮะบีบ บุตร มัซละมะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. จะมอบส่วนเกินเศษหนึ่งส่วนสี่หลังจากเศษหนึ่งส่วนห้า ขณะเมื่อท่านเดินทางกลับ

ผู้นำจปกครองเศษหนงส่วนห้าของทร่พย์สงคราม[439]

เล่าจากอัมร์ บุตร อะบะชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ได้ละหมาดร่วม กับพวกเรา โดยหันไปสู่ฝูงอูฐที่เป็นทรัพย์สงคราม เมื่อให้สลาม ท่านได้จับขนอูฐเส้นหนึ่ง จากสีข้างของอูฐตัวหนึ่ง แล้วกล่าวว่าจะไม่อนุมัติแก่ข้าพเจ้าจากทรัพย์สงครามของพวกท่าน เท่าเส้นขนนี้ นอกจากเศษหนึ่งส่วนห้า และเศษหนึ่งส่วนห้าก็จะถูกปัดไปให้แก่พวกท่าน[440]

รายงานหะดีษโดยอะบู ดาวูด และน่าซาอี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่คณะของพวกกอยส์ ว่าข้าพเจ้าบัญชาพวกท่านให้จ่ายเศษหนึ่งส่วนห้าของทรัพย์สงครามที่พวกท่านได้มา[441]

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และติรมิซี เป็นหะดีษที่ยาว

เล่าจากญุบีร์บุตร มุตอิม ร.ฎ. ได้กล่าวว่าตัวข้าพเจ้ากับอุสมาน บุตรอัฟฟาน ได้เดินไปหาท่านนบี ซ.ล. แล้วพวกเราได้กล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านได้ให้แก่ ตระกูลบะนู อัลมุตตอลิบ และท่านได้ทอดทิ้งพวกเรา ทั้งที่พวกเรากับพวกเขาสำหรับท่าน แล้วก็อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ท่านได้กล่าวว่าแท้ที่จริงตระกูลบะนู อัลมุตตอลิบ และตระกูล ฮาชิมเป็นสิ่งเดียวกัน[442]

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ไม่เคยแบ่งปันให้ตระกูล บะนีอับดิ ชัมซ์ และตระกูลบะนี เนาฟัล อิบนุ อิสหากได้กล่าวว่าอับดุชัมซ์ ฮาชิม และ อัลมุตตอลิบเป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน และมารดาของพวกเขาคือ อาติกะห์บุตรสาวมุรเราะห์ และเนาฟัลเป็นพี่น้องของพวกเขาร่วมบิดาเดียวกัน[443]

รายงานหะดีษทั้งสองโดยบุคอรี และอะบูดาวูด

ทรัพย์สงครามที่ได้โดยง่าย[444]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“ทรัพย์สินใดที่อัลเลาะห์ทรงโปรดปรานแก่ศาสนทูต ของพระองค์โดยง่ายดายจากชาวเมือง แน่นอนมันจะต้องตกเป็นของอัลเลาะห์และศาสนทูต ของ ญาติสนิท ของลูกกำพร้าของคนยากไร้และคนเดินทาง”[445] อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าทรัพย์สินของพวกยะฮูด ตระกูลบะนีอันนะดีร นั้น เป็นทรัพย์สินที่อัลเลาะห์ได้โปรดประทานแก่ศาสนทูตของพระองค์โดยง่ายดาย เป็นทรัพย์สิน ที่มวลมุสลิมไม่ได้ทำให้หวาดหวั่นด้วยม้าและอูฐ[446] และมันก็ตกเป็นของท่านนบี ซ.ล. โดยเฉพาะท่านจะจ่ายให้แก่ครอบครัวของท่าน พอเป็นค่าใช้จ่ายหนึ่งปี ส่วนที่เหลือท่านได้นำ ไปจัดซื้อม้าและอาวุธ เป็นยุทธปัจจัยในวิถีทางของอัลเลาะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าตำบลใดทีพวกท่าน ไปถึง และเข้าตั้งหลักแหล่งอยู่ในตำบลนั้น ส่วนได้ของพวกท่านอยู่ในนั้น และตำบลใดที่ฝ่าฝืน อัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ เศษหนึ่งส่วนห้าของมันตกเป็นของอัลเลาะห์และศาสนทูต ของพระองค์ จากนั้นมันจีงตกเป็นของพวกท่าน[447]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

และอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าไม่ได้มีสิทธิ์ในทรัพย์สงครามที่ได้มาโดยง่ายยิ่ง กว่าพวกท่าน และไม่มีใครจากพวกเราที่จะมีสิทธิ์ได้มันยิ่งกว่ากัน[448] นอกจากพวกเราที่อยู่ใน ตำแหน่ง ตามคัมภีร์ของอัลเลาะห์ตาอาลา แลการแบ่งของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. (โดย พิจารณา) ชายคนหนึ่งกับการเข้าสู่อิสลามมาเก่าก่อน ชายคนหนึ่งกับภัยพิบัติที่ประสพ ชายคน หนึ่งกับครอบครัวของเขา และชายคนหนึ่งกับความจำเป็นของเขา[449]

และอิบนุอุมัร ได้เข้าไปหามุอาวิยะห์ แล้วกล่าวว่าจงระบุความจำเป็นของท่าน โอ้ อะบาอับดิรเราะห์มาน เขาจึงกล่าวว่า  คือการมอบให้แก่ทาส[450] เพราะความจริงข้าพเจ้า เห็นท่านนบี ซ.ล. ว่าประการแรกของสิ่งที่มีมายังท่าน จะเริ่มต้นที่พวกเขาก่อน

และเอาฟ์ บุตร มาลิก ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฎว่าท่านนบี ซ.ล. เมื่อทรัพย์สงคราม ที่ได้มาโดยง่ายมาถึงท่าน ท่านจะแบ่งปันมันในวันนั้น และท่านจะให้แก่ผู้ที่มีครอบครัวแล้ว สองส่วน และให้คนโสดเพียงส่วนเดียว 

รายงานหะดีษทั้งสามโดยอบูดาวูด ในเรื่องรายได้บำรุงท้องถิ่น

สิ่งต่างๆที่ท่านนบี ซ.ล. เลือกเอาและสิ่งที่ท่านละเลย[451]

เล่าจากอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. มีสิ่งที่ท่านเลือก เอาอยู่สามอย่างคือ บะนูอันนะดีร คอยบัร และฟะดัก[452] ส่วนบะนูอันนะดีรนั้นถูกเก็บ รักษาไว้เพึ่อใช้ยามฉุกเฉิน ส่วนฟะดักนั้นถูกเก็บรักษาไว้สำหรับคนเดินทาง และส่วนคอยบัรนั้น ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้แบ่งออกเป็นสามส่วน สองส่วนแบ่งปันกันในระหว่างมวล มุสลิม และอีกส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวของท่าน และสิ่งที่เหลือจากพวกเขา ท่าน ก็จะแบ่งปันให้ระหว่างผู้ยากไร้ชาวมุฮายิรีน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงฟาติมะห์ ร.ฎ. หลังการเสียชีวิตของท่านนบี ซ.ล. ได้มาขอส่วนแบ่งกองมรดกของนางที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ทิ้งไว้ จากอะบู  บักร์ เป็น ทรัพย์สงครามที่อัลเลาะห์ได้โปรดประทานแก่ท่านอย่างง่ายดาย และอะบู บักร์ได้กล่าวแก่นาง ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าเราจะไม่ถูกรับมรดก สิ่งที่เราทิ้งไว้เป็น ทาน และอะบู บักริได้กล่าวว่าข้าพเจ้าจะไม่ยอมทิ้งสิ่งใด ที่ท่านนบี ซ.ล. เคยปฎิบัติอยู่ ข้าพเจ้ากลัวว่า ถ้าหากข้าพเจ้าทิ้งสิ่งใดไป ข้าพเจ้าจะหันเห

และฟาติมะห์ ร.ฎ. ได้เคยขอส่วนแบ่งกองมรดกที่ท่านนบี ซ.ล. ทิ้งไว้ จากรายได้ ที่นครมะดีนะห์ จากคอยบัร และฟะดัก สำหรับรายได้ของท่านที่มะดีนะห์นั้น อุมัรได้จ่ายมัน ให้แก่อะลีและอับบาส แต่อะลีได้ข่มด้วยกำลังเอารายได้นั้นมาจากอับบาส ส่วนคอยบัรและ ฟะดัก อุมัรได้ยึดเอามันทั้งสองได้ โดยได้กล่าวว่าทั้งสองส่วนั้นเป็นทานของท่านนบี ซ.ล. ที่สำรองได้เพื่อสิทธิต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับท่าน และเพื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ของท่าน และกิจการของทั้งสองส่วนนั้น เป็นหน้าที่ของผู้นำที่จะดำเนินการ อุมัรได้กล่าวว่าและทั้ง สองส่วนนั้นก็คงอยู่อย่างนั้นจนถึงปัจจุปันนื้[453]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่ามรดกของข้าพเจ้า จะไม่ถูกแบ่งปันแม้เหรียญทองเดียว สิ่งที่ข้าพเจ้าทิ้งไว้หลังจากหักเป็นค่าใช้จ่ายแก่ภรรยาของ ข้าพเจ้า และโสหุ้ยคนงานของข้าพเจ้าแล้วถือว่าเป็นทาน[454]

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

และอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลลอฮ์ซ.ล. เสียชีวิตไป โดยในบ้าน ของข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดที่สิ่งมีชีวิตจะใช้บริโภคได้ นอกจากแป้งสาลีครึ่งถุง อยู่ในหิ้งของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ใช้มันบริโภคอยู่เป็นเวลานาน จนข้าพเจ้ารู้สึกเบื่อมัน มันจึงหมดไป[455]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ผู้ใดฆ่าศพหนึ่งสิ่งที่ติดตัวอยู่กับศพนั้นตกเป็นของเขา[456]

เล่าจากอะบีกอตาดห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเราได้ออกไปพร้อมกับท่านนบี ซ.ล. ในปีฮุนัยน์ ขณะเมึ่อทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ปรากฎว่าชัยชนะตกเป็นของมวลมุสลิม[457] และ ข้าพเจ้าได้แลเห็นชายคนหนงจากพวกผู้ตั้งภาคี ขื้นคร่อมชายคนหนึ่งจากมวลมุสลิม ข้าพเจ้า

จึงรีบไปจนถึงเขาทางด้านหลัง และข้าพเจ้าก็ได้ฟันเขาด้วยดาบไปที่ก้านคอของเขา เขาหันมา ทางข้าพเจ้าแลกอดข้าพเจ้าอย่างแรง ข้าพเจ้าได้กลิ่นแห่งความตายจากการกอดนั้น ต่อมา ความตายได้เถิดขึ้นแก่เขา และเขาก็ปล่อยข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ตามมาทันอุมัร บุตร ค็อตด๊อบ และ เขาได้กล่าวว่า  อะไรได้เกิดขึ้นแก่ประชาชน ข้าพเจ้าตอบว่า  กิจการของอัลเลาะห์[458] [459] จากนั้น ประชาชนก็พากันกลับ ท่านนบี ซ.ล. นั่งอยู่ท่านได้กล่าวว่า   ผู้ใดฆ่าศพหนึ่งโดยมีพยาน ยืนกันสิ่งที่ติดตัวอยู่กับศพนั้นตกเป็นของผู้ฆ่า ผู้เล่า (อะบี กอตาดะห์) ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ ลุกขื้นยืนแล้วกล่าวว่า  ใครจะเป็นพยานให้ข้าพเจ้าบ้าง1175 จากนั้นข้าพเจ้าก็นั่งลง ต่อมาท่าน นบีได้กล่าวคำพูดนั้นอีก ได้มีชายคนหนึ่งกล่าวว่า   เขาพูดจริง โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ และ ทรัพย์ติดตัวของคนที่เขาฆ่าก็อยู่ที่ข้าพเจ้า ดังนั้นท่านจงทำให้เขาพอใจแทนข้าพเจ้าด้วยอะบู  บักร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า   ไม่ ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ไม่ใช่คนนึ่ เขาจะไม่สนับสนุนทหารกล้า คนใดจากบรรดาทหารกล้าของอัลเลาะห์ที่ต่อสู้แทนอัลเลาะห์และศาสนทูตของอัลเลาะห์ ที่ เขาจะมอบทรัพย์ติดตัวข้าศึกที่เขาฆ่าตายให้ท่าน จากนั้นท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  เขาพูด จริง จงมอบให้เขาเถิด ผู้เล่า (อะบี กอตาดะห์) ได้กล่าวว่า   ต่อมาท่านนบีก็ได้มอบให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้ขายเสื้อเกราะตัวนั้น และเอาราคาของมันซื้อสวนแห่งหนึ่งในตระกูลบะนีซะลิมะห์ และแท้จริงมันเป็นทรัพย์แรกที่ข้าพเจ้าได้นำมาเป็นต้นทุนของทรัพย์ทั้งหมดที่ข้าพเจ้ามีในอิสลาม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และตัวบทของอะบีดาวูดว่า   ท่านนบี ซ.ล. ได้ตัดสินว่าทรัพย์ที่ติดตัวข้าศึกที่ถูก ฆ่าตายนั้นตกเป็นของผู้ฆ่าโดยท่านไม่ได้นำมันมาแบ่งเศษหนึ่งส่วนห้า[460]

กาฟิรที่เป็นคู่สงครามจะไม่ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของมุสลิม[461]

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า   ม้าตัวหนึ่งของเขาหายไป และฝ่ายศัตรูได้จับ เอาไป ต่อมาฝ่ายมุสลิมได้มีชัยชนะเหนือฝ่ายศัตรูนั้น ม้าตัวนั้นจึงถูกส่งคืนให้เขาในสมัยท่าน รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.[462]และทาสของเขาคนหนึ่งได้หลบหนีไปอาศัยอยู่ในแผ่นดินของฝ่าย โรมัน ต่อมาฝ่ายมุสลิมได้มีชัยชนะเหนือพวกนั้น และคอลิด บุตร อัลวลีด ได้นำทาสคนนั้น มาคืนให้เขา หลังจากท่านนบี ซ.ล. ได้เสียขีวิตไปแล้ว[463]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

ให้สินน้ำใจแก่ผู้หญิงและทาส[464]

เล่าจากยะซีด บุตร ฮุรมุซ ร.ฎ. ว่าความจริงนัจดะห์ อัลฮะรูรีย์ ได้มีสาส์นฉบับหนึ่ง ไปถึงอิบนิ อับบาส ถามเขาห้าปรการ อินนุ อับบาสได้กล่าวว่าถ้าหากข้าพเจ้าไม่กลัวว่าจะเป็น ภารปิดบังความรู้แล้วข้าพเจ้าจะไม่เขียนไปให้เขา นัจดะห์ใด้เขียนไปถึงเขาว่าจงบอกข้าพเจ้า เถิดว่าท่านนบี ซ.ล. เคยรบพร้อมกับพวกผู้หญิงไหม ท่านเคยกำหนดส่วนได้ของพวกผู้หญิงไหม ท่านเคยฆ่าพวกเด็กๆ ไหม ความเป็นกำพร้าจะหมดเมื่อใด และเศษหนึ่งส่วนห้า เป็นของใคร อิบนุ อับบาสได้เขียนตอบเขาไปว่าท่านได้เขียนถามข้าพเจ้าว่า ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. เคยออกรบพร้อมพวกผู้หญิงไหม ความจริงท่านเคยออกรบร่วมกับพวกผู้หญิง โดยพวกหล่อนจะทำหน้าที่เยียวยารักษาทหารที่บาดเจ็บ และพวกหล่อนได้รับทรัพย์สงคราม เป็นสินนํ้าใจด้วย[465] ส่วนการกำหนดส่วนได้นั้นไม่ได้กำหนด และท่านนบี ซ.ล. ไม่เคย ฆ่าเด็ก และท่านก็อย่าฆ่าเด็ก ๆ และท่านได้เขียนถามข้าพเจ้าว่า สภาพของการเป็นกำพร้าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ขอสาบานว่า แท้จริงผู้ชายนั้นเคราของเขาจะด้องงอกขื้นมา และความจริง เขาย่อมอ่อนแอที่จะเอามาเพื่อตัวเขาเอง อ่อนแอที่จะให้ออกไปจากตัวเขา และเมื่อเขาเอาผล ประโยชน์ของสิ่งที่ประชาชนโดยทั่วไปก็จะเอามาเป็นของเขา สภาพการเป็นกำพร้าจสิ้นสุด ไปจากเขา[466] และท่านได้เขียนถามข้าพเจ้าถึงเศษหนึ่งส่วนห้าว่าเป็นของใคร ความจริงพวก เราเคยกล่าวว่ามันเป็นของพวกเรา แต่พวกพ้องของเราได้ยับยั้งมันไว้เหนือพวกเรา[467]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และในรายงานหนึ่งของมุสลิมว่าเขาได้เขียนไปถามอิบนิ อับบาส เกี่ยวกับทาสและ ผู้หญิงที่ทั้งสองปรากฏตัวอยู่ที่ทรัพย์สงครามว่าทั้งสองจะได้รับส่วนแบ่งไหม อิบนุ อับบาสตอบว่าถ้าไม่กลัวว่าจะตกอยู่ในความโง่เขลาแล้วข้าพเจ้าจะไม่เขียนไปถึงเขา หลังจากนั้น อิบนุ อับบาสได้เขียนไปถึงเขาว่า ทั้งสองจะไม่มีสิทธิในสิ่งใดนอกจากที่คนทั้งสองจะได้เป็น สินนํ้าใจเท่านั้น แล้วอิบนุ อับบาสได้ตอบเขาเกี่ยวกับเด็กๆ ว่าท่านอย่าฆ่าพวกเขานอกจาก จะรู้จากพวกเด็กๆ นั้น เหมือนสิ่งที่เพื่อนของนบีมูซารู้จากเด็กที่เขาได้ฆ่า

การให้แก่คนที่ศรัทธายังไม่แก่กล้า[468]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าแท้จริงมีประชาชนกลุ่มหนึ่งจากชาวอันซอร ได้กล่าวในวัน ฮุนัยน์ ขณะที่อัลเลาะห์ใด้โปรดปรานแก่ศาสนพูดของพระองค์ ให้ได้ทรัพย์ของพวกฮะวาซิน อย่างง่ายดาย ตามที่อัลเลาะห์ได้โปรดปราน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เริ่มแจกให้พวกผู้ชาย ชาวกุเรซด้วยอูฐจำนวนหนึ่งร้อยตัว พวกเขา (บรรดาอัครสาวก) ได้กล่าวว่าขออัลเลาะห์ได้ โปรดอภัยให้แก่ท่านรอซูลุลเลาะห์ที่ท่านแจกให้แก่พวกกุเรซโดยปล่อยปละละเลยพวกเรา ทั้งที่ ดาบของพวกเราหยดลงเป็นเลือดของพวกนั้น ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ยินคำพูดของ พวกเขา ท่านจึงได้ส่งผู้แทนไปยังพวกอันซอร และนำพวกเขามาอยู่ในกระโจมหนังดิบ เมื่อ พวกเขาได้มาชุมนุมกันแล้วท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ก็ได้มาที่พวกเขา แล้วกล่าวว่าอะไร คือคำพูดที่ข้าพเจ้าได้รับทราบจากพวกท่าน                                                                                                                   พวกปราชญ์ชาวอันซอรได้กล่าวแก่ท่านว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ สำหรับพวกที่มีความคิดดีของพวกเรานั้นไม่ได้พูดสิ่งใดเลย ส่วนประชาชน ของเรากลุ่มหนึ่งที่เยาว์วัยอยู่[469] พวกเขาได้กล่าวว่าขออัลเลาะห์ได้โปรดอภัยให้แก่ท่าน รอซูลุลเลาะห์ ที่ท่านแจกให้แก่พวกกุเรซ และปล่อยปละละเลยพวกเรา ทั้งที่ดาบของพวกเรา หยดเป็นเลือดของพวกนั้น (พวกไร้ศรัทธา) ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าที่จริง ข้าพเจ้าแจกให้แก่คนที่ยังใหม่อยู่ด้วยการกุฟร์ (ไร้ศรัทธา) ก็เพื่อเสริมความคุ้นเคยแก่พวกเขา[470]พวกท่านไม่ยินดีอีกหรือ การที่ผู้คนเอาทรัพย์สมบัติไป โดยที่พวกท่านกลับไปยังที่พักของพวกท่านพร้อมด้วยศาสนทูตของอัลเลาะห์ ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า สิ่งที่พวกเจ้านำกลับไป นั้นดีกว่าสิ่งที่พวกเขานำกลับไป[471] พวกเขาได้กล่าวว่า  หามิได้ โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ พวก เรามีความยินดีแล้ว ท่านนบีได้กล่าวว่าต่อไปพวกท่านจะได้พบความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายแรง[472]ภายหลังข้าพเจ้า ดังนั้นพวกท่านจงอดทนเถิด จนกว่าจะได้พบกับอัลเลาะห์และศาสนทูตของ พระองค์ ความจริงข้าพเจ้าจะอยู่ที่สระนํ้า พวกเขากล่าวว่าพวกเราจะอดทน

เล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ชุมนุมชาวอันซอร แล้วกล่าวว่าในหมู่พวกท่านมีใครบ้างที่เป็นคนอื่น พวกเขาตอบว่าไม่มี นอกจากบุตรชายของพี่หรือน้องสาวของเรา ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าความจริงบุตรชายของ พี่หรือน้องสาวของพวกหนึ่งนั้นก็เป็นคนหนึ่งของพวกนั้นด้วย จากนั้นท่านได้กล่าวว่าความ จริงพวกกุเรชยังใหม่ด้วยยุคญาฮิลิยะห์ และภัยพิบัติ[473] และแท้จริงข้าพเจ้าต้องการชดเชย พวกเขา และเสริมความคุ้นเคยให้พวกเขา พวกท่านไม่ยินดีหรือที่ประชาชนจพากันกลับไป พร้อมกับดุนยา ส่วนพวกท่านจะกลับไปพร้อมด้วยศาสนทูตของอัลเลาะห์ ถ้าหากประชาชน เดินอยู่ในหุบเขาหนึ่ง และชาวอันซอรเดินทางอยู่ในทางซอกภูเขา ข้าพเจ้าจะต้องร่วมเดินทาง ซอกภูเขากับชาวอันซอร[474]

เล่าจากอับดิ้ลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าในวันฮุนัยน์ เมื่อท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มอบให้อย่างมากมายในการแบ่งบัน แก่ประชาชนกลุ่มหนึ่ง, ท่านได้ให้อัลอักเราะอุ บุตรฮาบิซ ด้วยอูฐจำนวนหนึ่งร้อยตัว และได้ให้แก่อุยัยนะห์ด้วยจำนวนที่เท่ากัน และได้มอบให้แก่อีก หลายคนจากลุ่มหัวหน้าของชาวอาหรับ และได้มอบให้แก่พวกเขาอย่างมากมายในการแบ่งปัน ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่าสาบานต่ออัลเลาะห์ แท้จริงนึ่คือการแบ่งบันที่ไม่มีความยุติธรรม และไม่ใช่เป็นการแบ่งปันที่มุ่งส่อัลเลาะห์ ผู้เล่า (อับดิ้ลลาห์) ได้กล่าวว่าข้าพเจ้ากล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้าจะแจ้งให้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ทราบอย่างแน่นอน และ ต่อมาข้าพเจ้าก็ได้แจ้งให้ท่านทราบตามที่ชายคนนั้นได้พูด ใบหน้าของท่านเปลี่ยนสีจนปรากฏ คล้ายเลือด ต่อมาท่านได้กล่าวว่าดังนั้นผู้ใดเล่าจะยุติธรรม ถ้าหากอัลเลาะห์และศาสนทูต ของพระองค์ไม่ยุติธรรม                จากนั้นท่านได้กล่าวว่าขอพระองค์อัลเลาะห์ทรงเมตตามมูซาที่ถูกรังควานยิ่งกว่านึ่ และเขาก็อดทน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าไม่มีทางอื่นแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่นำคำพูด ใดๆ ไปหาท่านอีกหลังจากนี้[475]                                                                                

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี และมุสลิมในเรื่องซะกาต

เล่าจากรอฟีอฺ บุตร คอดีจ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มอบ ให้แก่อะบู ซุฟยาน บุตร ฮัรบ์1 ซอฟวาน บุตร อุมัยยะห์, อุยัยนะห์ บุตร ฮิซน์, และอัลอักเราะอฺ บุตร ฮาบิช แต่ละคนด้วยอุ.ฐหนึ่งร้อยตัว และให้อับบาส บุตร มิรดาส ต่ำกว่านั้น อับบาส บุตร มิรดาส ได้กล่าวว่า ท่านจะกำหนดส่วนได้ของข้าพเจ้ากับส่วนได้ของอุบัยด์ ตํ่ากว่าส่วนได้ของอุยัยนะห์ และอัลอักเราะอุหรือ[476] ใช่ว่า บัดร์ และฮาบิซ จะเหนือกว่า มิรดาสในวงสังคมก็หาไม่[477]และข้าพเจ้าก็มิได้ต่ำต้อยกว่าผู้ใดจากคนทั้งสอง และคนใดที่ท่านลดให้เขาในวันนี้ เขาจะไม่มี โอกาสสูงส่งอีกเลย

ผู้เล่าได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ก็ได้มอบให้เขาครบหนึ่งร้อยตัว 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

ญิซยะห[478]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“พวกท่านทั้งหลายจงสู้รบอับบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อ อัลเลาะห์ ไม่ศรัทธาต่อวันสุดท้าย และพวกเขาไม่ยึดเอาสิ่งที่อัลเลาะห์และศาสนทูตของพร องคํกำหนดเป็นข้อห้ามมาเป็นข้อห้าม และพวกเขาไม่ได้นับลือศาสนาที่เที่ยงแท้ พวกเขาได้แก่ บรรดาผู้ที่ได้รับคำภีร์ จนกว่าพวกเขาจะต้องจ่ายญิซยะห์จากมือ โดยสภาพที่พวกเขาต้อยต่ำ”[479]อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอับดิรเราะห์มาน บุตร เอาฟ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้เอาญิซยะห์ จากพวกบูชาไฟที่เมืองฮยัร[480]ราVงานโตย มุตอรอรบูคาวค และตรมข

และท่านนบี ซ.ล. ได้เอาญิซยะห์ จากพวกบูชาไฟ ที่บาห้รอยน์ และอุมัรได้เอาญิซยะห์ จากพวกเปอร์เซีย และอุสมานได้เอาญิซยะห์จากพวกเปอร์เซีย หรือบัรบัร[481]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

เล่าจากอัมร์ บุตรเอาฟ์ อัลอันซอรี เป็นนักรบแห่งบัดร์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ซ.ล. ได้ส่งอะบู อุบัยดะห์ บุตรอัลญัรรอห์ ไปยังบาห์รอยน์ เพื่อนนำญิซยะห์ที่ บาห์รอยน์มา โดยที่ท่านนบี ซ.ล. ได้ทำการประนีประนอมกับชาวบาห์รอยน[482] .และท่าน ได้แต่งตั้งอัลอลาอุ บุตร อัลฮัดรอมีย์ เป็นผู้นำของพวกเขา อะบุ อุบัยดะห์ได้กลับเข้ามาพร้อม ด้วยทรัพย์สินจากบาห์รอยน์ ชาวอันซอรได้ยินข่าวการกลับมาของเขา และได้มาละหมาดซุบฮ์ ร่วมกับท่านนบี ซ.ล. เมื่อท่านได้ละหมาดร่วมกับพวกเขาแล้ว ก็หันกลับ พวกเขาได้ขัดขวาง ไว้ ท่านนบี ซ.ล. ยิ้มขณะที่เห็นพวกเขา แล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าคิดว่าพวกท่านคงได้ยินว่า อะบาอุบัยดะห์ได้นำสิ่งหนึ่งมา พวกเขากล่าวว่าถูกแล้ว โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านได้กล่าว ว่า  พวกท่านจงรับข่าวดีเถิด และจงตั้งความหวังในสิ่งที่จะทำให้พวกท่านดีใจ[483] สาบาน ต่ออัลเลาะห์ว่า ไม่ใช่ความยากจนหรอกที่ข้าพเจ้ากลัวจะประสพกับพวกท่าน แต่ที่ข้าพเจ้ากลัวว่า จะประสพกับพวกท่านคือ โลกนี้จะถูกเปิดกว้างแก่พวกท่านเหมือนดังที่มันเคยถูกเปิดให้แก่ผู้ คนในยุคก่อนพวกท่านอันจะเป็นเหตุให้พวกท่านแก่งแย่งกัน เหมือนดังที่พวกเหล่านั้นแก่งแย่ง กัน และมันก็จะทำความพินาศแก่พวกท่าน เหมือนที่มันเคยทำความพินาศแก่พวกนั้นมาแล้ว 

เล่าจากยุเบร บุตร ฮัยยะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าอุมัรได้ส่งประชาชนไปหัวเมืองใหญ่ ต่างๆ เพื่อสู้รบกับพวกผู้ตั้งภาคี ต่อมาอัลฮุรมุซานได้เข้านับถืออิสลาม อุมัรได้กล่าวว่าข้าพเจ้า ขอปรึกษาท่านในสงครามเหล่านี้ของข้าพเจ้า[484] เขากล่าวว่า  ครับ ข้อเปรียบเทียบสงคราม เหล่านี้และประชาชนที่อยู่ในสงครามเหล่านี้ ที่เป็นศัตรูของฝ่ายมุสลิม เหมือนกับนกตัวหนึ่ง มีหัว มีสองปีก มีสองเท้า ถ้าหากปีกข้างหนึ่งถูกตัด สองเท้าของมันจะสามารกลุกชื้นโดยอาศัย ปีกอีกข้างหนึ่ง และหัวของมันก็จะโงชึ้นได้ ถ้าหากปีกอีกข้างหนึ่งของมันถูกตัด สองเท้าและ หัวของมันก็ยังลุกชื้นได้ และถ้าหากหัวของมันถูกตัด สองเท้าสองปีก และหัวของมันก็จะหาย ไปหมด หัวคือ กิสรอ ปีกข้างหนึ่งคือกอยซอร อีกข้างหนึ่งคือ เปอร์เซีย ดังนั้นท่านจงบัญชา มวลมุสลิมให้ไปยังกิสรอ[485] ผู้เล่าได้กล่าวว่า   ต่อมาอุมัรได้บัญชาให้พวกเราออกไป และได้แต่งตั้งอันนัวอุมาน บุตร มุกอรริน ให้เป็นผู้นำของพวกเรา จนเมื่อพวกเราได้ไปอยู่ในดินแดน ของศัตรู แม่ทัพของกิสรอได้ออกมาเผชิญกับพวกเราในท่ามกลางทหารสี่หมื่นคน ล่ามของ พวกเขาได้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า  ให้ตัวแทนของพวกท่านคนหนึ่งพูดกับข้าพเจ้า อัลมุฆีเราะห์[486] ได้กล่าวว่าจงถามตามที่ท่านต้องการเถิด เขากล่าวว่าพวกท่านเป็นใคร           เขาตอบว่า พวกเราคือ ชนชาวอาหรับ พวกเราตกอยู่ในความชั่วที่ร้ายแรง และภัยพิบัติที่หนักหน่วง พวก เราดูดหนังและเมล็ดอินผลัมด้วยความหิวโหย พวกเราสวมเครื่องนุ่งห่มที่ทำจากขนสัตว์ชนิด ละเอียดและชนิดหยาบ พวกเราเคารพสักการะต้นไม้และก้อนหิน ในขณะที่พวกเราอยู่ในสภาพ ดังกล่าวนั้น ผู้อภิบาลชั้นฟ้าและผู้อภิบาลแผ่นดิน ผู้ทรงสูงยิ่งด้วยการรำลึกถึงพระองค์ และ เกรียงไกรด้วยความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ก็ได้ส่งนบีท่านหนึ่งจากพวกเราเองมายังพวกเรา พวก เรารู้จักพ่อและแม่ของเขา และนบีของเราที่เป็นศาสนทุตขององค์อภิบาลของพวกเรา ได้มี คำสั่งให้พวกเราสู้รบกับพวกท่าน จนกว่าพวกท่านจะเคารพสักการะอัลเลาะห์องค์เดียว หรือ พวกท่านจะต้องจ่ายญิซยะห์ และนบี ซ.ล. ของเราได้แจ้งให้พวกเราทราบเกี่ยวกับสาส์นแห่ง องค์อภิบาลของเราว่า ผู้ใดจากพวกเราที่ถูกฆ่าเขาจะได้ไปสู่สวรรค์อยู่ในความสุขที่เขาไม่เคย พบเห็นเช่นนั้นเลย และผู้ใดจากพวกเราที่มีชีวิตอยู่ เขาก็จะได้ปกครองต้นคอของพวกท่าน

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้ส่งคอลิด บุตรอัลวะลีด ไป ยังเจ้านครดูมะห์[487] และพวกเขาได้นำตัวเจ้านครมายังท่านนบี ซ.ล. ท่านนบีได้สงวนเลือด ของเขา และได้ประนีประนอมกับเขาโดยการจ่ายญิซยะห์[488]

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้ประนีประนอมกับชาว นัจรอน โดยการจ่ายเครื่องแต่งกายสองพ้นชุด ครึ่งหนึ่งจ่ายในเดือนซอฟัร และอีกครึ่งหนึ่งจ่าย ในเดือนรอยับ โดยจะจ่ายมันให้กับมวลมุสลิม และจะต้องให้ขอยืมเสื้อเกราะสามสิบชุด ม้า สามสิบตัว อูฐสามสิบตัว และอาวุธต่างๆ ที่มุสลิมต้องใช่ในการสงครามประเภทละสามสิบ ชั้น โดยฝ่ายมุสลิมรับประกันความเสียหายให้ จนกว่าจะส่งมันคืนกลับไปให้พวกเขา ถ้าหาก เกิดสงครามที่มีการผิดสัญญาขึ้นที่ยะมัน โดยแลกเปลี่ยนกับการที่โบสถ์ของพวกเขาจะไม่ถูก ทำลาย และนักบวชของพวกเขาจะไม่ถูกขับออกไป และพวกเขาจะไม่ถูกรบกวนเกี่ยวกับ

ศาสนาของพวกเขา ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ก่อเหตุการณ์ใดๆ [489] หรือกินริบา (ดอกเบี้ย)

รายงานหะดีษทั้งสองโดยอะบี ดาวูด

เล่าจากมุอาซ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ขณะที่ได้ส่งเขาไปยังยะมัน ได้ใช้ให้ เขาเก็บญิซยะห์ จากผู้บรรลุศาสนภาวทุกคน คนละหนึ่งเหรียญทอง หรือมูลค่าเท่ากับหนึ่ง เหรียญทองเป็นผ้า 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และได้มีผู้ถามมุญาฮิดว่าชาวชามเป็นอย่างไรจึงกำหนดให้เก็บญิซยะห์สีเหรียญทอง และเก็บชาวยะมันหนึ่งเหรียญทอง มุญาฮิดตอบว่าที่กำหนดเช่นนั้นก็เพราะความรํ่ารวย[490]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

สิบชักหนึ่ง

เล่าจากฮัรบ์ บุตร อุบัยดิลลาห์ ร.ฎ. จากปู่ของเขาที่เป็นบิดาของมารดาเขา จากท่าน นบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าความจริงระบบสิบชักหนึ่งนั้นกำหนดเฉพาะพวกยะฮูด และน่าซอรอ โดยจะไม่ใช้ระบบสิบชักหนึ่งกับมวลมุสลิม[491]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

การยักยอกเป็นสิ่งต้องห้าม[492]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“และผู้ใดยักยอก เขาจะต้องนำสิ่งนั้นมาในวันกิยามะห์ จากนั้นทุกชีวิตจะถูกตอบแทนทุกอย่างครบถ้วนตามที่เขาได้พากเพียรไว้ โดยจะไม่ถูกคดโกงเลย” 

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่ามีชายคนหนึ่งมีชื่อเรียกว่า กัรกะเราะห์ เขาตกเป็นภาระของท่านนบี ซ.ล. ในการเดินทาง ต่อมาเขาได้เสียชีวิตลง ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าเขาอยู่ในนรก พวกเราจึงไปดูเขาก็ได้พบเสื้อคลุมตัวหนึ่งที่[493]เขาได้ยักยอกเอาไป

รายงานหะดีษโดย บุคอรี 

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเราได้ออกไปกับท่านนบี ซ.ล. ในปีคอยบัร โดยพวกเราไม่ได้รับทองคำ และแม้แต่เงินเป็นทรัพย์สงคราม นอกจากผ้า ข้าวของ และทรัพย์สินต่างๆ ต่อมาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มุ่งตรงไปยังวาดี อัลกุรอ ก็ได้มี ผู้นำเอาทาสผิวดำคนหนึ่งที่มีซื่อว่า มิดอัม มามอบให้ท่านเป็นของกำนัล[494] และในขณะที่เขา กำลังดึงพาหนะของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ให้หยุด ได้มีลูกธนูมาโดนเขา และมันได้ทำ ให้เขาเสียชีวิต ประชาชนพากันกล่าวว่าสวรรค์เป็นสิ่งสดวกแก่เขาแล้ว ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าหามิได้ สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า แท้จริง เทียนเล่มหนึ่งที่เขาได้เอาไปในวันคอยบัร จากทรัพย์สงครามที่ยังไม่ได้แบ่งนั้น มันจะลุกเป็นไฟอยู่เหนือเขา เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้น ได้มีชายคนหนึ่งนำเอาเชือกหนังผูกรองเท้าหนึ่งเส้น หรือสองเส้นมาคืนให้ท่านนบี ซ.ล. และท่านได้กล่าวว่า เชือกหนังผูกรองเท้าหนึ่งเส้นหรือ สองเส้นมาจากไฟนรก[495] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และชายคนหนึ่งจากบรรดาอัครสาวกได้เสียชีวิตลงในวันคอยบัร และท่านนบี ซ.ล. ได้ทราบข่าวนั้นท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงละหมาดให้แก่เพื่อนของพวกท่านตามลำพังเถิดใบหน้าของประชาชนเปลี่ยนสีทันที และท่านได้กล่าวว่า            แท้จริงเพื่อนของพวกท่านได้ยักยอกในวิถิทางของอัลเลาะห์ พวกเขาจึงทำการค้นข้าวของของเขา และก็ได้พบลูกปัดของพวกยะฮูด ที่มีมูลค่าไม่ถึงสองดิรฮัม

เล่าจากอะบี มัสอูด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้แต่งตั้งข้าพเจ้าให้เป็นเจ้า หน้าที่เก็บซะกาต แล้วท่านกล่าวว่า จงออกเดินทางไปเถิด โอัอะบา มัสอูด ไม่สมควรที่จะ พบท่านมาในวันกิยามะห์ โดยมีอูฐ ซอดาเกาะห์ (ซากาต) ส่งเสียงร้องอยู่บนหลังของท่าน ที่ ท่านได้ยักยอกเอามันไป เขาได้กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าก็จะไม่ไป ท่านนบีได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้า ก็จะ ไม่บังคับท่าน 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

และได้มีผู้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริงคนนั้นได้เสียชีวิตในสภาพที่เป็นนักรบ ชะฮีด ท่านได้กล่าวว่า หามิได้ ความจริงข้าพเจ้าเห็นเขาอยู่ในไฟนรก เพราะเสื้อคลุมตัวหนึ่ง ที่เขาได้ยักยอกมัน ต่อมาท่านได้กล่าวว่า จงลุกขื้นเถิด โอ้ อุมัร แล้วจงปรกาศว่า จะไม่ได้ เข้าสวรรค์นอกจากพวกที่มีศรัทธาเท่านั้น ท่านได้กล่าวสามครั้ง[496]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี

โทษทัณฑ์ของคนยักยอก[497]

เล่าจากอุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อท่านทั้งหลายพบชายคนหนึ่ง ยักยอก ท่านทั้งหลายจงเผาข่าวของของเขา และจงเฆี่ยนเขา เขา (ผู้เล่า) ได้กล่าวว่า ต่อมา พวกเราได้พบในข้าวของของเขามีอัลกุรอาน พวกเราได้ถามซาลิมเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาได้กล่าว ว่า จงขายมัน และนำราคาของมันไปทำทาน                                                

รายงานหะดีษโดยอะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอัมร์ บุตรชุอัยบ์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. อะบูปักร์ และอุมัร ได้เผาข้าวของของผู้ที่ยักยอก และได้ตีเขา 

รายงานหะดีษโดยอะบูดาวูด

เชลยศึก[498]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“โอ้นบีจงประกาศแก่ผู้ที่อยู่ในมือของพวกท่านที่เป็นเชลยว่า ถ้าหากอัลเลาะห์รู้สิ่งดีงามในหัวใจของพวกท่าน[499] พระองค์จะต้องประทานแก่พวกท่าน ดีกว่าทีถูกเก็บเอาไปจากพวกท่าน[500] และพระองค์จะอภัยโทษแก่พวกท่าน และอัลเลาะห์ทรง อภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง”[501]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ทรงพอใจ คนกลุ่มหนึ่งที่เข้าสวรรค์ โดยที่พวกเขาถูกล่ามโซ่1218                                                                                                                                       

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่า  ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ส่งกอง ทหารม้าไปทางนัจด์ แลกองทหารนั้นได้นำชายคนหนึ่งจากตระกูล บะนี ฮะนีฟะห์มา เขา มีชื่อเรียกว่า ซุมามะห์ บุตร อุซาล หัวหน้าของชาวยะมามะห์ และพวกเราได้นำเขาไปผูกไว้ กับเสาต้นหนึ่ง จากบรรดาเสาของมัสยิด ต่อมาท่านนบี ซ.ล. ได้ออกมาหาเขาแล้วกล่าวว่า ท่านคิดว่าข้าพเจ้าจะทำอะไรกับท่านบ้าง โอ้ซุมามะห์ เขาตอบว่า ข้าพเจ้ามีความคิดที่ดีต่อ ท่าน โอ้ มุฮัมมัด ถ้าหากท่านฆ่า ท่านก็ฆ่าผู้ที่มีเลือด และถ้าหากท่านให้ความโปรดปราน ท่านก็ให้ความโปรดปรานแท่ผู้ที่สำนึกในบุญคุณ1219 และถ้าหากท่านปรารถนาทรัพย์สิน ก็ขอ มาเถิด ท่านจะได้ตามที่ปรารถนา ท่านนบี ซ.ล. ได้ผละจากเขาไป จนได้กลับมาอีกในวันรุ่งขึ้น และได้กล่าวว่า ท่านคิดว่าข้าพเจ้าจะทำอะไรกับท่านบ้าง โอ้ ซุมามะห์ เขาตอบว่า ข้าพเจ้า คิดเหมือนที่ได้พูดไว้กับท่านแล้ว ถ้าหากท่านโปรดปราน ท่านก็โปรดปรานแก่ผู้ที่สำนึกในบุญคุณ และถ้าหากท่านฆ่า ท่านก็ฆ่าคนที่มีเลือด และถ้าหากท่านปรารถนาทรัพย์สินก็จงขอเถิด ท่าน จะได้รับมันตามประสงค์ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจงปล่อยซุมามะห์ เถิด จากนั้นเขาได้ไปยังสวนอินทผลัมใกล้ๆ มัสยิด เขาได้อาบน้ำแล้วเข้าไปในมัสยิด จากนั้น ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ และข้าพเจ้าขอ ปฏิญาณว่า แท้จริงมุฮัมมัดเป็นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์ โอ้ มุฮัมมัด สาบานต่อ อัลเลาะห์ว่าไม่มีใบหน้าใดในหน้าแผ่นดินนี้ที่ข้าพเจ้าจะชิงชังมันยิ่งกว่าใบหน้าของท่าน บัดนี้ ใบหน้าของท่านเป็นใบหน้าที่ข้าพเจ้ารักมากยิ่งกว่าใบหน้าทั้งปวง สาบานต่ออัลเลาะห์ว่าไม่มีศาสนาใดที่ข้าพเจ้าแค้นเคืองยิ่งกว่าศาสนาของท่าน และศาสนาของท่านได้กลายเป็นศาสนาที่ข้าพเจ้ารักที่สุดยิ่งกว่าศาสนาใดทั้งหมด สาบานต่ออัลเลาะห์ว่าไม่มีบ้านใดที่ข้าพเจ้าจะ ชิงชังยิ่งกว่าบ้านเมืองของท่าน                                                           บัดนี้บ้านเมืองของท่านได้กลายเป็นบ้านเมืองที่ข้าพเจ้ารักยิ่งกว่าบ้านเมืองทั้งปวง และความจริงกองทหารของท่านได้จับตัวข้าพเจ้ามา ขณะที่ข้าพเจ้าปรารถนาไปทำอุมเราะห์ แล้วท่านจะมีความเห็นว่าอย่างไร ท่านนบี ซ.ล. ได้แจ้งข่าวดีแก่เขา และได้ใช้ให้เขาไปทำอุมเราะห์ เมื่อเข้าสู่นครมักกะห์ได้มีผู้กล่าวแก่เขาว่า ท่านทิ้งศาสนาของท่านแล้วหรือ เขาได้กล่าวว่า เปล่า แต่ข้พเจ้ายอมมอบตัวต่อท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. และไม่ ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า จะไม่มีข้าวสาลีสักเมล็ดเดียวที่มาจากยะมามะห์มาถึงพวกท่าน จนกว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. จะอนุมัติให้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และเล่าจากอะบี มูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าพวกท่านจงไถ่ตัวเชลย จงตอบสนองผู้เชื้อเชิญ จงเลี้ยงอาหารคนที่หิวโหย และจงเยี่ยมผู้ป่วย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะห์มัด

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ว่าเขาได้พรากทาสหญิงกับลูกของหล่อน และท่านนบี ซ.ล. ได้ห้ามเขาจากการกระทำดังกล่าว และได้ส่งคืนการขาย

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

 

ผู้นำมีอำนาจสั่งปล่อย เอาค่าไถ่ตัว และสั่งฆ่า

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า

“และบางทีท่านก็ปล่อย (เชลย)  ให้เป็นอิสระในภายหลังและบางทีท่านก็อาจเรียกค่าไถ่ จนกระทั่งการรบได้สงบราบคาบลง”

จากอะลี ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ญิบรีลได้ลงมายังท่าน แล้วกล่าวแก่ท่านว่า จงให้บรรดาอัครสาวกของท่านเลือกในเชลยศึกที่บัดร์ว่าจะเอา การฆ่า หรือเอาค่าไถ่ แลกเปลี่ยนกับการที่พวกเขาจะถูกฆ่าในจำนวนที่เท่ากันกับพวกศัตรู พวกเขาได้กล่าวว่า พวกเราเลือกเอาค่าไถ่ แลกกับการที่พวกเราจะต้องถูกฆ่า

เล่าจากอิมรอน บุตรฮุซอยน์ ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้ไถ่ตัวสองคนจากพวกมุสลิม ด้วยคนหนึ่งจากพวกผู้ตั้งภาคี

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กำหนดค่าไถ่ตัวชาว ญาฮิลิยะห์ในวัน บัดร์ สี่ร้อยดิรฮัม

เล่าจากมัรวาน ร.ฎ. ได้กล่าวว่า คณะของพวกฮะวาซินที่เป็นมุสลิม ได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  และขอร้องท่านนบีให้คืนทรัพย์สินและเชลยของพวกเขาท่านได้กล่าวแก่พวกเขาว่า คำพูดที่ข้าพเจ้ารักยิ่ง คือ พูดจริง ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงเลือกเอาหนึ่งจากสองพวก คือบางทีเชลย และบางทีทรัพย์สิน และข้าพเจ้าจะรอคอยพวกเขา ท่านนบี ซ.ล. ได้รอคอยคนสุดท้ายของพวกเขาเป็นเวลาสิบกว่าวัน ขณะที่พวกเขากลับมาจากฏออีฟ พวกเขาได้กล่าวว่าแท้จริงพวกเราเลือกเอาเชลยของเรา ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ลุกขึ้นยืนท่ามกลางมวลมุสลิม ท่านได้กล่าวสดุดีอัลเลาะห์อย่างสมเกียรติ จากนั้นท่านได้กล่าวว่า แท้จริงพี่น้องเหล่านี้ของพวกท่านได้มาอย่างสำนึกตัว และข้าพเจ้าก็เห็นควรที่จะคืนเชลยศึกของพวกเขาให้แก่พวกเขา ผู้ใดต้องการจะทำดี ให้เขาจงกระทำเถิดลู้ใดจากพวกท่านที่จะเอาไว้เป็นส่วนของเขา จนกว่าเราจะมอบมัน(เป็นการแลกเปลี่ยน) ให้แก่เขา จากสิ่งแรกที่อัลเลาะห์ประทานเป็นทรัพย์สงครามแก่เรา ให้เขาจงกระทำเถิด ประชาชนได้พากันกล่าวว่า เรายอมสละมันให้แก่พวกเขา โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงเราไม่รู้ว่าใครบ้างของพวกท่านที่ยินยอมในเรื่องนี้ และใครบ้างที่ไม่ยินยอม ดังนั้นพวกท่านจงกลับไป พวกหัวหน้าของพวกท่านจะนำเรื่องของพวกท่านเสนอขึ้นมายังเรา ประชาชนจึงกลับไป พวกหัวหน้าได้เจรจากับพวกเขา หลังจากนั้นได้กลับไปหาท่านนบี ซ.ล. และได้แจ้งให้ท่านทราบว่า พวกเขาได้ยอมเสียสละและยินยอมแล้ว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เมื่อทาสเข้านับถือศาสนาอิลามจะไม่ต้องถูกส่งคืน 1003

จากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกทาสได้ออกไปยังท่านนบี ซ.ล. ในวันฮุดัยบิยะห์ ก่อนการเจรจาไกล่เกลี่ย นายของพวกทาสเหล่านั้นได้เขียนสาส์นมาถึงท่านนบีว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ โอ้ มุฮัมมัด พวกเขาไม่ได้ท่านเพราะปรารถนาในศาสนาของท่าน แต่ที่พวกเขาออกไปก็เพื่อหลบนี้จากการเป็นทาส ประชาชนกลุ่มหนึ่งได้กล่าวว่า พวกนั้นพูดจริง โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ จงส่งพวกทาสกลับไปให้พวกนั้นเถิด ท่านนบี ซ.ล. เกิดความโกรธแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่คิดว่าพวกท่านจะยุติ โอ้พวกกุเรช จนกว่าอัลเลาะห์จะส่งมาจัดการกับพวกท่าน ผู้ที่จะมาฟันคอของพวกท่านในเรื่องนี้ และท่านนบีก็ไม่ยอมส่งทาสคืนไปให้ ท่านได้กล่าวว่า พวกเขาถูกปลดปล่อยแล้วโดยอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

อนุญาตอาหารในแผ่นดินศัตรู 1004

เล่าจากอับดิลลาฮ์ บุตร มุฆอฟฟัล ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พบกระสอบบรรจุไขมันในวันคอยบัร และข้าเจ้าก็ได้ยึดมันไว้ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้สิ่งใดจากนี้แก่ผู้ใดในวันนี้ ผู้เล่าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าหันไปพบกับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กำลังยิ้มอยู่

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเคยได้น้ำผึ้งและองุ่นในสงครามบางครั้งของพวกเรา และพวกเราได้รับประทานโดยไม่ได้นำเสนอขึ้นไป

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากอับดิลลาฮ์  ว่ากองทหารได้ทรัพย์สงครามในสมัยท่านนบี ซ.ล. เป็นอาหารและน้ำผึ้ง และมันจะไม่ถูกหักออกจากพวกเขา เป็นเศษหนึ่งส่วนห้า

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก อุกบะห์ บุตร อามีร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ากล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริงพวกเราจะต้องเดินทางผ่านพวกหนึ่ง และพวกเขาจะไม่ยอมให้การต้อนรับพวกเราในฐานะอาคันตุกะ และจะไม่ทำตามหน้าที่ของพวกเขาที่มีต่อเรา และพวกเราก็จะไม่ได้จากพวกเขา ท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า ถ้าหากพวกเขาฝ่าฝืน นอกจากพวกท่านจะเอาโดยการบังคับ ก็ให้พวกท่านเอาเถิด

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

ของกำนัลจากผู้ตั้งภาคีจะต้องถูกส่งคืน

จากอะลี ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้รับของกำนัลจากกิสรอ และความจริงบรรดากษัตริย์ต่างๆ ก็ได้มอบของรางวัลให้ท่าน และท่านก็ได้รับจากพวกเขา

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

เล่าจากอิยาด บุตร ฮิมารว่า แท้จริงเขาได้มอบของกำนัลชิ้นหนึ่งแก่ท่านนบี ซ.ล. หรือมอบอูฐตัวเมียให้ตัวหนึ่ง ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านเข้าสู่อิสลามแล้วหรือ เขาตอบว่า เปล่า ท่านนบีได้กล่าวว่าความจริงข้าพเจ้าถูกห้ามรับของกำนัล จากพวกผู้ตั้งภาคี

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

อนุญาตให้ทำลายทรัพย์สินของพวกกาฟิร

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่าท่านนบี ซ.ล. ได้ตัดต้นอินทผลัมของพวกบะนี อันนะดีร และได้เผา และสำหรับเหตุการณ์นี้ ฮํววานได้กล่าวว่า และได้ทำความตกต่ำแก่เชลยศึกแห่งบะนี ลุอัยย์ เปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงที่บุวัยเราะห์

และในเหตุการณ์นี้ อัลกุรอานก็ได้ลงมาว่า “อินทผลัมต้นใดที่พวกท่านได้ตัดมันหรือปล่อยให้มันยืนต้นอยู่ นั่นเป็นไปโดยอนุมัติของอัลเลาะห์ เพื่อพระองค์จะให้บรรดาผู้ที่ละเมิดตกต่ำ”

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากญะรีร บุตร อับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า จงทำให้ข้าพเจ้าสบายจาก ซิลคอลาเซาะห์ด้วยเถิด และมันเป็นบ้านหลังหนึ่งอยู่ในเผ่าคอชอัม เรียกว่า กะอฺบะห์แห่งยะมันข้าพเจ้าจึงออกเดินทางไปกับนักรบจากเผ่าอะห์มัส จำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบคน พวกเขามีม้า และข้าพเจ้าได้แจ้งแก่ท่านนบี ซ.ล.ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจอยู่บนหลังม้าได้ ท่านได้ตบอกข้าพเจ้าและเห็นรอยนิ้วมือของท่านที่อกของข้าพเจ้า แล้วท่านได้กล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดให้เขายืนหยัดอย่างมั่นคง และได้โปรดให้เขาเป็นผู้นำทางที่ได้รับทางนำ จากนั้นเขาก็ได้ออกเดินทางไปยังซิลคอลาเซาะห์ ได้ทำลายและเผามัน ต่อมาเขาได้ส่งคนไปยังท่านนบี ซ.ล. แจ้งข่าวดีแก่ท่าน ทูตของยะรีรที่ส่งมาได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  สาบานต่อผู้ที่แต่งตั้งท่านด้วยสัจธรรม ข้าพเจ้าไม่ได้ทิ้งมันไว้ คล้ายอูฐที่เป็นขี้กลาก ดังนั้นขอความมีสิริมงคลจงประสพแก่ม้าเผ่าอะห์มัส  และทหารของเผ่า ท่านได้กล่าวถึงห้าครั้ง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และอะห์มัด

การประนีประนอมและสัญญาสงบศึก 1006

เล่าจากอัลบะรออฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อท่านนบี ซ.ล. ถูกปิดล้อมจากบัยตุลเลาะห์ ชาวมักกะห์ได้เจรจาไกล่เกลี่ยกับท่าน ยอมให้ท่านเข้ามักกะห์ได้ และยอมให้พำนักอยู่ในมักกะห์ได้สามวัน และท่านนบีจะต้องไม่เข้าไปนอกจากมีเพียงอาวุธประจำกายอันได้แก่ดาบและฝักเข้าไปด้วยเท่านั้น และจะนำใครที่เป็นชาวมักกะห์กลับออกมากับท่านด้วยไม่ได้ และท่านจะห้ามผู้ใดที่มากับท่านที่เขาต้องการอยู่ที่มักกะห์ไม่ได้ ท่านได้กล่าวแก่อะลีว่าจงเขียนเงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นข้อตกลงระหว่างเราด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงทรงกรุณา นี่คือสิ่งที่มุฮัมมัดศาสนทูตของอัลเลาะห์ยอมตกลงด้วย ถ้าหากพวกเรารู้ว่าท่านเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ พวกเราคงตามท่านแล้ว แต่จงเขียนว่า มุฮัมมัด บุตรอับดุลเลาะห์ ท่านนบีจึงได้ใช้ให้อะลีลบประโยคดังกล่าว อะลีได้กล่าวว่า ไม่ สาบานต่ออัลเลาะห์ว่าข้าพเจ้าจะไม่ลบมัน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.จึงกล่าวว่า จงให้ข้าพเจ้าเห็นว่ามันอยู่ตรงไหน อะลีจึงทำให้ท่านเห็นตำแหน่งของมัน ท่านได้ลบมันออกและเขียนว่า บุตรอับดุลเลาะห์ลงไปแทน ท่านได้พำนักอยู่ที่มักกะห์เป็นเวลาสามวัน เมื่อถึงวันที่สาม พวกเขาได้กล่าวแก่อะลีว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วตามข้อตกลงที่ทำไว้กับเพื่อนของท่าน จงใช้เขาให้ออกไป อะลีจึงได้เรียนให้ท่านทราบ ท่านได้กล่าวว่า ครับ และท่านก็ได้ออกไป

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอัลมิสวัร บุตร มัครอมะห์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงพวกเราได้ประนีประนอมพักรบเป็นเวลาสิบปี โดยมนุษย์จะมีความปลอดภัยในช่วงสิบปีนี้ และโดยที่ระหว่างเรามีเพียงหัวใจที่บริสุทธิ์ และจะไม่มีการลักขโมย และไม่มีการทุจริตต่อกัน

ญุบัยร์ บุตร นุฟัยร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้เดินทางไปหาซีมิคบัร ร.ฎ. และได้ถามเขาถึงเรื่องสัญญาสงบศึก เขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. กล่าวว่า พวกท่านจะทำการเจรจาประนีประนอมกับพวกโรมัน เป็นการเจรจาให้ความปลอดภัย และพวกท่านกับพวกเขาจะตกลงร่วมกันทำสงครามกับศัตรูที่มาจากด้านหลังของพวกท่าน

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

มุสลิมจะให้ความปลอดภัยแก่ใครก็ได้ที่เขาต้องการ

อุมมิ ฮานิอ์ บุตรี อะบี ตอลิบ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ลูกชายมารดาของข้าพเจ้า คืออะลีตั้งใจจะฆ่าชายคนหนึ่งที่ข้าเจ้าได้คุ้มครองเขา ชายคนนั้นคือ บุตรของฮุบัยเราะห์ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.ได้กล่าวว่า เราได้ให้ความคุ้มครองผู้ที่เธอให้ความคุ้มครองแล้ว โอ้อุมุ ฮานิอ์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และติรมิซี

และตัวบทของติรมิซีว่า ข้าพเจ้าได้ให้ความคุ้มครองแก่ชายสองคน จากญาติฝ่ายสามีของข้าพเจ้า และท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงเราได้ให้ความปลอดภัย แก่ผู้ที่เธอให้ความปลอดภัยแล้ว

เล่าจากอะลี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า พันธะหนึ่งของมวลมุสลิมนั้น แม้มุสลิมที่ต่ำต้อยที่สุดก็ใช้พันธะนี้ได้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี 

บรรดาทูตทั้งหลายจะไม่ถูกสังหาร

เล่าจากนุอัยม์ บุตร มัสอูด อัลอัชยะอีย์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยิน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กล่าวแก่ทูตทั้งสองของมุซัยลิมะห์ ขณะที่ท่านได้อ่านสาส์นของเขาแล้วว่า ท่านทั้งสองมีคำพูดอะไรบ้าง เขาทั้งสองได้กล่าวว่า เราทั้งสองมีคำพูดเหมือนมุซัยลิมะห์พูด ท่านนบีได้กล่าวว่า พึงทราบไว้เถิด ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ถ้าแม้ไม่เคยปรากฏมาก่อนว่าบรรดาทูตไม่ถูกฆ่าแล้ว แน่นอนข้าพเจ้าจะต้องฟันคอท่านทั้งสองอย่างแน่นอน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

จารชนจะต้องถูกสังหาร

เล่าจากซะละมะห์ บุตร อัลอักวะอ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีจารชนคนหนึ่ง จากพวกผู้ตั้งภาคีได้มายังท่านนบี ซ.ล. และที่ท่านอยู่ในการเดินทาง จารชนคนนั้นได้มาอยู่ปะปนกับเหล่าอัครสาวกของท่าน พูดคุย หลังจากนั้นได้หลบหนีไป ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจงติดตามเขาไปและฆ่าเขาเสีย ผู้เล่าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ฆ่าเขา และท่านนบีได้มอบทรัพย์ที่ติดตัวเขาให้แก่ข้าพเจ้า

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจาก ฟุรอต บุตร ฮัยยาน ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้บัญชาให้ฆ่าเขา โดยที่เขาเป็นจารชนของอะบีซุฟยาน และเป็นเพื่อนร่วมสาบานของชายชาวอันซอรคนหนึ่ง เขาได้เดินผ่านวงสนทนาของชาวอันซอรแล้วกล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าเป็นมุสลิม ชายคนหนึ่งจากพวกอันซอรได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ เขากล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าเป็นมุสลิม ท่านได้กล่าวว่าแท้จริงมีหลายคนจากพวกท่านที่เราไม่มอบพวกเขาให้อยู่กับศรัทธาของพวกเขา คนหนึ่งจากพวกนั้นคือ ฟุรอต บุตร ฮัยยาน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

การส่งจารชนเป็นสิ่งที่ควรทำ

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ส่งบุซัยซะห์ไปเป็นจารชนคอยสอดแนมดูว่า กองคาราวานสินค้าของอะบี ซุฟยานกระทำอะไรบ้าง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจาก ญาบีร ร.ฎ. ได้กล่าวในวัน อัลอะห์ซาบว่า ผู้ใดบ้างที่จะนำข่าวของพวกนั้นมาให้เราอัซซุบัยร์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเองท่านนบีได้กล่าวเช่นนั้นสามครั้ง และอัซซุบัยร์ก็ได้ตอบท่านทุกครั้ง ต่อมาท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงนบีทุกท่านจะมีผู้ช่วยเหลือและแท้จริงผู้ช่วยเหลือของข้าพเจ้า คือ อัซซุบัยร์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

การขับไล่กาฟิรออกจากคาบสมุทรอาหรับ

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า วันพฤหัสบดี และวันพฤหัสบดีคืออะไร หลังจากนั้นเขาได้ร้องไห้จนน้ำตาของเขาชุ่มก้อนกรวด ต่อมาเขาได้กล่าว่า ความเจ็บปวดได้เกิดขึ้นแก่ท่านรอซูลุลเลาะห์อย่างรุนแรงในวันพฤหัสบดี ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงนำหนังสือมาให้ข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะเขียนหนังสือไว้ให้แก่พวกท่าน โดยที่พวกท่านจะไม่หลงผิด หลังจากนี้เขาตลอดไป พวกเขาได้เกิดโต้แย้งกัน ทั้งที่ไม่ควรเกิดการโต้แย้งกันที่ท่านนบีใด ต่อจากนั้น พวกเขาได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เงียบเสียงลง ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงปล่อยข้าพเจ้าเถิด สิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังทำอยู่นี้ดีกว่าสิ่งที่พวกท่านเรียกร้องข้าพเจ้าไป และท่านได้สั่งเสียขณะท่านเสียชีวิตไว้สามประการ คือ จงขับไล่พวกผู้ตั้งภาคีออกไปให้พ้นคาบสมุทรอาหรับ และจงให้ความปลอดภัยแก่คณะที่เดินทางเข้ามา เหมือนที่ข้าพเจ้าได้ให้ความปลอดภัยแก่พวกเขา และข้าพเจ้าลืมประการที่สาม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอะบี ฮุรอยราะห์ ได้กล่าวว่า ขณะที่พวกเรากำลังอยู่ในมัสญิด ท่านนบี ซ.ล. ได้ออกมาแล้วกล่าวว่า พวกท่านจงเดินทางไปหาพวกยะฮูด พวกเราจึงได้ออกไป จนพวกเราได้มายังบ้าน อัลมิดรอส และท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงเข้านับถือศาสนาอิสลาม พวกท่านจะปลอดภัย และพึงทราบเถิดว่า แท้จริงผืนแผ่นดินนั้นเป็นของอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ และความจริงข้าพเจ้าต้องการขับไล่พวกท่านออกจากแผแนดินนี้ ดังนั้นผู้ใดจากพวกท่านที่มีสิ่งใดเป็นทรัพย์สินให้เขาจงขายมันถ้าไม่เช่นนั้น ก็พึงทราบเถิดว่าแผ่นดินนี้เป็นสิทธิ์ของอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจากอุมัร ร.ฎ. ว่าแท้จริงเขาได้ยินท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่าข้าพเจ้าจะต้องขับไล่พวกยะฮูดและนะซอรอ ออกไปจากคาบสมุทรอาหรับ จนข้าพเจ้าจะไม่ปล่อยไว้นอกจากมุสลิมเท่านั้น

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การกดขี่ของพวกผู้ตั้งภาคีต่อท่านนบี ซ.ล.

เล่าจากอิบนิ มัสอูด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. กำลังละหมาดอยู่ที่กะอะบะห์ โดยมีอะบูยะฮัล กับเพื่อนฝูงของเขานั่งอยู่ และความจริงได้มีอูฐหลายตัวถูกเชือดไปเมื่อวานนี้ อะบูยะฮัลได้กล่าวว่า ใครบ้างจากพวกท่านที่ลุกไปยังหนังที่หุ้มลูกอูฐ(ขณะที่คลอด) ของตระกูลนั้นๆ  และนำมันมาวางลงบนไหล่ทั้งสองของมุฮัมมัด ขณะที่เขาก้มลงสุญูด คนที่ชั่วช้าที่สุดของคนพวกนั้น ได้ลุกขึ้นไปเอามันมา และเมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ก้มลงสุญูด เขาได้นำมันไปวางไว้ระหว่างไหล่ทั้งสองข้างของท่าน ผู้เล่าได้กล่าวว่า พวกเขาได้พากันหัวเราะ และต่างคนต่างก็โคลงตัวเข้าหากัน โดยข้าพเจ้ายืนมองดูอยู่ ถ้าหากมีกำลังต้านทาน ข้าพเจ้าจะต้องปัดมันทิ้งทิ้งไป จากหลังของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. อย่างแน่นอน และท่านยังคงสุญูดอยู่ โดยไม่ยกศีรษะของท่านขึ้น มีคนหนึ่งได้ไปบอกฟาติมะห์ และเธอก็ได้มาโดยที่ขณะนั้นเธอยังเป็นเด็กสาวอยู่ เธอได้ปัดมันออกไปจากท่านนบี แล้วหันไปด่าประณาม พวกนั้น เมื่อท่านนบี ซ.ล. เสร็จจากละหมาด ท่านเปล่งเสียงวิงวอนขอคงามพินาศให้ประสพแก่พวกเขา และโดยปกติเมื่อท่านวิงวอน ท่านจะวิงวอนสามครั้ง และเมื่อท่านขอ ท่านก็จะขอสามครั้ง หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์พระองค์ท่านจะต้องจัดการกับเผ่ากุเรชสามครั้ง เมื่อพวกเขาได้ยินคำวิงวอน อาการหัวเราะได้หายไปจากพวกเขา และพวกเขากลัวคำวิงวอนของท่าน หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ พระองค์ท่านจะต้องจัดการกับอะบียะฮัล  บุตรฮิชาม, อุตบะห์ บุตร รอบีอะห์, ชัยบะห์ บุตรรอบีอะห์, อัลวะลีด บุตร อุกบะห์, อุมัยยะห์ บุตร คอลัฟ, อุกบะห์ บุตรอะบีมุอัยต์ และท่านได้กล่าวถึงคนที่เจ็ด[502] แต่ข้าพเจ้าจำ ไม่ได้ สาบานต่อผู้ทีได้แต่งตั้งมุฮัมมัดด้วยสัจธรรม ข้าพเจ้าได้เห็นผู้ที่ท่านได้เอ่ยนามของ พวกเขาพบจุดจบในวันบัดร์ หลังจากนั้น (ศพของ) พวกเขาถูกลากไปยังบ่อร้าง คือ บ่อร้างแห่ง บัดร์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม


 

เล่าจากอุรวะห์ บุตร ฮัชชุบัยร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามอิบน์ อัมร์ บุตร อัลอาซถึงสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดที่พวกผู้ตั้งภาคีได้กระทำแก่ท่านนบี ซ.ล. เขาได้กล่าวว่า ขณะ ทีท่านนบี ซ.ล. กำลังละหมาดอยู่ในหินโค้งกะอฺบะห์ ได้มีอุกบะห์ บุตรอะบี มุอัยต์ มุ่งตรง มาแล้วได้เอาผ้าของเขาคล้องคอของท่าน และรัดท่านอย่างแรง อะบู บักร์ ร.ฎ. ได้มาจับไหล่ ทั้งสองข้างของเขา และงัดร่างเขาออกจากท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า “พวกท่าน จะฆ่าชาย คนหนึ่งเพียงเพราะเขากล่าวว่า พระผู้อภิบาลของข้าๆ คือ อัลเลาะห์หรือ”[503] จนจบอายะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ มีวันใดไหมที่ประสพกับ ท่านร้ายแรงยิ่งกวาวันอุฮุด ท่านได้กล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าได้ประสพจากพวกพ้องของเธอ เอง[504] และที่ร้ายแรงที่สุดที่ข้าพเจ้าได้ประสพจากพวกเขาคือ ในวันอะกอบะห์[505] ขณะที่ ข้าพเจ้าได้นำตัวเองไปพบกับ อิบนิ อับดิ ยาลีน บุตร อับดิ กุลาล และเขาไม่ตอบสนอง ข้าพเจ้า ตามที่ข้าพเจ้าปรารถนา ข้าพเจ้าจึงได้เดินทางไปในสภาพที่ความเศร้าหมองปรากฏอยู่ ในใบหน้าของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าไม่ได้คลายความเศร้าหมองลงนอกจากที่กอรนิ อัซซะอาลิบ[506]ข้าพเจ้าได้เงยหน้าขื้นไป ก็ได้พบกับก้อนเมฆที่ให้เงาร่มแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามองไปก็ได้พบกับ ยิบรีล เขาได้เรียกข้าพเจ้าโดยกล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ได้ยินคำพูด ของพวกพ้องของท่านที่พูดกับท่านแล้ว และสิ่งที่พวกเขาตอบท่าน และแท้จริงพระองค์ได้ส่ง มะลาอิกะห์แห่งภูเขา[507]มายังท่านแล้ว เพื่อให้ท่านออกคำสั่งแก่เขาตามที่ท่านต้องการจะจัด การกับคนพวกนั้น ท่านได้กล่าวว่า ต่อมามะลาอิกะห์แห่งภูเขาได้เรียกข้าพเจ้า และได้ให้สลาม ข้าพเจ้า จากนั้น ได้กล่าวว่า โอ้มุฮัมมัด แท้จริงอัลเลาะห์ได้ยินคำพูดของพวกพ้องของท่าน ที่พูดกับท่านแล้ว และข้าพเจ้าคือ มะลาอิกะห์แห่งภูเขา พระผู้อภิบาลของท่านได้ส่งข้าพเจ้ามา ยังท่าน เพื่อให้ท่านออกคำสั่งแก่ข้าพเจ้าตามที่ท่านจะสั่ง ดังนั้น สิ่งใดคือสิ่งที่ท่านต้องการ ถ้า หากท่านต้องการ ข้าพเจ้าจะนำเอาภูเขาทั้งสอง127,2ไปถล่มพวกเขา ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขาว่า ข้าพเจ้าต้องการให้อัลเลาะห์เอาออกมาจากระถูกสันหลังของพวกเขา บุคคล ที่จะสักการะอัลเลาะห์เพียงองค์เดียว โดยไม่นำสิ่งใดมาตั้งภาคีต่อพระองค์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

บทที่เจ็ด

สงครามต่างๆ ที่นบีนำทัพเอง

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เพื่อนร่วมเดินทางที่ดี ที่สุดต้องสี่คน กองทหารที่ดีที่สุดสิ่ร้อยคน กองทัพที่ดีที่สุดสี่พันคน ทหารหนึ่งหมื่นสองพัน คนจะไม่พ่ายแพ้เพราะมีจำนวนน้อย[508]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะบีอิสหาก ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พบกับเซด บุตร อัรกอม ร.ฎ. ข้าพเจ้าได้ ถามเขาว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้นำทัพออกรบเองกี่ครั้ง เขาตอบว่า สิบเก้าครั้ง ข้าพเจ้าถามว่า ท่านได้ออกรบร่วมกับท่านนบีกี่ครั้ง เขาตอบว่า สิบเจ็ดครั้ง ข้าพเจ้าถามว่า สงครามแรกที่ท่านนบีออกรบคืออะไร เขาตอบว่า ซาตุ้ลอุซัยร์ หรืออัลอุชัยร์[509]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

บุรอยดะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราซูลุลลอห์ ซ.ล. ได้คุมทัพออกทำสงคราม เองสิบเก้าครั้ง มีการสุ้รบกันแปดครั้งจากจำนวนนั้น[510]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

ศึกบัดร์

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “ขอยืนยันว่า แท้จริงอัลเลาะห์ได้ช่วยเหลือพวกท่าน ที่ สมรภูมิบัดร์ ทั้งที่พวกท่านด้อยกว่าพวกนั้น ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลเลาะห์ แน่นอน พวกท่านจะต้องสำนึกบุญคุณ”[511]

เล่าจากอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ในวันบัดร์ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มองดูพวก ผู้ตั้งภาคีทีมจำนวนถึงหนึ่งพัน และอัครสาวกของท่านมีจำนวนเพียงสามร้อยสิบเก้าคน ท่าน นบีของอัลเลาะห์ ซ.ล. หันหน้าสู่กิบลัต แล้วยืดสองมือของท่านออกไป และได้เริ่มส่งเสียง วิงวอนขอต่อองค์อภิบาลของท่านว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดให้สิ่งที่พระองค์ท่านสัญญาไว้กับ ข้าพเจ้าลุล่วงไปเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าแด่อัลเลาะห์ ได้โปรดนำสิ่งที่พระองค์ท่านได้ สัญญาไว้มาเถิด ข้าแด่อัลเลาะห์ ถ้าหากกลุ่มชนนี้ของอิสลามต้องพินาศไป พระองค์ท่านจะ ไม่ถูกสักการะในหน้าแผ่นดินนี้ ท่านได้ส่งเสียงวิงวอนต่อองค์อภิบาลของท่าน โดยยืดมือทั้ง สองข้างออกไป ผินหน้าสู่กิบลัต จนผ้าห่มของท่านหลุดร่วงลงจากไหล่ทั้งสองข้างของท่าน อะบู บักร์ได้มายังท่าน หยิบผ้าห่มท่านขึ้นมา และนำมันขึ้นพาดไหล่ทั้งสองข้างของท่าน จากนั้น อะบู บักร์ได้กอดท่านจากทางด้านหลังของท่าน แล้วกล่าวว่า โอ้นบีของอัลเลาะห์ พอแล้วที่ ท่านวิงวอนขอต่อองค์อภิบาลของท่าน แน่นอนพระองค์จะต้องให้สิ่งที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับท่าน ลุล่วงไปเพื่อประโยชน์ของท่าน และอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้ประทานลง มาว่า “(จงรำลึกเถิด) ขณะที่พวกท่านขอความช่วยเหลือต่อองค์อภิบาลของพวกท่าน แล้ว พระองค์ทรงสนองตอบพวกท่านว่า เราจะเสริมกำลังพวกท่านด้วยมะลาอิกะห์จำนวนหนึ่งพัน ที่ทยอยมาเป็นระลอก”1277  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอิบนิ มัสอูต ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ออกศึกครั้งหนึ่งร่วมกับอัลมิกดาร บุตรอ้ลอัสวัด                                      การที่ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนของเขานั้นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนายิ่งกว่าสิ่งมีค่าทีม

นํ้าหนักเท่าตัวเขา                      อัลมิกดารได้มาหาท่านนบี ซ.ล. ในขณะที่ท่านกำลังวิงวอนขอความพินาศ

ให้ประสพกับพวกผู้ตั้งภาคี                   เขาได้กล่าวว่า   เราจะไม่พูดเหมือนกับพวกพ้องของมูชาที่พูดว่า

ท่านจงไปเถิด ตัวท่านกับพระผู้อภิบาลของท่าน และท่านทั้งสองจงสู้รบเถิด แต่เราจะสู้รบ ทั้งทางด้านขวาของท่าน ด้านข้ายของท่าน ทั้งด้านหน้าของท่านและด้านหลังของท่าน ข้าพเจ้า ได้เห็นท่านนบี ซ.ล. มีใบหน้าที่เบิกบาน และคำพูดของเขาทำให้ท่านดีใจ รายทนโทซนุตอร

และเล่าจากเขา (อิบนิมัสอูด) ได้กล่าวว่า                       ท่านนบี ซ.ล. ได้ผินหน้าส่กอุบห์

และไดวิงวอนขอความพินาศให้เถิดกับกลุ่มหนึ่งจากเผ่ากุเรช คือ ข้ยบห์และอุดบห์ ทั้งสอง เป็นบุตรของรอะบีอห์, อัลวลีดบุตรอุตบห์, และอะบียฮั้ล ข้าพเจ้าขอยืนยันด้วยอัลเลาะห์ ว่า ข้าพเจ้าได้เห็นพวกเขาพบกับความตาย ตะวันได้ทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลง และเป็นวันที่ ร้อนจัด1 278 รายทนโทยนุครรนอรนุสอน

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ปรึกษาหารือ1279 ขณะที่ ท่านทราบข่าวว่าอะบีซุฟยานมุ่งหน้ามา อะบูบัฑร์พูดขึ้นท่านก็ขัดจังหวเขา ต่อมาอุมัรพูดขึ้น

(1277) จากอายะห์ที่ 9 ซูเราะห์ อัลอันฟาล

(1278) จนร่างกายของพวกเขากลายเป็นซากที่มีกลิ่นรุนแรง

(1279) คือปรึกษาหารือกับอัครสาวกของท่านขณะที่ได้ทราบข่าวว่าอะบูซุฟยาน ได้มุ่งหน้ามาจาก ชาม พร้อมด้วยสินค้า ว่าจะออกไปพบหรือไม่, จุดประสงค์ของท่านนบีก็คือต้องการทดลองพวกชาว อันซอร เพราะพวกเขาได้ให้สัตยาบันแก่ท่านแต่เพียง ว่าจะปกป้องท่านเท่านั้น ไม่ได้ให้สัตยาบันว่าจะให้รบกับฝ่ายศัตรู และท่านก็ได้ยินคำขานรับจากพวกอันซอรในทุกสิ่งที่ท่านนบีต้องการ จากคำพูดของมิกดารที่ได้ผ่านมาแล้ว

 

 

 

ท่านก็ขัดจังหวะเขา ต่อมาสะอัด บุตร อุบาดะห์ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่าพวกเราหรือที่ท่านต้องการ โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า ถ้าหากท่าน ออกคำสั่งให้เราควบม้าของเราลงทะเล เราก็จะต้องควบมันลงทะเล และถ้าท่านออกคำสั่งให้ พวกเราควบมันไปสุดขอบฟ้า เราก็จะต้องกระทำ ท่านนบี ซ.ล. ได้เรียกร้องประชาชนให้ ออกไป พวกเขาจึงได้ออกเดินทางจนไปลงพักที่บัดร์แลกองลำเลียงนำของพวกกุเรซ ได้มายังพวกเขาในกองลำเลียงนั้นมีเด็กผิวดำคนหนึ่งของตระกูลบะนี อัลฮัจญาจ บรรดาอัครสาวก ของท่านนบี ซ.ล. ได้จับเอาตัวไว้ได้ พวกเขาได้ถามเด็กคนนั้นถึงอะบีซุฟยานและพรรคพวก ของเขา เด็กคนนั้นกล่าวว่าข้าพเจ้าไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับอะบีซุฟยาน แต่นี่คืออะบู ยะฮัล, อุตบะห์ ชัยบะห์, อุมัยยะห์บุตรคอลัฟ เมื่อเด็กกล่าวเช่นนั้น ได้กล่าวอย่างนี้อีก พวกเขาก็ได้เฆี่ยนตีเด็กคนนั้น เด็กนั้นจึงกล่าวว่า ครับ ข้าพเจ้าจะขอบอกให้พวกท่านทราบถึงอะบู ซุฟยานคนนี้ และเมื่อพวกเขาปล่อยและได้ถาม เด็กนั้นตอบว่า ข้าพเจ้าไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับอะบู ซุฟยาน แต่นี่คืออะบู ยะฮัล อุตบะห์ ชัยบะห์ อุมัยยะห์กำลังอยู่กับประชาชน เมื่อเด็กนั้นได้กล่าวอย่างนี้อีก พวกเขาก็ได้เฆี่ยนตีเด็กนั้นอีก โดยที่ขณะนั้นท่านเราะซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กำลังยืนละหมาด เมื่อท่านเห็นเช่นนั้นจึงเลิกละหมาด แล้วกล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ พวกท่านตีเด็กเมื่อเด็กนั้นพูดจริงกับพวกท่านและปล่อยเด็ก เมื่อเด็กนั้นพูดโกหกกับพวกท่าน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า นี่คือจุดจบของคนนั้น พร้อมกับเอามือของท่านวางลงบนพื้นดินที่นี่ และที่นี่ผู้เล่าได้กล่าวว่า ไม่มีคนใดของพวกเขาพลาดไปจากที่ๆ ท่านเราะซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เอามือของท่านวางลงไปเลย บุตรคอลัฟ เมื่อเด็กกล่าวเซ่นนั้น พวกเขาก็ได้เฆี่ยนตีเด็กคนนั้น, เด็กนั้นจึงกล่าวว่า ครับ ข้าพเจ้าจะขอบอกให้พวกท่านทราบถึงอะบู ซุฟยานคนนี้ และเมื่อ พวกเขาปล่อยและได้ลาม เด็กนั้นก็ตอบว่า ข้าพเจ้าไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับอะบีซุฟยาน แด่นคือ อะบู ยฮํ่ล, อุดบห์, ชัยบห์, อุมัยยห์กำลังอยู่กับประชาชน เมื่อเด็กนั้นได้กล่าวอย่างนี้อีก พวกเขาก็ได้เฆี่ยนตีเด็กนั้นอีก โดยที่ขณะนั้นท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กำลังยืนละหมาด เมื่อ ท่านเห็นเซ่นนั้นท่านจึงได้เลิกละหมาด แล้วกล่าวว่าสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ พวกท่านตีเด็กเมื่อเด็กนั้นพูดจริงกับพวกท่านและปล่อยเด็ก เมื่อเด็กนั้นพูด โกหกกับพวกท่าน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่านีคือจุดจบของคนนั้น พร้อมกับ เอามือของท่านวางลงบนพื้นดินที่นี่ และที่นี่ผู้เล่าได้กล่าวว่าไม่มีคนใดของพวกเขาพลาดไป จากที่ ๆ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เอามือของท่านวางลงไปเลย

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะที่ชายคนหนึ่งจากฝ่ายมุสลิมในวันนั้น กำลังเหน็ดเหนื่อยกับการติดตามชายคนหนึ่งจากฝ่ายผู้,ตั้งภาคีที่อยู่เบื้องหน้าเขา ทันใดนั้นเขาก็ ได้ยินเสียงตีด้วยไม้เรียวครั้งหนึ่งเหนือเขา และได้ยินเสียงทหารม้าพูดว่าบุกเข้าไปฮัยซูม[512] เขาได้มองไปที่ชายผู้ตั้งภาคีคนนั้น เห็นเขาทรุดตัวลงนอนหงาย     และได้มองไปที่ร่างของเขา

ก็ได้พบจมูกของเขาถูกตัด ใบหน้าของเขาถูกผ่าเหมือนโดนไม้เรียว และทั้งหมดกลายเป็นสีเขียว[513]ชาวอันซอรคนนั้นได้มา และได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น แก่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่าท่านพูดถูกแล้ว นั่นคือกองหนุนที่มาจากฟ้าชั้นที่สาม พวกเขาได้สังหารในวันนั้นเจ็ดสิบศพ และจับเชลยได้เจ็ดสิบคน 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม

เล่าจากอะบี ตอลฮะห์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงนบีของอัลเลาะห์ ซ.ล. ได้ออกคำสั่งในวัน บัดร์ ให้จัดการกับคนสำคัญของเผ่ากุเรชจำนวนยี่สิบสี่คน พวกเขาจึงถูกโยนลงไปในบ่อที่ก่อ ด้วยหินใบหนึ่งจากบรรดาบ่อที่บัดร์ เป็นบ่อที่เลวทรามที่ถูกทำให้เลวทราม และโดยปกติเมื่อ ท่านมีชัยชนะพวกใด ท่านจะพำนักอยู่ที่ลานกว้างมีกำหนดสามวัน และเมื่อท่านอยู่ที่บัดร์เป็น วันที่สาม ท่านได้ออกคำสั่งให้จัดการกับพาหนะของท่าน เครื่องหลังของมันจึงได้ถูกผูก จากนั้น ท่านก็ได้ออกเดินทางและสาวกของท่านได้ติดตามท่านไป   พวกเขาได้กล่าวว่า ท่านคงจะไม่

ออกเดินทางนอกจากเพื่อภารกิจบางอย่างของท่าน จนกระทั่งท่านได้มากินอยู่ที่ปากบ่อนั้น ท่าน ได้เรียกพวกเขาด้วยซื่อของพวกเขาและชื่อบิดาของพวกเขา                                    โอ้คนนั้นบุตรของคนนั้นและโอ้คนนั้นบุตรของคนนั้น จะทำให้พวกท่านดีใจไหม การที่พวกท่านจะภักดีต่ออัลเลาะห์และศาสนทูต ของพระองค์ แท้จริงพวกเราได้พบแล้วสิ่งที่องค์อภิบาลของพวกเราได้สัญญากับพวกเราว่ามัน เป็นจริง[514] และพวกท่านได้พบแล้วไหมว่า สิ่งที่องค์อภิบาลของพวกท่านได้สัญญาไว้ว่าเป็น ความจริง[515] อุมัรได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์สิ่งที่ท่านกำลังพูดนั้นคือ ร่างทีไม่มีวิญญาณ ท่านนบีได้กล่าวว่าสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของมุฮัมมัดอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า พวกท่านไม่ใช่ว่าจะได้ยินสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดยี่งกว่าพวกเขา[516]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะห์มัด

เล่าจากอัลบะรออฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้แต่งตั้งอับดิลเลาะหิ์บุตร

ญุบัยร์เป็นหัวหน้าพลธนูในวันอุฮุด และพวกเขาได้พวกเราไปเจ็ดสิบคน โดยที่ท่านนบี ซ.ล.

และอัครสาวกของท่านได้พวกผู้ตั้งภาคีในวันบัดร์หนึ่งร้อยสี่สิบคน เจ็ดสิบคนเป็นเชลย อีก เจ็ดสิบคนถูกฆ่าตาย อะบู ซุฟยานได้กล่าวว่า วันนี้ แลกกับวันที่บัดร์ สงครามผลัดกันแพ้

ผลัดกันชนะ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ความประเสริฐของชาวบัดร์

เล่าจากริฟาอะห์ อ้ซซุรอกีย์ ร.ฎ. และเขาเป็นคนหนึ่งที่ร่วมในศึกบัดร์ เขาได้กล่าวว่า ยิบรีลได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า                                                                                                             พวกท่านนับชาวบัดร์ว่าเป็นอย่างไรในหมู่พวกท่าน ท่านนบีได้ตอบว่า เป็นมุสลิมที่ประเสริฐที่สุด หรือคำหนึ่งคล้ายอย่างนั้น ญิบรีลได้กล่าวว่า

ก็เช่นเดียวกับมะลาอิกะห์ที่เข้าร่วมในศึกบัดร์[517]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากอัลบะรออฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเคยสนทนากันว่าแท้จริงชาวบัดร์นั้นมี

สามร้อยกับอีกสิบกว่าคน เท่ากับจำนวนสาวกของตอลูต ที่ข้ามแม่น้ำไปกับเขา และไม่มีใคร ที่ข้ามแม่นํ้าไปกับเขานอกจากผู้มีศรัทธาเท่านั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี และตัวบทของติรมีซี ว่า       มีสามร้อยสิบสามคน

และเล่าจากเขา (อัลบะรออุ) ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ถูกตรวจพบว่ายังเป็นเด็กคือตัว ข้าพเจ้าเองกับอินุอุมัรโนวันบัดร[518] พวกผู้อพยพในวันบัดร์มีกว่าหกสิบคน และพวกอันซอร มีกว่าสองร้อยสี่สิบคน[519]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

การสังหารอะบี ยะฮั้ล

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ใครที่จะคอยติดตามดูให้เราว่า อะบู ยะฮั้ลได้กระทำอะไร[520] อิบนุ มัสอูดได้ออกไปและได้พบว่าบุตรชายทั้งสองของอัฟรออุ ได้ฟันเขาจนร่างเย็นไปแล้ว[521] อิบนุ มัสอูดจึงได้จับเคราของเขาแล้วกล่าวว่า                                               เจ้าเองหรือ

อะบู ยะฮั้ล [522]                      ต่อมาอะบู ยะฮัลได้กล่าวว่า ไม่น่าตำหนิข้าพเจ้าไมใช่หรือที่พวกท่านสังหาร

ข้าพเจ้า                     หรือเขาได้กล่าวว่า   พวกพ้องของเขาเองที่ฆ่าเขา[523] และถ้าหากผู้ที่ฆ่าข้าพเจ้า

ไม่ใช่เป็นชาวไร่ก็จะเป็นการดี[524]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

ศึกอุฮุด

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า                  “และ (จงรำลึกเถิด) ขณะที่ท่านได้ออกไปจากครอบครัว

ของท่าน เพื่อท่านจะเตรียมพร้อมผู้ศรัทธาให้เข้าประจำที่เพื่อการสงคราม และอัลเลาะห์ทรง ได้ยินยิ่ง ทรงรอบรู้ยิ่ง (จงรำลึกเถิด) ขณะที่คนสองกลุ่มของพวกท่านรู้สึกท้อถอย ทั้งที่อัลเลาะห์ คือผู้คุ้มครองคนสองกลุ่มนั้น และบรรดาผู้ศรัทธาทั้งมวลควรจะต้องมอบหมายต่ออัลเลาะห์[525]

เล่าจากอัลบรออฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้พบกับพวกผู้ตั้งภาคีในวันอุฮุด และท่านนบี ซ.ล. ได้จัดให้กองทหารที่เป็นนักแม่นธนูประจำอยู่บนภูเขาอัรรุมาฮ์ต และท่านได้ แต่งตั้งอับดุลเลาะห์ บุตร ญุบัยร์ให้เป็นหัวหน้าของพวกเขา และท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจะต้องประจำอยู่ ถ้าหากพวกท่านเห็นพวกเรามีชัยชนะเหนือพวกศัตรู พวกท่านก็จงประจำอยู่ และถ้าหากพวกท่านเห็นฝ่ายศัตรูมีชัยชนะเหนือฝ่ายเราพวกท่านก็ไม่ต้องมาช่วยพวกเรา ต่อมา เมื่อฝ่ายเราได้ปะทะกับพวกศัตรู พวกเขา(พวกศัตรู)ได้เผ่นหนีจนข้าพเจ้าได้เห็นพวกผู้หญิง[526]ปีนขื้นภูเขา ถลกผ้าจนพ้นหน้าแข้งของพวกหล่อน เผยให้เห็นกำไลเท้าของพวกหล่อน พวกเรา (พลธนู) ได้กล่าวกันว่า ทรัพย์สงคราม ทรัพย์สงคราม[527] อับดุลเลาะห์บุตรญุบัยร์ได้กล่าว ขึ้นว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้แจ้งให้ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า พวกท่านจะต้องประจำอยู่ แต่พวกเขาไม่ยอมเชื่อฟัง และเมื่อพวกเขาไม่ยอมเชื่อฟัง ใบหน้าของพวกเขาต้องถูกห้นเห เจ็ดสิบคน ต้องถูกฆ่าตาย อะบู ซุฟยานำได้ปีนขึ้นที่สูงแล้วกล่าวว่า ในพวกนั้นมีมุฮัมมัดไหม ท่านนบี กล่าวว่า พวกท่านอย่าตอบรับเขา เขากล่าวว่า ในพวกท่านมีอิบนุ อะบี กุฮาฟห์ไหม ท่าน นบีกล่าวว่า พวกท่านอย่าตอบรับเขา เขาได้กล่าวอีกว่า ในพวกนั้นมีอิบนุล คอตต๊อบไหม ต่อมาอะบู ซุฟยานได้กล่าวว่า  ความจริงพวกเขาเหล่านั้นได้ถูกฆ่าตายหมดแล้ว เพราะถ้าหาก พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะต้องตอบรับอย่างแน่นอน และอุมัรก็ไม่อาจควบคุมตัวเองไวได้ เขาได้กล่าวขึ้นว่า เจ้าโกหกโอ้ศัตรูของอัลเลาะห์ อัลเลาะห์ไดให้สิ่งที่จะทำความเศร้าใจ คงอยู่เป็นความพินาศของเจ้า อะบู ซุฟยานได้กล่าวว่า                                        จงเจริญเถิด โอ้ฮุบะลุ[528] ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจงตอบเขาไปเถิด พวกเขากล่าวว่า                          พวกเราจะกล่าวตอบอย่างไร ท่านตอบว่า พวกท่านจงกล่าวว่า อัลเลาะห์ทรงสูงยิ่งเกรียงไกรยิ่ง อะบู ซุฟยานได้กล่าว

ขึ้นว่า                      พวกเรามีรูปบูชาอัลอุซซา พวกท่านไม่มีรูปบูชาอัลอุซซา[529] ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  พวกท่านจงตอบเขาไปเถิด พวกเขากล่าวว่าพวกเราจะกล่าวตอบอย่างไร ท่านตอบว่า พวกท่านจงกล่าวว่า อัลเลาะห์เป็นผู้คุ้มครองพวกเรา ส่วนพวกท่านไม่มีผู้ใดคุ้มครอง

อะบู ซุฟยานได้กล่าวว่า วันนิ้แลกเปลี่ยนทับวันบัดร์ การรบผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ และ

พวกท่านจะต้องพบกับการทำให้ศพเสียโฉม โดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้ออกคำสั่งให้ทำเช่นนั้น  และมันจะไม่ทำให้ข้าพเจ้าเลวทราม

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าแท้จริงลุงของเขา ได้หายหน้าไปจากศึกบัดร์ต่อมาเขาได้กล่าา ว่า           ข้าพเจ้าได้หายหน้าไปจาการสู้รบครั้งแรกของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ขอยืนยันว่าถ้า

หากอัลเลาะห์ให้,ข้าพเจ้าร่วมปรากฏตัวทับท่านรอซูลุ้ลเลา,ห์ ซ.ล. แล้วแน่นอนอัลเลาะห์จะ ต้องเห็นสิ่งที่ข้าพเจ้ามุมาน ต่อมาเขาได้ต่อสู้ในวันอุอุด ประชาชนต้องพ่ายแพ้ เขาได้กล่าว ว่า            ข้าแด่อัลเลาะห์ข้าพเจ้าขออภัยต่อพระองค์ท่านในสิงทีมวลมุสลิมได้ก่อฃึน และข้าพเจ้า

พ้นมาสู่พระองค์ท่าน จากสิ่งทีพวกผู้ตั้งภาคีได้นำมา ต่อมาเขาได้บูกทลวงไปด้วยดาบชองเขา และได้พบทับสอัดบุตรมุอาชเขาได้กล่าวว่า                                                                                                                      จะไปไหนโอ้สอัด ความจริงข้าพเจ้าได้กลิน

สวรรค์อยู่ใกล้ภเขาอุอุด แล้วเขาก็ไปและได้ถูกฆ่าตาย ไม่มีใครจำเขาได้จนกรท้งน้องสาวของ เขาจำเขาได้ด้วยไฝ หรือด้วยปลายนิ้วของเขา และทีร่างของเขามีมากกว่าแปดสิบแผล ทังรอย แทง พ้น และที่ถูกยิงด้วยลูกธนู[530]           

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

และเล่าจากเขา (อะนัส) ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังในวัน อุฮุดกับพวกอันซอรเจ็ดคน และพวกกุเรชสองคน และขณะเมื่อพวกศัตรูเข้ามาใกล้ท่าน ท่าน ได้กล่าวว่าใครที่ผลักดันพวกเขาพ้นไปจากพวกเรา สวรรค์จะเป็นของเขา หรือเขาจะเป็นมิตรสนิทของข้าพเจ้าในสวรรค่ ชายคนหนึ่งจากพวกอันซอรได้บุกเข้าไป และทำการต่อสู้จน ถูกฆ่าตาย หลังจากนั้นพวกศัตรูได้เข้ามาใกล้ท่านอีก ท่านได้กล่าวเหมือนครั้งแรก ได้มีชายคน หนึ่งจากพวกอันซอร เข้าทำการต่อสู้จนกระทั่งเขาถูกฆ่าตาย และเหตุการณ์คงเป็นไปเช่นนั้น จนกระทั่งถูกฆ่าไปเจ็ดคน ท่านรอซูลุลเลาะห์จึงได้กล่าวแก่เพื่อน (ชาวกุเรช) ทั้งสองของท่านว่า เราไม่ได้ให้ความยุติธรรมแก่เพื่อนของเรา[531]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวในวันอุฮุดว่า นี่คือ

ญิบรีลกำลังจับหัวม้าของเขา โดยมีเครื่องมือสงครามอยู่บนม้านั้นด้วย[532] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากสอัด บุตรอะบี วักกอส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี ซ.ล.

ในวันอุฮุด มีชายสองคนต่อสู้ป้องกันให้ท่าน ที่ร่างของชายทั้งสองมีเสื้อผ้าสีขาว เป็นการต่อสู้ ที่รุนแรง ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นเขาทั้งสองก่อนหน้านี้และหลังจากนี้1301                                          

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

และเล่าจากเขา (สอัด) ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้หยิบถูกธนูออกจากซองบรรจุ

ของมันส่งให้ข้าพเจ้าในวันอุฮุด และท่านได้กล่าวว่า                   จงยิงเถิตโดยเอาบิดาและมารดาของเรา

เป็นค่าไก่ตัวท่าน

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ในวันอุฮุดเมื่อประชาชนต้องแตกพ่ายออกจากท่านนบี

ซ.ล. โดยมีอะบุ ตอลฮะห็อยู่เบื้องหน้าท่าน ปิดป้องร่างของท่านด้วยโล่หนังของเขา และอะบูตอลฮะห์ เป็นนักยิงธนูที่ง้างได้รุนแรงเขาได้ทำคันธนูหักในวันนั้นถึงสองคันหรือสามคัน ท่านนบี ซ.ล.

พูดกับคนที่เตินผ่านท่านพร้อมด้วยซองบรรจุลูกธนูว่า                จงหว่านมันให้แก่อะบูตอลฮะห์ และ

ท่านนบี ซ.ล. ได้ขึ้นไปบนที่สูงเพื่อมองดูพวกนั้น อะบู ตอลฮห์กล่าวว่า ด้วยบิดาและมารดา

ของข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ท่านอย่าขึ้นไปเพราะอาจะมีลูกธนูของฝ่ายนั้นยิงมาถูกท่านได้คอของข้าพเจ้า ขอแลกกับคอของท่าน[533]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

เล่าจากสะฮั้ล บุตร สะอัด ร.ฎ. ได้กล่าวว่าใบหน้าของท่านนบี ซ.ล. มีบาดแผล พ้นกัดจากที่หน้าของท่านหัก หมวกเหล็กบนศีรษะของท่านทลุ และพ่าติมห็บุตรสาวของ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ล้างเลือด อะลีรดนํ้าให้โดยใช้โล่ เมื่อพ่าติมห็เห็นว่านำไม่ทำให้ อาการดีขึ้น แต่กลับทำให้เลือดไหลยิงขึ้นไปอีก พ่าติมห้จึงเอาเสื่อท่อน,หนงเผาจนกลายเป็น เก้า จากนั้นได้เอามันไปแปที่แผลเลือดจึงหยุด[534]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราซูลุลลอห์ ซ.ล. นั้น ฟันที่ถัดจากซี่หน้าของท่านหัก ในวันอุฮุด หัวแตก และมันได้ทำให้เลือดเริ่มไหลรินออกมา ท่านกล่าวว่าพวกหนึ่งที่ ทำให้หัวของนบีของเขาแตก ทำใหัฟัน (ถัดจากซี่หน้า) นบีของพวกเขาหัก จะได้ชัยชนะอย่างไร โดยที่นบีนั้นเชิญชวนพวกเขามาส่อัลเลาะห์อัลเลาะห์ตาอาลาได้ประทานลงมาว่า “เจ้าไม่ได้มี สิทธิในเรืองนี้แต่อย่างใด”[535]                                          

รายงานหะดีษทั้งสองโดยบุคอรี มุสลิม และติรมิซี

อับดุลเลาะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า คล้ายกับข้าพเจ้าเห็นท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เล่าถึง

นบีท่านหนึ่งจากบรรดานบีทั้งหลาย ที่พวกพ้องของเขาได้ทุบตีเขา และนบีท่านนั้นกำลังเช็ด เลือดจากใบหน้าของท่าน พร้อมกับกล่าวว่าข้าแด่องค์อภิบาล ได้โปรดอภัยโทษให้แก่พวกพ้องของข้าพเจ้าเถิด เพราะความจริงพวกเขาไม่รู้

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าความโกรธกริ้วของ อัลเลาะห์ทวีขึ้นที่ชายคนหนึ่ง ซึ่งท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ฆ่าเขา[536]

เล่าจากยุนดุบ บุตรซุฟยาน ร.ฎ. ได้กล่าวว่านิ้วของท่านรอชุลุ้ลัเลาห์ ซ.ล. มีเลือดไหลออกมา ในบางครั้งของสงครามเหล่านี้ท่านได้กล่าวว่า   เจ้าไม่ใช่อื่นใดนอกจากนิ้ว ที่เลือดไหล และสิ่งที่เจ้าพบก็อยู่ในวิถีทางของอัลเลาะห์                                                                             

รายงานหะดีษทั้งสามโดยมุสลิม

เล่าจากอุกบะห์บุตรอามิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราซูลุลลอห์ ซ.ล. ได้ละหมาดให้

แก่มุสลิมที่ถูกฆ่าในสงครามอุฮุด หลังจากเวลาผ่านไปแปดปี คล้ายผู้ที่อำลาของคนเป็นและ คนตาย หลังจากนั้นท่านได้ขื้นมิมบัร แล้วกล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าอยู่ต่อหน้าพวกท่านทั้งหลาย

เปีนผู้ล่วงหน้าไปต้อนรับพวกท่าน[537] และข้าพเจ้าเป็นพยานให้พวกท่าน[538]แท้จริงที่นัดหมาย ของพวกท่านคือ สระนํ้า และความจริงข้าพเจ้ากำลังมองดูมันอยู่จากที่ๆ ข้าพเจ้ายืนอยู่นี้ และ แท้จริงข้าพเจ้าไม่กลัวว่าพวกท่านจะตั้งภาคี แต่ข้าพเจ้ากลัวว่าโลกนี้จะตกเป็นของพวกท่าน และ พวกท่านก็แก่งแย่งกัน[539]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ศึกคอนดัก[540]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า                                         “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พึงระลึกถึงความโปรด

ปรานของอัลเลาะห์ทีมต่อพวกท่านเถิด ขณะที่ได้มีกองทหารมายังพวกท่าน และเราได้ส่งลม แลกองทหารที่พวกท่านมองไม่เห็นมาจู่โจมพวกเขา และอัลเลาะห์ทรงเห็นสิ่งที่พวกท่านประพฤติ”[541]

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้ตรวจพบเขาในวันอุฮุด เขามี

อายุสิบสี่ปี ท่านจึงไม่อนุญาตให้เขา[542] และได้ตรวจพบเขาในวันคอนดัก เขามีอายุสิบห้าปี ท่านจึงอนุญาตให้เขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้ออกไปยังคอนดัก ก็ได้พบพวกผู้ อพยพ และพวกอันซอรกำลังขุด (หลุมเพาะ) ในยามเช้าที่เย็นจัด โดยไม่มีทาสทำงานนั้นให้ พวกเขา เมื่อท่านเห็นสิ่งที่เถิดกับพวกเขา จากความเหน็ดเหนื่อยและความหิวโหยท่านได้กล่าว ว่า ข้าแด่อัลเลาะห์แท้จริงชิวิตที่สมบูรณ์คือ ชิวิตในภพหน้า ได้โปรดอภัยโทษแก่พวกอันซอรและพวกผู้อพยพและพวกเขาได้กล่าวตอบรับว่า พวกเราได้ให้สัตยาบันแก่มุฮัมมัดว่าจะต่อสู้ตราบที่พวกเรายังอยู่ตลอดกาล

เล่าจากอัลบะรออฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า                                               ในวันอัลอะห์ซาบ ท่านนบี ซ.ล. ได้ขนดิน

ร่วมกับพวกเรา และความจริงดินได้ปิดผิวสีขาว ที่ท้องของท่าน[543] นบี โดยท่านกล่าวว่าสาบานต่ออัลเลาะห์ถ้าหากไม่มีอัลเลาะห์ พวกเราจะไม่ได้รับทางนำ

พวกเราจะไม่มีความเชื่อมั่นศรัทธา และพวกเขาจะไม่ได้ละหมาดขอได้โปรดประทาน ความสงบให้เกิดขึ้นกับพวกเรา

และให้ฝ่าเท้ามั่นคง ถ้าพวกเราเผชิญ (กับศัตรู) แท้จริงพวกนั้นได้ละเมิดเหนือพวกเรา

เมื่อพวกเขาต้องการสร้างวิกฤติการ พวกเราก็ขัดขวาง

และท่านได้เปล่งเสียงของท่านว่า พวกเราก็ขัดขวาง พวกเราก็ขัดขวาง 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และมุสลิม


 

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ในวันคอนดักขณะทีพวกเรากำลังขุดสนามเพลาะอยู่ ก็ได้พบหินแข็งก้อนหนึ่งขวางอยู่ พวกเขาได้มาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า                                                                                                                             นี่คือหินแข็ง

ขวางอยู่ในหลุมเพลาะท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะลงไปหามันเอง หลังจากนั้นท่านได้ลุกขึ้นโดยที่ ท้องของท่านถูกผูกด้วยหิน โดยที่พวกเราอยู่กันสามวันไม่ได้ลิ้มรสใดๆ เลย ท่านนบี ซ.ล. ได้คว้าจอบและได้ฟันมัน ต่อมามันได้กลายเป็นกองทรายที่ร่วนหรือซุย 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี 

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ชัยชนะด้วย ลมซอบา และพวกอาดได้ถูกทำลายด้วยลมดะบูร[544]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากฮุซัยฟะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พบพวกเราอยู่กับท่านนบี ซ.ล. ในคืนอะห์ซาบ สายลมจัดและหนาวเย็นได้พัดมายังพวกเราท่านรอซุลุ้ลเลาห์ ซ.ล. ได้กล่าว ว่า                                                    ไม่มีใครสักคนเข้ยวหรือที่จะไปนำข่าวของพวกนั้นมาแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบ อัลเลาะห์จะ

ให้เขาได้อยู่กับข้าพเจ้าในวันกิยามะห์ ไม่มีใครสักคนจากพวกเราตอบคำเรียกร้องของท่าน ท่านได้ กล่าวถึงสามครั้ง โดยพวกเรานี่งเงียบจากนั้นท่านได้กล่าวว่าลุกชื้นเถิดโอ้ฮุข้ยฟห์ จงไปนำ ข่าว (ความเคลื่อนไหว) ของพวกนั้นมาแจ้งแก่ข้าพเจ้า เมื่อท่านได้เรียกชื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ ไม่มีทางเลี่ยง เพราะท่านได้เรียกชื่อข้าพเจ้าให้ยืนชื้น ข้าพเจ้าจึงยืนชื้น ท่านได้กล่าวว่า                     จงไป

เถิดไปนำข่าวของพวกนั้นมาแจ้งแก่ข้าพเจ้า และท่านอย่าทำให้พวกเขาตกใจ อันเป็นเหตุให้ข้าพเจ้า เสียใจ[545]      เมื่อข้าพเจ้าหันออกจากท่าน ก็คล้ายกับข้าพเจ้าเดินไปในโรงอบไอนา[546] จนข้าพเจ้า

มาถึงพวกเขา ข้าพเจ้าได้พบอะบู ซุฟยานกำลังหันหลังของเขาเข้าหาไฟ ข้าพเจ้าจึงวางลูกธนูเข้า พาดสายคันธนู เตรียมจยิงเขา แต่ข้าพเจ้านึกถึงคำของท่านนบี ซ.ล. ชื้นมาได้ที่ว่า “ท่าน อย่าทำให้พวกเขาตกใจ” และถ้าหากข้าพเจ้ายิงเขา ข้าพเจ้าก็จะยิงถูกเขาอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าจึง กลับ และเหมือนเดินอยู่ในโรงอบไอนํ้า เมื่อข้าพเจ้ามาถึงข้าพเจ้าได้แจ้งให้ท่านทราบข่าวของ พวกนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกหนาวมาก ท่านนบี ซ.ล. จึงให้ข้าพเจ้าได้สวมเสื้อคลุมตัวที่ดีที่สุด ที่ เคยอยู่บนร่างของท่านนบีขณะที่ท่านละหมาด และข้าพเจ้าก็นอนหลับเรื่อยไปจนถึงรุ่งเช้า[547]ท่านได้กล่าวว่า ลุกขึ้นเถิดคนนอนขี้เซา 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

ศึกบะนี อัลนะดีร และกุรอยเดาะห์1317

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าสอัด บุตร มุอาซ ได้รับบาดเจ็บในวันคอนดัก โดยชายคนหนึ่งจากเผ่ากุเรชได้ยิงเขา ชายคนนั้นชื่ออิบนุ อะริเกาะห์ ได้ยิงเขาถูกที่เส้นเลือด กลางลำแขน ท่านนบี ซ.ล. ได้สั่งให้ปักกระโจมให้เขาในมัสยิด โดยท่านจะมาเยี่ยมอาการ ของเขาอย่างใกล้ชิด เมื่อท่านนบี ซ.ล. ได้กลับมาจากคอนดัก ท่านได้วางอาวุธ แล้วอาบนํ้า และยิบรีลได้มาหาท่าน ขณะที่ท่านกำลังสบัดหัวของท่านเพื่อให้ฝ่นหลุดออกไป ยิบรีลได้กล่าว ว่า ท่านวางอาวุธแล้วหรือ สาบานต่ออัลเลาะห์ว่าเรายังไม่ได้วางอาวุธ ท่านจงออกไปยังพวกศัตรูเถิด ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ที่ไหน ยิบรีลได้เไปยังพวกตระกูลบะนีกุรอยเดาะห์ ท่านนบี ซ.ล. จึงได้ไปหาพวกนั้น และพวกนั้นได้ยอมลงมาให้ท่านนบี ซ.ล. ตัดสิน ท่าน นบีได้เกี่ยงว่า การตัดสินพวกเขานี้ให้อยู่กับสะอัด และท่านได้ส่งคนไปหาเขา และเขาก็ได้มา แล้วกล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าขอตัดสินพวกท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เป็นนักรบต้องถูกฆ่า เด็กและผู้หญิงต้องถูกจับเป็นเชลย และทรัพย์สินของพวกเขาต้องถูกแบ่งบัน1318

เล่าจากอิบนุ อุมัร ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวในวันอะห์ซาบว่า อย่าให้มีคนใดละหมาดอัสร์ นอกจากในตระกูลบะนีกุรอยเดาะห์ บางคนได้ละหมาดอัสร์ตามทาง และบางคนได้กล่าวว่า     พวกเราจะไม่ละหมาดจนกว่าจะไปถึงตระกูลบะนีกุรอยเดาะห์เสียก่อน1319 และมีบางคนกล่าวว่า แต่เราจะต้องละหมาด เพราะท่านนบีคงไม่ต้องการจากพวกเราเช่น

นั้น1320 และได้มีผู้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้ท่านนบี ซ.ล. ฟังท่านไม่ได้ตำหนิใครสักคนจากพวก เหล่านั้น1321 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และมุสลิม

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ได้กล่าวว่าเผ่าอันนะดีรและกุรอยเดาะห์ต่างก็ได้ทำ สงคราม (กับฝ่ายมุสลิม) ท่านนบีได้ขับไล่พวกบะนีอันนะดีรออกไป และท่านได้ให้พวกกุรอยเดาะห์ อยู่ต่อไป และได้ให้ความโปรดปรานแก่พวกเขาจนกระทั่งพวกกุรอยเดาะห์ได้ทำสงคราม1322 ท่านนบีจึงได้ (สั่ง) ฆ่าบรรดาผู้ชายของพวกเขา และได้แบ่งปันพวกผู้หญิง เด็กๆ และทรัพย์สินของพวกเขาระหว่างมุสลิม ยกเว้นบางคนของพวกเขาเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม และท่านได้ขับไล่พวกยะฮูดแห่งมะดีนะห์ทั้งหมดได้แก่พวกบะนีกอยนุกออฺ ยะฮูด บะนีฮาริษะห์ และยะฮูดี ทุกคนที่อยู่ในนครมะดินะห์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อพวกบะนีกุรอยเดาะห์ ยอมลงมาให้สะอัด บุตร มุอาซ ตัดสินนั้น ท่านนบี ซ.ล. ได้ส่งคนไปหาเขา และโดยท่านนบีเป็นญาติใกล้ชิดของเขา จากนั้นสะอัดได้มาโดยอยู่บนหลังลาตัวหนึ่ง เมื่อเขาเข้ามาใกล้ท่านนบี ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงลุกขึ้นยืนตอนรับผู้นำของพวกท่านเถิด เขามาแล้วก็ได้นั่งลงที่ท่านนบี ซ.ล. ท่านได้กล่าวแก่เขาว่า แท้จริงคนเหล่านี้ยอมลงมาให้ท่านตัดสินชี้ขาด สะอัดได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอตัดสินชี้ขาดว่า ผู้ที่เป็นนักรบจะต้องถูกฆ่า เด็กๆ และผู้หญิงจะต้องถูกจับเป็นเชลย ท่านนบีได้กล่าวว่า แท้จริงท่านได้ตัดสินพวกเขา ด้วยข้อตัดสิน ด้วยข้อข้อตัดสินของผู้ทรงกรรมสิทธิ์เด็ดขาด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และตัวบทของติรมิซีว่า สะอัด บุตร มุอาซ ถูกยิงในวันอะห์ซาบที่เส้นเลือดใหญ่ที่แขนของเขา และท่านนบี ซ.ล. ได้ทำให้เลือดหยุดด้วยไฟจี้ มือของเขาได้พองโตขึ้น ท่านนบีจึงปล่อยมัน เลือดก็ไหลไม่หยุด ท่านนบีจึงใช้ไฟจี้อีกครั้งหนึ่ง มือของเขาก็พองโตขึ้นมาอีก เมื่อเขาเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวว่า ข้าแด่อัลลอห์อย่าให้ชีวิตของข้าพเจ้าออกจากร่างจนกว่าพระองค์ท่านจะให้ข้าพเจ้าสบายตา จากพวกบะนีกุรอยเดาะห์เสียก่อนเส้นเลือดของเขาได้เกาะตัวกัน ไม่มีเลือดไหลสักหยด จนในที่สุดพวกนั้น ได้ยอมลงมารับการตัดสินของเขา และเขาก็ได้ตัดสินให้ประหารผู้ชายของเขา และให้ไว้ชีวิตผู้หญิงของพวกเขา เพื่อมุสลิมจะได้เอาพวกหล่อนไว้ช่วยงาน ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านตัดสินถูกต้องตามการตัดสินของอัลเลาะห์แล้วในเรื่องของพวกเขา และปรากฏว่าพวกนั้นมีสี่ร้อยคน และเมื่อเสร็จจากการประหารพวกเขา เส้นเลือดของเขาก็แตกออก และเสียชีวิตด้วยความยินดีที่น่ายินดี ขออัลเลาะห์ตะอาลาได้โปรดเมตตาเขา

ศึกคอยบัร[548]

เล่าจากสะฮัลบุตรสะอัด ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ได้กล่าวไว้ในวันคอยบัร ว่า ขอยืนยันว่า ข้าพเจ้าจะมอบธงรบนี้[549]ในวันพรุ่งนี้ให้แก่ชายคนหนึ่งที่อัลเลาะห์จะมอบชัยชนะให้อยู่ในสองมือของเขา ซึ่งเขาเป็นคนที่รักอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ และอัลเลาะห์

กับศาสนทูตของพระองค์ก็รักเขา ผู้เล่าได้กล่าวว่า ประชาชนได้พากันวิพากษ์วิจารณ์ในคืน

นั้นว่า ใครจะได้ธงนั้นต่อมาท่านนบีได้กล่าวว่า                                         อะลี บุตรอะบี ตอลิบอยู่ที่ไหนพวกเขากล่าว

ว่า                                    เขาเจ็บตาทั้งสองข้าง โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงส่งคนไปหา

เขา และเขาได้ถูกนำตัวมา ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ถ่มนํ้าลายลงในตาทั้งสองข้างของเขา และได้วิงวอนให้เขา แล้วเขาก็หายจนเหมือนกับไม่เคยเถิดอาการเจ็บมาก่อนเลย ท่านนบีจึงมอบธง รบให้เขาต่อมาอะลีได้กล่าวว่า  โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะต่อสู้กับพวกเขาจนกระทั่ง

พวกเขาจะเป็นเหมือนพวกเรา ท่านได้กล่าวว่า                                           จงไปด้วยความสุขุมของท่านจนกว่าท่านจะไป

อยู่ที่ลานบ้านของพวกเขา หลังจากนั้นท่านจงเรียกร้องพวกเขามาสู่อิสลาม และจงแจ้งให้พวกเขารู้ สิ่งที่จำเป็นเหนือพวกเขา จากสิทธิของอัลเลาะห์ในสิ่งนั้น ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า การที่ พระองค์อัลเลาะห์จะแนะนำทางที่ถูกด้องแก่ผู้ใดเพราะท่านเป็นต้นเหตุมันจะเป็นความดีแก่ท่านยิ่ง กว่าอูฐแดง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

และรายงานหนึ่งว่า                                   เมื่อฝ่ายมสลิมได้มาถึงคอยบัร กษัตริย์มัรฮับของพวกเขาได้ออก

มากวัดแกว่งดาบแล้วกล่าวว่า

คอยบัร รู้ดีว่า ข้าคือ มัรฮับ

มีเขี้ยวเล็บเป็นวีระบุรุษที่ช่ำชอง เมื่อสงครามเถิดขึ้นมันจะลุกเป็นไฟ

อะลีได้กล่าวว่า ข้าคือผู้ที่มารดาของข้าตั้งชื่อว่า ราชสีห์เป็นเจ้าป่าที่น่าครั่นคร้าม

ข้าจะตอบแทนหนึ่งศออ์ของพวกเขาด้วยหนึ่งถัง[550]

หลังจากนั้นอะลีก็ได้ฟันศีรษะของมัรฮับ และได้สังหารเขา จากนั้นชัยชนะก็ตกอยู่ใน มือทั้งสองของอะลี 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นคนขี่ซ้อน (อยู่บนหลังสัตว์) คู่ไปกับ อะบู ตอลฮะห์ในรันคอยบัร และเท้าของข้าพเจ้าสัมผัสทับเท้าของท่านนบี ซ.ล. อนัสได้กล่าวว่า พวกเรามาถึงพวกเขาในยามที่ตะวันขื้น เป็นขณะที่พวกเขาได้ไล่ต้อนสัตว์ของพวกเขาออกไป และพวกเขาได้ออกไปด้วยขวาน จอบ และคราด พวกเขากล่าวว่า มุฮัมมัดกับกองทหาร ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ทรงเกรียงไกรยิ่ง คอยบัรพินาศ แล้ว แท้จริงพวกเราได้ลงพัก ณ บริเวณของพวกใด เวลาเช้าของผู้ที่ได้รับคำเตือนแล้วจะ เป็นเวลาที่ชั่วร้ายที่สุด (ของพวกเขา) อนัสได้กล่าวว่า              อัลเลาะห์ตาอาลาได้ทำให้พวกเขาพ่ายแพ้แล้ว และในรายงานหนึ่งอะนัสได้กล่าวว่า            และเราได้พิชิตคอยบัรด้วยกำลัง[551]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า                                          ท่านนบี ซ.ล. ได้ละหมาดชุบฮ์ใกล้กับคอยบัร

ในเวลาย่ำรุ่ง หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ทรงเกรียงไกรยิ่ง คอยบัรได้พินาศแล้ว

แท้จริงเมื่อเราได้ลงพัก ณ บริเวณของพวกใด เวลาเช้าของผู้ที่ได้รับคำเตือนแล้ว จะเป็นเวลาที่ ช้วร้ายที่สุด (ของพวกเขา) ต่อมาพวกเขาก็ได้ออกเดินไปตามถนน ท่านนบี ซ.ล. จึงได้สังหาร บรรดานักรบ และจับพวกผู้หญิงและเด็กเป็นเชลย[552] และในจำนวนเชลยศึกที่จับได้นั้นมี ซอฟิยะห์ ซึ่งต่อมาตกเป็นของ เดียห์ยะห์ อัลกัลบีย์ แล้วตกเป็นของท่านนบี ซ.ล. และท่านได้ ปลดปล่อยนางให้เป็นอิสรเพื่อแลกกับสินสอดของนาง[553]

ยะซีด บุตร อะบี อุบัยด์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้เห็นรอยเฆี่ยนที่ขาของซะละมะห์ บุตร อัลอักวะอุ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า    โอ้อะบา มุสลิมรอยเฆี่ยนนี้คืออะไร                                                  เขาตอบว่า                                                       รอย

เฆี่ยนนี้เถิดกับข้าพเจ้าในวันคอยบัร ประชาชนกล่าวกันว่า                                             ซะละมะห์ได้รับบาดเจ็บ ข้าพเจ้า

จึงได้มาหาท่านนบี ซ.ล. และท่านได้เป่าลงไปที่รอยนั้นสามครั้งข้าพเจ้าไม่ได้รับความเจ็บ ปวดจากมันอีกเลย จนถึงเดียวนี้              

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

ศึกชาติรริกออุ[554]

เล่าจากอะบี มูซา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ออกไปพร้อมกับท่านนบี ซ.ล. ในศึกครั้งหนึ่งที่พวกเรามีหกคน[555] พวกเรามีอูฐตัวหนึ่งที่ใช้ผลัดกันขี่ อะบู มูซาได้กล่าวว่า จนฝ่าเท้าของพวกเราบางและฝ่าเท้าทั้งสองของข้าพเจ้าได้บางลงไป เล็บของข้าพเจ้าได้หลุดออก ต่อมาพวกเราก็ใช้เศษผ้าพ้นฝ่าเท้าของพวกเรา จึงเรียกศึกครั้งนั้นว่า ศึกชาติรริกออฺ (ศึกเศษผ้า) เนื่องจากพวกเราได้พันเท้าของพวกเราด้วย เศษผ้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากซอและห์ บุตร เคาวาต ร.ฎ. จากผู้ที่ได้ร่วมไปกับท่านนบี ซ.ล. ในวัน ชาติรรีกออฺ ที่ท่านได้ละหมาดในยามกลัวว่า แท้จริงมีทหารพวกหนึ่งเข้าแกวพร้อมกับท่าน และอีก พวกหนึ่งอยู่เผชิญหน้ากับศัตรูท่านได้ละหมาดร่วมกับผู้ที่อยู่กับท่านหนึ่งรอกาอัต จากนั้นท่าน ได้ยืนตรง และพวกที่ละหมาดกับท่านก็ได้ทำละหมาดให้ตัวเองจนครบ จากนั้นจึงได้เลิกละหมาด และตั้งแกวเผชิญกับศัตรู และอีกพวกหนึ่งก็มา ท่านก็ได้ละหมาดร่วมกับพวกเขาด้วยรอกาอัต ที่ยังเหลืออยู่จากละหมาดของท่าน จากนั้นท่านก็ได้นั่งนิ่งอยู่จนพวกนั้นได้ทำละหมาดให้ตัวเอง ครบ ท่านจึงได้ให้สลามพร้อมกับพวกเขา[556]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

ศึก บะนี อัลมุสตอลิก[557]

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ออกไปกับท่านนบี ซ.ล. ในศึกบะนี

อัลมุสตอลิก และเราได้เชลยที่เป็นชาวอาหรับ พวกเรามีความกำหนัดอยากผู้หญิง และความ ห่างไกลได้ทำให้เถิดความรุนแรงแก่พวกเรา                                                                           พวกเราชอบที่จะหลั่งออกข้างนอก และพวก

เรามีความต้องการมัน พวกเราได้กล่าวว่า                           พวกเราจะหลั่งออกข้างนอกทั้งที่ท่านรอซูลุลเลาะห์

ซ.ล. ยังอยู่กับพวกเราก่อนที่เราจะถามท่านหรือ                              พวกเราได้ถามท่าน ท่านจึงตอบว่า        พวก

ท่านไม่ควรกระทำ เพราะไม่มีชีวิตใดจะเกิดขึ้นจนถึงกันกิยามะห์ นอกจากมันจะด้องเถิดขึ้น[558] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอิบนิ เอาน์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้โอบล้อม พวก บะนี อัลมุสตอลิก ขณะที่พวกเขากำลังเผลอไผล สัตว์ของพวกเขาก็ถูกไล่ต้อนไปสู่แหล่งน้ำ ท่านได้สังหารนักรบของพวกเขาได้จับเด็กๆ และผู้หญิงเป็นเชลย และได้ตัวยุวัยริยะห์ บุตร สาว อัลฮาริษ ในวันนั้นเอง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

ศึกอันมาร[559]

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี ซ.ล. ในศึกอันมาร ท่าน กำลังละหมาดอยู่บนพาหนะของท่าน ในสภาพที่ผินหน้าสู่ทิศตะวันออก เป็นละหมาดที่ทำโดย ส มัครใจ[560] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ศึกอัลฮุดัยบียะห์ [561]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า                             “ขอยืนยัน แท้จริงอัลเลาะห์ทรงพอใจบรรดาผู้ศรัทธา

ขณะที่พวกเขาให้สัตยาบันกับท่านใต้ต้นไม้ และพระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเขา และพระองค์ทรงประทานความสงบให้เถิดแก่พวกเขา และตอบแทนพวกเขาด้วยชัยชนะ ซึ่ง ใกล้ถึงแล้วและด้วยทรัพย์สงครามจำนวนมหาศาลที่พวกเขาจะได้มัน และอัลเลาะห์ทรงเป็น ผู้พิชิตยิ่ง ทรงเชี่ยวชาญยิ่ง”[562]

เล่าจาก?าอัลบะรออฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกท่านนับกันว่าการพิชิตที่ยิ่งใหญ่นั้นคือ การ พิชิตมักกะห์ และความจริงการพิชิตมักกะห์ก็เป็นการพิชิตที่ยิ่งใหญ่ แต่เรานับกันว่าการพิชิต ที่ยิ่งใหญ่คือ “การให้สัตยาบันแห่งความยินดี” ในวันฮุดัยบียะห์, พวกเราอยู่กับท่านนบี ซ.ล. สิบสี่ร้อยคน[563] ฮุดัยบียะห์คือบ่อใบหนึ่ง และพวกเราได้ตักมันจนแห้ง ไม่ได้ทิ้งไว้ในบ่อนั้นเลยแม้สักหยดเดียว ต่อมาท่านนบี ซ.ล. ได้ทราบข่าวท่านจึงมาที่บ่อ แล้วนั่งลงบนขอบบ่อ จากนั้นท่านได้เรียกให้นำเอาภาชนะบรรจุนํ้ามา ท่านได้อาบนํ้าละหมาด และได้วิงวอนขอ จาก นั้นท่านได้เทมันลงไปในบ่อ และพวกเราได้ปล่อยมันไว้ชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นบ่อก็ได้ผลิตให้เรา สิ่งที่พวกเราและสัตว์พาหนะของเราต้องการ[564]

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่พวกเราในวันฮุดัยบียะห์

ว่า พวกท่านเป็นชาวดันที่ดีที่สุด และพวกเรามีจำนวนหนึ่งพันสี่ร้อยคน[565] และถ้าหากข้าพเจ้า ยังมองเห็นในวันนี้ ข้าพเจ้าจะชี้ให้พวกท่านได้เห็นที่ตั้งของต้นไม้นั้น[566]                                                                                                                     

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และมุสลิม

ศึกแห่งการพิชิตอันยิ่งใหญ่[567]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า                                       “เมื่อความช่วยเหลือของอัลเลาะห์และการพิชิตได้มาถึง

แล้ว และท่านได้เห็นมวลมนุษย์พากันเข้ามาสู่ศาสนาของอัลเลาะห์เป็นกลุ่มๆ ตังนั้นท่านจง สดุดี พร้อมด้วยการสรรเสริญ องค์อภิบาลของท่าน และจงขออภัยต่อพระองค์ เพราะแท้จริง พระองค์ทรงรับการกลับตัวยิ่ง”[568]

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้ออกเดินทางในเดือนรอมาดอน ออกจากนครมะดีนะห์       โดยมีผู้ร่วมเดินทางไปกับท่านจำนวนหนึ่งหมื่นคนในต้นปีที่แปดครึ่ง

นับตั้งแต่ท่านเข้ามาสุ่นครมะดีนะห์                                         ท่านได้เดินทางไปพร้อมกับมวลมฺสลิมจนถึงนครมักกะห์

ท่านถือศิลอด พวกเราก็ถือศีลอด จนเดินทางถึงอัลกะดีด[569] ท่านจึงละศิลอด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอุรวะห์ บุตร อัซซุบัยร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าเมื่อท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ออก เดินทางในบีแห่งการพิชิตนั้น ข่าวดังกล่าวได้ล่วงรู้ไปถึงพวกกุเรช อะบู ซุฟยาน บุตร ฮัรบ์, ฮกีม บุตร ฮิชาม, บุดัยล์ บุตร วัรกออุ ได้ออกไปติดตามหาข่าวความเคลื่อนไหว ของท่าน รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. พวกเขาได้มุ่งหน้าเดินทางจนไปถึงมัรร์อัดดอห์รอน [570] พวกเขาก็ได้ พบดวงไฟจำนวนมากมายเหมือนดวงไฟที่ทุ่งอะรอฟะห์ บุดัยล์ บุตร วัรกออุได้กล่าวว่า ดวงไฟของพวกบะนีอัมร์อะบู ซุฟยานกล่าวว่า พวกอัมร์น้อยกว่านี้ ต่อมายามรักษาการณ์ของท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ซ.ล. กลุ่มหนึ่งได้เห็นพวกเขา และตามมาทันพวกเขาจึงได้จับตัวพวกเขาพา ไปยังท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ต่อมาอะบูซุฟยานได้เข้านับลือศาสนาอิสลาม เมึ่อท่านนบีได้ เดินไป ท่านได้กล่าวแก่อัลอับบาสว่า                               จงคุมตัวอะบู ซุฟยานไว้ยังที่ๆ ม้าจะต้องเบียดเสียดกัน[571] เพื่อเขาจะได้มองดูมวลมุสลิม อับบาสจึงได้คุมตัวเขาไว้ และบรรดาเผ่าต่างๆ ได้เริ่มเดินผ่าน อะบีซุฟยาน พร้อมกับท่านนบี ซ.ล. ทีละทัพ ทีละทัพ เมื่อทัพหนึ่งผ่านมา อะบุซุฟยาน ถามว่า โอ้อับบาสพวกนี้เป็นใคร ? เขาตอบว่าพวกนี้คือ เผ่าฆิฟาร อะบูซุฟยานได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ากับเผ่าฆิฟารไม่เคยมีสงครามต่อกัน ต่อมาเผ่ายุฮัยนะห์ใต้ผ่านมา เขาก็ถามเช่นนั้น จาก นั้นสะอัด บุตร ฮุซัยม์ได้ผ่านมา เขาก็ได้ถามเช่นนั้น และพวกซุลัยม์ก็ผ่านมาเขาก็ได้ถามเช่นนั้น จนกระทั่งทัพหนึ่งมุ่งหน้ามา ซึ่งอะบู ซุฟยานไม่เคยเห็นเช่นนั้นมาก่อน เขาถามว่าพวกนี้เป็นใคร อับบาสตอบว่า พวกนั้นคือพวกอันซอร ซึ่งนำโดย สะอัด บุตร อุบาดะห์ โดยมี

ธงรบอยู่กับเขา สะอัดได้กล่าวว่า                                            โอ้อะบู ซุฟยาน วันนี้เป็นวันประจัญบาน วันนี้แหละจะ

เป็นวันที่กะอฺบะห์ได้รับการอนุญาต[572] อะบู ซุฟยานใต้กล่าวว่า                                                       โอ้อับบาสที่ดีควรเป็นวัน

แห่งเกียรติยศ จากนั้นก็ได้มีทัพหนึ่งมาเป็นทัพที่มีคนน้อยที่สุด ในทัพนั้นมีท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. และเหล่าอัครสาวกของท่าน และธงรบของท่านนบี ซ.ล. อยู่กับซุบัยร์ บุตร อัลเอาวาม เมื่อท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เดินผ่านอะบีซุฟยาน เขาได้กล่าวว่า ท่านไม่ทราบที่ สะอัด บุตร อุบาดะห์ได้กล่าวหรือท่านนบีถามว่า เขากล่าวอะไร อะบูซุฟยานกล่าวว่าเขาพูดอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านนบีจึงกล่าวว่า สะอัดพูดผิดแล้ว แต่วันนี้เป็นวันที่อัลเลาะห์ทรงยกย่อง กะอฺบะห์ และเป็นวันที่กะอฺบะห์จะได้รับการตกแต่ง ผู้เล่าได้กล่าวว่า และท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้บัญชาให้ปกธงรบที่ฮะยูน[573] แล้วท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้บัญชา คอลิด บุตร อัลวะลีด ให้เข้าทางด้านบนของมักกะห์ คือ จากทางกะดาอฺ1351 และท่านนบี ซ.ล. ได้เข้าทางกุดา[574] และทองทหารม้าของคอลิดได้ถูกสังหารไปสองคนคือ ฮุบัยช์ บุตร อัลอัชอัร กับกุรซ์ บุตร ญาบิร อัลฟิห์รีย์[575]

เล่าจากอุซามห์บุตร เชด ร.ฎ. ว่าแท้จริงเขาได้กล่าวในยามเข้าพิข้ตว่า                                                                            โอ้ท่าน

รอซูลุลเลาะห์ ท่านจะลงพักที่ใดในวันพรุ่งนี้ ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า                                                          อะกีลจะมีที่พัก

ให้เราไหม                                    หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า         ผู้มีศรัทธาจะไม่ทิ้งมรดกไว้ให้ผู้ไร้ศรัทธา (กาฟิร)

ได้รับ และผู้ไร้ศรัทธาจะไม่ทิ้งมรดกไว้ให้ผู้มีศรัทธาได้รับ ชุห์รีย์ว่า                                                    และผู้ใดจะได้มรดก

ของอะบาตอลิบ ท่านนบีกล่าวว่า                                         อะกีลและตอลิบ จะได้รับมรดกของเขา[576]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้อยู่ร่วมกับท่านรอซูลุลเลาะห์

ซ.ล. ในวันพิชิตที่ยิ่งใหญ่ ท่านได้แต่งตั้งให้คอลิด บุตร อัลวะลีด อยู่ปีกขวา และแต่งตั้ง ให้ชุบัยร์อยู่ทางปีกซ้าย และได้แต่งตั้งอะบาอุบัยดะห์ให้นำกองทหารที่ไม่มีเสื้อเกราะและพล เดินเท้าอยู่ทางด้านก้นลำธารท่านนบีได้กล่าวว่า โอ้อะบู ฮุรอยเราะห์จึงเรียกพวกอันซอรมา ข้าพเจ้าได้ไปเรียกพวกเขามา พวกเขาจึงพากันวิ่งมาอย่างรีบร้อน ท่านได้กล่าวว่า โอ้พวกอันซอรทั้งหลาย พวกท่านเห็นชุมชนของชาวกุเรชไหม พวกเขาได้กล่าวว่า ครับ ท่านกล่าวว่า พวกท่านจงมองดูเมื่อพวกท่านพบพวกเขาในวันพรุ่งนี้ ให้พวกท่านกวาดล้างพวกเขาอย่างจริงจัง และท่านได้ซ้อนมือของท่านและเอามือขวาทับมือซ้าย[577] ท่านได้กล่าวว่า               ที่นัดหมายของพวกท่านคือ ภูเขา ซอฟา ไม่มีใครขึ้นไปในวันนั้นนอกจากพวกเราจะทำให้ผู้นั้นหลับไป[578]และท่านรอซูลุลลอห์ ซ.ล. ได้ขึ้นไปบนภูเขาซอฟา พวกอันซอรก็ได้มาและได้เดินเวียนไป รอบ ๆ ภูเขาซอฟา และหลังจากนั้นอะบู ซุฟยานก็มา แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ความเขียวชะอุ่มของเผ่ากุเรชถูกทำลายราบลงแล้ว จะไม่มีเผ่ากุเรชอีกต่อไปหลังจากวันนี้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดเข้าบ้านอะบู ซุฟยานเขาจะปลอดภัย และผู้ใดโยนอาวุธทิ้งเขาจะปลอดภัย ผู้ใดใส่สลักประตูบ้านของเขา เขาจะปลอดภัย ต่อมาพวกอันซอรได้กล่าวว่า                                                                                                                         สำหรับชายคนนี้ ความเวทนาสงสารเครือญาติของเขาได้เถิดขึ้นกับเขาแล้ว และความรักหมู่บ้านของเขา (ได้เถิด ขึ้นกับเขาแล้ว) และวะฮีย์ก็ได้ลงมายังท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านได้กล่าวว่า                                                                                                 “สำหรับชายคนนี้” ความเวทนาสงสารในเครือญาติของเขาได้เถิดขึ้นแก่เขาแล้ว

และความรักหมู่บ้านของเขา (ได้เถิดขึ้นแก่เขาแล้ว) ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าชื่ออะไร[579] ข้าพเจ้า คือมุฮัมมัดเป็นบ่าวของอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ ข้าพเจ้าได้อพยพลี้ภัยไปสู่อัลเลาะห์ และไปสู่พวกท่านร่วมเป็นร่วมตายกับพวกท่าน พวกเขาได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์พวก

เราไม่ได้กล่าวเช่นนั้นนอกจากเพราะโลภในอัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์ ท่านได้กล่าว ว่า       แท้จริงอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์เชื่อพวกท่าน และยอมรับคำแก้ตัวของพวกท่าน

เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร มุเตียอฺ ร.ฎ. จากบิดาของเขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่าน นบี ซ.ล. กล่าวในวันพิชิตมักกะห์ว่า                                                                                                               ชาวกุเรชจะไม่ถูกฆ่าด้วยการกักขังและล่ามไว้หลัง

จากวันนี้จนถึงวันกิยามะห์[580]                                         

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้เข้านครมักกะห์ในวันพิชิต

และรอบๆ บัยตุ้ลเลาะห์ มีรูปบูชาจำนวนสามร้อยหกสิบรูป และท่านก็ได้ทิ่มรูปปั้นเหล่านั้น ด้วยไม้ที่อยู่ในมือของท่านพลางกล่าวว่า สัจธรรมมาแล้ว สิ่งเหลวไหลย่อมพินาศ สัจธรรม

มาแล้ว สงเหลวไหลย่อมจะไม่ปรากฏ และจะไม่กลับคืนมาอีก                                           

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม 

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ขณะเมื่อเข้าสู่มักกะห์ท่านไม่ ยอมเข้าสู่บ้ยตุ้ลเลาห์ โดยที่ในนั้นยังมีรูปบูชาต่างๆ อยู่ ท่านจึงได้สั่งให้จัดการกับมัน มันจึง ถูกนำออกไป และในจำนวนนั้นมีรูปของอิบรอฮีม และอิสมาอีล ในมือของทั้งสองมีติ้วเสียง ทาย ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขอพระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดสังหารพวกเขา ความจริงพวกเขารู้ดีว่า คนทั้งสองนั้น ไม่เคยเสียงทายด้วยติ้วเลยจากนั้นท่านได้เข้าสู่บ้ยตุ้ลเลาะห์ ท่าน ได้กล่าวคำตักบีรรอบๆ บัยตุ้ลเลาะห์และท่านได้ออกมาโดยไม่ได้ละหมาดในนั้น[581]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้มุ่งหน้าไปในวันพิชิตทางด้านที่สูงของนครมักกะห์อยู่บนพาหนะของท่าน นั่งซ้อนมากับท่านโดย อุซามะห์ บุตร เซด พร้อมกับ บิลาล, อุสมาน บุตร ตอลฮะห์ ซึ่งเป็นคนหนึ่งจากพวกที่ดูและบัยตุ้ลเลาะห์ จนท่านได้สั่งลง พักในมัสยิด และท่านได้บัญชาให้เขานำกุญแจบัยตุ้ลเลาะห์มา ต่อมาท่านรอซลุลเลาะห์ได้เข้า ไปพร้อมกับอุซามะห์ และอุสมาน ท่านได้พักอยู่ในนั้นเป็นเวลานาน หลังจากนั้นจึงกลับออกไป ประชาชนได้ชิงกันเข้าไป และปรากฏว่าอิบนิ อุมัรเป็นบุคคลแรกที่ได้เข้าไปและได้พบว่าบิลาลยืนอยู่ข้างหลังประตู อิบนิ อุมัรจึงถามเขาว่า ท่านนบี ซ.ล. ละหมาดที่ไหน บิลาลจึงได้ชี้ให้เขาไปยังสถานที่ที่ท่านนบีได้ละหมาด อิบนิ อุมัรได้กล่าวว่าและข้าพเจ้าลืมถามเขาว่าท่านนบีได้ละหมาดเท่าไร

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราพำนักอยู่กับท่านนบี ซ.ล. เป็นเวลาสิบวัน โดยพวกเราละหมาดย่อ(ละหมาดกอสร์)

และอิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. พำนักอยู่ที่มักกะห์เป็นเวลาสิบเก้าวัน โดยท่านละหมาดสองเราะกะอัต

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

เล่าจากอัลฮาริษ บุตร มาลิก ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี ซ.ล. กล่าวในวันพิชิตมักกะห์ว่า (กะอฺบะห์)นี้จะไม่มีสงครามอีก หลังจากวันนี้จนถึงกิยามัต

รายงานหะดีษโดยติรมิซี  ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

ศึกฮุนัยน์

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า                                        “และในวันฮุนัยน์ ขณะที่พวกท่านนึกกระหยิ่มในจำนวน

อันมากมายของพวกท่าน และแล้วมันก็ไม่สามารถป้องกันพวกท่านได้สักสิ่งเดียว และแผ่นดิน ก็คับแคบแก่พวกท่าน ทั้งที่มันเคยกว้างขวางหลังจากนั้นพวกท่านก็หันหลังเผ่นหนี แล้วอัลเลาะห์ ได้ประทานความสงบมายังศาสนทูตของพระองค์ และลงมายังบรรดาผู้ศรัทธา และยังได้ส่ง ทหารลงมาโดยที่พวกท่านไม่เห้นมัน และได้ลงโทษบรรดาผู้ไร้ศรัทธา และนั่นแหละคือการ ตอบแทนผู้ไร้ศรัทธา”[582] อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ ทรงสัจจะ

เล่าจากอัลอับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ร่วมอยู่กับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ในวันฮุนัยน์ ตัวข้าพเจ้า, อะบู ซุฟยาน บุตร อัลฮาริษ บุตรอับดิ้ลมุตอลิบ ได้ติดตามอยู่กับ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. และพวกเราไม่ได้แยกจากท่านเลย โดยท่านนบีอยู่บนล่อสีขาวของท่านตัวหนึ่ง ซึ่งฟัรวะห์ บุตร นุฟาซะห์ อัลยุซามีย์ ได้มอบเป็นของกำนัลแก่ท่าน และเมื่อฝ่ายมุสลิมกับกาฟิรปะทะกัน ฝ่ายมุสลิมได้หันหลังหนี ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กระตุ้นล่อ ของท่าน เข้าหาฝ่ายกาฟิร โดยมีข้าพเจ้าจับบังเหียนของมัน เพื่อรั้งมันไว้ไม่ให้เร็ว และมีอะบู ซุฟยาน จับบังโกลนของท่านไว้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า โอ้อับบาสจงประกาศเรียก “พวกที่ได้ให้สัตยาบันใต้ต้นซะมุเราะห์”1365 ข้าพเจ้าจึงได้ประกาศด้วยเสียงอันดังของข้าพเจ้า พวกที่ให้สัตยาบันใต้ต้นซะมุเราะห์ไปอยู่ที่ไหนกันหมดอับบาสได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่าความสงสารของพวกเขาขณะที่ได้ยินเสียงเรียกของข้าพเจ้า คล้ายกับความสงสารของแม่วัวที่มีต่อลูกๆ ของมันและพวกเขาได้กล่าวว่าพร้อมแล้วขอรับ, พร้อมแล้วขอรับ และพวกเขาก็ได้ต่อสู้กับพวกกาฟิร คำร้องเรียกในพวกอันซอรคือ พวกเขาจะกล่าวว่า โอ้ พวกอันซอร โอ้ พวกอันซอร จากนั้นคำร้องเรียกก็จำกัดอยู่แค่พวกนบี อัลฮาริษ บุตร อัลคอซรอจ ว่า โอ้ พวกบะนีอัลฮาริษ โอ้ พวกบะนีอัลฮาริษ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มองดูการต่อสู้ของ พวกเขา โดยท่านอยู่บนล่อของท่าน และท่านได้กล่าวดังนี้ ขณะที่สงครามกำลังดุเดือด หลัง จากนั้นท่านเราซูลุลลอห์ ซ.ล. ได้เอาก้อนกรวดขว้างมันไปยังใบหน้าของพวกกาฟิร จากนั้น ท่านได้กล่าวว่า จงแตกพ่ายไป สาบานต่อองค์อภิบาลของมุฮัมมัด อับบาสได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ไปดูก็พบการสงครามกำลังดำเนินอยู่ตามสภาพของมัน ตามที่ข้าพเจ้าเห็น เขาได้ กล่าวว่า   สาบานต่ออัลเลาะห์ท่านนบีไม่ได้ทำการใดนอกจากขว้างพวกเขาด้วยก้อนกรวด และ ข้าพเจ้าได้เห็นกำลังของพวกเขาอ่อนแอลงและกิจการของพวกเขาได้แตกแยกไปคนละทาง และในบางรายงานว่า ท่านนบีได้ขว้างพวกเขาด้วยฝุ่นดินกำมือหนึ่ง แล้วกล่าวว่า ใบหน้าที่อัปลักษณ์และดวงตาที่มืดบอด ดังนั้นจึงไม่มีใครสักคนเดียวจากพวกเขา นอกจากดวงตาของ พวกเขาจะเต็ม (ไปด้วยฝุ่นดิน) พวกเขาจึงหันหลังเผ่นหนี และแตกพ่ายไป และทรัพย์สงคราม ของพวกเขาได้นำมาแบ่งบันกันในระหว่างมวลมุสลิม และตัวบทของบุคอรีว่า ในวันฮุนัยน์ ขณะที่ทหารของเผ่าฮะวาซันได้ปะทะ (กับกองทหารมุสลิม) ทหารทีอยู่กับท่านนบี ซ.ล. นั้นมีจำนวนหนึ่งหมื่นคน และยังมีพวกที่ถูกปลดปล่อยชาวกุเรชอีก1366 ต่อมาพวกเขาได้หัน หลังเผ่นหนี ท่านนบีได้กล่าวว่า โอ้ชาวอันซอร พวกเขาได้กล่าวว่า พร้อมแล้วขอรับท่าน รอซูลุลเลาะห์ และยินดีปฏิบัติ พร้อมแล้วขอรับ พวกเราอยู่เบื้องหน้าท่านแล้ว ต่อมาท่าน รอซูลุลเลาะห์ได้ลงจากพาหนะแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นบ่าวของอัลเลาะห์ และเป็นศาสนทูต ของพระองค์ และต่อมาพวกผู้ตั้งภาคีก็แตกพ่าย ท่านนบีได้มอบ (ทรัพย์สงคราม) ให้แก่พวก ที่ถูกปลดปล่อยชาวกุเรช และพวกผู้อพยพ โดยที่ท่านไม่ได้มอบสิ่งใดให้แก่พวกอันซอรเลย [583] พวกเขาได้พูดกันในเรื่องดังกล่าว ต่อมาท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เรียกพวกเขา และพาพวกเขาเข้าไปในกระโจมหลังหนึ่ง แล้วกล่าวว่า พวกท่านยังไม่พอใจหรือ ที่ประชาชนจะได้ แกะและอูฐไป แต่พวกท่านจะได้รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ไป ถ้าหากประชาชนเดินอยู่ในลำธารหนึ่ง และพวกอันซอรเดินอยู่บนทางแคบชอกภูเขา แน่นอนข้าพเจ้าต้องเลือกเอาทางแคบของ พวกอันซอร ได้เพิ่มเติมในรายงานหนึ่งว่า                                                                                                                       เมื่อสงครามลุกโชน พวกเราได้ไปพักพิงที่ท่าน

รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.[584] และแท้จริงผู้ที่กล้าหาญของเราจะเปีนเพียงผู้ที่เท่ากับท่านเท่านั้น[585]

 รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี และมุสลิม 1032

ศึกเอาตอส[586]

เล่าจากอะบีมูชา ร.ฎ. ได้กล่าวว่าเมื่อท่านนบี ซ.ล. เสร็จภารกิจจากศึกฮุนัยน์ ท่านได้ส่งอะบา อามิร ให้คุมกองทหารไปยังเอาตอส ต่อมาอะบู อามิรได้พบดุรอยด์ บุตร อัซซิมมะห์ และดุรอด์ก็ถูกฆ่าตาย อัลเลาะห์ได้ให้พรรคพวกของเขาพ่ายแพ้ไป[587] อะบู มูซาได้กล่าวว่า ท่านนมี ซ.ล. ได้ส่งข้าพเจ้าไปกับอะบี อามิร ต่อมาได้มีชายคนหนึ่งจากเผ่ายุซัม ยิงอะบี อามิร ด้วยลูกธนูเข้าที่ห้วเข่าของเขา ข้าพเจ้าได้ไปถึงเขา แล้วกล่าวว่า โอ้ ลุงของข้าพเจ้าใครยิงท่าน เขาได้ทำท่ามายังข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า โน้นคือคนที่ฆ่าฉัน ซึ่งเขาได้ยิงฉัน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ มุ่งไปหาเขา และตามเขาจนทัน เมื่อเขาเห็นข้าพเจ้าก็ได้เผ่นหนีไป ข้าพเจ้าก็ได้ติดตามเขาไป และได้กล่าวแก่เขาว่า                                                                           ท่านไม่อายหรือ[588] หยุดเถิด และเขาก็หยุด เราได้ปะทะดาบกันสองครั้ง และข้าพเจ้าก็ได้สังหารเขา หลังจากนั้นข้าพเจ้ากลับมาหาอะบี อามิร ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ได้สังหารผู้ที่ฆ่าท่านแล้ว เขาได้กล่าวว่า จงดึงลูกธนูนี้ออกไปเถิด ข้าพเจ้าได้ดึง มันออกและมีนํ้าทะลักออกมาจากรอยนั้นมากมาย อะบู อามิรได้กล่าวว่า โอ้น้องชาย เจ้าจงไปบอกสลามของข้าพเจ้ากับท่านนบี ซ.ล. และบอกแก่ท่านว่า จงขออภัยโทษให้แก่ข้าพเจ้าด้วย และอะบู อามิรกิได้แต่งตั้งข้าพเจ้าให้เป็นผู้นำประชาชนแทนเขา[589] อะบู อามิรอยู่อีภไม่นานก็เสียชีวิตไป ข้าพเจ้าได้กลับไป และได้เขาพบท่านนบี ซ.ล. ในบ้านของท่าน, กำลังอยู่บนเตียงที่เต็มไปด้วยทราย และบนเตียงนั้นมืที่นอนปูทับอยู่ โดยที่ทรายบนเตียงยังฝากรอยไว้ที่ หลังและสีข้างของท่าน ข้าพเจ้าได้เล่าให้ท่านทราบ ข่าวคราวของเราและข่าวของอะบี อามิร, และได้เล่าถึงว่า อะบู อามิรได้กล่าวว่า ท่านจงบอกแก่ท่านนบีว่า จงขออภัยโทษให้ข้าพเจ้า ท่านถึงได้เรียกเอาน้ำมา แล้วอาบนํ้าละหมาด หลังจากนั้นท่านได้ยกมือทั้งสองข้างของท่านขึ้น แล้ว กล่าวว่า ข้าแต่อัลเลาะห์ได้โปรดอภัยโทษให้แก่อุบัยด์ อะบี อามิร ข้าแต่อัลเลาะห์ได้โปรดดลบันดาลเขาในวันกิยามะห์ให้ได้อยู่เหนือส่วนใหญ่ที่เป็นมนุษย์ของสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ ได้สร้างขึ้น ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า         และได้โปรดขออภัยโทษให้แก่ข้าพเจ้าด้วย ท่านจึงได้กล่าวว่า ข้าแต่อัลเลาะห์ได้โปรดอภัยโทษให้แก่ อับดิ้ลลาห์ บุตร กอยส์ และได้โปรดให้เขาเข้าสู่สถานที่ ที่มีเกียรติในวันกิยามะห์ อะบู บุรดะห์[590] ได้กล่าวว่า ครั้งหนึ่งจากในสองเป็นของอะบี อามิร และอีกครั้งหนึ่งเป็นของอบี มูซา[591]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

ศึกตออิฟ[592]

เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บุตร อัมร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เข้า โอบล้อมชาวตออิฟ โดยไม่ได้สิ่งใดจากพวกเขาเลย ท่านจึงกล่าวว่าถ้าเป็นประสงค์ของอัลเลาะห์ พวกเราจะถอนตัวกลับ บรรดาอัครสาวกได้กล่าวว่าท่านจะกลับไปโดยที่ท่านไม่สามารถพิชิต มันได้หรือ และท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่พวกเขาว่าพวกเราจะถอนกลับในวันพรุ่งนี้ ผู้เล่าได้กล่าวว่าการเช่นนั้นทำให้พวกเราดีใจ และท่านนบี ซ.ล. ก็หัวเราะ[593]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

ศึกตะบูก[594]

เล่าจากมุสอับ บุตร สะอัด ร.ฎ. จากบิดาของเขา[595] ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ออกไปยังตะบุก และท่านได้แต่งตั้งอะลีให้ทำหน้าที่แทน อะลีได้กล่าวว่าท่านจะปล่อยข้าพเจ้าไว้กับเด็ก ๆ และผู้หญิงหรือ ท่านนบีได้กล่าวว่าท่านไม่พอใจหรือ ทีท่านกับข้าพเจ้า จะเป็นเช่นฮารูนกับมูชา เว้นแต่ว่าจะไม่มีนบีอีกแล้ว หลังจากข้าพเจ้า[596]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม 

ศึกมูฅะห์ในแผ่นดินชาม

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้แต่งตั้งเซด บุตร ฮาริษห์ ให้เป็นแม่ทัพไป,ในศึกมูตะห์ หลังจากนั้นท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากเซดถูกฆ่าก็ให้ยอฺฟัรเป็นแม่ทัพแทน และถ้าหากยอฺฟัรถูกฆ่าก็ให้อับดุลเลาะห์ บุตร รอวาฮะห์เป็นแม่ทัพแทน[597] อิบนู อุมัรได้กล่าวว่า พวกเราได้ค้นหายะอฺฟัร บุตร อะบีตอลิบ ก็ได้พบว่าเขาอยู่ในจำนวนผู้เสียชีวิต และเราได้พบว่าที่ร่างของเขามีบาดแผล มากกว่าเก้าสิบแผล ทั้งทีถูกแทงและถูกยิง

อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้แจ้งข่าวการเสียชีวิตของเซด, ยอฺฟัร และอับดุลเลาะห์ บุตร รอวาฮะห์ ให้ประชาชนได้ทราบก่อนที่ข่าวการตายจะมาถึงท่าน โดย ท่านได้กล่าวว่าเซตได้ถือธงและเขาก็ถูกฆ่า ต่อมายอฺฟัรได้ถือ เขาก็ถูกฆ่า จากนั้นอับดุล เลาห์ บุตร รอวาฮะห์ได้ถือ และเขาก็ถูกฆ่า โดยที่ดวงตาทั้งสองของท่านนองด้วยนํ้าตา จนกระทั่งได้มีดาบหนึ่งจากบรรดาดาบของอัลเลาะห์[598] ได้ถือธงจนอัลเลาะห์ได้ให้พวกเขาพิชิต พวกนั้น

เล่าจาก อันนัวหมาน บุตรบะชีร อัลอันซอรีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าอับดุลเลาะห์ บุตรรอวาฮะห์ได้สลบไป และพี่สาวของเขาก็เริ่มร้องไห้ครํ่าครวญ โอ้ภูเขา, โอ้นั่น, โอ้นี่ พร้อมทั้งนับความดีต่าง ๆ ของเขาด้วย ต่อมาเขาได้กล่าว ขณะที่ฟื้นขึ้นว่าเธอไม่ได้พูดสิ่ง ใดนอกจากจะมีผู้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า เจ้าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้[599]

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี

บทสุดท้าย 1034

ผู้แทนคณะต่างๆ ที่ถูกส่งไป[600]

คณะของ อาศิม, คุบัยบ์ และผู้ร่วมคณะของเขาทั้งสอง[601]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ส์งฑหารกองหนึ่งไป สอดแนม โดยท่านได้แต่งตั้งอาศิม บุตรซาบิต เป็นหัวหน้าของพวกเขา และพวกเขาได้ออก เดินทางไป จนเมื่อมาถึงสถานที่หนึ่ง ระหว่าง อุซฟาน กับ มักกะห์ ข่าวของพวกเขาได้ถูก นำไปแจ้งให้แก่ตระกูลหนึ่งของเผ่าฮุซัยล์ เรียกพวกเขาว่า บะนู ละห์ยาน พวกเขาได้ออกติดตามกองสอดแนมของท่านนบี ด้วยนักแม่นธนูเกือบหนึ่งร้อยคน พวกเขาได้ตามแกรอยกองสอดแนมจนมาถึงแหล่งพักแห่งหนึ่งที่กองสอดแนมได้ลงพัก พวกเขาได้พบเมล็ดอินทผลัมที่ กองสอดแนมได้เตรียมมาเป็นเสบียงจากมะดีนะห์ตกอยู่ในที่นั้น พวกเขาได้กล่าวว่า           นี่คืออินทผลัมแห่งยัซริบ[602] พวกเขาจึงได้ติดตามรอยกองสอดแนมไปจนทัน อาศิมและคณะของ เขาได้เข้าไปหลบภัยที่ฟัดฟัด[603] พวกนั้นจึงล้อมไว้ แล้วกล่าวว่า พวกท่านจะได้สัญญา และ ข้อผูกมัดว่า ถ้าหากพวกท่านยอมลงมาหาพวกเรา, พวกเราก็จะไม่ฆ่าพวกท่านสักคนเดียว อาศิม ได้กล่าวว่า สำหรับตัวข้าพเจ้าจะไม่ยอมลงไปอยู่ในความคุ้มครองของผู้ไม่ศรัทธา ข้าแต่อัลเลาะห์ ได้โปรดแจ้งให้ศาสนทูตของพระองค์ท่านให้ทราบแทนพวกเราด้วย และพวกนั้นก็ได้ระดมยิง กองสอดแนม จนพวกนั้นได้ฆ่าอาศิม ร่วมกับคณะของเขาอีกเจ็ดคนด้วยลูกธนู แต่ยังคงเหลือ คุบัยบ์ กับ เซด และชายอีกคนหนึ่ง[604] พวกนั้นได้ให้สัญญาและข้อผูกมัดแก่พวกเขา, ดังนั้น พวกเขา (ทั้งสาม) จึงยอมลงไปหาพวกนั้น และเมื่อพวกนั้นสามารถคุมตัวพวกเขาไว้ได้ ก็จัด การแก้สายธนู แล้วใช้มันมัดพวกเขาไว้ ผู้ชายคนที่สามได้กล่าวว่า นี่คือการหักหลังครั้งแรก เขาจึงไม่ยอมร่วมไปกับพวกนั้น พวกนั้นได้ฉุดลากเขา และเกลี่ยกล่อมเขา แต่เขาก็ไม่ยอมปฏิบัติ ตาม พวกนั้นจึงฆ่าเขา แล้ว,นำเอาคุบัยบ์ กับ เซด เดินทางไป จนได้นำคนทั้งสองไปขายให้แก่ ชาวมักกะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

คณะของนักอ่านทั้งเจ็ดสิบคน [605]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าแท้จริงตระกูลเรียอฺล์, ซักวาน และอุซอยยะห์ ได้ขอกำลัง สนับสนุนจากท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ไปจัดการกับศัตรูของพวกเขา ท่านจึงได้ส่งกำลังไป สนับสนุนพวกเขาจำนวนเจ็บสิบคนที่เป็นนักอ่าน พวกเราเคยเรียกพวกเขาว่าเป็นนักอ่านในยุค ของพวกเขา พวกเขาได้เก็บฟืน ในเวลากลางวัน และทำละหมาดในเวลากลางคืน จนพวกเขา ได้ไปถึงบ่อนํ้ามะอูนะห์ พวกนั้น (สามตระกูลดังกล่าว) ได้หักหลังพวกเขาและได้สังหารพวก เขา ต่อมาท่านนบีทราบข่าว ท่านได้ยืนขอดุอา (กุนูต) เป็นเวลาหนึ่งเดือนในละหมาดซุบฮ์ ขอ ความพินาศให้เถิดกับตระกูลต่างๆ ของอาหรับ คือให้เถิดกับเรียอฺล์, ชิกวาน, อุซอยยะห์ และบะนีละห์ยาน อะนัสได้กล่าวว่า พวกเราเคยอ่านอัลกุรอานที่เกี่ยวกับเรื่องของพวกเขา แต่หลังจากนั้นก็ถูกยกไปคือ “ท่านทั้งหลายจงแจ้งให้พวกพ้องของเราทราบแทนเราด้วยว่า เรา ได้พบองค์อภิบาลของเราแล้ว พระองค์พอใจเรา และพระองค์ก็ได้ทำให้เราพอใจแล้ว” 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และเล่าจากกเขา (อะนัส) ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้ส่งน้าชายของท่านชื่อฮะรอมบุตร มิ้ลฮาล[606] ไปกับทหารที่ขี่พาหนะจำนวนเจ็ดสิบคนไปยังพวกบะนีอามิร และปรากฏว่าหัวหน้า ของพวกเขาก่อนหน้านี้ดือ อามิร บุตรอัตตุฟัยล์ ได้ยื่นข้อเสนอให้ท่านนบี ซ.ล. เลือกเอา ระหว่างสามประการโดยเขาได้กล่าวว่าพวกที่อาศัยอยู่ตามป่าเขาเป็นของท่าน ส่วนผู้ที่อาศัย อยู่ในเมืองเป็นของข้าพเจ้า หรือให้ข้าพเจ้าเป็นตัวแทนของท่าน หรือข้าพเจ้าจะเปิดสงคราม กับท่านด้วยเผ่าฆอตอฟานด้วยจำนวนพันและจำนวนพัน[607] แต่ท่านนบี ซ.ล. ไม่ยอมตาม ข้อเสนอ และท่านได้กล่าวว่าข้าแต่อัลเลาะห์ ได้โปรดให้อามิร พ้นไปจากข้าพเจ้าต่อมาฮะรอม กับชายอีกสองคนที่คนหนึ่งขาเป๋ได้เดินท่างไปยังพวกเขา ฮะรอมได้กล่าวแก่เพื่อนทั้งสองของเขาขณะเมื่อเข้าใกล้พวกนั้นว่า ท่านทั้งสองจงอยู่ใกล้ๆ ข้าพเจ้า จนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าไปหาพวกเขา ถ้าหากพวกเขาให้ความปลอดภัยแก่ข้าพเจ้า พวกท่านก็อยู่ใกล้ข้าพเจ้า และถ้าหากพวก เขาฆ่าข้าพเจ้า พวกท่านก็ไปหาพรรคพวกของท่าน จากนั้นฮะรอมได้ไปหาพวกเขาแล้วกล่าวว่า พวกท่านจะให้ความปลอดภัยแก่ข้าพเจ้าไหม ข้าพเจ้าจะแจ้งให้พวกท่านทราบถึงหน้าที่เผยแพร่ ของท่านเราซูลุลลอห์ ซ.ล. แล้วเขาก็เริ่มเจรจากับพวกนั้น และพวกนั้นได้ส่งสัญญาณให้ ชายคนหนึ่ง ต่อมาชายคนนั้นได้มาทางด้านหลังของฮะรอมได้แทงเขา ฮะรอมได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ทรงเกรียงไกรยิ่ง ข้าพเจ้าชนะแล้ว[608] ขอสาบานต่อองค์อภิบาลกะอฺบะห์ จากนั้น พวกเขาได้ติดตามไปยังบุคคลที่ร่วมมากับฮะรอม และได้ฆ่าพวกเขา เหลือชายขาเป๋คนเดียวที่ เขาได้ขึ้นไปอยู่บนยอดเขา หลังจากนั้นอัลเลาะห์ได้ประทานลงมายังพวกเรา และต่อมาได้กลาย เป็นสิ่งที่ถูกยกเลิกไป นั่นดือ “แท้จริง เราได้พบองค์อภิบาลของเราแล้ว และพระองค์ทรง พอพระทัยพวกเรา และพระองค์ก็ได้ทำให้เราพอใจ”

รายงานหะดีษโดย บุคอรี 

คณะของคอลิด บุตรอัลวะลิด ไปยังบะนี ยะซีมะห์ 1036

เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บุตร อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้ส่งคอลิด บุตร อัลวะลีดไปยังบะนียะซิมะห์ และได้เชิญชวนพวกเขาสู่ศาสนา แต่พวกเขาไม่อาจพูดได้ดี ด้วย คำว่า “พวกเรายอมรับอิสลามแล้ว, ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวว่า “พวกเราได้ทิ้งศาสนาเดิมแล้ว พวกเราได้ทิ้งศาสนาเดิมแล้ว”[609] คอลิดจึงฆ่าพวกเขา และจับเป็นเชลย และได้มอบเชลย ให้แก่พวกเราทุกๆ คน จนถึงวันหนึ่ง คอลิดได้ออกคำสั่งให้พวกเราแต่ละคน ฆ่าเฉลยของเขา

ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะไม่ฆ่าเชลยของข้าพเจ้า และไม่มีพวกเรา คนใดสังหารเชลยของเขา จนกระทั่งพวกเราได้มาที่ท่านนบี ซ.ล. และพวกเราได้เล่าให้ท่าน ฟัง ท่านนบี ซ.ล. ได้ยกมือทั้งสองของท่านขื้นแล้วกล่าวว่าข้าแต่อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้า พ้นมลทินจากสิ่งที่คอลิดได้ก่อขึ้น โดยท่านได้กล่าวถึงสองครั้ง[610]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี 

คณของอะบีมูชาและมุอาซไปยังยะมัน ร.ฎ.

เล่าจากอะบีบุรดะห์ ร.ฎ.[611] ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ส่งอะบู มุชา กับมุอาซ บุตรยะบั้ลไปยังยะมัน[612] และได้ส่งแต่ละคนไปคนละแคว้น ต่อมาท่านได้กล่าวว่าท่านทั้งสองจงทำให้เป็นเรื่องง่าย อย่าให้เป็นเรื่องยาก จงแจ้งข่าวดี อย่าทำให้เตลิด และแต่ละคนก็ได้เดินทางไปยังงานของเขา แต่ละคนเมื่อได้เดินทางอยู่ในแผ่นดินของตน ก็ได้เข้าใกล้ กับเพื่อนของเขา และได้ให้สลามแก่กัน มุอาชได้เดินทางอยู่ในแผ่นดินของเขาใกล้กับเพื่อน ของเขาคือ อะบี มุซา เขาได้เดินทางมาโดยล่อของเขาจนได้มาถึงอะบีมุซาก็ได้พบว่าเขากำลังนั่ง อยู่ โดยมีประชาชนร่วมชุมนุมอยู่กับเขา และมีชายคนหนึ่งอยู่ที่เขา มือทั้งสองข้างของเขาถูกมัดรวมอยู่ที่ต้นคอ มุอาซได้กล่าวว่า โอ้ อับดุลเลาะห์ บุตร กอยส์[613] นี่คืออะไร เขาตอบว่า นี่คือชายที่ทรยศหลังจากได้เข้าสู่อิสลามแล้ว มุอาชกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะไม่ยอมลงจนกว่าเขาจะถูกฆ่า อะบี มุซากล่าวว่า                                   ความจริงเขาถูกนำมาก็เพื่อการนั้น ท่านจงลงมาเถิด มุอาชกล่าวว่าข้าพเจ้าจะยังไม่ลงจนกว่าเขาจะต้องถูกฆ่า อะบี มุซาจึงได้ออกคำสั่ง เขาจึงถูกฆ่า และมุอาชก็ ได้ลง (จากล่อของเขา) แล้วกล่าวว่า ท่านอ่านอัลกุรอานอย่างไร เขาตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ อ่านรวดเดียวจบ[614] และอะบีมุซาก็ถามว่า แล้วท่านอ่านอย่างไร โอ้ มุอาซ              เขาตอบว่า

ข้าพเจ้านอนหัวคํ่า แล้วตื่นขื้น โดยที่ข้าพเจ้าได้ให้ช่วงนอนของข้าพเจ้าไปแล้ว ข้าพเจ้าก็จะ อ่านตามแต่อัลเลาะห์จะกำหนดแก่ข้าพเจ้า                                                                                                                และข้าพเจ้าจะแสวงหาผลบุญในเวลานอนของ

ข้าพเจ้าเหมือนที่ข้าพเจ้า แสวงหาผลบุญในเวลาตื่น[615]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี 

คณะของอะลีและคอลิด บุตรอัลวะลิด ร.ฎ. ไปยังยะมัน

เล่าจากอัลบะรออุ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ส่งข้าพเจ้าไป พร้อมกับคอลิด บุตรอัลวะลีด ไปยังยะมัน[616] ผู้เล่าได้กล่าวว่า หลังจากนั้น ท่านนบีได้ส่ง อะลีไปแทนคอลิด โดยท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่อะลีว่า จงสั่งแก่ทหาร ของคอลิดว่า ผู้ใด จากพวกเขาประสงค์จะติดตามไปกับข้าพเจ้า ให้เขาจงติดตามไป และผู้โดประสงค์ (จะมุ่งหน้า กลับมา) ก็ให้เขากลับมา และข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ติดตามไปร่วมกับเขา และข้าพเจ้าก็ได้ทรัพย์ สงครามเป็นทองคำแท่งจำนวนมาก

เล่าจากอะบี สะอีด อัลคุดรีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะลี ร.ฎ. ได้ส่งไปให้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ด้วยทองคำเป็นก้อนๆ บรรจุอยู่ในแผ่นหนังที่ฟอกด้วยใบไม้ชนิดหนึ่ง โดยที่ ทองคำนั้นยังไม่ได้ถลุงเอาขี้ดินของมันออก และท่านนบี ซ.ล. ได้แบ่งปันทองคำนั้นระหว่าง สี่คน คือ อุยัยนะห์ บุตร บัดร์, อักเราะอุ บุตร ฮาบิส และ เซด บุตร อัลคอยล์ และคนที่สี่ อาจะเป็นอัลกอมะห์ บุตร อุลาซะห์ และอาจจะเป็นอามิร บุตร อัตตุฟัยล์[617] ได้มีชายคนหนึ่งจาก บรรดาอัครสาวกของท่านกล่าวว่า พวกเราควรได้สิ่งนี้ยิ่งกว่าคนเหล่านั้น[618] และคำพูดนั้น ได้ล่วงไปถึงท่านนบี ซ.ล. และท่านได้กล่าวว่าพวกท่านไม่ไว้ใจข้าพเจ้าหรือทั้งที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ได้รับการไว้วางใจจากผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้า ข่าวจากฟากฟ้ามีมายังข้าพเจ้า ทั้งเวลาเข้าและเวลา เย็น ผู้เล่าได้กล่าวว่า ได้มีชายคนหนึ่งลุกขึ้นยืน เขาเป็นคนที่มีเบ้าตาทั้งสองข้างลึก มีโหนกแก้มทั้งสองข้างสูง หน้าผากนูน เคราหนา หัวล้าน ผ้านุ่งถูกถลกขึ้น[619] เขาได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ จงยำเกรงอัลเลาะห์ ท่านนบีได้กล่าวว่า ความพินาศจะเกิดแก่ท่าน ข้าพเจ้ามิใช่หรือที่สมควรที่สุดของชาวดินที่จะมีความยำเกรงต่ออัลเลาะห์ ผู้เล่าได้กล่าวว่า ต่อมาชาย คนนั้นก็ได้หันกลับไป คอลิด บุตร อัลวะลีด ได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ขอให้ข้าพเจ้า ฟันคอเขาเถิด ท่านได้กล่าวว่า ไป เพราะเขาอาจจะทำละหมาดก็ได้ คอลิดได้กล่าวว่า มีมากมาย ผู้ทำละหมาดที่พูดด้วยปาก สิ่งที่ไม่มีอยู่ในหัวใจของเขา ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้ กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าไม่ได้ถูกบัญชาให้เจาะหัวใจมนุษย์[620] และไม่ได้ถูกใช้ให้ผ่าท้องมนุษย์ จากนั้นท่านได้มองไปยังร่างของเขา ขณะที่กำลังหันไป ท่านได้กล่าวว่า ความจริงจะเกิดออก จากต้นตอของชายคนนี้ คนกลุ่มหนึ่งที่พวกเขาจะอ่านคัมภีร์ของอัลเลาะห์ (ลิ้น) เปียกๆ แต่มัน จะไม่พ้นลูกกระเดือกของพวกเขา[621] พวกเขาจะแหวกออกนอกศาสนา เหมือนลูกธนูแหวก ออกจากเป้า และข้าพเจ้าคาดว่า ท่านนบีได้กล่าวว่าขอยืนยันว่า ถ้าหากข้าพเจ้าทันได้พบ พวกเขา ก็จะสังหารพวกเขาเหมือนสังหารพวกซะมูด[622]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

จบเล่มที่6


 

 


 


 

 


 

[1]      จากอายห์ที่ 28

[2]      คอนรูปร่างใหญ่โตแต่สนองแลความคดมน้อย ดวยณตุนจงพบว่าสองคนจากพวกเขาไม่ร่ว่า อ้ลเทาห์รูทุกสิ่ง

[3]      เขาชอ ก่บคุขาลน บุตร อมร ชาวกุเรชสองคนไดแก่ ชอฟวาน ก่น รอบอห์ บุตร อุม*ยยห์

[4]        จากอายห์,ที่ 22

5      หมายถึงหน้งสือจริง ๆ หรือเป็นเพียงนามธรรมที่แสดงให้เห็นว่าข้อกำหนดต่าง ๆ เหนือบ่าวของอัลเลาะห์นนไห้เสร็จสิ้น ไปแล้ว

[6]        จากอายห์ที่ 7

[7]        หดีษนี้ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องความปรเสริฐของครอบครัวนบี

[8]        แลผู้ที่ทุจริตต่อครอบครัวของท่านนบี โดยถือว่าการทุจริตนนเป็นสิ่ง ฮลาล ซึ่งที่จะริงแล้วการทุจริตไม่ว่ากับผู้ใดเป็น สิ่งต้องห้าม (ฮรอม) ทั้งสิ้น แต่กับครอบครัวของท่านนบีนนจะได้รับโทษยิ่งกว่า

[9]        คือผู้ลทิ้ง ชรีอห์ ของมุฮัมมัค โดยถือว่า ฮลาล ให้ลทิ้ง

[10]      จากอายห์ที่ 61

[11]      จากอายห์ทํ่ 58

12 จากอายห์ที่ 29

[13] แลเราคือกาลเวลา หมายถึงเป็นผู้สร้างกาลเวลาขึ้นมา ทุกสิ่งทุคือย่างอยู่ในอำนาจของพรองค์ แม้แต่กลางวันแล

กลางคืน 

14 จากอายห์ที่ 17

[15]     มุอาวิยห์ได้แต่งตั้งให้ มัรวาน เป็นเจ้าเมือง มดินห์ แลใช้ให้เขากล่าวสุนทรพจน์ต่อมนุษย่ แลปลุกมนุษย์ให้สัตยาบัน แก่ยซีด บุตร มุอาวิยน์ เป็นคอลิฟห์ หลังจากมุอาวิยห์สลตำแหน่ง มัรวาน ก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งนน แต่อับดุรเราห์มาน บุตรอบีบักร์ ได้คัดค้านเขาโดยกล่าวว่า นี่คือรบบกษัตรย์ขอสาบานว่า อบุบักร์ ไม่เคยให้สัตยาบันแก่ลูกคนใดของเขาได้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา หรือแม้แต่คนในกรอบครัวของท่านนบีก็ไม่เคย มัรวานจึงสั่งให้จับตัวเขา อับดุรเราห์มานได้หลบ หนีเข้าไปในบ้านของพี่สาวเขาคือ อาอิชห์ พวกที่ติดตามจึงปล่อยเขา แลมัรวานก็ได้กล่าวอย่างที่เขาได้กล่าว

[16]      คือใบหน้าของท่านจเปลี่ยนสีแลแสดงอาการไม่พอใจ

[17]       คำว่าพวกหนี่ง ทั้งสองแห่งฟันคอพวก อาด ซึ่งเป็นกลุ่มชนของนบี ลูฏ อ.ล. พวคือาด ถูกทำลายด้วย พายุ ซอร ซอร ที่พวกเขาเห็นเหมือนก้อนเมฆ ดังคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “แลเมื่อพวกเขาแลเห็นการลงโทษ ได้มีมา เป็นเมฆที่แผ่กว้างตรงมายังทุบเขาของพวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่านี่คือเมฆที่จะน่าฝนมาให้เรา แต่มันคือสิ่งที่พวกท่านได้เร่งเร้าให้มันเกิดขึ้น มันคือสายลมที่มีการลงโทษอันเจ็บปวดอยู่ในนน" จากอายห์ที่ 24

[18]       ท่านนบี ซ.ล. ได้ชัยชนในสงคราม อัลอห์ซาบ หรือสงคราม คอนดัก ด้วยสายลมที่มาทางทิศตวันออก พวคือาด ถูกทำลายด้วยสายลมที่มาทางทศตวันดก

[19]      จากอายห์ที่ 29

[20]      เท่าที่ปรากฏครั้งนี่เป็นคนละครั้งกับครั้งที่ท่านกลับจาก ตออีฟ

[21]                พวกเขาเป็น ญิน ที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทร

[22]                หมายถึงอาหารของพวก ญิน ได้แก่กรดูกทุกชนิดที่ได้กล่าวนามของอัลเลาะห์ ขณเชือดหรือขณรับปรทานหรือขณขว้างทิ้ง

[23]                ณินพวกนี้เป็นพวกที่อัลกุรอานได้กล่าวถึง ส่วนญินที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรนน พวกมันได้มาเชื้อเชิญท่านนบีไป แล ท่านนบี ซ.ถ. ก็ได้ค้างแรมอยู่กับพวกนนตามลำพัง

[24]                หมายความว่า นอกจากพวกเขาจะพบว่ามันอยู่ในสภาพดีที่สุด ดังนนที่ดีแล้วควรวางกรดูกไว้ในสถานที่ๆสอาด แล ปล่อยไว้รยหนึ่งก่อนที่จะโยนที่งเพื่อให้ ณิน ที่เป็น มุอฺมิน ได้ใช้มันเป็นอาหาร

[25]      จากอายหที่ 19

[26]      แลในบางรายงานว่า ร้อยครั้งเป็นการตอบสนองกำสั่งของอัลเลาะห์ตาอาลา

[27]      จากอายห์ที่ 22

[28]      พวกเขาได้ถามท่านนบี ซ.ล. ขณทึ่ท่านได้อ่านอายห์ที่มีความหมายว่า “และหากพวกเจ้าหันหลังให้แน่นอนพระองค์ จะนำเอาพวกอื่นจากพวกเจ้ามาเปลี่ยน หลังจากนนพวกเขาจะไม่เป็นเหมือนเช่นพวกเจ้า จากอายห์ที่ 38

[29]      ได้กล่าวมาแล้ว ในเรื่องความปรเสรฐของเปอร์เซีย

[30]      จากอายห์ที่ 2

[31]      จากอายห่ที่ 5

32        จากอายห่ที่ 45 ชูเราห์ อํลอห์ชๅบ

[33]       จากอายห่ที่ 18 บรรดามุสลิมจำนวน หนึ่งพันสี่ร้อยคนได้ให้สัตยาบันแก่ท่านรอชูลุลเลาะห่ ซ.ล. ว่าจะต่อสู้กับพวก ตั้งภาคีแห่งมักกะห่จนตายโดยไม่ถอยหนี และได้ให้สัตยาบันกันใต้ต้นไม้ที่ ฮุดัยบิยะห์

[34]       ซิฟฟิน เป็นชื่อสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ใกล้ก่บแม่น้ำ ฟุรอต (ยูเฟรติส) เป็นสมรภูมิรบระหว่างมุอาวยะห์กับอะลี เมื่อทหาร 

[35] พวกนนคือ พวกที่ตั้งภาคี

36 เพื่อแจ้งว่าท่านนบี ซ.ล. แลมวลมุสลิมจะมีชัยชนะเหนือพวกผู้ตั้งภาคีในไม่ช้านี้ และจะได้เข้าพิชิตนครมักกะห์ และ แน่นอนว่าสัญญาของอัลเลาะห์ต้องเป็นความจริง

37 ขณที่ท่านนบี ซ.ล. กับอัครสาวคือยู่ที่ ฮุดัยบิยะห์ กำลงละหมาด ซุบฮ์ ได้มีข้าศึกจำนวนแปดสิบคนละงมาจากภูเขา ตันอีม และได้เข้าโอบล้อมกองทหารมุสลิม แต่พวกเขาถูกจ้บได้และได้ถูกนำมาหาท่านนบี ซ.ล. ท่านนบีได้อภัยให้พวกเขา และปล่อยตัวไป และนี่เองที่เป็นสาเหตุแห่งการไกล่เกลี่ยในเวลาต่อมา

38 จากอายห์ที่ 20

[37]       จากอายห์ที่ 26

[38]      ดังนนผู้ใดได้กล่าวคำนี้และได้ปฎิบัติตามนัยแห่งถ้อยคำนี้เขาก็เป็นคนหนึ่งที่มีความยำเกรง

[39]      จากอายะห์ที่1

[40]      จากอายะห์ที่2

[41]       เขาเป็นนักกล่าวสุนทรพจง่เของชาว อันซอร เพราะมีคำพูดที่ฉะฉาน

[42]      เขาหมายถึงตวเขาเองเพราะส่งเสียงดัง

(720) แลนี่เป็นการแจ้งข่าวดีที่ยอดเยี่ยม สำหรับเขา

(รช,ร) จากรายะห์ที่ 4

[45] ความประสงค์ของชายผู้นั้นคอต้องการยกตัวเอง หมายความว่าถ้าหากท่านสรรเสริญชายคนหนึ่ง เขาก็ควรแก่การสรรเสริญ แลผู้ใดที่ท่านได้ประณาม เขาก็เป็นผู้ที่ควรประณาม คำที่ว่า นั่นแหละ อัลเลาะห์ หมายความว่า ผู้ที่การสรรเสริญเป็นความ

งาม แสการประณามเป็นความเสื่อมเสียนั้นคอ อัลเลาะห์ตาอาลา

(720) จากอายะห์ที่ 7

[47]  บรรดาผู้นำที่ดีของพวกท่าน คือบรรดาอัครสาวก

[48]  พวกท่านในวันนั้จะเป็นอย่างไร หมายถึงพวกท่านที่เป็นเพียง ตาบิอีน ซึ่งอยู่หล้งจากบรรดาอัครสาวกเล่าจะเป็นอย่างไร ถ้าหากจะตามพวกท่าน เอาความเห็นของพวกท่าน โดยทั้งคัมภีร์ของอัลเลาะห์ และซุนนะห์ ของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.

[49]      จากอายห์ที่ 9

[50]      จากอายห์ที่ 11

[51]      จากอายห์ที่ 13

[52]      นรกญะฮันนัม นนมีความกว้างใหญ่ไพศาล มันจะยังคงพูดว่า มีอีกไหม จนกว่าอัลเลาะห์จะเผยแก่มันด้วยอาการขู่บังคับ แล้วมันจึงยอมจำนน แล้วกล่าวว่า พอแล้ว พอแล้ว

[53]       สำหรับสวรรค์นนยังมีส่วนที่เหลืออยู่ อัลเลาะห์จะสร้างประชาชาติหนึ่งขึ้นมา และให้ไปพำนักในส่วนที่เหลือของสวรรค์นี้

[54]      หมายถึงเห็นในสวรรค์ ถ้าหากพระองค์ทรงประสงค์ให้เห็น

[55]      จากอายห์ที่ 39

[56]       จากอายห์ที่ 40

[57]      อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ไค้กล่าวว่า คือการกล่าว ตัสบีห์หลังการละหมาด

[58]      ท่านนบี ซ.ล. ทราบอยู่แถ้ว แด่ท่านต้องการไค้ยินจากเขา

[59]      คือไค้ส่งชายคนหนึ่งชื่อ คือยล์ ไปยังแผ่นดินศักดิ์สืทธิ์ เพื่อขอฝนให้แก่พวกเขา

[60]      ที่นครมักกะห์ และไค้พำนัคือยู่กับเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือน

[61]      มะหะเราะห์ เป็นชื่ออาหรับก๊กหนึ่ง

[62]      เพื่อเป็นการขอบคุณในการต้อนรับของเขา

[63]      จากอายห์ที่ 41 - 42

[64]      จากอายห์ที่ 35-37

[65]      เพราะอายะห์เหล่านี้บรรจุอยู่ค้วขหลักฐานต่างๆ ที่ลึกซึ้ง

[66]        นี่เป็นการอธิบายคำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “และในบางช่วงของเวลากลางคืนเจ้าจงกล่าวคำสดุดี และเวลาที่ดวงดาวใหหลัง" จากอายะห์ที่49 แลอายะห์ที่ว่า “และในบางช่วงของเวลาเจ้าจงกล่าวคำสดุดี และเวลาหลังละหมาด" จาก อายะห์ที่40 ซูเราะห์ก๊อฟ

[67]      คือ ซิรร์ บุตร ฮุบัยช์

  1.  จากอายห์ที่ 9 - 11

[69]      ซึ่งประดับประดาด้วยเพชรและทับทิม

[70]      จากอายห์ที่ 8 - 9

[71]       ทุกครั้งที่ ญิบรีล มาเขาจะมาในรูปของ เดียห์ยะห์ อัลคือลบีย์ หรือผู้อื่นจากบรรดาอัครสาวกของท่าน นอกจากในคืน อิสรออ ที่ท่านใต้เห็นเขาในรูปที่แท่จริง

[72]      ขอสถานที่แห่งหนึ่งที่มักกะห์ หรอที่ อิสรออ

[73]      จากอายห์ที่ 18

[74]      หดษฃองว่าท่านนบี ซ.ล. ไดเห็นญิบรีล อยู่บนพรมผืนใหญ่เต็มสิ่งที่อยู่ระหว่างฟ้ากับแผ่นดิน

[75]        สะวีกเป็นชื่ออาหารชนิดหนึ่ง และเมื่อชายคนนี้เสืยชีวิคปรชาชนได้พากันสักการะหินก้อนนนเพื่อแสดงความคารวะเขา และตั้งชื่อหินก้อนนนตามชื่อฃองเขา

[76]      จากอายะห์ที่ 32

[77]       คือบรรดาผู้ทึ่ร่วมอยู่ ณ ที่นนทั้งหมดได้สุหญดตามท่านนบี ซ.ล. บรรดามุสลิมได้สุหญูดตามท่านนบี ซ.ล. ส่วนพวกผู้ตั้งภาคีได้สุหญูดเพระาเข้าใจผิดว่าเป็นการสุหญูด ต่อ อัลลาต แล อัลอุซซา

[78]      คือ อุมัยยะห์ บุตร คอลฟ์

[79]      จากอายะห์ที่ 2

[80]      คอภูเขา อบี กุบัยส์ กับภูเขา คืออัย คืออาน

[81]      หมายความว่าท่านทั้งหลายจงถามผู้ที่อยู่ห่างไกลออกไปเถิดว่าพวกเขาเห็นเหตุการณ์นี้ไหม

[82]      จากอายะห์ที่ 15

[83]      ถาหากท่านประสงค์ให้มุสลิมกลุ่มนี้พินาศ ก็จะไม่มีใครสักการะท่าน

[84]      จากอายะห์ที่ 49

[85]      เพราะมันเป็นความลับที่ถูกปกปิดไว้

  1. จากอายห่ที่ 46

[86]       อิบนิ อับบาสได้กล่าวว่าสวรรค์ทั้งสองนั้นคือสวนสองแห่งที่อยู่ในความกว้างของสวรรค์ แต่ละสวนมีระยะทางหนึ่งร้อยปี ในกึ่งกลางของแต่ละสวนมีปราสาทที่สร้างจากรัศมี

[87]      นี่มาจากคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า คือเหล่านางฟ้า ที่ถูกจำกัดเขตอยู่แค่ในกระโจม" จากอายห่ที่ 72

[88]      ต้นไม้นั้นบางท่านว่าคือ ตูบา

[89]      จากอายท่ที่ 30

[90]      จากอายห์ที่ 34

[91]       จากอายห์ฑี๋ 35 คือพระองค์ได้ทรงสร้างนางฟ้าขึ้นมาจริงๆ โดยไม่ต้องอาศัยการคลอด แลผู้หญิงซึ่งอยู่ในโลกดุนยา ที่เป็นคนอ่อนแอ ตาฟาง แลตาแฉะก็เช่นเดียวกัน

[92]      คือเราได้กำหนดไว้แล้วเหนือทุกคนชึ๋งจะไม่มีผู้ใดปฎิเสธได้

[93]      จากอายห์ที่ 60 - 61

[94]       เพราะในอายะห์เหล่านั้นได้กล่าวถึง ประวัติของบรรดานบีต่างๆ ความพินาศของผู้คนในยุคก่อน มีคติ คำสอน สัญลักษณ์ ต่างๆ ที่แน่ชัด มีการกล่าวถึงความตาย สวรรค์และนรก

[95]      นั่นคือน้ำฝน

[96]      คือการที่พวกเจ้ากล่าวว่า ดาวดวงนั้นดวงนี้ได้ให้น้ำฝนแก่!รา จากอายห์ที่ 62

[97]      นี่!ป็นคำพูดของ กาเฟร

[98]      จากอายห์ที่ 75-82

[99]      หมายความว่าสืของฟ้าเหมือนสีฃองคลื่นทะเล

[100]    คือตกลงไปบนการงานของพระองค์และเดชานุภาพของพระองค์

[101]     จากอายห์ที่ 3        (793) จากอายะห์ 10             (794) จากอายห์ที่ 1

(796) สิ่งที่อัลเลาะห์กำหนดคือ ค่าปรับ (กัฟฟาเราะห์) ที่ว่า “และบรรดาสามีที่เปรียบเทียบภรรยาของพวกเขาเหมือนหลังมารดา

หลังจากนั้นพวกเขาได้กลับคำพูดเสียใหม่ ดังนั้น (พวกเขาจะต้องเสียค่าปรับด้วย) การปล่อยทาสเป็นอิสระหนึ่งคน ก่อนที่เขา

ทั้งสองจะทำการสัมผัส(ทางเพศ) ซึ่งกันและกัน" จนถึง “หกสืบคนที่ยากจน" จากอายหที่ 3 - 4

[105]              จากอายห์ที่8 (797) จากอายหํ๋ทํ่12

  1. จากอายะห์ที่ 13

[106]              เพราะเหตุที่อะลีมีความสงสารและตั้งกำหนดไว้เพียงเล็กน้อยอัลเลาะห์จึงยอมผ่อนผันให้ปรชาชาตินี้

[107]           ว่าสาเหตุของการประทานซูเราะห์นี้ลงมามีว่าอย่างไร

[108]           จากอายะห์ที่ 5

[109]      ทรัพย์สินของพวกตระกูล บะนี นะดีร ตกเป็นของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. แก่ญาติสนิทของท่านอันได้แก่ตระกูล บะนี ฮาชิม และ บะนี มุตตอลิบ ตกเป็นของเด็กกำพร้าที่ยากจน แก่คนยากไร้ และคนเดินทางซึ่งเป็นเหมือนทรัพย์สงคราม ที่ได้มาโดยการต่อสู้และควบม้าเข้าใส่ฝ่ายศัตรู

[110]     จากอายห์ที่ 7

[111]     หมายความว่าหล่อนกับจ้าพเจ้าจะไม่ได้อยู่ร่วมบ้านเดียวกัน

[112]     หะดีษเป็นตัวกำหนดเงื่อนไขของอายะท์นั้น คำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “ท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลเลาะห์ ตามที่พวกท่านมีความสามารถ"

นี่เป็นคำสั่งเสียบางประการของเขา ซึ่งขณะนั้นเขาอยู่ในอาการป่วยครั้งสุดท้าย

[114]     คือให้เธอทำให้พวกเด็กๆ ง่วงหรือหลับไปโดยไม่ต้องกินอาหารเพื่ออาหารจะได้เหลือพอแก่แขก

[115]      เมื่อเธอยคือาหารมาวางจ้างหน้าเราแล้ว ให้เธอดับตะเก็ยง และคำที่เป็นแก้ตะเกียง ภรรยาของเขาก็ได้ทำตามนั้น ส่วน อะบู ตอลฮะห์ ก็ได้ทำทีว่าได้รับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วจึงปล่อยให้แขกรับประทานจนอิ่ม ในคืนนั้นอะบูตอลฮะห์ รวม ทั้งภรรยาและบุตร ได้นอนหลับไปด้วยความหิวโหย

[116]     จากอายะห์ที่ 9

[117]     เราเฎาะห์คอค เป็นชื่อสถานที่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ระหว่าง มักกะห์ กับ มะดีนะห่

[118]    จากอายห่ที่40 ซูเราะห์ อัซซะญะดะห์

  1. จากอายห่ที่ 1 ชน!,ผ่ากุเ,รช อาศัยอยู่ในมักกท

[120]    จากอายะห์ที่ 10

[121]    จากอายะห์ที่ 12

[122]    การให้สัตยาบันของท่านนป็ ซ.ล. แก่พวกผู้หญิงนั้นโดยทางคำพูดเท่านั้น

[123]    คือไค้สดุคีว่าพระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมแก่พระองค์

[124]    จากอายะห์ที่ 2

[125]    จากอายะห์ที่ 6

[126]     ได้กล่าวมาแล้วในเรื่อง ตำแหน่งนบี

[127]    จากอายะห์ที่ 3

[128]     จนเขาได้ถามขึ้นถึงสามครั้ง

[129]     คือจากพวกเปอร์เซีย

[130]    คือสะอัด บุตร อุบาดะห์ หรือ อับดุลเลาะห์ บุตร รอวาฮะห์

(820) หมายความว่าผู้มีอำนาจคือตัวเขาเอง และผู้ต้อยต่ำหมายถึงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.

[132]     คือพระองค์อัลเลาะห์ได้ทรงยืนยันว่าบรรดาผู้มีศรัทธาสัจจะ และยืนยันว่าพวกหน้าไหว่หลังหลอกมุสา

[133]      ยิ่งกว่านั้นเขายังได้กล่าวอีกว่า  เปรียบพวกเรากับพวกผู้อพยพ (มุฮาญิรีน) แล้วก็เหมือนกับที่มีผู้กล่าวว่า จงขุนหมาของท่านให้อ้วน เพื่อมันจะให้กัดท่าน

[134]      คือมันเป็นความเห็นของอะลีกับมิตรสหายของเขา และพวกเขาก็อยู่บนความถูกต้อง ต่างกับมุอาวิยะห์ และมิตรสหายของเขา พวกเขาได้ใชหลักวินิจฉัยแต่ผิด

[135]     คือพวกที่ตั๊งใจฆ่าท่านนบี ซ.ล. ขณะที่ท่านเดินทางกลับจากตะบูก ญิบรีลได้แจ้งให้ท่านนบี ซ.ล. ทราบชื่อของพวกเขา และชื่อบิดาของพวกเขา ต่อมาท่านก็ไห้บอกชื่อของคนพวกนั้นแก่ ฮุซัยฟะห์

[136]     ฝีได้เกิดขึ้นที่บ่าของพวกเขาและได้ทะลุออกมาทางหห้าอกของพวกเขาและมันก็ได้ทำให้พวกเขาเสืยชีวิต

[137]     คือไห้เสียชีวิตลงด้วยลมพายุนี๊ คล้ายกับพายุที่มาจากพวก อาด

(884) คือกลับไปกลับมาระหว่างแพะสองฝูง

[139]  จากอายะห์ที่ 10

[140]  จากอายะห์ที่ 14

[141]  และพวกเขาก็ได้อภัยให้แก่พวกนั้น ตามที่อัลเลาะห์ตาอาลาได้บัณูชา

[142]           คือหลังจากสาม็ของหล่อนได้ตายไปสี่สิบวัน

[143]           คือ อิดดะห์ (ระยะกักตัว)ที่สามีตาย

[144]           คือยางไม้ชนิดหนึ่งมีรสหวานแต่กลิ่นเหม็น เมื่อท่านนบี ซ.ล. ได้เข้าไปหาคนใดคนหนึ่งจากทั้งสองก็จะกล่าวว่าท่าน ได้รั,บประทานยางไม้หรอ ท่านได้ตอบว่า เปล่า แต่ข้าพเจ้าได้ดื่มน้ำผึ้งที่ ชัยหนับ และขอสาบานว่าข้าพเจ้าจะไม่ดื่มอืก เพราะ กลัวกลิ่นเหม็น แต่เธอจะต้องปกปีดสิ่งนี้ไว้

[145]    คือ ฮัฟเซาะห์ ที่เป็นภรรยาของท่านนบี ซ.ล.

[146]           เขาหมายถึง อาอิชะห์ ร.ฎ.

[147]           หมายความว่า เราจะสับเปลี่ยนกันมาอยู่ที่ท่านนบี ซ.ถ. เพื่อรับฟังเรื่องราวต่างๆ แล้วนำไปเล่าสู่กันฟัง

[148]           คือรอซ เป็นชื่อพืชชนิดหนึ่งใช้ย้อม

[149]           คือความงามและความสุขในโลกนี้

[150]     หมายความว่า เมื่อภรรยาแต่ละคนของท่านนบี ซ.ล. ได้แสดงอาการหึงหวงท่านอย่างรุนแรง และท่านก็รู้สึกรำคาญต่อ การเซ่นนั้น อุมัร จึงได้กล่าวแก่บรรดาภรรยาของท่านนบีว่าถ้าหากท่านนบีหย่าพวกเธอ แน่นอนว่าพระผู่อภิบาลท่านจะต้อง เปลี่ยนภรรยาที่คีกว่าพวกเธอให้แก่ท่าน อัลเลาะห์จึงได้ประทานอายะห์นี้ลงมา จากอายะห์ที่5 ซูเราะห์ อัตตะห์รีม

[151]     สิ่งแรกที่พระองค์อัลเลาะห์ทรงสร้างขึ้นหลังจาก เลาะห์ มะห์ฟูช ก็คือปากกา หลังจากนั้นพระองค์ได้บัญชาให้มันเขียน กำหนดการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจนชั่วนิรันดร์ เป็นคำอธิบายอายะห์ 1

[152]  เป็นกำเปรขบเหยบว่า ตคือยู่ในสถานการณ์ที่ร้ายแรง เป็นคำอธิบายอายะห์ที่ 42

[153]  จากอายะห์ที่ 17

[154] ความมุ่งหมายของการนับระยะทางนี้ ไม่ขัดกับที่ได้ผ่านมาแล้วในซูเราะห์ อัลฮะคีด

[155]    นี่คือลักษณะเครื่องดื่มของชาวนรก

[156]     จากอายะห์ที่ 20-21

[157]    จากอายะห์กี๋ 23

[158]     เป็นชื่อตลาดที่มีชื่อเสืยงมากตั้งอยู่ระหว่างมักกะห์ กับตออีฟ

[159]    ผู้ที่กล่าวคือ อิบลิสหลังจากได้ฟังสิ่งที่พวกนั้นเห็น

[160]     คือมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในแผ่นดิน ด้วยเหตุนื้มันจงกล่าวว่าพวกเจ้าจงตระเวนไปทางตะวันออกและตะวันตกของแผ่นดิน

[161]    จากอายะห์ที่ 2

[162]    จากอายะห์ที่ 1

[163]     จากอายะห์ที่ 19

[164]     จากอายะห์ที่ 1-3

[165]     เป็นการบรรยายคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “ในไม่ช้าข้าจะบังคับเขา ใหไค้รับโทษอันแสนลำเค็ญ" จากอายะห์ที่ 17 อายะห์นิ้ไค้ลงมาในเรื่องของ อัลวะลีด บุตร อัลมุฆีเราะห์ คือ!ราจะลงโทษเขา เป็นการลงโทษอย่างมหันฅ์ หรือเราจะบังคับเขาให้ขึ้นลงภูเขาลูกนั้นตลอดกาล

[166]      ท่านไค้แสดงท่าค้วยนิ้ว ครั้งหนึ่งสืบอีกครั้งหนึ่งเก้า หมายความว่าผู้เฝ้านรกญะฮันนัมมืจำนวนสิบเก้า อัลเลาะห์ตาอาลา ไค้ตรัสว่า “มีมะลาอิกะห์เฝ้ามัน สืบเก้าท่าน" จากอายห์ที่30

[167]     จากอายะห์ที่ 56

[168]  จากอายหที่ 16-19

[169]  จากอายะห์ที่ 23

[170]  จากอายหฑ 60 ซูทกห์ อ้ลบุรซลาด

[171]  จากอายะห์ท 30

[172]    มุอมินทุกคนมีความดีมีความเพิ่มพูน แต่มุอมิน ที่มีร่างกายและจิตใจเข้มแข็งเป็นที่รักของอัลเลาะห์ยิ่ง

[173]     คืออย่าเกียจค้านในการกระทำความดี

[174]      หมายความว่าให้ละทิ้งความเสียใจต่อภัยพิบัติที่มาประสพและสิ่งที่หลุดลอยไป เพราะความเสียใจจะเปิดประตูต้อนรับ ชัยฏอน

[175]    คือทั้งสองไค้เดินอยู่แล้วเข้าไปพักในถ้ำที่ตำบล มีนา

[176]     คือได้หายไปในรู ของมัน

  1. คือใกล้ชิดกันเหมือนนิ้วกลางกับนิ้วชี้

[178]     จากอายหที่ 1 - 2

[179]     คือบรรดามะลาอิกะห์ผู้ทำหน้าที่คัดลอกอัลกุรอานจาก เลาห์ อัลมะห์ฟูซ

[180]     เพราะในบรรดาซูเราะห์เหล่านี้ได้บรรจุอยู่ด้วยเรื่องราวความโกลาหลอันใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นในวันกิยามะห์

     [181]     ชึ่งเหงื่อนั้นจะมากน้อยตาม อะมัล ของแต่ละคน

[182]                  จากอายะห์ที่ 14

[183]                  จากอายะห์ที่ 7 - 8

[184]                   ความหมายของอายะห์นี้ก็คือ อะมัลต่าง ๆ ของบรรดาผู้มีศรัทธาจะถูกนำมาเสนอให้พวกเขาได้เห็นทั้งความดีและความชั่ว และพวกเขาก็จะยอมรับสารภาพ อัลเลาะห์ก็จะอภัยให้แก่พวกเขา ดังได้กล่าวมาแล้วในซูเราะห์ ฮูด ส่วนการสอบสวนและ การซักถามในสิ่งที่พวกเขาได้ปฎิบัติไว้นั้น มันจะพินาศด้วยการชักถามนั้นหรือด้วยไฟนรก

[185]            คือมีนักบวชคนหนึ่งอยู่ระหว่างทางที่เขาจะไปหานักไสยศาสตร์

[186]            อยู่ในเฉันทางที่จะไปยังบ้านของนักบวชคนนั้น

[187]    คือเข้าทำหน้าที่เป็นคนสนิทของกษัตริย์นั้นตามเดิม

[188]     คือกระทำสิ่งต่างๆ อีกมากมาย

[189]    ได้มีรายงานว่าหลุมเพสิงที่ได้เกิดฃึ้นนั้นมีสามคือ หนึ่งเกิดที่ นัจรอน ประเทศยะมัน สองเกิดที่ประเทศชาม และสามเกิดที่ เปอร์เชีย ชึ่งบรรดาผู้มีศรัทธาชาถูกเผาในหลุมเพสิงเหล่านี้ ที่กล่าวนี้นอกจากหลุมเพลงที่ อิรอก ที่ทำขึ้นเพื่อเผานบี อิบรอฮีม ซ.ล.

[190]      ท่านนบี ซ.ล. ได้พึมพำขอป้องกันจากสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับประชาชาตินี้ซึ่งนบี ของพวกเขาแปลกใจในความดื้อดึงและไร้ศรัทธาของพวกเขา

[191]     คือ อัมมาร บุตร ยาซิร บิลาล บุตรรอบาห์ และ สะอัด บุตร อบีวักคือส

[192]     จากอายะห์ที่ 21-22

[193]            คืออูฐที่ถูกกล่าวอยู่ในคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “อูฐของอัลเลาะห์ และจงให้น้ำดื่มแก่มัน แต่ต่อมาพวกเขาได้ กล่าวหาว่า (นบีซอและห์ อ.ล.) โกหก แล้วพวกนั้นก็จัดการเชือดอูฐตัวนั้นเสีย ดังนั้นองค์อภิบาลของพวกเขาจึงได้ทำลายล้าง พวกเขาเพราะบาปของพวกเขา และพระองค์ได้ทรงทำลายโดยทั่วถึงทุกคน" จากอายะห์ที่ 13-14

[194]          อะบี ซัมอะห์ เป็นลุงของ อัซซุบัยร์ บุตร อัลเอาวาม เขาเป็นผู้มีอิทธพลในพวกกุเรช

[195]           คือไม่สมควรที่เขาจะเฆี่ยนตีภรรยาของเขา นอกจากจะมีความจำเป็นอย่างที่สุด โดยให้อบรมสั่งสอนก่อนถ้าไม่เกิดประโยชน์ ทีให้เลิกพูดจา และถ้ายังไม่เกิดประโยชน์อีกจึงให้เฆี่ยนตี ดังได้กล่าวมาแล้วในเรื่อง นิกาห์

[196]          ไม่สมควรที่จะหัวเราะสิ่งใดๆที่มนุษย์ได้กระทำ พวกเขาเหล่านั้นหัวเราะ เมื่อมีคนหนึ่งจากพวกเขาผายลม ท่านนบี ซ.ล. จึงห้ามการกระทำเช่นนั้น แม้ว่าการซ่อนเร้นการผายลมนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำก็ตามเพราะเป็นสิ่งที่ต้องสงวน

[197]     ยิ่งกว่านั้นมุสลิมยังจะได้รับที่ของกาฟิร ในสวรรค์เป็นมรดกซอีกด้วย ดังกล่าวมาแล้วในซูเราะห์ อัตตะคอบุน

[198]     จากอายห่ที่ 5-6-7

  1. ชื่อ อัลเอารออฺ บุตร ฮัรบ์ พี่สาวของ อบูซุฟยาน เป็นภรรยาของอะบี ละฮับ ที่อัลกุรอานได้ลงมาว่า โดยมีภรรยา

ของIขา เป็นผู้แบกไม้ฟืน จากอายห่ที่ 4 ซูเราะห์ อัลมะชัด (897) จากอายะห์ที่ 1-2-3

[201] จากอายห่ที่ 5 - 6 คำว่า “ความยากสำบาก ในทั้งสองแห่งนั้นคือความยากสำบากเดียว แค่ความสบายนั้นมีมากมาย แม้จะกล่าวสองแห่งเหมือนกันก็ตาม ทั้งนื้เพราะ “ความยากสำบาก" นั้นเป็นคำนามจำเพาะ ส่วน “ความสบาย" เป็นคำนามที่ไม่เจาะจง

(899) จากอายหที่ 8

[203]    จากอายหที่ 19

[204]     จากอายะห์ที่ 17-18

[205]              แสดงชุนทรพจนบน มิมบัร ของท่านนบี ซ.ล.

[206]              จากอายะห์ที่1 ชุเราะห์ อัลเกาซัร

[207]              จากอายหที่1-3

[208]              ที่ถกต้องคือ หนึ่งพันเดือน เหมือนที่ระบุอยู่ในอายะห์นั้น หมายความว่าพวกเขาครองอำนาจอยู่ใด้หนึ่งพันเดือนเท่านั้น

[209]     จากอายะห์ฑี๋4

[210]     คือจะเป็นพยานในวันอาคิเราะห์ถึงการกระทำของทุกคน

[211]     ว่าจำเป็นต้องจ่าย ซะกาตไหม

[212]     จากอายหที่ 7-8

[213]     คือฉันจะพิทักษ์ และทำให้มันเพิ่มพูน

[214]     คือเป็นของท่านในอาคิเราะห์

[215]     จากอายะห์ที่ 1

[216]     จากอายะห์ที่ 8

[217]      อาหรับเรียกน้ำและอินทผลัมว่า สองดำ หมายความว่าเมื่ออาหารของเรามีเพียงน้ำกับ อินทผลัม พวกเรายังจะต้องถูกถามอีกหรือ ท่านตอบว่า แน่นอนจะต้องมีการสอบถามถึงมัน

[218]     และได้เข้าสวรรค์

[219]     บนริมฝั่งทั้งสองด้านของมันเป็นไข่มุก เพชร และทองคำ และมีโดมที่ทำมาจากสิ่งเหล่านั้น

[220]      คือปฎิบัฅิตามอัลกุรอานที่ว่า “ดังนั้นท่านจงสดุดี พร้อมด้วยการสรรเสริญองค์อภิบาลของท่าน และจงขออภัยโทษต่อพระองค์เถิด เพราะแท้จริงพระองค์ทรงรับการสารภาพโทษยิ่ง" จากอายะห์ที่ 3

[221]     คือยังมีอายุด้อยและพวกเราก็มีลูกๆ รุ่นเดียวกันกับเขา

[222]    คือทำได้พวกนั้นเห็นความปรเสริฐของข้าพ!จ้า

[223]      การใช้ให้ขออภัยโทษ เป็นหลักฐานที่ชี้ขัดว่าใกล้ถึงกำหนดความตายของท่านนบี ซ.ล.แล้ว ประการที่ไม่มีผู้ไดเข้าไจ นอกจาก อิบนุอับบาสกับ อุมัร เท่านั้น

[224]    จากอายะห์ที่ 214 ซูเราะห์ อัซซุอะรออ

[225]     คือด้วยสาเหตุที่เขาได้ปลดปล่อย ซุวัยบะห์ ซึ่งเป็นแม่นมของท่านนบี ซ.ล. เป็นอิสระชน ผลจากการกระทำเช่นนั้นทำให้ เขาได้สิทธิ์พิเศษบางประการคือได้น้ำดื่มในนรก

  1. จากอายะห์ที่ 1-2

[227]     จากอายหท 4

[228]      คือเธอจงขอป้องก้นด้วยอัลเลาะห์จากความชั่วร้ายของสิ่งนื้ ด้วยการกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอป้องกันจากความชั่วร้ายของสิ่งนี้ หรือด้วยการอ่าน “อัลมุเอาวิซตัยน์” เพราะทั้งสองถูกประทานลงมาเพื่อไข้ขอป้องกัน

[229]     ปรเภทของความฝันจะปรากฎในหะดีษ อะบี ฮุรอยเราะห์ และสิ่งที่ผู้ฝันควรต้องกล่าวจะปรากฎในหะดีษ อะบู คือตาดะห์

[230]      บางรายงานว่า สี่สิบห้าส่วน อีกรายงานหนึ่งว่า สี่สืบส่วน และบางรายงานก็ว่า เจ็ดสืบส่วน ความเหลื่อมล้ำนื้เป็นไป ตามสภาพของผู้ฝัน ดังนั้นความฝันของคนชั่วจะใกล้ความจริงเท่ากับหนึ่งในเจ็ดสืบส่วน และความฝันของคนที่ดีจะใกล้ ความจริงเท่ากับหนึ่งในสี่สืบส่วน แด่ตามรายงานที่แพร่หลายที่สุดจะเท่ากับหนึ่งในสี่สืบหกส่วน เพราะเวลาที่วะฮีย์ ได้ถูก ประทานลงมานั้นยี่สืบสามปี หกเดือนจากจำนวนนั้นเป็นความฝัน ซึ่งเมื่อเทียบกับเวลายสืบสามปีแล้วกิจะเท่ากับหนึ่งในสี่สืบหก ส่วน ความฝันจะบอกถึงสิ่งเร้นลับเหมือนที่ วะฮีย์ บอกข่าวจากฟ้า

[231]    หมายความว่า แด่การแจ้งข่าวดีนั้นยังคงมีอยู่ คือความฝันที่จะแจ้งข่าวดี หรือเตือนในยามเผลอไผล

[232]     คือให้นำไปเล่าแก่ผู้รู้ และคนรัก

[233]     หมายความว่าถ้าฝันร้ายให้เขาถ่มน้ำลายทางด้านซ้ายสามครั้ง และฃอป้องกันด้วยอัลเลาะห์จากความชั่วของ ไชตอน และ ความชั่วร้ายของความฝันนี้สามครํ้งโดยไม่ต้องนำไปเล่าแก่ผู้ใด เพราะมันจะไม่เป็นภัยกับเขา

[234]         ความฝันนั้นจะเกิดเป็นจริงมากที่สุดเมื่อใกล้วันสี้นโลก

[235]          คือคนที่เป็นกังวลในเรื่องหนึ่งเรื่องใด แล้วเขาก็ฝันเห็นสิ่งนั้นหรือที่เกี่ยวข้องกันนั้น ความฝันปรเภทนี้ไม่พิจารณา

  1. คือถ้าหากเขามีควานกระปรี้กระเปร่า ถ้าไม่เช่นนั้นให้เฃาถ่มน้ำลายทางด้านซ้ายสามครั้งและขอป้องกัน

[237]          การผูกเท้าหมายถึงมีความมั่นในศาสนา ส่วนการคล้องคอนั้น หมายถึงภาระอันหนักหน่วง หรือถูกตัดสืน

[238]          หรือคนที่รู้เรื่องการทำนายฝัน

[239]          คือสามครั้งเช่นเดียวกัน แท้จริงอัลเลาะห์จะคุ้มครองเขา

[240]          ที่ท่านถามก็เพื่อจะช่วยแก้ฝันให้เขา

[241]      อาศัยชื่อจริงเช่นฝันเห็นนกหัวขวาน(ฮุดฮุด) ให้ทายว่าคือทางนำ(ฮุดา) อาศัยชื่อ!ล่นเช่นฝันเห็นคนที่ชื่อ อะบี อะลี ให้ ทายว่า ความสูงส่ง(อุสูว์)

[242]     หมายความว่าอย่านำมาคุยแต่ให้ขอป้องกันด้วยอัลเลาะห์จากมัน

[243]     คือไม่มีการโกหกใดที่จะมุสาไปยังกว่าการที่เขากล่าวว่า ฉันฝันเห็นอย่างนั้น อย่างนี้ ทั้งที่เขาไม่ได้ฝันเลย

[244]     คือละหมาด ซุบฮ์

[245]     คือเมือง ชาม

(930) หมายถึงท้ายทอยของเขา

[247] ตานตัวบทหะดีษ กินความถึงเด็กมุสลิม และเด็กมุชริก

  1. คือบ้านที่อยู่สูงที่สวยงามและดียิ่ง นั้นแป็นบ้านของพวกนักรบชะฮีด

[249]     คือบ้านหลังใหญ่มากเหมาะสมกับเกียรติของท่านนบีซ.ล.

[250]      เครื่องนุ่งห่มในความฝันคือ ศาสนา เพราะเครื่องนุ่งห่มจะรักษาผู้สวมใส่จากความร้อนความหนาวเหมือนกับศาสนาที่จะ ปกปักษ์ให้พ้นจากการลงโทษทั้งในดูนยาและอาคิเราะห์

[251]     การดมนมสดในความฝันชี้ถึง อัลกุรอาน หลักเตาฮีด และวิชาความรู้ เพราะนมเป็นอาหารแรกของชีวิต เหมือนกับวิชา ที่เป็นอาหารของหัวใจ

[252]     ผู้ที่ปรากฎที่ ซอนอาอฺ คือ อัลอัสวัด อัลอันซีย์ และที่ ยะมามะห์คือ มุซัยลิมะห์ อัลกัซซาบ

[253]     ยะฮัร เป็นชื่อเมื่องหนึ่งใน บะห์รอยน์

[254]     คือวัวที่ถูถเชือด ตามหะดีษของอะห์มัด

[255]     ท่านได้ทำนายฝันว่า มีดดาบนั้นคือบรรดาอัครสาวก ส่วนวัวที่ถูกเชือดนั้นหมายถึงอัครสาวกบางคนที่ถูกฆ่าชะฮีด

[256]     ที่ดีควรต้องเอาผู้อาวุโสไว้ก่อน ถ้าหากทั้งสองนั้นมีเกียรติเท่ากัน ถ้าไม่เช่นนั้นเอาผู้อาวุโสน้อยกว่าไว้ก่อน

[257]     โดยเอา ความสูงส่งมาจากคำว่า “รอเฟียะอฺ เอาวาระสุดท้ายที่ดี มาจากคำว่า “อุกบะห์”

[258]     สวน คืออิสลาม และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนาทั้งหมด เสา คือหลักการอิสสาม ห่วงคือ ศรัทธาแลการยึดอย่างเหนียวแน่น

[259]    การที่บินอยู่ในสวรรค์ชี้ว่าเป็นผู้ที่มีความยำเกรงต่ออัลเลาะห์และเป็นคนที่มีคุณธรรม

(950) สาเหตุของหะดีษนี้คือในวันหนึ่งท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มีใครบ้างจากพวกท่านที่ฝัน ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า ข้าพเจ้า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ และเขากได้เล่าเช่นนั้น

[261]    ที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ไม่พอใจก็เพราะจำกัดความมีเกียรติอยู่เพียงสานคน

[262]      เนาฟัล ผู้นี้เป็นญาติใกล้ชิดของ คอดิญะห์ ร.ฎ. ที่นางได้พาท่านนบีไปหาเมื่อวะฮีย์ลงมาเป็นครั้งแรก ตามที่ปรากฎใน หะดีษเรื่องตำแหน่งนบี และเนาฟัล ได้เสียชีวิตไปคืนที่ท่านนบี ซ.ล. จะถูกแต่งตั้งเป็นศาสนทูต

[263]    โดยอัลเลาะห์จะให้ความสะดวกแก่เขาอพยพลี้ภํยไปจนได้เห็นท่านที่นครมะดีนะห์ หรือจะได้เห็นท่านในอาคิเราะห์

[264]     คือศาสนาอิสลาม

[265]    ตายในที่นี้หมายถึง ตายเล็ก นั่นคือการนอนหลับ มีชีวิตอยู่ คือตื่นจากหลับ

[266]     หมายถึงการชุบชีวิตขึ้นใหม่ใน วันกิยามะห์

[267]     จากสิ่งที่สกปรกและสิ่งที่เป็นอันตรายต่าง ๆ

[268]     คือรอยพองที่มีอของเธอ อั,นเนื่องมาจากการหมุนโม่

[269]     คนรับใช้ในที่นี้หมายถึงเชลยศึกที่จับมาได้จากการสงคราม

[270]     แท้จริงสิริมงคลจากการ ชิกิร จะช่วยทำใท้เธอทั้งสองหายจากความเหน็ดเหนื่อย และจะยังใท้และบุญของมันยังอยู่กับเธอทั้งสอง

[271]    หมายถึงทำให้เมล็ดงอคืออกมาเป็นต้นพืช

[272]    คือเป็นผู้บงการมัน

[273]     หมายความว่า ผู้ใดที่ได้อ่านมันเสืยชีวิตในคืนนั้น เท่ากับเขาได้ตายในเตาฮีด

[274]     อัลอันมารีย์ ผู้นี้ไม่ได้รายงานหะดีษใดเลยนอกจากหะดีษนี้เท่านั้น

[275]           การนอนคว่ำเป็น มักรูห์ ที่ดีควรนอนทับสืข้างด้านขวา ผินหน้าสู่กิบลัต แต่การนอนทบสีข้างด้านซ้ายและนอนหงาย ไม่เป็นไร เพราะไม่มีตัวบทห้ามไว้

[276]          หมายถึงเป็นการตายฟรี เพราะเขาประมาทเลินเล่อเอง

[277]    จากความงดงาม ความยิ่งใหญ่ ความศรัทธา ความแน่วแน่ และความพร้อมสมบูรณ์

[278]      เพราะมีความจำเป็นที่ศาสนายอมรับเช่นป่วย เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้วบรรดานบีทั้งหลายย่อมต้องเป็นผู้ที่รีบปฎิบ้ตตาม คำสั่งของอัลเลาะห์

[279]     เป็นที่ทราบกันดีว่า ยะห์ยาและซะกะรียา นั้นเป็นบุตรของ คอละห์ ขอพระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดประทานพรและความสันติแก่เขาทั้งสอง และห้าประการนี้กีคือ เตาฮีด ละหมาด ถือศิลอด การบริจาค แลการซิกร์มากๆ

[280]     หมายความว่าจะไม่ม่ใครหรอกที่ยินยอมให้ทาสของตนทำเช่นนั้น

[281]     ซะกาดแลการบริจาคทานจะทำให้เขาพ้นจากความพินาศ เหมือนกับเชลยที่ยอมสละทุกสิ่งเพื่อไถ่ตัวเองเป็นอิสระ

[282]     คือเชื่อฟังและปฎิบัติตามผู้น่า และที่ว่า อพยพลี้ภัย นื้หมายถึงก่อนจะเข้าพิชิตมํกกะห์ ดังจะกล่าวต่อไปในเรื่องญิฮาด

[283]      หมายถึงชนมุสลมส่วนมาก เพราะผู้ใดแยกตัวออกจากชนมุสลิมส่วนมากเพียงคืบเดียวเท่ากับเขาได้ถอดห่วงของอิสลามออกจากด้นคอของเขา

[284]    คือการเรียกร้องที่กระพือโหมการถือพรรคถือพวก

[285]     การญิฮาด คือ การสงครามกับพวกผู้ใร้ศรัทธาเพื่อช่วยอิสลาม และส่งเสริมให้พระคำของอัลเลาะห์สูงส่งเรียกว่าสงคราม ศักดิ์สิทธิ์

[286]   จากอายะห์ที่ 10-12

[287]     ในหะดีษนี้ เขามีความหวังว่าจะถูกฆ่าตายในวิถีทางของอัลเลาะห์ถึงสี่ครั้ง

[288]    หมายความว่ารอยขนาดคันธนูในสวรรค์ ดีกว่าโลกนี้ทั๊งหมด

[289]    ทรัพย์สงครามในที่นี้หมายถึงผลบุญมากมายที่เขาตักตวงมาจากมัสญิด

[290]     กลุ่มนักรบใดที่ได้ออกรบแล้วปลอดภัย และได้ทรัพย์สงครามเขาได้ผลบุญล่วงหน้าไปแล้วสองในสาม และถ้าหากพวกเขา ถูกฆ่าชะฮีด พวกเขาก็จะได้ผลบุญครบสมบูรณ์ และถ้าหากพวกเขาเพียงแต่ปลอดภัยเท่านั้น พวกเขาจะได้หนึ๋งในสามของผลบุญ

[291]     ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

[292]     เป็นคำพูดเปรียบให้เห็นว่านักรบชะฮีด จะให้เขาสวรรค์อย่างรวดเร็ว

[293]      หะดีษนี้ชี้ว่าผู้ใดที่ร่วมกับบรรดานักรบเพื่อคอยบริการนักรบเหล่านั้นทรีอคอยดูและส้ฅว์ของพวกเขาและเสียชีวิต เขาก็ เป็นนักรบชะฮีด

[294]     ตามตัวบทของหะดีษนี้ชี้ว่า แม้ผู้ที่จมน้ำตายจะไม่ใช่นักรบก็ตาม

[295]     ทั้งที่เขาสามารถจะให้ไค้โดยง่าย

[296]      ในเมื่อการน่าเอาหนามออกไปพ้นทางสัญจรของผู้คนเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายแก่พวกเขา อัลเลาะห์ยังขอบคุฌสรรเสริญ เขารับการกระทำของเขาและอภัยโทษให้เขา แล่วผู้ที่ทำปรโยชน์ให้แก่นวลมนุนย์เล่าจะเป็นเช่นไร

[297]    หรืออวัยวะหนึ่งจากบรรดาอวัยวะภายใน

[298]    ดังนั้นพวกเขาจึงถูกนำไปรวมกับบรรดานักรบชะฮีด

[299]    การถูกฆ่าในวิถีทางของอัลเลาะห์ จะลบล้างบาปต่างๆได้หมดสิ้น นอกจากที่เป็นกรรมสิทธของเพื่อนมนุบย์ที่จำเป็น ต้องส่งคืนหรือได้รับการอภัยจากเจ้าของกรรมสืทธํ่ในโลกนี้

[300]    คือคนที่รักษา ตัวจากสิ่งต้องห้าม และไห้รับการรักษาคัวจากมัน

[301] หมายถึงรอยเดิน

[302] เป็นตระกูลหนึ่งของชาวอันซอร

[303] เพราะเขาเพียงแต่กล่าวคำปฎิญาณแล้วถูกฆ่าตายในวิถีทางของอัลเลาะห์ เขาได้เข้าสวรรค์

[304] คือพึ่สาวของอับดุลเลาะห์ ชึ่งเป็นน้าสาวของ ญาบิร ร.ฎ.

[305] คือเด็กแท้ง. เด็กทารก และผู้ที่ตายก่อนบรรลุศาสนภาวะ

[306] !ด็กที่ถูกฝังทั้งเป็น ชึ่งเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นในยุคญาฮิลิยะห์

[307] คืออัลเลาะห์จะอนุญาตให้นักรบชะฮีดช่วยเหลือบุคคลภายในครอบครัวของเขาเช่น พ่อ ลูก พี่น้อง และภรรยาให้ จำนวนเจ็ดสิบคนให้ได้เข้าสวรรค์

[308] แต่เขาจะกลับมาพร้อมด้วยบาป

[309] เช่นเสนอให้ทาสหรือคนรํบใช้ของเขาไปคอยบริการแก่นักรบ

[310] เช่นอูฐ ล่อหรือลา

[311] เช่นดูและให้การอุปการแก่ครอบครัวของเขาจนเขากลับจากสมรภูมิ่เขาจะได้ผลบุญเหมือนออกรบเอง

[312] ในหะดีษนี้ชี้ว่าการญิฮาด เป็นฟัรฎูโดยส่วนรวม (ฟัรดูกิฟายะห์)

[313] โดยทำหห้าที่ต่อพวกเขาบกพร่องหรือ ละเมิดเกียรติของพวกเขา

[314] หมายความว่าจะไม่มีสิ่งใดที่เป็นความดีของเขาเหลืออยู่เลย

[315] เพื่อให้เป็นที่กล่าวขว้ญถึงในหมู่ประชาชน

(1018) เพื่อชิ่อ!สียงด้านความกห้าหาญ

[317] คือมุ่งหวังมันอย่างจริงใจ

[318] เพื่อสูรบโดยไม่มีค่าจ้าง

[319] คือใครจะเอาข้าพเจ้าไว้เป็นลูกจ้างบ้าง ช้าพเจ้าจะป้องกันเขาจากกองทหารนั้น กองทหารนี้

[320] สำหรับนักรบจะได้หนึ่งผลบุญ ส่วนผู้จัดเตรียมเสบียงให้นักรบจะได้สองผลบุญ

[321] ผู้ทำสงครามบนหลังม้าจะได้ครึ่งเหรียญทอง และเจ้ของม้าได้อีกครึ่งหนึ่ง

[322] หมายความว่าเมื่อมีผู้ชายพวกหนึ่งที่เป็นอิสระชน มีความเข้มแข็ง ได้ดำเนินการญิฮาด คือเป็นการเพียงพอแล้ว และหน้าที่นี้จะหลุดร่วงไปจากคนอื่นๆ เหมือนกับฟัรฎูกิฟายะห์ทั้งหลาย

[323] หมายความว่าจึงออกทำการญิฮาดทั้งในยามที่มีความกระตือรือร่นและอ่อนเพลีย ทั้งคนที่แข็งแรงและอ่อนแอทั้งคนรวยและคนจน

(1028) จากอายหิล่ 120 ชุ(ราหิ อ่ตเตาบหิ

[325] หมายความว่าไม่นํการอพยพส/พัจาก!ทัพ)ห เพราะ!ทัพใหิได้เป็นดนฺแดนล่มความปสอด/พันด้ว แสหอ่งจากได้เขา พ5ต!ทั)ทหิแล้วกํไม่นํผสบุญอ่นยํ่งใหญ่สำหรบการอพยพส/พั แต่ผลบุญซนยงใหญ่ยงคงม่อยุ่ในการ ญ่ฮาดแสการล่งเจตนาด และเมื่อด้กำได้เร่ยกรองใหิพวกท่านออกไปเทอการญ่ฮาด ใน้พวกท่านล่งหลายจงออกไปเรด เพราะการเชอฟังกำสงของผูกำ เป็นสงจำเป็น

[326] คือเป็นหน้าที่ที่จำเป็นโดยส่วนรวม (ฟัรฎูกิฟายะห์)

[327] หมายถึงละหมาด ญะนาซะห์

[328] ต่อสู้เพื่อสัจธรรมคือเพื่อศาลนา บุคคลกลุ่มนี้คือนักวิชาการในทัศนของบุคอรี อิหม่ามอะห์มัดว่าคือ นักวิชาการ หะดีษ นะวะวีย์กล่าวว่าคือ กลุ่มชนที่กระจัดกระจายอยู่ทํ่วไปหลายปรเภท มีทั้งนกรบผู้กล้าหาญ นักวิชาการ นักหะดีษ ผู้สละโลกีย์ ผู้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอน ชึ๋งพวกเขาเหล่านทำงานเพื่อปรโยชน์ของปรชาชาติอิสลาม

[329] จากอายะห์ที่ 91 ซูเราะห์ อัตเตาบะห์

[330] จากอายหที่ 95 ซูเราะห์ อันนิซาอ์

[331] จากอายหที่ 95 ซูเราะห์ อันนิซาอ์

[332] เมื่อพวกเขาไม่ได้ออกรบเพราะมีความจำเป็น แต่พวกเขาตั้งความหว้งว่าจะทำการญิฮาด เขาก็จะได้ผลบุญ ตามการตั้งเจตนาของพวกเขา

[333] อาจะเป็นไปได้ว่าบุคคลทั้งสองนั้นไม่มีใครอีกนอกจากเขาผู้นี้ที่จะให้การเลี้ยงดู

[334] ที่กล่าวนี้ถ้าหากการญิฮาดนั้นเป็นไปโดยสมัครใจของเขา แต่ถ้าในกรณที่เป็นหน้าที่จำเป็นก็ไม่จำเป็นด้องขออนุญาต บุคคลทั้งสองนอกจากในกรณีเที่ไม่มีผู้ดูแลบุคคลทั้งสองนอกจากเขาเท่านั้น

[335] ทั้งสองหะดีษเป็นหะดีษ ซอฮีฮะ หมายความว่า พวกหนึ่งให้สัตยาบันแก่ท่านว่าจะไม่หนี ส่วนอีกพวกหนึ่งให้สัตยาบัน ว่าจะสู้จนตาย

[336] ภายหลังจากได้พิชิตนคร มักกะห์แล้ว

[337] พวกนั้น หมายถึงพวกนักรบ

[338] จากอายะห์ที่ 100 ซูเราะห์ อันนิซะอ์

[339] หตษนํ่ได้ลงมาในเรองของชายคนหนึ่งจากบรรดามุสลิม เขาเคยรักผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ อุมม์ กอยส์ ซึ่งเป็นหญิงงาม และร่ำรวย ต่อมาเขาได้ไปสู่ขอหล่อน และหล่อนก็ยินดีฅกลงด้วยโดยมีเงื่อนไขว่าเขาจะต้องอพยพลี้ภัยไปพร้อมกับหล่อน และเมื่ออุมม์ กอยส์ ได้อพยพไปแล้วพร้อมด้วยบรรดาผู้อพยพรุ่นแรกโดยยินดีในอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ ชาย คนนั้นก็ได้อพยพติดตามหล่อนไปโดยหวังแต่งงานกับหล่อน และแสดงออกว่าเขาอพยพลื้ภัยเพื่ออัลเลาะห์ และศาสนทูตของ พระองค์ หะดีษบทนี้จงตอบโด้เขาโดยท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า "แท้จริงการกระทำต่างๆ ขึ้นอยู่กับเจตนา และความจริง ทุกคนย่อมได้รับสิ่งที่ตนได้ตั้งเจตนาไว้ ดังนั้นจะไม่มีผลบุญในการกระทำใดๆ นอกจากต้องมีการเจตนาที่ดีเท่านั้น

[340] ดังนั้นการอพยพลี้ภัยจะยังคงอยู่จนถึงเวลาที่ตะวันขึ้นทางทิศตะวันตก หะดีษนื้ไม่ฃัดกับหะดีษก่อนที่ว่าไม่มีการอพยพลี้ภัยอีก ภายหลังจากการพิชิต การอพยพลี้ภัยที่ขาดตอนลงแล้วนั้นคือการอพยพจาก มักกะห์

[341] คือ อัลกุดส์ เพราะเป็นแผ่นดนศักดิ์สิทธิ์แห่งที่สาม

[342]ดังนั้นจะไม่อนุญาตใท้อพยพลี้ภัยนอกจากจะได้รับคำยินยอมจากบิดามารดาเสียก่อน

[343]หมายความว่าให้หนีออกจากพวกผู้ตั้งภาคี เพื่อจะได้พ้นจากความชั่วร้ายของพวกเขา

[344] ทั้งนี้เพราะพวกเขาเป็นต้นเหตุใต้ตัวเองถูกฆ่าเพราะไปอยู่ปะปนกับพวกนั้น

[345] คือถอยหลังเพราะท่านได้กลายเป็น ชาวอาหรับเร่ร่อน โดยอาศัยอยู่ตามทะเลทราย เขาตอบว่าข้าพเจ้าไม่ได้ถอยหลัง หนีจากศาสนาของข้าพเจ้า และทั้งสภาพของข้าพเจ้าในสมัยท่านนบี ซ.ล. แต่ท่านนบีได้อนุญาตให้ข้าพเจ้าพำนักอยู่ในทะเลทราย

[346]เพราะเป็นวันมงคล ที่การทำธุรกิจต่างๆ จะสำเร็จ แลการกระทำต่างๆ จะถูกเสนอขึ้นไปยังอัลเลาะห์

[347] การเดินทางในเวลากลางคืนสะดวกและรวดเร็วโดยเฉพาอย่างยิ่งในฤดูร้อน

[348] เป็นการมักรูห์ การเดินทางโดยลำพังคนเดียว หรือพร้อมกับเพื่อนเดินทางอีกคนหนึ่ง แต่จำเป็นจะต้องมืสามคนที่ว่า นี้หมายถึงการเดินทางไปในเฉันทางที่น่าหวาดกลัว

[349] มักรูห์ นำอัลกุรอานเดินทางเข้าไปในดินแดนของ กาฟิร ทั้งนี้เพื่อไม่ให้อัลกุรอานถูกเหยียบย่ำ

[350] คือทิ้งช่วงไว้จนกระทั่งภรรยาได้ทำความสอาดร่างกายโดยใช้มีดโกนขนใต้ร่มผ้า และหวีผมเรียบร้อยเพื่อผู้เป็นสามีของหล่อน

[351] คือท่านได้ให้ อิบนิ ยะอฺฟัร และ อิบนิ อบบาส ขึ้นขี่โดยคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าท่าน อีกคนหนึ่งอยู่ข้างหลังท่าน และท่าน ได้ปล่อย อิบนุซุบัยร์ ไว้เพราะสงสารสัตว์พาหนะ

[352] จากอายะห์ที่ 61 ราห์ อัลอันฟาล

[353] คือผลบุญที่ได้เตรียมม้นไว้เพื่อการ ญิฮาด และทรัพย์สงครามที่ได้มาจากการ ญิฮาด บนหลังของมัน

[354] คือเพื่อใช้ในการ ญิฮาด ในสภาพที่เชื่อมั่นศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และเชื่อในคำสัญญาของพระองค์ท่จให้ผลบุญอันยิ่งใหญ่

[355] คือเพื่อใช้ในการ ญิฮาด

[356] และที่จะดีและยิ่งใหญ่กว่านั้นก็คือเมื่อเขาตั้งใจพามันไปดื่มน้ำ หรือต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนั้น

[357] หรือสลับกัน

[358] เพราะคุณสมบัติพิเศษที่ไม่มีในม้าอื่น

[359] คือพระองค์ท่านได้มอบข้าพเจ้าให้แก่ผู้ที่พระองค์ท่านทรงประสงค์จากบรรดาบ่าวของพระองค์

[360] เพื่อใหมันผสมพันธุ์กัน

[361]เพราะมันถูกสาปแช่งแม้ว ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดขับขี่มัน, หรือที่ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวเช่นนี้เพื่อเป็นการลงโทษเจ้าของสัตว์ จะได้ไม่กล้บไปสาปแช่งมันอีก และแท้จริงการสาปแช่งกันเป็นสิ่งด้องห้าม (ฮะรอม)

[362] คือไม่มีใครเข้าขัคขวางมัน เพราะรังเกียจที่มันถูกสาปแช่ง

[363] พวกชาวอาหรับนิยมเอาสายธนูแขวนคอลูฐ เพราะกลัวจะถูกดวงตาที่ชั่วร้ายจ้องมอง ท่านนบีได้ใช้พวกเขาให้ตัดมันออกเพราะมันไม่สามารถป้องกันอะไรได้

[364] นอกจากในกรณีที่มีหมาไว้เพื่อเฝ้าหรือเพื่อล่าสัตว์

[365] จากอายะห์ที่ 8 ซูเราะห์ อันนะหล์

[366] คือผอมมาก

[367] คือบนหลังสัตว์พาหนะที่ท่านขับขี่

[368] จากอายะห์ที่ 13และ15 ชู1ราะห์ อ้ซซุครุฟ

(1070) การขับขี่สัตว์ที่กินขี้ เป็นการมักรูห์ เพราะมันจะมีกลิ่นเหม็นขณะที่เหงือมันออก เช่นเดิยวกับมักรูห กินเนื้อมัน

[370] คือคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าท่าน อีกคนหนึ่งอยู่ข้างหลังท่าน

[371] หมายความว่า จงช่วยผู้หญิง และปกป้องผู้หญิง

[372] คือให้อยู่บนหลังสัตว์นาน ๆ

[373] ดังนั้นในกรณีที่เขาไม่สามารถเดินทางได้ก็ไม่อนุญาตให้อยู่บนหลังสัตว์นาน ๆ ทั้งนี้เพราะมันจะเป็นอันตรายแก่สัตว่ พาหนะ นอกจากในกรณีที่จำเป็นเช่น จะต้องกล่าวสุนทรพจน์กับผู้คนจำนวนมาก เหมือนที่ท่านนบี ซ.ล. ได้แสดงสุนทรพจน์ ต่อฝูงชนบนสัตว่พาหนะของท่านในพิธีฮัจญ์

[374] บ้านไซตอนนั้นไม่ได้ปรากฏในสมัยท่านนบี ซ.ล. สะอีด บุตร อะบีฮินด์ ได้กล่าวว่า บ้าพเจ้าไม่ได้คาดคิดว่ามัน เป็นอะไรนอกจาก ประทุนบนหลังอูฐที่ถูกประดับประดาด้วยผ้าไหม ซึ่งบรรดาผู้สุรุ่ยสุร่ายได้จัดทำขึ้นเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ และโออวด ด้วยเหตุนนี้มันจึงเป็นบ้านไซตอน

[375] คืออูฐที่ได้ให้อาหารอย่างสมบูรณ์เ จนอ้วนและแข็งแรง หลังจากนั้นได้ลดอาหารลง แล้วอบต้วให้เหงือออก กล้ามเนื้อ จะแกร่ง ต้วจะเบา และวิ่งได้เร็ว อัลฮัฟยาอ์ เป็นชื่อสถานที่อยู่นอกนครมะดินะห์

[376] ในหะดีษนี้ชี้ว่าอนุญาตให้เอาอูฐ มาแข่งขันได้

[377] เดินพ้นที่ศาสนาอนุญาตก็คือเดิมพันที่ผู้นำตั๊งให้ หรือใครคนหนึ่งตํ้งให้ หรือคนหนึ่งจากในสองคนที่ทำการแช่งขันกัน ตั๊งให้ เช่นกล่าวว่า . ห้าหากฉันแข่งขันชนะท่านฉันไม่เอาอะไรเลย แต่ถ้าท่านชนะฉัน ท่านจะให้จากฉันเท่านั้น, เท่านี้, ดังนั้น ถ้าหากผู้เข้าทำการแข่งขันทั้งสองคนร่วมกันออกเดิมพันกัน เช่นกล่าวว่า ห้าหากฉันชนะท่านฉันจะต้องได้จากท่านเท่านั้น เท่านี้ และห้าหากท่านชนะฉันท่านก็จะได้จากฉันเท่านั้นเท่านี้ เช่นนี้เป็นสิ่งที่ศาสนาไม่อนุญาต นอกจากจะต้องอาศัยบุคคลที่สาม เขาร่วนนำการแข่งขันด้วย

[378] การกระตุนแลการเปลี่ยนตัวในการแข่งขันนั้นใช่ไม่ได้เพราะขาดเป้าหมายในการแข่งขัน การเปลี่ยนตัวคือ เอาม้าอีกตัวหนึ่งวิ่งตามม้าตัวที่แข่งขันไปด้วยเมื่อตัวที่ถูกขี่อ่อนกำลังก็เปลี่ยนไปขี่ตัวที่ตานมา

[379] จากอายะห์ที่ 61 ซูเราะห์ อัลอันฟาล

 (1087) ความมุ่งหมายก็คือให้พยายามฝีกฝนการใช้ธนูมากๆ

(1088) ในบางรายงานว่าอยู่กับ มิห์ญัน บุตร อัลอัดเราะอุ 

(1089) คือคู่แข่งขันของ บุตร อสอดเราเอ

(1090) คือพร่อนกันในเร่องการตํ้งเจตนาที่ดิ และดิงใจนำความดิเพื่อปรชาชาตอ่สลาน

[382] หมายลงด้วยการทำอิบาดะห์ของพวกเขา ความบริสุทธํ่ใจ แลการวิงวอนขอของพวกเขา

[383] ดังนั้นมีผู้คนเป็นจำนวนมากที่ดูไม่มีค่าในสายตาของคนโดยทั่ว ๆ ไป แต่ถ้าเขาขอสิ่งใดจากพระผู้อภิบาลของเขาพระองค์ จะสนองเขาในทันที

[384] เป็นชื่อสถานที่อยู่ห่างจากมะดีนะห์ประมาณสิ่ไมล์

[385] คืออาวุธที่ใช้ในสมั่ยท่านนบี ซ.ล. และแพร่หลายในหมู่ชาวอาหรับ

[386] หะดีษนื้ได้ผ่านมาแล้วในซูเราะห์ อัลอันฟาล

- Al Khaybar - ค็อยบัร เป็นJJธงอยู่ทางเหป็อมรนฟ่โ 140กม.fltfoอาต่ยอยู่แรกรรางกรเส์อง

ต่อนบีฯ 4ร5กท่านนป็•(เข้ากวาดทางแรป็ดศรอง แรเนรเทศธวออกผ

(1090) โดยการกระทำของ อุตบะห์ บุตร อะบีวักกอส

[388] ธงประจำกองทัพคือธงที่อยู่กับผู้นำหรือกองทัพ ส่วนธงรบ คือธงที่ผู้ถือยู่ปลายหอกซึ่งบรรดา              นักรบจะใช้เป็นที่สังเกตุ

[389] ทานนบี ซ.ล. ได้มีหนังสือเชิญชวนไปยังบรรดากษัตริย์ต่างๆ ในหน้าแผ่นดินชักชวนให้เข้านับถือศาสนาอิสลามเพราะแท้จริงการที่พวกเขานับถือศาสนาอิสลาม ประชาชนของพวกเขาก็จะต้องเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามตามไปด้วย ซึ่งก็เท่ากับเป็น การเชิญชวนมนุษย์ทั้งหมดให้มาสู่อัลเลาะห์

[390] หมายถึงละหมาด ญะนาซะห์ หลังจากเขาเสียชีวิต

[391] และต่อมาอัลเลาะห์ก็ได้ให้ลูกชายของ กิสรอ เองชื่อ ชัยรุวัยฮ์ เข้ายึดอำนาจของ กิสรอ ซึ่งเขาได้ทะลวงห้องของ กิสรอ และไห้สังหารเขา เป็นไปตามคำขอของท่านนบี ซ.ล.

[392] จากอายหกี่ 193 ซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์

[393] นอกจากที่เป็นสืทธิ์ของ อิสลาม เช่นการลงโทษผู้ที่ละทิ้งศาสนา ลงโทษผู้ละเมิดประเวณี ผู้ที่ละทิ้งละหมาดผู้ที่ไม่จ่าย ซะกาต และที่เกี่ยวข้องกับสืทธิ์ของเพื่อนมนุษย์ ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนั้นตามภายนอก ส่วนภายในนั้นให้ เป็นหน้าที่ของอัลเลาะห์สอบสวน

(1100) คือสิทธิอันชอบธรรมของคำปฎิญาณตน

[395] เขาจะอยู่ในตำแหน่งของท่าน หมายความว่า เลือดของเขาจะได้รับการคุ้มครองก่อนที่ท่ๅนจะฆ่า!ขา และท่านจะได้ อยู่ในตำแหน่งของเขา หมายความว่า เลือดของท่านจะเป็นที่อนุญาต ก่อนที่เขาจะเข้าสู่อิสลาม

[396]การเชิญชวนผู้ไม่ศรัทธาให้เข้าสู่อิสลามเป็นหน้าที่ที่จ่าเป็นก่อนการทำสงคราม

[397] คือไม่ยอมเปลี่ยนบ้านเรือนของพวกเขาและออกทำการ ญิฮาด

[398] หมายความว่า พวกเขาจะไม่มีส่วนแบ่งในทรัพย์สงครามทุกประเภท นอกจากเมื่อพวกเขาออกทำการ ญิฮาด

[399] ยิซยะห์ คืออัตราที่รํฐบาลอิสลามกำหนดเรียกเก็บจากชนศาสนิกอื่น

[400] ข้อผูกมัด คือข้อสัฌูญา

[401] ความมุ่งหมายก็คือให้มีความระมัดระวังข้อสํญญาของอัลเลาะห์และข้อกำหนดของพระองค์

[402] เป็นชื่อเล่นของ ซัลมาน ฟาริซีย์

[403] นอกจากในกรณ์ที่เขาเป็นน*กรบ หรั้อเป็นผู้บงการ

[404] นอกจากผู้หญิงคนนั้นเป็นนักรบหรือเป็นผู้บงการ

[405] เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในปีที่หกนับตั้งแต่การอพยพลี้ภัย และท่านนบี ซ.ล. ก็ได้แต่งงานก้บ ยุวัยริยะห์

[406] หมายถึงพวกยะฮูด ได้ออกไปพร้อมด้วย!ครองมือกสิกรรม โดยที่พวกเขาามิรู้ข่าวการมาของท่านนบี ซ.ล. กับกองทหารเมื่อพวกเขาเห็นจงอุทานว่า มุฮัมมัดกับกองทหาร

[407] คืออยู่ในอิสลาม

[408] หมายความว่า เขาจะถูกปกปักรักษาจากไฟนรกด้วยคำปฎิญาณนั้น

[409] หมายความว่าพวกเขาจะคอยหาเวลาที่เหมาะสมเพื่อทำสงความ และพวกเขาจะละการสงครามในช่วงเวลาละหมาด และ เพื่อพักผ่อน และเตรียมตัวรบ นี่เป็นสิ่งที่จำเป็น

[410] ความหมายของหะดีษนี้ก็คือ เมื่อท่านนบี ซ.ล. ไค้ชัยชนะพวกใดแล้ว ท่านจอยู่ในที่นั่นเป็นเวลาสามวันเพื่อพักผ่อน อันเนื่องมาจากความเหน็ดเหนื่อยในการเดินทาง และจากการ ญิฮาด และเพื่อแสดงพลังของ มุสลิม และเพื่อเสริมสร้างความ ปลอดภัย

[411] เพราะชัยชนะอยู่กับความอดทน

(1128) สวรรค์อยู่ใกล้กับนักรบยิ่งกว่าผู้ใด

[413] เพราะเป็นปัจจัยสำคัญของนักรบ

[414] ในบางรายงานว่ามีอาวุธติดตัวออกไปไม่มาก

[415] สรุปเหตุการณ์ในสงครามนี้ก็คือ กองทหารมุสลิม ได้ปะทะกับพวกผู้ตั้งภาคี ไม่นานนักพวกผู้ตั้งภาคีก็พ่ายแพ้ทหารมุสลิม ยุ่งอยู่กับการเก็บทรัพย์สงคราม ฝ่ายพวกผู้ตั้งภาคีรวมตัวกันติด ได้ระดมยิงกองทหารมุสลิมด้วยลูกธนูราวกบห่าฝน บางคนเผ่น หนี บางคนเข้าหาท่านนบี ซ.ล. ท่านนบีจึงสั่งให้ อับบาส เรียกบรรดาอัครสาวกของท่าน พวกเขาได้รีบพากันมายังท่าน ท่าน จึงสั่งจัดแถว แล้วเข้าบุกโจมตีฝ่ายศัตรุ และท่านนบีได้กอบถูกกรวดขึ้นมาแล้วขว้างเข้าใส่หน้าของฝ่ายศ้ฅรุ หลังจากนั้นได้กล่าวว่า พวกเจ้าจงพ่ายแพ้ไป สาบานต่อองค์อภิบาลของมุฮัมมัด และฝ่ายศัตรูก็ต้องประสบกับความปราชัยในที่สุด

[416] สาเหตุของหะดีษนี้ก็คือ เมื่อพวกเขาอยู่ในสงคราม คอยบัร ได้มีขายคนหนึ่งจากฝ่ายมุสลิมเข้าทำการสู้รบอย่างเข้มแข็ง ฝ่ายมุสลิมชื่นชมในตัวเขามาก แต่ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  เขาเป็นชาวนรก, ต่อมาฝ่ายศัตรูได้ทำร้ายเขาได้รับบาดแผล มากมาย พอตกกลางคืนเขาก็ไม่สามารถทนพิษบาดแผลได้ เขาจึงได้ฆ่าตัวตาย เพราะเขาเป็นคนหนาไหว้หลังหลอก เมื่อท่านนบี ซ.ล. ทราบข่าวท่านได้กล่าวว่า แห่จริงข้าพเจ้าเป็นบ่าวของอัลเลาะห์และเป็นศาสนทูตของพระองค์ และท่านได้กล่าวหะดีษนี้

(1181) ความห่วงใยในเริ่องความสงสัยคือ เช่นการที่ชายคนหนึ่งมีความห่วงใยเครือญาติ ของเขาขณะที่เขาได้พบเห็นการกระทำที่เป็นสิ่งต้องห้ามออกมาจากพวกเขา ความห่วงใยทำนองนี้เป็นสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงรัก ความห่วงใยที่นอกจากความสงสัย เช่นการ ที่ชายคนหนึ่งเป็นห่วงจนไม่ยอมให้มารดาของตนแต่งงานใหม่ความห่วงใยในทำนองนี้เป็นสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงกริ้วโกรธ เพราะสิ่งใดที่อัลเลาะห์อนุมัตพวกเราจะต้องพอใจและยินดีรับเอามาปฎิบัติ

[418] เพราะแสดงถึงความมีใจกว้าง และบางทีอาจะเป็นการกระตุ้นให้คนอื่นเอาแบบอย่าง

[419] ทั้งนี้เพราะเกรงว่าฝ่ายศัตรูจะรู้ตัวเสืยก่อน และเตรียมการต่อต้าน

[420] การรบที่จะได้ชัยชนะอย่างแท้จริงนํ้นคือการรบที่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมแลกลอุบายต่างๆ หลอกฝ่ายศัตรูเท่าที่จะสามารถทำได้ นอกจากจะเป็นการละเมิดสัญญาที่ศาสนาไม่ยินยอม

[421] คือการใช่ รหัสลับ ในการสงคราม

(1138) หมายความว่าถ้าหากห่ายศัตรูบุกโจมตีพวกท่านในเวลากลางคืนและมีการตลุมบอนกันในความมืดให้พวกท่านจงใช่รหัศว่า ฮา — มีม พวกม่นจะไม่ได้รับชัยชนะ

[423] รหัสของพวกผู้อพยพคือ “อับดุลเลาะห์” ของพวก อํนซอรคือ “อ้บคุรเราะห์มาน"

[424] หมายถึงในกรฌที่มีการบุกเข้าโจมตีใน!วลากลางคืน แยกไม่ออกระหว่างผู้หญิงผู้ชายและเด็ก ถ้าหากมีเค็กและผู้หญิง ถูกม่าก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพวกผู้ตั้งภาคึ หะดีษนี้ไม่ได้หมายความว่าอนุญาตให้,ม่าผู้หญิงและเด็กโดยเจตนาเจาะจง

[425] อัลเลาะห์ได้ตำหนินบีท่านนั้นที่เผามดถ้วยไฟ และเพราะเผามด ทั้งรังถ้วยสาเหตุที่ถูกมดเพียงตัวเดียวกัด

(1130) คือการทำให้ศพเสียโฉมด้วยการตัคจมูก ตัดหู และตัดริมฝีปากเป็นต้น

[427] เป็นการห้ามเด็ดขาด แม้กระทั่งสัตว์

[428] ธงนเป็นทวามอับอายของผู้ที่ละเมิดสัญญา และจะต้องถูกลงโทนอย่างสาหัส

[429] ผู้ใดที่ปลีกตัวออกไปเป็นศัตรูกับมุสลิมส่วนใหญ่ เขาไม่ได้อยู่ในศาสนาของมุฮัมมัด ซ.ล.

* คือฑร้พย์สืนของพวกผู้ตั้งภาคีที่มุสลิมได้มาด้วยการควบม้าและอูฐเข้าห้ำหั่นพวกเขา

[430] จากอายะห์ท 41 ซูเราะห์ อัลอันฟาล (1145) คือตำบลที่ต้องการเข้าพิชิฅ (1146) นั่นเป็นเครื่องหมายว่ามันถูกรับรอง

[431] หะดีษนี้ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องวิชาการ

[432] ผู้ให้ในทุกสิ่งคืออัลเลาะห ตาอาลา ท่านนบี ซ.ล. จะเป็นผู้ชี้แจงและแบ่งปันให้พวกเรา

[433] นี่เป็นการให้แก่พวกหนี่งโดยเฉพาะ ดังจะปรากฎในสายรายงานต่อไป

[434] หมายความว่า ทหารม้าจะให้ส่วนแบ่งสามส่วน เป็นของตัวเองหนี่งส่วนและเป็นของม้าสองส่วน เพราะเจ้าของม้าจะต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายของม้า ต่างกับนักรบเดินเท้าที่เสียค่าโสหุ้ยน้อย

[435] ผู้นำจะไม่ให้ส่วนเกินจากทรัพย์สงครามแก่ผู้ใด จนกว่าจะให้แบ่งเป็นห้ากองเสียก่อน หล้งจากนั้นจึงจะให้ส่วนเกินเป็น พิเศษแก่คนที่ต้องการจากเศษหนี่งส่วนห้านี่เป็นหน้าที่ของผู้นำจะต้องแจกจ่ายโดยเฉพาะ

[436] จากอายะห์ที่ 1 ซูเราะห์ อัลอันฟาล

[437] หมายถึงได้เกินกว่าส่วนแบ่งของตน เท่านั้น เท่านี้

[438] หมายความว่าผู้นำจะไม่มอบส่วนเกินแก่ผู้ใดนอกจากภายหลังจากได้แบ่งทรัพข์สงครามออกเป็นห้าส่วนแล้ว เปีนของ นํกรบสี่ส่วน เปีนของรอชู้ลร่วมกับคนอื่น ๆ ที่มีสิทธิ์อีกหนึ่งส่วน และรอชู้ลก็จะเอาเศษหนึ่งส่วนห้า ที่เป็นสิทธิ์ของท่านนี้มอบ เป็นส่วนเกินให้แก่ผู้ที่ท่าน ต้องการ

[439] และผู้นำก็จะต้องนำไปจ่ายให้แก่ผู้ที่มีสืทธิ์ได้รับตามที่ระบุอยู่ในอายะน์ก่อน

[440] คือเพื่อผลปรโยชน์ของพวกท่าน แก่เด็กกำพร้า แก่คนยากจน แก่คนเดินทาง ใช้จ่ายไปในเรื่องอาวุธและม้าเพื่อการ ญิฮาด

(1167) เศษสี่ส่วนห้าของทรัพย์สงครามให้แจกจ่ายแก่บรรดานักรบ

[442] เพราะทั้งสองตระกูลเป็นเพิ่อนร่วมสาบานกัน และมีความรักกันตํ้งแต่ในสมัยญาฮิลิยะห่ และเพิ่มมากขึ้นในยุคอิสลาม จนเผ่ากุเรช และตระกูล กินานะห์ ได้ร่วมสาบานกันเป็นปรปักษ์ต่อตระกูลบะนี ฮาชิม และตระกูลบะนี อัลมุตตอลิบ ว่าจะ ไม่สมรสและติดต่อค้าขายกันจนกว่าทั้งสองตระกูลจะยอมมอบ มุฮัมมัดให้แก่พวกตน แต่ทั้งสองตระกูลก็ไม่ยอมมอบ มุฮัมมัด ให้

[443] เม่ออัลเลาะห์ได้มีบัญชาให้แจกจ่ายเศษหนึ่งส่วนห้าของเศษหนึ่งส่วนห้าจากทรัพย์สงครามให้แก่ญาติสนิท ท่านนบี ซ.ล. ได้มอบมันให้แก่ผู้มีศรัทธาจากตระกูลบะนี ฮาชิม และบะนี มุตตอลิบ เพราะพสองตระกูลมีความเกี่ยวพันกันอย่าง ลึกซึ้ง, ต่อมาอุสมาน จากตระกูลบะนีอับดิ ชัมช์ กับ ญุบัยร์ บุตร มุตอิม จากตระกูล บะนี เนาฟัล ได้มาแล้วกล่าวว่าท่าน ได้ให้เฉพาะตระกูลบะนี ฮาชิม และตระกูล บะนี มุตตอลิบ โดยปล่อยปะละเลยพวกเรา ทั้งที่พวกเรากับพวกเขาก็มาจาก ต้นตอเดียวกัน เพราะ ฮาชิม มุตตอลิบ อับดิ    ชัมช์ และเนาฟัล ต่างก็เป็นบุตรของอับดิมะนาฟ ปู่คนที่สามของท่านนบี 

ซ.ล. ท่านจ่งกล่าวว่าตระกูล บะนี ฮาชิม กับตระกูลบะนี มุตตอลิบ เป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้น เศษหนึ่งส่วนห้าของเศษหนึ่งส่วนห้าจากทรัพย์สงครามจึงเป็นของสองตระกูลโดยเฉพาะ

(1180) ค้อทรํพย่สงครามปรเภทที่ได้มาโดยไม่มี่การสู้รบ ไม่ม่การควบม้าหร่ออฐเข้าใส่ฝ่ายศัตรุ ทรัพย์ที่ได้มาจะต้องแจกจ่ายไห้แก่ผู้มีสิทธิ์ตามที่ระบุอยู่ไนอายะห์นั้น (1181) จากอายะห์ที่ 7 ซูเราะห์ อัลฮัชร์

[446] ตระกูล บะนี อันนะดีร อยู่ห่างออกไปจากนครมะดินะห่ปรมาณสองไมล์ ฝ่ายมุสลิมไม่ได้ควบห้าและอฐเข้าหาฝ่าย สัตรู แต่พวกเขาเดินเข้าหาฝ่ายสัตรู โดยมีท่านนบี ซ.ล. ขี่อยู่บนพาหนะของท่าน

[447] คือตกเป็นของ อัลเลาะห์ เป็นของศาสนทูตของพระองค์ เป็นของญาติสนิฑ เป็นของเด็กกำพร้า เป็นของคนยากจน และเป็นของคนเดินทาง

[448] หะดีษนี้ชี้ว่า ผู้นำก็เหมือนกับปรชาชนทั่วๆ ไปในเรื่องทรัพย์สงครามที่ได้มาโดยง่าย และเป็นที่น่าสังเกตว่าผู้นำจะได้รับส่วนหนึ่งที่พอเป็นค่าใช้จ่ายของตนเองกับครอบครํวโดยไม่สุรุ่ยสุร่าย

[449] หมายความว่าให้พิจารณาบุคคลเหล่านี้ก่อนคนอื่น ๆ

[450] คือพวกทาสจะให้รับจากทรัพย์สงครานที่ไห้มาโดยง่าย ห้าหากพวกเขานความต้องการ

[451] หมายความว่าท่านนบี ซ.ล. มีสิทธิ์เลือกเอาสิ่งที่ท่านต้องการจากทรัพย์สงครานก่อนที่จะทำการแบ่ง เป็นการเพิ่มเติม ให้แก่ท่านนอกเหนือจากเศษหนึ่งส่วนห้าของท่าน สิทธิ์พิเศษนี้จะไม่มีผู้นำท่านใดได้รับอีกนอกจากท่านนบี ซ.ล. เท่านั้น

[452] ฟะดักเป็นชื่อตำบลหนึ่งที่คอยบัร ห่างจากนครมะคินะห์ สามมัรฮะละห่ ส่วน บะนี อันนะดีร อยู่ห่างจากมะคินะห์ สองไมล์

[453] และในบางรายงานวงศ์วานของมุฮัมมัดก็จะได้รับจากทรัพย์กองนี้

[454] หะดีษนี้ได้กล่าวมาแล้วในตอนท้ายของเรื่อง มรดก

[455] เมื่อปรากฎว่าไม่รู่,จำนวนที่แน่นอนของข้าวสาลี การช่วยเหลือจากอัลเลาะห์จึงมีมาอย่างไม่จำกัด ดังได้กล่าวมาแล้วในเรื่องตำแหน่งนบี

[456] สื่งที่ติดตัวศพข้าศึกได้แก่อาวุธ เสื้อผ้า และอื่นๆ อิหม่ามชาฟิอีได้กล่าวว่า เฉพาะอุปกรณ์การรบเท่านั้นที่ตกเป็นของผู้ฆ่า

[457] แต่หลังจากนั้นฝ่ายมุสลิมก็แตกพ่าย นอกจากท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. กับอักรสาวกที่อยู่กับท่านจำนวนหนึ่ง แต่พวกเขา ก็ได้รับชัยชนะหลังจากนี้เป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ และได้ทรัพย์สงครามจำนวนมหาศาล

[458] คือทำไมประชาชนจึงแตกพ่าย เฃาตอบว่า เป็นไปตามกำหนดของอัลเลาะห์

[459] ว่าจ้าพเจ้าเป็นผู้ฆ่าชายผู้ตั้งภาคีคนนั้น

[460] ในหะดีษทั้งสองชี้ว่า พรัพย์สืนที่ติดตัวศพข้าศึกนั้นตกเป็นของผู้ฆ่าทั้งหมดโดยไม่รวมกับทรัพย์สงครามที่จะต้องแบ่ง ออกเป็นห้าส่วน

[461] ถ้าหากทรัพย่ของมุสลมเคลื่อนย้ายไปสู่ดินแดนฝ่ายศัตรูโดยถูกแย่งชิงไป หรอถูกขโมย หรอหลบหนีไป แล้วต่อมา ฝ่ายมุสลมได้ชัยชนะเหนือดินแดนนั้น ทรัพย์ของมุสลิมได้กลับคืนมาปนอยู่กับทรัพย์สงคราม ทรัพย์นั้นต้องตกเป็นของเจ้าของเดิม เพราะเขายังมกรรมสืทธิ์อยู่ ที่กล่าวนี้เป็นทัศนะของ ชาฟิอี แต่นักวิชานักวิชาการส่วนมากมีทัศนะว่า ทรัพย์นั้นตกเป็นเป็นของ เจ้าเจ้าของเดิมถ้าหากปรากฎช้คก่อนการแบ่ง และถ้าหากปรากฎชัดภายหลังจากได้แบ่งไปแล้ว เจ้าเจ้าของเดิมก็ไม่มีสิทธิ์นอกจากต้อง แลกมาด้วยราคา

[462] คิอโดยคำสั่งของท่านนบื ซ.ล.

[463] คอลิด ได้เป็นแม่ทัพภายหล้งจากท่านนบี ซ.ล. ได้เสียชีวิตไปแล้ว และในบางรายงานว่า การส่งทาสคนนี้คืน เป็นไปโดยคำสั่งของท่านนบี ซ.ล. ในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่

[464] ในกรณีที่ทาสและผู้หญิงได้ออกสมรภูมด้วยและได้ทำหห้าที่ ที่เหมาะสมแก่คนทั้งสอง ถ้าได้ทรัพย์สงครามมาก็ให้ผู้นำมอบสินน้ำใจให้แก่คนทั้งสองที่ไม่ใช่เป็นส่วนแบ่งของนักรบ

[465] ในหะคีษนี้ชี้ว่าอนุญาตให้ผู้หญิงปะปนอยู่กับผู้ชายเพราะมีความจำเป็น และอนุญาตให้ได้หญิงรักษาพยาบาลผู้ชายที่ศาสนา อนุญาตให้แต่งงานกันได้ เพราะมีความจำเป็น

[466] ข้อกำหนดการเป็นกำพร้าจะยังคงอยู่ นอกจากในกรณที่เด็กนั้นมีความรับผิดชอบคือรู้สิ่งที่เป็นคุณและเป็นโทษแก่ต่วเอง ส่วนสภาพการเป็นกำพร้านั้นจะหายไปด้วยเครื่องหมายหนึ่งเครื่องหมายใดจากบรรดาเครื่องหมายของ การบรรลุศาสนภาวะที่ได้กล่าวมาแล้ว ในเรื่องการสั่งเสืย

[467] ได้กล่าวมาแล้วว่า เศษหนึ่งส่วนห้านั้น ผู้นำจะเข้าปกครองและแจกจ่ายออกไปให้แก่ผู้มีสิทธิ์ที่ได้กล่าวไว้ในอายะห์ อัลอันฟาล และแก่บรรดาบุตรของท่านนบี ซ.ล. และญาฅสนิทของท่าน พวกเขาจะได้สองส่วนจากเศษหนึ่งส่วนห้านั้น

[468] คนที่ศรัทธายังไม่แก่กล้า ได้แก่ผู้ที่เข้าสู่อิสลามและเจตนาของเขาต่ออิสลามนั้นยังอ่อนอยู่ หรือผู้ที่หวังว่าการเข้านับถือ ศาสนาอิสลามของเขาจะเป็นต้นเหตุให้บริวารของเขาเข้านับถือศาสนาอิสลามตานมา

[469] คือพวกหนุ่มๆ ที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง

(1188) เพื่อทำให้พวกเขาเกิดความคุ้นเคย อันจะเป็นสาเหตุให้พวกเขามีศรัทธากล้าแข็งขึ้น

[471] เพราะสิ่งที่พวกท่านนำกลับไปด้วยนั้นคือท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล. ซึ่งดีกว่าทรัพย์สินที่พวกเขาได้ไป

[472] คือความเห็นแก่ตัวของบรรดาผู้นำที่แสวงหาผลปรโยชน์เอาไว้เป็นของฅัวเองโดยไม่ยอมแบ่งปันให้แก่พวกท่าน

[473] คือโดยการที่เครือญาติของพวกเขาถูกฆ่าตาย และบ้านเมืองของพวกเขาถูกพิชิตลง

[474] แสดงให้เห็นความรักของท่านที่มีแก่พวกเขา ไม่ใช่ทำตามพวกเขา

[475] เพราะอาจะทำให้ท่านโกรธและได้รับความไม่สบายใจ

[476] อุบัยด์ เป็นชื่อม้าของ อับบาส

[477] บัดร์ เป็นปู่ฃอง อุยัยนะห์

(1193) หมายความว่า ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนทั้งสอง และผู้ใดที่ท่านลดขั้นของเขาในวันนี้ก็จะไม่มีใครยกย่องเขา เพราะไม่มีเกียรติใดนอกจากเป็นเกียรติของอัลเลาะห์ และศาลนทูตของพระองค์

[478] คืออัตราที่รัฐอิสลามกำหนดเรียกเก็บเอาจากชนศาสนิกอื่น

[479] จากอายะห์ที่ 29 ซูเราะห์ อัตเตาบะห์

[480] เป็นชื่อเมื่องหนึ่งในคาบสมุทรอาหรับ

[481] เป็นที่ชัดเจนว่า ญิซยะห์นั้นให้เรียกเก็บเอาจาก พวกที่ศรัทธาคัมภีร์ และจากบุคคลที่มีหลักการคล้ายคลึงกัน ที่ว่านี้เป็น ทัศนะของนักวิชาวิชาการส่วนใหญ่และ ชาฟิอี กับ อะห์มัด อบูหะนีฟะห์ ได้กล่าวว่า ให้เรียกเก็บเอาจากคนต่างชาติทั้งหมด แม้ จะเป็นพวกที่กราบไหว้รูปเคารพก็ตาม มาลิกได้กล่าวว่า ให้เรียกเก็บเอาจากกาฟิร ทั้งหมด นอกจากผู้ที่ละทิ้งศาสนา ซึ่งจำเป็น ต้องประหารชีวิต

[482] ในปีที่เก้านับจากอพยพลี้ภัย

[483] เป็นการแจ้งข่าวดีว่าสิ่งที่พวกเขาตั้งความหวังกันไว้นั้นได้มาถึงแล้ว

[484] อัลฮุรมุซาน ชื่อจริงของเขาคือ รุสตุม เคยเป็นแม่ทัพของกองทหารเปอร์เชืย เมื่อเขาเห็นว่าฝ่ายมุสลิมมีชัยชนะ เขาจึงขอเจรจากับฝ่ายมุสลิม และต่อมาเขาใดผิดสัญญา อบูมุซา ได้นำกองทหารเข้าล้อมเขาเป็นเวลานาน หลังจากนั้นเขาได้ยอมจำนน และได้ถูกส่งไปหา คอลิฟะห์ อุมัร และได้เข้านับถือศาสนาอิสลาม อุมร ได้ตั้งให้เขาเป็นที่ปรึกษา และได้ขอค่าปรึกษา

จากเขาดังกล่าว และเขาก็ได้ยกข้อเปรียบเทียบขึ้นมา

[485] เพื่อทำสงครามกับเขาเป็นอันด้บแรก

[486] คือ อ้ลมุฆีเราะห์ บุตร ชุอะบะหิ อัครสาวกผู้มีชื่อเสียง

[487] ดูมะห์ เป็นขื่อเมืองหรือชื่อป้อม อยู่ที่ ชาม ใกล้กับ ตะบูก

[488] โดยให้ ดูมะห์ อยู่ในปกครองของเขาต่อไป

[489] เช่นละเมิดเงื่อนไขบางข้อ

[490] ในหะดีษนี้ชี้ว่า ญิซยะห์ จะไม่เรียกเก็บเอานอกจากจะเรียกเก็บจากผู้ชายที่เป็นอิสระชน และเรียกเก็บในอัตราที่เป็นความสะดวกแต่ละคน ซึ่งจะกำหนดขึ้นโดยผู้ที่รู้สภาพของพวกเขา!ป็นอย่างดี

[491] ระบบสิบชักหนึ่งไค้ถูกกำหนดขึ้นเหนือชนศาสนิกอื่นจะต้องจ่ายเพื่อแลกเปลี่ยนกับการนำสินค้าเข้ามาขายในประเทศ อิสลาม

[492] หมายถึงการยักยอกในทรัพย์สงคราม

[493] จากอายะห์ที่ 161 ซูเราห์ อาลีอิมรอน

[494] โดย ริฟาอะห์ บุตร เซด

[495] หมายความว่า ถ้าหากมันทั้งสองเส้นอยู่กับข้าพ!จ้ามันก็จะเป็นไฟอยู่เหนือข้าพเจ้าในวัน กิยามะห์

496 คือหมายถึงพวกที่มีศรัทธา ที่ไม่ได้ทำการยักยอก

[497]หมายถึงในดุนยานี้ ส่วนในอาคิเราะห์เขาจะได้ไฟนรก

[498] หมาขถึงนักรบฝ่ายศัตรูที่ถูกจับเป็นเชลย

[499] หมายถึงความศรัทรา และความบริสุทธิ์ใจ (1216) คือค่าไถ่ตัวเชลยศึก             (1217) จากอายะห์ที่ 70 อัลอันฟาล

(1218) หมายถึงเชลยศึกที่ถูกล่ามโซ่ แล้วได้เข้านับถืออิสลาม หรืออาจหมายถึง เชลยศึกมุสลิมที่ตกอยู่ในมือของพวกกาฟิร 

จนตายหรือถูกฆ่าตาย (1219) นี่เป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งบอกใหรู้ว่าผู้พูดเป็นคนที่ยิ่งใหญ่

[502] คือ อิมาเราะห์ บุตร อัลวะลีด

[503] จากอายะห์ที่ 28 ซูเราะห์ อัลมุอมิน

[504] คือได้ประสพกับการ คุกคามอย่างมากมายและรุนแรง

[505] คือวันที่ท่านนบียืนอยู่ที่ทางซอกภูเขาที่ตำบล มีนา ท่านได้เรียกร้องปรชาชนให้มารับศาสนาอิสลาม ไม่มีผู้ใดตอบรับ ท่าน แต่พวกนั้นได้คุกคามท่าน แลกลาย!ป็นวันที่รู้จักกํนว่าวันอะกอบะห์

[506] ที่เรียกว่า กอร์น อัลมะนาซิล ชึ๋งเป็นเขตกำหนดเอียห์รอมของชาวนัจด์

[507] คือมะลาอิกะห์ที่มีหน้าที่เกียวกับกิจการภูเขา

[508] คือภูเขาทั้งสองลูกที่มักกะห์ คือภูเขา อะบี กุบัยส์ และภูเขาด้านตรงข้าม

[509] แต่ที่รู้จักกันแพร่หลายคือ อัลอุซัยเราะห์

[510] มีบางท่านกล่าวว่าเก้าครั้งจากจำนวนนั้น

[511] จากอายะห์ที่ 123 อาลี อิมรอน

[512] ฮัยซูม เป็นชื่อม้าซองมะลาอิกะห์ ที่เฆี่ยน กาฟิร ด้วยไม้เรียว

[513] ได้ปรากฏรอยไม้เรีขวที่ฟาดจมูก และใบหน้าเป็นสีเขียว

[514] นั่นคือผลบุญและชัยชนะ

[515] นั่นคือการลงโทษ

[516] แต่พวกเขาก็ได้ยินเช่นเคียวกับพวกท่าน และมีนักวิชาวิชาการบางท่านว่า อัลเลาะห์ได้ชุบชีวิฅของพวกเขาขึ้นมาเพื่อรับฟ้ง คำพูดนี้ Iป็นการเหยียดหขาม และทำให้เสียใจ

[517] หมายความว่า เป็นมะลาอิกะห์ที่ประเสริฐที่สุด

[518] จึงถูกส่งกลับ โดยไม่ยอมให้ออกสงครามเพราะยังเป็นเด็กอยู่

[519] ในหะดีษแรกว่าพวกเฃามีจำนวน สามร้อยสิบเก้าคน จำนวนเหล่านี้ถือว่าไม่ขัดกันเพราะแต่ละคนได้รายงานตามความ เข้าใจของตน

[520] คือตายแล้วหรือยัง เพราะเขาเป็น กาฟิรที่ชั่วร้ายที่สุด

[521] คือตายแล้ว หรืออยู่ในสภาพของคนใกล้ตายที่สุด

[522] หมายความว่า ท่านล้มคว่ำไปแล้วหรือ อะบูยะฮัล

[523] หรอเขาไดกล่าวว่า ไม่น่าตำหนิข้าพเจ้าไม่ใช่หรือ ที่พวกพ้องของเขาเองที่ฆ่าเขา

[524] ทั้งนี้เพราะ ลูกชายของสองของอัฟรออุ เป็นเป็นชาวไร่

[525] จากอายะห์ที่ 122 อาลีอิมรอน

[526] หมายถึงพวกผู้หญงที่ตั้งภาคี ได้เตลิดหนีไปพร้อมกับพวกผู้ชายที่แตกพ่าย

[527] ขณที่พวกผู้ตั้งภาคีแตกพ่าย ฝ่ายมุสลิมได้กล่าวว่าจงเก็บทรัพย์สงคราม จงเก็บทรัพย์สงคราม

[528] ทมายความว่า จงเพิ่มความสูงส่ง และทำให้ศาสนาฃลงท่านปรากฎเถิด {ฮุบะลุ เป็นชื่ลรูปเคารพที่ กะอฺบะห์)

[529] อัลอุซชา เป็นชื่อรูปบูชาของเผ่ากุเรช

[530] เขาเป็นคนหนึ่งจากบุคคลที่ถูกพวกกุเรชทำให้เสียโฉมหลังจากถูกฆ่าแล้ว

[531] ที่ปล่อยให้พวกเขาเข้าตะลุมบอนตามล่าพังจนตาย

[532] คำว่า ในวัน อุฮุด ที่ถูกแล้วคือ วันบัดร์

[533] หมายความว่า ข้าพเจ้าขอเอาร่างของข้าพเจ้าแลกกับร่างของท่าน

[534] เสื่อในสมัยของท่านนบี ซ.ล. ทำมาจากทางอินทผลัม

[535] จากอายะห์ที่ 128 ซูเราะห์ อาลีอิมรอน

[536] บุคคลที่ท่านนบี {ซ.ล.) ได้ฆ่าคือ อุบัยย์ บุตร คอลฟ์ ในวํนอุฮุด เขาได้บุกเข้าหาท่านนบี ซ.ล. บรรดาสาวกต้องการ จะยับยั้งเขา ท่านนบีซ.ล. ได้กล่าวว่า ปล่อยเขา หล้งจากนั้นท่านนบีได้คว้าหอกของ อัลฮาริษ บุตร ซิมมะห์ ท่านได้ใช้มัน แทงเขา และเขาก็ได้เสืยชีวิตลง

[537] คือล่วงหห้าพวกท่านไปย้ง สระน้ำ คล้ายกับเป็นผู้เตรียมมันไว้เพื่อพวกท่าน

[538] ในการกระทำต่างๆ ของพวกท่าน

[539] หมายความว่า พวกท่านก็ลุ่มหลงมัน และมันก็จะทำให้พวกท่านพินาศ เหมือนกับทึ่มันได้ทำให้บรรดาผู้ที่ลุ่มหลงมัน พินาศมาแล้ว

[540] เกิดขึ้นในในที่สี่ เดือนเชาวาล จำนวนของฝ่ายกาฟิรมีหนึ่งหมื่นคน ฝ่ายมุสลิมมีสามพันคน

[541] อากกาผห์ที่ 9 ซูเราะห์ อัลอะห์ซาบ

[542] เพราะยังเป็นเด็ก

[543] ดินได้ปิดหน้าอกของท่าน

[544] คือลมตะวันตกที่พัดถล่มพวกอาด

[545] คือท่านอย่าทำให้พวกเขาตกใจ แล้วทำร้ายท่าน และข้าพเจ้าก็เสียใจที่ท่านถูกทำร้าย

[546] หมายถึงไปด้วยความอบอุ่นเหมือนอยู่ในโรงอบไอน้ำ

[547] หมายลงจนแสงอรุณขึ้น

[548] คอยบัรเป็นชื่อเมื่องใหญ่ มีป้อมปราการที่เข้มแข็งหลายแห่งอยู่ห่างจากนครมะดินะห์ออกไปทางด้าน ชาม แปด บรืด ยะฮูด ที่คอยบัร เป็นหัวหน้ายะฮูดทั้งหมดในแคว้น ฮิยาช สงครามคอยบัรเกิดขํ้นในปีที่เจ็ด หลัง ฮุดัยบิยะห์หนึ่งปี

[549] ได้กล่าวมาแล้วว่า ธงรบของท่านนบี ซ.ล. เป็นสีดำ ส่วนธงปรจำตัวท่านเป็นสีฃาว เขียนด้วยคำปฎิญาณ

[550] คือฃ้าพเจ้าสังหารศัตรูอย่างเต็มความสามารถ

บ. 4= ม ศออิ หรือ ศออ์ มีหน่วยย่อยเป็น สมุด ศออ์คือปริมาณของหน่วยการตวง หรือปริมาณสามลํ่ตร

[551] ไม่ใช่โดยการเจรจา บางท่านกล่าวว่า บางส่วนพิชิตโดยกำลัง และอีกบางส่วนได้มาโดยการเจรจา

[552] ดังกล่าวนี้ไม่ขัดกับท่านที่ท่านนบี ซ.ล. ได้เจรจากับยะฮูดพวกหนึ่งเพื่อให้ดูแลสวนอินทผลัมและทำการเพาะปถูก

[553] ท่านนบี ซ.ล. ได้ปลดปล่อยหล่อนและได้แต่งงานกับหล่อน โดยเอาการปลดปล่อยนั้นเป็นสืนสอดให้นาง

[554] เป็นสงครามที่เจ็ดที่มีการต่อสู้กัน ครั้งแรกคือสงคราม บัดร์ ครั้งที่สองสงคราม อุฮุด, ครั้งที่สามสงคราม คอนดัก ครั้งที่สี่สงคราม กุรอยเดาะห์ และ อันนะดีร ครั้งที่ห้าสงคราม บนู อัลมุสตอลิก ครั้งที่ทกสงครามคอยบัร และครั้งที่เจ็ด สงคราม ชาติรริกออุ 

[555] หมายลงพวกตรกล อัซอะรีย์

[556] พวกที่หนึ่งได้รับความปร!สริฐของการตักบีรอด้ลเอียห์รอมพร้อมกับท่านนบี และพวกที่สองได้รับความปร!สริฐ ของการให้สลามพร้อมก็บท่านนบี

[557] ศึกครั้งนี้เก็ดฃํ้นในเดือนชะอฺบานในปีที่ห้าหรือปีที่หก

[558] การหลั่งออกข้างนอก คือการที่ฝ่ายซายหลั่งน้ำอสุจิออกนอกอวัยวะเพศของฝ่ายหญิง เพื่อป้องกันการตั้งท้องของฝ่าย หญิง              ที่บรรคาอักรสาวกต้องการจะหลั่งข้างนอกก็เพราะกลัวว่าทาสหญิงที่ตนไค้ส่วนแบ่งมานั้นจะกลายเป็นแม่ของเด็ก (อุมมุล

วะลัด) ซึ่งทาสหญิงชนิดนี้ ผู้เป็นนายจะขายไม่ได้ ท่านบี ซ.ล. จงไค้หำมพวกเขา (1330) อันมาร เป็นชื่อเผ่าหนึ่ง

[560] บุคอรีไม่ได้กล่าวในเรื่องนี้ นอกจากหะดีษนี้เท่านั้น ทั้งที่ไม่ได้มีการกล่าวถึงเรื่องราวของพวก อันมาร เลยแม้จะปรากฎ ว่าท่านนบี ซ.ล. ได้ออกไปกับพวกเขาในสงคราบนี้ก็ตาม

[561] เป็นชื่อบ่อน้ำ อยู่ห่างจาก มักกะห์ ปรมาณ หนึ่งมัรฮะละห์ (50ก็โลเมตร) สงครามนี้เกิดขึ้นในปีที่หก นับจาก ฮิจเราะห์

[562] จากอายะห์ที่ 18-19 อัลฟัตฮ์

[563] เขาไม่พุดว่าหนึ่งพันสี่ร้อยคน เพื่อบอกให้รูว่าพวกเขาแน่งออกเป็นกองๆ ละหนึ่งร้อยคน และแต่ละกองก็มีจุดเด่นไปคนละอย่าง

[564] คือน้ำ

[565] ในหะดีษนี้ชี้ว่า บรรดาอัครสาวกที่ได้ให้สัตยาบันใต้ต้นไม้เป็นผู้ที่มีความประเสริฐมากยิ่งกว่าบรรดาอัครสาวกโดยทั่วๆไป

[566] ญาบิรได้กล่าวอย่างนี้ เพราะท่านนบีสายตามองไม่เห็นในช่วงสุดห้ายแห่งชีวิตของท่าน

[567] นั่นคือการเข้าพิชิตนครมักกะห์ ได้กล่าวมาก่อนแล้วว่าพวกสุเรช มักกะห์ ได้เจรจาพกรบกับท่านนบี ซ.ล. เป็นเวลา สืบปีในศกอุดัยบิยะห์ แล้วทำไมหลังจากนั้นอีกเพียงสองปีท่านนบีก็ได้นำทหารเข้าพิชิตมักกะห์ คำตอบก็คือเพราะชาวกุเรซ มักกะหิ์ ผิดสัญญาที่มีกับท่านนบี ซ.ล.

[568] จากอายะห์ที่ 1 - 3 ชุเราห์ อันนัสร์

[569] เป็นชื่อแหล่งน้ำแห่งหนึ่งตั้งอยู่ระหว่าง อัซฟาน กับ กุดัยด์ อัชฟาน เป็นชื่อตำบลใหญ่อยู่ห่างจากมักกะห์สองมัรฮะละห์ แต่ กุดัยด์ ใกล้กว่านั้น ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องการถือศิลอด

[570] เห็นชื่อสถานนิ่แห่งหนึ่งอยู่ใกล้มักกะห์

[571] คาามหมายก็คือให้นำอะบีซุฟ่ยานไปยืนอยู่ที่ช่องทางแคบๆ เพื่อเขาจะได้เห็นกองทัพทั้งหมดทีละกอง ทีละกอง

[572] คืออนุญาตให้ฆ่าฟันกันได้ในมักกะห์

[573] เป็นชื่อสถานที่แห่งหนิ่งใกล้ๆ ที่ฝังศพแห่งนครมักกะห์

[574] ทางเข้าสู่นครมักกะห์ทางด้านทิศตะวันตก และที่ถูกต้องแล้วท่านนบีซ.ล. ได้เข้ามักกะห์ทางด้านสูงของมักกะห์ ดังจะปรากฎในหะดีษฃอง อิบนุอุมัร

[575] ได้มีรายงานว่า พวกของคอลิด ได้พบกับ พวกกุเรช กลุ่มหนึ่งโดยมีชอฟวาน บุตร อุมัยยะห์ และซุฮัยล์ บุตร อัมร์ รวมอยู่ด้วย พวกเขาได้ชุมนมกันเพื่อสู้รบกับมุสลิมอยู่ที่ อัลคอนดะมะห์ ซึ่งเป็นสถานที่แห่งหนึ่งลยู่ต้านล่างของมักกะห์ หรือ เป็นชื่อภูเขาอยู่ใกล้ๆ นครมักกะห์ และได้เกิดการสู้รบกันขึ้นระหว่าง กุไซ พวกนื้ กับฝ่ายมุสลิม ผู้ที่ถูกฆ่าในการปะทะกัน ครั้งนื้จากฝ่ายมุสลิมคือ กัสละมะห์ อัลยุฮะนีย์ และฝ่ายพวกผู้ตั้งภาคี เสีขชีวิตไปสิบสามคน และพวกเขากีแตกพ่ายไป

[576] ท่านนบี ซ.ล. ได้ลงพักอยู่ที่ ฮะยูน หลายวันในช่วงการเข้าพิชิต มักกะห์ และเมื่อมีผู้ถามท่านเกี่ยวกับบ้านของท่าน ท่านได้ตอบว่า อะกิล และตอลบ ซึ่งฬํงสองนี้เป็นบุตรของ อะบีตอลิบลุงของท่าน ได้รับตกทอดเป็นมรดกไปแล้ว

[577] ท่านได้ทำท่าว่าให้ถอนรากถอนโคนพวกเขาให้หมด

(1365) คือไม่มีผู้ใดที่ได้ขึ้นไปขัดขวางพวกเขานอกจากพวกเขาจะต้องฆ่าผู้นั้น

[579] ท่านได้กล่าวย้ำถึงลามครั้ง

[580] ท่านนะวะวีย์ ได้กล่าวว่า ความหมายของหะดีษนี้ก็คือ พวกกุเรข จะเข้าสู่อิสลามทั้งหมด พวกเขาจะไม่ทิ้งศาสนา เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ถูกทำสงครามและถูกฆ่าโดยการกักขัง และล่ามไว้

[581] การเข้าไปในกะอฺบะห์ ของท่านนบีครั้งนี้ไม่ใช่เป็นครั้งต่อไปที่จะกล่าาถึง ซึ่งท่านได้เข้าไปละหมาดในนั้น

[582] จากอายท์ที่ 25-26 ซูเราห์ อ้ต!ตาบห์

(1365) คือพวกที่ถูกมุ่งหมายด้วยคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “ขอยืนยันว่าแท้จรงพระองค์อัลเลาะห์ทรงพอพระทัยบรรดาผู้มีศรัทธาขณะที่พวกเขาให้ลัตยาบันแก่ท่านภายใต้ต้นไม้ 18 ซูเราะห์ อัลฟัตฮ์

[584] เมื่อสงครามทวีความรุนแรงขึ้นเสียงกระทบกันของอาวุธดังกึกก้อง พวกเราได้เข้าไปหาท่านรอชูลุลเลาห์ ซ.ล. ซึ่ง ท่านยืนหยัดอย่างมั่นคงดังภูเขา

[585] หมายความว่าท่านนบี ซ.ล. มีความกล้าหาญมาก ในยามวิกฤต ท่านจะบุกเข้าหาฝ่lายศัตรู และคนที่กล้าหาญที่สุดของ พวกเราก็จะบุกเข้าใส่ศัตรูอย่างมากที่สุดก็เพียงบุกขึ้นไปเท่ากับท่านนบีเท่านั้น

[586] เอาตอส เป็นชื่อหุบเขาแห่งหนึ่งของพวก ฮะวาซิน บรรดาผู้ที่แตกพ่ายจากสงคราม ฮุนัยน์ ได้ชุมนุมกันอยู่ที่นั่น ท่าน นบี ซ.ล. ได้ส่งกองทหารออกแกะรอยพวกเขาไปภายใต้การนำของ อะบา อามีร อัลอัซอะรีย์ กับ อะบา มูซา อัลอัซอะรีย์ และ ได้ท่าให้พวกนั้นฟายแพ้อย่างยับเยิน

[587] ผู้ที่ฆ่า ดุรอยส์ คือ รอบิอะห์ บุตร รอเฟียอฺ อัสสะลามีย์ หรอ ซุบัยร์ บุตร เอาวาม

[588] หมายความว่า ท่านไม่อายหรือ ที่หนี

[589] หลังจากได้ซัยชนะเหนือศัตรูแล้ว อบู มูชา ก็ได้กลับไปย่งท่านนบี ซ.ล.

[590] คือผู้ที่รายงานหะดีษต่อจากอะบุ มูชา อัลอัชอะรีย์

[591] หมายถึงคำวิงวอนของท่านนบี ซ.ล. นั้นครั้งหนึ่งท่านได้วิงวอนให้แก่อะบี อามีร และอีกครั้งหนึ่งให้แก่ อะบื มูชา

  [592] ตออิฟเป็นเมืองใหญ่ มีสวนอินทผสัมและสวนองุ่นมาก อยู่ห่างจากมักกะห่ ไปทางทิศตะวนออกปรมาณ สองมัรฮะละห์

(1370) ท่านนบี ซ.ล. กับกองทหารมุสลิมได้ปิดถ้อมพวกเขาอยู่เป็นเวถา สืบห้าหรั้อสืบเจ็ด หรั้อลี่สืบวัน แด่ไม่ลามารถบุก พวกนั้นได้ ท่านนบีได้ปรึกษากับ เนาฟัล บุตร มุอาวียะห์ เขาไห้กล่าวว่า พวกนั้นเหมือนหมาป่าที่อย่ในรังของมัน ถ้าท่านจะบุกเข้าไปก็จับตัวมันได้ และถ้าหากท่านปล่อยมันไว้ มนก็จะไม่สามารถทำอันครายท่านได้ ท่านนบี ซ.ล. จึงออกคำสั่งให้ถอน ตัวกสับ และต่อมา พวกซะกีฟ ก็ไห้เข้านับถืออิสลาม

[594] ตะบุก เป็นชื่อสถานที่แห่งหนึ่ง ห่างออกไปจาก ขาม สืบเอ็ด มัรฮะละห์

[595] คือสะอัด บุดร อะบี วักกอส

[596] ไห้กล่าวมาแถ้วในเรั้องความปรเสรฐของอสื ร.ฎ.

[597] ท่านนบี ซ.ล. ไค้กล่าวแก่พวกเขาดังกล่าวก่อนที่พวกเขาจะออกไป

[598] ดาบนั้นคือ คอลิด บุตร อัลวะลิด

[599] คือม่ผู้กล่าวปรณามเขาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หมายความว่าเธอไม่ควรที่จะกล่าวคำรำพันเพราะมันเป็นสิ่งค้องห้าม

[600] คือผู้แทนที่ท่านนบี ซ.ล. ไค้ส่งไปเป็น จารชน หรือนักรบ จะน้อยหรือมากก็ตาม

[601] ภายหลงสงคราม บัดร์ ท่านนบี ซ.ล. ไค้ส่งจารชนไปยังมักกะห์สิบคนเพื่อหาข่าวและความเคลื่อนไหวของพวกกุเรช

[602] พวกเขารู้ว่าเป็นอินทผลันของ คุบํยบ์ และสหายของเขา

[603] คือเนินสูง

1387 คืออับดุลเลาะห์ บุตร ตอรีก

[605] พวกเขาคือชาวอันชอรกลุ่มหนึ่งที่ยากจนพวกเขาประกอบอาชีพเก็บฟืนขายในเวลากลางวัน และใช้เวลากลางวันละหมาด และอ่านอ้ลกุรอาน ด้วยเหตุนพวกเขาจึงได้ชื่อว่าเป็นนักอ่าน

[606] ฮะรอม เป็นน้าชายของอนัส บุตร มาลิก ร.ฎ.

     [607] คือด้วยม้าจำนวนหนึ่งพันที่มีสีแดงเรื่อๆ และอีกหนํ่งพันม้าที่มีสีแดง หมายความว่าถ้าหากท่านไม่ยอมรับข้อหนึ่งข้อใด

จากทั้งสองข้อ ข้าพเจ้าจะเปิดสงครามกับท่านด้วยทหารจำนวนมหาศาล

(1891) หมายความว่าข้าพเจ้าได้เป็นนักรบชะฮีดแล้ว เพราะหอกเล่มนั้นพุ่งมาทางอีกด้านหนึ่ง

[609] คือได้ทิ้งการตั้งภาคีเข้าสู่อิสลามแล้ว การที่พวกเขากล่าวว่า พวกเราได้ทิ้งศาสนาเดิมแล้วนั้น คอลิดเข้าใจว่าพวก เขายังใม่ได้เข้านับถือศาลนาอิสลาม เพราะพวกเขายังไม่ได้พูดอย่างชัดเจน คอลิดจึงสั่งฆ่าและจับพวกเขาเป็นเชลย

[610] ท่าพนบีโกรธคอลิด ที่รีบด่วนสั่งการโดยไม่หาข้อเท็จจริงให้แน่ชัดเสียก่อน ท่านจงกล่าวว่า ท่านไม่เกี่ยวข้องกับการ กระทำของคอลิค

[611] คือ อามีร บุตร อะบา มูชา อัลอัซอะรืย์

[612] โดยให้ไปเป็นผู้ปกครอง เป็นผู้สอนศาสนา และเป็นผู้รวบรวมชะกาต

[613] อับดุลเลาะห์ บุตร กอยส์ คือชื่อ ของอะบี มูชา

[614] แต่อ่านหลาย ๆ เวลาตามแต่จะสดวกทั้งกลางวันและกลางคืน

[615] สำหรับมุอาซ เขาจะนอนในช่วงหัวค่ำ และลุกขึ้นกลางดึกเพื่อทำละหมาดๆ ตะฮัจญุด และอ่านอัลกุรอาน เขาจะแสวงผลบุญจากการนอนของเขาเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน เพื่อทำอิบาดะห์ เช่นเดียวกันกับช่วงที่เขาตื่น

[616] คือหลังจากพวกเขากลับจากตออิฟ และได้แบ่งทรัพย์สงคราม ฮุนัยน์ ที่ ยุอฺรอนะห์แล้ว

[617] ที่ถูกด้องแล้ว อัลกอมะห์ อัลอามิรีย์ สำหรับ อามีร บุตร ตุฟัยล์นั้นเขาตายโดยเป็นกาฟิร

[618] ไม่เอ่ยชื่อเขาเพราะต้องการปกปิดไว้

[619] ชายคนนี้ชื่อ ซุ้ลคุวัยซิเราะห์

[620] เพื่อค้นหาว่าเขาศรัทธาแท้จริงหรือไม่

[621] หมาความว่าพวกเขาจะอ่านอยู่ที่ปากโดยจะไม่เลยลูกกระเดือกเข้าไปสู่จิตใจ

[622] หมายความว่า ข้าพเจ้าจะถอนรากถอนโคนพวกเขาเหมือนกับที่พวก ซะมูด ถูกถอนรากถอนโคน พวกเหล่านั้นได้แก่ พวก คอวาริจ

หมายเลขบันทึก: 703765เขียนเมื่อ 9 กรกฎาคม 2022 14:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 สิงหาคม 2022 18:17 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท