หะดีษซอเฮี๊ยห์เล่มที่5


ภาคความประเสริฐของอัลกุรอาน

มี 4 บท

บทที่หนึ่ง

ความประเสริฐของอัลกุรอาน ผู้อุ้มชู ผู้สอนอัลกุรอาน

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “แน่แท้มันคือกุรอานที่มีเกียรติอยู่ในแผ่นบันทึกที่ถูกรักษาไว้ จะไม่ได้สัมผัสกับ อัลกุรอานนอกจากผู้มีความสะอาด เป็นการประทานลงมาจากพระผู้อภิบาล แห่งสากลโลก 

และอัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “โอ้ประชาชนทั้งหลายหลักฐานอันเด็ดขาด[1]  จากพระผู้ อภิบาลของพวกเจ้าได้มายังพวกเขาแล้ว และเราได้ประทานรัศมีที่แจ้งชัด[2] มายังพวกเจ้าแล้ว”

และอัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และเช่นเดียวกันนั้น เราก็ได้ประทานวิญญาณจากคำสั่งของเรา[3]มายังเจ้า สิ่งที่เจ้าไม่เคยรู้ว่า คัมภีร์คืออะไร และไม่รู้ว่า อิหม่านคืออะไร แต่เราได้ดลบันดาลให้มันเป็นรัศมี เพื่อเราจะใช้มันชี้นำแก่ผู้ที่เราประสงค์จากมวลบ่าวของเรา และแท้จริงเจ้าจะต้องชี้นำไปสู่แนวทางที่เที่ยงตรง มันเป็นแนวทางของอัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์มีกรรมสิทธิ์ในสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน พึงทราบเถิดว่า กิจการทั้งปวงต้องกลับคืนสู่อัลลอฮ์” พระองค์อัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอุษมาน ร.ฎ.  จากท่านนปี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ที่ดีที่สดในหมู่พวกเจ้า คือ ผู้ที่เรียน และสอนอัลกุรอาน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่าผู้เชี่ยวชาญในอัลกุรอานจะอยู่ร่วมกับมะลาอิกะห์ ผู้จดบันทึก ผู้มีเกียรติ ผู้มีคุณความดี และผู้ที่ท่องอัลกุรอานในสภาพที่มีความเข้มงวดต่ออัลกุรอาน[4] เขาจะได้สองผลบุญ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอะบี มูซา  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เปรียบผู้มีศรัทธาที่อ่านอัลกุรอาน ดุจดังผล อุตรุจญะห์ [5]  ที่มีกลิ่นหอมรสดี และเปรียบผู้มีศรัทธาที่ไม่อ่านอัลกุรอานอุจดังผลอินทผลัม ไม่มีกลิ่น มีแค่รสหวาน และเปรียบคนหน้าไหว้หลังหลอกที่อ่านอัลกุรอานดุจดังโหระพากลิ่นดี แต่รสขม และเปรียบคนหน้าไหว้หลังหลอกที่ไม่อ่านอัลกุรอาน ดุจดังบวบขมไม่มีกลิ่น และยังมีรสขม 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอุกบะห์ บิน อามิร  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ออกมาหาพวกเรา ขณะที่พวกเราอยู่ที่ ซุฟฟะห์ [6]  ท่านได้กล่าวว่า มีใครบ้างจากพวกท่านที่ปรารถนาจะไปรุ่งเช้าทุกวันที่บุตฮาน หรืออะกีก[7] และเขาจะได้นำเอาอฐที่มีตะโหงกใหญ่สองตัวมาจากที่นั้น โดยไม่เป็นการทำบาปต่ออัลเลาะห์และไม่เป็นการตัดขาดเครือญาติ พวกเราตอบว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  พวกเราทุกคนปรารถนาเช่นนั้น ท่านจึงกล่าวว่าการที่ใครคนหนึ่งของ พวกท่านไปรุ่งเช้าทุกวันที่มัสยิดศึกษาสองอายะห์จากคัมภีร์ของอัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร จะเป็นความดีแก่เขายิ่งกว่าอูฐสองตัวเสียอีก และสามอายะห์ก็จะเป็นความดีแก่เขายิ่งกว่าอูฐสามตัว และสี่อายะห์ก็จะเป็นความดีแก่เขายิ่งกว่าอูฐสี่ตัว และมากกว่าสี่อายะห์ก็จะเป็นความดี แก่เขายิ่งกว่าอูฐจำนวนเท่ากันนั้น

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดเดินทางสายหนึ่ง เพื่อแสวงหาความรู้ในทางสายนั้น อัลเลาะห์จะให้เป็นทางสะดวกแก่เขาสู่สวรรค์ และไม่มีกลุ่มใดที่ร่วมชุมนุมกันอยู่ในบ้านหลังหนึ่งจากบรรดาบ้านของอัลเลาะห์ พวกเขาอ่านคัมภีร์ของ อัลเลาะห์ และทบทวนกันในหมู่พวกเขา นอกจากจะมีความสงบสุขเกิดขึ้นกับพวกเขาความเมตตาจะปกคลุมพวกเขา และมะลาอิกะห์จะห้อมล้อมพวกเขา และพระองค์อัลเลาะห์จะกล่าวถึงพวกเขาแก่ผู้ที่อยู่กับพระองค์ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากอับดิลลาฮ์ บิน อัมร์  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าจะมีผู้กล่าวแก่ ผู้ที่ท่องจำอัลกุรอานว่า จงอ่าน และจงเลื่อนสูงขึ้นไป และจงอ่านให้ประณีต เหมือนที่ท่าน เคยอ่านในโลกดุนยา เพราะแท้จริงตำแหน่งของท่านอยู่ที่อายะห์สุดท้ายที่ท่านอ่าน[8]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อัลกุรอานจะมาในวันกียามะห์ แล้วกล่าวว่า ข้า แด่พระผู้อภิบาลของข้า ได้โปรดตบแต่งเขา (ผู้จดจำอัลกุรอาน) เขาจึงได้สวมมงกุฎแห่งเกียรติยศ ต่อมาอัลกุรอานก็จะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้า ได้โปรดเพิ่มเติมให้เขาอีก เขาจึงได้สวมอาภรณ์แห่งเกียรติยศ หลังจากนั้นอัลกุรอานจะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้า ได้โปรดพอใจในตัวเขา พระองค์อัลเลาะห์ก็จะพอใจเขา จากนั้นจะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า จงอ่านและเลื่อนขึ้น เพราะท่านจะถูกเพิ่มให้หนึ่งความดีต่อทุกๆ อายะห์ 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

และตัวบทของอะบีดาวูดว่า ผู้ใดอ่านอัลกุรอานและปฏิบัติตาม สิ่งที่ปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน บิดาของเขาจะได้สวมมงกุฎในวันกิยามะห์ รัศมีของมงกุฎสวยงามยิ่งกว่ารัศมีของ ดวงตะวันในโลกดุนยา ถ้าแม้นมันได้ปรากฏอยู่ในพวกท่าน แล้วพวกท่านจะคิดอย่างไรแก่ผู้ที่ได้ปฏิบัติตามนี้[9]

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงผู้ที่ไม่มีสิ่งใดอยู่ ในท้องของเขาเลย จากอัลกุรอาน เขามีสภาพเหมือนบ้านที่ปรักหักพัง

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดอ่านอักษรหนึ่งจากคัมภีร์ของอัลเลาะห์ เขาจะได้รับหนึ่งความดีต่อหนึ่งอักษรนั้น และหนึ่งความดีนั้นจะได้รับตอบแทนสิบเท่า ข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่า “อะลีฟลามมีม” นั้นเป็นอักษรเดียว  แต่ “อะลีฟ” เป็น หนึ่งอักษร “ลาม” เป็นหนึ่งอักษร และ “มีม” เป็นหนึ่งอักษร[10]

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ตะอาลาตรัสว่า ผู้ใดที่อัลกุรอานและการระลึกถึงเรา ทำให้เขายุ่งจนไม่ได้วิงวอนขอเรา  เราจะมอบให้แก่เขาดียิ่งกว่าที่เรามอบให้แก่บรรดาผู้ที่ขอทั้งหลาย คำของอัลเลาะห์ตะอาลานั้นมีความประเสริฐเหนือ คำทั้งหลาย ดุจดังความประเสริฐของอัลเลาะห์เหนือสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง

เล่าจากอะลี ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดอ่านอัลกุรอานและจดจำไว้ จนขึ้นใจ และเขาถือว่าสิ่งที่อัลกุรอานระบุว่า ฮะลาลเป็นสิ่งฮะลาล และสิ่งที่อัลกุรอานระบุว่า ฮะรอมเป็นสิ่งฮะรอม อัลเลาะห์จะให้เขาได้เข้าสวรรค์ด้วยอัลกุรอาน และจะให้เขาได้ช่วยเหลือ สิบคนในครอบครัวของเขา ซึ่งทั้งหมดนั้นต้องลงนรก[11]

เล่าจากอะบี อุมามะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ไม่ได้อนุมัติ ให้แก่บ่าวคนใดในสิ่งหนึ่งสิ่งใดประเสริฐยิ่งกว่าสองเราะกะอัต ที่เขาจะละหมาด และแท้จริง ความดีจะลงมาบนศีรษะของบ่าวคนนั้นตราบเท่าที่เขายังอยู่ในละหมาดของเขา และบ่าวนั้นจะไม่ได้ใกล้ชิดกับอัลเลาะห์ เหมือนใกล้ชิดกับสิ่งที่ได้ออกมาจากพรองค์ นั่นคือ อัลกุรอาน

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ กิจกรรมใดที่อัลเลาะห์รักที่สุด ท่านตอบว่า ผู้ที่กลับจากเดินทางซึ่งพร้อมออกเดินทางอีก ชายผู้นั้นถามว่าใครคือ ผู้ที่กลับจากเดินทางซึ่งพร้อมออกเดินทางอีก ท่านตอบว่า คือผู้ที่เดินทาง จากต้นอัลกุรอานไปจนจบ ทุกครั้งที่เขากลับจากเดินทางเขาก็พร้อมออกเดินทางอีก[12]

เล่าจากอัลฮาริษ อัลอะอฺวัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเดินผ่านเข้าไปในมัสญิดพบประชาชนกำลังวิพากษ์วิจารณ์หะดีษต่าง ๆ อยู่ ข้าพเจ้าจึงได้เข้าไปหาอะลี ร.ฎ.  ข้าพเจ้า กล่าวว่า โอ้ ท่านผู้นำของเหล่าผู้ศรัทธา ท่านไม่เห็นหรือว่าประชาชนกำลังพากันวิพากษ์วิจารณ์ หะดีษต่าง ฤ อะลีถามว่า พวกเขาได้วิพากษ์วิจารณ์หะดีษต่างๆ หรือ ข้าพเจ้าตอบว่า ถูกแล้วครับ        อะลีได้กล่าวว่าสำหรับข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์   ซ.ล. กล่าวว่า พึงทราบเถิดความจริงจะเกิดวิกฤติการร้ายแรงขึ้น ข้าพเจ้าถามว่า อะไรคือทางออกจากวิกฤติการนั้น โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านตอบว่าคือคัมภีร์ของอัลเลาะห์ ในคัมภีร์นั้นมีข่าวของคนในยุคก่อนพวกท่าน มีข่าวของคนในยุคหลังพวกท่าน มีข้อตัดสินระหว่างพวกท่าน เป็นการตัดสินที่ไม่ใช่เป็นเรื่องล้อเล่น ผู้ใดทอดทั้ง คัมภีร์ของอัลเลาะห์ จากผู้ที่ทำตามอำเภอใจ อัลเลาะห์จะทำลายเขา และผู้ใดแสวงหาแนวทางที่ถูกต้อง นอกจากคัมภีร์ของอัลเลาะห์ อัลเลาะห์จะให้เขาหลงผิด อัลกุรอานเป็นเชือกที่เหนียวแน่นของอัลเลาะห์ เป็นคำกล่าวทีอุดมด้วยวิทยะปัญญา เป็นแนว ทางที่ถูกต้องซึ่งอารมณ์จะไม่หันเหออกจากสัจธรรมด้วยการตามอัลกุรอาน ลิ้นจะไม่ไขว้เขว ด้วยอัลกุรอาน ปวงปราชญ์จะไม่อิ่มจากอัลกุรอาน อัลกุรอานจะไม่เสื่อมสลายทั้งที่มีการอ่านมาก ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานจะไม่รู้จักหมดสิ้น มันเป็นสิ่งที่พวกญินไม่ได้หยุดยั้ง ขณะ ได้ยินมัน นอกจากจะกล่าวว่า “แท้จริงพวกเราได้ยิน กุรอานอันมหัศจรรย์ยิ่งซึ่งจะชี้นำไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง ผู้ใดพูดตามอัลกุรอาน เขาเป็นผู้สัจจะ ผู้ใดปฏิบัติตามอัลกุรอาน เขาได้ ผลบุญ ผู้ใดตัดสินตามอัลกุรอาน เขาเป็นผู้ยุติธรรม และผู้ใดเรียกร้องมาสู่อัลกุรอานเขาจะถูก ชี้นำไปสู่แนวทางที่เที่ยงตรง จงเอาคำสอนนี้ไว้กับท่านเถิด โอ้ อะอฺวัร 

รานงานหะดีษทั้งเจ็ดโดย ติรมิซี

เล่าจากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ตะอาลาได้อ่าน ตอฮาและยาซีน ก่อนสร้างฟ้าและแผ่นดินถึงหนึ่งพันปี เมื่อมะลาอิกะห์ได้ยิน อัลกุรอานได้กล่าวว่าโชคดีเป็นของ ประชาชาติที่สิ่งนี้จะประทานลงไป โชคดีเป็นของเรือนร่างที่จะรับเอาสิ่งนี้ไว้ และโชคดีเป็น ของลิ้นที่อ่านสิ่งนี้ 

รายงานโดย บะฆอวีย์ ในอัลมะซอบีห์

ให้ระวังการลืมอัลกุรอาน 703

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริงเปรียบผู้ที่ท่องจำอัลกุรอานนั้นก็เหมือนกับเจ้าของอูฐที่ถูกล่ามขาไว้ ถ้าหากเอาใจใส่ดูแลมัน ก็สามารถจับมันไว้ได้ และถ้าหากปล่อยมัน มันก็จะไป

เล่าจากอะบีมูซา ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงเอาใจใส่ อัลกุรอาน ขอสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า ความจริงอัลกุรอานนั้นเปรียวจัดยิ่งกวาอูฐที่ผูกขาไว้ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เป็นความชั่วช้าของคนใดคนหนึ่งในพวกเขาที่ได้กล่าวว่า ข้าลืมอายะห์นั้น อายะห์นี้ แต่เขาได้ถูกทำให้ลืมต่างหาก ท่านทั้งหลาย จงทบทวนอัลกุรอาน เพราะความจริงมันเปรียวที่จะออกจากอกคนยิ่งกว่าอูฐเสียอีก

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจากอาอีชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ยินผู้ชายคนหนึ่งอ่านอัลกุรอาน ในเวลากลางคืน ท่านได้กล่าวว่า ขอพระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดเมตตาเขาที่เขาทำให้ข้าพเจ้านึกถึงอายะห์นั้น อายะห์นี้ขึ้นมาได้ทั้งที่ข้าพเจ้าได้ถูกทำให้ลืมอายะห์นั้นจากซูเราะห์นั้นไปแล้ว[13] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า บาปต่าง ของบ่าวข้าพเจ้าได้ถูกนำมาเสนอให้ข้าพเจ้าชม ข้าพเจ้าไม่เห็นว่ามีบาปใดยิ่งใหญ่กว่าบาปที่เกิดจากซูเราะห์หนึ่งจาก อัลกุรอานหรืออายะห์หนึ่งที่ชายคนหนึ่งท่องจำไว้ได้แล้ว แต่ต่อมาเขาได้ลืมมัน 

รายงานโตยติรมิซี และอะบูดาวูด พระองค์อัลเลาะห์ ทรงรู้

บทที่สอง 704

ระเบียบของการอ่าน

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และจงอ่านอัลกุรอานให้ถูกต้องตามอักขรวิธีจริง”

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าเขาถูกถามว่า การอ่านของท่านนบี ซ.ล.  เป็นอย่างไร

อะนัสตอบว่า “อ่านลากเสียง”[14] จากนั้นได้อ่านบิสมิลลา ฮิรเราะห์มา นิรรอฮีม เขาลากเสียงยาว ที่บิสมิลลาห์ ลากเสียงที่อัรเราะฮ์มาน และลากเสียงที่อัรร่อฮีม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจากอุมมิ ซาละมะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยอ่านเป็น ท่อนๆ ท่านจะอ่าน อัลฮัมดุ ลิลลาหิ รอบบิล อาละมีนแล้วหยุด อัรเราะห์มานิรรอฮีม แล้วหยุด และท่านเคยอ่านในซูเราะห์อัลฟาติฮะห์ว่า มะลิกิเยามิดตีน[15]

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจากอะบีมูซา ร.ฎ.  ว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขาว่า  หวังว่า ท่านจะ เห็นข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังฟังการอ่านของท่านเมื่อคืนนี้[16] ความจริงท่านได้รับขลุ่ยหนึ่ง[17] จากบรรดาขลุ่ยของวงศ์วานดาวูด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาห์บิน มุฆอฟฟัล  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล.  ได้อ่านในปีที่เข้าพิชิตนครมักกะห์ในการเดินทางอยู่บนพาหนะของท่าน ซูเราะห์อัลฟัตห์ และท่านได้หน่วง เสียงในการอ่านของท่าน มุอาวิยะห์ได้กล่าวว่า ถ้าหากข้าพเจ้าไม่กลัวว่าประชาชนจะเข้ามารุม ล้อมข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังถึงการอ่านของท่านนบี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์จะไม่รับฟังสิ่งใดเหมือนอย่างที่พระองค์จะรับฟัง นบีคนหนึ่งซึ่งมีเสียงดีอ่านอัลกุรอานเป็นท่วงทำนอง โดยใช้เสียงนั้นอ่าน 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

ตัวบทของอะบีดาวูดและบุคอรีเป็นหะดีษมุอัลลักว่า ท่านทั้งหลายจงตกแต่ง อัลกุรอาน ด้วยเสียงของพวกท่าน ไม่ใช่เป็นพวกเรา ผู้ที่ไม่อ่านอัลกุรอานเป็นท่วงทำนอง[18]

เล่าจากยุนดุบ บิน อับดิลลาห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย จงอ่านอัลกุรอานเฉพาะสิ่งที่หัวใจของพวกท่านมีความกลมเกลียวกัน ดังนั้น เมื่อพวกท่านขัดแย้งกัน ก็จงลุกขึ้นไปจากอัลกุรอาน[19]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม 

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าจะปรากฏกลุ่มชนหนึ่งในหมู่ พวกท่าน ซึ่งพวกท่านรังเกียจที่จะให้ละหมาดของพวกท่านปะปนกับละหมาดของพวกเขา การ ถือศีลอดของพวกท่านปะปนกับการถือศีลอดของพวกเขา และกิจกรรมของพวกท่านปะปนกับ กิจกรรมของพวกเขา พวกเขาจะอ่านอัลกุรอาน และอัลกุรอานจะไม่พ้นกระเดือกของพวกเขา[20]  พวกเขาจะแหวกออกจากศาสนาเหมือนถูกธนูที่แหวกออกจากเป้า เขาจะมองไปที่หัวถูกธนู เขาจะไม่เห็นสิ่งใด จะมองไปที่ถูกธนูเขาจะไม่เห็นสิ่งใด จะมองไปที่ขนนก (ที่อยู่หางถูกธนู) เขาจะไม่เห็นสิ่งใด และเขาก็จะสงสัยว่าถูกธนูเข้าไปทางไหน[21]

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. กล่าวว่า จะปรากฏขึ้นในยุคท้าย ๆ กลุ่มชนหนึ่งที่มือายุน้อย สติปัญญาโง่เขลา พวกเขาจะอ่านอัลกุรอานโดยที่อัลกุรอานจะไม่เกินกระเดือกของพวกเขา พวกเขาจะกล่าวอ้างถึงคำพูดของบุคคลที่ ประเสริฐสุดแห่งมนุษย์ชาติ[22] พวกเขาจะแหวกออกจากศาสนา ดุจถูกธนูที่แหวกเป้า อีหม่าน ของพวกเขาไม่เลยลงไปจากกระเดือก ที่ใดที่พวกท่านพบพวกเขา ให้สังหารพวกเขาเสีย เพราะ การสังหารพวกเขาจะเป็นผลบุญแก่ผู้สังหารพวกนั้น ในวันกิยามะห์[23] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอิมรอน บิน ฮุซอยน์  ร.ฎ.  ว่า แท้จริงเขาได้เดินผ่านนักอ่านคนหนึ่ง กำลัง อ่านอัลกุ-รอาน หลังจากนั้นเขาได้ขอ อิมรอนจึงกล่าวคำอิสติรยาอุ[24] แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยิน ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  กล่าวว่า “ผู้ใดอ่านอัลกุรอานให้เขาจงขอต่ออัลเลาะห์ด้วยอัลกุรอาน เพราะความจริงต่อไปจะมีกลุ่มชนจำนวนมากที่พวกเขาอ่านอัลกุรอาน พวกเขาจะขอประชาชนด้วยอัลกุรอาน[25]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

เล่าจากอับดิลลาห์ บิน อัมร์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวว่าจงอ่านอัลกุรอานภายในหนึ่งเดือน ข้าพเจ้ากล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าพบว่ามีกำลังจนในที่สุดท่านได้กล่าวว่า ท่านจงอ่านอัลกุรอานภายในเจ็ดวัน และท่านอย่าให้เกินกว่านั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อับดิลลาห์ ว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ในกำหนด เวลาเท่าใดที่ข้าพเจ้าจะอ่านอัลกุรอาน ท่านตอบว่าท่านจงอ่านอัลกุรอานจนจบในหนึ่งเดือน ข้าพเจ้ากล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้ามีความสามารถมากกว่านั้น ท่านกล่าวว่าจงอ่านอัลกุรอาน ให้จบในยี่สิบวัน ข้าพเจ้ากล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้ามีความสามารถมากกว่านั้น ท่านกล่าวว่า จงอ่านอัลกุรอานให้จบในสิบห้าวัน ข้าพเจ้ากล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้ามีความสามารถมากกว่า นั้น ท่านกล่าวว่า จงอ่านอัลกุรอานให้จบในสิบวัน ข้าพเจ้ากล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้ามีความ สามารถมากกว่านั้น ท่านกล่าวว่าจงอ่านอัลกุรอานให้จบในห้าวัน[26] ข้าพเจ้ากล่าวว่าะความจริง ข้าพเจ้ามีความสามารถมากกว่านั้น แต่ท่านไม่ได้ผ่อนผันให้ข้าพเจ้า[27]

เล่าจาก อับดิลลาห์ จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า จะยังไม่มีความเข้าใจ ผู้ที่อ่านอัลกุรอาน จบในเวลาน้อยกว่าสามวัน[28]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด และติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

ควรฟังอัลกุรอานอย่างตั้งใจและสำรวมตน

อัลเลาะห์ตะอาลา ได้ตรัสว่า “และเมื่ออัลกุรอานได้ถูกอ่าน ให้พวกเจ้าจงรับฟัง และสดับรับฟังอย่างตั้งใจ แน่นอนพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา”

เล่าจากอับดิลลาห์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านจงอ่านให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้ากล่าวว่า จะอ่านให้ท่านฟังหรือทั้งๆที่อัลกุรอานถูกประทานมายังท่าน โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์        ท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้าอยากฟังอัลกุรอานจากคนอื่นที่ไม่ใช่ข้าพเจ้า อับดิลลาห์ ได้กล่าวว่า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้อ่านซูเราะห์ อันนิซะอฺ จนเมื่ออ่านมาถึง “จะอยู่ในสภาพใด เมื่อเราได้นำพยานมาจากทุกประชาชาติและเราได้นำท่านมาในฐานะพยาน เหนือพวกเขา” ท่านได้กล่าวว่า หยุดหรือระงับไว้ ข้าพเจ้าได้เห็นตาทั้งสองของท่านนองด้วยน้ำตา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ.  ว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวแก่อุบัยย์ บิน กะอับว่า แท้จริงอัลเลาะห์ได้บัญชาให้ข้าพเจ้าอ่าน “ลัมยะกุนิลละซี น่ากะฟะรู” ให้ท่านฟัง เขา (อุบัยย์) ได้ถามว่า พระองค์เอ่ยนามของข้าพเจ้าแก่ท่านหรือ  ท่านตอบว่า ใช่ (ผู้เล่าคืออะนัส) ได้กล่าวว่า และต่อมาเขา (อุบัยย์) ได้ร้องไห้[29]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี

ความสงบจะเกิดขึ้นเพราะการอ่านอัลกุรอาน

เล่าจากอัลบะรออุ  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งอ่านซูเราะห์อัลกะห์ฟิ เและเขามี ม้าตัวหนึ่งถูกผูกไว้ด้วยเชือกสองเส้น ต่อมาได้มีเมฆลงมาปกคลุมเขา เมฆเริ่มหมุนและใกล้ เข้ามา และม้าของเขาก็เผ่นหนีเมฆนั้น เมื่อรุ่งเช้าเขาได้มาหาท่านนบี  ซ.ล.  และได้เล่าให้ ท่านฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ท่านนบีจึงได้กล่าวว่า นั่นแหละคือความสงบที่ลงมาเพราะอัลกุรอาน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

บทที่สาม

ความประเสริฐของซูเราะห์ต่าง ๆ

ความประเสริฐของซูเราะห์ ฟาติฮะห์ บะกอเราะห์ และอาลิอิมรอน

เล่าจากอะบีสะอีด บิน อัลมุอัลลา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ากำลังละหมาดต่อมา ท่านนบี ซ.ล. ได้เรียกข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบท่าน ข้าพเจ้ากล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ข้าพเจ้ากำลังละหมาด ท่านได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ไม่ได้ตรัสไว้หรือว่า “ท่านทั้งหลายจงตอบรับ อัลเลาะห์และรอซูล เมื่อทั้งสองได้เรียกพวกท่าน” จากนั้นท่านได้กล่าวว่า พึงทราบเกิดว่า ข้าพเจ้าจะสอนท่านด้วย ซูเราะห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอัลกุรอาน ก่อนที่ท่านจะออกไปจากมัสญิด ท่านได้จับมือข้าพเจ้าไว้ ต่อมาเมื่อพวกเราต้องการจะออกไป ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ความจริงท่านได้กล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าจะต้องสอนท่านจริงๆ ถึงซูเราะห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอัลกุรอาน ท่านได้กล่าวว่า อัลฮัมดุ ลิลลาฮิ รอบบิล อาละมีน คือ เจ็ดอายะห์ที่ ถูกอ่าน อยู่เสมอ และคืออัลกุรอานที่ยิ่งใหญ่ซึ่งได้ประทานแก่ข้าพเจ้า

รายงานโดย บุคอรี

อะบุดาวูด และติรมืชี ได้รายงานเพิ่มเติมว่า  สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของ พระองค์ว่า ไม่เคยได้ถูกประทานลงในคัมภีร์เตารอต ในคัมภีร์อัลอินญีล ในคัมภีร์ซะบูร และในอัลฟุรกอนเหมือนกับซูเราะห์อัลฟาติฮะห์ เพราะความจริงมันเป็นเจ็ดอายะห์ที่ถูกอ่านอยู่เสมอ และเป็นอัลกุรอานที่ยิ่งใหญ่ซึ่งถูกประทานแก่ข้าพเจ้า

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อัลฮัมดุลิลลาฮิรอบบิลอาละมีน เป็นแม่บทของอัลกุรอาน เป็นแม่บทของคัมภีร์และเป็นเจ็ดอายะห์ที่ถูกอ่านอยู่เสมอ

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก อิบนิ อับบาส  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ขณะที่ญิบรีลนั่งอยู่ที่ท่านนบี ซ.ล.  เขา ได้ยินเสียงเปิดประตูดังมาจากเบื้องบน จึงเงยหัวขนไป และกล่าวว่า นี่คือประตูฟ้าประตูหนึ่งถูกเปิดออกในวันนี้ ซึ่งไม่เคยถูกเปิดมาก่อนเลย นอกจากวันนี้ และมีมะลาอิกะห์ท่านหนึ่ง ลงมาจากประตูนั้น ญิบรีลได้กล่าวว่า นี่คือมะลาอิกะห์ใต้ลงมาสู่พื้นดิน ซึ่งไม่เคยลงมาเลย นอกจากในวันนี้ ต่อมามะลาอิกะห์นั้นได้กล่าวสลามและกล่าวว่า จงรับข่าวดีด้วยสองรัศมีเถิด ซึ่งมันได้ถูกมอบให้ท่าน โดยที่มันทั้งสองยังไม่เคยถูกมอบแก่นบีท่านใดก่อนท่านเลย นั่นคือ ฟาติฮะห์ และอายะห์ต่าง ๆ ในตอนท้ายของซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์ ท่านจะไม่ได้อ่านอักษร หนึ่งจากทั้งสองนั้น นอกจากท่านจะได้รับผลบุญตอบแทนในอักษรนั้น ๆ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจาก อะบี อุมามะห์ อัลบาฮิลีย์  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลาย จงอ่านอัลกุรอาน เพราะแท้จริงในวันกียามะห์นั้น อัลกุรอานจะมาเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือแก่ ผู้ที่เป็นเจ้าของอัลกุรอาน[30] ท่านทั้งหลายจงอ่านสองซูเราะห์ที่ส่องสว่าง คือ อัลบะกอเราะห์ กับอาลิอิมรอน เพราะความจริงทั้งสองซูเราะห์นี้จะมาในวันกิยามะห์ มีสภาพเหมือนก้อนเมฆ สองก้อน หรือเหมือนร่มสองร่ม หรือเหมือนฝูงนกสองฝูงที่กางปีกปกป้องผู้เป็นเจ้าของทั้งสอง ซูเราะห์นั้น ท่านทั้งหลายจงอ่านซูเราะห์บะกอเราะห์ เพราะความจริงการเอาซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ไว้เป็นสิริมงคล การละเลยซูเราะห์อัลบะกอเราะห์เป็นความขาดทุน และพวกที่ทำคุณไสย จะไม่สามารถเอาชนะมันได้[31]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี

และในบางรายงานว่า อัลกุรอานจะถูกนำมาในวันกิยามะห์ พร้อมด้วยชาวอัลยุรอาน ซึ่งได้ปฏิบัติตามอัลๆรอาน โดยมีซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์ และอาลีอิมรอน นำหน้าอัลกุรอานมา ท่านเราะซูลุลลอฮ์   ซ.ล.  ได้เปรียบ ซูเราะห์ทั้งสองไว้สามแบบ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยลืมเลย หลังจากนั้น ท่านได้กล่าวว่า ความจริงทั้งสองซูเราะห์นั้นเหมือนเมฆ จนจบหะดีษ

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์   ซ.ล.  ได้ส่งบุคคล คณะหนึ่งมีหลายคน ท่านได้ขอให้พวกเขาอ่านอัลกุรอาน ทุกคนจึงได้อ่านสิ่งที่ตนจดจำได้จาก อัลกุรอาน ต่อมาท่านได้มาถึงชายคนหนึ่ง ที่มือายุน้อยที่สุดในบุคคลคณะนั้น ท่านได้กล่าว ขึ้นว่า  ท่านจำอะไรได้บ้าง โอ้คนนั้น คนนี้ (พร้อมระบุชื่อ)  ชายผู้นั้นตอบว่า  ข้าพเจ้าจดจำนั่น จำนี่ได้ และซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ ท่านนบีได้ถามว่า ท่านจำซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์ได้หรือ ชายผู้นั้นตอบว่า  ครับ ท่านนบีกล่าวว่า จงไปเถิด ท่านเป็นผู้นำคณะ ชายคนหนึ่ง จากคนที่มีเกียรติของคณะนั้น ได้กล่าวขึ้นว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ไม่มีสิ่งใดยับยั้งข้าพเจ้ามิให้ศึกษาซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ นอกจากกลัวว่า จะไม่สามารถปฏิบัติ ตามมันได้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  จึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงศึกษาอัลกุรอานเถิดจง อ่านอัลอุรอาน และจงให้อ่านเถิดเพราะความจริงถ้าจะเปรียบอัลกุรอานกับผู้ที่ศึกษาอัลกุรอาน พร้อมทั้งอ่านอัลกุรอานและปฏิบัติตามอัลกุรอานก็เหมือนกับกระสอบที่ถูกยัดด้วยชะมดเชียง ซึ่งกลิ่นของมันจะฟุ้งไปชั่วทุกแห่ง และเปรียบผู้ที่ได้ศึกษาอัลกุรอาน และนอนหลับโดยมีอัลกุรอานอยู่ในท้องของเขาก็เหมือนกับกระสอบใส่ชะมดเชียงที่ถูกผูกปากไว้

และเล่าจาก อะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายอย่า ทำให้บ้านของพวกท่านเป็นสุสานที่ฝังศพ และความจริงบ้านที่มีการอ่านซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ในบ้านหลังนั้น ชัยฏอนจะไม่เข้าไป

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

ความประเสริฐของอายะห์อัลกุรซีย์ และอายะห์ท้าย ๆ ของซูเราะห์อัลบะกอเราะห์[32]

เล่าจากอุบัยย์ บิน  กะอับ  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่าโอ้อะบัลมุนซิร ท่านทราบไหมว่า อายะห์ใดจากคัมภีร์ของอัลลอฮ์ที่ท่านจดจำได้ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาตอบว่า อัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ทราบดี ท่านกล่าวว่า  โอ้อะบัลมุนซิร ท่านทราบไหมว่า อายะห์ใดจากคัมภีร์ของอัลเลาะห์ที่ท่านจดจำได้ยิ่งใหญ่ที่สุด เขา (ผู้เล่า) กล่าวว่า  ข้าพเจ้าจึงตอบว่า คืออายะห์ที่ (มีความหมายว่า) “พระองค์อัลเลาะห์นั้น ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจาก พระองค์ ผู้ทรงมีชีวิต ผู้ทรงดำรงด้วยพระองค์เอง” เขาได้กล่าวว่า  ท่านนบีได้ตบอกของ ข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า วิชาการจะอำนวยความสะดวกแก่ท่าน โอ้อะบัลมุนซิร

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอะบี อัยยูบ อัลอันซอรี  ร.ฎ.  ว่า เขามียุ้งหลังหนึ่ง เก็บอินทผลัมไว้ และ ปรากฏมีญินชนิดหนึ่งมาเอาอินทผลัมไป เขาจึงไปร้องเรียนต่อท่านนบี  ซ.ล.  ท่านนบีได้กล่าวว่า  จงไปเถิด ถ้าหากท่านเห็นมันให้ท่านจงกล่าวว่า ในนามของอัลเลาะห์ เจ้าจงตอบรับ (คำ เรียกร้องของ) เราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  เขาได้เล่าว่า  ต่อมาเขาจับมันได้ และมันได้สาบานว่า จะไม่กลับมาอีกเขาจึงได้ปล่อยมันไป                                                     จากนั้น เขาได้มาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ท่านได้ถามว่าเชลยของท่านได้กระทำอะไร เขาตอบว่า มันสาบานว่าจะไม่กลับมาอีก ท่านกล่าวว่ามันโกหก มันเคยชินกับการโกหก เขาเล่าว่า ต่อมาเขาก็จับมันได้อีกครั้งหนึ่ง มันได้สาบาน ว่าจะไม่กลับมาอีก เขาจึงได้ปล่อยมัน และต่อมาเขาได้ไปหาท่านนบี ซ.ล.       ท่านถามว่าเชลยของท่านได้กระทำอะไร เขาตอบว่า  มันสาบานว่า จะไม่กลับมาอีก ท่านกล่าวว่า มันโกหก มันเคยชินกับการโกหก หลังจากนั้นเขาก็จับมันได้อีก เขาจึงกล่าวว่า  ข้าฯ จะไม่ ปล่อยตัวเจ้าจนกว่าจะนำตัวเจ้าไปหาท่านนบี  ซ.ล. ญินตนนั้นจึงได้กล่าวว่า ข้าฯ นึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ จะเป็นประโยชน์แกเจ้า คือ อายะห์อัลกุรซี เจ้าจงอ่านอายะห์กุรซี ในบ้านของเจ้า จะไม่มีชัยฏอนใดและนอกจากชัยฏอน (ทีจะเป็นอันตรายแก่เจ้า) เข้าใกล้เจ้า ต่อมาเขา ได้มาหาท่านนบี  ซ.ล.  ท่านได้ถามว่า เชลยของท่านได้กระทำอะไร  เขาจึงได้บอกแก่ท่าน ตามที่มันพูด ท่านได้กล่าวว่ามันพูดจริงทั้งที่เป็นจอมโกหก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่าทุกสิ่งมจุดสุดยอด และสุดยอดของอัลกุรอาน คือ ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ และในซูเราะห์นั้น มือายะห์หนึ่งที่เป็น ผู้นำแห่งบรรดาอายะห์ของอัลกุรอาน นันคืออายะห์อัลกุรซี

และเล่าจาก อะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้อ่านฮามีม อัลมุอฺมิน[33] จนถึงอิลัยฮิ้ลมะอีร และอายะห์อัลกุรซี ขณะรุ่งเช้าเขาจะได้รับการคุ้มครอง ด้วยทั้งสองนั้น จนถึงเวลาเย็น และผู้ใดอ่านทั้งสองนั้น ในเวลาเย็น เขาก็จะได้รับการคุ้มครองด้วยบังสองนั้น จนถึงรุ่งเช้า

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ฎออีฟ

   เล่าจากอะบีมัสอูด  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  สองอายะห์จากท้ายซูเราะห์

อัลบะกอเราะห์[34] ผู้ใดได้อ่านอายะห์ทั้งสองในคืนหนึ่งกเพียงพอแก่เขาแล้ว 

   รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

   เล่าจากอันนัวะอุมาน บิน บะซีร  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  แท้จริงอัลเลาะห์ได้เขียนคัมภีร์เล่มหนึ่ง[35]ก่อนจะสร้างฟ้า และแผ่นดินเป็นเวลาสองพันปี พระองค์ ได้ประทานลงมาจากคัมภีร์เล่มนั้นสองอายะห์ ที่จบซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์ด้วยสองอายะห์ นั้น ทั้งสองอายะห์จะไม่ถูกอ่านในบ้านหลังหนึ่งสามคืนโดยชัยฏอนยังจะเข้าใกล้บ้านหลังนั้นอีก

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

ความประเสริฐของซูเราะห์ อัลอิสรออและอัซซูมัร

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล.  จะยังไม่นอนจนกว่า จะได้อ่านซูเราะห์อัซซุมัร และบะนีอิสรออีล[36]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี 

ความประเสริฐของซูเราะห์อัลกะห์ฟิ

เล่าจาก อะบีอัดดัรดาอฺ  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  ผู้ใดท่องจำสิบอายะห์ จากต้นซูเราะห์อัลกะห์ฟิ เขาจะถูกคุ้มครองให้พ้นจากดัจญาล[37]

รายงานโดย มุสลิม อะบุดาวูด และติรมีซี

และตัวบทของติรมีซีว่า  ผู้ใดอ่านสามอายะห์จากต้นซูเราะห์ อัลกะห์ฟิ เขาจะถูก คุ้มครองจากความชั่วร้ายของ ดัจญาล
และในบางรายงานว่า ผู้ใดท่องจำจากอายะห์ท้ายของซูเราะห์อัลกะห์ฟิ เขาจะถูกคุ้มครองจากดัจญาล

เล่าจากอะบีสะอีด  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้อ่านซูเราะห์อัลกะห์ฟิ ในวันศุกร์        รัศมีจะให้ความสว่างแก่เขาต่อสิ่งที่อยู่ระหว่างสองวันศุกร์

และในบางฉบับว่า รัศมีจะสว่างแก่เขา ต่อสิ่งที่อยู่ระหว่างเขากับบ้ยคุ้ลอะตึก ราแทนโm ตากนแลรปนแรก

ความประเสริฐของซูเราะห์ ยาชีน และอัดดุคอน

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงทุกสิ่งมีหัวใจ และหัวใจของอัลกุรอาน คือ ยาซีนและผู้ใดอ่านยาซีน อัลเลาะห์ได้บันทึกแก่เขาด้วยการอ่านยาซีน นั้นเท่ากับได้อ่าน อัลกุรอานสิบจบ[38]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และบัยหะกี

เล่าจากมะอฺกิล บิน  ยะซาร  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  หัวใจของอัลกุรอาน คือยาซีน จะไม่มีชายใดที่อ่านยาชีน โดยมุ่งหวังต่ออัลเลาะห์ และภพสุดท้ายนอกจากอัลเลาะห์ ได้อภัยแก่เขา จงอ่านยาซีนเหนือคนใกล้ตายของพวกท่าน[39]

รายงานหะดีษโดย อะห์มัด และบัยหะกี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่าผู้ใดอ่านยาซีนในคืน หนึ่ง โดยมุ่งสู่อัลเลาะห์เขาจะถูกอภัยให้[40]

รายงานหะดีษโดย มาลิก และบัยหะกี

และเล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  ผู้ใดได้อ่านฮามีม อัดดุคอน ในคืนวันหนึ่ง รุ่งเช้าขึ้นมาจะมีมะลาอีกะห์จำนวนเจ็ดหมื่นขออภัยให้เขา

รายงานโดย ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้อ่านฮามีม อัดตุคอน ในคืนวันศุกร์ เขาจะถูกอภัยให้ 

รายงานโดย ติรมิซี

และตัวบทของตอบรอนีว่า  ผู้ใดได้อ่านฮามีม อัดดุคอน ในคืนวันศุกร์ หรือวันศุกร์ อัลเลาะห์ จะสร้างบ้านให้เขาหลังหนึ่งในสวรรค์

ความประเสริฐของซูเราะห์ อัลฟัตฮ์

เล่าจากอุมัร  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  ความจริงมีซูเราะห์หนึ่งถูกประทาน ลงมายังข้าพเจ้าในคืนนี้ มันเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ารักยิ่งกว่า สิ่งที่ตะวันขึ้นมาสัมผัสมันทั้งหมด หลังจากนั้นท่านได้อ่าน อินนา ฟะตะห์นาละกะ ฟัตฮันมุบีนา”

รายงานโดย บุคอรี ในเรื่องนี้

และมุสลิมในเรื่องอัลฮุดัยบียะห์ และตัวบทของมุสลิมว่า  ความจริงมือายะห์หนึ่งถูกประทานลงมา ยังข้าพเจ้า มันเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ารักยิ่งกว่าโลกดุนยาทั้งหมด

ความประเสริฐของอัลมุซับบิฮาต[41] และซูเราะห์อัลฮัชร์

เล่าจากอิรบาด บิน ชาริยะห์  ร.ฎ.  ว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล.  เคยอ่านอัลมุซับบิฮาต ก่อนที่ท่านจะนอน และท่านกล่าวว่า  ความจริงใน อัลมุซับบิฮาต นั้น มือายะห์หนึ่ง ที่มีความดี ยิ่งกว่าหนึ่งพันอายะห์[42]

เล่าจาก มะอฺกิล บิน ยะชาร  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้กล่าว ขณะรุ่งเช้าสามครั้งว่า “อะอูซุบิลลาห์ อัชชะเมียะอฺ อัลอะลีม มินัชชัยฏอนิรรอญีม ” และ ได้อ่านสามอายะห์ จากท้ายของซูเราะห์59อัลฮัชร์ อัลเลาะห์จะมอบหมายด้วยการอ่านนั้น ให้ มะลาอิกะห์จำนวนเจ็ดหมื่น ขอพรให้แก่เขา จนถึงเวลาเย็น และถ้าหากเขาเสียชีวิตในวันนั้น เขาก็เป็นชะฮีด และผู้ใดได้อ่านมันในเวลาเย็น เขาก็อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

กล่องข้อความ: *ความประเสริฐของซูเราะห์ อัลมุลก์

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ซูเราะห์หนึ่งจาก อัลกุรอาน มีสามสิบอายะห์ จะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่จำมันได้ จนกว่าผู้นั้นจะถูกอภัยให้ นั่นคือ “ตะบารอกัลป์ ละซี บิยะดิฮิลมุลก์ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  มีอัครสาวกของท่านนบี  ซ.ล.  บางท่านได้ ตั้งกระโจมที่พักของเขาลงบนหลุมฝังศพโดยเขาไม่รู้ และโดยบังเอิญ ณ ที่นั่น มีชายคนหนึ่ง กำลังอ่านซูเราะห์ “ตะบารอกัลละซี บิยะดิฮิลมุลก์” จนจบ ต่อมาอัครสาวก ท่านนั้นได้มาหา ท่านนบี  ซ.ล.  แล้วกล่าวว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ข้าพเจ้าได้ตั้งกระโจมที่พักลงบนหลุมศพ แห่งหนึ่ง บังเอิญมีคนๆ หนึ่งกำลังอ่านซูเราะห์ “ตะบารอกะ จนจบ ท่านเราะซูลุลลอฮ์   ซ.ล.  ได้กล่าวว่า มันเป็นซูเราะห์ ที่จะยับยั้ง[43] เป็นซูเราะห์ที่จะทำให้หลุดพ้นจากโทษทัณฑ์ ของหลุมฝังศพ

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ.  ว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล.  ไม่เคยนอนจนกว่าจะอ่าน อะลีฟลามมีม ตันซิล และตะบารอ กัลละซี บิยะดิฮิลมุลก์ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

ความประเสริฐของซูเราะห์ อัซซิลซิละห์ อัลกาฟิรูน และอันนัสร์

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้อ่าน “อิซาซูลซิลัต” เท่า กับเขาได้ครึ่งหนึ่งของอัลกุรอาน” และผู้ใดอ่าน “กุลยาอัยยุฮั้ลกาฟิรูน” เท่ากับเขาได้หนึ่งในสี่ ของอัลกุรอาน และผู้ใดอ่าน “กุลฮุวั้ลลอฮุอะฮัด” เท่ากับเขาได้หนึ่งในสามของอัลกุรอาน[44]

และเล่าจาก อะนัส ว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวแก่ชายผู้หนึ่งจากอัครสาวกของท่านว่า  ท่านแต่งงานแล้วหรือ โอ้คนนั้นคนนี้ (พร้อมระบุชื่อ) เขาตอบว่า  ยังไม่ได้แต่งงาน ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  และข้าพเจ้าก็ไม่มีสิ่งที่จะทำให้ข้าพเจ้าสามารถแต่งงานได้ ท่านถามว่า  ท่านไม่จำ “กุลฮุวั้ลลอฮุอะฮัด” หรือ เขาตอบว่า  หามิได้ ท่านกล่าวว่า  มันเท่ากับหนึ่งในสามของอัลกุรอาน ท่านถามว่า  ท่านไม่จำ “อิดายา อะนัสรุ้ลลอฮิวัล ฟัตฮ์” เขาตอบว่า หามิได้ ท่านกล่าวว่าะมันเท่ากับหนึ่งในสี่ของอัลกุรอานท่านถามว่า ท่านไม่จำ “กุลยา อัยยุฮัล กาฟิรูน” เขาตอบว่า หามิได้ ท่านกล่าวว่า มันเท่ากับหนึ่งในสี่ของอัลกุรอาน ท่านถามว่า ท่านไม่จำ อิซาซุ้ลซิลัต หรือ เขาตอบว่า  หามิได้ ท่าน กล่าวว่า มันเท่ากับหนึ่งในสี่ของอัลกุรอาน ท่านจงแต่งงาน ท่านจงแต่งงาน [45]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

ความประเสริฐของ “กุลหุวัลลอฮุ อะฮัด"

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ว่าแท้จริงชายคนหนึ่งได้ยินชายอีกคนหนึ่งกำลังอ่านกุ้ลฮุวัลลอฮุอะฮัด” ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก เมื่อรุ่งเช้า เขาได้ไปหาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  แล้วเล่าเรื่อง นั้นให้ท่านทราบ คถ้ายกับชายคนนั้นต้องการให้อ่านน้อยลงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า ความจริงมันเท่ากับ หนึ่งในสามของอัลกุรอาน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจาก อะบี อัดดัรดาอฺ  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า คนหนึ่งจากพวกท่าน อ่อนแอหรือจากการที่จะอ่านหนึ่งในสามของอัลกุรอาน ภายในคืนหนึ่งพวกเขากล่าวว่า  เขาจะอ่านอย่างไรภายในคืนเดียวถึงหนึ่งในสามของอัลกุรอาน ท่านกล่าวว่า “กุลฮุวัลลอฮุอะฮัด” เท่ากับหนึ่งในสามของอัลกุรอาน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า พวกท่านจงมาร่วม ชุมนุมกัน ข้าพเจ้าจะอ่านหนึ่งในสามของอัลกุรอานให้พวกท่านฟัง ผู้คนเท่าที่มีจึงได้มาร่วม ชุมนุมกัน จากนั้นท่านนบี . ซ.ล.  จึงได้ออกมาและได้อ่าน “กุ้ลฮุวัลลอฮุอะฮัด” หลังจากนั้น ท่านได้เข้าไปในบ้าน พวกเราบางคนได้กล่าวแก่กันว่า ความจริงข้าพเจ้าพบว่าสิ่งนี้ คือ ข่าวที่มา สู่ท่านจากเบื้องบน นั่นแหละเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านเข้าไป (ในบ้าน) หลังจากนั้น นบีของอัลเลาะห์  ซ.ล.  ได้กลับออกมาแล้วกล่าวว่า  ความจริงข้าพเจ้าได้กล่าวแก่พวกท่านแล้วว่า จะอ่านหนึ่ง ในสามของอัลกุรอาน ให้พวกท่านพึง พึงทราบเกิดว่า ความจริงมัน (กุ้ลฮุวัลลอฮุอะฮัด) เท่ากับ หนึ่งในสามของอัลกุรอาน 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี 

และท่านนบี ซ.ล.  ได้ส่งชายคนหนึ่ง เป็นหัวหน้านำกองทหารออกไป เขาจะอ่านให้ แก่มิตรสหายของเขาในละหมาดและจะลงท้ายด้วย “กุ้ลฮุวัลลอฮุอะฮัด” เมื่อพวกเขากลับมา ได้มีผู้นำเรื่องนั้นไปเล่าให้ท่านนบี ซ.ล.  ฟัง ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงไปตามเขา เพราะเหตุใด เขาจึงทำเช่นนั้น พวกเขาจึงได้ไปตามชายผู้นั้น เขาได้ตอบว่า  เพราะความจริงมันเป็น คุณลักษณะของพระผู้ทรงเมตตา ข้าพเจ้ารักที่จะอ่านมัน ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า จงบอกเขาเกิดว่า แท้จริงอัลเลาะห์ทรงรักเขา 

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  มีชายคนหนึ่งจากชาวอันซอรเคยนำพวกเขาละหมาด อยู่ในมัสญิดกุบาอฺ และทุกครั้งที่เขานำพวกเขาในละหมาด เขาจะอ่าน “กุ้ลฮุวั้ลลอฮุอะฮัด หลัง จากนั้นเขาจะอ่านซูเราะห์อื่นควบกับ “กุ้ลฮุวั้ลลอฮุอะฮัด” และเขาจะทำเช่นนั้นในทุกเราะกะอัต ต่อมามิตรสหายของเขาได้พูดกับเขาว่า  บางทีให้ท่านอ่าน “กุ้ลฮุวัลลอฮุอะฮัด” และบางทีให้ [46] ท่านทั้งมันและอ่านซูเราะห์อื่น ชายผู้นั้นทล่าวว่า  ข้าพเจ้าจะไม่ทั้งมัน ถ้าหากพวกท่านต้องการให้ข้าพเจ้านำพวกท่านละหมาดด้วย “กุ้ลฮวัลลอฮุอะฮัด” ข้าพเจ้าก็ยินดีปฏิบัติ และถ้าหากพวก ท่านรังเกียจ ข้าพเจ้าก็จะไม่นำพวกท่านละหมาด แต่พวกเขาก็เห็นว่าเขาเป็นคนที่ประเสริฐที่สุดของพวกเขา ต่อมาเมื่อท่านนบี ซ.ล.  มาหาพวกเขาจึงบอกเรื่องนั้นให้ท่านทราบ ท่านจึง กล่าวว่า โอ้ท่านสุภาพบุรุษ อะไรหรือที่ยับยั้งท่านไว้จากสิ่งที่มิตรสหายของท่านใช้ท่าน และอะไร หรือที่ทำให้ท่านอ่านซูเราะห์นี้ในทุกเราะกะอัต ชายผู้นั้นกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  แท้จริง ข้าพเจ้ารักมัน ท่านนบีได้กล่าวว่า “แท้จริงการรักมันจะทำให้ท่านได้เข้าสวรรค์”[47]

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้มาพร้อมกับท่านนบี ซ.ล.  ต่อมาท่านได้ยินผู้ชายคนหนึ่งกำลังอ่าน “กุ้ลฮุวั้ลลอฮุอะฮัด อัลลอฮุชชอมัด” ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า “แน่นอนแล้ว” ข้าพเจ้าถามว่า อะไรแน่นอน ท่านตอบว่าสวรรค์

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้อ่าน “กุ้ลฮุวั้ลลอฮุอะฮัด” สองร้อยครั้งทุกวัน บาปจะถูกลบออกจากเขาห้าสิบปีนอกจากเขาจะมีหนี้

รายงานฮะดีษทั้งสามโดยติรมีริ

เล่าจาก อะนัส จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  ผู้ใดได้อ่าน “กุ้ลฮุวั้ลลอฮุอะฮัด” สิบครั้ง อัลเลาะห์จะสร้างบ้านหลังหนึ่งแก่เขาในสวรรค์

รายงานหะดีษโดย อะห์มัด ด้วยสายรายงานที่หะซัน

เล่าจาก มุอาซ บิน  อับดิลลาห์ ร.ฎ. จากบิดาของเขาได้กล่าวว่า ฝนและความมืดได้ ประสพกับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงได้คอยท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  เพื่อให้ท่านละหมาดพร้อม กับพวกเขา ต่อมาท่านก็ได้ออกมาแล้วกล่าวว่า  จงอ่านเถิดข้าพเจ้าถามว่า  ข้าพเจ้าจะอ่าน อะไร ท่านตอบว่า  “กุ้ลฮุวั้ลลอฮุอะฮัด” และ “อัลมุเอาวิชะตัยน์” ในเวลาเย็นและเวลาเช้า สามครั้งจะคุ้มครองท่านได้ทุกสิ่ง[48]

ราIหานโดย น่าขาอในเ7mการขอป้อพน

ความประเสริฐของ “อัลมุเอาวิซะตัยน์”[49]

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  เมื่อท่านป่วย ท่านจะ อ่าน “อัลมุเอาวิซะตัยน์” เอง และเป่า เมื่อท่านเจ็บหนัก ข้าพเจ้าอ่านให้ท่าน และเอามือของ ท่านลูบ โดยหวังในความมีสิริมงคลจากมือของท่าน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบูดาวูด

และเล่าจากอาอิชะห์ ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  เมื่อท่านเข้าสู่ที่นอนของท่านทุกคืน ท่านได้ป้องมือทั้งสองข้างของท่านแล้วเป่าลงไป จากนั้นท่านก็อ่าน “กุลฮุรัลลอฮุอะฮัด และ “กุ้ลอะอูชุบิรอบบิ้ลฟะลัก” และ “กุ้ลอะอูชุบิรอบบิลนาส” ลงในมือทั้งสอง หลังจากนันท่าน จะเอามือทั้งสองข้างลูบตามตัวเท่าที่จะสามารถ (ลูบได้) โดยเอามือทั้งสองข้างเริ่มที่หัวที่ใบหน้าและตามตัว ท่านจะกระทำเช่นนั้นสามครั้ง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากอุกบะห์ บิน  อามิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านไม่เห็นหรือ มีหลายอายะห์ที่ได้ถูกประทานลงมายังข้าพเจ้าในคืนซึ่งไม่เคยพบว่าเสมอเหมือนกับมันเลย นั้นคือ “กุลอะอูซุบิรอบบิล ฟะลัก” และ “กุ้ลอะอูซุบิรอบบิล นาส 

และเล่าจาก อุกบะห์ ได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเคยจูงอูฐให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ในการเดินทาง ท่านได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า โอ้อุกบะห์ ข้าพเจ้าจะสอนให้ท่านสองซูเราะห์ ซึงดีที่สุด ที่จะถูกอ่าน ต่อมาท่านก็ได้สอนให้ข้าพเจ้าอ่าน “กุ้ลอะอูชุ บิรอบบิลฟะลัก” และ “กุล อะอูชุบิรอบบิ้ลนาส”

และเล่าจาก อุกบะห์ ได้กล่าวว่า ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินอยู่กับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ระหว่าง อัลยัวะห์ฟะห์ กับ อัลอับวาอุ[50] ทันใดนั้นก็มีพายุและความมืดมิดเข้าปกคลุมเรา ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้เริ่มขอป้องกันด้วย “อัลมุเอาวิซะตัยน์” และกล่าวว่า โอ้ อุกบะห์ เจ้าจงขอป้องกันด้วยมันทั้งสอง ไม่มีผู้ใดที่ขอรับการป้องกันจะได้รับการป้องกันด้วยกับทั้งสองนี้ อุกบะห์ได้กล่าวว่า และข้าพเจ้าไดิยินท่านนำพวกเราด้วยมันทั้งสองในละพมาด 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

และเล่าจาก อุกบะห์ ได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้ใช้ให้ข้าพเจ้าอ่าน “อัลมุเอาวิซะตัยน์” ในทุกๆ หลังละหมาด 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

บทที่สี่

ผู้ที่รายงานอัลกุรอาน และ รายงานต่างๆ ของอัลกุรอาน

เล่าจากกอตาดะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ถามอะนัส บิน มาลิกว่า ใครเป็นผู้รวบรวมอัลกุรอานในสมัยท่านนบี ซ.ล.  เขาตอบว่า  มีสี่คน ทั้งหมดนั้นเป็นชาวอันชอร์ คือ อุบัยย์ บิน กะอับ มุอาช บิน  ยะบัล เซด บิน  ซาบิต และ อะบูเซด[51]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี 

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  เสียชีวิตโดยที่ยังไม่มีใครรวบรวม อัลกุรอานนอกจากสี่คนคือ อะบูอัดตัรดาอุ มุอาช บิน ยะบัล เซด บิน  ซาบิต และ อะบุเซด อะบู อัดอัรดาอุได้กล่าวว่า และพวกเราได้รับมรดกอัลกุรอาน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี 

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  สาบานต่ออัลเลาะห์ ซึ่งไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้ นอกจากพระองค์ว่า ไม่มีซูเราะห์ใดจากคัมภีร์ของอัลเลาะห์ได้ถูกประทานลงมา นอกจากข้าพ เจ้าต้องรู้ว่า ลงมาที่ไหน และไม่มือายะห์ใดจากคัมภีร์ของอัลเลาะห์ที่ถูกประทานลงมา นอกจาก ข้าพเจ้าต้องทราบว่าถูกประทานลงมาในเรื่องอะไร และถ้าหากข้าพเจ้าทราบว่า ใครมีความรู้มากกว่าข้าพเจ้า ในคัมภีร์ของอัลเลาะห์ ที่อูฐจะสามารถนำข้าพเจ้าไปถึงได้ ข้าพเจ้าจะต้องเดินทางไปหาเขา

และเล่าจาก อับดิลลาห์ ได้กล่าวว่า “สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้าได้เอามาจาก ปากของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  มากกว่าเจ็ดสิบซูเราะห์ และสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า แท้จริง บรรดาอัครสาวกของท่านนบี ซ.ล.  รู้ดีว่า ข้าพเจ้ามีความรู้ที่สุดในหมู่พวกเขาในเรื่องคัมภีร์ของอัลเลาะห์ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่เป็นคนดีที่สุดในหมู่พวกเขา ชะกีกได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าไม่ได้ยินว่า มีผู้ใดคัดค้านเขาในเรื่องนี้

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี ในเรื่องความประเสรัฐต่างๆ ซึ่ง รายงานโดยมุสลิม

อัลกุรอานลงมามีเจ็ดการอ่าน [52]

เล่าจากอิบนิอับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  ญิบรีลได้อ่านให้ข้าพเจ้า ฟังแนวทางเดียว ข้าพเจ้าจึงได้ติดต่อกับญิบรีล และ ขอเพิ่มเติมอยู่เรื่อย ๆ และญิบรีลก็เพิ่มให้ ข้าพเจ้าจนถึงเจ็ดแนวทาง[53]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอุมัร บิน  อัลค๊อตต๊อบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินฮิชาม บิน ฮะกีม กำลังอ่านซูเราะห์อัลฟุรกอน ไม่เหมือนกับที่ข้าพเจ้าอ่าน โดยที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์เคยอ่านให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าเกือบจะเข้าไปโต้เถียงกับเขา แต่ข้าพเจ้าก็ปล่อยเขาจนเมื่อเขาเสร็จ (ละหมาด) ข้าพเจ้า จึงได้รวบตัวเขาด้วยผ้าห่มของเขา ข้าพเจ้าได้นำตัวเขาไปหาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ข้าพเจ้าได้ กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  แท้จริงข้าพเจ้าได้ยินชายคนนี้อ่านซูเราะห์อัลฟุรกอนไม่เหมือนกับ ที่ท่านอ่านให้ข้าพเจ้าฟัง ท่านได้กล่าวว่า  จงปล่อยตัวเขา โอัฮิชาม จงอ่านเถิด เขาได้อ่านตาม ที่ข้าพเจ้าได้ยิน ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวอย่างนี้แหละที่ถูกประทานลงมา หลังจากนั้น ท่านได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า  จงอ่าน ข้าพเจ้าจึงอ่าน เสร็จแล้วท่านก็กล่าวว่า  อย่างนี้แหละ ที่ถูกประทานลงมา แท้จริงอัลกุรอานนี้ถูกประทานลงมามีเจ็ดแนวทาง ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงอ่านตามแต่จะสะดวกเถิด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอุบัยย์ บิน  กะอับ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้ปรากฏตัวอยู่ที่บ่อน้ำของ ตระกูล ฆิฟาร ญิบรีล อ.ล.  ได้มาหาท่าน แล้วกล่าวว่า  แท้จริงอัลเลาะห์ทรงบัญชาท่านให้ บรรดาประชากรของท่านอ่านอัลกุรอาน แนวทางเดียว ท่านนบีได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้วิงวอน อัลเลาะห์ ขอการยกเว้นไม่เอาผิด และขอความอภัยของพระองค์ และแท้จริงประชากรของข้าพเจ้า ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ หลังจากนั้นญิบรีลได้มาหาท่านอีกเป็นครั้งที่สอง แล้วกล่าวว่า แท้จริง อัลเลาะห์ได้ทรงบัญชาท่านให้ประชากรของท่านอ่านอัลกุรอานสองแนวทาง ท่านได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้วิงวอนอัลเลาะห์ขอการยกเว้นไม่เอาผิด และขอความอภัยของพระองค์ และแท้จริง ประชากรของข้าพเจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ หลังจากนั้นญิบรีลก็ได้มาหาท่านอีกเป็นครั้งที่สาม แล้วกล่าวว่า  แท้จริงอัลเลาะห์ฑรงบัญชาท่านให้ประชากรของท่านอ่านอัลกุรอาน สามแนวทาง ท่านได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าวิงวอนอัลเลาะห์ขอการยกเว้นไม่เอาผิดและขอความอภัยของพระองค์ และแท้จริงประชากรของข้าพเจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ หลังจากนั้นญิบรีลได้มาหาท่านอีกเป็น ครั้งที่สี่แท้จริงอัลเลาะห์ทรงบัญชาท่านให้ประชากรของท่านอ่านอัลกุรอานเจ็ดแนวทาง ดังนั้น แนวทางใดที่พวกเขาได้อ่าน ก็ถือว่าพวกเขาอ่านถูกต้อง 

รายงานโดย มุสลิม อบูดาวูด และติรมิซี 
และตัวบทของติมีซีว่า  โอ้ ญิบรีลความจริงข้าพเจ้าถูกแต่งตั้งมายังประชากรที่ไม่รู้หนังสือ ซึ่ง มีคนทุพพลภาพ คนชรา เด็ก ผู้หญิง และผู้ชายที่อ่านหนังสือไม่ออกเลย ญิบรีล ได้กล่าวว่าโอ้มุฮัมมัด แท้จริงอัลกุรอานได้ถูกประทานลงมาเจ็ดแนวทาง

และเล่าจาก อุบัยย์ ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าอยู่ในมัสญิด ต่อมามีชายคนหนึงเข้ามาละ หมาด เขาอ่านด้วยการอ่านที่ข้าพเจ้าไม่อาจยอมรับเขาได้ ต่อมาก็มีอีกคนหนึ่งเข้ามา เขาอ่านด้วย การอ่านที่ต่างกับการอ่านของเพื่อนของเขา เมื่อเขาทั้งสองเสร็จละหมาด พวกเราทั้งหมดได้เข้าไป หาท่านนบี ซ.ล.  ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า  ชายคนนี้ได้อ่านด้วยการอ่านที่ข้าพเจ้าไม่อาจยอมรับเขาได้ และคนนี้ก็เข้ามาและได้อ่านต่างกับการอ่านของเพื่อนเขา ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  จึงได้ใช้คน ทั้งสอง เขาทั้งสองได้อ่าน และท่านนบี ซ.ล.  ก็ได้ชมเชยสภาพของเขาทั้งสองว่า “ดี” มันจึงเกิดความแคลงใจที่จะกล่าวหาว่าโกหก ขึ้นภายในใจของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยคิดเช่นนั้น ในสมัย ญาฮิลียะห์[54] เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เห็นอาการที่ครอบงำข้าพเจ้าอยู่ ท่านจึงตบ อกของ ข้าพเจ้า เหงื่อจึงออกมาท่วมร่างของข้าพเจ้า และคถ้ายกับข้าพเจ้ากำลังมองดูอัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ และเกรียงไกรด้วยความกลัว[55] ท่านจึงกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่าโอ้ อุบัยย์ ทูตถูกส่งมายังข้าพเจ้าให้ อ่านอัลกุรอานแนวทางเดียว ข้าพเจ้าได้ต่อรองกับเขาขอให้ความสะดวกแก่ประชากรของข้าพเจ้า เขาได้ตอบข้าพเจ้าว่า ท่านจงอ่านอัลกุรอานสองแนวทาง ข้าพเจ้าได้ต่อรองกับเขาขอให้ความสะดวก แก่ประชากรของข้าพเจ้า เขาได้ตอบข้าพเจ้าในครั้งที่สามว่า ท่านจงอ่านอัลกุรอานเจ็ดแนวทาง และท่านจะมีสิทธิในคำขอที่ท่านจะขอมันต่อเรา เท่ากับจำนวนครั้งการต่อรองที่เราได้ตอบท่าน[56]ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า “ข้าแต่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดประทานอภัยแก่ประชากรของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้ประวิงคำขอที่สามไว้ เพื่อนำไปใช้วันหนึ่ง ซึ่งสรรพสิ่งต่างๆ ปรารถนามุ่งมาสู่ ข้าพเจ้าแม้แต่อิบรอฮีม ซ.ล. 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

บทสุดท้าย

การรวมอัลกุรอานในสมัยคอลิฟะห์ อัรรอชิดีน ร.ฎ. 

เล่าจากเซตบิน ซาบิต ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะบูบักร์ได้ส่งคนมาแจ้งข่าวให้ข้าพเจ้าทราบถึงการฆาตกรรมชาวยะมามะห์[57] บังเอิญขณะนั้นอุมัรบิน อัลค๊อตต๊อบ อยู่กับท่านอะบูบักร์ด้วย ต่อมาอะบูบักร์ได้กล่าวว่า  แท้จริงอุมัรได้มาหาข้าพเจ้า แล้วกล่าวว่า  ความจริงการฆ่านั้น รุนแรงมากในวันยะมามะห์ โดยเฉพาะต่อนักอ่านอัลกุรอาน และข้าพเจ้าเกรงว่า การฆ่ามันจะ ทวีความรุนแรงยึ่งขึ้นต่อนักอ่านคัมภีร์ในที่ต่างๆ อีก อันจะเป็นเหตุทำให้อัลกุรอานส่วนใหญ่สูญหายไป และข้าพเจ้าเห็นสมควรให้ท่านออกคำสั่งให้รวบรวมอัลกุรอาน ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่อุมัรว่า  ท่านจะกระทำอย่างไรกับสิ่งซึ่งท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ไม่เคยกระทำไว้ อุมัรได้กล่าวว่า  สิ่งนี้ สาบานต่ออัลเลาะห์ว่ามันเบินความดี และเขาก็ยังคงติดต่อกับข้าพเจ้าจนในที่สุด อัลเลาะห์ได้ เปิดหัวใจของข้าพเจ้าเพื่อการนั้น ข้าพเจ้ามีความเห็นเหมือนที่อุมัรมีความเห็น เชดได้เล่าว่า อะบูบักร์ได้กล่าวว่า  ความจริงท่านเป็นชายหนุ่มที่มีสติปัญญา[58] โดยเราจะไม่กล่าวหาท่าน เพราะ ความจริงท่านเคยเขียนวะฮีย์ ให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ดังนั้นท่านจงติดตามอัลกุรอานและ รวบรวมมัน สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ถ้าหากพวกเขาบังคับข้าพเจ้าให้เคลื่อนภูเขาถูกหนึ่งจากบรรดา ภูเขา มันก็ไม่เป็นภาระที่หนักหน่วงเหนือข้าพเจ้ายิ่งกว่าที่เขาใช้ให้ข้าพเจ้าให้รวบรวมอัลกุรอาน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า  พวกท่านจะทำอย่างไรต่อสิ่งที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ไม่ได้กระทำไว้ เขา กล่าวว่า  มันเป็นสิ่งที่ดี ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ และอะบูบักร์ยังคงติดต่อกับข้าพเจ้า จนในที่สุดอัลเลาะห์ได้เปิดหัวใจของข้าพเจ้า เพื่อสนองสิ่งที่พระองค์ได้เปิดหัวใจของอะบูบักร์ และ อุมัร ร.ฎ. แล้ว ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ติดตามหาอัลกุรอานเพื่อรวบรวมจากกาบอินทผลัม ก้อนหิน และจากความจำของผู้คน[59] จนข้าพเจ้าได้พบท้ายของซูเราะห์อัตเตาบะห์อยู่ที่อะบีคุซัยมะห์ อัลอันซอรี ซึ่งข้าพเจ้าไม่พบมันอยู่ที่ผู้ใดนอกจากเขา ซึ่งมีข้อความว่า “ละกอด ยาอะกุม รอซูลุน มินอันฟุซิกุม” สองอายะห์ ต่อมาแผ่นที่บันทึกอัลกุรอาน (ได้ถูกเก็บรักษา) อยู่กับอะบีบักร์ จนอัลเลาะห์ได้ให้เขาเสียชีวิตไป จึงได้ไปอยู่กับอุมัรตลอดอายุของเขา หลังจากนั้นก็ไปอยู่กับ ฮัฟเซาะห์ บุตรสาว ของอุมัร ร.ฎ. 

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าความจริงฮุซัยฟะห์ บิน  อัลยะมานได้เข้ามาหาอุษมาน ขณะที่เขากำลังทำศึกกับชาวชามในการปลดปล่อย อิรมีนิยะห์ และ อัซรอบียาน ร่วมกับชาวอีรัก[60]การขัดแย้งกันของพวกเขาในเรื่องการอ่านได้ทำให้ฮุซัยฟะห์ตกใจ[61] ฮุซัยฟะห์ จึงได้กล่าวแก่ อุษมานว่า โอ้ท่านผู้นำของเหล่าผู้ศรัทธา ท่านจงให้ความรู้แก่ประชาชาตินี้ก่อนที่พวกเขาจะ ขัดแย้งกันในพระคัมภีร์เหมือนที่พวกยะฮูดี และ นะซอรอ ขัดแย้งกัน ดังนั้น อุษมานจึงได้ส่งทูตไปยังฮัฟเซาะห์โดยแจ้งไปว่า ให้เธอส่งแผ่นบันทึกอัลกุรอานมายังเรา เพื่อเราจะได้คัดลอกลงเป็นเล่มๆ แล้วเราจะส่งคืนมันไปให้เธอ ต่อมาฮัฟเซาะห์ก็ได้ส่งแผ่นบันทึกอัลกุรอาน

ไปให้อุษมาน และ อุษมานก็ได้ใช้เซด บิน  ซาบิต อับดุลเลาะห์ บิน  อัซซุบัยร์ สะอีด บิน  อัลอาส และอับดุรเราะห์มาน บิน  อัลฮาริษ บิน  ฮิซาม พวกเขาได้คัดลอกแผ่นบันทึกเหล่านั้น ลงเป็นเล่มๆ อุษมานได้กล่าวแก่กลุ่มชาวกุเรซทั้งสามว่า เมื่อท่านทั้งหลายขัดแย้งกับ เชด บิน ซาบิต ในสิ่งใดจากอัลกุรอาน ให้ท่านทั้งหลายจงเขียนมันตามสำเนียงของชาวกุเรซ เพราะความจริง อัลกุรอานลงมาตามสำเนียงของพวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงได้ลงมือทำงาน จนเมื่อได้คัดลอกแผ่นบันทึกอัลกุรอานลงในหลายเล่ม แล้วอุษมานก็ได้ส่งแผ่นบันทึกคืนไปให้ฮัฟเชาะห์ และได้จัด การส่งอัลกุรอานที่รวมเป็นเล่มแล้วไปยังหัวเมืองต่าง ๆ จากที่พวกเขาได้คัดลอกมา และอุษมาน ได้มีคำสั่งให้เผาข้อความที่ไม่ใช่อัลกุรอานที่ปรากฏอยู่ในแผ่นบันทึกหรือที่รวมเป็นเล่มแล้ว เซต บิน ซาบิตได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าหาไม่พบหนึ่งอายะห์จากซูเราะห์อัลอะห์ซาบ ขณะที่พวกเรา ได้คัดลอกคัมภีร์ ทั้งที่ข้าพเจ้าเคยไดยิน ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  อ่านมัน พวกเราจึงได้ติดตาม ค้นหา และได้พบมันอยู่ที่ คุซัยมะห์ บิน ซาบิต อัลอันชอรี มีข้อความว่า “มินัล มุอฺมินีนะ ริยาลุน ซอดะลู มาอาหะคุ้ลลอหะ อะลัยฮิ” พวกเราจึงได้นำไปบรรจุไวในซูเราะห์ของมันในคัมภีร์

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี ติรมิซี 
และ ติรมิซีได้รายงานเพิ่มเติมว่า พวกเขาขัดแย้งกันในคำว่า “อัตตาบูต” กับคำว่า “อัตตาบุห์” พวกชาวกุเรชกล่าวว่า ตามคำแรก เซต บิน  ชาบิตกล่าวว่าคำที่สองพวกเขาจึงยกข้อขัดแย้งไปหาอุษมาน ต่อมาอุษมานได้กล่าวว่า  พวกท่านจงเขียนมันว่า “อัตตาบูต” เพราะมันลงมาตามสำเนียงของชาวกุเรช

ภาคอธิบายความหมายอัลกุรอาน

เตือนให้ระวังการอธิบายความหมายตามความเห็น

เล่าจาก ยุนดุบ บิน  อับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดกล่าวในคัมภีร์ของอัลเลาะห์ตามความเห็นของตนและถูกต้อง ก็ถือว่าเขาผิด 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า “ผู้ใดกล่าวในอัลกุรอานโดยไม่มีความรู้ ให้เขาสำรองที่นั่งของเขาจากขุมนรก[62]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

ตัวบทที่มีมาในซูเราะห์ อัลฟาติฮะห์

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ตะอาลาได้ กล่าวว่า เราได้แบ่งละหมาดระหว่างเรากับบ่าวของเราออกเป็นสองส่วน และบ่าวของเราจะได้รับตามที่เขาขอ ดังนั้นเมื่อบ่าวกล่าวว่า  มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ แด่อัลเลาะห์ผู้อภิบาลโลก ทั้งหลาย อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า บ่าวของเราได้สรรเสริญเรา และเมื่อกล่าวว่า  ผู้ทรงเมตตา กรุณาปราณียิ่ง อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า บ่าวของเราได้ยกเกียรติเรา และเมื่อกล่าวว่า ผู้มีอำนาจเด็ดขาดในวันตัดสิน พระองค์จะตรัสว่า บ่าวของเราได้สดุดีเรา และได้กล่าวในครั้ง หนึ่งว่า  บ่าวของเราได้มอบความเป็นไปไว้ให้กับเรา และเมื่อกล่าวว่า  เฉพาะพระองค์ท่าน เท่านั้น พวกเราจะสักการะ และเฉพาะพระองค์ท่านเท่านั้น ที่พวกเราจะขอความช่วยเหลือ พระองค์จะตรัสว่า นึ่คือกึ่งกลางระหว่างเรากับบ่าวของเรา[63] และบ่าวของเราจะได้รับตามที่ขอและเมื่อบ่าวกล่าวว่า  ขอพระองค์ได้โปรดประทานแนวทางที่เที่ยงตรงแก่พวกเราเป็นแนวทางของพวกที่พระองค์ท่านให้ความโปรดปรานแก่พวกเขา ไม่ใช่แนวทางของพวกถูกกริ้วและหลงผิด พระองค์จะตรัสว่า นี่เป็นของบ่าวของเรา และบ่าวของเราจะได้รับตามที่ขอ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะดีย์ บิน  ฮาติม ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า พวกที่ถูกกริ้วคือ พวกยะฮูด[64] และพวกที่หลงผิดคือพวกนะซอรอ[65]

รายงานหะดีษโดย  ติรมิซี อะห์มัด อิยนุฮิบบาน 

ตัวบทของติรมีซี ว่า พวกยะฮูด เป็นพวกที่ถูกกริ้ว และพวกนะซอรอ เป็นพวกที่หลงผิด

ตัวบทที่มีมาในซูเราะห์อัลบะกอเราะห์

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และจงระลึกขณะที่พระผู้อภิบาลของเจ้า ได้กล่าวแก่ มวลมะลาอีกะห์ว่า แน่แท้เราจะสร้างตัวแทนขึ้นในแผ่นดิน[66]” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้จับมือของข้าพเจ้าแล้ว กล่าวว่า อัลเลาะห์ผู้ทรงความยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้ ทรงสร้างดิน[67]ในวันเสาร์และพระองค์ ได้ทรงสร้างภูเขาในแผ่นดินในวันอาทิตย์ ได้ทรงสร้างต้นไม้ในวันจันทร์และได้ทรงสร้างสิ่งที่ น่าเกลียดในวันอังคาร ได้สร้างรัศมีในวันพุธ และได้หว่านสัตว์เลื้อยคลานลงในแผ่นดิน วัน พฤหัสบดี และได้สร้างอาดัม อ.ล  หลังเวลาเย็น (อัสร์) ของวันศุกร์เป็นสิ่งสุดท้าย ของสรรพสิ่ง ต่างๆ ในชั่วโมงสุดท้ายของวันศุกร์[68]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะห์มัด

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  อัลเลาะห์ทรงสร้าง อาดัม มีความสูงหกสิบศอก[69] หลังจากนั้นพระองค์ได้กล่าวว่า จงไปกล่าวสลามแก่พวกนั้น จากมวลมะลาอีกะห์ และรับสิ่งทีพวกเขาจะกล่าวแสดงความคารวะต่อท่าน ซึ่งจะเป็นคำคารวะ ของท่านและคำคารวะของถูกหลานของท่าน อาดัมจึงได้กล่าวว่า  ความสันติจงมีแต่พวกท่าน พวกมะลาอีกะห์ตอบว่า  ขอความสันติและความเมตตาของอัลเลาะห์จงมีแต่ท่าน พวกเขาได้ เพิ่มคำว่า  และความเมตตาของอัลเลาะห์ ดังนั้น ทุกผู้ที่เข้าสวรรค์จะอยู่ในรูปของอาดัม และสรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจะยังคงลดขนาดลงเรื่อยๆ จนถึงขณะนี้ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และตัวบทของติรมีซีว่า  ขณะเมื่ออัลเลาะห์ได้สร้างอาดัมและได้เป่าวิญญาณเข้าไปในร่าง อาดัมได้จาม แล้วกล่าวว่า  อัลฮัมดุลิลลาห์ (มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแด่อัลเลาะห์) พระ ผู้เป็นเจ้าได้กล่าวแก่เขาว่า  อัลเลาะห์ได้ให้ความเมตตาแก่ท่านแล้ว โอ้ อาดัม ท่านจงไปยังมะลาอิกะห์พวกนั้น และจงกล่าวว่า ขอความสันติจงมีแด่พวกท่าน พวกมะลาอิกะห์กล่าวว่า ขอความสันติ ความเมตตาของอัลเลาะห์จงมีแด่ท่าน หลังจากนั้นอาดัมได้กลับไปยังพระผู้อภิบาลของเขา และพระองค์ได้กล่าวว่า แท้จริงนี่คือคำคารวะของท่านและถูกหลานของท่านในระหว่างกัน ต่อมาอัลเลาะห์ได้กล่าวแก่เขาโดยที่มือทั้งสองของพระองค์กำอยู่ว่า จงเลือกเอาข้างหนึ่ง จากสองข้างตามที่ท่านต้องการ อาดัมไว้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เลือกเอามือขวาของพระผู้อภิบาล ของข้าพเจ้า แต่มือทั้งสองข้างของพระองค์ก็ล้วนเป็นข้างขวาทีมีสิริมงคล ต่อมา พระองค์ได้ แบมันออก ทันใดนั้นปรากฏว่ามือาดัมและถูกหลานของเขาอยู่ในนั้น อาดัมได้กล่าวว่า ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า พวกเขาเป็นใคร   พระองค์ตอบว่า  พวกเขาคือถูกหลานของท่าน ทันใดนั้น มนุษย์ทุกคนก็ถูกบันทึกอายุของตนติดอยู่ระหว่างดวงตาทั้งสองของเขา[70]

เล่าจากอะบีมูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  แท้จริงอัลเลาะห์ตะอาลาได้ทรง สร้างอาดัมจากกอบหนึ่งที่พระองค์ได้กอบมันขึ้นมาจากดินทั้งหมด ดังนั้น ถูกหลานของอาดัม จงมมาตามแต่ลักษณะของดิน บางคนผิวแดง ผิวขาว และผิวดำ และกำถึงระหว่างนั้น และ บางคนมีนิสัยง่ายๆ เศร้าโศก ชั่วและดี

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และเราได้ให้เมฆปกคลุมพวกท่าน และเราได้ประทาน นํ้าตาลฟ้า และ นกคุ้มมาให้พวกท่าน ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงกินจากสิ่งที่ดีที่เราได้ประทานเป็น เครื่องยังชีพของพวกท่าน และเราไม่ได้ทุจริตพวกท่าน แต่พวกเขาต่างหากที่ทุจริตตัวของพวกเขาเอง[71]” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  ถ้าหากไม่มีชนชาติอิสรออีล อาหารจะไม่บูดเสีย และเนื้อก็จะไม่เน่าเหม็น และถ้าหากไม่มีเฮาวาอฺ ผู้หญิงจะไม่ ทรยศตอสามีตลอดไป 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

อัลเลาะห์ตะอาลาใต้ตรัสว่า  “(จงระลึกเถิด) ขณะเมื่อเราได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงเข้าสู่ ตำบลนี้ และจงรับประทานตามที่พวกท่านปรารถนาจากตำบลแห่งนี้อย่างสะดวก และพวกท่าน จงเข้าประตูในสภาพของผู้กราบสุญูด และพวกท่านจงกล่าวว่า “ฮิตตอตุน (จงลบบาปออก จากพวกเรา) เราก็จะอภัยให้พวกท่านในความผิดของพวกท่านและต่อไปเราจะเพิ่มพูนให้แก่บรรดา ผู้ที่ทำความดี[72]” 

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าวงศ์วานของอิสรออีลถูก บัญชาว่า “พวกเจ้าจงเข้าประลูในสภาพของผู้กราบสุญูด และจงกล่าวว่า “ฮิตตอตุน” (จงลบ บาปออกจากพวกเรา) พวกเขาได้ลากสะโพกเข้าไป และได้เปลี่ยนแปลงพวกเขาได้กล่าวคำว่า ฮิตตอตุน เป็น ฮับบะตุน ฟี ชะอะเราะห[73]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ดังนั้นความพินาศอย่างร้ายแรง จะเป็นของบรรดาผู้ที่เขียน คัมภีร์ขึ้นด้วยมือของพวกเขาเอง” หลังจากนั้นพวกเขาจะกล่าวว่า “นี่มาจากอัลเลาะห์เพื่อนำไป แลกเปลี่ยนกับราคาเพียงเลีกน้อย ดังนั้น ความพินาศจะเป็นของพวกเขาเนึ๋องจากสิ่งทีมือของ พวกเขาเขียนนั้น และความพินาศจะเป็นของพวกเขาเนื่องจากสิ่งที่พวกเขากำลังกระทำอยู่[74]” อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  พวกท่านจะถามสิ่งใดๆ จากชาวคัมภีร์ได้อย่างไร ทั้งที่คัมภีร์ของพวกท่านซึ่งถูกประทานลงมายังท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  นั้น ใหม่กว่า พวกท่าน จะอ่านคัมภีร์นี้อย่างแท้ ๆ โดยไม่ถูกแก้ไขและเปลี่ยนแปลง และความจริงคัมภีร์นั้น (อัลกุรอาน) ก็ได้บอกให้พวกท่านทราบว่าชาวคัมภีร์นั้นได้เปลี่ยนแปลงคัมภีร์ของอัลเลาะห์ และแก้ไขโยกย้าย และได้เขียนขึ้นใหม่ด้วยมือของพวกเขา แล้วกล่าวว่า  มันมาจากอัลเลาะห์ เพื่อเอามันแลกเปลี่ยน กับมูลค่าเพียงเล็กน้อย พึงทราบเกิดว่า สิ่งที่ได้มาสู่พวกท่าน จากวิชาการนั้นห้ามพวกท่าน ถามพวกเขา ไม่ สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า เราไม่เคยเห็นสักคนเดียวจากพวกนั้นถามพวกท่านถึง สิ่งที่ถูกประทานมายังพวกท่าน[75]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ในเรื่องอิอ์ติศอม

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า  “จงกล่าวเถิด(โอ้มุฮัมมัด) ผู้ใดที่เป็นศัตรูกับญิบรีลนั้น แท้จริงญิบรีลได้นำมัน (อัลกุรอาน) ลงมาสู่จิตใจของเจ้าด้วยอนุมัติของอัลเลาะห์ โดยยืนยันให้แก่สิ่งที่อยู่ก่อนมันและเป็นสิ่งชี้นำ และข่าวดีแก่มวลผู้ศรัทธา[76]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  อับดุลเลาะห์ บิน  สลามได้รับทราบการมา (มะตีนะห์) ของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ขณะนั้นเขาอยู่ในสวน กำลังเก็บผลไม้ ท่านนบี ซ.ล.  มาถึง อับดุลเลาะห์ บิน  สลาม ได้กล่าวขึ้นว่า  ข้าพเจ้าจะถามท่านสามข้อ จะไม่มีใครรู้คำตอบทั้งสาม ข้อนี้ นอกจากผู้เป็นนบี อะไรคือสัญญาณแรกของกิยามะห์ อะไรคืออาหารมื้อแรกของชาวสวรรค์ และอะไรที่ทำให้ถูกถอดแบบพ่อหรือถอดแบบแม่ ท่านได้กล่าวว่า  ญิบรีล ได้บอก คำตอบทั้งสามข้อให้แกข้าพเจ้าแล้ว เมื่อกี้นี้เอง อับดุลเลาะห์กล่าวว่า  ญิบรีลหรือท่านนบี ตอบว่า  ใช่แล้ว เขากล่าวว่า  นั่นคือศัตรูที่เป็นมะลาอิกะห์ของพวกยะฮูด ต่อมาท่านจึงได้ อ่านอายะห์นี้ “มันกาน่า อะลูวัน ลิญิบรีล่า ฟะอินน่าหู นัซซะละฮู อะลาก้อลบิก่า” สวนสัญญาณ แรกของกียามะห์คือ ไฟที่จะไล่ต้อนมนุษย์ให้มารวมกันจากทางตะวันออก ไปสู่ตะวันตก สำหรับ อาหารมื้อแรกของชาวสวรรค์ นั่นคือ ติ่งเนื้อที่ติดอยู่กับตับปลาวาฬ และเมื่อนํ้าของผู้ชายล่วงหน้า ผู้หญิงมันก็กอดแบบเขา (พ่อ) และเมื่อนํ้าของผู้หญิงล่วงหน้านํ้าของผู้ชาย มันก็ถอดแบบหล่อน (แม่) อับดุลเลาะห์ บิน  สลามได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าทีถูกสักการะ อย่างเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า แท้จริงท่านเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงพวกยะฮูด นั้น เป็นพวกที่ชอบโกหก และความจริง ถ้าหากพวกเขารู้ว่า ข้าพเจ้านับถือศาสนาอิสลาม ก่อนที่ท่านจะถามพวกเขา พวกเขาจะต้องว่าข้าพเจ้าโกหก” หลังจากนั้นพวกยะฮูดได้มา ท่านนบี ซ.ล.  จึงได้ถามว่า  อับดุลเลาะห์ของพวกท่านเขาเป็นคนอย่างไร พวกเขาตอบว่า เป็นคนดีของพวกเรา เป็นบุครของคนดีของพวกเขา เป็นผู้นำของพวกเราและเป็นบุตร ของผู้นำของพวกเรา ท่านได้กล่าวว่า  พวกเจ้าจงบอกข้าพเจ้าเถิดว่า ถ้าหาก อับดุลเลาะห์ได้เข้าถือศาสนาอิสลามแล้ว พวกเขาตอบว่า ขออัลเลาะห์ทรงป้องกันเขาจากการเช่นนั้นด้วย จากนั้น อับดุลเลาะห์ ได้ออกมาแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะอย่างเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ และแท้จริงมุฮัมมัด เป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ พวกเขากล่าวว่า  เขาคือคนชั่วของเรา และเป็นถูกของคนที่ชั่วของเรา และพวกเขาก็ได้ประณาม อับดุลเลาะห์ ต่อมาอับดุลเลาะห์ได้กล่าวว่า  นี่แหละคือสิ่งที่ข้าพเจ้ากลัว โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์

รายงานโดย บุคอรี และบางตอนของหะดีษเป็นรายงานของมุสลิม ที่ได้ผ่านมาแล้ว ในเรื่องการอาบน้ำ

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่าะ “ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เป็นกรรมสิทธิของอัลเลาะห์ ทั้งสิ้น ดังนั้น ไม่ว่าที่ใดที่พวกเจ้าผินไป พระองค์อัลเลาะห์ก็อยู่ที่นั่น แท้จริงพระองค์อัลเลาะห์ ทรงกว้างขวาง ทรงรอบรู้[77]” อัลเลาะห์ผู้ยิงใหญ่ ทรงสัจจะ 726

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่า ท่านนบี ซ.ล.  เคยละหมาด สุนัดบนพาหนะของท่าน สุดแต่มันนำท่านหันไป ขณะที่ท่านได้มาจากมักกะห์ สู่มะดีนะห์ หลังจาก นั้น อิบนิอุมัรได้อ่านอายะห์ “วะลิ้ลลาหิ้ล มัชริกุ วั้ลเมาฆ์ริบุ” จนจบอายะห์ และได้กล่าวว่า อายะห์นี้ถูกประทานในเรื่องนี้[78]

เล่าจากอามิร บิน  รอบีอะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราอยู่กับท่านนบี ซ.ล.  ในการ เดินทางในเวลากลางคืนที่มืดมิด และพวกเราไม่ทราบว่า กิบลัต อยู่ทางใด พวกเราแต่ละคนได้ ละหมาดโดยหันตรงไปข้างหน้าของตัวเอง เมื่อรุ่งเช้าพวกเราได้เล่าเรื่องนี้ให้ท่านนบี ซ.ล.  ฟัง ต่อมาก็ได้ลงมามีความหมายว่า “ดังนั้นไม่ว่าที่ใดที่พวกเจ้าผินไป พระองค์อัลเลาะห์ก็อยู่ที่นั่น”

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี 

“และพวกเขาได้กล่าวว่า อัลเลาะห์มีถูก พระองค์ทรงบริลุทธิ์ แด่สิ่งที่ปรากฏอยู่ในชั้นฟ้า และ แผ่นดินเป็นกรรมสิทธิของพระองค์ ทั้งหมดนั้นภักดีต่อพระองค์[79]

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า มนุษย์กล่าวหาว่าเราโกหก ทั้งที่ไม่สมควรที่เขาจะกล่าวหาเช่นนั้น และเขาด่าเราทั้งที่ไม่สมควร ที่เขาจะทำเช่นนั้น ที่เขากล่าวหาว่าเราโกหกก็คือ เขาคาดการว่าเราไม่สามารถนำเขากลับมาสู่สภาพเดิมที่เขาเคยเป็นได้ และข้อที่เขาด่าเราก็คือที่เขาพูดว่า เรามีถูก ดังนั้น เราบริสุทธิ์ผุดผ่องจาก การที่เราจะมีถูก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

และอัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และท่านทั้งหลายจงเอาที่ยืนของอิบรอฮีมเป็นสถานที่ ละหมาด[80]

เล่าจากอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้ามีความเห็นสอดคล้องกับพระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า ในสามประการ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  หวังว่าพวกเราจะเอาที่ยืนของริบรอฮีม เป็นสถานที่ละหมาด ต่อมาได้มีวะฮีย์ประทานลงว่า “ท่านทั้งหลายจงเอาที่ยืนของริบรอฮีมเป็นสถานที่ละหมาด[81]” และอายะห์ที่ว่าด้วยเรื่องการฮิญาบ[82] ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ หวังว่าท่านจะใช้ภรรยาของท่าน ให้ปกปิดอย่างมิดชิด เพราะความจริงผู้ที่จะมาพูดคุยกับพวกหล่อนนั้น มีทั้งคนดีและคนชั่ว ต่อมาอายะห์ฮิญาบ ก็ลงมา และภรรยาของท่านนบี ซ.ล.  ได้ชุมนุมกันแสดงความหึงหวงในตัวท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่พวกหล่อนว่า หวังว่าพระผู้อภิบาล ของเขา (นบี) ถ้าหากให้เขาได้หย่าพวกเธอแล้ว พระองค์คงจะเปลี่ยนภรรยาที่ดียิ่งกว่าพวกเธอ ให้แก่เขา อายะห์นี้จึงได้ลงมา[83]

รายงานโดย บุคอรี  ในเรื่องละหมาด และมุสลิม ในเรื่องความประเสริฐต่างๆ  727
และตัวบทของมุสลิมว่า ข้าพเจ้ามีความคิดสอดคล้องกับพระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า ในสามประการคือ ในเรื่องที่ยืนของอิบรอฮีม ในเรื่องการปกปิด และในเรื่องเชลยศึกในสงคราม บัดร์

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า  “และ (จงระลึกเถิด) ขณะที่อิบรอฮีมกำลังยกรากฐานของ บัยตุลเลาะห์ร่วมกับอิสมาอีล ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเราได้โปรดรับจากเรา แท้จริงพระองค์ท่าน ทรงได้ยินทรงรอบรู้ยิ่ง[84]

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่า สิ่งแรกที่ผู้หญิงได้ยึดเอา ผ้าผูกเอว นั้น เนื่องมาจาก มารดาของอิสมาอีลที่ได้เอาผ้าผูกเอว เพื่อปกปิดร่องรอยของหล่อน (ว่าตั้งท้อง) ไม่ให้ ซาเราะห์ ทราบ หลังจากนั้น อิบรอฮีมก็ได้นำมารดาของอิสมาอีล พร้อมด้วยบุตร ของหล่อนคืออิสมาอีล มา ในขณะที่หล่อนกำลังจะคลอดเขา จนในที่สุดอิบรอฮีมได้นำทั้งสองมาไว้ที่บัยตุลเลาะห์ที่ต้นไม้ใหญ่เหนือนํ้า ซัมซัม ในส่วนที่สูงที่สุดของมัสญิด และไม่มีใครสักคนเดียวอยู่ที่มักกะห์ในยามนั้น และไม่มีน้ำ อิบรอฮีม ได้วางกระสอบใส่อินทผลัม และถุงบรรจุน้ำไว้ให้คนทั้งสอง หลังจากนั้นอิบรอฮีมก็เดินทางกลับ มารดาของอิสมาอีลได้ติดตามอิบรอฮีมไปแล้วกล่าวว่าโอ้ อิบรอฮีมท่านจะไปไหน ท่านจะทั้งเราไว้ในหุบเขาแห่งนี้ที่ปราศจากผู้คนและไม่มีสิ่งใดๆ เลย มารดาของอิสมาอีลได้กล่าวเช่นนั้นกับอิบรอฮีมหลายครั้ง แต่อิบรอฮีมก็ไม่ได้หันกลับมาดูหล่อน ดังนั้น หล่อนจึงกล่าวว่า  อัลเลาะห์ใช่ไหมใช้ท่านที่นำสิ่งนี้ อิบรอฮีมตอบว่า “ใช่แล้ว” หล่อนกล่าวว่า ดังนั้นพระองค์จะไม่ทำให้พวกเราพินาศ หลังจากนั้นหล่อนจึงกลับ อิบรอฮีมได้ออก เดินทางไปจนเมื่อถึงที่ ซะนียะห์ ซึ่งพวกนั้นจะมองไม่เห็นเขา เขาจึงผินหน้าสู่บัยตุลเลาะห์ แล้ว วิงวอนขอด้วยถ้อยคำเหล่านี้ พร้อมทั้งได้ยกมือทั้งสองขึ้น “ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเรา แท้จริง ข้าพเจ้าได้ให้ถูกหลานของข้าพเจ้าพำนักอยู่ในหุบเขาที่ไม่มีพืซไร่อยู่ ณ อาคารของพระองค์ท่าน ที่ศักดิ์สิทธิ์” จนถึงคำว่า “พวกเขาจะสำนึกในบุญคุณ[85]” และแล้วมารดาของอิสมาอีลก็ได้คลอด อิสมาอีล และได้ดื่มนำ (ที่อิบรอฮีมทั้งไว้ให้) นั้น จนเมื่อนํ้าที่อยู่ในถุงนั้นหมด หล่อนก็รู้สึกกระหายนํ้าและถูกของหล่อนก็กระหายนํ้า หล่อนมองดูบุตร น้อยที่กำลังพลิกตัวไปมา เธอจึงออกเดินไป เพราะไม่ต้องการเห็นสภาพของถูกน้อยและเธอก็พบว่า ซอฟาเป็นภูเขาทีอยู่ใกล้ที่สุด ที่ตั้งอยู่ในพื้นดินใกล้กับเธอ จากนั้นเธอได้ขึ้นไปบนภูเขาซอฟา และหันหน้ามาทางหุบเขา มอง ดูว่ามีใครสักคนไหม แต่เธอก็ไม่พบผู้ใด จึงได้ลงจากภูเขาซอฟาจนเมื่อมาถึงหุบเขา เธอจึงได้ ยกชายเสื้อขึ้นและเดินอย่างคนที่ร้อนรนจนผ่านหุบเขาไป หลังจากมาถึง ภูเขา มัรวะห์ เธอได้ขึ้น ยืนบนภูเขาแล้วมองค้นหาดูว่า มีใครสักคนไหม แต่เธอก็ไม่เห็นผู้ใดเลย และเธอได้กระทำเช่น นั้นถึงเจ็ดครั้ง

อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า นั่นแหละคือ สะอาย์ (การสะแอในพิธีฮัจญ์) ของประชาชนระหว่างภูเขา ซอฟา กับ มัรวะห์ และเมื่อเธอได้ขึ้นบนภูเขา มัรวะห์ ก็ได็ยินเสียงหนึ่ง เธอจึงกล่าวว่า หยุด ซึ่งหมายถึงตัวเธอเอง หลังจากนั้นเธอได้ตั้งใจฟัง ก็ได้ยินอีก จึงกล่าวว่า ความจริงท่านทำให้ได้ยิน หากท่านมีสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการความช่วยเหลือ (ก็ได้โปรดช่วยเถิด) ทันใดนั้นเธอก็ได้พบมะลาอีกะห์อยู่ ณ สลานที่ที่เป็นบ่อน้ำซัมซัม มะลาอีกะห์ท่านนั้นได้ใช้ส้นคุ้ย หรือผู้เล่าได้กล่าวว่า ใช้ปีก (คุ้ย) จนปรากฎมีนํ้าออกมา เธอ จึงได้ป้องนํ้าไว้ และเธอได้ทำท่าด้วยมือของเธออย่างนี้ เธอได้วักนํ้าใส่ลุงเก็บน้ำของเธอ โดย ทีน้ำก็ยังคงพุ่งออกหลังจากเธอวักไปแล้ว ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า พระองค์อัลเลาะห์ได้ให้ความเมตตาแก่มารดาของอิสมาอีล ถ้าหากเธอปล่อยนํ้าซัมซัมไว้ หรือ กล่าวว่าถ้าหากเธอ ไม่วักนํ้า ซัมซัม จะเป็นสายนํ้าที่ไหลอยู่ตลอดกาล ต่อจากนั้นเธอได้ดื่ม และได้ให้นมแก่ถูก ของเธอ และมะลาอิกะห์ได้กล่าวว่า พวกท่านไม่ต้องกลัวความพินาศ เพราะแท้จริงที่นั่นคือ บัยตุลเลาะห์ ที่เด็กคนนี้กับพ่อของเขาจะสร้างขึ้นและแน่แท้อัลเลาะห์จะไม่ทรงทำลายครอบครัว ของเขา และปรากฎว่าบัยตุลเลาะห์นั้น สูงจากพื้นดินคถ้ายเนิน โดยนํ้าบ่าจะไหลมาสู่บัยตุลเลาะห์นี้ และเซาะทางต้านขวาและซ้ายของบัยตุลเลาะห์ และเธอก็อยู่อย่างนั้น[86]จนกระทั่งมีคนกลุ่มหนึ่งจากเผ่า ยุรฮุม เดินทางผ่านมา หรือครอบครัวหนึ่งจากเผ่ายุรฮุม มุ่งหน้ามาทางกะดาอฺ และ พักอยู่ที่ด้านใต้ของมักกะห์ ต่อมาพวกเขาได้แลเห็นนกบินฉวัดเฉวียนอยู่ พวกเขาจึงกล่าวว่า แท้ จริงนกนี้กำลังวนเวียนอยู่บนแหล่งนํ้าอย่างแน่นอน พวกเรารู้จักหุบเขานี้ดีว่าไม่มีแหล่งนํ้า พวกเขาจึงได้ส่งม้าเร็วคนหนึ่งหรือสองคนไป ต่อมาพวกเขาก็กลับมาบอกพวกเขาว่ามีแหล่งนํ้า พวกเขาได้มุ่งหน้ามา ขณะที่มารดาของอิสมาอีลอยู่ที่แหล่งนํ้านั้น พวกเขาได้กล่าวขึ้นว่า เธอจะอนุญาตให้พวกเราได้อยู่กับเธอไหม ได้สิ แต่พวกท่านไม่มีสิทธิ์ในแหล่งนํ้านี้ พวกเขาตอบว่า ตกลง ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า และการเช่นนั้นก็ได้เกิดขึ้นกับมารดาของอิสมาอีล โดยที่เธอ ต้องการความเป็นเพื่อน ต่อมาพวกเขาก็ได้มาพักอยู่และส่งข่าวไปบอกครอบครัวของพวกเขา จากนั้นครอบครัวของพวกเขาก็ได้มาพักร่วมกับพวกเขา จนเมื่อมีหลายครอบครัวจากเผ่ายุรฮุม

มาอยู่ร่วมกับเธอ เด็กน้อย (อิสมาอีล) ได้เติบโตขึ้นเป็นหนุ่มได้ศึกษาภาษาอาหรับจากพวกเขา และได้กลายเป็นสิ่งที่มีค่า และรักใคร่ของพวกเขา ขณะที่เขาเติบโตเป็นหนุ่ม และเมื่ออิสมาอีล เป็นผู้ใหญ่ พวกเขาได้แต่งงานอิสมาอีลกับหญิงคนหนึ่งจากเผ่ายุรฮุม และมารดาของอิสมาอีล ได้เสียชีวิตไป ต่อมาอิบรอฮีมได้มาติดตามหาสิ่งที่ตนได้ทั้งไว้[87] แต่ไม่ได้พบกับอิสมาอีล จึงได้ ถามภรรยาของเขา หล่อนได้ตอบว่าอิสมาอีลออกไปหาปัจจัยยังชีพให้แก่เรา หลังจากนั้น อิบรอฮีม ได้ถามหล่อนถึงการประกอบอาชีพและสภาพการของพวกเขา หล่อนตอบว่า พวกเราลำบากมาก พวกเราตกอยู่ในความแร้นแค้นและร้ายกาจ และหล่อนยังได้ร้องทุกข์ต่อนบีอิบรอฮีม นบีอิบรอฮีม ได้กล่าวว่า เมื่อสามีของเธอมาจงบอกสลามแก่เขา และจงบอกเขาให้เปลี่ยนธรณีประตูของเขา เมื่ออิสมาอีลมาคถ้ายกับเขาคุ้นเคยกับสิ่งหนึ่งจึงกล่าวขึ้นว่า มีใครมาหาพวกท่านหรือ หล่อน ตอบว่า ถูกแล้ว มีชายชราคนหนึ่งรูปร่างอย่างนั้น มาหาพวกเราและเขาได้ถามเราถึงตัวท่าน และ ข้าพเจ้าก็ได้บอกให้เขาทราบ เขาได้ถามข้าพเจ้าว่า การประกอบอาชีพของเราเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าได้บอกเขาว่า พวกเราอยู่ในความแร้นแค้น และร้ายกาจ อิสมาอีลถามว่า เขาสั่งเสียเธอด้วยสิ่งใดไหม หล่อนตอบว่าถูกแล้วเขาสั่งข้าพเจ้าให้กล่าวสลามแก่ท่าน แล้วว่า จงเปลี่ยนธรณีประตูของท่าน อิสมาอีลได้กล่าวว่า นั่นคือบิดาของข้าพเจ้า และเขาได้สั่งข้าพเจ้าให้แยก ทางกับเธอ เธอจงกลับไปอยู่กับครอบครัวของเธอเถิด อิสมาอีลได้หย่าหล่อน และต่อมาอิสมาอีล ก็ได้แต่งงานกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งจากพวกเขา นบีอิบรอฮีม ได้หายหน้าไปจากพวกเขาระยะหนึ่ง เท่าที่อัลเลาะห์ประสงค์ หลังจากนั้นได้มาหาพวกเขา แต่ก็ไม่ได้พบกับอิสมาอีล อิบรอฮีมได้ เข้าไปหาภรรยาของเขา แล้วถามหล่อนถึงเขา หล่อนตอบว่า เขาออกไปหาปัจจัยยังชีพให้พวกเรา อิบรอฮีมถามว่า พวกท่านเป็นอย่างไร และได้ถามหล่อนถึงการประกอบอาชีพ และสภาพของ พวกเขา หล่อนได้ตอบว่า พวกเราสบายดี และกว้างขวาง และหล่อนได้สรรเสริญอัลเลาะห์ อิบรอฮีมถามว่า อาหารของพวกท่านคืออะไร หล่อนตอบว่า คือเนื้อ อิบรอฮีมถามว่า อะไร คือเครื่องดื่มของพวกท่าน     หล่อนตอบว่า คือน้ำ อิบรอฮีมกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์อัลเลาะห์ ได้โปรดเพิ่มพูนให้พวกเขาในเนื้อและนํ้า ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ในขณะนั้นพวกเขายัง ไม่มีเมล็ดพืช ถ้าพวกพวกเขามีเมล็ดพืช อิบรอฮีมก็คงวิงวอนให้เกิดความเพิ่มพูนในเมล็ดพืชด้วย อิบรอฮีมได้กล่าวว่า ทั้งสองอย่างนื้ไม่มีใครที่อยู่นอก มักกะห์ ดำรงชีพอยู่ได้ โดยอาศัย ทั้งสองอย่างเป็นอาหาร นอกจากคนที่เนื้อและนํ้าไม่ตรงกับความต้องการของเขา อิบรอฮีมได้ กล่าวว่า ดังนั้น เมื่อสามีของเธอกลับมา จงบอกสลามแก่เขา และจงใช้เขาให้รักษาธรณีประตู ของเขาให้มั่นคง เมื่ออิสมาอีลมาได้กล่าวขึ้นว่า มีใครมาหาพวกท่านไหม หล่อนตอบว่าถูกแล้ว มีชายชราคนหนึ่งบุคคลิกดี มาหาพวกเรา และหล่อนได้สรรเสริญเขา และเขาได้ถามถึงท่าน ข้าพเจ้าได้เล่าให้เขาฟัง และเขาก็ได้ถามข้าพเจ้าถึงการประกอบอาชีพของเรา ข้าพเจ้าได้ตอบเขา ว่าสุขสบายดี อิสมาอีลถามว่า เขาสั่งเสียเธอด้วยสิ่งใดไหม หล่อนตอบว่า ใช่  เขาบอกสลามแด่ท่าน และใช้ท่านรักษาธรณีประตูของท่านให้มั่นคง อิสมาอีลได้กล่าวว่า นั่นคือบิดาของข้าพเจ้า และเธอคือธรณีประตู ท่านใช้ข้าพเจ้ายึดเธอไว้ หลังจากนั้นอิบรอฮีมก็ได้หายหน้าไปจากพวกเขาระยะหนึ่ง ตามแต่อัลลอฮ์ประสงค์  และอิบรอฮีมก็ได้มาในภายหลังจากนั้น ขณะที่อิสมาอีลกำลังเหลาถูกธนูอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ใกล้กับบ่อน้ำซัมซัม เมื่ออิสมาอีลเห็นอิบรอฮีม ได้ลุกขึ้นไปหา และได้กระทำเหมือนเช่นที่บิดาทำกับบุตรและบุตรทำกับบิดา หลังจากนั้นได้กล่าวว่า โอ้อิสมาอีล แท้จริงอัลลอฮ์มีบัญชาให้เราทำงานชิ้นหนึ่ง อิสมาอีลกล่าวว่า จงกระทำตามที่พระผู้อภิบาลของท่านบัญชาเถิด อิบรอฮีมกล่าวว่า และท่านจะช่วยเราไหม อิสมาอีลตอบว่า ข้พเจ้าจะต้องช่วยท่าน อิบรอฮีม ได้กล่าวว่าแท้จริงอัลลอฮ์ได้บัญชาให้เราสร้างอาคารขึ้นที่นี่  พร้อมกับชี้ไปที่เนินสูงบริเวณรอบๆเนิน ผู้รายงานกล่าวว่า ณ บัดนั้น ทั้งสองค์จึงยกฐานของบัยตุลลอฮ์ อิสมาอีลได้เริ่มนำก้อนหินมา และอิบรอฮีม ก็ทำการก่อสร้างจนเมื่ออาคารสูงขึ้น อิบรอฮีม ก็ได้นำหินก้อนนั้นมา วางลงและขึ้นไปยืนขณะทำการก่อสร้าง และอิสมาอีลก็ส่งก้อนหินให้เขา โดยทั้งสองกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเรา ได้โปรดรับจากเรา แน่แท้ พระองค์ท่านเป็นผู้ทรงได้ยิน เป็นผู้ทรงรอบรู้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี  ในเรื่องการเริ่มสร้าง

จากอาอิชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เธอไม่เห็นหรือว่าพวกพ้องของเธอได้สร้างอัลกะอ์บะห์ และได้ทำลดหย่อนลงจากรากฐานของอิบรอฮีม ข้าพเจ้ากล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แล้วท่านจะไม่ให้อัลกะอ์บะห์ กลับไปอยู่บนรากฐานของอิบรอฮีมหรือ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ตอบว่า ถ้าแม้พวกพ้องของเธอไม่ได้พ้นจากสภาพกุฟร์ (สภาพผู้ไม่ศรัทธา) มาใหม่ๆ แล้วละก็ (ข้าพเจ้าต้องทำอย่างแน่นอน)[88] อิบนิ อุมัรได้กล่าวว่า ถ้าหากอาอิชะห์ได้ยินคำพูดนี้จกท่นนบี ซ.ล.แล้ว ข้าพเจ้าคงไม่คาดการว่าที่ท่านทั้งการลูบสองมุมที่ติดอยู่กับหินโค้ง นอกจากเพราะความจริงบัยตุลลอฮ์นั้น ไม่สมบูรณ์อยู่บนรากฐานของอิบรอฮีม

จากอบู ฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าชาวคัมภีร์จะอ่านคัมภีร์เตาร็อตด้วยภาษาอิบรอนียะห์ และอธิบายความหมายเป็นภาษาอาหรับให้แก่ชาวอิสลาม ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าเชื่อชาวคัมภีร์ และอย่ากล่าวหาว่า พวกเขาโกหก แต่ท่านทั้งหลายจงกล่าวว่า “พวกเราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และต่อสิ่งที่ที่ถูกประทานลงมายังพวกเรา” จนจบอายะห์ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

จากอะบี สะอีด ร.ฎ. ท่านนบี ซ.ล. นบีนุห์ จะถูกเรียกในวันกิยามะห์ นุห์ จะกล่าวว่า ข้าพเจ้าพร้อมแล้ว และยินดีปฏิบัติตาม ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้าฯ พระองค์จะถามว่าท่านได้ประกาศศาสนาทั่วถึงแล้วใช่ไหม นุห์จะตอบว่า ใช่ จากนั้นจะมีผู้ถามประชาชนของเขาว่า เขาได้ประกาศศาสนาทั่วถึงแล้วใช่ไหม พวกเขาจะตอบว่าไม่มีผู้ที่เตือนคนใดมายังพวกเราเลย พระองค์ถามเขาว่า ใครจะเป็นพยานให้ท่าน นุห์จะตอบว่า มุฮัมมัดและประชากรของเขา และพวกท่านจะเป็นพยานยืนยันว่า  ความจริง นุห์ได้ประกาศศาสนาทั่วถึงแล้ว และเราะซูลฯก็จะเป็นพยานให้แก่พวกเจ้า และ นี่นคือคำดำรัสของพระองค์ผู้ซึ่งการกล่าวถึงพระองค์เป็นความเกรียงไกรที่ว่า “ดังนั้นแหละ ที่เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชากรที่ทรงคุณธรรม เพื่อให้พวกเจ้าเป็นพยานต่อมวลมนุษย์ และเราะซูลฯจะเป็นพยานให้แก่พวกเจ้า[89]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจากบะรออ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อท่านนบี ซ.ล. มาที่นครมะดีนะห์ ท่านได้ละหมาดผินหน้าไปทางบัยตุลมักดิส เป็นเวลาสิบหก หรือสิบเจ็ดเดือน และท่านมีความปรารถนาจะหนหน้าไปทางอัลกะอ์บะห์ ดังนั้นอัลลอฮ์ตะอาลาจึงได้ประทานลงมา มีใจความว่า “แท้จริงเราเห็นการผพลิกหน้าของเจ้าไปมาบนท้องฟ้า ดังนั้น เราจะต้องให้เจ้าผินหน้าสู่ทิศที่เจ้าพอใจมัน ดังนั้นเจ้าจงผินหน้าของเจ้าสู่ใจกลาง มัสญิดอันศักดิ์สิทธิ์[90] ท่านจึงได้ผินหน้าสู่กะอ์บะห์ ต่อมามีชายคนหนึ่งละหมาดอัศริร่วมกับท่าน หลังจากนั้นเขาได้เดินผ่าวชาวอันศอรกลุ่มหนึ่ง ขณะที่พวกเขากำลังรุกัวะอ์ ในละหมาดอัศริ โดยผินหน้าไปสู่บัยตุลมักดิส เขาจึงกล่าวว่า เขาขอยืนยันว่า เขาได้ละหมาดร่วมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. และแท้จริงท่านได้ผินหน้าไปสู่อัลกะอ์บะห์ พวกเขาจึงได้ผินหน้าไปขณะรุกัวะอ์

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะที่ประชาชนกำลังละหมาดซุบฮิอยู่ในมัสญิดกุบาอ์ ทันใดนั้นได้มีชายคนหนึ่งมาที่พวกเขา แล้วกล่าวว่า อัลลอฮ์ได้ประทานอัลกุรอานแก่ท่านนบี ซ.ล. ให้ผินหน้าสู่อัลกะอ์บะห์ ดังนั้นท่านทั้งหลายจงผินหน้าไปเถิด พวกเขาจึงได้ผินหน้าไปศู่อัลกะอ์บะห์

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อท่านนบี ซ.ล. ถูกบัญชาให้ผินหน้าสู่อัลกะอ์บะห์นั้น พวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ พี่น้องของพวกเราได้เสียชีวิตไปแล้วจะเป็นอย่างไร โดยที่พวกเขาละหมาดผินหน้าไปบัยตุลมักดิส อัลลอฮ์ตะอาลาจึงได้ประทานลงมาว่า “และอัลลอฮ์มิได้ทำลายความศรัทธาของพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงมีความเมตตาสงสารมนุษย์ชาติ[91]

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี และติรมิซี

“บรรดาผู้ซึ่งเราได้ประทานคัมภีร์ให้แก่พวกเขา โดยพวกเขารู้จักมุฮัมมัดเป็นอย่างดี เหมือนรู้จักถูกหลานของเขาเอง และแท้จริงมีชนกลุ่มฟนึ่งจากพวกเขาที่ปกปิดสัจธรรม ทั้งที่พวกเขารู้ดี[92]” อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า “แท้จริงศอฟากับมัรวะห์เป็นสัญลักษณ์ของอัลลอฮ์ ดังนั้น ผู้ใดทำฮัจญ์ที่บัยตุลลอฮ์ หรือทำอุมเราะห์ จะไม่มีบาปเหนือผู้นั้น ในการที่เขาจะเวียนไปมาที่มันทั้งสอง และผู้ใดสมัครใจทำความดี แน่แท้อัลลอฮ์ทรงเป็นผู้ขอบคุณ ทรงเป็นผู้รู้[93] 

เล่าจากอุรวะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่อาอิชะห์ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดตกหนักเหนือผู้ที่ไม่ได้เวียนไปมาระหว่างศอฟากับมัรวะห์ และข้าพเจ้าไม่หวั่นไหวที่จะไม่เวียนไปมาระหว่างมันทั้งสอง อาอิชะห์ได้กล่าวว่า ที่ท่านพุดนั้นเลวที่สุด โอ้ถูกพี่สาวข้าพเจ้า[94] ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้เวียนไปมา และมวลมุสลิมก็ได้เวียนไปมา และความจริงผู้ใดที่เขาเปล่งเสียง เพื่อรูปปั้น “มะนาต” ผู้อธรรม ซึ่งตั้งอยู่ที่อัลมุซัลลัล พวกเขาจะไม่เวียนไปมา ระหว่างศอฟากับมัรวะห์ ดังนั้น อัลลอฮ์จึงได้ประทานลงมาว่า “ผู้ใดทำฮัจญ์ที่บัยตุลลอฮ์ หรือทำอุมเราะห์ จะไม่มีบาปเหนือผู้นั้น ในการที่เขาจะเวียนไปมาที่มันทั้งสอง” และถ้ามันเป็นอย่างที่อายะห์กล่าวมา มันก็จะไม่มีบาปเหนือผู้นั้น ในการที่เขาจะเวียนไปมาที่มันทั้งสอง ซุห์รี่ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องนั้นให้อบูบักร์ บินอับดิรเราะห์มาน ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจมากถึงกับกล่าวว่า แท้จริงนี่คือความรู้ และความจริง ข้าพเจ้าได้ยินหลายคนจากนักวิชาการกล่าวว่า แท้จริงบุคคลที่ไม่ได้เวียนไปมาระหว่างศอฟากับมัรวะห์นั้นเป็นชาวอาหรับ โดยเขาจะกล่าวว่า ความจริงสิ่งนี้เป็นกิจกรรมในสมัยญาฮิลิยะห์ และคนอื่นๆ จากชาวอันศอรได้กล่าวว่า พวกเราถูกบัญชาให้เวียนรอบบัยตุลลอฮ์ พวกเราถูกไม่ได้ถูกบัญชาให้เวียนไปมาระหว่างศอฟากับมัรวะห์ อัลลอฮ์จึงได้ประทานลงมาว่า “แท้จริงศอฟากับมัรวะห์เป็นสัญลักษณ์ของอัลลอฮ์” อบูบักร์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าอายะห์นี้ประทานลงมาในพวกนี้และพวกนี้[95]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ญาบีร บิน สะมุเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ขณะที่ท่านมาที่มักกะห์ ได้เวียนรอบบัยตุลลอฮ์เจ็ดรอบและได้อ่าน “และท่านทั้งหลายจงเอาที่ยืนของอิบรอฮีมเป็นที่ละหมาด” ท่านได้ละฟมาดหลังมะก่อมอิบรอฮีม หลังจากนั้นท่านได้มาที่หินดำได้ลูบมัน จากนั้นท่านได้กล่าวว่า เราจะเริ่มด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์เริ่ม และได้อ่าน “แท้จริงศอฟากับมัรวะห์เป็นสัญลักษณ์ของอัลลอฮ์”

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

เล่าจากอัสมาอ์ บินติยะซีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า นามของอัลลอฮ์ซึ่งยิ่งใหญ่ปรากฏอยู่ในสองอายะห์นี้ “และพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านคือพระเจ้าองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าที่ถูกเคารพสักการะอย่างเที่ยงแท้ นอกจากพระองค์ ผู้ทรงเมตตายิ่ง ทรงกรุณายิ่ง” และอายะห์เริ่มของซูเราะห์ อาลิ อิมรอน อะลีฟ ลาม มีม พระองค์อัลลอฮ์นั้นไม่มีพระเจ้าที่ถูกเคารพสักการะอย่างเที่ยงแท้นอกจากพระองค์ผู้ซึ่งเป็นอยู่ ผู้ซึ่งดำรงอยู่”[96]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และอะห์มัด ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

เล่าจากอะบี อุมามะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า นามของอัลลอฮ์ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเมื่อพระองค์ถูกวิงวอนขอด้วยนามนี้ พระองค์จะตอบสนอง ปรากฏอยู่สามซูเราะห์ของอัลกุรอาน ในซูเราะห์อัลบะหกะเราะห์ อาลิอิรอน และตอฮา[97]

รายงานหะดีษโดย ต็อบรอนี และฮากีม ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

“และส่วนหนึ่งของประชาชนได้ คือผู้ยึดเอาภาคีต่างๆ นอกจากอัลลอฮ์ โดยที่พวกเขารักพวกนั้นเหมือนรักอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่ศรัทธานั้น รักอัลลอฮ์มากกว่า”[98]

เล่าจาก อับดิลลาฮ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวคำหนึ่งและข้าพเจ้าได้กล่าวอีกคำหนึ่ง ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว ผู้ใดเสียชีวิตในสภาพที่เขาสักการะสิ่งอื่น นอกจากอัลลอฮ์ เขาได้เข้านรก และข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ผู้ใดเสียชีวิตโดยไม่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์เขาได้เข้าสวรรค์

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ในพวกบะนีอิสรออีล ปรากฏว่ามีการกิสอส[99] โดยไม่มีค่าปรับ(ดิยะห์) ในหมู่พวกเขา อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสแก่ประชากรนี้ว่า “การกิสอสได้ถูกกำหนดเหนือพวกท่าน ในคนที่ถูกฆ่าตาย เสรีชนด้วยเสรีชน ทาสด้วยทาส ผู้หญิงด้วยผู้หญิง และผู้ใดได้รับการอภัยสิ่งหนึ่งให้แก่เขา จากพี่น้องของเขา” กสรอภัยคือการรับเอาค่าปรับในกรณีฆ่าโดยเจตนา “ดังนั้นให้ติดตามทวงถามด้วยดี และให้จ่ายแก่เขาโดยดี เขาจะต้องตามทวง[100]ด้วยดี และให้จ่ายแก่เขาโดยดี “นั่นคือการบรรเทาจากพระผู้อภิบาลของพวกเจ้าและเป็นความเมตตา” จากสิ่งที่ถูกกำหนดเหนือบุคคลในยุคก่อนจากพวกเจ้า “ดังนั้นผู้ใดละเมิดหลังจากนั้นเขาจะได้รับโทษที่เจ็บปวด”[101] 

เล่าจาก อะนัส บิน มาลิก ร.ฎ. แท้จริง อัรรุบัยยิอะ น้าสาวของเขาได้ทำฟันซี่หน้าของหญิงคนหนึ่งหัก พวกเขาได้มาขอร้องให้หล่อนอภัยให้ แต่พวกฝ่ายหญิงไม่ยอม[102] จึงได้เสนอค่าชดเชย(ดิยะห์)ให้ พวกเขาฝ่ายหญิงก็ไม่ยอม พวกเขาจึงได้ไปหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. แต่พวกนั้นก็ยังคงม่ยอมรับนอกจากการกิสอส ดัวนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จึงใช้ให้กิสอส อะนัส บิน อันนัดร์ ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ฟันซี่หน้าของอัรรุบัยยิอะ จะต้องถูกทำให้หักไปหรือ ไม่หรอก สาบานต่อผู้ซึ่งแต่งตั้งท่านสัจธรรมว่าฟันซี่หน้าของหล่อนจะต้องไม่ถูกทำให้หัก ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า โอ้อะนัส คัมภีร์ของอัลลอฮ์ระบุว่าต้องกิสอส พวกนั้นจึงได้ยินยอม และอภัยให้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงจากบ่าวของอัลลอฮ์นั้น คือคนที่ถ้าหากมีผู้สาบานต่ออัลลอฮ์แล้ว เขาจะต้องปฏิบัติตามคำสาบานของผู้นั้น

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย การถือศีลอดได้ถูกกำหนดเหนือพวกท่านทั้งหลาย เหมือนที่เคยถูกกำหนดเหนือบรรดาผู้ที่อยู่ในยุคก่อนพวกท่าน แน่แท้พวกท่านจะต้องมีความยำเกรง”[103]

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า วันอาชูรออ์ เคยเป็นวันที่ชาวกุเรช ถือศีลอดในสมัยญาฮิลิยะห์ และท่านนบี ซ.ล. ก็เคยถือศีลอดในวันอาชูรออ์ เมื่อเราะมะฎอนได้ลงมา ก็ปรากฏว่า เราะมะฎอนเป็นหน้าที่ ที่จำเป็น(ฟัรฎู) และท่านได้ทั้งอาชูรออ์ ดังนั้นถ้าใครต้องการ เขาก็ถือศีลอดวันอาชูรออ์ และผู้ใดไม่ต้องการ ก็ไม่ต้องถือศีลอดวันอาชูรออ์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากสะละมะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่ออายะห์นี้ได้ลงมา “และบังคับเอากับผู้ที่มีความสามารถถือศีลอด ให้จ่ายค่าชดเชยเป็นอาหารแก่คนขัดสน[104]” ปรากฏว่าผู้ใดต้องการละศีลอด และจ่ายค่าชดเชยเขาก็กระทำได้ จนกระทั่งอายะห์หลังจากอายะห์นั้นได้ลงมา และยกเลิกมันคือ “ดังนั้นผู้ใดจากพวกท่านได้ปรากฏตัวอยู่ในเดือนนั้น ให้เขาจงถือศีลอดมันเถิด[105]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

“เป็นที่อนุมัติแก่พวกท่าน ในเวลากลางคืนแห่งการถือศีลอดให้กระทำการร่วมเพศกับภรรยาของพวกท่าน พวกหล่อนเป็นอาภรณ์ของพวกท่าน และพวกท่านก็เป็นอาภรณ์ของพวกหล่อน[106]” 

เล่าจากอัลบะรออ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อการถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนได้ลงมา ปรากฏว่าพวกเขาจะไม่เข้าใกล้พวกผู้หญิงตลอดทั้งเดือนเราะมะฎอน และปรากฏว่า มีผู้ชายหลายคนที่ทุจริตต่อตัวเอง อัลลอฮ์จึงประทานลงมาว่า “อัลลอฮ์ทรงทราบดีว่า แท้จริงพวกท่านทุจริตต่อตัวเอง พระองค์จึงรับการกลับตัวของพวกท่าน และได้อภัยแก่พวกท่าน ณ บัดนี้ ท่านทั้งหลายจงสัมผัสพวกนางเถิด และจงแสวงหาสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดแก่พวกท่าน”[107]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากอัลบะรออ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าอัครสาวกของท่านนบี ซ.ล. เมื่อมีชายคนหนึ่งถือศีลอด และถึงเวลาละศีลอด แต่เขานอนก่อนจะละศีลอด เขาจะกินไม่ได้ตลอดคืนนั้นและในวันนั้น จนกว่าจะถึงเวลาเย็น และแท้จริงก็อยส์ บิน ซิรมะห์ ได้ถือศีลอดเมื่อถึงเวลาละศีลอด เชาได้มาหาภรรยาของเขา แล้วกล่าวว่า เธอมือาหารไหม หล่อนตอบว่า ไม่มี แต่ข้าพเจ้าจะไปหามาให้ท่าน และปรากฏว่าในตอนกลางวันนั้นเขาทำงาน ดังนั้น ดวงตาของเขาจึงข่มไว้ไม่อยู่ และเมื่อภรรยาของเขามาเห็นเขา จึงกล่าวว่า เป็นความขาดทุนของท่าน เมื่อได้ครึ่งวันเขาได้เป็นลม ต่อมาได้มีผู้นำเรื่องนี้เล่าให้นบี ซ.ล. ทราบ จึงได้ลงมา มีความหมายว่า “และท่านทั้งหลายจงกินและดื่มจนกว่าจะปรากฏชัด แก่พวกท่านเส้นด้ายสีขาวจากเส้นด้ายสีดำแห่งแสงอรุณ”[108]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

จากอะดีย์ บินฮาติม ร.ฎ. ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ อะไรคือเส้นด้ายสีขาวจากเส้นด้ายสีดำ ทั้งสองคือเส้นด้ายจริงๆ หรือ ท่านได้กล่าวว่า แท้จริงท่านเป็นผู้ที่มีต้นคอกว้าง[109] ถ้าหากท่านจะมองดูเส้นด้ายสองเส้นจริงๆ หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า ไม่ใช่หรอกแต่มันคือ ความดำของกลางคืนกับความขาวของกลางวัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

 เล่าจากอัลบะรออ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเขาในสมัยญาฮิลิยะห์นั้น เมื่อได้อีห์รอม พวกเขาจะกลับเข้าบ้านทางหลังคา อัลลอฮ์ตะอาลาจึงได้ประทานลงมาว่า “ไม่ใช่เป็นการดีต่อการที่พวกท่านจะมาบ้านจากทางด้านหลังของมัน”[110] จนจบอายะห์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และตัวบทของมุสลิมว่า ปรากฏว่าชาว อันศอรนั้นเมื่อได้ทำฮัจญ์แล้ว พวกเขาจะกลับมา และพวกเขาจะไม่เข้าบ้านนอกจากทางด้านหลังของมัน ต่อมามีชายคนหนึ่งจากชาวอันศอรมา และได้เข้าบ้านจากทางประตูบ้าน พวกเขาได้ประณามชายผู้นั้น อายะห์นี้จึงได้ลงมา

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และท่านทั้งหลายจงทำสงครามกับพวกเขา (พวกตั้งภาคี) จนในที่สุดจะไม่เกิดวิกฤติการณ์ขึ้น และศาสนาจะปรากฏเป็นของอัลลอฮ์ ดังนั้นถ้าหากพวกเขายุติ ก็จะไม่มีความเป็นศัตรูต่อกัน นอกจากกับบรรดาผู้ทุจริต[111]

จากนะเฟียะอ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งได้มาหาอิบนิ อุมัรแล้วกล่าวว่า โอ้อะบาอับดิรเราะห์มาน อะไรที่ทำให้ท่านถือเอาการทำฮัจญ์ปีหนึ่ง และอุมเราะห์ปีหนึ่ง และละทั้งการทำสงครามในแนวทางของอัลลอฮ์ ทั้งที่ท่านก็ทราบว่า อัลลอฮ์ทรงเร่งเร้าในการทำสงคราม(ญิฮาด) เขาได้กล่าวว่า “โอ้หลานชาย อิสลามถูกสร้างขึ้นมาบนหลักห้าประการ คือ ศรัทธาต่ออัลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ ละหมาดห้าเวลา ถือศีลอดเดือนเราะมะฎอน จ่ายซะกาต และทำฮัจญ์ ณ บัยตุลลอฮ์ เขากล่าวว่า โอ้อะบาอับดิรเราะห์มาน ท่านไม่ได้ยินหรือที่อัลลอฮ์ตรัสไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ (มีความหมาย) ว่า และถ้าหากมุสลิมสองพวกเข้าห้ำหั่นกัน ให้พวกท่านจงไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่ายนั้น  จงทำสงครามกับพวกเขา จนในที่สุดจะไม่เกิดวิกฤติการณ์ขึ้น” เขากล่าวว่า เราได้เคยปฏิบัติในสมัยท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. และอิสลามก็ยังจำนวนน้อย ชายคนหนึ่งจะพบกับวิกฤติการในศาสนาของเขา บางทีพวกนั้นก็ฆ่าเขา และบางทีก็ลงโทษเขา จนเมื่ออิสลามมีจำนวนมากขึ้น จึงไม่มีวิกฤติการเกิดขึ้น[112] เขาได้กล่าวว่าท่านจะว่าอย่างไรในกรณีของอะลีและอุษมาน ส่วนอุษมานนั้น คถ้ายกับอัลลอฮ์ได้ทรงอภัยให้แล้ว ส่วนพวกท่านมีความรังเกียจที่จะอภัยให้เขา สำหรับอะลีเป็นถูกของลุงของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. และเป็นถูกเขยของท่าน เขาได้ชี้มือของเขาแล้วกล่าวว่า นี่คือบ้านของอะลี ตามที่พวกท่านได้เห็น[113]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และท่านทั้งหลายจงใช้จ่ายในวิถีของอัลลอฮ์ และท่านทั้งหลายอย่ายื่นมือของพวกกท่านไปสู่ความหายนะ และจงทำดี แน่แท้อัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้ทำดี” ฮุซัยฟะห์ได้กล่าวว่า อายะห์นี้ได้ลงมาในเรื่องการใช้จ่ายทรัพย์[114]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

จากอัสลัม อันนะยีบี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราอยู่ที่โรม แถวทหารมหึมาจากฝ่ายโรมันได้ปรากฏแก่ฝ่ายเรา และได้ออกไปจากฝ่ายมุสลิม เพื่อต่อสู้กับพวกนั้นด้วยจำนวนที่เท่ากัน หรือมากกว่า ผู้ที่นำหน้าพวกมิสร์ คืออุกบะห์ บินอะมีร และนำกลุ่มชน คือฟะฎอละห์ บิน อุบัย ได้มีชายคนหนึ่งจากฝ่ายมุสลิม บุกเข้าไปในแถวของพวกโรมัน จนได้เข้าไปในแถวของพวกนั้น ประชาชนได้พากันตะโกนแล้วกล่าวว่า ซุบฮานัลลอฮ์ เขายื่นทั้งสองข้างของเขาไปสู่ความหายนะ อะบูอัยยูบ ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า โอ้ประชาชนทั้งหลาย ความจริงพวหท่าน ได้ตีความอายะห์นี้อย่างนี้หรือ ความจริงแล้วอายะห์นี้ลงมาในหมู่พวกเราชาวอันศอร เมื่ออัลลอฮ์ได้ให้อิสลามมีความเกรียงไกรแล้ว และผู้ช่วยเหลืออิสลามก็มีจำนวนมาก พวกเราบางคนได้กระซิบบอกแก่กัน แท้จริงทรัพย์สินของพวกเราได้เสียหายหายไป และแท้จริงอัลลอฮ์อัลลอฮ์ได้ให้อิสลามมีความเกรียงไกรแล้ว และผู้ช่วยเหลืออิสลามก็มีจำนวนมาก หวังว่าพวกเราจะได้พำนักอยู่กับทรัพย์สินของพวกเรา และปรับปรุงสิ่งที่เสียหายไปจากทรัพย์สินให้ดีขึ้น อัลลอฮ์จึงได้ประทานลงมายังนบีของพระองค์ ปฏิเสธคำพูดของพวกเราว่า “ท่านทั้งหลายจงบริจาคในวิถีทางของอัลลอฮ์” จนจบอายะห์ ดังนั้นความพินาศที่กล่าวถึงคือ การพำนักอยู่กับทรัพย์สิน และปรับปรุงมันโดยที่พวกเราละทั้งการทำสงคราม อะบูอัยยูบ คงเป็นบุคคลที่อุทิศตนในวิถีของอัลลอฮ์ จนในที่สุดได้กลายเป็นชะฮีด และถูกฝังอยู่ที่แผ่นดินโรม

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

“ดังนั้น ผู้ใดจากพวกท่านป่วยหรือมีภัยเกิดขึ้นกับเขาที่ศีรษะ ให้เขาจ่ายค่าชดเชย โดยทำการถือศีลอด หรือจ่ายทาน หรือเชือดสัตว์”[115]

จากอับดิลลาฮ์ บิน มะอ์กิล ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้นั่งลงที่ กะอับ บิน อุจเราะห์ ในมัสญิดเมืองกูฟะห์ ข้าพเจ้าได้ถามถึงคำว่า “ให้เขาจ่ายค่าชดเชย โดยทำการถือศีลอด” เขาตอบว่า ข้าพเจ้าถูกหามไปหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. โดยมีเหาเกลื่อนอยู่ที่ใบหน้าข้าพเจ้า ท่านได้กล่าวว่า ไม่สมควรที่ข้าพเจ้าจะได้แลเห็นความลำบากเกิดขึ้นกับท่านถึงขนาดนี้ ท่านมีแกะไหม ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่มี ท่านกล่าวว่า จงถือศีลอดสามวัน หรือจงจ่ายอาหารให้คนหกคนที่ขัดสน แต่ละคนครึ่งศออ์จากอาหาร และจงโกนศีรษะของท่าน อายะห์นี้จึงได้ลงมาในเรื่องของข้าพเจ้าโดยเฉพาะ และในพวกท่านโดยส่วนรวม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ดังนั้นผู้ใดที่ถือความสะดวกด้วยการทำอุมเราะห์ก่อนฮัจญ์(ภายในเดือนฮัจญ์ของปีเดียวกัน) ดังนั้น เขาจะต้องเชือดสัตว์ที่หาได้สะดวก และผู้ใดไม่มีสัตว์ ให้ถือศีลอดสามวันในเทศการฮัจญ์ และอีกเจ็ดวัน เมื่อพวกท่านได้กลับสู่มาตุภูมิแล้ว นั่นแหละจึงจะสิบวันเต็ม”[116]

เล่าจากอิมนอน บิน ฮุซัยน์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อายะห์อัลมุตอะห์[117] ถูกประทานลงมาในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และพวกเราได้ปฏิบัติมันร่วมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. โดยไม่มีอัลกุรอานลงมาห้ามมัน และท่านก็ไม่ได้ห้ามการทำตะมัตตุอ์ จนเสียชีวิต(แม้จะมี) คนพูดตามความเห็นของเขาในสิ่งที่เขาต้องการ(ก็ตาม) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่า อุกาซ มะยันนะห์ และซุลมะยาซ เคยเปิดตลาดในสมัยญาฮิลิยะห์ พวกเขาถือกันว่ามีบาปที่จะทำการค้าในเทศกาลฮัจญ์ จึงได้ลงว่า “ไม่มีบาปเหนือพวกท่าน การที่พวกท่านจะแสวงหาความโปรดปรานจากพระผู้อภิบาลของพวกท่าน”[118] หมายถึงในเทศกาลฮัจญ์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี 

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าพวกชาวกุเรชและบุคคลที่นับถือศาสนาเดียวกับพวกเขาที่พักอยู่ที่ มุซดาลิฟะห์ และพวกเขาถูกเรียกว่า พวกที่แข็งแกร่ง และปรากฏว่า ชาวอาหรับทั้งหมดจะพักอยู่ที่อะรอฟาต เมื่ออิสลามมา อัลลอฮ์ได้บัญชาให้นบีของพระองค์ ซ.ล. มาที่อะรอฟาต และได้หยุดพักที่นั่น หลังจากนั้นให้เคลื่อนออกจาก อะรอฟาต นั่นคือคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า “หลังจากนั้นให้พวกเขาเคลื่อนออกจากสถานที่ ที่มนุษย์เคลื่อนออก “[119]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อะนัส บิน มาลิก ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. เคยกล่าวว่า “ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเรา ได้โปรดประทานความดีแก่เราในโลกนี้(ดุนยา) และความดีแก่เราในวันอาคิเราะห์ และได้โปรดคุ้มครองเราจากการลงโทษของไฟนรก”

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และพวกท่านจงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์ในวันที่ถูกนับไว้ ดังนั้นผู้ใดรีบด่วนในสองวันก็ไม่มีบาปเหนือเขา และผู้ใดหน่วงเวลาไว้ ก็ไม่มีบาปเหนือเขา สำหรับผู้ที่มีความยำเกรง และท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และพึงทราบเถิด แน่แท้พวกท่านจะถูกนำไปรวมไว้ที่พระองค์”[120]

จากอับดิลลาฮ์ บิน ยะอ์มัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว่า ฮัจญ์คืออะรอฟาต ฮัจญ์คืออะรอฟาต ฮัจญ์คืออะรอฟาต วันที่มีนามีสามวัน ดังนั้น ผู้ใดรีบด่วนในสองวัน ก็ไม่มีบาปเหนือเขา และผู้ใดหน่วงเวลาไว้ ก็ไม่มีบาปเหนือเขา และผู้ใดได้ปรากฏตัวที่อะรอฟะห์ก่อนแสงอรุณขึ้น เขาก็ได้ฮัจญ์[121]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และมีบางคนที่คำพูดของเขาทำให้ท่านพึงพอใจใยชีวิตดุนยานี้ และเขามักอ้างอัลลอฮ์เป็นสักขีพยาน แก่สิ่งที่อยู่ในหัวใจของเขา โดยที่เขาเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด[122]

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชายที่อัลลอฮ์โกรธที่สุด คือผู้ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูที่ฉกาจที่สุด[123]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

“หรือพวกท่านคาดคิดว่าจะได้เข้าสวรรค์ ทั้งที่อุธาหรณ์ ของบรรดาบุคคลที่ล่วงลับไปก่อนหน้าพวกท่าน ยังไม่ได้มีมาสู่พวกท่าน นั่นคือความแร้นแค้น และความเดือดร้อนได้เกิดขึ้นกับพวกเขา และพวกเขาถูกกระหน่ำอย่างรุนแรงด้วยความหวาดกลัว จนศาสนทูตและบรรดาผู้มีศรัทธาที่อยู่กับเขาถึงกับกล่าวว่า เมื่อไร อัลลอฮ์จึงจะช่วยเหลือ พึงทราบเถิดว่า แท้จริงการช่วยเหลือของอัลลอฮ์นั้นใกล้แล้ว”[124]

เล่าจากคอบบาบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้มายังท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ขณะที่ท่านกำลังใช้ผ้าห่มทำเป็นหมอนหนุนศีรษะอยู่ใต้ร่มเงาของอัลกะอ์บะห์เราจึงได้ร้องเรียนต่อท่าน โดยพวกเรากล่าวว่า ได้โปรดให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ได้โปรดวิงวอนต่ออัลลอฮ์ให้แก่พวกเรา ท่านได้ลุกขึ้นนั่งด้วยใบหน้าที่แดงกล่ำ แล้วท่านได้กล่าวว่า ได้ปรากฏว่าบุคคลในยุคก่อนพวกท่าน มีชายคนหนึ่งถูกจับ และหลุมได้ถูกขุดลึกลงไปในดินเพื่อเขา หลังจากนั้นเลื่อยได้ถูกนำมาและวางบนศีรษะเขา และเขาก็ถูกเลื่อยแยกออกเป็นสองซีก การเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้เขาหันเหออกจากศาสนา (อีกคนหนึ่ง)เนื้อและเส้นเอ็นก็ถูกสับด้วยหวีเหล็กนอกจากกระดูกของพวกเขาเท่านั้น มันก็ไม่ได้ทำให้เขาหันเหออกจากศาสนาของเขา[125] สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า พระองค์จะต้องให้งานชิ้นนี้สมบูรณ์อย่างแน่นอน จนผู้ขี่พาหนะสามารถเดินทางระหว่างศอนอาอ์ และฮัรรอเม้าต์ โดยเขาจะไม่มีความกลัวสิ่งใด นอกจากอัลลอฮ์และหมาป่าที่จะทำร้ายแพะของเขา แต่พวกท่านรีบร้อน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอบูดาวูด

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อายะห์ที่ว่า “โอ้บรรดาผู้ที่มีศรัทธาทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าเข้าใกล้ละหมาด ในสภาพที่พวกท่านมึนเมา” “พวกเขาจะถามท่านถึงสุราและการพนัน ท่านจงตอบเถิดว่า ในมันทั้งสองมีโทษอันยิ่งใหญ่ และมีประโยชน์สำหรับมวลมนุษย์”[126]อายะห์ที่อยู่ในซูเราะห์อัลมาอิดะห์ ได้ยกเลิกอายะห์ทั้งสองนี้ คือ “ความจริง สุรา การพนัน การเชือดสัตว์มูซายัน และ การเสี่ยงทาย (ด้วยสิ่งต่างๆ) เป็นความชั่วร้ายที่มาจาก ผลงานของ ของชัยฏอน ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงออกห่างไกลมันเถิด แน่แท้ท่านทั้งหลายจะประสบความสมหวัง[127]

รานงานโดย อะบูดาวูด ในเรื่องเครื่องดื่มต่างๆ

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกยะฮูด นั้น ปรากฏว่า เมื่อผู้หญิงคนใดมีเลือด ประจำเดือนพวกเขาจะไม่กินและดื่มร่วมกับหล่อน และจะไม่อยู่ร่วมกับหล่อนภายในบ้าน ต่อมา ได้มีผู้ถามท่านนบี ซ.ล.  ถึงเรื่องดังกล่าว อัลเลาะห์ตะอาลาจึงได้ประทานลงมาว่า “และพวกเขา จะถามท่านถึงเลือดประจำเดือน ท่านจงตอบเถิดว่า มันเป็นภัย ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงแยกตัว ออกจากพวกผู้หญิงขณะมีเลือดประจำเดือนเถิด”[128] ท่านนบี ซ.ล.  ได้ใช้พวกเขาให้กิน และดื่มร่วมกับพวกผู้หญิงขณะมีประจำเดือน และให้พวกเขาอยู่ร่วมบ้านกับพวกผู้หญิงที่มีเลือด ประจำเดือน และได้ให้กระทำทุกอย่างนอกจากการร่วมประเวณีเท่านั้น พวกยะฮูดได้กล่าวว่า มูฮัมมัดไม่ต้องการปล่อยงานของเราไว้สักชิ้นเดียว นอกจากเขาจะต้องกระทำให้แตกต่างจาก พวกเราในงานชิ้นนั้น ต่อมา อับบาด บิน  บิชร์ และ อุซัยดิ บิน  ฮุดัยร์ ได้มาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  และได้เล่าให้ท่านทราบถึงเรื่องดังกล่าว โดยทั้งสองคนได้กล่าวว่าโอ้ท่าน เราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  พวกเราจะไม่ร่วมประเวณีกับพวกผู้หญิงขณะมีเลือดประจำเดือนหรือ ใบหน้าของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้เปลี่ยนสีไป จนพวกเราคิดว่าท่านโกรธคนทั้งสอง ต่อมาของกำนัลที่เป็นนมได้ (มีผู้นำมามอบให้) ต่อหน้าเขาทั้งสอง ท่านเราะซูลุลลอฮ์  จึงได้ส่งคน ไปตามคนทั้งสองมา และได้ให้คนทั้งสองดื่ม คนทั้งสองจึงรู้ว่าท่านไม่ได้โกรธ[129]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกยะฮูดได้เคยกล่าวว่า ผู้ใดร่วมกับภรรยาของเขา ทางทวารหน้า (มาจากทางด้านหลังของหล่อน) เด็กที่เกิดมาจะตาเหล่ จึงได้ลงมาว่า “ภรรยาของ พวกท่านเป็นไร่นาของพวกท่าน ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงมาสู่ไร่นาของพวกท่าน ไม่ว่าจากทางใด ที่พวกท่านมีความประสงค์ [130]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อุมัรได้มาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  แล้ว กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าได้หายนะแล้ว ท่านได้ถามว่า อะไรทำให้ท่านหายนะ เขาตอบว่า ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนอานของข้าพเจ้าเมื่อคืนนี้[131] ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ไม่ได้ ตอบเขา จึงได้ลงมาว่า “ภรรยาของพวกท่านคือไร่นาของพวกท่าน ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงมาสู่ ไร่นาของพวกท่าน ไม่ว่าจากทางใดที่พวกท่านมีความประสงค์” จงหันหน้า จงหันหลัง และ จงระวังช่องทวารหนัก และ เลือดประจำเดือน[132]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน 741

เล่าจากมะอฺกิล บิน  ยะซาร ร.ฎ. ว่า แท้จริงเขาได้แต่งงานน้องสาวของเขาให้แก่ผู้ชาย มุสลิมคนหนึ่งในสมัยท่านนบี ซ.ล.  และหล่อนได้อยู่กับเขาชั่วระยะหนึ่ง ต่อมาภายหลังเขาได้ หย่าหล่อนหนึ่งการหย่า โดยไม่กลับไปคืนดีกับหล่อน จนหมดกำหนดกักตัว (อิดดะห์) และเขา ได้เกิดรักหล่อนขึ้นมาอีกและหล่อนก็รักเขา ต่อมาเขาได้มาสู่ขอหล่อนพร้อมด้วยบรรดาผู้มาสู่ขอ เขา (มะอฺกิ้ล) ได้กล่าวแก่เขาว่า โอ้ชายผู้น่ารังเกียจ ข้าพเจ้าได้ให้เกียรติท่าน โดยมอบหล่อน ให้ไป และได้แต่งงานให้ท่าน แต่ท่านก็ได้หย่าหล่อน ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า หล่อนจะไม่กลับ ไปสู่ท่านอีกตลอดกาล เขาได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ทรงรู้ความต้องการของเขาในตัวหล่อน และรู้ ความต้องการของหล่อนในตัวสามีของหล่อน อัลเลาะห์จึงได้ประทานลงมาว่า “และเมื่อท่าน ทั้งหลายได้หย่าภรรยา และพวกหล่อนก็ได้อยู่จนถึงกำหนดของหล่อนแล้ว”[133] จนจบอายะห์ เมื่อมะอฺกิล ได้ยินอายะห์นี้ เขาได้กล่าวว่า เชื่อฟังแล้วสำหรับพระผู้อภิบาลของข้าฯ และ ปฎิษัติตามแล้ว หลังจากนั้น มะอฺกิลได้เรียกเขามาแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะแต่งงานให้ท่าน และ จะให้เกียรติแก่ท่าน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี 

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และบรรดาผู้ที่ถึงแก่ความตายจากพวกท่าน โดยทิ้งภรรยาไว้ พวกหล่อนจะต้องกักตัวของพวกหล่อนเองเป็นเวลาสี่เดือนกับสิบวัน”[134]

เล่าจากอับดิลลาห์ บิน  อัซซุบัยร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่อุษมาน ร.ฎ. ว่า อายะห์ที่ว่า “และบรรดาผู้ที่ถึงแก่ความตายจากพวกท่าน โดยทิ้งภรรยาไว้ ก็ต้องสั่งเสียไว้ให้ แก่ภรรยาของพวกเขา ซึ่งเครื่องอำนวยความสุข จนครบหนึ่งปีโดยไม่ให้ออกจากบ้าน”[135] ได้มี อายะห์อื่นมายกเลิกอายะห์นี้แล้ว ทำไมท่านจึงยังบันทึกมันไว้ หรือทำไมท่านจึงปล่อยมันไว้ เขา กล่าวว่า โอ้หลานชายข้าพเจ้าจะไม่โยกย้ายสิ่งใดๆ จากอัลกุรอานออกจากที่เดิมของมัน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อายะห์ที่ (มีความหมาย) ว่า “และบรรดาผู้ที่เสียชีวิต ไปจากพวกฟานโดยทั้งภรรยาไว้ จะต้องสั่งเสียไว้ให้แก่ภรรยาของพวกเขา ซึ่งเครื่องอำนวยความสุขจนครบหนึ่งปี โดยไม่ให้ออกนอกบ้าน” ได้ถูกยกเลิกโดยอายะห์ที่ว่าด้วยเรื่องมรดก และกำหนด หนึ่งปีนั้นก็ได้ถูกยกเลิกด้วยกำหนดสี่เดือนกับสิบวัน[136]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ในเรื่องการหย่า

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงหมั่นรักษาบรรดาละหมาดโดยเฉพาะ อย่างยิ่งละหมาดกลาง และท่านทั้งหลายจงยืนหยัดเพื่ออัลเลาะห์อย่างเป็นผู้ภักดีเถิด”[137]

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวในวัน อัลอะห์ชาบ[138] ว่า ข้าแด่ พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดให้หลุมศพของพวกเขา และบ้านของพวกเขาเต็มไปด้วยไฟ เหมือน ที่พวกเขาได้ทำให้พวกเราหมกมุ่นไม่ได้ละหมาดกลา3 จนตะวันตก 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี 

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ละหมาดกลางคือละหมาดอัสร์

เล่าจากอะบี ยูนุส ร.ฎ. ทาสของอาอีชะห์ได้กล่าวว่า อาอีชะห์ได้ใช้เข้าพเจ้าให้เขียนคัมภีร์ (มุสฮัฟ) ให้เธอ ต่อมาเธอได้กล่าวว่า เมื่อท่านเขียนถึงอายะห์นี้คือ “ท่านทั้งหลายจง หมั่นรักษาบรรดาละหมาดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ละหมาดกลาง” จงบอกให้ข้าพเจ้าทราบด้วย ต่อมา เมื่อข้าพเจ้าได้เขียนถึงอายะห์ ดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงบอกเธอ และเธอได้บอกให้ข้าพเจ้าเขียนว่า “ท่านทั้งหลายจงหมั่นรักษาบรรดาละหมาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งละหมาดกลาง และ ละหมาดอัสร”[139]และเธอได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินอายะห์นี้มาจากท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์ 742

เล่าจากเซด บิน  อัรกอม ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเคยพูดคุยกันขณะละหมาดคนหนึ่ง จากพวกเราจะพูดคุยธุระของเขากับพี่น้องของเขา จนอายะห์นี้ได้ลงมา “ท่านทั้งหลายจงหมั่นรักษา บรรดาละหมาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งละหมาดกลาง และท่านทั้งหลายจงยืนหยัดเพื่ออัลเลาะห์อย่าง ผู้ภักดี” และพวกเราก็ได้ถูกใช้ให้นิ่ง[140]

รายงานโดย บุคอรี และติรมิซี

 

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และถ้าหากพวกท่านเกิดความหวาดกลัว ก็ให้ละหมาดพร้อม ทั้งเดิน หรือ ขี่พาหนะ ครั้นเมื่อพวกท่านปลอดภัยแล้ว ให้พวกท่านกล่าวรำลึกถึงอัลเลาะห์ เช่นที่พระองค์ทรงสอนพวกท่าน ในสิ่งที่พวกท่านไม่เคยรู้มาก่อน”[141]

และปรากฏว่า อิบนุ อุมัร นั้น เมื่อเขาถูกถามถึงการละหมาดในยามที่เกิดความหวาดกลัว เขาจะตอบว่าให้อีหม่ามก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมด้วยประชาชนกลุ่มหนึ่ง และให้อีหม่ามละหมาดนำคนกลุ่มนั้น หนึ่งเราะกะอัต และให้มีประชาชนอีกพวกหนึ่ง คอยระวังศัตรูจากกลุ่มแรก โดยยังไม่ต้องละหมาด และเมื่ออีหม่ามได้ละหมาดร่วมกับคนกลุ่มแรกได้หนึ่งเราะกะอัตแล้ว ให้ คนกลุ่มแรกกอยหลังมาแทนที่กลุ่มที่ยังไม่ได้ละหมาด และกลุ่มแรกจะยังไม่ให้สลาม ให้กลุ่มที่ ยังไม่ได้ละหมาดขึ้นไปข้างหน้าและละหมาดร่วมกับอีหม่ามหนึ่งเราะกะอัต หลังจากนั้นอีหม่ามก็ จะเลิกละหมาด โดยที่เขาได้ละหมาดสองเราะกะอัต ต่อมาให้แต่ละกลุ่มจากทั้งสองพวกลุกขั้น ละหมาดให้ตัวเองอีกหนึ่งเราะกะอัต ภายหลังจากอีหม่ามได้เสร็จละหมาดไปแล้ว ก็จะเป็นว่าทุกกลุ่มได้ละหมาดกลุ่มละสองเราะกะอัต และถ้าหากความกลัวถึงขั้นรุนแรงมากกว่าที่กล่าว ให้พวก เขาละหมาดในสภาพเดิน ยืนอยู่บนเท้าของพวกเขาหรือขี่พาหนะโดยผินหน้าไปสู่กิบลัด หรือไม่ ผินไปสู่กับลัตก็ตาม 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “อัลเลาะห์นั้นไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้ นอกจากพระองค์ซึ่ง ทรงเป็นอยู่เสมอ ทรงดำรงอยู่ ความง่วงเหงา และความหลับไหลไม่ครอบงำพระองค์ พระองค์ เป็นผู้ทรงกรรมสิทธิ์ในสรรพสิ่งที่มือยู่ในชั้นฟ้า และสรรพสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน ใครเล่าที่จะให้ ความช่วยเหลือ ณ พระองค์ได้นอกจากโดยอนุมัติของพระองค์ พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ต่อ หน้าพวกเขา และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา และพวกเขาจะไม่ล่วงรู้ด้วยสิ่งใดๆ จากความรอบรู้ ของพระองค์เลย นอกจากสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ เก้าอี้ของพระองค์แผ่เต็มชั้นฟ้าและแผ่นดิน และการปกป้องมันทั้งสอง จะไม่ทำให้พระองค์เหนื่อยยากเลย และพระองค์ทรงสูงส่ง และ ทรงยิ่งใหญ่”[142]

เล่าจากอะบี มูซา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้หยุดอยู่ในหมู่พวกเขา เท่ากับคำพูดห้าประโยค โดยท่านได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรจะ ไม่นอน และไม่สมควรที่พระองค์จะนอน พระองค์จะลดตาชั่ง และยกตาชั่ง[143] ผลงานในเวลา กลางคืนจะถูกยกขึ้นไปสู่พระองค์ก่อน ผลงานในเวลากลางวัน และผลงานในเวลากลางวันจะถูกยกขึ้นไปสู่พระองค์ ก่อนผลงานในเวลากลางคืน[144]เครื่องกำบังของพระองค์คือรัศมี ถ้าหากพระองค์เปิดเครื่องกำบังออกความยิ่งใหญ่แห่งดวงหน้าของพระองค์จะเผาไหม้ (สรรพสิ่งต่างๆ) การมองเห็นพระองค์จากชาวโลกไม่อาจถึงพระองค์ได้ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ในเรื่องการศรัทธา และอิบนุมายะห์

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนปี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า พวกเราควรต้องสงสัย ยิงกว่าอบรอฮึม ขณะที่เขากล่าวว่า “ข้า แด่พระผู้อภิบาลของข้าฯ ได้โปรดให้ข้าฯ เห็นเกิดว่า พระ องค์ท่านจะทรงชุบชีวิตของคนตายให้ฟืนขึ้นได้อย่างไร” พระองค์ตรัสว่า “ท่านไม่ศรัทธาหรือ” เขากล่าวว่า “หามิได้แต่เฟือความมันใจของข้าพเจ้า”[145]

รายงานโดย บุคอรี ในเรื่องนี้ และบุคอรีในเรื่องการศรัทธา

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “คนหนึ่งคนใดจากพวกท่าน ชอบหรือที่เขาจะมีสวนแห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยต้นอินทผลัมและต้นองุ่น โดยมีสายนํ้าหลายสายไหลอยู่เบื้องใต้มัน เขาใต้รับในสวนนั้น จากผลไม้ต่าง ๆ และความชราได้มาเยือนเขา และเขาก็มีถูกหลานหลายคนที่ยังอ่อนวัย ต่อมาได้ มีพายุโหมกระหนึ่าสวนนั้น และสวนนั้นก็ไหม้ไฟ เช่นนั้นแหละที่อัลเลาะห์จะเแจงสัญญาณต่างๆ แก่พวกท่านเพื่อท่านทั้งหลายจะใคร่ครวญ”[146]

อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวในวันหนึ่งแก่บรรดาอัครสาวกของท่านนบี ซ.ล.  ว่า พวกท่านเห็นว่าอายะห์นี้ได้ลงมาในสิ่งใดคือ “คนหนึ่งคนใดจากพวกท่านชอบหรือ ที่เขามีสวนแห่งหนึ่ง” พวกเขาตอบว่า อัลเลาะห์ทรงทราบดี อุมัรโกรธแล้วกล่าวว่า พวกท่านจงพูดว่า เรารู้ หรือเราไม่รู้ อิบนุ อับบาสได้กล่าวว่า ในใจข้าพเจ้าที่มีสิ่งหนึ่งจากอายะห์นี้โอ้ท่านผู้นำของเหล่าผู้มี ศรัทธาอุมัรได้กล่าวว่า โอ้หลานชายจงพูดเถิดอย่าดูถูกตัวเองเลย อิบนุ อับบาสได้กล่าวว่า อายะห์นี้ถูกยกเป็นอุธาหรณ์แก่งานชิ้นหนึ่ง อุมัรกล่าวว่า งานอะไร เขากล่าวว่า แก่งานชิ้นหนึ่ง อุมัรได้กล่าวว่า แก่ชายคนหนึ่งที่ร่ำรวยที่เขาจะปฏิบัติการภักดีต่ออัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร หลังจากนั้นอัลเลาะห์ได้ส่งชัยฏอนมายังเขา และเขาได้ทำความชั่วต่างๆ จนมันได้ทำให้ผลงาน ต่างๆ ของเขาจมลง[147]

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจากอัลบะรออฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเป็นชาวอันศอร เป็นเจ้าของต้นอินทผลัม และจะมีชายคนหนึงนำอินทผลัมของเขามาตามความมากน้อยของมัน (ที่เขาได้รับ) และจะมีคน นำมาหนึ่งและสองทะลายจะแขวนมันไว้ที่มัสญิด และโดยทีชาวชุฟฟะห์ไม่มือาหาร ดังนั้นเมื่อ คนหนึ่งจากพวกเขาหิวก็จะมาที่ทะลายนั้น และใช้ไม้เท้า1ของเขาตีไปที่ทะลาย ก็จะมีผลอิทผลัม และผลไม้ร่วงลงมา เขาก็จะรับประทาน (มัน) และมีบางคนที่ไม่ปรารถนาความดี คนหนึงจาก พวกเขาจะนำเอาทะลายมา ในนั้นมีผลอินทผลัมอ่อน และอินทผลัมชนิดเลว และด้วยทะลาย ที่แตกแล้วเขาก็จะนำมันมาแขวนไว้ อัลเลาะห์ดาอาลาจึงได้ประทานลงมาว่า “โอ้บรรดาผู้ที่มีศรัทธาทั้งหลายจงบริจาคบางส่วนของสิ่งที่ดีที่พวกท่านได้พากเพียรไว้ และจากสิ่งที่เราได้ให้ ผลิออกจากแผ่นดินเพื่อพวกท่าน และท่านทั้งหลายอย่ามุ่งเอาสิ่งเลวจากนั้นมาบริจาค ทั้ง ๆ ที่ พวกท่านเองค์ไม่เอาสิ่งนั้น นอกจากพวกท่านมองข้ามและกระดากที่จะรับมันไว้”[148] อัลบะรออฺ ได้กล่าวว่า ถ้าหากคนหนึ่งคนใดจากพวกท่านได้รับของกำนัลเหมือนที่เขาได้ให้ไป เขาก็จะ ไม่รับมันไว้ นอกจากจะมองข้ามและกระดาก เขาได้กล่าวว่า พวกเราได้พบว่าภายหลังจากนั้น คนหนึ่งของพวกเราจะนำแต่สิ่งที่ดีที่เขามือยู่มา 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงชัยฏอนจะทำให้มี ความคิดหนึ่งเกิดขึ้นแก่มนุษย์ และมะลาอิกะห์ก็จะทำให้มีความคิดหนึ่ง (เกิดขึ้นแก่มนุษย์) สำหรับ ความคิดของชัยฏอนนั้น จะเคี่ยวเข็ญให้ทำความชั่ว และกล่าวหาสัจจธรรมว่าโกหก ส่วนความคิด ของมาลาอิกะห์ นั้น จะเคี่ยวเข็ญให้ทำความดี และยืนยันสัจจธรรมว่าจริง ดังนั้น ผู้ใดพบเหตุการณ์เช่นนั้น พึงทราบเถิดว่า แท้จริงมันมาจากอัลเลาะห์ และให้เขาจงสรรเสริญอัลเลาะห์ และ ผู้ใดพบอื่นจากที่กล่าว ให้เขาจงขอป้องกันด้วยอัลเลาะห์จากชัยฏอนที่ถูกแช่งเถิด หลังจากนั้นท่าน ได้อ่าน “ชัยฏอนนั้นมันจะเอาความจนมาอ้างกับพวกท่าน และมันจะใช้พวกท่าน ด้วยสิ่งที่น่า เกลียด และอัลเลาะห์ทรงสัญญาแก่พวกเจ้าถึงการอภัยจากพระองค์ และความโปรดปราน และ อัลเลาะห์ทรงไพศาลทรงรอบรู้[149]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ถ้าหากท่านทั้งหลายเปิดเผยการทำทานซอดาเกาะห์ต่างๆ โดยมันก็เป็นสิ่งที่ดียิ่ง และถ้าหากท่านทั้งหลายปิดบังมันไว้ และพวกท่านมอบมันแก่บรรดาคนยากจน มันก็เป็นความดีแก่พวกท่าน และพระองค์จะลบล้างความชั่วต่างๆ ของพวกท่านออกจากพวกท่าน และอัลเลาะห์ทรงรอบรู้สิ่งที่ท่านทั้งหลายกระทำ”[150]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่ออัลเลาะห์สร้างแผ่นดินขึ้น มันก็เริ่มเคลื่อนไหว พระองค์จึงได้สร้างภูเขา และได้บัญชาให้มันตั้งอยู่บนแผ่นดิน มันจึงสงบนิ่ง มะลาอิกะห์รู้สึกประหลาดในความแข็งแกร่งของภูเขา จึงกล่าวว่า ข้า แด่พระผู้อภิบาลมีสิ่งใดไหม จากสรรพสิ่งที่พระองค์ได้สร้างมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าภูเขา พระองค์ตอบว่า มี มันคือเหล็ก พวกเขาถามว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลมีสิ่งใดไหม จากสรรพสิ่งที่พระองค์ท่านได้สร้าง มีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็ก พระองค์ตอบว่า มีซิ มันคือไฟ พวกเขาถามว่า ข้าแด่พระผู้ อภิบาลมีสิ่งใดไหม จากสรรพสิ่งที่พระองค์ท่านได้สร้าง มีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าไฟ พระองค์ตอบว่า มีซิ มันคือน้ำ พวกเขาถามว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาล มีสิ่งใดไหม จากสรรพสิ่งที่พระองค์ ท่านได้สร้างมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่า นํ้า พระองค์ตอบว่า มีซิ มันคือลม พวกเขาถามว่า ข้า  แด่พระผู้อภิบาล มีสิ่งใดไหมจากสรรพสิ่งที่พระองค์ท่านได้สร้าง มีความแข็งแกร่งยิ่งกว่า ลม พระองค์ตอบว่า มีซิ คือมนุษย์ที่ทำทานซอดาเกาะห์ ด้วยมือขวาของเขาโดยเขาปิดบังมันจาก มือซ้ายของเขา[151]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ในตอนท้ายของเรื่องการบรรยายความหมายอัลกุรอาน

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า คนขัดสน นั้นไม่ใช่ คนที่อินทผลัมหนึ่งผลและสองผล อาหารคำหนึ่งและสองคำทำให้เขากลับออกไปได้ แต่คนบี ขัดสนจริง ๆ คือผู้ที่สงบเสงี่ยม และท่านทั้งหลายจงอ่านถ้าต้องการ “พวกเขาจะไม่ร่ำไรขอจาก มนุษย์”[152]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “พระองค์อัลเลาะห์จะลบล้างดอกเบี้ย และเพิ่มพูนให้การบริจาคทานต่าง ๆ และอัลเลาะห์ไม่รักทุกคนที่เนรคุณที่ทำบาป”[153]

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่ออายะห์ต่าง ๆ ที่อยู่ท้าย1ซูเราะห์ด้ลบะกอเราะห์ ในเรึ่องดอกเบี้ย (ริบา) ได้ลงมา ท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล.  ได้อ่านอายะห์เหล่านั้นให้ประชาชนฟัง ต่อมาท่านได้ห้ามการค้าขายสุรา[154]

ราบงานโดย บุคอรี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงระวังวันหนึ่งที่พวกท่านจะถูกนำกลับไปสู่อัลเลาะห์ในวันนั้น หลังจากนั้นทุกชีวิตจะถูกตอบแทนครบถ้วน ด้วยสิ่งที่พวกเขาพากเพียรไว้ โดยพวกเขาจะไม่ถูกทุจริต”[155]

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อายะห์สุดท้ายที่ลงมายังท่านนบี ซ.ล.  คือ อายะห์ที่ว่าด้วยเรื่องดอกเบี้ย (ริบา)[156]

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า เมื่ออายะห์นี้ได้ลงมาคือ “เป็นสิทธิของอัลเลาะห์ สรรพสิ่งในนั้นฟ้า และสรรพสิ่งในแผ่นดิน และถ้าหากท่านทั้งหลายเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในจิตใจของ พวกท่าน หรือปิดบังมันไว้ อัลเลาะห์ก็จะนำมาสอบสวนพวกท่านอย่างแน่นอน และพระองค์ จะทรงอภ้ยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และจะลงโทษผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลเลาะห์ ทรงสามารถเหนือทุกสิ่ง”[157] การเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ร้ายแรงเหนืออัครสาวกของท่านนบี ซ.ล.  พวกเขาจึงได้มาหาท่าน หลังจาทนั้นพวกเขาได้คุกเข่าลงแล้วกล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ พวกเราได้ถูกบังคับด้วยการกระทำต่างๆ ที่พวกเราไม่มีความสามารถเช่นละหมาด การถือศีลอด การทำสงครามและการบริจาคทาน และแท้จริงอายะห์นี้ได้ถูกประทานลงมายังท่าน และเราก็ไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า พวกท่านต้องการจะพูดเหมือน ที่ชาวสองคัมภีร์[158] ซึ่งอยู่ในยุคก่อนจากพวกท่าน ได้พูดอย่างนั้นหรือ ที่พวกนั้นพูดว่า เราได้ ยินแล้ว และเราได้ฝ่าฝืนแล้ว แต่พวกท่านจงกล่าวว่า พวกเราได้ยินแล้วและได้ปฏิบัติตามแล้ว พระองค์ท่านได้โปรดอภัยเถิด ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเรา และไปสู่พระองค์ท่านนั้น คือที่กลับคืน ท่านได้กล่าวมันสองครั้ง และเมื่อประชาชนได้อ่านอายะห์นั้นแล้ว ลิ้นของพวกเขาได้สยบลงต่อ อายะห์นั้น อัลเลาะห์จึงได้ประทานตามหลังอายะห์นั้นลงมาว่า “ศาสนทูตและมวลผู้ศรัทธา ได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมายังเขาจากพระผู้อภิบาลของเขาแล้ว ทุกคนต่างมีศรัทธาต่อ อัลเลาะห์ต่อมะลาอิกะห์ของพระองค์ คัมภีร์ของพระองค์ และบรรดาศาสนทูตของพระองค์ เราจะไม่จำแนกระหว่างคนใด จากบรรดาศาสนทูต และพวกเขาได้กล่าวว่า พวกเราได้ยินแล้ว และได้ปฏิบัติตามแล้ว ขอพระองค์ท่านได้โปรดอภัยเถิด ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเรา และพระองค์ ท่านนั้นคือที่กลับคืน”[159] และเมื่อพวกเขาได้ปฏิบัติดังกล่าวนั้นแล้ว อัลเลาะห์ตะอาลาก็ไดัยกเลิก อายะห์นั้น และพระองค์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้ประทานลงมาว่า “อัลเลาะห์ไม่ได้ทรง บังคับชีวิตใด นอกจากเท่าที่ชีวิตนั้นจะมีความสามารถ เป็นคุณประโยชน์ของเขา สิ่งที่เขาได้พากเพียรทำไว้ และเป็นผลร้ายแก่เขาสิ่งที่เขาได้พากเพียรทำไว้ ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเรา โปรดอย่าเอาผิดพวกเรา ข้าหากเราหลงลืมหรือผิดพลาด” พระองค์ตอบว่าได้สิ “ข้าแด่พระผู้อภิบาลของเรา และโปรดอย่าให้เราต้องแบกภาระอันหนกอึ้ง เหมือนที่พระองค์ท่านได้ให้ประชาชนในยุคก่อนพวกเราต้องแบกกัน” พระองค์ตอบว่าได้สิ “และได้โปรดยกโทษให้เรา ได้โปรดให้อภัยแก่เรา ได้โปรดเมตตาเรา พระองค์ท่านเป็นผู้คุ้มครองเรา ดังนั้นจงได้โปรดให้พวกเรามีชัยชนะเหนือพวกเนรคุณ”[160] พระองค์ตอบว่าได้สิ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ในเรื่องการศรัทธา บุคอรี และติรมิซี ในเรื่องนี้

ซูเราะห์ อาลิ อิมรอน

ด้วยนามของอัลลาะห์ผู้ทรงเมตตาผู้ทรงกรุณายิ่ง

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “พระองค์ทรงประทานคัมภีร์ลงมายังท่าน บางส่วนของ คัมภีร์นั้นเป็นอายะห์ที่มีความหมายชัดเจน เหล่านั้นคือแม่บทของคัมภีร์ และอีกส่วนหนึ่งเป็น อายะห์ที่มีโวหารคลุมเครือ ซึ่งบรรดาผู้ซึ่งภายในหัวใจของเขามีความรวนเร พวกเขาจะปฏิบัติ ตามที่มีโวหารคลุมเครือจากคัมภีร์ เพื่อหวังสร้างความสับสนวุ่นวาย และหวังตีความคัมภีร์ตาม ความต้องการ และจะไม่มีผู้ใด-รู้การตีความคัมภีร์นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น และบรรดาผู้เชี่ยวชาญ ในความรู้ พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราได้ศรัทธาต่อคัมภีร์ว่าทุกอายะห์มาจากพระผู้อภิบาลของเรา และจะไม่รับคำเตือนนอกจากผู้มีปัญญา”[161]

อาอีชะห์ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้อ่านอายะห์นึ่หลังจากนั้น ท่านได้ กล่าวว่า ดังนั้นเมื่อเธอเห็นบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามอายะห์ที่มีโวหารคลุมเครือจากคัมภีร์ พวกนั้น แหละคือ บรรดาผู้ทีอัลเลาะห์ได้เอ่ยถึง ดังนั้นท่านทั้งหลายจงระมัดระวังพวกนั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และท่านนบีบี ซ.ล.  ได้ยินชายสองคนขัดแย้งกันในอายะห์หนึ่ง และรู้ความโกรธได้จาก สีหน้าของท่าน และท่านได้กล่าวว่า ความจริงบุคคลในยุคก่อนพวกท่านได้พินาศเพราะพวก เขาขัดแย้งกันในคัมภีร์[162]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ในเรื่องความรู้

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า นามของอัลเลาะห์ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเมื่อถูกขอด้วยนามนิ้ พระองค์จะตอบสนอง ปรากฏอยู่ในอายะห์นี้ “จงกล่าวเถิดว่า ข้าแด่พระ องค์อัลเลาะห์ ผู้ทรงอำนาจ ปกครอง พระองค์ท่านจะประทานอำนาจปกครองแก่บุคคลที่พระองค์ท่านทรงปรารถนา และพระองค์ท่านจะถอดอำนาจการปกครองจากผู้ที่พระองค์ท่านทรงปรารถนา และพระองค์ท่านจะทรงยกเกียรติให้แก่บุคคลที่พระองค์ท่านทรงปรารถนา และพระองค์ท่านจะให้ตกตํ่าแก่บุคคลที่พระองค์ท่านทรงปรารถนา ความดีอยู่กับมือของพระองค์ท่าน แท้จริงพระองค์ท่าน ทรงสามารถเหนือทุกสิ่ง”[163]

รายงานโดย ตอบรอนี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ไม่มีทารกคนใดที่คลอด ออกมานอกจากชัยฏอน จะต้องมาลูบทารกนั้น ขณะที่คลอด และทารกนั้นก็จะส่งเสียงร้องไห้จ้า เนื่องจากการที่ชัยฏอนลูบทารกนั้น นอกจากมัรยัม และบุตรของเธอ และท่านทั้งหลายจงอ่าน ถ้าหากต้องการ “และแท้จริงข้าพเจ้าขอให้พระองค์ท่านทรงคุ้มครองเธอ และเผ่าพันธุ์ของเธอ จากชัยฏอนที่ถูกใสส่ง”[164]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และเล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า มนุษย์ทุกคนจะ ถูกชัยฏอนใช้นิ้วของมันจี้ที่สีข้างทั้งสองด้านขณะที่คลอด นอกจากอีชา บิน  มัรยัม ชัยฏอนได้ ไปจอชา และได้จี้ในเครื่องกั้น

รายงานโดย บุคอรี ในเรื่องเริ่มแห่งการวสร้าง

เล่าจากอามิร บิน  สะอัด ร.ฎ. จากบิดาของเขาได้กล่าวว่า เมื่ออัลเลาะห์ได้ประทาน อายะห์นี้ลงมา “เราจะเรียกลูกของเราและลูกๆ ของพวกท่าน”[165] ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้เรียก อะลี ฟาติมะห์ หะซัน และ หุเซ็น แล้วกล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ พวกเขา เหล่านี้คือครอบครัวของข้าพเจ้า

รายงานหะดีษโดย ติรมิซีในเรื่องนี้ และมุสลิมในเรื่องความประเสริฐต่าง ๆ

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะบุซุฟยาน ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังจากปากของเขา สู่ปากของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าได้เดินทางไปในช่วงเวลา (ของการสงบศึก) ซึ่งเกิดขึ้นระหว่าง ข้าพเจ้ากับท่านนบี ซ.ล.  เขาได้กล่าวว่า ขณะที่พวกเราอยู่ที่ชาม บังเอิญได้มีสาส์นฉบับหนึ่ง จากท่านนบี ซ.ล.  ถึง ฮิรอกล์ ซึ่งนำมาโดย เดียะห์ยะตุ้ลกัลบีย์ เขาได้นำไปมอบให้แก่จักรพรรดิ บุสรอ และจักรพรรดิ์บุสรอได้มอบให้แก่ฮิรอกล์ ต่อมา ฮิรอกล์ ได้กล่าวว่า มีใครมาจากกลุ่ม ชนของชายผู้นี้บ้างที่อ้างตนว่าเป็นนบี พวกเขาตอบว่า มีขอรับ ข้าพเจ้าจึงถูกเรียกตัวมาท่ามกลางชาวกุเรชกลุ่มหนึ่ง พวกเราได้เข้าไปหา ฮิรอกล์ และพวกเราได้ถูกสั่งให้นั่งลงเบื้องหน้าของเขา ฮิรอกล์ได้กล่าวว่า ใครในหมู่พวกท่าน ที่มีตระกูลใกล้ชิดกับชายผู้นี้ที่เขาอ้างว่าเป็นนบี [166] อะบูซุฟยาซีนได้กล่าวว่า ข้าพเจ้า พวกเขาจึงให้ข้าพเจ้านั่งลงเบื้องหน้าของฮิรอกล์ และให้บรรดา สหายของข้าพเจ้านั่งลงอยู่ข้าง ข้าพเจ้า จากนั้นได้เรียกล่ามของเขามาแล้วกล่าวว่า จงกล่าวแก่ พวกเขาว่า ข้าพเจ้าจะถามชายคนนี้ถึงชายคนนั้นที่อ้างตนเป็นนบี และถ้าหากเขาโกหกข้าพเจ้า พวกท่านจงบอกด้วยว่าเขาโกหก อะบูซุฟยานได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ ถ้าหากข้าพเจ้า ไม่กลัวว่าพวกเขาจะถ้าลือกันว่าข้าพเจ้าโกหกแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องโกหกอย่างแน่นอน หลังจาก นั้นเขาได้กล่าวแก่ล่ามว่า จงถามเขาว่า วงศ์ตระกูลของเขาเป็นอย่างไรในหมู่พวกท่าน ข้าพเจ้าตอบว่า เขาเป็นผู้มีตระกูลดีในหมู่พวกเรา เขาถามว่า บรรพบุรุษของเขาที่เป็นกษัตริย์มีบ้างไหม ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่มี เขาถามว่า พวกท่านเคยกล่าวหาเขาว่าโกหกบ้างไหม ก่อนที่เขา จะพูดสิ่งที่เขาได้พูด ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่เคย เขาถามว่า ผู้ที่ตามเขานั้นเป็นคนที่มีเกียรติ หรือเป็นคนอ่อนแอ ข้าพเจ้าตอบว่า แต่เป็นคนอ่อนแอ เขาถามว่า พวกนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่ พวกเขามีปริมาณเพิ่มขึ้น เขาถามว่า “มีใครจากพวกเขาบ้างไหม ที่ทิ้งศาสนาของเขาหลังจากได้เข้ามาแล้ว เพราะรังเกียจในตัวเขา ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่มี เขาถามว่า พวกท่านทำสงครามกับเขาไหม ข้าพเจ้าตอบว่า ทำ เขาถามว่า สงครามของพวก ท่านกับเขาเป็นอย่างไร     ข้าพเจ้าตอบว่า สงครามระหว่างพวกเรากับเขาผลัดกันเขาชนะเรา และเราชนะเขา เขาถามว่า เขาทรยศหักหลังไหม ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่ และพวกเรากับเขากำลัง อยู่ในช่วงเวลา (สงบศึก) นี้ พวกเราไม่รู้ว่า เขาจะทำอย่างไรในช่วงเวลานี้ เขาได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถพูดคำพูดใด ที่ข้าพเจ้าจะนำสิ่งใดเข้าไปได้นอกจาก ที่กล่าวแล้วนี้ ฮิรอกล์ ได้ถามว่า มีใครก่อนหน้าเขาเคยพูดอย่างนี้ไหม ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่มี หลังจากนั้นเขาได้กล่าวแก่ล่ามของเขาว่า จงบอกเขาว่า ที่ข้าพเจ้าถามถึงวงศ์ตระกูลของเขา (มูฮัมมัด) ในหมู่พวกท่าน และท่านได้ตอบว่า เขาเป็นคนมีตระกูลดีในหมู่พวกท่าน และเช่น เดียวกันกับบรรดาศาสนทูตจะถูกแต่งดั้งในตระกูลที่ดีจากพวกพ้องของเขา และข้าพเจ้าได้ถาม ท่านว่าในบรรพบุรุษของเขามีกษัตริย์ไหม ท่านได้ตอบว่า ไม่มี ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า ถ้าหากในบรรพบุรุษของเขามีกษัตริย์ ข้าพเจ้าต้องว่าเขาเป็นชายที่แสวงหาอำนาจบรรพบุรุษของเขา และ ข้าพเจ้าได้ถามท่านว่า บริวารที่ปฏิบัติตามเขาเป็นคนอ่อนแอหรือคนที่มีเกียรติของพวกเขา ท่าน ได้ตอบว่า แต่เป็นคนที่อ่อนแอ และพวกเขาคือผู้ที่ติดตามบรรดาศาสนทูต และข้าพเจ้าได้ถามท่านว่า พวกท่านเคยกล่าวหาว่าเขาโกหกไหม ก่อนที่เขาจะพูดสิ่งที่เขาได้พูด ท่านได้ตอบว่า ไม่ ข้าพเจ้าจึงทราบว่า แท้จริงเขาจะไม่ละทิ้งการโกหกมนุษย์ไปโกหกอัลลอฮ์ ข้าพเจ้าได้ถาม ท่านว่า มีใครบ้างจากพวกเขาที่ทั้งศาสนาของเขาหลังจากได้เข้าสู่ศาสนานี้แล้ว เพราะชิงชังตัวเขา ท่านได้ตอบว่าไม่มี และนั่นคือความศรัทธาเมื่อได้ประสานกับความชื่นบานของหัวใจแล้ว และข้าพเจ้าได้ถามท่านว่า พวกเขาเพิ่มปริมาณขึ้นหรือลดลง ท่านได้ตอบว่า แท้จริงพวกเขา เพิ่มขึ้น และนั่นคือความศรัทธาจนกว่าจะสมบูรณ์ และข้าพเจ้าได้ถามท่านว่า พวกท่านเคยทำ สงครามกับเขาไหม ท่านได้ตอบว่า แท้จริงพวกท่านได้ทำสงครามกับเขา และปรากฏการทำสงครามระหว่างพวกท่านกับเขา ก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ เขาชนะพวกท่าน และพวกท่านก็ ชนะเขา และนั่นแหละคือบรรดาศาสนทูตที่ถูกทดลอง และต่อไปวาระสุดท้ายจะเป็นของพวกเขา และข้าพเจ้าได้ถามท่านว่า เขาทรยศไหม ท่านได้ตอบว่า เขาจะไม่ทรยศ และนั่นแหละคือบรรดาศาสนทูต พวกเขาจะไม่โกหก และข้าพเจ้าได้ถามท่านว่า มีใครเคยกล่าวคำพูดเช่นนี้ก่อนเขาไหม ท่านได้ตอบว่า ไม่มี ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า ถ้าหากมีใครคนหนึ่งได้กล่าวคำพูดนี้ก่อนหน้าเขา ข้าพเจ้า บอกว่าเขาตามคำพูดที่มีผู้พูดไว้ก่อนเขา ผู้เล่าได้กล่าวว่า หลังจากนั้นเขาได้ถามว่า เขาใช้พวกท่านด้วยสิ่งใด ข้าพเจ้าตอบว่า เขาใช้พวกเราด้วยละหมาด ซะกาต ติดต่อวงศ์ญาติ และรักษาตัว เขาได้กล่าวว่า ถ้าหากสิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริงเขาก็คือนบี และความจริงข้าพเจ้า เคยรู้มาแล้วว่า เขาจะต้องออกมา แต่ข้าพเจ้าไม่นึกว่าเขาจะมาจากพวกท่าน และถ้าหากข้าพเจ้า รู้ว่าข้าพเจ้าจะไปถึงเขาได้ แน่นอนข้าพเจ้าก็ปรารถนาได้พบกับเขา และถ้าหากข้าพเจ้าได้ปรากฏ อยู่ที่เขา ข้าพเจ้าจะต้องล้างเท้าทั้งสองข้างของเขา และแน่แท้อำนาจการปกครองของเขาจะต้องแผ่ขยายจนถึงสิ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าทั้งสองข้างของข้าพเจ้า อะบูซุฟยาน ได้กล่าวว่า หลังจากนั้นเขาได้ เรียกให้นำสาส์นของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  มาและเขาได้อ่านมัน ในสาส์นฉบับนั้นมีความว่า[167] “ในนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตาผู้ทรงกรุณายิ่ง จากมูฮัมมัดศาสนทูตของอัลเลาะห์ ถึง ฮิรอกศ์จักรพรรดิ์แห่งโรม ขอความสันติจงมีแด่ผู้ที่ได้ปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง อนึ่ง หลังจาก นั้น ข้าพเจ้าขอเชิญชวนท่านด้วยคำเชิญชวนของอิสลาม จงเข้าอิสลาม แล้วจะปลอดภัยและจง เข้าอิสลาม อัลเลาะห์จะประทานผลบุญให้ท่านสองครั้งดังนั้นถ้าหากท่านหันเหออก ท่านจะต้อง มีบาปเหมือนพวก อะรีชิยีน[168] และโอ้ชาวคัมภีร์พวกท่านจงมาสู่คำแห่งความเสมอภาคระหว่าง พวกเราและระหว่างพวกท่านเถิดนั่นคือการที่เราจะไม่สักการะสิ่งใดนอกจากอัลเลาะห์ และ คือการที่เราจะไม่นำสิ่งใดมาตั้งภาคีกับพระองค์และคือการที่เราบางคนจะไม่ยึดเอาบางคนเป็น พระเจ้านอกจากอัลเลาะห์ ตังนั้น ถ้าหากพวกเขาผินหลังให้ ให้ท่านทั้งหลายจงกล่าวเกิดว่า พวก ท่านจงเป็นสักขีพยานเถิดว่า พวกเราเป็นมุสลิม” เมื่ออ่านสาส์นเสร็จได้เกิดเสียงกระหึ่มขึ้น และ สำเนียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ และได้มีคำสั่งให้ดำเนินการกับพวกเรา ตังนั้นพวกเราจึงได้ถูกนำตัว ออกไป ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่มิตรสหายของข้าพเจ้าขณะที่พวกเราออกมาว่า แท้จริงงานของบิน  อะบี กับซะห์ นั้นเป็นเรื่องสำคัญ แม้กษัตริย์ของพวกผิวเหลือง[169] ยังต้องครั่นคร้าม ข้าพเจ้า ยังคงเชื่อมั่น ว่างานของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  จะต้องปรากฏอย่างแน่นอน จนในที่สุดอัลเลาะห์ได้ให้ข้าพเจ้ารับอิสลาม ชุห์รีย์ได้กล่าวว่า ฮิรอกล์ ได้เรียกตัวผู้นำทั้งหลายของโรมมา และ ได้ร่วมประชุมกับพวกเขาในปราสาทของเขา แล้วกล่าวว่า โอ้ชาวโรมทั้งหลาย เอาไหมที่ความสุข และความสำเร็จจะเป็นของพวกท่านตลอดกาล และอำนาจการปกครองของพวกท่านจะอยู่อย่างมั่นคงกับพวกท่าน[170] ผู้เล่าได้กล่าวว่า พวกเขาเหล่านั้นได้เผ่นกรูออกไปยังประตูเหมือน ลาป่า แต่พวกเขาพบว่าประตูได้ถูกใสสลักไว้ เขาจึงได้กล่าวว่า จงนำพวกเขามาหาข้าพเจ้า แล้วเขาก็กล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าได้ทดลองความเข้มแข้งในการยึดมั่นต่อศาสนาของพวกท่าน และความจริงข้าพเจ้าก็ได้เห็นแล้ว สิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาจากพวกท่าน พวกเขาจึงก้มลงกราบฮิรอกล์ และชื่นชมในตัวเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ในเรื่องนี้ และมุสลิมในเรื่องสงคราม

และได้ลงมาเมื่อพวกยะฮูดได้กล่าวว่า พวกเราอึดมั่นอยู่กับศาสนาของอิบรอฮีม และ พวกนะซอรอ ก็กล่าวว่าพวกเราอึดมั่นอยู่กับศาสนาของริบรอฮีม “อิบรอฮีมนั้นไม่ใช่ยะฮูดี และ ไม่ใช่นัชรอนี แต่เขาเป็นผู้หันเหเข้าหาสัจธรรมเป็นมุสลิม และเขาไม่ใช่เป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ตั้งภาคี”[171]

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงนบีทุกท่านมีผู้ช่วยเหลือที่เป็นนบี และแท้จริงผู้ช่วยเหลือของข้าพเจ้าคือ (เขาเป็นทั้ง) บิดาของข้าพเจ้า เป็นมิตร สนิทของข้าพเจ้า และมิตรสนิทของพระผู้อภิบาลของข้าพเจ้าหลังจากนั้น ท่านได้อ่าน “แท้จริง มนุษย์ที่มีความสนิทยิ่งกับอิบรอฮีม คือ บรรดาผู้ที่เจริญรอยตามเขา นบีท่านนี้และบรรดาผู้ ศรัทธาทั้งหลาย และอัลเลาะห์เป็นผู้ช่วยเหลือบรรดาผู้มีรัทธา”[172]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซีด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “แท้จริงบรรดาผู้ที่แลกเปลี่ยนข้อสัญญาของอัลเลาะห์และ ความศรัทธาของพวกเขากับราคาเพียงเล็กน้อย พวกเหล่านั้น จะไม่มีส่วนดีใดเลยแก่พวกเขา ในอาคิเราะห์ และพระองค์อัลเลาะห์จะไม่พูดกับพวกเขา และจะไม่มองดูพวกเขาในวันกิยามะห์ และจะไม่ปลดเปลื้องพวกเขาให้สะอาด และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด”[173]

เล่าจาก อัลอัชอัซ บิน  กอยส์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อายะห์นี้ได้ถูกประทานลงมาในเรึ่อง ของข้าพเจ้า “แท้จริงบรรดาผู้ที่แลกเปลี่ยนข้อสัญญาของอัลเลาะห์” โดยที่ปรากฏว่าข้าพเจ้ามี บ่อนํ้าใบหนึ่งอยู่ในที่ดินถูกลุงของข้าพเว้า ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า พยานของท่าน หรือสาบาน ของเขา ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวว่า ดังนั้นเขาจะต้องสาบานโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ท่านนบี ซ.ล.  ได้ กล่าวว่า ผู้ใดได้สาบานเท็จ เพื่อตัดทอนเอาทรัพย์สินของคนหนึ่งที่เป็นมุสลิมด้วยการสาบานนั้น เขาคือคนชั่วในการสาบานนั้น เขาจะพบกับอัลเลาะห์ในสภาพที่พระองค์ทรงโกรธกริ้ว[174]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบีอุมามะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดตัดสิทธิ์ของคนมุสลิม ด้วยการสาบานของเขา แน่แท้พระองค้อัลเลาะห์ด้องกำหนดขุมนรกแก่เขา และต้องหวงห้าม สวรรค์สำหรับเขา ชายคนหนึ่งได้กล่าวขึ้นว่า แม้เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เล่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ท่านได้กล่าวว่า แม้เป็นเพียงกิ่งอะรอก

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ในเรื่องการศรัทธา

เล่าจากอับดิลลาห์ บิน  อะบีเอาฟา ร.ฎ. ว่าแท้จริงผู้ชายคนหนึ่งได้จัดการสินค้าของเขา ในตลาด และเขาได้สาบานว่า แท้จริงมีผู้มาให้ราคาสินค้าขึ้นนี้แล้ว ซึ่งที่จริงยังไม่มีใครให้ ทั้งนี้ เพื่อดึงดูดให้คนหนึ่งจากมวลมุสลิมตกลงในสินค้าขึ้นนั้น จึงได้ลงมาว่า “แท้จริงบรรดาผู้ที่แลกเปลี่ยนข้อสัญญาของอัลเลาะห์ และ ความศรัทธาของพวกเขากับราคาเพียงเล็กน้อย” จนจบ อายะห์

เล่าจากอะบีมุไลกะห์ว่า แท้จริงมีผู้หญิงสองคนเย์บรองเท้าอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง และภายใน ห้องนั้น หญิงคนหนึ่งได้ถูกทำร้ายมีบาดแผล โดยมีเครื่องเจาะถูกฝังอยู่ในฝ่ามือของผู้หญิงคนนั้น และหล่อนได้อ้างว่าอีกคนหนึ่งเป็นผู้กระทำ ดังนั้นเรื่องนี้จึงถูกยกไปหาอิบนิอับบาส ร.ฎ. ต่อมา เขาได้กล่าวว่า ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ถ้าหากจะมอบให้แก่มนุษย์ตามคำกล่าว อ้างของเขาแล้ว จะต้องเกิดความเสียหายแก่เลือดเนื้อและทรัพย์สินของคนพวกหนึ่งอย่างแน่นอน ท่านทั้งหลายจงเตือนให้หล่อนระลึกถึงอัลเลาะห์ และจงอ่านให้หล่อนฟัง “แท้จริงบรรดาผู้ที่ แลกเปลี่ยนข้อสัญญาของอัลเลาะห์” ต่อมาพวกเขาได้เตือนหล่อนและหล่อนก็ยอมรับสารภาพ ท่านอิบนุอับบาส ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า จำเลยจะต้องสาบาน[175]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะบู ตอลฮะห์ เป็นชาวอันซอรที่มีต้นอินทผลัมมาก ที่สุดที่นครมะดีนะห์ และ ทรัพย์สินที่ท่านชอบมากที่สุดของท่านอยู่ที่บัยรูฮา ซึ่งตั้งอยู่ทางด้าน หน้าของมัสญิด และท่านนบี  ซ.ล.  เคยเข้าไปดื่มนํ้าที่มีรสดีในสวน บัยรูฮา แห่งนั้น และ เมื่อได้ถูกประทานลงมาว่า “ท่านทั้งหลายจะไม่ได้บรรลุถึงความดีจนกว่าท่านทั้งหลายจะได้บริจาค สิ่งที่ท่านทั้งหลายรัก”[176] อะบูตอลฮะห์ ร.ฎ. ได้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงอัลเลาะห์ทรงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจะไม่ได้บรรลุถึงความดี จนกว่าท่านทั้งหลายจะได้ บริจาคสิ่งที่ท่านทั้งหลายรัก” และความจริงทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้ารักยิ่งนั้นคือบัยรูฮา[177]และความจริงมันเป็นทานซอดาเกาะห์เพื่ออัลเลาะที่ ข้าพเจ้าหวังในความดีของมัน และความ เป็นมิ่งขวัญของมัน ณ พระองค์อัลเลาะห์ ดังนั้น ท่านจงจัดการกับมันตามที่อัลเลาะห์ให้ท่านเห็นเถิดโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านได้กล่าวว่า ดีมาก นั่นคือทรัพย์ที่มีกำไร นั่นคือทรัพย์ที่มีกำไร และความจริงข้าพเจ้าได้ยินที่ท่านกล่าวแล้ว และข้าพเจ้าเห็นสมควร ให้จัดสรรมันในเครือญาติที่ใกล้ชิด อะบูตอลฮะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะปฎิบัติตามนั้น โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ และอะบูตอลฮะห์ก็ได้แบ่งมันให้แก่เครือญาติที่ใกล้ชิดของเขา และให้แก่ตระกูล ของลุงของเขา และได้เพิ่มเติมในบางรายงานว่า และเขาได้จัดการมันให้แก่ฮัซซานและอุบัยย์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

“อาหารทุกชนิดเป็นสิ่งอนุมัติแก่วงศ์วานของอิสรออีล ยกเว้นสิ่งที่อิสรออีล ออกข้อกำหนดห้ามตัวเอง ก่อนที่คัมภีร์เตารอต จะถูกประทานลงมา ท่านจงกล่าวเถิดว่า จงไปนำคัมภีร์ เตารอตมาอ่านเถิดถ้าหากท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่สัจจะ”[178]

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกยะฮูดได้มุ่งหน้ามาหาท่านนบี ซ.ล.  แล้ว กล่าวว่า โอ้ อะบัลกอซิม จงบอกพวกเราเถิดถึงสิ่งที่อิสรออีลได้ออกข้อกำหนดห้ามตัวเอง ท่านได้ตอบว่า อิสรออีลป่วยด้วยโรค อิรกอลน่าซา[179] และเขาไม่พบสิ่งใดจะเหมาะสมกับเขา นอกจาก เนื้ออูฐ และนมของมัน ดังนั้นเขาจึงกำหนดว่ามันเป็นสิ่งต้องห้าม (เหนือตัวเขา) พวกเขากล่าวว่า ท่านพูดถูก 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ในเรื่องสละโลกีย์ ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

เล่าจากอิบนิอุมัร ร.ฎ. ว่า แท้จริง พวกยะฮูดได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  พร้อมกับชายคนหนึ่งจากพวกเขาพร้อมกับหญิงคนหนึ่งที่ทั้งสองได้ละเมิดประเวณี ท่านนบีได้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านทำอย่างไรกับคนที่ละเมิดประเวณี จากพวกท่าน พวกเขากล่าวว่า พวกเราจะ พอกหน้าของเขาทั้งสองให้ดำ และจะเฆี่ยนเขาทั้งสอง ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านไม่พบการ ขว้างในคัมภีร์เตารอตหรือ พวกเขาตอบว่า พวกเราไม่พบในคัมภีร์เตารอต อับดุลเลาะห์ บิน  สลามได้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านโกหก จงไปนำเตารอตมาอ่าน ถ้าหากพวกท่านพูดจริง ผู้ทำหน้าที่สอนคัมภีร์เตารอตของพวกเขาได้วางมือลงปิดอายะห์ที่ว่าด้วยการขว้าง และเขาได้เริ่ม อ่านส่วนที่อยู่ก่อนมือของเขาและถัดจากมือของเขา โดยไม่อ่านอายะห์ที่ว่าด้วยการขว้าง ดังนั้น อับดุลเลาะห์ บิน สลามจึงยกมือของเขาขึ้นจากอายะห์ที่ว่าด้วยการขว้าง แล้วกล่าวว่า นี่คืออะไร เมื่อพวกเขาเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า คืออายะห์ที่ว่าด้วยการขว้าง ท่านจึงได้ออกคำสั่งให้จัดการกับคนทั้งสอง เขาทั้งสองจึงถูกขว้างใกล้กับสถานที่ๆ ละหมาดศพที่มัสญิด และข้าพเจ้าได้เห็น คู่ของหล่อน ขึ้นคร่อมบนร่างของหล่อน ป้องกันหล่อนจากก้อนหิน 

รายงานโดยบุคอรี และอบูดาวูด

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “แท้จริงอาคารแรกที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ นั้นได้แก่ที่อยู่ ณ บักกะห์ (มักกะห์) โดยมีสิริมงคล และเป็นทางนำแก่ชาวโลกทั้งมวล”[180]

เล่าจากอะบีปัรร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถึงมัสญิด แรกที่ถูกตั้งขึ้น ท่านตอบว่า คือมัสญิดฮะรอม ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า หลังจากนั้นแห่งใด ท่าน ตอบว่า คือมัสญิดอักซอ ข้าพเจ้าถามว่า ห่างกันเท่าไหร่ระหว่างสองแห่ง นั้น ท่านตอบว่า สี่สิบปี 

รายงานโดย บุคอรี และ นาซาอี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และเป็นสิทธิของอัลเลาะห์เหนือมวลมนุษย์นั่นคือการทำ ฮัจญ์ที่บัยตุลเลาะห์ เฉพาะผู้ที่มีความสามารถเดินทางไปสู่มันได้[181]

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ใครคือผู้ทำฮัจญ์ ท่านตอบว่า คือคนที่ผมเป็นกระเข้ง และผู้นเกาะเต็ม และมีชายคนหนึ่งลุก ขึ้นแล้วกล่าวว่า การทำฮัจญ์อย่างใดทีดีทีสุด ท่านตอบว่า คือการส่งเสียงกล่าว ด้ลบียะห็ และเข้อดสัตว์เพื่อเป็นอิบาดะห์ และชายอีกคนหนึ่งได้ลุกขนแล้วกล่าวว่า อะไรคือการเดินทาง ท่านตอบว่า คือ เสบียงและพาหนะ รายงานโดยฅรนข แลน อนน่นัด

อัลเลาะห์ตะอาลา ได้ตรัสว่า “พวกท่านเป็นประซาชาติที่ดีที่สุดที่ถูกนำออกเพื่อประโยชน์ ของมนุษยชาติ”[182]

เล่าจากอะบีฮรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกท่านเป็นมนุษยชาติที่ดีที่สุดเพื่อมนุษยชาติ พวกท่านจะนำพวกเขา (เชลยศึก) มาในเครื่องพันธนาการอยู่ที่คอของพวกเขา จนพวกเขาได้สู่ศาสนาอิสลาม[183]

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจากบะห์ซ บิน  ฮะกีม จากบิดาของเขาจากปู่ของเขา ร.ฎ. ว่า แท้จริงเขาได้ยินท่าน นบี ซ.ล.  กล่าวว่า พวกท่านเป็นประซาชาติที่ดีที่สุดที่ถูกนำออกมาเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านทำให้เจ็ดสิบประชาชาติครบสมบูรณ์ พวกท่านเป็นประชาชาติที่ดี ที่สุด และมีเกียรติที่สุดในพวกนั้น ณ อัลลอฮ์ตะอาลา[184]

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. กล่าวว่า ได้ลงมาในพวกเราว่า “(จงระลึกเถิด)ขณะที่คนสองกลุ่ม จากพวกท่าน ตั้งใจจะกระทำความล้มเหลว ทั้งที่อัลลอฮ์เป็นผู้คุ้มครองพวกเขาทั้งสองกลุ่ม”[185]เขาได้กล่าวว่า พวกเราทั้งสองกลุ่มคือตระกูลบะนุ ฮาริษะห์ กับ ตระกูลบะนู ซะลิมะห์ และ สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าภูมิใจนั้น คือการที่อายะห์นั้นไม่ได้ประทานลงมา เพราะคำดำรัสของอัลเลาะห์ ที่ว่า “ทั้งที่อัลลอฮ์เป็นผู้คุ้มครองพวกเขาทั้งสองกลุ่ม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “กิจกรรมนั้นไม่ใช่เป็นหน้าที่ของท่านแต่ประการใด ไม่ว่า พระองค์จะรับการกลับตัวของพวกเขาหรือจะลงโทษพวกเขา เพราะความจริงพวกเขาเป็นผู้ที่ ทุจริต”[186]

เล่าจากอิบนิอุมัร ร.ฎ. ว่า แท้จริงเขาได้ยินท่านนบี ซ.ล.  ขณะที่เงยศีรษะของท่านขึ้น จากรุกัวะอฺ ในเราะกะอัตสุดท้าย ของละหมาดซุบฮ์ กล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรด ให้คนนั้น คนนั้นและคนนั้นจงออกห่างไกลจากความเมตตาของพระองค์ท่าน หลังจากท่านได้ กล่าวว่า “พระองค์อัลเลาะห์ทรงได้ยิน ผู้ที่ถวายคำสดุดีพระองค์ โอ้พระผู้อภิบาลของเรา และ มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิของพระองค์ท่าน” อัลลอฮ์จึงได้ประทานลงมาว่า “กิจกรรม นั้นไม่ใช่เป็นหน้าที่ของท่านแต่ประการใด” จนจบอายะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

ตัวบทของติรมิซีว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวในวันอุฮุดว่า ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ใด้โปรดให้ อะบู ซุฟยาน ออกห่างจากความเมตตาของพระองค์ท่าน ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดให้ อัลฮาริษ บิน  ฮิชาม ออกห่างจากความเมตตาของพระองค์ท่าน ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดให้ชอฟวาน บิน  อุมัยยะห์ ออกห่างจากความเมตตาของพระองค์ท่าน จึงได้ลงมาว่า “กิจกรรมนั้นไม่ใช่ เป็นหน้าที่ของท่านแต่ประการใด ไม่ว่าพระองค์จะรับการกลับตัวของพวกเขาหรือจะลงโทษพวก เขา” และต่อมาอัลเลาะห์ได้รับการกลับตัวของพวกเขา และพวกเขาได้เข้านับถืออิสลาม และ อิสลามของเขาก็เป็นที่ดีงาม

และตัวบทของบุคอรีว่า ปรากฏว่า ท่านนบี ซ.ล.  เมื่อประสงค์วิงวอนความตัวร้าย ให้ประลบกับผู้ใด หรือวิงวอนผลดีให้เกิดแก่ใคร ท่านจะยืนขอหลังจากรุกัวะอฺ บางทีท่านจะกล่าว เมื่อได้กล่าวแล้วว่า “พระองค์อัลเลาะห์ทรงใต้ยืนผู้ที่สวายคำสดุดีแก่พระองค์ ข้าแต่อัลเลาะห์พระผู้อภิบาล ของเรา มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิของพระองค์ท่าน ข้า แด่อัลเลาะห์ได้โปรดช่วย อัลวะลีด บิน  อัลวะลีด ซะละมะห์ บิน  ฮิชาม และ อัยยาช บิน  อะบีรอบีอะห์ให้พ้นภัย ข้าแด่อัลเลาะห์ได้โปรดให้การเหยียบกระหนํ่าของพระองค์ท่านรุนแรงเหนือพวก มุดอร และจงดล บันดาลให้พวกเขาประสบกับความแห้งแล้งเหมือนความแห้งแล้งในสมัยยูซุฟ โดยท่านส่งเสียงดัง ในคำวิงวอนดังกล่าวนั้น

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้ถูกทำให้ฟันซี่ที่อยู่ถัดจากฟันซี่หน้า ของท่านหักในวันอุฮุด และใบหน้าของท่านแตกเป็นบาดแผล อยู่ที่หน้าผากของท่าน จนเลือดไหล ท่วมหน้า ท่านได้กล่าวว่า คนพวกหนึ่งจะมีความสุขอย่างไร ที่พวกเขาได้กระทำกับนบีของ พวกเขาขนาดนี้ และท่านได้วิงวอนต่ออัลเลาะห์ให้ความชั่วร้ายเกิดแก่พวกเขา จึงได้ลงมาว่า “กิจกรรมนั้น ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของท่านแต่ประการใด ไม่ว่าพระองค์จะรับการกลับตัวของพวกเขาหรือ จะ ลงโทษพวกเขา เพราะความจริงพวกเขาเป็นผู้ทุจริต” 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าเป็นผู้ชายที่เมื่อได้ยินหะดีษจากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  แล้ว อัลเลาะห์จะให้ข้าพเจ้าได้ประโยชน์จากหะดีษนั้น ตามที่พระองค์ประสงค์ และเมื่อมืคนหนึ่งจากอัครสาวกของท่านนบีเล่าให้ข้าพเจ้าพ้ง ข้าพเจ้าจะขอให้เขาสาบาน และ เมื่อเขาสาบาน ข้าพเจ้าจะเชื่อเขา และแท้จริงอะบูบักร์ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง ความจริงเขาเป็นคนที่มีสัจจะ เขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ไม่มีคนใดที่ ทำให้บาปหนึ่ง หลังจากนั้นเขาลุกขึ้นไปทำความสะอาด และละหมาด จากนั้นเขาได้ขออภัยโทษ ต่ออัลเลาะห์ นอกจากอัลเลาะห์จะอภัยให้เขา หลังจากนั้นเขาได้อ่าน“และบรรดาผู้ซึ่งเมื่อได้กระทำสิ่งที่น่าบัดสีใด ๆ หรือทุจริตตัวของพวกเขาเอง พวกเขาได้ระลึกถึงอัลเลาะห์ และขออภัย ให้แก่บาปต่างๆ ของพวกเขา และไม่มีผู้ใดให้อภัยบาปต่างๆ ได้นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น และ พวกเขาไม่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่พวกเขาได้เคยกระทำมา โดยพวกเขารู้ดี”[187]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “(จงระลึกเถิด) ขณะที่พวกท่านป่ายปีนหนี โดยพวกท่าน ไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น ขณะที่ศาสนทูตเรียกหาพวกท่านอยู่ในกลุ่มหลังสุด และพระองค์ได้ตอบแทน พวกท่านให้ได้รับความหม่นหมองพร้อมด้วยความหม่นหมองเพื่อพวกท่านจะไม่เสียใจในสิ่งที่ หลุดลอยจากพวกท่านไป และเพื่อจะได้ไม่เสียใจในสิ่งที่ประสพกับพวกท่าน พระองค์อัลเลาะห์ ทรงทราบดี ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ”[188]

เล่าจากอัลบะรออฺ บิน  อาซิบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้แต่งตั้งอับดุลเลาะห์ บิน ยุบัยร์ ให้ควบคุมพลเดินเท้าในวันศึกที่ อุฮุต และพวกเขาได้มุ่งหน้ามาอย่างพ่ายแพ้ และ นั่นก็คือขณะที่ท่านศาลนทูตได้เรียกหาพวกเขาอยู่ในกล่นหลังสุด และไม่มีผู้ใดเหลืออยู่กับท่าน นบี ซ.ล.  เลย นอกจากสิบสองคนเท่านั้น 

รายงานโดย บุคอรี 

เล่าจากอะบีตอลฮะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อาการง่วงนอนได้เข้าครอบงำพวกเรา ขณะ ที่พวกเรากำลังอยู่ในแถวในวันศึกที่อุฮุด ดาบของข้าพเจ้าหลุดตกจากมือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ หยิบมันขึ้นมา มันก็ตกอีก และข้าพเจ้าก็หยิบมันขึ้นมาอีก 

รายงานโดย บุคอรี 

และติรมิซี ได้รายงานเพิ่มเติมว่า และอีกพวกหนึ่งได้แก่พวกหน้าไหว้หลังหลอก พวกเขาไม่มีความตั้งใจใดๆ นอกจาก ตัวของพวกเขาเองที่เป็นพวกที่ขี้ขลาดที่สุด เป็นพวกที่มีความโลภที่สุด และเป็นพวกที่ทอดทิ้ง สัจธรรมที่สุด[189]

และเล่าจากเขา (อะบีตอลฮะห์) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เงยศีรษะขึ้นในวันศึกที่อุฮุด และเริ่มมองไปไม่มีใครสักคนเดียวจากพวกเขานอกจากจะโงนเงนอยู่ใต้โล่ของเขา เนื่องจากอาการ ง่วงนอนนั่นแหละคือคำดำรัสของอัลเลาะห์ที่ว่า “หลังจากนั้นพระองค์ได้ประทานแก่พวกท่าน หลังจากได้รับความหม่นหมองพร้อมกับความหม่นหมอง ซึ่งความปลอดภัยนั้นคือ อาการง่วง นอนบีเข้าครอบงำกลุ่มหนึ่งจากพวกท่าน 190 

รายงานโดย ติรมิซี  ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

เล่าจากอิบนิอับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ผ้าห่มสีแดงผื่นหนึ่งได้หายไปในวันบัดร์ มีบางคนกล่าวว่า บางทีท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  อาจเอาไป อัลเลาะห์จึงได้ประทานลงมาว่า “ไม่เป็นการสมควรที่นบีใดจะยักยอก และผู้ใดยักยอกเขาจะต้องนำสิ่งที่ยักยอกมาในวันกิยามะห์ หลังจากนั้นทุกชีวิตจะถูกตอบแทนอย่าง ครบถ้วนต่อสิ่งที่เขาได้ก่อไว้ โดยพวกเขาจะไม่ถูกทุจริตเลย”[190]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้พบข้าพเจ้าแล้วกล่าวแก่ ข้าพเจ้าว่า โอ้ญาบิรไม่สมควรที่ข้าพเจ้าจะพบท่านเศร้าหมอง ข้าพเจ้าตอบว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ บิดาของข้าพเจ้าตายชะฮีดในวันอุฮุด และได้ทิ้งครอบครัวและหนี้สินไว้ ท่านได้กล่าว ว่า ข้าพเจ้าจะไม่บอกข่าวดีแก่ท่านหรือ ถึงสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ให้บิดาของท่านพบกับมัน ข้าพเจ้า ตอบว่า เอาครับ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ท่านได้กล่าวว่า พระองค์อัลลอฮ์จะไม่เจรจา กับผู้ใด เว้นแต่จากเบื้องหลังเครื่องกั้น และอัลลอฮ์อายบิดาของท่าน พระองค์จึงเจรจากับเขา โดยไม่มีสิ่งใดๆ กั้นเลย และพระองค์ได้ตรัสว่า โอ้บ่าวของเรา จงตั้งความหวังต่อเราเถิดเรา จะให้เจ้า เขาได้กล่าวว่า ข้า แด่พระผู้อภิบาล ได้โปรดให้ข้าพเจ้าฟื้นคืนชีพเกิดเพื่อข้าพเจ้าจะ ถูกฆ่าเพื่อพระองค์ท่านอีกเป็นครั้งที่สอง พระผู้อภิบาลผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้ตรัสว่า “ความจริงได้กำหนดผ่านพ้นไปแล้วจากเราว่า พวกเขาจะไม่ถูกนำกลับไปสู่ดุนยาอีก (ภายหลัง จากตายไปแล้ว) ผู้เล่า (ญาบิร) ได้กล่าวว่า และอายะห์นี้ได้ถูกประทานลงมา “และท่านอย่า คิดว่า บรรดาผู้ที่ถูกฆ่าตายในวิถีทางของอัลเลาะห์นั้น เป็นคนตาย แต่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ณ พระผู้อภิบาลของพวกเขา โดยพวกเขาถูกประทานปัจจัยยังขีพ”[191]

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ว่าเขาถูกถามถึงอายะห์นี้ เขาได้ตอบว่า แท้จริงพวกเราเคย ถามเรื่องนี้ และพวกเราได้ถูกแจ้งให้ทราบว่า วิญญาณของพวกเขาอยู่ในนกสีเขียวบินอย่างอิสระ อยู่ในสวรรค์ตามประสงค์ และจะไปพักอยู่ในโคมตะเถียงที่แขวนไว้กับอัรช์ (บัลลังก์) ต่อมา พระผู้อภิบาลของท่านได้เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แลเห็นพระองค์ครั้งหนึ่ง[192] แล้วพระองค์ได้ ตรัสว่า พวกท่านจะขอสิ่งใดเพิ่มอีกไหม เราจะเพิ่มเติมให้แก่พวกท่าน พวกเขาตอบว่า ข้า แด่พระผู้อภิบาลของเรา พวกเราไม่ขอสิ่งใดเพิ่มอีก พวกเราอยู่ในสวรรค์มีอิสระ จะไปไหน ได้ตามต้องการ ต่อมาพระองค์ได้เปิดโอกาสให้แลเห็นพระองค์อีกเป็นครั้งที่สอง แล้วพระองค์ ได้ตรัสว่า พวกท่านต้องการขอสิ่งใดเพิ่มเติมบ้างไหม เราจะเพิ่มเติมให้พวกท่าน เมื่อพวกเขา เห็นว่า พวกเขาไม่ได้ถูกทอดทั้ง จึงได้กล่าวว่า ได้โปรดให้วิญญาณของเรากลับเข้าร่างของเราอีก เพื่อเราจะกลับไปสู่ดุนยา และถูกฆ่าในวิถีทางของพระองค์ท่านอีกครั้งหนึ่ง 

และได้เพิ่มเติมใน บางรายงานว่า และพระองค์ท่านได้โปรดบอกสลามแก่นบีของพวกเรา และแจ้งให้เขาทราบแทน พวกเราด้วยว่า พวกเราพอใจแล้วและพวกเราได้ถูกชื่นชมยินดีแล้ว 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “บรรดาผู้สนองตอบคำเรียกร้องของอัลเลาะห์และศาสนทูต ภายหลังจาก บาดแผลได้ประสบกับพวกเขา แน่นอนสำหรับบรรดาผู้ที่ทำความดีและมีความยำเกรง พวกเขาย่อมได้รับผลบุญอันยิ่งใหญ่”[193] อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวแก่ อุรวะห์ บิน ซุบัยร์ว่า โอ้หลานชาย ขณะที่ได้ประสบกับนบีของอัลเลาะห์ ซ.ล.  สิ่งที่ประสบกับเขาในวัน อุฮุด และพวกผู้ตั้งภาคีได้หันออกจากเขาไปแล้ว เขาเกิดความกลัวว่า พวกนั้นจะกลับมา จึงได้ กล่าวขึ้นว่า ใครบ้างที่จะออกติดตามรอยของพวกนั้นไป ท่านได้เรียกร้องหาอาสาสมัครจาก พวกเขาจำนวนเจ็ดสิบคน ปรากฏว่าในจำนวนนั้นมือะบูบักร์และซุบัยร์[194]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ในเรื่องสงครามอุฮุด

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  “อัลเลาะห์ก็พอเพียงแล้วแก่พวกเรา และพระองค์ เป็นผู้รับการมอบหมายที่ดียิ่ง” เป็นคำที่อิบรอฮีม อ.ล. ได้กล่าวขณะที่ถูกโยนลงสู่กองไฟ และเป็นคำที่มุฮัมมัด ซ.ล.  ได้กล่าวขณะที่พวกเขากล่าวว่า “แท้จริงมนุษย์ได้รวมกำลังกันเพื่อจัดการพวกท่าน ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงกลัวพวกนั้นเถิด แต่กลับทำให้พวกเขาเพิ่มศรัทธา และ พวกเขากล่าวว่า อัลเลาะห์ก็พอเพียงแล้วแก่พวกเรา และพระองค์เป็นผู้รับการมอบหมายที่ดียิ่ง”

และเล่าจากอิบนิ อับบาส ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าคำสุดท้ายที่อิบรอฮีมได้กล่าว ขณะถูกโยนลงในกองไฟว่า “อัลเลาะห์ก็พอเพียงแก่ข้าพเจ้าแล้ว และพระองค์เป็นผู้รับการมอบ หมายที่ดียิ่ง” 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่อัลเลาะห์ได้มอบทรัพย์สมบัติให้แก่เขา และเขาไม่ได้จ่ายซะกาดทรัพย์สมบัตินั้น จะถูกทำให้สมบัตินั้นกลายเป็นงูห้วล้าน มีตาสองข้างคถ้ายองุ่นแห้ง มันจะรัดเขาในวันกิยามะห์ และมันจะงับเขาด้วยขากรรไกร ทั้งสองข้างของมัน มันจะกล่าวว่า ข้าฯ คือทรัพย์สมบัติของเจ้า ข้าคือทรัพย์สมบัติที่เจ้าสะสมไว้ หลังจากนั้นท่านได้อ่าน “และบรรดาผู้ที่ตระหนี่ในสิ่งที่อัลเลาะห์ได้ประทานแก่พวกเขา จาก ความโปรดปรานของพระองค์ อย่าคิดว่าสิ่งนั้นจะดีงามสำหรับพวกเขา แต่มันคือความชั่วสำหรับ พวกเขา ต่อไปพวกเขาจะถูกรัดคอด้วยสิ่งที่พวกเขาได้ตระหนี่ในวันกียามะห์”[195]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

และเล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงรอยเท่า ไม้เรียวในสวรรค์ยังดีกว่าโลกนี่ และสิ่งที่อยู่ในโลกนี่ท่านทั้งหลายจงอ่านเถิดถ้าด้องการ “ดังนั้นผู้ใด ถูกกักตัวให้พ้นจากไฟนรก และ ถูกนำตัวเข้าสวรรค์ แน่นอนเขาย่อมได้ข้ยชนะและชีวิตในโลกนี่ ไม่มือะไร นอกจากเป็นเพียงสิ่งลวงตา

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ว่าแท้จริงมีผู้ชายหลายคนจากพวกหน้าไหว้หลังหลอกที่เมื่อท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ออกไปสู่สงครามพวกเขาจะไม่ออกไปกับท่าน และพวกเขาจะดีใจที่ ได้นั่งอยู่ โดยไม่ได้ออกไปกับท่านเราะซูลุลลอฮ์  และเมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กลับเข้ามา พวกเขาจะมาอ้างความจำเป็นกับท่าน และสาบาน และพวกเขาชอบให้ใต้คำสรรเสริญในสิ่งที่ พวกเขาไม่ได้กระทำ จึงได้ลงมาว่า “(โอ้มุฮัมมัด) ท่านอย่าคิดเป็นอันขาดว่า พวกที่ดีใจต่อสิ่ง ที่พวกเขาได้ดำเนินการไป และชอบที่จะให้ได้คำสรรเสริญในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้กระทำเอง ดังนั้น ท่านอย่าคิดเป็นอันขาดว่า พวกเขาจะพ้นจากการลงโทษ และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวดยิ่ง  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ในเรื่องนี้และมุสลิมในเรื่องลักษณะของคนหน้าไหว้หลังหลอก

มัรวานได้กล่าวแก่ยามเฝ้าประตูของเขาว่า โอ้รอเฟียะอ์เจ้าจงไปหาอิบนิ อับบาส และ กล่าวแก่เขาว่า ถ้าหากทุกคนดีใจในสิ่งที่ได้ถูกดำเนินการและชอบที่จะได้คำสรรเสริญในสิ่งที่เขา ไม่ได้กระทำจะต้องถูกลงโทษแล้ว พวกเราทุกคนก็จะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน อิบนุ อับบาส ได้กล่าวว่า พวกท่านไม่ได้เกี่ยวข้องกับอายะห์นี้ ความจริงท่านนบี ซ.ล.  ได้เรียกพวกยะฮูดมา และถามพวกเขาถึงสิ่งหนึ่ง พวกนั้นไม่ยอมเปิดเผยสิ่งนั้นแก่ท่านนบี และได้บอกสิ่งอื่นแก่ท่าน พวกนั้นได้ทำให้ท่านนบีเห็นว่าควรได้รับคำสรรเสริญด้วยสิ่งที่พวกเขาได้บอกแก่ท่านตามที่ท่าน ได้ถามพวกเขา และพวกนั้นก็ปลาบปลื้มใจในสิ่งที่ได้ดำเนินการไป คือการปิดบังของพวกเขา หลังจากนั้น อิบนุ อับบาส ได้อ่าน “และจงรำลึกถึง ขณะที่อัลเลาะห์ได้เอาสัญญากับบรรดาผู้ที่ ถูกประทานคัมภีร์ว่า พวกท่านจะต้องนำคัมภีร์นั้นออกเปิดเผยแก่มวลมนุษย์ และพวกท่านอย่า ปกปิดคัมภีร์ไว้”[196] และได้อ่าน (โอ้มุฮัมมัด) ท่านอย่าคิดเป็นอันขาดว่า พวกที่ดีใจต่อสิ่งที่ พวกเขาได้ดำเนินการไป และชอบที่จะให้ได้คำสรรเสริญในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้กระทำเอง ดังนั้น ท่านอย่าคิดเป็นอันขาดว่าพวกเขาจะพ้นจากการลงโทษ”[197]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้นอนค้างคืนอยู่กับน้าสาวของข้าพเจ้า มัยมูนะห์ และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้พูดคุยกับครอบครัวของท่านชั่วครู่หนึ่ง หลังจากนั้น ท่านได้นอน และเมื่อถึงเศษหนึ่งส่วนสามสุดท้ายของกลางคืน ท่านได้ขึ้นนั่งและมองไปยังท้องฟ้า แล้วกล่าวว่า “แท้จริงในการสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน และการสับเปลี่ยนของกลางคืน และกลางวัน ล้วนเป็นเครื่องหมายแก่ปัญญาชน”[198] จนจบซูเราะห์อาลิ อิมรอน จากนั้นท่านได้ลุกขึ้นอาบนํ้าละหมาด แปรงฟันและได้ละหมาดสิบเอ็ดเราะกะอัต ต่อมาบิลาลได้อะซาน และท่านได้ละหมาด สองเราะกะอัต หลังจากนั้นท่านได้ออกไป และได้ละหมาดซุบฮ์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากอุมมิ ซะละมะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าไม่ได้ยินอัลเลาะห์ กล่าวถึง พวกผู้หญิง ในการอพยพลื้กัยเลยและปรากฎว่า อุมมุ ซะละมะห์ เป็นผู้หญิงคนแรกที่ ได้เดินทางอพยพลื้กัยไปยังมะดีนะห์ อัลเลาะห์ตะอาลาได้ประทานลงมาว่า “ต่อมาพระผู้อภิบาล ของพวกเขาก็ได้ตอบสนองคำขอของพวกเขาว่า แท้จริงเราจะไม่ทำให้สูญเปล่าแก่การกระทำของ ผู้กระทำคนใดทั้งชายหรือหญิง ซึ่งบางส่วนของพวกท่านมาจากอีกบางส่วน”[199]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

ซูเราะห์ อันนิชาอ์ 762

อุรวะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามอาอิชะห์ถึงคำดำรัสของอัลเลาะห์ตะอาลา ที่ว่า “และถ้าหากพวกท่านกลัวว่า จะให้ความยุติธรรมไม่ได้ในลูกกำพร้า พวกท่านก็จงแต่งงาน เถิดกับหญิงที่พวกท่านพอใจสองคน สามคน และสี่คน”[200] อาอิชะห้ได้ตอบว่า โอ้หลานชาย หญิงกำพร้าผู้นี้เคยอยู่ในความอุปการะของผู้ปกครองของหล่อน โดยหล่อนร่วมกับเขาในทรัพย์สิน ของเขา และทรัพย์สินของหล่อนกับความสวยของหล่อนก็ทำให้เขาพอใจ เขา (ผู้ปกครองของ หล่อน) ต้องการจะแต่งงานกับหล่อน โดยไม่ให้ความเป็นธรรมในสินสอดของหล่อน ดังนั้น พวกเขาจึงถูกห้ามจากการดังกล่าว นอกจากพวกเขาจะจ่ายสินสอดสูงที่สุดที่ปรากฏตามแบบของพวกหล่อน และพวกเขาได้ถูกบัญชาให้แต่งงานกับผู้หญิงที่เขาพอใจ นอกจากพวกผู้หญิงที่กำพร้า เหล่านั้น [201]

อัลเลาะห์ตะอาลา ได้ตรัสว่า“และผู้ใดที่ร่ำรวย เขาก็จงยับยั้ง และผู้ใดที่ยากจนให้เขา จงบริโภคด้วยดี”[202] อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อายะห์นี้ลงมาในผู้ปกครองของเด็กกำพร้า เมื่อผู้ปกครองยากจนให้เขาบริโภคทรัพย์ของเด็กกำพร้าได้ แลกเปลี่ยนกับการทำหน้าที่ปกครอง เด็กกำพร้าของเขาด้วยดี 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  และอะบูบักรได้มาเยี่ยมข้าพเจ้าใน ตระกูลบะนี ซะละมะห์ โดยทั้งสองท่านเดินมา ท่านนบี ซ.ล.  ได้พบข้าพเจ้ากำลังอยู่ในอาการ ไม่รู้สึกตัว ท่านจึงได้เรียกหานํ้าและใช้นํ้านั้น อาบนํ้าละหมาด และท่านได้เอานํ้ารดลงบนตัว ข้าพเจ้าต่อมาข้าพเจ้าจึงรู้สึกตัว ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ท่านจะใช้ข้าพเจ้าให้ทำอย่างไรในทรัพย์สิน ของข้าพเจ้า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ต่อมาได้ลงมาว่า “อัลเลาะห์ทรงมีคำสั่งแก่พวกท่านในลูก ๆ ของพวกท่านว่า สำหรับผู้ชายมีส่วนได้เท่ากับส่วนได้ของผู้หญิงสองคน[203]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี 

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และพวกท่านทั้งหลายมีสิทธิ์ได้ครึ่งหนึ่งจากสิ่งที่คู่ครอง ของพวกท่านทั้งไว้ ถ้าหากพวกนางไม่มีบิน  และถ้าหากพวกนางมีบิน  ท่านทั้งหลายมีสิทธิ ได้เศษหนึ่งส่วนสี่ จากสิ่งที่พวกนางทั้งไว้ หลังจากหักค่าพินัยกรรมที่พวกนางสั่งไว้ หรือหนี้สิน และพวกนางมีสิทธิได้เศษหนึ่งส่วนสี่จากสิ่งที่พวกท่านทั้งไว้ ถ้าหากพวกท่านไม่มีบิน  และถ้า หากพวกท่านมีบิน  พวกนางจะมีสิทธิได้เศษหนึ่งส่วนแปด จากสิ่งที่พวกท่านทั้งไว้ หลังจาก หักค่าพินัยกรรมที่พวกท่านสั่งไว้หรือหนี้สิน”[204]

เล่าจาก อิบนิอับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ทรัพย์สินนั้นเคยตกเป็นของบิน ชาย และ พินัยกรรมตกเป็นของพ่อแม่ ต่อมาอัลเลาะห์ได้ยกเลิกสิ่งที่พระองค์ต้องการจากการดังกล่าวนั้น โดยพระองค์ได้กำหนดให้แก่เพศชายเท่ากับส่วนได้ของเพศหญิงสองคน และได้กำหนดให้พ่อแม่ โดยแต่ละคนจากทั้งสองจะได้รับเศษหนึ่งส่วนหก และเศษหนึ่งส่วนสาม และได้กำหนดให้เมีย ได้รับเศษหนึ่งส่วนแปดและเศษหนึ่งส่วนสี่ และผัวให้ได้รับครึ่งหนึ่งและเศษหนึ่งส่วนสี่[205]

รานงานโคนนออร นตร อนบูอาจต

และเล่าจากอิบนิ อับบาส ได้กล่าวว่า พวกเขาเมื่อชายคนหนึ่งตาย ปรากฎว่า บรรดาผู้ปกครองของเขาจะมีสิทธิในตัวภรรยาของเขา ถ้าหากเขาบางคนต้องการก็จะแต่งงานกับ หล่อน และถ้าหากต้องการก็จับหล่อนแต่งกับคนอื่น และถ้าต้องการพวกเขาก็จะไม่แต่งงานให้ หล่อน พวกเขามีสิทธิในตัวของหล่อนยิ่งกว่าครอบครัวของหล่อนเอง ดังนั้น จึงได้ลงมาว่า “ไม่ อนุญาตให้พวกท่าน รับพวกผู้หญิงเป็นมรดกตกทอดโดยบังคับ และท่านทั้งหลายอย่าขัดขวาง พวกหล่อน เพื่อเบียดบังเอาบางสิ่งที่พวกท่านต้องให้แก่พวกนาง”[206]

และเล่าจากอิบนิ อับบาส ได้กล่าวว่า ปรากฏว่า พวกผู้อพยพ (พวกมุฮายิรูน) เมื่อมาถึงมะดินะห์ผู้อพยพจะรับมรดกจากผู้ให้การช่วยเหลือ (พวกอันซอร) ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง เป็นเครือญาติของเขา (แต่) เพราะความเป็นพี่น้องกัน ซึ่งท่านนบี ซ.ล.  ได้สถาปนาขึ้นระหว่าง พวกเขา และเมื่อได้ประทานลงมาว่า “และแต่ละคนเราได้กำหนดให้มีผู้ทรงสิทธิ”[207] จึงได้ถูกยกเลิกไป

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

เล่าจากอะบีสะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฎว่าในวันศึกที่เอาตอส เมื่อเราได้บรรดาผู้หญิง (มาเป็นเชลย) โดยที่พวกหล่อนมีสามีที่เป็นพวกผู้ตั้งภาคี และมีหลายคนที่รังเกียจพวกหล่อน พวกเขาจึงได้ไปถามท่านนบี ซ.ล.  จึงได้ลงมาว่า “และ (ถูกห้ามแต่งงาน) กับบรรดาหญิงที่มีสามีแล้ว ยกเว้นทาสผู้หญิงที่พวกท่านครอบครองอยู่”[208]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี 

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ถ้าหากพวกท่านออกห่างไกลจากบาปใหญ่ที่พวกท่านถูกห้ามไว้ เราจะลบล้างความผิดต่าง ของพวกท่านออกไป และเราจะให้พวกท่านเข้าอยู่ในสถานที่ อันมีเกียรติ”[209]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงออก ห่างบาปใหญ่ทั้งเจ็ด พวกเขาถามว่า บาปใหญ่เหล่านั้นได้แก่อะไรบ้างโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ท่านตอบว่าคือ 1. การตั้งภาคีกับอัลเลาะห์ 2. การกระทำคุณไสย การฆ่าชีวิตที่อัลเลาะห์ ทรงหวง ห้าม เว้นแต่ โดยสัจธรรม 3. การกินดอกเบี้ย (ริบา) 4. การกินทรัพย์ของเด็กกำพร้า 5. การหนีทัพใน วันที่ปะทะกับข้าศึก และ 6. การกล่าวหาผู้หญิงที่ดีมีศรัทธา 7. ไม่ทำความชั่ว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และ ตัวบทของติรมิว่า บาปใหญ่คือ การตั้งภาคีต่ออัลเลาะห์ การเนรคุณต่อพ่อแม่ การฆ่าชีวิต และ กล่าวเท็จ ติรมีซีได้เพิ่มเติมในบางรายงานว่า และการสาบานเท็จ[210]

เล่าจากอุมมุ ซะละมะห์ ร.ฎ. แท้จริงเธอได้กล่าวว่า พวกผู้ชายทำสงคราม และพวก ผู้หญิงไม่ได้ทำสงคราม และพวกเราได้ครึ่งหนึ่งของกองมรดก อัลเลาะห์ได้ประทานลงมาว่า “และพวกท่านอย่าหวังจะได้สิ่งที่อัลเลาะห์ได้โปรดปรานมันให้แก่บางคนของพวกท่านมากกว่า บางคนสำหรับพวกผู้ชายนั้น จะได้ส่วนจากสิ่งที่พวกเขาได้ทำไว้ และพวกผู้หญิงก็จะได้ส่วนจาก สิ่งที่พวกนางได้ทำไว้”[211]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า จงอ่าน ให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า จะอ่านให้ท่านฟังหรือทั้งๆ ที่ อัลกุรอานได้ถูกประทานลงมา ยังท่าน ท่านนบีได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าต้องการฟังอัลคุรอานจากคนอื่นบีไม่ใช่ข้าพเจ้า ต่อมาข้าพเจ้า จึงได้อ่านซูเราะห์อันนิชาอฺให้ท่านฟัง จนข้าพเจ้าอ่านไปถึง “และจะเป็นอย่างไรเล่า เมื่อเราได้ นำสักขีพยานมาจากทุกๆ ประชาชาติ และเราได้นำท่านมาเป็นสักขีพยานเหนือพวกเหล่านั้นท่านได้กล่าวว่า จงหยุดเถิด ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองข้างของท่านเต็มไปด้วยนํ้าตา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อับดรเราะห์มานได้ทำอาหารเพื่อพวกเรา และเขาได้ เชื้อเชิญพวกเรา และได้รินสุราให้แก่พวกเรา จนต่อมาพวกเราก็เมาสุรา และได้เวลาละหมาด พวกเขาไดให้ข้าพเจ้านำละหมาด ข้าพเจ้าได้อ่าน “จงประกาศเถิดโอ้บรรดาผู้ทรยศทั้งหลาย ข้าพเจ้าจะไม่สักการะสิ่งที่พวกท่านสักการะ และพวกเราจะสักการะสิ่งที่พวกท่านสักการะ” อัลเลาะห์ตะอาลาจึงได้ประทานลงมาว่า “โอ้บรรดาผู้ที่ศรัทธาทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าเข้าใกล้ ละหมาด โดยที่พวกท่านมึนเมาจนกว่าท่านทั้งหลายจะรู้สิ่งที่พวกท่านกล่าว”[212]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า สร้อยคอของอัสมาอฺหลุดหายไป ท่านนบี ซ.ล.  จึงได้ส่งพวกผู้ชายหลายคนไปทำการค้นหามัน ต่อมาถึงเวลาละหมาด โดยพวกเขาไม่มีนำละหมาด และไม่พบน้ำพวกเขา จึงละหมาดโดยไม่มีนํ้าละหมาด ต่อมาอัลลอฮ์ตะอาลาจึงได้ประทาน อายะห์ที่ว่าด้วยเรื่องตะยัมมุมลงมา [213]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงให้อภัยการนำพระองค์ไปตั้งภาคี และพระองค์จะทรงอภัยให้ในโทษที่ต่ำกว่านั้น แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และผู้ใดตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ แท้จริงเท่ากับเขาได้ทำบาปอันยิ่งใหญ่”[214]

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดพบอัลลอฮ์โดยไม่นำสิ่งใด ไปตั้งภาคีกับพระองค์เขาได้เข้าสวรรค์ และผู้ใดพบอัลลอฮ์โดยนำพระองค์ไปตั้งภาคีเขาได้เข้านรก 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะห์มัด

เล่าจากอับดิลลาห์ บิน  ซุบัยร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ผู้ชายคนหนึ่งจากชาวอันซอรได้ โต้เถียงกับซุบัยร์ในเรื่องทางนำที่ไหลจากภูเขาลงสู่พื้นที่ราบ ซึ่งพวกเขาใช้มันรดต้นอินทผลัมอยู่ ชาวอันซอรผู้นั้นได้กล่าวว่า จงปล่อยนำให้ผ่านไป แต่ซุบัยร์ ไม่ยอม จึงทะเลาะกัน ไปยัง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ท่านได้กล่าวแก่ซุบัยร์ว่า จงรดน้ำเถิดโอ้ซุบัยร์ และปล่อยน้ำไป ยังเพื่อนบ้านของท่าน ชาวอันซอรผู้นั้นโกรธและได้กล่าวว่า เพราะการที่เขาเป็นถูกน้าสาว ของท่านใช่ไหม ใบหน้าของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  เปลี่ยนไปทันบี หลังจากนั้นท่านได้ กล่าวว่า โอ้ ซุบัยร์ จงรดนํ้าและกักนํ้าไว้จนกว่ามันจะกลับไปสู่คันดิน ซุบัยร์ได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่าข้าพเจ้าคิดว่า อายะห์นี้ ได้ลงมาในเรื่องนั้นคือ “ไม่หรอก ขอสาบานต่อ พระผู้อภิบาลของท่านว่า พวกเขาจะยังไม่มีศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะมอบอำนาจให้ท่านตัดสินในกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา”[215] จนจบอายะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี 

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า ไม่มีนบี ท่านใดที่ป่วย นอกจากอัลเลาะห์จะให้เขาเลือกระหว่างดุนยา กับ อาคีเราะห์เสียก่อน และได้ ปรากฎในอาการป่วยของท่านที่ได้ถูกเก็บชีวิตไปในการป่วยครั้งนี้ ซึ่งอาการเสียงแหบพร่าอย่าง รุนแรงที่ได้เกิดกับท่าน ข้าพเจ้าได้ยินท่านกล่าวว่า พร้อมกับบรรดาผู้ซึ่งพระองค์อัลเลาะห์ทรง โปรดปรานพวกเขาจากบรรดานบี ผู้ที่ศรัทธาอย่างแท้จริง บรรดานักรบที่ตาย ชะฮีด และ บรรดาผู้ทำดีทั้งหลาย[216] ข้าพเจ้ารู้ว่า ท่านกำลังถูกเสนอให้เลือก[217]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี 

เล่าจากเซด บิน  ซาบิต ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ประชาชนจากบรรดาอัครสาวกของท่าน นบี ซ.ล.  ได้กลับจากสมรภูมิอุฮุด และในหมู่ประชาชนนั้นมีสองพวก พวกหนึ่งกล่าวว่า จงฆ่าพวกนั้น (กุเรซ) และอีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ไม่ จึงได้ลงมาว่า “อะไรเป็นต้นเหตุสำหรับ พวกท่านในกรณีของพวกหน้าไหว้หลังหลอก จึงแตกออกเป็นสองพวก”[218] และท่านได้กล่าว ว่า แท้จริงมะดีนะห์คือตอยบะห์ (เป็นที่ๆ ดี) ที่จะขจัดสิ่งสกปรก เหมือนไฟที่ขจัดสิ่งสกปรกในแร่เงิน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี ในเรื่องนี้ และมุสลิมในเรื่องลักษณะของคนหน้าไหว้หลังหรอก

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และผู้ใดฆ่าผู้มีศรัทธาโดยเจตนา ผลตอบแทนของเขา คือนรกญะฮันนัม อยู่ในนั้นตลอดไป และอัลเลาะห์ทรงกริ้วโกรธเขา และเตรียมลงโทษขนาน ใหญ่ไว้ให้เขา”[219] สะอีด บิน  ยุบัยร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชาวกูฟะห์ ได้ขัดแย้งกันในอายะห์นี้ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้เดินทางไปหาอิบนิ อับบาสเพราะอายะห์นี้ และข้าพเจ้าได้ถามเขาถึงอายะนี้ เขาได้ตอบว่า อายะห์นี้คือ “และผู้ใดฆ่าผู้มีศรัทธาโดยเจตนา” เป็นอายะห์สุดท้ายที่ลงมา และไม่มีสิ่งใดมายกเลิกอายะห์นี้

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และอะบูดาวูดในเรื่องกฤติการต่างๆ และตัวบทของอะนูดาวูด ว่า เขาได้กล่าวว่า เมื่ออายะห์ที่อยู่ในซูเราะห์อัลฟุรกอนได้ลงมาคือ “และบรรดาผู้ที่ไม่นำพระเจ้าอื่นใดมาสักการะพร้อมกับอัลเลาะห์ และไม่ฆ่าชีวิตที่อัลเลาะห์ทรงหวงห้าม นอก จากฆ่าโดยธรรม และพวกเขาไม่ละเมิดประเวณี”[220] พวกผู้ตั้งภาคีชาวมักกะห์ได้กล่าวว่า “พวกเราได้กระทำการดังกล่าวทั้งหมด” อัลเลาะห์จึงได้ประทานลงมาว่า “นอกจากผู้ที่สำนึกตัว และศรัทธาและกระทำกิจกรรมที่ดี พวกเหล่านั้นแหละที่อัลเลาะห์จะเปลี่ยนความชั่วของพวก เขาเป็นความดี”[221] อายะห์นี้เป็นของพวกนั้น ส่วนอายะห์ที่อยู่ในซูเราะห์ อันนิชาอฺ “และผู้ใด ฆ่าผู้มีศรัทธาโดยเจตนา ผลตอบแทนของเขาคือนรกญะฮันนัม อยู่ในนั้นตลอดไป” จนจบ อายะห์ ชายผู้หนึงเมื่อเขารู้จักบัญญ้ตต่าง 1 ของอิสลามแล้ว หลังจากนั้นเขาได้ฆ่าผู้มีศรัทธา โดยเจตนา ผลตอบแทนของเขาคือ นรกญะฮันนัม และเขาไม่มีสิทธิเตาบะห้ ต่อมาข้าพเจ้าได้ กล่าวเข้นนั้นกับมุยาอิด เขาได้กล่าวว่า นอกจากผู้ที่เสียใจ[222]

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ที่ถูกฆ่าจะนำผู้ฆ่ามาในวันกิยามะห์ โดยขม่อมและหัวของผู้ฆ่าอยู่ในมือของผู้ที่ถูกฆ่า และเส้นเลือดของผู้ถูกฆ่ายังคงมีเลือดไหลอยู่ เขาจะกล่าวว่าข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า เขาฆ่าข้าพเจ้า จนนำเขาเข้าไป ใกล้บัลลังก์[223] พวกเขาได้กล่าวถึงการเตาบะห์แก่อิบนิอับบาส เขาจึงได้อ่านว่า “ผู้ใดสังหาร ผู้มีศรัทธาโดยเจตนา” อิบนุอับบาส ได้กล่าวว่า อายะห์นี้ไม่ได้ถูกยกเลิกและไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง และไหนเล่า เขาจะมีสิทธิ์ เตาบะห์ 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

และ เล่าจากอิบนิ อับบาส ได้กล่าวว่า ผู้ชาย คนหนึ่งจาก ตระกูลซุลัยม์ได้เดินทาง ผ่าน อัครสาวกกลุ่มหนึ่งของท่านนบี ซ.ล.  โดย เขามีแพะ ตัวหนึ่ง เขาได้ให้สลามอัครสาวก กลุ่มนั้น พวก เขาได้กล่าวว่า เขาไม่ได้ให้สลา มพวกท่าน นอก จาก เพื่อให้พ้นจากพวกท่าน[224]พวก เขาจึงลุกขึ้นแล้วฆ่า เขา และได้เอาแพะของเขาไป ต่อ มาพวก เขาได้นำแพะ มาหาท่านรอซู ลุ้ลเลาะห์ ซ.ล.  จึงได้ลงมาว่า “โอ้บรรดาผู้ที่มีศรัทธาแล้วทั้งหลาย เมื่อพวกท่านได้ออกเดินทางไปในวิกึทางของอัลเลาะห์ พวกท่านจงมีความหนักแน่น และท่านทั้งหลายอย่ากล่าว แก่ผู้ที่ ให้สลามแก่พวกท่านว่า ท่านไม่ใช้ผู้ที่มีศรัทธา”[225]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากเซด บิน  ซาบิต ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้บอกให้เขาเขียนว่า “จะไม่เท่าเทียมกันหรอก ผู้ที่ไม่ได้ออกรบจากบรรดาผู้มีศรัทธากับบรรดานักรบในวิถี ทางของอัลลอฮ์”231 ต่อมา อิบนู อุมมิ มักตูมได้มาหาท่านขณะที่ท่านกำลังบอกให้ข้าพเจ้า เขียนแล้วได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ถ้าหากข้าพเจ้ามีความสามารถสู้รบ ข้าพเจ้าจะต้องออกสู้รบอย่างแน่นอน และปรากฏว่าเขาเป็นคนตาบอด อัลลอฮ์ ได้ประทานลงมายังศาสนทูตของพระองค์ ซ.ล.  ขณะที่ต้นขาของท่านกับอยู่บนต้นขาของ ข้าพเจ้า และมันได้หนักเหนือข้าพเจ้า จนข้าพเจ้ากลัวว่าต้นขาของข้าพเจ้าจะแตก ต่อมาวะฮีย์ ก็ได้ถูกยกออกไปจากท่าน และอัลเลาะห์ได้ประทานลงมาว่า “นอกจากผู้ที่มีความจำเป็น”

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี 

อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริงประชาชน มุสลิมกลุ่มหนึ่งได้ปรากฏอยู่ร่วม กับบรรดาผู้ตั้งภาคี พวกเขาทำให้เห็นว่ากลุ่มชนของพวกผู้ตั้งภาคีมีจำนวนมาก ที่เข้าบุกโจมตี ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถูกธนูพุ่งเข้ามาที่ใครคนหนึ่งจากพวกเขาก็จะสังหารผู้นั้นหรือถูกฟัน ก็ทำให้ผู้นั้นเสียชีวิต อัลลอฮ์ได้ประทานลงมาว่า “แท้จริงบรรดาผู้ที่มะลาอิกะห์ได้เก็บวิญญาณ ของพวกเขาในสภาพที่พวกเขาทุจริตต่อตัวเอง”232 จนจบอายะห์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

หลังจากนั้นอัลเลาะห์ตะอาลาได้ผ่อนผันให้แก่บรรดาผู้อ่อนแอที่อยู่ร่วมกับบรรดาผู้ตั้งภาคี โดยพระองค์ได้ตรัสว่า “ยกเว้นบรรดาผู้อ่อนแอจากบรรดาผู้ชายผู้หญิงและเด็ก ที่พวกเขาไม่มีความสามารถหาวิธีการ (ออกจากมักกะห์) และไม่รู้จักเส้นทาง[226] พวกนั้นย่อมหวังได้ว่า พระองค์จะทรงอภัยให้แก่พวกเขา และปรากฏว่าพระองค์อัลลอฮ์ทรงไม่เอาผิดทรงอภัยยิ่ง” อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าและมารดาของข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของผู้อ่อนแอ และในรายงานหนึ่งว่า ข้าพเจ้าและมารดาของข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของบุคคลที่อัลเลาะห์รับคำแก้ตัว[227]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี 

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และเมื่อท่านทั้งหลายออกเดินทางไปในหน้าแผ่นดิน ดังนั้นจะไม่มีบาปแก่พวกท่านที่จะย่อละหมาด หากพวกท่านกลัวว่า บรรดาผู้ทรยศจะก่อความวุ่นวายแก่พวกท่าน”[228]

เล่าจากยะอ์ลา บิน  อุมัยยะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่อุมัร ร.ฎ. ว่า ความจริงอัลเลาะห์ได้ตรัสให้ท่านทั้งหลายย่อละหมาด ถ้าหากพวกท่านมีความหวาดกลัว และความจริงบัดนี้ประชาชนมีความปลอดภัยแล้ว อุมัรได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าก็มีความประหลาดใจ เช่นเดียวกับที่ท่านประหลาดใจ และข้าพเจ้าได้กล่าวเช่นนั้นแก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ท่าน ได้กล่าวว่า มันเป็นทานซอดะเกาะห์ ที่อัลเลาะห์ได้มอบมันแก่พวกท่าน ดังนั้น ท่านทั้งหลาย จงรับทานของพระองด์เถิด[229]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และเมื่อท่านอยู่ในพวกเขาให้ท่านจงจัดละหมาดให้แก่ พวกเขาโดยให้กลุ่มหนึ่งจากพวกเขายืนขึ้นละหมาดพร้อมกับท่าน และให้พวกเขาถืออาวุธไว้ ต่อมาเมื่อพวกเขาก้มลงกราบแล้ว ให้พวกเขาถอยออกมาอยู่ข้างหลังพวกท่าน และให้อีกกลุ่ม หนึ่งที่ยังไม่ได้ละหมาดมา และให้พวกเขาจงละหมาดร่วมกับท่าน และให้พวกเขาระวังและถืออาวุธไว้ พวกผู้ทรยศชอบที่จะให้พวกท่านลืมอาวุธ และสัมภาระของพวกท่าน เพื่อพวกเขาจะ จู่โจมพวกท่านในคราวเดียวกัน”[230]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้ลงพักระหว่าง ดอจนาน กับอุชฟาน[231] บรรดาผู้ตั้งภาคีได้กล่าวว่า แท้จริงพวกเหล่านั้นมีละหมาดซึ่งพวกเขารักเสียยิ่ง กว่าบรรพบุรุษและถูกหลานของพวกเขาเสียอีก คือ ละหมาดอัสร์ ดังนั้น พวกท่านจงรวบรวม กำลังของพวกท่าน และจู่โจมพวกนั้นในคราวเดียวก้น ต่อมาญิบรีลได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  และใช้ท่านให้แบ่งอัครสาวกของท่านออกเป็นสองส่วน โดยให้ท่านละหมาดพร้อมกับพวกเขา และให้อีกพวกหนึ่งอยู่ข้างหลังพวกนั้น และให้พวกเขาระวังและถืออาวุธ หลังจากนั้นให้อีก พวกหนึ่งเข้ามาและละหมาดร่วมกับท่านหนึ่งเราะกะอัต จากนั้นให้พวกเขาระวังและถืออาวุธ พวกนั้นก็จะได้ละหมาดพวกละหนึ่งเราะกะอัต หนึ่งเราะกะอัต ส่วนท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้ละหมาดสองเราะกะอัต[232]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

เล่าจากกอตาดะห์ บิน  อันนัวะอ์มาน ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อาหารและอาวุธของลุงข้าพเจ้า ริฟาอะห์ บิน  เซด ร.ฎ. ถูกขโมยไป ต่อมาเขาได้มาบอกให้ข้าพเจ้าทราบถึงเรื่องนี้ พวกเราได้สอบถาม และค้นหาภายในบ้านและได้มีผู้บอกพวกเราว่าแท้จริงพวกที่ขโมยคือตระกูล อุบัยริก ซึ่งได้แก่บะซีร, บิชร์ และ มุบัชซิร บะซีร นั้นเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เขาด่าอัครสาวกของท่านนบี ซ.ล.  ด้วยคำโคลงที่เขาอ้างว่าเป็นของผู้อื่น และพวกเขาเป็นพวกที่มี ความขัดสนและยากจน ทั้งในยุคญาฮิลียะห์และในยุคอิสลาม ข้าพเจ้าจึงได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  และบอกให้ท่านทราบว่า ข้าพเจ้าต้องการเอาคืนเพียงอาวุธจากเขาเท่านั้น ท่านนบี ซ.ล.  ได้ กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะออกคำสั่งให้จัดการดังกล่าว ต่อมาตระกูล อุบัยริก ได้ยินตามที่กล่าวนี้ พวกเขาจึงได้ส่ง อุซัยด์ บิน อุรวะห์ มาหาท่านนบี ซ.ล.  แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ตระกูลอุบิยริกเป็นส่วนหนึ่งของเรา เป็นคนดีและนับถืออิสลาม ถูกกล่าวหาว่า ลักขโมยโดย ปราศจากพยานหลักฐาน กอตาดะห์ได้กล่าวว่า ต่อมาข้าพเจ้าได้พูดกับท่านนบี ซ.ล.  อีกเป็นครั้งที่สอง ท่านได้กล่าวว่า ท่านกล่าวหาครอบครัวหนึ่งที่นับถืออิสลามและมีความดี ว่าลักขโมย โดยปราศจากพยานหลักฐาน ข้าพเจ้าจึงกลับไป และคิดว่า ข้าพเจ้าจะพ้นไปจากทรัพย์สินบางอย่างของข้าพเจ้าเสียแล้ว และข้าพเจ้าไม่ได้พูดกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  อีก ต่อมาลุง ของข้าพเจ้าได้มาหาข้าพเจ้าและข้าพเจ้าได้บอกให้เขาทราบตามที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้ กล่าวแก่ข้าพเจ้า ลุงของข้าพเจ้าได้กล่าวว่า พระองค์อัลเลาะห์ทรงเป็นที่พึ่ง และอีกไม่นาน อัลกฺรอานก็ได้ลงมาว่า “แท้จริงเราได้ประทานคัมภีร์ลงมายังท่านด้วยสัจธรรม เพื่อท่านจะได้ คัดสินระหว่างมวลมนุษย์ ตามที่อัลเลาะห์ทรงให้ท่านเห็น และท่านอย่าเป็นผู้โต้เถียงแทนบรรดาผู้ทุจริต (ตระกูลอุบัยริก) และท่านจงขออภัยโทษต่ออัลเลาะห์ (คือที่ท่านได้กล่าวแก่กอตาดะห์) แทจริงอัลลอฮ์ทรงอภัย ทรงเมตตา และท่านอย่าเถียงแทนบรรดาผู้ที่บิดพริ้วต่อตัวเอง แน่แท้อัลเลาะห์ไม่รักจอมบิดพริ้วที่เป็นนักทำบาป พวกเขาพยายามซ่อนเร้นจากมนุษย์ และ พวกเขาไม่สามารถซ่อนเร้นจากอัลเลาะห์ได้ ทั้งนี้ อัลเลาะห์อยู่พร้อมกับพวกเขาขณะที่พวก เขาวางแผนการในเวลากลางคืน (เพื่อกระทำ) สิ่งที่อัลเลาะห์ไม่พึงพอใจจากคำพูด และอัลเลาะห์ทรงรู้ละเอียดสิ่งที่พวกเขากระทำ พึงทราบเถิดท่านทั้งหลายว่า พวกเหล่านี้แหละที่พวก ท่านได้โต้เถียงแทนพวกเขาในชีวิตทางโลกนี้ ดังนั้น ผู้ใดเล่าที่จะโต้เถียงกับอัลเลาะท์แทนพวกเขาในวันกิยามะห์หรือผู้ใดเล่า จะเป็นตัวแทนปกป้องพวกเขา”240 เมื่อบรรดาอายะห์เหล่านี้ ได้ลงมา ก็ได้มีผู้นำอาวุธมามอบให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  กอตาดะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้า เคยสงสัยในการนับถือศาสนาอิสลามของลุงข้าพเจ้าริฟาอะห์ เพราะเขาเป็นชายชราที่ทำความชั่วในสมัยญาฮิลียะห์ เมื่อข้าพเจ้าได้นำอาวุธไปมอบให้เขา เขาได้กล่าวว่า โอ้หลานชาย มัน (อาวุธ) ถูกอุทิศอยู่ในแนวทางของอัลเลาะห์ ข้าพเจ้าจึงรู้การนับถืออิสลามของเขาว่าถูกต้อง และเมื่อบรรดาอายะห์เหล่านี้ได้ลงมาแล้ว บะซีรก็ได้ติดตามพวกผู้ตั้งภาคีไป และได้ลงพักอยู่ กับซุลาฟะห์ บุตรสาว สะอัด บิน ซุมัยยะห์ จึงได้ลงมาว่า “และผู้ใดที่คัดด้านศาสนทูตหลังจากทางนำที่ถูกต้องประจักษ์แจ้งแก่เขาแล้ว” สองอายะห์[233] ต่อมาฮัซซาน บิน  ซาบิต ได้กล่าวหา ซุลาฟะห์คนนี้ด้วยคำโคลงหลายบาท หล่อนได้เอาอานของบะซีรใส่ไว้บนศีรษะของหล่อน และได้ขว้างมันทั้งที่ อัลอับเฏาะห์ และหล่อนได้กล่าวว่า ท่านได้ให้ของกำนัล แก่ข้าพเจ้าด้วยคำโคลงของฮัชชาน ท่านไม่เคยมาหาข้าพเจ้าด้วยความดีเลย

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ไม่มือายะห์ใดในอัลกุรอานบีข้าพเจ้ารักยิ่งกว่าอายะห์ นี้ “แท้จริงอัลเลาะห์จะไม่ทรงให้อภัยที่พระองค์จะถูกตั้งภาคี และพระองค์จะทรงให้อภัยสิ่งที่ต่ำกว่านั้น แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์”[234]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมึ่อได้ลงมาว่า “ผู้ใดทำความชั่ว เขาย่อมถูกตอบแทนด้วยความชั่วนั้น”[235] มันได้ทำความลำบากใจให้แก่บรรดามุสลิม พวกเขาได้ไปร้องเรียนต่อท่านนบี ซ.ล.  ท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงเดินสายกลางในกิจกรรมทั้งหลาย และจงแสวงหาสิ่งที่ถูกต้อง เพราะในทุกสิ่งที่ประสพกับมุอฺมินผู้มีศรัทธานั้น เปีนเครื่องไถ่บาป แม้แต่หนามที่ตำเขา หรือภัยพิบัติที่เกิดกับเขา และในบางรายงานว่า นี้คือการ ลดโทษของอัลเลาะห์ให้แก่บ่าวในสิ่งที่ประสพกับเขาจากการเป็นไข้และภัยพิบัติ จนแม้กระทั้ง ข้าวของที่เขาใส่ไว้ในแขนเสื้อของเขา และเขาทำมันหล่นหายไป และเขาตกใจเพราะมัน จนถึงขั้นที่แท้จริง บ่าวจะออกจากบาปต่าง ๆ ของเขาเหมือนทองแท่งที่ออกจากเดาหลอม[236]

รายงานหะดีษทั้งสามโดย ติรมิซี 

“และถ้าหากมีหญิงคนหนึ่งที่กลัวสามีของนางจะข่มเหงหรือเมินหนี ก็ไม่เป็นบาปแก่ คนทั้งสองที่จะประนีประนอมกันอย่างจริงจัง ระหว่างเขาทั้งสอง และการประนีประนอมนั้น ดี”[237]

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งมีภรรยาอยู่กับเขาโดยเขาไม่ต้องการ ความรักและอยู่ร่วมกันกับหล่อน เขาปรารถนาแยกทางกับหล่อน ต่อมาหล่อนกล่าวว่า ข้าพเจ้า ให้ท่านมีทางออกในเรื่องของข้าพเจ้า และอายะห์นี้ก็ได้ลงมา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ตัวบทของติรมีซีว่า เซาดะห์กลัวว่าท่านนบี ซ.ล.  จะหย่าหล่อน จึงได้กล่าวขั้นว่า ขอท่าน ได้โปรดอย่าหย่าข้าพเจ้า จงเอาข้าพเจ้าไว้ และข้าพเจ้าจะมอบวันของข้าพเจ้าให้แก่อาอีชะห์ และท่านนบีก็ได้ทำตามนั้น อายะห์นี้จึงได้ลงมา ดังนั้น สิ่งใดที่ทั้งสองฝ่ายตกลงประนีประนอม กันย่อมเป็นที่อนุญาต

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “พวกเขาจะขอให้ท่านบีแจง จงกล่าวเถิดว่าอัลเลาะห์ ทรงชี้แจงแก่พวกท่านในเรื่องของมรดกที่ไม่มีบิดา-บุตร ว่า หากแม้นมีชายคนหนึ่งตายโดยเขาไม่มีถูก แต่เขามีพี่น้องผู้หญิง พี่น้องผู้หญิงมีสิทธิจะได้ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่ผู้ตายทั้งไว้ และตัวเขาก็จะรับ มรดกของนาง ถ้าหากนางไม่มีลูก”[238]

เล่าจาก อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า สามเรื่องที่ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  อธิบายให้พวกเราทราบในสามเรื่องนั้น คือ เรื่องปู่ และการที่ผู้หนึ่งตายโดยไม่มีบิดา- บุตร  และประตูที่จะเกิดดอกเบี้ย(ริบา) 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจาก อัลบะรออ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ซูเราะห์สุดท้ายที่ลงมาคือ บะรออะห์ และ อายะห์สุดท้ายที่ลงมาคือ “พวกเขาจะขอให้ท่านบีแจง จงกล่าวเกิดว่า อัลเลาะห์จะทรงชี้แจง ให้พวกท่านในเรื่องของมรดกที่ไม่มีบิดา-บุตร ” 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอับดิลเลาห์ บิน  อัมร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ซูเราะห์สุดท้ายที่ถูกประทานลง มาคือ อัลมาอิดะห์ และ อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ซูเราะห์สุดท้ายที่ลงมาคือ “เมื่อการช่วยเหลือของอัลเลาะห์และชัยชนะได้มา [239]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี หะดีษแรกด้วยสายรายงานที่หะซัน

ซูเราะห์ อิลมาอิดะห์ 772

ในนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ในวันนี้เราได้ให้ศาสนาของพวกท่านสมบูรณ์แล้วเพื่อพวกท่าน และได้ประทานความโปรดปรานครบถ้วนของเราให้แก่พวกท่าน และเราพอใจให้ อิสลามเป็นศาสนาของพวกท่าน”[240] พระองค์อัลเลาะห์ ผู้ยิ่งใหญ่ทรงสัจจะ

ชายคนหนึ่งจากพวกยะฮูดได้กล่าวแก่ อุมัร ร.ฎ. ว่า โอ้ท่านผู้นำของผู้มีศรัทธาทั้งหลาย ถ้าหากอายะห์นี้ที่ว่า “วันนี้เราได้ให้ศาสนาของพวกท่านสมบูรณ์” ถูกประทานลงมายังพวกเรา แล้ว พวกเราจะต้องถือเอาวันนั้นเป็นวันเฉลิมฉลองอย่างแน่นอน อุมัรได้กล่าวว่า แท้จริง ข้าพเจ้ารู้ดีว่า วันใดที่อายะห์นี้ถูกประทานลงมา อายะห์นี้ถูกประทานลงมาในวันอะรอฟาตตรงกับวันศุกร์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ต่อมาพวกท่านหานํ้าไม่ได้ ดังนั้นให้ท่านทั้งหลายทำ ตะยัมมุม ด้วยฝุ่นดินที่สะอาด โดยให้ท่านทั้งหลายเช็ดใบหน้าของพวกท่านและมือของพวก ท่านจากฝ่นดินนั้น อัลเลาะห์ไม่ปรารถนาสร้างความคับแค้นให้เกิดกับพวกท่าน แต่พระองค์ ปรารถนาให้พวกท่านสะอาด และเพื่อพระองค์จะทำความสมบูรณ์ในความโปรดปรานของ พระองค์ที่มอบให้พวกท่าน แน่นอนว่า พวกท่านจะต้องมีสำนึกในบุญคุณ”[241]

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า สร้อยคอของข้าพเจ้าหล่นที่ทะเลทราย ขณะที่ พวกเรากำลังเดินทางเข้ามะดีนะห์ ดังนั้น ท่านนบี ซ.ล.  จึงได้สั่งให้พาหนะคุกเข่าลง และ ท่านได้ลงพัก ต่อมาท่านนอนหลับโดยเอาศีรษะของท่านหนุนตักของข้าพเจ้า อะบูบักร์เข้ามา และตบข้าพเจ้าครั้งหนึ่งอย่างรุนแรงแล้วกล่าวว่า เธอหน่วงเหนี่ยวประชาชนไว้เพียงเพื่อหา สายสร้อย และข้าพเจ้าทุรนทุรายเหมือนใกล้ตายเพราะกลัวท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  จะตื่น และความจริงอะบูบักร์ได้ทำให้ข้าพเจ้าเจ็บปวดมาก ต่อมาท่านนบี ซ.ล.  ได้ตื่นนอนและถึง เวลาละหมาดซุบฮ์ น้ำได้ถูกค้นหาแต่ก็ไม่พบ จึงลงมาว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย เมื่อ ท่านทั้งหลายต้องการจะละหมาด”[242] จนจบอายะห์ ต่อมา อุซัยด์ บิน  ฮุดอยร์ ได้กล่าวว่า ; อัลเลาะห์ได้ให้พวกท่านเป็นสิริมงคลแก่มนุษย์ โอ้วงศ์วานของอะบีบักร์ พวกท่านไม่ใช่อื่นใด นอกจากความเป็นสิริมงคลแก่มวลมนุษย์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจาก อัลมิกดาร ร.ฎ. ว่าเขาได้กล่าวในวันศึกที่บัดร์ว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  แท้จริงพวกเราจะไม่กล่าวกับท่านเช่นที่วงศ์วานของอิสรออีล ได้กล่าวแก่มูซาว่า ดังนั้น ตัวท่านกับพระผู้อภิบาลของท่านจงไปกันโดยลำพังเถิด และท่านทั้งสองจงสู้รบ พวกเราจะนั่ง อยู่ที่นี่”[243] แต่ (พวกเราจะกล่าวว่า) ท่านจงดำเนินการเถิด พวกเราจะอยู่กับท่าน และมันก็เหมือนกับเป็นการทำให้ความหม่นหมองหมดไป จากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “แน่นอนผลการตอบแทนบรรดาผู้ที่ตั้งตัวต่อสู้กับอัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์ และพยายามสร้างความเสื่อมเสียขึ้นในแผ่นดิน ก็คือพวกเขาจะต้อง ถูกฆ่าหรือถูกตรึงไม้กางเขนหรือถูกตัดมือตัดเท้าสลับกัน หรือถูกเนรเทศออกจากแผ่นดินนั้น นั่นคือความอัปยศของพวกเขาในโลกนี้และพวกเขายังได้รับการลงโทษอันใหญ่หลวงโนโลกหน้าอีก”[244]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีผู้คนจากเผ่าอุกล์ และอุรอยนะห์ ได้เดินทางเข้ามา และป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร ท่านนบี ซ.ล.  ได้ใช้พวกเขาให้ออกไปยังฝูงอูฐ(ซะกาต) และให้พวกเขาดื่มนมและเยี่ยวอูฐ พวกเขาได้ออกเดินทางไป เมื่อหายป่วยแล้ว พวก เขาได้ฆ่าคนเลี้ยงสัตว์ของท่านนบี ซ.ล.  และพวกเขาได้ไล่ต้อนฝูงอูฐไป ข่าวนี้ได้มาถึงท่านนบี ซ.ล.  ในตอนหัววัน และท่านได้ส่งคนติดตามรอยของคนเหล่านั้น เมื่อตะวันขึ้นสูง พวกนั้นได้ ถูกนำตัวมา ท่านจึงออกคำสั่งให้ตัดมือและเท้าของพวกเขา และทิ่มตาพวกเขาด้วยเหล็กเผาไฟ และพวกเขาถูกนำไปโยนไว้ในพื้นที่ๆ มีหินสีดำ พวกเขาขอนำดื่ม แต่พวกเขาไม่ได้รับน้ำ จนเสียชีวิตในที่สุด อะบู กิลาบะห์ ได้กล่าวว่า พวกเหล่านั้น ขโมย ฆ่า และทรยศ หลังจากได้ศรัทธา และตั้งตัวสู้รบกับอัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ในเรื่องความสะอาด

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “แท้จริงบรรดาผู้ไม่ศรัทธานั้น หากแม้นว่าสรรพสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดในแผ่นดินและอีกเท่าหนึ่งของมันพร้อมกัน เพื่อพวกเขาจะนำมันมาไก่ตัวให้พ้นจาก การลงโทษในวันกิยามะห์ สรรพสิ่งทั้งหลายนั้นจะไม่ถูกรับ (เป็นค่าไถ่ตัว) และพวกเขาจะต้อง ได้รับการลงโทษที่เจ็บปวดยิ่ง”[245]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ตะอาลาจะตรัสแก่ชาวนรกที่ถูกลงโทษอย่างตกต่ำทิ่สุดว่า หากแม้นโลกดุนยาและสรรพสิ่งต่างๆ ในโลกดุนยาเป็นของ เจ้า เจ้าจะนำมันมาไถ่ตัวไหม เขาจะต้องตอบว่า ขอรับ อัลเลาะห์ตะอาลาจะตรัสว่า ความจริงเราต้องการสิ่งที่ง่ายดายยิ่งกว่านี้จากเจ้า[246] นั่นคือขณะที่เจ้าอยู่ในไขสันหลังของอาดัม (เรา ต้องการ) ไม่ให้เจ้าตั้งภาคีต่อเรา และเราก็จะไม่นำเจ้าเข้าสุ่ขุมนรก แต่เจ้าไม่ยินยอมนอกจาก การตั้งภาคี 

รายงานโดย มุคอรี และมุสลิม

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า และพวกยะฮูดได้กล่าวว่า “มือของอัลเลาะห์ถูกล่ามโซ่ไว้ มือของพวกเขาต่างหากทิ่ถูกล่ามโซ่ และพวกเขาได้ถูกสาปแข่ง เพราะสิ่งที่พวกเขาได้พูดไว้นั้น แต่มือทั้งสองของอัลเลาะห์แบอยู่เสมอ พระองค์จะใช้จ่ายอย่างไรที่พระองค์ประสงค์”[247]

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  มือขวาของพระผู้ ทรงเมตตานั้น เต็ม กว้างขวาง[248] กลางคืนและกลางวันที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้มันบกพร่อง พวก ท่านทั้งหลายได้เห็นแล้วใช่ไหมว่า สิ่งที่พระองค์ไดใช้จ่ายไปนับตั้งแต่พระองค์ได้สร้างชั้นฟ้า และแผ่นดิน แท้จริงที่อยู่ในมือของพระองค์ยังไม่ได้พร่องลงไปเลย และ อัรช์ (บัลลังก์) ของ พระองค์อยู่เหนือนํ้า และที่มืออีกข้างหนึ่งของพระองค์มี ตาชั่ง ที่จะสูงขึ้น และลดลง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี ในเรื่องนี้ และบุคอรีในซูเราะห์ฮูด

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ใครก็ตามที่บอกท่านว่า มุฮัมมัด ซ.ล.  ได้ ปกปิดสิ่งใดที่ถูกประทานลงมายังเขา แน่นอนผู้นั้นโกหก โดยที่พระองค์อัลเลาะห์ตรัสว่า “โอ้ ศาสนทูต เจ้าจงนำสิ่งที่ถูกประทานลงมายังเจ้า จากพระผู้อภิบาลของเจ้า ออกประกาศเผยแพร่ และถ้าหากเจ้าไม่ทำ แน่นอนเจ้าก็ยังไม่ได้เผยแพรสาส์นของพระองค์” 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี 

และเล่า จากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  เคยมียามเฝ้าจนกระทั่งได้ลงมาว่า “และอัลเลาะห์จะทรงคุ้มครองท่านจากมวลมนุษย์” ต่อจากนั้นท่านนบี ซ.ล.  ได้ โผล่หัวของท่านออกมาจากกระโจมแล้วกล่าวว่า โอ้ประชาชนทั้งหลาย พวกท่านกลับไปได้แล้ว เพราะความจริงอัลเลาะห์ทรงคุ้มครองข้าพเจ้าแล้ว[249]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ฆอรีบ

เล่าจากอะบี อุบัยดะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงวงศ์วานของ อิสรออีล เมื่อได้เกิดข้อบกพร่องขึ้นในหมู่พวกเขา คนหนึ่งที่เห็นพี่น้องของตนทำบาป จะห้ามปรามพี่น้องของเขาจากบาปนั้น ต่อเมื่อวันรุ่งขึ้น เขาจะไม่ห้ามพี่น้องของเขา จากสิ่งที่เขาได้ พบเห็นจากพี่น้องของเขาเพื่อจะได้เป็นเพื่อนร่วมกินร่วมดื่ม และคลุกคลีกับเขา และพระองค์ อัลเลาะห์ได้ปกปิดหัวใจของบางคนจากพวกเขาด้วยอีกบางคน และอัลกุรอานได้ลงมาในเรื่องของ พวกเขาว่า “บรรดาผู้ไร้ศรัทธาจากวงศ์วานของอิสรออีลได้ถูกสาปแช่งผ่านคำประกาศของ ดาวูดและอีซา บิน มัรยัม นั่นเป็นเพราะพวกเขาทำชั่วและได้ละเมิด” จนถึง “และถ้าแม้นว่า พวกเขาได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และนบี และสิ่งที่ถูกประทานลงมายังนบี แน่นอนพวกเขาก็จะ ไม่ยึดเอาผู้ไร้ศรัทธาเหล่านั้นมาเป็นมิตรหรอก แต่ส่วนมากของพวกนั้นเป็นพวกที่ฝ่าสืน”[250]ผู้เล่าได้กล่าวว่า และท่านนบี ซ.ล.  ได้นอนเอกเขนก ต่อมาท่านได้ผลุดขึ้นนั่งแล้วกล่าวว่า “ยังหรอกจนกว่า ท่านทั้งหลายจะคว้ามือทั้งสองข้างของผู้ที่ทุจริต และลากมันอย่างจริงจังไปสู่ ความเป็นธรรม[251]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

อัลเลาะห์สาอาลาได้ตรัสว่า “โอ้บรรดาผู้ที่ศรัทธาทั้งหลาย พวกท่านจงอย่ากำหนด สิ่งที่ดีที่อัลเลาะห์ใด้อนุมัติแก่พวกท่านเป็นสิ่งที่ต้องห้าม และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด แน่แท้ พระองค์อัลลอฮ์ไม่รักบรรดาผู้ละเมิด”[252]

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเคยท่าสงครามร่วมกับท่านนบี ซ.ล.  โดยไม่มีผู้หญิงไปพร้อมกับพวกเรา ต่อมาพวกเราได้กล่าวว่า พวกเราจะไม่ต้องตอนหรือ โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ท่านได้ห้ามพวกเรา และได้ผ่อนผันให้พวกเราหลังจากนั้น แต่งงานกับผู้หญิง โดยมีสินสอดเป็นผ้า[253] หลัจากนั้นเขาได้อ่านอายะห์นี้ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอิบนิอับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ความจริง ข้าพเจ้าเมื่อได้เนื้อ ข้าพเจ้าจะรู้สึกตื่นตัวเพราะ ต้องการ ผู้หญิงและความกำหน่ดจะเข้าครอบงำข้าพเจ้าดังนั้น ข้าพเจ้าจึงถือว่าเนื้อเป็นสิ่งต้อง ห้ามสำหรับข้าพเจ้า อัลเลาะห์ได้ประทานลงมาว่า “โอ้บรรดาผู้ที่ศรัทธาทั้งหลาย พวกท่าน จงอย่ากำหนดว่าสิ่งที่ดี ที่อัลเลาะห์ได้อนุมัติแก่พวกท่านเป็นสิ่งต้องห้าม” จนจบสองอายะห์

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อายะห์นี้ได้ถูกประทานลงมา “อัลเลาะห์ จะไม่ ทรงเอาผิดพวกท่านทั้งหลายในการสาบานที่ไม่จงใจของพวกท่าน”[254] ในคำพูดของคนหนึ่งที่กล่าวว่า ไม่ สาบานต่ออัลเลาะห์ และครับ สาบานต่ออัลเลาะห์

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ว่า แท้จริงบิดาของเธอ ไม่เคยทวนคำสาบานใดๆ จนกระทั่ง อัลเลาะห์ได้ประทานเรื่องค่าปรับการสาบานลงมา อะบูบักร์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับการสาบานใดๆ ที่ข้าพเจ้าเห็นสิ่งอื่นดีกว่าที่ได้สาบานไว้ นอกจากข้าพเจ้าจะรับข้อผ่อนผันของอัลเลาะห์ และข้าพเจ้าจะกระทำสิ่งที่ดีกว่านั้น 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย แท้จริงสุรา การพนัน การเชือดสัตว์มูซารูปปั้น และการเสี่ยงทาย เป็นสี่งโสโครกที่มาจากชัยฏอน ดังนั้น ท่านทั้ง หลายจงออกห่างมันเถิดแน่แท้พวกท่านจะประสพความสมหวัง”

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินอุมัร ขณะอยู่บนมิมบัรของท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า อนึ่งหลังจากนั้น โอ้ประชาชนทั้งหลาย ความจริงการห้ามสุรานั้น ได้ลงมา และสุรานั้นทำมาจากห้าสิ่ง คือ ทำมาจาก องุ่น อินทผลัมแห้ง นํ้าผื้ง ข้าวสาลี และข้าวบาร์เล่ และสุรานั้นคือสิ่งที่ครอบงำสติ[255]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดชี้ชัดในเรื่องสุรา ให้แก่พวกเราด้วยเถิดเป็นการชี้ชัดที่สมบูรณ์ อายะห์ในซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ได้ลงมาว่า “พวกเขาจะ ถามท่านถึงสุราและการพนัน” อุมัรได้ถูกเรียกมาและอายะห์นั้ได้ถูกอ่านให้เขาฟัง ต่อมาเขาได้ กล่าวว่า  ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ใด้โปรดชี้ชัดในเรื่องสุราให้แก่พวกเราด้วยเกิดเป็นการชี้ชัดที่ สมบูรณ์ อายะห์ในซูเราะห์ อันนิซาอฺ ได้ลงมาว่า “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกท่าน อย่าเข้าใกล้ละหมาด ขณะที่พวกท่านอยู่ในอาการมึนเมา”[256] อุมัรได้ถูกเรียกมาและอายะห์นี้ ได้ถูกอ่านให้เขาฟัง ต่อมาเขาได้กล่าวว่า ข้า แด่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดชี้ชัดในเรื่องสุรา ให้แก่พวกเราด้วยเกิดเป็นการชี้ชัดที่สมบูรณ์ อายะห์ในซูเราะห์อัลมาอิดะห์ได้ลงมาว่า “ความจริงชัยฏอนปรารถนาให้เกิดความเป็นศัตรูและความโกรธแค้น ในระหว่างพวกท่าน เพราะการ ดื่มสุรา และเล่นการพนัน และมันจะขัดขวางพวกท่านจากการรำลึกถึงอัลลอฮ์ และจาก การละหมาด แล้วพวกท่านควรจะยุติไหม ”[257] อุมัรได้ถูกเรียกมาและอายะห์นี้ได้ถูกอ่านให้ เขาฟัง เขาได้กล่าวว่า พวกเรายุติแล้ว พวกเรายุติแล้ว 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอัลบะรออฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีหลายคนจากบรรดาอัครสาวกของท่านนบี ซ.ล.  ได้เสียชีวิตไป โดยที่พวกเขาดื่มสุรา เมื่อการห้ามสุราได้ลงมา มีบางคนกล่าวว่า โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  เพื่อนๆ ของเราที่ได้เสียชีวิตไป โดยที่พวกเขาดื่มสุรา จะเป็นอย่างไรบ้าง จึงได้ลงมาว่า “ย่อมไม่มีบาปเหนือบรรดาผู้มีศรัทธา และปฎิบ้ติความดีต่างๆ ในสิ่งที่พวกเขาได้บริโกค [258] จนจบอายะห 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีคนพวกหนึ่งถามท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. เป็นเชิงล้อเล่น โดยมีชายคนหนึ่งกล่าวว่า ใครคือบิดาของข้าพเจ้า และชายอีกคนหนึ่งที่อูฐของเขาหลงทางกล่าวว่า อูฐของข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน อัลเลาะห์ใด้ประทานลงมาว่า “โอ้บรรดาผู้ทีมีศรัทธาทั้งหลาย พวกท่านอย่าถามเรื่องต่างๆถ้าหากมันปรากฏแก่พวกท่านแล้ว มันจะทำให้พวกท่านลำบาก”[259]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี 

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อได้ลงมาว่า “และเป็นสิทธิของอัลเลาะห์เหนือ มวลมนุษย์ก็คือการฮัจญ์ที่บัยตุ้ลเลาะห์ เฉพาะผู้ที่มีความสามารลเดินทางไปยังมันได้”[260] พวก เขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ทุกปีหรือ ท่านหยุดนิ่งไม่ตอบ พวกเขาได้กล่าวว่าทุกปีหรือ                                                           ท่านตอบว่า เปล่าไม่ทุกปีหรอก และถ้าหากข้าพเจ้าตอบว่า ใช่ทุกปี มันก็จะต้องเป็นสิ่งที่จำเป็น (วายิบ) ต่อมาอัลลอฮ์ไดัประทานลงมาว่า “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกท่านอย่าถามสิ่งต่างๆ ถ้าหากมันปรากฏขึ้นแก่พวกท่านแล้ว มันจะทำให้พวกท่านลำบาก”

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี             778

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ทราบข่าวสิ่งหนึ่งจากบรรดา อัครสาวกของท่าน ท่านได้กล่าวปราศรัยว่า สวรรค์และนรกได้ถูกนำมาเสนอให้ข้าพเจ้าชม ดังนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นเหมือนวันนี้ที่มีทั้งความดีและความชั่ว และถ้าหากพวกท่านทั้งหลายรู้สิ่งที่ข้าพเจ้า รู้ พวกท่านจะต้องหัวเราะเพียงเล็กน้อย และร้องไห้อย่างมากมาย ผู้เล่าได้กล่าวว่า ไม่มีวันใด ที่เหล่าอัครสาวกประสพจะมีความรุนแรงยิ่งกว่าวันนั้น จนถึงกับพวกเขาคลุมศีรษะ และมี เสียงครวญคราง อุมัรได้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า เรายินดีที่อัลเลาะห์เป็นพระผู้อภิบาลและมีอิสลาม เป็นศาสนาและมุฮัมมัดเป็นนบี ต่อมาชายคนนั้นได้ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า ใครคือบิดาของ ข้าพเจ้า[261] ท่านได้ตอบว่า บิดาของท่านคือคนนั้น (พร้อมระบุชื่อ) ก็ได้ลงมาว่า “โอ้บรรดา ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกท่านอย่าถามสิ่งต่างๆ ถ้าหากมันปรากฏแก่พวกท่านแล้ว มันจะทำให้ พวกท่านลำบาก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากสะอัด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า มุสลิมที่มีบาปใหญ่ที่สุดในเรื่อง ของมุสลิมก็คือผู้ที่ถามถึงเรื่องหนึ่งและเรื่องนั้นได้ถูกกำหนดเป็นข้อห้ามเหนือประชาชน อันเนื่อง มาจากคำถามของเขา279 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ในเรื่องความประเสริฐต่างๆ

เล่าจากอะบี บักร์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงเขาได้กล่าวว่า ความจริงพวกท่านอ่านอายะห์นี่ “โอ้บรรดาผู้ที่มีศรัทธาทั้งหลาย พวกท่านมีหน้าที่จะต้องระมัดระวังตัวของพวกท่านเอง จะไม่เป็นโทษแก่พวกท่าน ผู้ที่หลงผิด เมื่อท่านทั้งหลายได้รับทางนำแล้ว”[262] และความจริง ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  กล่าวว่า แท้จริงมวลมนุษย์นั้น เมื่อพวกเขาพบเห็น ผู้ทุจริต และพวกเขาไม่ได้คว้ามือทั้งสองข้างของเขาไว้ ก็ใกล้แล้วที่อัลลอฮ์จะให้ประสพ กับพวกเขาโดยทั่วถึงด้วยการลงโทษ อะบู อุมัยยะห์ อัซซะอุบานีย์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถาม อะบาซะอุละบะห์ถึงอายะห์ที่ว่า “โอ้บรรดาผู้ที่มีศรัทธาทั้งหลายพวกท่านมีหน้าที่จะต้องระมัด ระวังตัวของพวกท่านเอง” จนจบอายะห์ จากนั้นเขาได้กล่าวว่า พึงทราบเถิดขอสาบานต่อ อัลเลาะห์ว่า ความจริงท่านได้ถามผู้รู้เกี่ยวกับอายะห์นี้แล้ว ข้าพเจ้าได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ท่านได้ตอบว่า แต่ให้พวกท่านใช้กันด้วยความดี และห้ามปรามกันจากความทั่ว จนเมื่อ ท่านได้พบเห็นความตระหนี่เหนียวแน่นถูกภักดี อารมณ์ถูกปฏิบัติตามโลกดุนยาถูกนำหน้า และคนที่มีความเห็น แต่ละคนต่างพอใจในความเห็นของตนเอง ดังนั้นท่านจงยึดเอาสิ่งที่จะ เป็นประโยชน์แก่ตัวท่านเอง และท่านจงละทั้งผู้คนโดยทั่วไป เพราะแท้จริงจะมียุคหนึ่ง จาก เบื้องหลังของพวกท่านที่การอดทน (ซอบัร) ในยุคนั้น เท่ากับการจับถ่านไฟ สำหรับผู้ที่ ปฏิบัติความดีในยุคนั้น จะได้รับเท่ากับผลบุญห้าสิบคนที่กระทำความดี เหมือนที่พวกท่านทำ มีผู้ถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  เท่ากับผลบุญห้าสิบคนของพวกเราหรือของพวกเขา ท่านตอบวาแต่เท่ากับผลบุญห้าสิบคนของพวกท่าน

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด และติรมิซี 

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “อัลลอฮ์ไม่ได้กำหนดสัตว์บะฮีเราะห์ คือ และไม่ (ได้กำหนด) สัตว์ซาอิบะห์ และไม่ (ได้กำหนด)สัตว์วะซีละห์ และไม่ (ได้กำหนด)สัตว์ฮาม แต่บรรดาผู้ไร้ศรัทธาได้ปั้นแต่งการโกหกเหนืออัลลอฮ์ โดยที่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ใช้สติ

จากอะบู ฮุร็อยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นอัมร์ บิน  อามิร อัลคุซาอีย์ ลากไส้ของเขาอยู่ในขุมนรก เขาเป็นคนแรกที่ได้ปล่อยบรรดาสัตว์ซาอิบะห์

สะอีด บิน  อัลมุรัยยิบ ได้กล่าวว่า สัตว์บะฮีเราะห็ คือ สัตว์ที่เต้านมของมันถูก สงวนไว้เพื่อรูปมูซา จะไม่มีผู้ใดรีดนมของมัน สัตว์ซาอิบะห์คือ สัตว์ที่พวกเขาจะปล่อยมัน เพื่อบรรดาพระเจ้าของพวกเขา โดยจะไม่เอาสิ่งใดบรรทุกบนมัน และวะซีละห์ คือ อูฐตัวเมีย ที่ให้กำเนิดถูกตัวเมียต่อมาได้ให้กำหนดถูกตัวเมียซ้ำอีก โดยไม่มีลูกตัวผู้เกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง นั้น และพวกเขาจะปล่อยไปเป็นการถวายแก่รูปมูซาของพวกเขา และฮาม คืออูฐตัวผู้ที่เป็นพ่อพันธุ์ที่จะต้องผสมพันธุ์ให้ครบกำหนดที่ตั้งเอาไว้ เมื่อครบแล้ว พวกเขาจะปล่อยไปเพื่อถวายรูปมูซา และพวกเขาจะไม่ใช้มันเป็นสัตว์บรรทุก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม 780

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งจากตระกูล ซะห์มี ได้ออกเดินทางไปพร้อมกับตะมีม อัดดารีและอะดี บินบัดดาอ์ ต่อมาชายจากตระกูล ซะห์มี ได้เสียชีวิตลงในแผ่นดินที่ไม่มีมุสลิมอยู่เลย และเมื่อทั้งสองได้นำมรดกของเขากลับมา พวกเขาได้ทำภาชนะใบหนึ่งที่ทำจากเงินประดับด้วยทองคำหายไป ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ให้คนทั้งสองสาบาน ต่อมาได้พบภาชนะนั้นในมักกะห์ ได้มีผู้กล่าวว่า พวกเราได้ซื้อมันมาจากอะดีและตะมีม ได้มีชายสองคนจากญาติของตระกูลซะห์มีที่เสียชีวิตยืนขึ้นและได้สาลานต่ออัลลอฮ์ว่า พยานของเราจริงกว่าพยานจริงกว่าพยานของเขาทั้งสอง และความจริงภาชนะนั้นจะต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของคู่กรณีของพวกเขา ผู้เล่าได้กล่าวว่า และในเรื่องของพวกเขาจึงได้ลงมาว่า “โอ้ บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย การเป็นพยานระหว่างพวกท่าน” จนจบอายะห์[263]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

จากอัมมาร บิน ยาซิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สำหรับอาหารถูกประทานลงมาจากฟ้า มีขนมปังกับเนื้อ และพวกเขาถูกบัญชาไม่ให้ทุจริต และไม่ให้เก็บไว้เพื่อวันพรุ่งนี้ แต่พพวกเขาทุจริตเก็บกักเอาไว้ และได้ยกขึ้นเพื่อวันพรุ่งนี้ ดังนันพวกเขาจึงถูกสาปให้กลายเป็นหมูและลิง[264]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวสุนทรพจน์(คุตบะห์) ว่า โอ้ ประชาชนทั้งหลาย แท้จริงพวกท่านจะถูกนำไปรวมกันยังพระองค์อัลลอฮ์ ในสภาพที่เปลือยเท้าเปลือยกาย ในสภาพที่หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศไม่ถูกขลิบ หลังจากนั้นท่านได้อ่านว่า “เสมือนกับที่เราได้เริ่มสร้างขึ้นมาในครั้งแรกนั้นเราจะให้มันกลับคืน เป็นสัญญาเหนือเรา แน่แท้เราเป็นผู้กระทำ[265] ต่อมาท่านได้กล่าวว่า พึงทราบเถิด และความจริง สรรพสิ่งต่างๆ ที่ถูกบังเกิดขึ้นมาที่จะได้นุ่งห่มในวันกิยามะห์คืออิบรอฮีม[266] พึงทราบเถิดว่า ความจริงพวกผู้ชายจากประชากรของข้าพเจ้าถูกนำตัวมา และพวกเขาถูกคว้าตัวมา และพวกเขาถูกคว้าตัวไปทางด้านซ้าย ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้าฯ พวกเขาคืออัครสาวก(เศาะฮาบะห์)ที่น่าสงสารของข้าพเจ้า จะมีผู้กล่าวตอบว่า ความจริงท่านไม่รู้สิ่งที่พวกนั้นกระทำขึ้นมาหลังจากท่าน ดังนั้น ข้าพเจ้าก็จะกล่าวเหมือนกับบ่าวที่ดีที่ได้กล่าวว่า และข้าพเจ้าเป็นพยานเหนือพวกเขา ตราบใดที่ข้าพเจ้าอยู่ร่วมกับพวกเขา และเมื่อพระองค์ท่านได้ให้ข้าพเจ้าเสียชีวิตพระองค์ท่านก็ทรงเป็นผู้ดูแลพวกเขา และพระองค์ท่านเป็นพยานเหนือทุกทุกสิ่ง จะมีผู้กล่าวว่า แท้จริงพวกเหล่านั้นยังคงเป็นผู้หันหลังกลับ ตั้งแต่ท่านได้จากพวกเขาไป[267]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

ซูเราะห์อัลอันอาม 781

ในนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ความจริงเรารู้ดีว่า สิ่งที่พวกนั้นพูดจะทำให้ท่านต้องโศกเศร้าอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่เพียงแต่หาว่าท่านโกหกเท่านั้น แต่บรรดาผู้ทุจริต ต่างก็ปฏิเสธเครื่องหมายต่างๆ ของอัลลอฮ์[268]

จากอะลี ร.ฎ ได้กล่าวว่า แท้จริงอะบูญะฮัล ได้กล่าวแก่ท่านนบี ซ.ล.  ว่า ความจริงพวกเราไม่ได้กล่าวหาว่าท่านโกหก แต่เรากล่าวหาว่าสิ่งท่านนำมาต่างหากว่าโกหก อัลลอฮ์จึงได้ประทานอายะห์นี้ลงมา

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่ออายะห์นี้ลงมา “จงกล่าวเถิดว่าพระองค์ทรงเดชานุภาพที่จะส่งการลงโทษมาสู่พวกเจ้าจากทางเบื้องบนของพวกเจ้า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าขอป้องกันจากท่าน “หรือจากทางเบี้องล่างของพวกเจ้า” ท่านได้กล่าวว่าข้าพเจ้าขอป้องกันจากท่าน “หรือพระองค์จะทำให้พวกท่านสับสนเป็นพวกๆ และจะให้พวกเจ้าบางคนลิ้มรสความร้ายกาจของบางคน”[269] ท่านได้กล่าวว่า สิ่งนี้ง่ายกว่า หรือกล่าวว่าสิ่งนี้สะดวกกว่า[270]

รายงานโดย บุคอรี และติรมิซี

จากสะอัด บิน อะบีวักกอส ร.ฎ. ในอายะห์นี้ว่า “จงกล่าวเถิดว่าพระองค์ทรงเดชานุภาพที่จะส่งการลงโทษมาสู่พวกเจ้าจากทางเบื้องบนของพวกเจ้า หหรือจากทางเบื้องล่างของพวกเจ้า” ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พึงทราบเถิดว่า แท้จริงมันต้องเกิดขึ้นแน่นอน โดยจะไม่มีการตีความเป็นอื่นในภายหลังอีก

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน   781

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และจงรำลึกเถิดขณะที่อิบรอฮีมได้กล่าวแก่บิดาของเขาที่มีนามว่า อาซัร ว่า ท่านจะยึดเอารูปมูซาต่างๆ เป็นพระเจ้าหรือ แท้จริงข้าพเจ้าเห็นว่าท่านและพวกพ้องตกอยู่ในความหลงผิดอย่างแน่ชัด”[271]

เล่าจาก อบู ฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อิบรอฮีมจะพบกับบิดาของเขาในวันกิยามัต โดยใบหน้าของอาซัรมีสีหน้าหมองคล้ำ อิบรอฮีมจะกล่าวแก่เขาว่า ข้าพเจ้าไม่ได้บอกแก่แก่ท่านหรือว่า อย่าฝ่าฝืนข้าพเจ้า อาซัรกล่าวว่า วันนี้ข้าพเจ้า(อาซัร) จะไม่ฝ่าฝืนท่าน อิบรอฮีมจะกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้าฯ ความจริงพระองค์ท่านได้สัญญาแก่ข้าพเจ้าไว้ว่า จะไม่ให้ข้าพเจ้าตกต่ำในวันที่ถูกบังเกิด ดังนั้น ความตกต่ำใดเล่าจะตกต่ำยิ่งกว่าบิดาของข้าพเจ้าต้องอยู่ห่างไกลกัน อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า ความจริงเราให้สวรรค์เป็นสิ่งต้องห้ามแก่พวกไร้ศรัทธา หลังจากนั้นมีผู้กล่าวแก่อิบรอฮีทว่า อะไรอญู่ใต้เท้าทั้งสองข้างของท่าน อิบรอฮีมมองดู และพบว่า และพบว่ามันคือสัต์ที่เชือดแล้วเปื้อนเลือด มันถูกจับขาและถูกโยนลงในขุมนรก[272]

รายงานโดย บุคอรี ในเรื่องเริ่มต้นแห่งการสร้าง

เล่าจาก อับดิลล าห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อได้ลงมาว่า “บรรดาผู้ศรัทธาจะไม่นำเอาความทุจริตมาประสมกับความศรัทธาของเขา พวกเขาเหล่านั้นแหละที่จะได้รับความปลอดภัย และพวกเขาจะได้รับทางนำ[273] การดังกล่าวได้ทำความลำบากแก่มวลมุสลิม พวกเขาได้กล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ จะมีใครบ้างจากพวกเราที่ไม่ทุจริตต่อตัวเอง ท่านนบีตอบว่าไม่ใช่เช่นนั้น ความจริงมัน(ความทุจริตในที่นี้) คือการตั้งภาคี พวกท่นทั้งหลายไม่ได้ยินหรือ สิ่งที่ลุกมานได้กล่าวแก่บุตรชายของตนว่า “โอ้ลูกรักเจ้าอย่าตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ แท้จริงการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์นั้น คือการทุจริตอันยิ่งใหญ่[274]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และอิสมาอีล อัลยะซะอ์ ยูนุสและลูฏ ทั้งหมดนั้นเราได้ให้เลิศกว่าชาวโลกทั้งปวง”[275]

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่สมควรจะมีบ่าวคนใด กล่าวว่า ฉันดีกว่ายูนุส บินมัตตา[276]

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “เหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ชี้นำ ดังนั้นด้วยทางนำของพวกเขา ท่านจงเจรฺยรอยตามเถิด[277]

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบีของพวกท่าน ซ.ล. เป็นผู้หนึ่งที่ถูกบัญชา ให้เจริญรอยตามพวกเขาเหล่านั้น

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “บรรดาดวงตาทั้งกลายไม่อาจสัมผัสพระองค์ได้ในขณะที่พระองค์ทรงสัมผัสบรรดาดวงตาทั้งหลาย พระองค์ทรงเอื้อเฟื้อ ทรงรอบรู้[278]

จากมัสรูก ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้านอนเอกเขนกอยูที่อาอิชะห์ ต่อมาเธอได้กล่าวว่า สามประการที่ผู้ใดพูดเพียงหนึ่งจากสามประการนั้น เท่ากับเขาได้ก่อให้เกิดความเท็จอย่างใหญ่หลวงต่ออัลลอฮ์นั่นคือ ผู้ใดคาดคิดว่า มุฮัมมัดเห็นพระผู้อภิบาลของเขา เท่ากับเขาได้ก่อให้เกิดความเท็จอย่างใหญ่หลวงต่ออัลลอฮ์ อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “บรรดาดวงตาทั้งสองไม่อาจสัมผัสพระองค์ ในขณะที่พระองค์ทรงสัมผัสดวงตาทั้งหลาย แบะไม่สมควรแก่มนุษย์คนใดที่อัลลอฮ์จะเจรจากับเขาโดยตรง นอกจากวะฮีย์หรือจากเบื้องหลังเครื่องกั้น” และข้าพเจ้ายังนอนเอกเขนกอยู่ ต่อมาจึงลุกขึ้นนั่งแล้วกล่าวว่า โอ้มารดาของเหล่าผู้มีศรัทธา จงพิจารณาข้าเจ้าก่อน อย่าว่าข้าพเจ้ารีบร้อน อัลลอฮ์ไม่ได้ทรงตรัสไว้หรือว่า “แท้จริงมุฮัมมัดได้เห็นเขาอีกครั้งหนึ่ง[279] และแท้จริงมุฮัมมัดำด้เห็นเขาที่ขอบผ้าอันแจ่มชัด[280] อาอิชะห์ได้กล่าวว่า ข้พเจ้าเป็นคนแรกที่ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ถึงเรื่องนี้ ท่านได้กล่าวว่า ความจริงนั้นคือ ญิบรีลข้าพเจ้าไม่เคยเห็นในรูปแบบที่เขาถูกบังเกิดขึ้น นอดจากสองครั้งนี้ ข้าพเจ้าเขาบวมาจากฟากฟ้าโดยที่รูปร่างอันใหญ่โตของเขาอุดเต็มระหว่างฟ้ากับแผ่นดิน[281] และผู้ใดคาดคิดว่ามุฮัมมัดปกปิดสิ่งใดที่ถูกประทานลงมายังเขา เท่ากับเขาได้ก่อให้เกิดความเท็จอย่างใหญ่หลวงต่ออัลลอฮ์ อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า”โอ้ศาสนทูต จงนำเอาสิ่งที่ถูกประทานลงมายังท่านจากพระผู้อภิบาลของท่านออกเผยแพร่ และถ้าหากท่านไม่กระทำ ท่านก็ยังไม่ได้ทำหน้าที่เผยสาส์นของพระองค์[282] และผู้ใดคาดคิดว่า มุฮัมมัดรู้สิ่งที่อยู่ในวันรุ่งขึ้น ก็เท่ากับเขาได้ก่อให้เกิดความเท็จอย่างใหญ่หลวงต่ออัลลอฮ์ พระองค์อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า “จงประกาศเถิดไม่มีผู้ใดที่อยู่ในขั้นฟ้าและแผ่นดิน รู้สิ่งเร้นลับนอกจากอัลลอฮ์[283]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

จากอะบีซัรร์ ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ว่า ท่านได้เห็นพระผู้อภิบาลของท่านไหม ท่านตอบว่า เป็นรัศมีข้าพเจ้าจะเห็นพระองค์อย่างไร[284]

รายงานหะดีษโดย มุสลิมในเรื่องอิสรออ์ และติรมิซีในซูเราะอันนัจม์

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ไดกล่าวว่า มีประชาชนมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ เราะซูลุลลอฮ์ ความจริงเรารับประทานในสื่งที่เราฆ่า และเราจะไม่รับประทานสิ่งที่อัลลอฮ์ฆ่าหรือ อัลกุรอานได้ลงมาว่า “ดังนั้นท่านทั้งหลายจงกิน จากสิ่งที่นามของอัลลอฮ์ถูกกล่าวบนมัน ถ้าหากท่านทั้งหลายเป็นผู้ศรัทธาต่อบรรดาอายะห์ต่างๆ ของพระองค์”[285]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และบรรดาผู้ที่เป็นยะฮูดีนั้นเราได้ห้าม (ไม่ให้บริโภค) ทุกสัตว์ที่มีกีบเล็บเท้าติดกัน และจากวัวและแพะ เราได้ห้ามไขมันจากทั้งสอง ยกเว้น(ไขมัน) ที่ติดอยู่กับสันหลังของมันทั้งสอง หรือที่ติดอยู่กับลำไส้ หรือปนอยู่กับกระดูก นั่นเป็นการที่เราได้ตอบแทนพวกเขา เพราะการละเมิดของพวกเขา และแน่แท้เรามีสัจจะ”[286]

เล่าจาก ญาบีร บิน สะมุเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าว่า ขออัลลอฮ์ทรงสังหารพวกยะฮูดี เมื่ออัลลอฮ์ได้ห้ามไขมันสัตว์เหนือพวกเขา แต่พวกเขาได้นำมาละลาย หลังจากนั้นก็ขายมันและกิน(ราคาของ)มัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อับดิลลาฮ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ผู้ใดดีใจที่จะได้ดูแผ่นบันทึกซึ่งมีตราของมุฮัมมัด ซ.ล. ประทับอยู่ ให้เขาจงอ่านอายะห์เหล่านี้ คือ “จงกล่าวเถิด ท่านทั้งหลายจงมาเถิด ข้าพเจ้าจะอ่านสิ่งที่พระผู้ภิบาลของพวกท่านได้กำหนดห้ามเหนือพวกท่าน” จนถึงดำรัสของพระองค์ที่ว่า “แน่แท้พวกท่านจะต้องยำเกรง”[287]

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ในวันที่บางเครื่องหมายของพระผู้อภิบาลของพวกท่านจะมีมา จะไม่ยังประโยชน์แก่ชีวิตใด ศรัทธาของเขาที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือไม่เคยได้พากเพียรทำความดีงามในศรัทธาของเขา[288]

เล่าจาก อบู ฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า วันกิยามะห์จะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าตะวันจะขึ้นทางทิศตะวันตก และเมื่อตะวันได้ขึ้น มนุษย์ที่ได้เห็นมันจะพากันศรัทธาทั้งหมด และนั่นแหละเป็น

ขณะที่จะไม่ยังประโยชน์แก่ชีวิตใดๆ การศรัทธาของเขา[289]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อบู ฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สามสิ่งนี้เมื่อปรากฏออกมาจะไม่ยังประโยชน์แก่ชีวิตใด การศรัทธาของเขาไม่เคยศรัทธาเลยคือ ดัจญาล สัตว์ และตะวันขึ้นจากทิศตะวันตกหรือจากทิศที่มันตก[290]

เล่าจาก อบู ฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “เมื่อบ่าวของเราตั้งใจทำความดี พวกท่าน(มะลาอิกะห์) จงบันทึกมันว่าเป็นความดีหนึ่งแก่เขา ถ้าหากเขาได้ลงมือทำความดีนั้น พวกท่านจงบันทึกมันแก่เขาเท่ากับสิบเท่าของความดี และเมื่อเขาตั้งใจทำชั่ว พวกท่านอย่าบันทึกมัน ถ้าหากเขาได้ลงมือทำความชั่วนั้น พวกท่านจงบันทึกมันแก่เขาเท่ากับหนึ่งความชั่วนั้น ถ้าหากเขาทิ้งความชั่วนั้นหรือกล่าวว่าไม่ทำความชั่วนั้น พวกท่านจงบันทึกมันแก่เขาเท่ากับหนึ่งความดี หลังจากนั้นท่านนบี ซ.ล.ได้อ่าน “ผู้ใดได้นำความดีหนึ่งมา เขาจะได้ผลตอบแทนเท่ากับสิบเท่าของความดี เมื่อผู้ใดนำความชั่วหนึ่งมา ดังนั้นเขาจะไม่ถูกตอบแทนนอกจากเท่ากับความชั่วนั้น โดยพวกเขาจะไม่ถูกทุจริตเลย”[291]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์ทั้งสอง

ซูเราะห์ อัลอะอ์รอฟ

ในนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีหญิงนางหนึ่ง เคยฏอวาฟบัยตุลลอฮ์ในสภาพเปลือยกาย หล่อนกล่าวว่า ใครบ้างที่จะให้ข้าพเจ้าขอยืมอาภรณ์ที่จะสวมใส่เพื่อตอวาฟ เพื่อหล่อนจะได้ใช้ปกปิดร่างกายของหล่อน โดยหล่อนกล่าวว่า วันนี้เปิดบางส่วนหรือทั้งหมด ดังนั้นสิ่งใดที่เปิดเผยข้าพเจ้าจะไม่ยินยอมแก่ผู้ใด ต่อมา อัลกุรอานได้ลงมาว่า “พวกท่าน จงสวมใส่เครื่องนุ่งห่มของพวกท่าน ณ ทุกมัสญิด”[292]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “จงกล่าวเกิดว่า ความจริงพระผู้อภิบาลของข้าได้กำหนด ห้ามสิ่งลามกต่างๆ ทั้งสิ่งที่กระทำอย่างโจ่งแจ้งและซ่อนเร้น และ (กำหนดห้าม) การบาป และ การละเมิดโดยไม่เป็นธรรม และการที่พวกท่านจะตั้งภาคีต่ออัลเลาะห์ ตราบใดที่พระองค์ยังไม่ได้ประทานหลักฐานลงมาด้วยสิ่งนั้น และการที่พวกท่านจะพูดกล่าวร้ายอัลเลาะห์ในสิ่งที่พวก ท่านไม่รู้”[293]

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าไม่มีใครที่ห่วงใยยิ่งกว่าอัลเลาะห์ ด้วยเหตุดังกล่าวนั้นพระองค์จึงห้ามสิ่งลามกต่างๆ ทั้งสิ่งที่เปิดเผยและซ่อนเร้น และไม่มีผู้ใด ที่รักคำสรรเสริญยิ่งกว่าอัลเลาะห์ด้วยเหตุดังกล่าวนั้น พระองค์จึงได้สรรเสริญพระองค์เอง[294]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าผู้ประกาศจะประกาศว่า แท้จริงเป็นสิทธิของพวกท่านทั้งหลายที่จะมีสุขภาพดี ดังนั้นท่านทั้งหลายอย่าป่วยตลอดกาล และ แท้จริงเป็นสิทธิของพวกท่านที่จะมีชีวิตอยู่ ดังนั้นท่านทั้งหลาออย่าตายตลอดกาล และแท้จริง เป็นสิทธิ์ของพวกท่านที่จะเป็นหนุ่ม ดังนั้นท่านทั้งหลายอย่าแก่ชราตลอดกาล และแท้จริงเป็น สิทธิของพวกท่านที่จะได้รับความสุข ดังนั้นท่านทั้งหลายอย่าสิ้นหวังตลอดกาล[295] และนั่นคือ คำดำรัสของอัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรที่ว่า “และพวกเขาถูกป่าวประกาศว่า นั่นแหละ คือสวรรค์ ที่พวกเจ้าถูกให้รับตกทอดเป็นมรดก ด้วยสิ่งที่พวกท่านเคยกระทำไว้”[296] 

รายงานโดย มุสลิม ในเรื่องลักษณะของสวรรค์

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสไว้ว่า “และเมื่อมูซาได้มาตามกำหนดเวลาของเรา และพระ ผู้อภิบาลของเราได้ตรัสแก่เขา เขาได้กล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้าฯ ได้โปรดให้ข้าฯ แลเห็นเถิด พระองค์ได้ตรัสว่า ท่านจะไม่ได้เห็นเรา แต่ท่านจงมองไปที่ภูเขานั้น หากมันตั้งมั่นอยู่ในที่ของมันต่อไป ท่านก็จะได้เห็นเรา ต่อมาเมื่อองค์พระผู้อภิบาลของเขาได้เผยแก่ ภูเขา ได้ทำให้มันทะลายราบลง และมูซาก็ล้มลงสิ้นสติ”[297]

เล่าจากอะบีสะอีด ร.ฎ.  ได้กล่าวว่ามีชายคนหนึ่งจากพวกยะฮูดีได้มาหาท่านนที่ ซ.ล.  ในสภาพที่ใบหน้าของเขาถูกต่อย เขาได้กล่าวว่าโอ้มุฮัมมัด แท้จริงผู้ชายคนหนึ่ง จากอัครสาวกของท่านที่เป็นพวกอันศอรได้ต่อยหน้าข้าพเจ้า ท่านได้กล่าวว่าพวกท่านจงไปเรียกเขามา พวกเขาจึงได้ไปเรียกชายคนนั้นมา ท่านนบีได้กล่าวว่าท่านต่อยหน้าเขาทำไม  เขาตอบว่าโอ้ท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ความจริงข้าพเจ้าเดินผ่านยะฮูดีคนนั้น ข้าพเจ้าได้ยิน เขา กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งได้คัดเลือกมูซาให้เหนือกว่ามวลมนุษย์ ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่าและเหนือ กว่ามุฮัมมัดหรือ แล้วความโกรธได้เข้าครอบงำข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจึงได้ต่อยเขา ต่อมาท่าน ได้กล่าวว่าท่านทั้งหลาย อย่าว่าข้าพเจ้าประเสริฐกว่านบีทั้งหลาย เพราะความจริงมนุษย์จะ สลบกันหมด[298]ในวันกิยามะห์ และข้าพเจ้าจะเป็นคนแรกที่ฟืนขึ้น และทันใดนั้น ข้าพเจ้าได้ พบมูซากำลังจับเสาหนึ่งจากบรรดาเสาอัรช์ (บัลลังก์) ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเขาฟื้นก่อนข้าพเจ้าหรือ เขาถูกยกเว้นเพราะการหมดสติที่ภูเขาอัดฏูร 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่าท่านนที่ ซ.ล.  ได้อ่านอายะห์นี้ “ต่อมาเมื่อองค์ พระผู้อภิบาลของเขาได้เผยแก่ภูเขา ได้ทำให้มันทลายราบลง” ฮัมมาดได้กล่าวว่าดังนี้แหละ และสุไลมานได้จับปลายนิ้วหัวแม่มีอที่องคุลีนิ้วมีอขวาของเขา[299] เขาได้กล่าวว่าภูเขาได้ทลายราบลง และมูซาก็ล้มลงสิ้นสติ 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และฮากีม

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“และความเมตตาของเราครอบคลุมทั่วทุกสิ่ง ดังนั้น เราจะกำหนดมันแก่บรรดาผู้ที่มีความยำเกรง และบริจาคชะกาต และบรรดาผู้ที่พวกเขาศรัทธา ต่อเครื่องหมายต่างๆ ของเรา”[300]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนที่ ซ.ล.  ได้กล่าวว่าเมื่ออัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ได้วางกำหนดแก่สรรพสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น พระองค์ได้จารึกลงในคัมภีร์ ที่อยู่ ณ พระองค์เหนืออัรช์ มีข้อความว่าแท้จริงความเมตตาของเราอยู่เหนือความโกรธกริ้วของเรา[301] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และจงรำลึกเถิด ขณะที่พระผู้อภิบาลของท่านได้ดลบันดาล จากถูกหลานของอาดัม ให้เป็นเผ่าพันธุ์ของพวกเขาที่ออกมาจาก(ไขสัน)หลังของพวก เขา และได้ให้พวกเขาเป็นพยานปรักปรำตัวของพวกเขาเองว่า ข้าไม่ใช่เป็นพระผู้อภิบาลของพวกเจ้าหรือ พวกเขาตอบว่าหามิได้ พวกเราขอยืนยัน เพื่อ (ป้องกัน) การที่พวกท่านจะ กล่าวในวันกิยามะห์ว่า แท้จริงพวกเราได้ละเลยต่อสิ่งนี้”[302]

อุมัร บิน อัลคอตตอบ ร.ฎ. ถูกถามถึงอายะห์นี้ เขาได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ยินท่าน รอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.  เคยถูกถามถึงอายะห์นี้ และท่านได้กล่าวว่าแท้จริงพระองค์อัลเลาะห์ ได้สร้างอาดัม จากนั้นพระองค์ได้ลูบหลังของอาดัมด้วยมีอขวาของพระองค์[303] และพระองค์ ได้ให้ถูกหลานของอาดัมออกมาจากเขา ต่อมาพระองค์กล่าวว่าเราได้สร้างพวกนี้สำหรับ สวรรค์ และพวกเขาจะกระทำกิจกรรมของชาวสวรรค์ หลังจากนั้นพระองค์ได้ลูบหลังของอาดัมอีก และได้ให้ถูกหลานของอาดัมออกมาจากเขา แล้วพระองค์ได้กล่าวว่าเราได้สร้าง พวกนี้สำหรับนรก และพวกเขาจะกระทำกิจกรรมของชาวนรก ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่าโอ้ ท่านรอชูลุลเลาะห์ ดังนั้นในกิจกรรมใดเล่า [304] ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้ จริงพระองค์อัลเลาะห์เมื่อได้สร้างบ่าวขึ้นมาเพื่อสวรรค์ พระองค์จะกำหนดให้แก่เขาด้วยกิจกรรม ของชาวสวรรค์จนกว่าเขาจะเสียชีวิตอยู่บนกิจกรรมหนึ่งจากบรรดากิจกรรมต่างๆ ของชาวสวรรค์ และพระองค์จะให้เขาเข้าสวรรค์ และเมื่อพระองค์ได้สร้างบ่าวเพื่อนรก พระองค์จะกำหนด ให้แก่เขาด้วยกิจกรรมของชาวนรกจนกว่าเขาจะเสียชีวิตบนกิจกรรมหนึ่งจากบรรดากิจกรรม ของชาวนรก และพระองค์อัลเลาะห์จะให้เขาเข้านรก 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าเมื่ออัลเลาะห์ได้สร้าง อาดัมขึ้น พระองค์ได้ลูบหลังของเขา ทุกชีวิตได้ร่วงลงมาจากหลังของเขา พระองค์คือผู้สร้าง ชีวิตขึ้นจากถูกหลานของเขาจนถึงวันกิยามะห์ และพระองค์ได้บันดาลให้มีประกายจากรัศมี สถิตอยู่ระหว่างดวงตาทั้งสองข้างของมนุษย์ทุกคนจากถูกหลานของอาดัม หลังจากนั้นพระองค์ ได้นำพวกเขาไปเสนอให้อาดัมชม และเขาได้กล่าวว่าข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้าฯ พวกเหล่านี้ เป็นใคร พระองค์ตอบว่าพวกเหล่านี้คือถูกหลานของท่าน           อาดัมได้เห็นชายคนหนึ่งจากพวกนั้น ซึ่งประกายรัศมีที่อยู่ระหว่างดวงตาทั้งสองของเขา ท่าให้อาดัมพอใจจึงถามขึ้นว่าข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้าฯ คนนี่เป็นใคร พระองค์ตอบว่านี่คือชายคนหนึ่งจากบรรดาประชาชาติในยุคสุดท้ายจากถูกหลานของท่าน เขามีชื่อเรียกว่า ดาวูด อาดัมได้กล่าวว่าข้าแด่ พระผู้อภิบาลของข้าฯ พระองค์ท่านได้กำหนดอายุของเขาไว้เท่าไหร่ พระองค์ตอบว่าหกสิบปี เขาได้กล่าวว่าข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้าฯ ได้โปรดเพิ่มอายุให้เขาอีกสี่สิบปีโดยตัดเอาไปจาก อายุของข้าพเจ้า ต่อมาเมื่ออายุของอาดัมสุดสิ้นลง มลาอิกะห์แห่งความตายได้มาหาเขา อาดัม ได้กล่าวว่าอายุของข้าพเจ้ายังเหลืออยู่อีกสี่สิบปีไม่ใช่หรือ มลาอิกะห์แห่งความตายตอบว่าท่านไม่ได้ให้บุตรของท่านที่ชื่อดาวูดไปหรือ ท่านนบีได้กล่าวว่าอาดัมได้ปฏิเสธและถูกหลานของอาดัมก็ได้ปฏิเสธ อาดัมลืมและถูกหลานของเขาก็ลืม อาดัมผิดพลาดและถูกหลาน ของเขาก็ผิดพลาด 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ในเรื่องนี่และในตอนสุดท้ายของการอธิบายความหมาย อัลกุรอาน 

และได้เพิ่มเติมในที่นั้นว่าต่อมาเมื่อมะลาอิกะห์แห่งความตายได้มาหาเขา อาดัมได้ กล่าวว่าแท้จริงท่านรีบร้อน ความจริงได้ถูกบันทึกแก่ข้าพเจ้าถึงหนึ่งพันปี มลาอิกะห์แห่ง ความตายกล่าวว่าถูกแล้ว แต่ท่านได้ยกให้แก่ถูกของท่านที่ชื่อดาวูดหกสิบปี อาดัมได้ปฏิเสธ และถูกหลานของอาดัมก็ได้ปฏิเสธ อาดัมลืมและถูกหลานของอาดัมก็ลืม ท่านนบีได้กล่าวว่านับตั้งแต่วันนั้นได้มีการจดบันทึกและมีพยาน[305]

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“ต่อมาเมื่อพระองค์ได้ประทานถูกที่ดีแกเขาทั้งสอง เขาทั้งสองได้ตั้งภาคีต่างๆ ต่อพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ได้ประทานให้แก่เขาทั้งสองนั้น ดังนั้น พระองค์อัลเลาะห์ย่อมอยู่เหนือกว่าสิ่งที่พวกเหล่านั้นตั้งภาคี”[306] 

เล่าจากซะมุเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าขณะที่เฮาวาอฺตั้งท้อง อิบลิสได้ป้วนเปี้ยนอยู่ที่นาง และโดยที่ปรากฏว่ายังไม่มีถูกคนใดของนางมีชีวิตอยู่เลย อิบลิสจึง กล่าวว่าเธอจงตั้งชื่อให้เขาว่าอับดิลฮาริษ ต่อมานางจึงตั้งชื่อให้ถูกว่า อับดิล ฮาริษ (แปลว่าบ่าวของฮาริษ) ถูกคนนั้นจึงมีชีวิตอยู่ และการเช่นนั้นเกิดจากการดลใจของชัยฏอนและโดยคำสั่งของมัน31 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และฮากีมเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

ซูเราะห์ อัลอัมฟาล 790

ในนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตาผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากมุสอับ บิน สะอัด จากบิดาของเขา ร.ฎ.  โดยกล่าวว่าเมื่อวันบัดร์ ข้าพเจ้า ได้นำดาบเล่มหนึ่งมา แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริงอัลเลาะห์ได้ให้ข้าพเจ้าสบายใจ จากพวกผู้ตั้งภาคี ดังนั้นท่านจงมอบดาบเล่มนี้แก่ข้าพเจ้า ท่านได้กล่าวว่าดาบนี้ไม่ใช่เป็น สิทธิ์ของข้าพเจ้าและไม่ใช่เป็นสิทธิ์ของท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าดาบเล่มนี้จะถูกมอบให้แก่ผู้ที่ จะไม่ถูกทดสอบเหมีอนการทดสอบของข้าพเจ้า ต่อมาท่านรอซุลุลเลาะห์ ซ.ล.  ได้มาหา ข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่าความจริงท่านได้ขอข้าพเจ้าทั้งที่มันไม่ใช่เป็นสิทธิ์ของข้าพเจ้า และบัดนี้ มันได้กลายเป็นสิทธิ์ของข้าพเจ้าแล้ว และมันก็เป็นสิทธิ์ของท่าน[307] สะอัดได้กล่าวว่าและ อัลกุรอานได้ลงมาว่า “พวกเขาจะถามท่านถึงเรื่องทรัพย์ที่ได้จากการสงคราม”[308] จนจบอายะห์ 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และ ติรมิซีถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจากอัลบะรออฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเราได้สนทนากันว่า นักรบที่ออกศึกบัดร์ นั้นมีจำนวนสามร้อยและอีกสิบกว่าคน เท่ากับนักรบของตอลูตที่ข้ามแม่นํ้าพรัอมกับเขา และ ไม่มีใครข้ามแม่นํ้าพร้อมกับเขานอกจากผู้มีศรัทธาเท่านั้น329

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวในวันบัดร์ว่าข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าขอคำมั่นและสัญญาของพระองค์ท่าน ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ ถ้าหากพระองค์ท่านประสงค์ พระองค์ท่านก็จะไม่ถูกเคารพสักการะ[309] อะบุบักร์ได้จับมีอ ของท่านนบีแล้วกล่าวว่าพอแล้ว ท่านจึงได้ออกมา พลางกล่าวว่า“พวกนั้นจะต้องพ่ายแพ้ และหันหลังกลับ [310] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี ในเรื่องสงครามบัดรี

อุมัร บิน อัลคอตตอบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้มองดูพวกผู้ตั้งภาคี ในขณะที่พวกนั้นมีจำนวนหนึ่งพัน และอัครสาวกของท่านมีสามร้อยกับอีกสิบกว่าคน ต่อมาท่าน ได้ผินหน้าสู่กิบลัด และยื่นมีอทั้งสองข้างของท่าน และได้เริ่มวิงวอนต่อผู้อภิบาลของท่านว่าข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดให้สิ่งที่พระองค์ท่านสัญญาไว้ลุล่วงไปด้วยเถิด ข้าแด่พระองค์ อัลเลาะห์ ถ้าหากขบวนการนี้ที่เป็นชาวอิสลามต้องพินาศแล้ว พระองค์ท่านจะไม่ถูกสักการะเลยในหน้าแผ่นดิน ท่านไต้คงส่งเสียงวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของท่านโดยยื่นมีอทั้งสองข้างของ ท่านจนผ้าห่มของท่านหลุดร่วงลงจากไหล่ทั้งสองข้างของท่าน อะบูบักรใต้มายังท่านและเก็บ ผ้าห่มของท่านขึ้นมานำมันไปพาดไว้ที่ไหล่ทั้งสองของท่าน แล้วสวมกอดท่านจากทางด้านหลัง แล้วกล่าวว่าโอ้นบีของอัลเลาะห์ พอแล้วที่ท่านวิงวอนขอต่อพระผู้อภิบาลของท่าน แน่แท้ พระองค์จะต้องจัดการสิ่งที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับท่านให้ลุล่วง อัลเลาะห์ตาอาลาจึงไต้ประทาน ลงมาว่า “(จงรำลึกเถิด) ขณะที่พวกท่านขอความช่วยเหลือจากพระผู้อภิบาลของพวกท่าน และพระองค์ก็ไต้ตอบสนองให้แกพวกท่านว่า แน่แท้เราจะต้องเสริมกำลังให้แก่พวกท่านด้วย มะลาอิกะห์จำนวนหนึ่งพันซึ่งทยอยมาเป็นระลอก [311] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี ในเรื่องสงครามศักดิ์สิทธิ์(ญิฮาด)

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่าเมื่อท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.  เสร็จจาก ศึกที่บัดร์ มีผู้กล่าวแก่ท่านว่า ท่านจะต้องออกไปยังกองคาราวานอูฐ[312] ที่ไม่มีสิ่งใดป้องกันมัน อัลอับบาส ร.ฎ.  ได้ร้องเรียกท่านขึ้นในสภาพที่เขาอยู่ในเครื่องพันธนาการว่าไม่บังควร เพราะความจริงอัลเลาะห์ได้สัญญาไว้แก่ท่านด้วยหนึ่งจากสองพวก และพระองค์ก็ได้มอบสิ่ง ที่พระองค์ได้สัญญาไว้ให้แก่ท่านแล้ว ท่านนบีได้กล่าวว่าท่านพูดถูกต้อง 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) ว่า“แท้จริงสัตว์ที่เลวที่สุด ณ อัลเลาะห์คือ ที่หูหนวก ที่เป็นใบ้ซึ่งไม่ใช้สติ”[313] อิบนุ อับบาส กล่าวว่าพวกนั้นคือกลุ่มชนหนึ่งจากตระกูลอับดิรดาร

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อะบูสะอีด บิน อัลมุอัลลา ร.ฎ.  ได้กล่าวว่าข้าพเจ้ากำลังละหมาดอยู่ ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ผ่านมาทางข้าพเจ้า ท่านได้เรียกข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ไปหาท่านจนเมื่อข้าพเจ้าได้ละหมาดเสร็จ ข้าพเจ้าจึงได้ไปหาท่าน และท่านได้กล่าวว่าอะไรห้ามท่าน กับการที่ท่านจะมาหา พระองค์อัลเลาะห์ไม่ได้ตรัสไว้หรือว่า “โอ้บรรดาผู้ที่มีศรัทธาทั้งหลาย พวกท่านจงสนองตอบอัลเลาะห์ และศาสนทูตเมื่อเขาเรียกร้องพวกท่านให้มาสู่สิ่งที่จะทำให้พวก ท่านมีชีวิตชีวา”[314] หลังจากานั้นท่านได้กล่าวว่าข้าพเจ้าจะต้องสอนซูเราะห์ที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่ใน อัลกุรอานแก่ท่านก่อนที่ท่านจะออกไป หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่ามันคือ “อัลฮัมดุลิลลาฮิ ร็อบบิลราละมีน คือเจ็ดอายะห์ที่ถูกอ่านบ่อยๆ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และติรมิซี

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“และท่านทั้งหลายจงระมัดระวังวิกฤติการที่จะไปประสพแก่บรรดาผู้ทุจริตจากพวกท่านเป็นการเฉพาะเท่านั้น และท่านทั้งหลายพึงทราบเกิดว่า แท้จริง อัลเลาะห์ทรงลงโทษอย่างร้ายแรง”[315]

เล่าจากอิบนิอุมัร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าเมื่อพระองค์อัลเลาะห์ ปรารถนาลงโทษพวกใด การลงโทษจะประสพกับบุคคลที่อยู่ในพวกนั้น หลังจากนั้นจึงได้ ถูกบังเกิดขึ้นบนผลงานของพวกเขา[316] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่าอะบู ญะฮัลได้กล่าวว่าข้าแต่พระองค์อัลเลาะห์ ถ้าหากสิ่งนี้เป็นสัจธรรมที่มาจากพระองค์ท่านแล้ว จงให้ฝนตกลงมาเป็นก้อนหินจากฟากฟ้า หรือ นำการลงโทษที่เจ็บปวดมาสู่พวกเราเกิด จึงได้ลงมาว่า “ย่อมไม่เหมาะสมที่อัลเลาะห์จะลงโทษ พวกเขาในขณะที่ท่านอยู่ในหมู่พวกเขา และย่อมไม่เหมาะสมที่อัลเลาะห์จะลงโทษพวกเขา โดยที่พวกเขาวิงวอนขออภัยโทษ และไม่สมควรที่พระองค์อัลเลาะห์จะไม่ลงโทษพวกเขา ทั้ง ที่พวกเขาคอยขัดขวางให้พ้นไปจากมัสญิดอันศักดิ์สิทธิ์ โดยที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ปกครอง มัน ที่จริงไม่มีใครปกครองมันนอกจากบรรดาผู้ยำเกรงเท่านั้น แต่พวกเขาส่วนมากไม่รู้”[317]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอะบี มูซา ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ได้ประทานสอง ความปลอดภัยแก่ประชากรของข้าพเจ้าลงมายังข้าพเจ้าคือ “และย่อมไม่เหมาะสมที่อัลเลาะห์ จะลงโทษพวกเขา ในขณะที่ท่านอยู่ในหมู่พวกเขา และย่อมไม่เหมาะสมที่อัลเลาะห์จะเป็นผู้ ลงโทษพวกเขา โดยที่พวกเขาวิงวอนขออภัยโทษ” เมื่อข้าพเจ้าล่วงลับไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ทิ้ง การวิงวอนขออภัยโทษไว้ ในหมู่พวกเขาจนถึงวันกิยามะห์[318] 

รายงานโดย  ติรมิซี

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“จงกล่าวเกิด แก่บรรดาผู้ไร้ศรัทธาว่า ถ้าหากพวกเขา จะยุติพวกเขาก็จะได้รับการอภัยโทษในสิงที่ผ่านพ้นมาแล้ว”[319]

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเราได้กล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ พวกเราจะถูกเอาความผิดไหมต่อสิ่งที่พวกเราได้ปฏิบัติในสมัยญาฮิลียะห์ ท่านได้กล่าวว่า ผู้ใดทำดีในอิสลาม เขาจะไม่ถูกเอาความผิดด้วยสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติในสมัยญาฮิลียะห์ และ ผู้ใดทำความชั่วในอิสลามเขาจะถูกเอาความผิดทั้งในครั้งแรก (ญาฮิลียะห์) และครั้งหลัง (อิสลาม)[320] และฮะกีม บิน ฮิชามได้กล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้โปรดบอกข้าพเจ้าถึงสิ่งต่างๆ ที่ ข้าพเจ้าได้ทำอิบาดะห์ในสมัยญาฮิลียะห์ จากการทำทาน หรือการปล่อยทาส หรือการติดต่อเครือญาติ ในสิ่งดังกล่าวจะได้ผลบุญไหม ท่านกล่าวว่าท่านได้เข้านับถืออิสลาม เหนือสิ่งที่ท่านได้กระทำมาแล้วจากคุณความดี[321]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม ในเรื่องการศรัทธา

เล่าจากอุกบะห์ บุตร อามิร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้อ่าน อะยะห์นี้ “และท่านทั้งหลายจงเตรียมกำลังไว้เพื่อศัตรูเท่าที่พวกท่านมีความสามารก”[322] ท่านได้กล่าวว่าพึงทราบเกิดว่า “กำลัง” นั้นคือการยิง (ท่านได้กล่าว) สามครั้ง พึงทราบ เถิดว่า แท้จริงพระองค์อัลเลาะห์ จะทรงเปิดแผ่นดินให้แก่พวกท่าน และพวกท่านจะมีค่า ใช้จ่ายอย่างพอเพียง ดังนั้นคนหนึ่งจากพวกท่านจะต้องไม่อ่อนแอ กับการหาความสำราญด้วย ถูกธนูของเขา 

รายงานโดย  ติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ได้กล่าวว่าเมื่อได้ลงมาว่า “ถ้าหากพวกท่านมีจำนวน ยี่สิบคน ซึ่งมีความอดทนก็ย่อมจะเอาชนะได้สองร้อยคน”[323] การเช่นนั้นได้ทำความลำบากใจ แก่มวลมุสลิมมาก ขณะที่ถูกกำหนดเหนือพวกเขาว่า มุสลิมคนหนึ่งจะต้องไม่หนีข้าศึกจำนวน สิบคน ต่อมาจึงมีข้อผ่อนผันมาว่า “ณ บัดนี้ อัลเลาะห์ไต้ผ่อนผันให้พวกท่านแล้ว และพระองค์ ทรงทราบว่า ความจริงในหมู่พวกท่านนั้นมีผู้อ่อนแอ ดังนั้นถ้าหากพวกท่านมีจำนวนหนึ่งร้อยคน ที่มีความอดทน ก็ย่อมจะเอาชัยชนะจำนวนสองร้อยได้”[324] เมื่ออัลเลาะห์ได้ผ่อนผันให้พวกเขา แล้ว ผลบุญของการอดทนจะลดลงตามส่วนที่พวกเขาได้รับการผ่อนผัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี 

เล่าจากอิบนิอับบาส ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวแก่อะบูบักร์ และอุมัร ในวันบัดร์ว่า พวกท่านมีความเห็นอย่างไรในเชลยศึกเหล่านี้ อะบุบักร์ได้กล่าวว่าโอ้นบี ของอัลเลาะห์ พวกเขาคือถูกหลานของลุงและเป็นคนในครอบครัว ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านควร เอาค่าไถ่ตัวจากพวกเขา ซึ่งจะเป็นกำลังของพวกเรา เพื่อพิชิตพวกผู้ไร้ศรัทธาต่อไป และ หวังว่าพระองค์อัลเลาะห์จะชี้นำพวกเขาให้เข้าสู่อิสลาม ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่าท่านมีความเห็นอย่างไร โอ้บุตรของคอตตอบ อุมัรได้กล่าวว่า ไม่ ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าไม่เห็นเหมีอนอะบูบักร์เห็น แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านควรมอบให้ พวกเราจัดการ เพื่อพวกเราจะได้ฟันคอเขาเหล่านั้น ท่านจะต้องมอบให้อะลีจัดการกับอะกีล เพื่ออะลีจะได้ฟันคอเขา337 และท่านจะต้องมอบให้ข้าพเจ้าจัดการกับคนนั้นคนนี้เพื่อข้าพเจ้า จะได้ฟันคอเขา338 เพราะความจริงพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้นำของบรรดาผู้ไร้ศรัทธา และเป็น หัวหน้าของพวกนั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์คล้อยตามที่ อะบูบักร์ได้กล่าว โดยท่านไม่คล้อยตามที่อุมัรกล่าว เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าได้มาหา บังเอิญพบท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. กับอะบูบักร์ กำลังนั่งร้องไห้อยู่ ข้าพเจ้าจึงพูดขึ้นว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์จงบอกข้าพเจ้าเกิดว่า เพราะ เหตุใดทั้งตัวท่านและสหายของท่านจึงร้องไห้ ถ้าหากข้าพเจ้าพบ (สาเหตุที่สมควรแก่) การ ร้องไห้ ข้าพเจ้าก็จะร้องไห้ และหากไม่พบข้าพเจ้าก็จะแกล้งร้อง เพราะการร้องไห้ของท่าน ทั้งสอง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าร้องไห้เพราะสิ่งที่เพื่อนๆ ของท่านเสนอให้ ข้าพเจ้าเรียกเอาค่าไถ่จากพวกเขา ความจริงการลงโทษพวกเขาได้ถูกเสนอมายังข้าพเจ้า มันต่ำกว่าต้นไม้นี้อีก[325] และอัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้ประทานลงมาว่า “ไม่สมควรที่นบี ใดจะมีเชลย จนกว่าเขาจะต้องสังหารอย่างจริงจังในหน้าแผ่นดินพวกท่านปรารถนาข้าวของในโลกนี้ แต่อัลเลาะห์ทรงปรารถนา (อาคิเราะห์) โลกหน้า พระองค์อัลเลาะห์ทรงพิชิต ทรงเชี่ยวชาญยิ่ง จนจบทั้งสามอายะห์[326]

รายงานหะดีษโดย มุสลิมในเรื่องสงครามศักดิ์สิทธิ์ และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าทรัพย์ที่ได้จากสงคราม ไม่เคยอนุมัติแก่ผู้ใดที่มีหัวดำ นับตั้งแต่ยุคก่อนพวกท่านมีไฟลงมาจากฟากฟ้าและกินมัน เมื่อถึงวันบัดร์พวกเขาได้ละเมิดในทรัพย์ที่ได้มาจากสงคราม ก่อนที่จะเป็นที่อนุมัติแก่พวกเขา อัลเลาะห์จึงได้ประทานลงมาว่า “ถ้าไม่มีการกำหนดจากอัลเลาะห์มาก่อนแล้ว แน่นอนการ ลงโทษอันใหญ่หลวงจะต้องกระทบกับพวกท่าน ในสิ่งที่พวกท่านได้เอาไป”[327] 

รายงานโดย  ติรมิซี  ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

ซูเราะห์ อัตเตาบะห์ 795

เป็นซูเราะห์ มะดะนียะห์ (ที่ถูกประทานภายหลังการอพยพ)

มีหนึ่งร้อยยี่สิบเก้าอายะห์

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้กล่าวแก่อุสมาน ร.ฎ.  ว่า อะไรทำให้ท่านมุ่งไปสู่ซูเราะห์ อัลอัมฟาล ทั้งที่เป็นซูเราะห์สั้นและมุ่งไปยัง ซูเราะห์ บะรออะห์ ทั้งที่เป็นซูเราะห์ที่มีเป็นร้อย[328] และพวกท่านได้นำทั้งสองซูเราะห์มาไว้คู่กันโดยไม่ได้เขียน “บิสมิลลาฮิรเราะห์มานีรเราะฮีม” ขั้นระหว่างสองซูเราะห์นั้น และพวกท่านได้จัดมันไว้ใน เจ็ดซูเราะห์ยาวๆ อะไรทำให้พวกท่านทำเช่นนั้น อุสมานได้กล่าวว่าปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จากอดีตที่ผ่านไปนั้นขณะที่ซูเราะห์ต่างๆ มากมายลงมายังท่าน เมื่อมีสิ่งใด ลงมายังท่าน ท่านจะเรียกผู้ทำหน้าที่บันทึกบางคนมาแล้วกล่าวว่าพวกท่านจงนำอายะห์ เหล่านี้ไปบรรจุไว้ใน ซูเราะห์ที่มีกล่าวอย่างนั้นอย่างนั้น และเมื่ออายะห์หนึ่งลงมายังท่านก็จะกล่าวว่าพวกท่านจงเอาอายะห์นี้ไปบรรจุไว้ใน ซูเราะห์ที่มีกล่าวอย่างนั้นอย่างนั้น และได้ ปรากฏว่าซูเราะห์อัลอันฟาล เป็นซูเราะห์แรกๆ ที่ถูกประทานลงมา ณ นครมะดีนะห์ และ ปรากฏว่า ซูเราะห์ บะรออะห์ เป็นซูเราะห์ท้ายๆ ของอัลกุรอาน และเรื่องราวของซูเราะห์ บะรออะห์ คถ้ายกับเรื่องราวของซูเราะห์ อัลอันฟาล ข้าพเจ้าคาดคิดว่าแท้จริงบะรออะห์เป็น ส่วนหนึ่งของอัลอันฟาล ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์ถูกเก็บชีวิตไป โดยท่านไม่ได้ให้พวกเรา ทราบว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของซูเราะห์อัลอันฟาล ข้าพเจ้าจึงได้นำทั้งสองซูเราะห์มาไว้คู่กัน โดย ข้าพเจ้าไม่ได้เขียน “บิสมิลลา ฮีรเราะห์มาน นีรเราะฮีม” ขึ้นระหว่างสองซูเราะห์ ดังนั้นข้าพเจ้า จึงได้บรรจุมันไว้ในเจ็ดซูเราะห์ยาวๆ[329] 

รายงานโดย ติรมิซี

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“และนี่เป็นคำประกาศจากอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ มายังมวลมนุษย์ในวันฮัจญ์อันยิ่งใหญ่ ว่าแท้จริงอัลเลาะห์ทรงพ้นไปจากพวกผู้ตั้งภาคี และศาสนทูตของพระองค์ (ก็เช่นเดียวกัน) ดังนั้นถ้าหากท่านทั้งหลายสำนึก (เตาบะห์) นั่น เป็นความดีแก่พวกท่าน และถ้าหากพวกท่านผินออก พวกท่านจงทราบเกิดว่าแท้จริงพวกท่าน ไม่ได้ทำให้อัลเลาะห์อ่อนแอ และท่านจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ไร้ศรัทธาด้วยการลงโทษที่ เจ็บปวด”[330]

เล่าจากอัมร์ บิน อัลอะห์วัส ร.ฎ. ว่าความจริงเขาได้ปรากฏตัวในพิธีฮัจญ์แห่งการอำลา พร้อมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ท่านได้สดุดีอัลเลาะห์และกล่าวคำสรรเสริญพระองค์ ท่านได้ตักเตือนและสั่งสอน หลังจากนั้นได้กล่าวว่าวันใดที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง วันใดที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง วันใดที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ประชาชนได้กล่าวว่าวันฮัจญ์อันยิ่งใหญ่ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านได้กล่าวว่าแท้จริงเลือดเนื้อของพวกท่าน ทรัพย์สินของพวกท่านและศักดิ์ศรีของพวก ท่านเป็นสิ่งต้องห้ามเหนือพวกท่าน (จะละเมิดไม่ได้) เหมีอนความศกดิ์สิทธิ์ของวันของพวก ท่านนี้ ในเมีองของพวกท่านนี้ ในเดือนของพวกท่านนี้ พึงทราบเกิดว่าไม่มีอาชญากรคนใดที่ก่อ . อาชญากรรมนอกจากเป็นภัยกับตัวเขาเอง และผู้ให้กำเนิดจะไม่ก่ออาชญากรรมเป็นภัยกับถูกของตน และถูกจะไม่ก่ออาชญากรรมเป็นภัยกับผู้ให้กำเนิดของตน[331] พึงทราบเกิดว่ามุสลิมเป็นพี่น้อง กับมุสลิม ไม่มีสิ่งใดที่อนุญาตให้มุสลิม (ละเมิด) จากพี่น้องของเขานอกจากสิ่งที่เขาได้อนุญาต ให้จากตัวของเขาเอง[332] พึงทราบเกิดว่าแท้จริง ริบา ทุกประเภทในสมัย ญาฮิลียะห์เป็นสิ่งเหลวไหล[333] และเลือดแรกที่ถูกปล่อยวาง จากเลือดสมัยญาฮิลียะห์ คือเลือดของอัลฮาริษ บุตร อับดิลมุตตอลิบ เขาเคยดื่มนมร่วมกับตระกูลลัยซ์ต่อมาเผ่าฮุซัยล์ได้ฆ่าเขา พึงทราบเกิด และ ท่านทั้งหลายจงสั่งเสียกันให้ทำความดีกับพวกผู้หญิง ความจริงพวกผู้หญิงเป็นเชลยอยู่กับพวกท่าน[334] พวกท่านจะไม่ได้ปกครองสิ่งใดจากพวกผู้หญิงนอกจากนั้น นอกจากพวกหล่อนทำการ บัดสีที่ปรากฏชัด[335] ดังนั้นถ้าหากหล่อนได้กระทำ ให้พวกท่านจงทิ้งพวกหล่อนไว้ในที่นอน และ จงเฆี่ยนหล่อนเป็นการเฆี่ยนที่ไม่ทำให้เกิดบาดแผล ถ้าหากพวกหล่อนเชื่อฟังพวกท่าน ท่านทั้งหลายก็ไม่ต้องหาทางอื่นที่เป็นภัยกับพวกหล่อนอีก พึงทราบเถิด พวกท่านมีสิทธิ์เหนือ ภรรยาของพวกท่าน และภรรยาของพวกท่านก็มีสิทธิ์เหนือพวกท่าน อนึ่งสิทธิของพวกท่าน เหนือภรรยาของพวกท่านก็คือ พวกหล่อนจะต้องไม่ให้คนที่พวกท่านไม่เต็มใจเหยียบที่นอน ของพวกท่าน และจะไม่อนุญาตให้คนที่พวกท่านไม่เต็มใจเข้าในบ้านของพวกท่าน พึงทราบเกิด และแท้จริงสิทธิของพวกหล่อนเหนือพวกท่านก็คือ ท่านทั้งหลายจะต้องทำความดีกับพวกหล่อน ในด้านเครื่องนุ่งห่มของพวกหล่อน และอาหารของพวกหล่อน 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี 

เล่าจากอะลี ร.ฎ.  ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถึงวันฮัจญ์ อันยิ่งใหญ่ ท่านตอบว่าคือวัน เชือด[336] 

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจากอะบีฮรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าอะบูบักร์ได้ส่งข้าพเจ้าไปในการฮัจญ์ ซึ่งเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้แต่งตั้งเขาเป็นผู้นำ ก่อนการฮัจญ์แห่งการอำลา (โดยส่งข้าพเจ้าไป) อยู่ในคนกลุ่มหนึ่งที่จะทำหน้าที่ประกาศกับประชาชนที่มินา ว่าหลังจากปีนี้จะต้องไม่มีผู้ตั้งภาคีคนใดทำการฮัจญ์อีก และจะต้องไม่มีคนเปลือยกายตอวาฟ ณ บัยตุ้ลเลาะห์ หลังจากนั้น ท่านนบี ซ.ล.  ได้ส่ง อะลีตามไปอีก ให้ประกาศซูเราะห์ บะรออะห์ ต่อมาอะลีก็ได้ประกาศ กับพวกเราที่มีนาในวันเชือดด้วยซูเราะห์ บะรออะห์ 

รายงานโดย บุคอรี และติรมีซี

ตัวบทของติรมีซีว่าท่านนบี ซ.ล.  ได้ส่งอะบูบักร์ไป และบัญชาเขาให้ประกาศด้วยถ้อยคำเหล่านี้351 หลังจากนั้นท่านได้ส่งอะลี ตามอะบูบักร์ไป ขณะที่อะบูบักร์อยู่ในระหว่างทางนั้น เขาได้ยินเสียง ร้องของอูฐของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ที่ชื่ออัลกอซวาอฺ อะบูบักร์ได้ออกไปด้วยอาการตกใจ เพราะเข้าใจว่าเป็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  โดยไม่ได้คาดฝันก็ได้พบว่าคืออะลี และอะลีได้ ส่งสาส์นของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ให้แก่อะบูบักร์ และได้ใช้ให้อะลีประกาศด้วยถ้อยคำ เหล่านี้352 ทั้งสองได้ออกเดินทางไปและได้ท่าการฮัจญ์ อะลีได้ขึ้นยืนในบรรดาวันตัชรีก[337] [338] [339] และประกาศว่า พันธะของอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์พ้นไปจากผู้ตั้งภาคีทุกคน ดังนั้นพวกเจ้าจงตระเวนไปในหน้าแผ่นดินเถิดเป็นเวลาสี่เดือน[340] และจะต้องไม่มีผู้ตั้งภาคี ใดท่าการฮัจญ์หลังจากปีนี้ และจะต้องไม่มีผู้เปลือยกายทำการตอวาฟ ณ บัยตุ้ลเลาะห์ และจะ ไม่ได้เข้าสวรรค์นอกจากผู้มีศรัทธา อะลีได้ทำหน้าที่ประกาศ และเมื่อเขาเหนื่อยอะบูบักร์ ก็ได้ลุกขึ้นประกาศด้วยถ้อยคำเหล่านี้

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “นอกจากบรรดาผู้ที่พวกท่านได้ท่าสัญญาด้วยจากบรรดา ผู้ตั้งภาคี หลังจากนั้นพวกเขาไม่ได้ละเมิดพวกท่านในสิ่งใดๆ และพวกเขาไม่ได้ช่วยเหลือผู้ใด เป็นภัยต่อพวกท่าน ดังนั้นท่านทั้งหลายจงปฏิบัติตามสัญญาของพวกเขาให้ครบถ้วนเถิด จนครบกำหนดของพวกเขา แท้จริงอัลเลาะห์ทรงรักผู้ที่มีความยำเกรง”[341]

อะลี ร.ฎ.  ได้ถูกถามว่า ท่านถูกส่งมาด้วยเหตุใดในการฮัจญ์[342] อะลีตอบว่าข้าพเจ้า ถูกส่งมาด้วยสี่ประการคือจะต้องไม่มีคนเปลือยกายคนใดทำการตอวาฟที่บัยตุ้ลเลาะห์ และ ผู้ใดที่ระหว่างเขากับท่านนบี ซ.ล. มีสัญญาต่อกัน สัญญานั้นก็จะมีต่อไปจนครบกำหนด ของมัน และผู้ใดไม่มีสัญญา กำหนดของเขามีเพียงสี่เดือน และจะไม่ได้เข้าสวรรค์ นอกจาก ชีวิตที่มีศรัทธา และบรรดาผู้ตั้งภาคีกับบรรดามุสลิมจะไม่ต้องรวมกันอีกหลังจากปีของพวก เขานี้[343]

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่อท่านทิ้งหลายเห็นชาย คนหนึ่งที่เขามามัสญิดเป็นประจำ พวกท่านจงเป็นพยานให้แก่เขาด้วยอีหม่าน (ศรัทธา) เถิด อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า“ความจริงจะทำนุบำรุงบรรดามัสญิดของอัลเลาะห์ ก็มีเพียงผู้ที่ ศรัทธาต่ออัลเลาะห์และวันสุดท้าย”[344] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

เล่าจากอะดีย์ บุตร ฮาติม ร.ฎ.  ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  โดย ที่คอของข้าพเจ้ามีไม้กางเขนที่ทำจากทองคำ ท่านได้กล่าวว่าโอ้อะดีย์ เจ้าจงขว้างรูปมูซานี้ ทิ้งไป และข้าพเจ้าได้ยินท่านอ่าน “พวกเขาได้ยึดเอานักปราชญ์และนักบวชของพวกเขาเป็น พระเจ้านอกเหนือจากอัลเลาะห์”[345] ท่านไต้กล่าวว่าพึงทราบเถิดว่า แท้จริงพวกเขาไม่ได้ เคารพสักการะพวกนั้นหรอก แต่พวกนั้นเมื่อได้อนุมัติสิ่งใดแก่พวกเขา พวกเขาก็จะถือว่ามัน เป็นสิ่งที่อนุมัติ และเมื่อพวกนั้นได้ห้ามสิ่งใดเหนือพวกเขา พวกเขาก็จะถือว่ามันเป็นสิ่งต้อง ห้าม[346] 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และบรรดาผู้สะสมทองคำและเงินโดยไม่ยอมบริจาค มันไปในวิถีทางของอัลเลาะห์ ดังนั้นท่านจงแจ้งข่าวดีแก่พวกเขาเถิด ด้วยการลงโทษที่เจ็บปวด[347] ในวันที่มันจะถูกนำไปเผาให้ร้อนในไฟนรก และมันจะถูกนำมานาบหน้าผาก สีข้าง และหลัง ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าได้สะสมไว้เพื่อตัวของพวกเจ้าเอง ดังนั้นพวกเจ้าจงลิ้มรสจาก สิ่งที่พวกเจ้าได้เคยสะสมไว้เถิด”[348]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าทรัพย์สินที่สะสมไว้ (โดยไม่ยอมจ่ายซะกาต) ของคนหนึ่งจากพวกท่านจะกลายเป็นงูหัวล้าน

เล่าจากเซด บิน วะหบี ร.ฎ.  ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้เดินผ่าน อะบี ซัรร์ ที่รอบะซะห[349] ข้าพเจ้าได้ถามว่าอะไรทำให้ท่านได้มาปักหลักอยู่ในดินแดนแห่งนี้ เขาได้กล่าวว่าพวกเรา เคยอาศัยอยู่ที่ชาม และข้าพเจ้าได้อ่าน “และบรรดาผู้ที่สะสมทองคำและเงิน” จนจบอายะห์ มุอาวิยะห์ได้กล่าวว่าอายะห์นี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา อายะห์นี้ไม่ได้ถูกประทานลงมานอกจาก ชาวคัมภีร์ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าแท้จริงมันได้ลงมาในพวกเราและพวกเขา[350]

อิบนุ อุมัร ร.ฎ.  ได้กล่าวว่าที่กล่าวนี้ก่อนการซะกาตจะถูกกำหนด ต่อมาเมื่อชะกาต ได้ถูกำหนดลงมาแล้ว พระองค์ได้ดลบันดาลให้ซะกาตเป็นเครื่องทำความสะอาดแก่ทรัพย์ สมบัติตางๆ[351] 

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี

เล่าจากเซาบาน ร.ฎ.  ได้กล่าวว่าขณะเมื่อได้ลงมาว่า “และบรรดาผู้ที่สะสมทองคำ และเงิน” พวกเราอยู่กับท่านนบี ซ.ล.  ในการเดินทาง อัครสาวกบางคนได้กล่าวว่าโอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ สิ่งที่ถูกประทานลงมานี้ ได้ถูกประทานลงมาในทองคำและเงิน ถ้าหาก เรารู้ว่าอะไรคือทรัพย์สินที่ดีที่สุด เราก็จะยึดเอาสิ่งนั้นไว้ ท่านได้กล่าวว่าทรัพย์สินที่ประเสริฐ ที่สุดคือ ลิ้นที่กล่าวซิกร์ หัวใจที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และภรรยาที่มีศรัทธาที่ช่วยสงเสริมเขาให้มีศรัทธา

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “แท้จริงจำนวนเดือน ณ อัลเลาะห์นั้นมีสิบสองเดือน ตามที่พระองค์อัลเลาะห์ได้บันทึกไว้ในวันที่พระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน จากจำนวน นั้นมีสี่เดือนที่ต้องห้าม นั่นคือศาสนาที่มั่นคง ดังนั้นท่านทั้งหลายจงอย่าทุจริตต่อตัวของพวกท่านเองในเดือนเหล่านั้น”[352]

เล่าจากอะบี บักเราะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าแท้จริงเวลาได้หมุนเวียน ไปเหมือนกับสภาพในวันที่พระองค์อัลเลาะห์ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน ปีหนึ่งมีสิบสองเดือน จากจำนวนนั้นมีสี่เดือนที่ต้องห้าม คือสามเดือนติดต่อกันได้แก่ ซุลเกาะอะดะห์ ซุลฮิจญะห์ มุฮัรรอม และเดือนรอยับมุฎอร ซึ่งอยู่ระหว่างเดือนญุมาดา กับเดือนซะอ์บาน[353] 

รายงานโดย บุคอรี

อัลเลาะห์ตาอาลาใต้ตรัสว่า “ถ้าหากพวกท่านไม่ช่วยเขาความจริงพระองค์อัลเลาะห์ ได้ทรงช่วยเขาแล้ว ขณะที่บรรดาผู้ไร้ศรัทธาได้ขับไล่เขาออก ในสภาพที่เขาเป็นคนที่สองจาก จำนวนสองคน เมื่อทั้งสองอยู่ในถ้ำ ขณะที่เขากล่าวกับเพื่อนของเขาว่า ท่านอย่าเศร้าโศกเลย เพราะความจริง อัลเลาะห์อยู่ด้วยกับเรา[354] ต่อมาอัลเลาะห์ได้ทรงประทานความสงบของ พระองค์แก่เขา และได้สนับสนุนเขาด้วยกองทหารที่พวกท่านมองมันไม่เห็น และพระองค์ ได้ทรงบันดาลให้ถ้อยคำของผู้ที่ไร้ศรัทธานั้นตกต่ำที่สุด            และให้คำดำรัสของอัลเลาะห์เป็นถ้อยคำที่สูงสุด พระองค์อัลเลาะห์ทรงพิชิต ทรงเชี่ยวชาญ”[355]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.  ว่า แท้จริงอบูบักร์ได้เล่าให้เขาฟังว่าข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ท่านนบี ซ.ล.  ขณะที่เราอยู่ในถ้ำว่า ความจริงถ้าหากคนหนึ่งจากพวกเขามองลงมายังเท้าทั้งสองข้าง ของพวกเขาแล้ว แน่นอนเหลือเกินว่าเขาจะต้องเห็นเราอยู่ใต้ฝ่าเท้าทั้งสองของเขา[356] ท่าน ได้กล่าวว่าโอ้ อบูบักร์สิ่งที่ท่านนึกว่ามีสองนั้น พระองค์อัลเลาะห์จะเป็นที่สามของสองสิ่งนั่น

รายงานโดย บุคอรี และติรมีซี

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และพวกเขาบางคนประณามท่านในการจ่ายทาน ถ้าหาก พวกเขาถูกให้ทานนั้นพวกเขาก็พอใจ และถ้าหากพวกเขาไม่ให้ทานนั้น พวกเขาก็มีความโกรธ เคือง”[357]

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ.  ได้กล่าวว่ามีสิ่งหนึ่งถูกส่งมาให้ท่านนบี ซ.ล.  และท่าน ได้แบ่งมันให้แก่สี่คน และท่านได้กล่าวว่าข้าพเจ้าจะทำความสนิทสนมกับพวกเขา ได้มีชายคนหนึ่งกล่าวว่าท่านไม่ยุติธรรม ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าจะออกไปจากเชื้อสายของ ข้าพเจ้านี้ พวกหนึ่งที่พวกเขาจะฉีกออกจากศาสนา[358] 

รายงานโดย บุคอรี

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “บรรดาผู้ที่ประณามพวกที่สมัครใจในการทำทานจาก บรรดาผู้ที่มีศรัทธา และ (ประณาม) บรรดาผู้ที่ไม่มีนอกจากความเพียรของพวกเขา และพวก นั้นได้ดูถูกพวกเขา อัลเลาะห์ก็ดูถูกพวกนั้น และพวกนั้นก็จะได้รับการลงโทษที่เจ็บปวด”

(หน้า786 ย่อหน้า2 อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “จงกล่าวเถิด)

 

 

 

 

 

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ถ้าหากพวกท่านไม่ช่วยเขาความจริงพระองค์อัลเลาะห์ ได้ทรงช่วยเขาแล้ว ขณะที่บรรดาผู้ไรัศรัทธาได้ขับไล่เขาออก ในสภาพที่เขาเป็นคนที่สองจาก จำนวนสองคน เมื่อทั้งสองอยู่ในกํ้า ขณะที่เขากล่าวกับเพื่อนของเขาว่า ท่านอย่าเศร้าโศกเลย เพราะความจริงอัลเลาะห์อยู่ด้วยกับเรา[359] ต่อมาอัลเลาะห์ได้ทรงประทานความสงบของ พระองค์แก่เขา และได้สนับสนุนเขาด้วยกองทหารที่พวกท่านมองมันไม่เห็น และพระองค์ ได้ทรงบันดาลให้ถ้อยคำของผู้ที่ไร้ศรัทธานั้นตกต่ำที่สุด            และให้พระคำของอัลเลาะห์เป็นล้อยคำที่สูงสุด พระองค์อัลเลาะห์ทรงพิชิต ทรงเที่ยวชาญ”[360]   800

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ.  ว่า แท้จริงอบูบักร์ได้เล่าให้เขาพิงว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ท่านนบี  ซ.ล.  ขณะทีเราอยู่ในกํ้าว่า ความจริงถ้าหากคนหนึ่งจากพวกเขามองลงมายังเท้าทั้งสองข้าง ของพวกเขาแล้ว แน่นอนเหลือเกินว่าเขาจะต้องเห็นเราอยู่ใต้ฝ่าเท้าทั้งสองของเขา[361] ท่าน ได้กล่าวว่า โอ้อบูบักร์สิ่งที่ท่านนึกว่ามีสองนั้น พระองค์อัลเลาะห์จะเป็นที่สามของสองสิ่งนั้น 

รายงานโดย บุคอรี และติรมีซี 800

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และพวกเขาบางคนประณามท่านในการจ่ายทาน ถ้าหาก พวกเขาถูกให้ทานนั้นพวกเขาก็พอใจ และถ้าหากพวกเขาไม่ถูกให้ทานนั้น พวกเขาก็มีความโกรธ เคือง”[362]

เล่าจากอะบี สะอีด  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า มีสิ่งหนึ่งถูกส่งมาให้ท่านนบี  ซ.ล.  และท่าน ได้แบ่งมันให้แก่สี่คน และท่านได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะทำความสนิทสนมกับพวกเขา ได้มีชาย คนหนึ่งกล่าวว่า ท่านไม่ยุติธรรม ท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า จะออกไปจากเชื้อสายของ ข้าพเจ้านี้ พวกหนึ่งที่พวกเขาจะฉีกออกจากศาสนา[363]

รายงานโดย บุคอรี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “บรรดาผู้ที่ประณามพวกที่สมัครใจในการทำทาน จากบรรดาผู้ที่มีศรัทธา และ (ประณาม) บรรดาผู้ที่ไม่มีนอกจากความเพียรของพวกเขา และพวก นั้นได้ดูถูกพวกเขา อัลเลาะห์ก็ดูถูกพวกนั้น และพวกนั้นก็จะได้รับการลงโทษที่เจ็บปวด”[364]

เล่าจากอะบี มัสอูด  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า เมื่อพวกเราถูกใช้ให้ทำทาน พวกเราต่างก็พา กันดิ้นรน อะบู อะกีลได้นำมาครึ่งซออฺ อีกคนหนึ่งนำมามากกว่านั้น พวกหน้าไหว้หลังหลอก ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์รํ่ารวยเกินกว่าจะต้องการทานซอดาเกาะห์นี้ และอีกคนหนึ่งนั้น ไม่ได้กระทำนอกจากเป็นการแสดงให้ผู้อื่นเห็นเท่านั้น จึงได้ลงมาว่า “และบรรดาผู้ที่ประณาม พวกที่สมัครใจ 

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า เมื่ออับดุลเลาะห์ บิน อุบัยย์ บิน สะลูน ได้เสีย ชีวิตลง บุตรชายของเขาคือ อับดุลเลาะห์ ได้มาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  และได้ขอเสื้อ ของท่านเพื่อเอาร่างบิดาของเขาห่อในเสื้อตัวนั้น และท่านนบีก็ได้มอบมันให้แก่เขา จากนั้นก็ ให้ท่านไปละหมาดแก่ศพของเขา ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้ลุกขึ้นไปละหมาดแก่ศพของเขา อุมัรได้ลุกขึ้นดึงผ้าของท่านนบี  ซ.ล.  ไว้แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ท่านจะละหมาด ให้แก่ศพเขาหรือ ทั้งที่ความจริงพระผู้อภิบาลของท่านได้ห้ามท่านแล้ว ท่านนบี  ซ.ล.  ได้ กล่าวว่า ความจริงพระองค์อัลเลาะห์ได้ให้ข้าพเจ้าเลือกเอาโดยพระองค์ได้ตรัสว่า “เจ้าจง ขออภัยโทษให้แก่พวกเขา หรือเจ้าอย่าขออภัยโทษให้แก่พวกเขา แม้เจ้าจะขออภัยโทษให้แก่ พวกเขาถึงเจ็ดสิบครั้ง พระองค์อัลเลาะห์ก็จะไม่อภัยให้แก่พวกเขาเลย”[365]และข้าพเจ้าจะเพิ่ม ให้เขาเกินกว่าเจ็ดสิบครั้ง อุมัรได้กล่าวว่า ความจริงเขาเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก อุมัรได้ กล่าวว่า และท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ก็ได้ละหมาดแก่ศพของเขา ต่อมาอัลเลาะห์ได้ประทาน ลงมาว่า “และเจ้าอย่าละหมาดให้แก่คนใดจากพวกเขาที่เสียชีวิตตลอดไป และเจ้าอย่ายืนบนหลุมศพของเขา 373 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และพวกอื่นๆ ที่ได้สารภาพบาปของพวกเขาเองที่ได้ปะปน การงานที่ดีและอีกอย่างหนึ่งเป็นงานที่เลวทราม หวังว่าอัลเลาะห์จะรับการสารภาพผิดของพวก เขาแท้จริงอัลเลาะห์ทรงให้อภัยทรงเมตตายิ่ง”[366]

เล่าจากซะมุเราะห์ บิน  ยุนดุบ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า มีมะลาอิกะห์ สองท่านมาหาข้าพเจ้าเมื่อคืนนี้ ทั้งสองได้ปลุกและนำข้าพเจ้าไป จนพวกเราไปถึงเมืองหนึ่ง ที่ก่อด้วยอิฐทองคำและอิฐเงิน ต่อมาได้มีคนหลายคนมาพบกับเรา รูปร่างครึ่งหนึ่งของพวกเขาสวยงามที่สุดของสิ่งที่ท่านเคยเห็น และครึ่งหนึ่งน่าเกลียดที่สุดของสิ่งที่ท่านเคยเห็น มะลาอิกะห์ ทั้งสองท่านได้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าจงไปและลงไปในแม่นํ้านั้น พวกเขาได้ลงไปใน แม่นํ้านั้น หลังจากนั้น พวกเขาได้กลับมาหาเราอีก ส่วนที่เลวทรามนั้นได้หายไปจากพวกเขา และพวกเขาได้กลายสภาพอยู่ในรูปร่างที่สวยงามยิ่ง[367] มะลาอิกะห์ทั้งสองได้กล่าวแก่ข้าพเจ้า ว่า นี่คือสวรรค์ อัดน์ และนั่นคือที่พำนักของท่าน ส่วนพวกที่ครึ่งหนึ่งของพวกเขาสวย

งาม อีกครึ่งหนึ่งน่าเกลียดนั้น เพราะแท้จริงพวกเขาไดได้ปะปนการงานที่ดีกับอีกการงานหนึ่ง ที่เลวทราม พระองค์อัลลาะห์ได้อภัยให้พวกเขาแล้ว 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี 

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ความจริงมัสญิดหนึ่งซึ่งถูกก่อสร้างอยู่บนความยำเกรงนับแต่วันแรก สมควรอย่างยิ่งที่ท่านจะยืน (ปฏิบัติศาสนกิจ) ในนั้นมีมวลมนุษย์ที่รักจะให้พวก เขาสะอาด และพระองค์อัลเลาะห์รักบรรดาผู้ที่สะอาด”[368]

อะบูสะรีด อัลคุดรีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า “ชายสองคนได้โต้เถียงกันในเรื่องมัสญิดที่ ถูกก่อสร้างอยู่บนรากฐานแห่งความยำเกรง ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า คือมัสญิด กุบาอ์ อีกคน หนึ่งกล่าวว่า คือ มัสญิดของท่าน-เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า คือมัสญิดของข้าพเจ้าแห่งนี้ 

รายงานโดย ติรมิซี ในเรื่องนี้ และของมุสลิมในเรื่องฮัจญ์ 

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อายะห์นี้ได้ลงมา ในชาวกุบาอฺ ที่พวกเขาได้ชำระด้วยนํ้า และอายะห์นี้ก็ได้ลงมาในพวกเขา379 

รายงานโดย ติรมิซี และบัซซาร

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ไม่สมควรที่นบีและบรรดาผู้ที่มีศรัทธาจะวิงวอนขออภัยโทษให้แก่บรรดาผู้ตั้งภาคี แม้พวกนั้นจะเป็นญาติใกล้ชิด ภายหลังจากปรากฏแน่ชัดแล้วว่า พวกนั้นเป็นชาวนรก[369]

เล่าจาก สะรีด บิน  มุซัยยิบ ร.ฎ. จากบิดาของเขา ได้กล่าวว่า ขณะเมื่อความตาย ได้มาส่อะบูตอลิบ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้มาหาเขา และได้พบอะบูยะฮั้ล กับ อับดุลเลาะห์ บิน  อะบีอุมัยยะห์ บิน  อัลมุฆีเราะห์ อยู่ที่อะบูตอลิบด้วย ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้ กล่าวว่า โอ้ผู้เป็นลุงของข้าพเจ้าจงกล่าวเถิดว่า ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ เป็นถ้อยคำทีข้าพเจ้าจะนำมันไปยืนยันเพื่อท่าน ณ พระองค์อัลเลาะห์ อะบุยะฮั้ล และอับดุลเลาะห์ ได้กล่าวว่า โอ้ อะบุตอลิบ ท่านรังเกียจศาสนาของอับดุลมุตตอลิบหรือ และท่านนบี ซ.ล. ได้คงนำเสนอคำปฏิญาณแก่อะบูตอลิบและคนทั้งสองก็ใด้ทวนคำนั้นแก่เขา จนในที่สุดคำสุด ท้ายทีเขาได้กล่าวแก่พวกนั้น คือ เขายังคงอยู่ในศาสนาของอับดุลมุตตอลิบ โดยเขาไม่ยอมกล่าว ว่า ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า พึงทราบ เถิดขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะต้องวิงวอนขออภัยโทษให้ท่านในสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ได้ถูกห้ามจากท่าน[370] อัลเลาะห์ผูยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้ประทานลงมาว่า “ไม่สมควรที่นบี” จน จบอายะห์

เล่าจาก อะบี สะอีด ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  นั้นได้มีผู้กล่าวถึงลุงของท่านคือ อะบูตอลิบ ท่านได้กล่าวว่า หวังว่าการช่วยเหลือของข้าพเจ้าในวันกิยามะห์จะเป็นประโยชน์ แก่เขา ดังนั้น เขาจะถูกนำไปอยู่ในไฟนรกที่ลุกไหม้ท่วมถึงตาตุ่มทั้งสองของเขา โดยสมองของ เขาจะเดือดเนื่องจากไฟนรกนั้น

เล่าจาก อัลอับบาส บิน  อับดุลมุตตอลิบ ร.ฎ. ว่า เขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ท่านจะช่วยเหลืออะบูตอลิบได้ด้วยสิ่งใดบ้าง เพราะความจริงเขาเคยปกป้องท่านและเคยโกรธเคืองเพราะเรื่องของท่าน ท่านได้ตอบว่า ได้แน่ เขาจะอยู่ในขุมนรกที่มีไฟลุกไม่ถึงหลังเท้า และถ้าหากไม่มีข้าพเจ้าเขาจะต้องอยู่ในชั้นล่างสุดของขุมนรก และในบางรายงานว่า ท่านได้ ตอบว่า ได้แน่ ข้าพเจ้าพบเขาอยู่ในไฟนรกที่ท่วมท้น และข้าพเจ้าได้นำเขาออกมาสู่ไฟนรก ที่ลุกไม่ถึงหลังเท้า 

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจาก อะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินชายผู้หนึ่งวิงวอนขออภัยโทษให้แก่ บิดามารดาของเขาซึ่งทั้งสองนั้นเป็นมุชริภ (ผู้ตั้งภาคี) ข้าพเจ้าจึงได้ถามเขาว่า ท่านวิงวอน ขออภัยโทษให้แก่บิดามารดาของท่านที่เป็นมุชริกอย่างนั้นหรือเขาตอบว่า อิบรอฮีม ไม่ได้วิงวอน ขออภัยโทษให้แก่บิดาของเขาทีเป็นมุชริกหรือ ข้าพเจ้าจึงได้นำเรืองดังกล่าวไปเล่าให้ท่านนบี ซ.ล.  ฟัง จึงได้ลงมาว่า “ไม่สมควรที่นบีและบรรดาผู้ที่มีศรัทธาจะวิงวอนขออภัยโทษให้แก่ บรรดาผู้ที่ตั้งภาคี”[371]

รายงานโดย ติรมิซี อะห์มัด และฮากีม

เล่าจาก กะอับ บิน  มาลิก ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยหลบไปจากท่านนบี ซ.ล.  เลย (ไม่ว่า) ในสงครามใดที่ท่านได้ออกไปรบนอกจากสงครามตะบุกเท่านั้น382 ยกเว้น ที่ข้าพเจ้าไม่ได้ออกไปในสงครามบัดร์ แต่ท่านนบีก็ไม่ได้ประณามคนใดที่หลบไปจากท่าน ความ จริงท่านนบีและมวลมุสลิมได้ออกไป โดยมุ่งหมายกองคาราวานของพวกกุเรซ จนกระทั่งอัลเลาะห์ ไดให้พบกันระหว่างพวกมุสลิมกับศัตรูของพวกเขาโดยไม่ได้กำหนดมาก่อน และความจริง ข้าพเจ้าได้เคยปรากฏตัวร่วมกับท่านนบี ซ.ล.  ในคืน อัลอะกอบะห[372] ขณะที่พวกเราไดยึดมั่น อยู่กับอิสลาม และข้าพเจ้าไม่ปรารถนาเอาการปรากฏตัวในสงครามบัดร์แลกเปลี่ยนกับมัน แม้ ว่าบัดร์ จะเป็นที่กล่าวขวัญในหมู่ประชาชนมากยิ่งกว่าเหตุการณ์ในคืนอัลอะกอบะห์ก็ตาม และ ข่าวของข้าพเจ้าส่วนหนื่งขณะที่ข้าพเจ้าหลบไปจากท่านนบี  ซ.ล.  ในสงครามตะบุกก็คือ ไม่ มีใครที่เข้มแข็ง และไม่มีใครรำรวยยิ่งกว่าข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้าได้หลบไปจากท่านนบีในสงคราม นั้น สาบานต่ออัลเลาะห์ ข้าพเจ้าไม่เคยรวบรวมพาหนะไว้สองตัวเลยก่อนหน้านี้จนข้าพเจ้าได้ รวบรวมมันสองตัวเพื่อสงครามนั้น และต่อมาท่านนบี  ซ.ล.  ได้ออกทำสงครามตะบุกในสภาพ ภูมิอากาศที่ร้อนจัด มุ่งหน้าเดินทางไกลทุรกันดาร และเผชิญกับ (ข้าศึก) จำนวนมาก ท่าน ได้แจ้งให้บรรดามุสลิมได้ทราบเรื่องของพวกเขา เพื่อเตรียมเสบียงสงคราม ท่านได้บอกให้ พวกเขาทราบถึงทิศที่ท่านจะมุ่งไป และบรรดามุสลิมที่ร่วมไปกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  นั้นมีจำนวนมากที่สุด บัญชีไม่อาจบรรจุพวกเขาได้หมด น้อยมากที่จะมีผู้ใดปรารถนาจะหลบ หน้าโดยคิดว่า การเช่นนั้นจะเป็นความลับตราบเท่าที่ไม่มีวะฮีย์ลงมาในเรื่องของเขา และปรากฏว่า สงครามนี้เกิดขึ้นขณะที่ผลไม้กำลังสุกได้ที่ และขณะที่ร่มเงาให้ความสดชื่น และข้าพเจ้าก็มีใจ โนมเอียงไปข้างมัน[373] ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  และบรรดามุสลิมก็ได้เตรียมพร้อม และ ข้าพเจ้าได้ใปเตรียมตัวร่วมกับพวกเขาข้าพเจ้ากลับไป และไม่ได้จัดการใดๆ เลย ข้าพเจ้าได้ รำพึงกับตัวเองว่า ข้าพเจ้าสามารถทำเช่นนั้นได้ ถ้าต้องการ และการเช่นนั้นคงเหนี่ยวรั้งข้าพเจ้าไว้ จนความพยายามในการเดินทางของประชาชนยังคงเป็นไปอย่างต่อเนี่อง เมื่อรุ่งเช้าท่านนบี ซ.ล.  พร้อมด้วยมวลมุสลิมก็ได้ออกเดินทาง ส่วนข้าพเจ้ายังไม่ได้จัดการใดๆ กับอุปกรณ์ของข้าพเจ้าเลย สักอย่าง ต่อมาข้าพเจ้าได้เดินทางกลับ และไม่ได้จัดการใดๆเลย และการเช่นนั้นก็ยังคงเหนี่ยวรั้ง ข้าพเจ้าไว้จนประชาชนได้รีบเร่งทันไป และเหล่านักรบได้ล่วงหน้าไป ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะออก เดินทาง และตามไปทันพวกเขา และหทังว่าข้าพเจ้าจะได้กระทำ แต่การเช่นนั้นก็ไม่ถูกกำหนดไว้ ให้ข้าพเจ้า ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าได้ออกไปอยู่ร่วมกับประชาชน หลังจากท่านนบี ซ.ล.  ได้ออกไปแล้ว มันทำให้ ข้าพเจ้าเสียใจที่ข้าพเจ้าไม่พบว่าข้าพเจ้าเป็นแบบฉบับที่ดี นอกจากเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกเข้าใจผิดว่า เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก หรือเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่อัลเลาะห์รับข้อแก้ตัวว่าเป็นคนหนึ่ง จาก บรรดาผู้ที่อ่อนแอท่านนบี ซ.ล.  ไม่ได้นึกถึงข้าพเจ้าจนท่านถึงตะบุก ท่านได้กล่าวขณะที่ท่าน กำลังนั่งอยู่ในแวดวงของพวกพ้องว่า “กะอับ บิน  มาลิก ทำอะไรอยู่หรือ” ชายคนหนึ่งจาก ตระภูลชะลิมะห์ ได้กล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ความร่มเย็นในเวลาเช้าและเวลาเย็นตลอดจน การพิจารณาดูมันทั้งสองช่วงได้หน่วงเหนี่ยวเขาไว้ มุอาช บิน  ยะบั้ลได้กล่าวแก่เขาว่าเลว ที่สุดคือสิ่งที่ท่านได้พูดออกไป สาบานต่ออัลเลาะห์ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  เราไม่เคยทราบสิ่งใด จากเขานอกจากการดี ท่านนบี ซ.ล.  นิ่งเงียบ ขณะที่ท่านกำลังอยู่ในอาการอย่างนั้น ท่านได้ เห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าสีขาว ที่กลืนไปกับเปลวแดดท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า จงเป็นอะบู คอยซะมะห์เถิด และบังเอิญเขาก็คืออะบูคอยซะมะห์ อัลอันชอรีย์ ผู้ซึ่งได้บริจาค ทานด้วยอินทผลัมหนึ่ง ซออุ ขณะที่พวกหน้าไหว้หลังหลอกได้ประณามเขา ต่อมาเมื่อข้าพเจ้า ทราบข่าวว่าท่านนบี ซ.ล.  ได้มุ่งหน้าเดินทางกลับมาจาก ตะบุก ความเศร้าได้เข้าครอบงำข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้เริ่มคิดถึงการโกหก ข้าพเจ้ารำพึงว่า จะออกจากความโกรธกริ้วของท่านนบีได้ ด้วยสิ่งใดในวันพรุ่งนี้ และข้าพเจ้าจะต้องขอความช่วยเหลือจากทุกคนบีมความคิดเห็นที่ดีของ บุคคลในครอบครัวข้าพเจ้าในเรื่องนี่ เมื่อมีผู้กล่าวแก่ข้าพเจ้าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้มุ่งหน้าใกล้เข้ามาแล้ว พลันความเหลวไหลได้สลายไปจากข้าพเจ้า จนข้าพเจ้าทราบแน่ว่า ตัวเองจะไม่หลุดพ้นไปจากท่านได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด ๆ ดังนั้นข้าพเจ้า จึงตัดสินใจว่าจะต้อง พูดความจริงกับท่าน เมื่อรุ่งเช้าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ก็ได้เข้ามาถึง และเป็นปกติ เมื่อ ท่านกลับจากเดินทาง ท่านจะต้องเริ่มต้นที่มัสญิด ละหมาดสองเราะกะอัตในมัสญิดหลังจากนั้น ท่านจะนั่งลงเพื่อให้ประชาชนเข้าพบ ต่อมาบรรดาผู้ที่ไม่ได้ออกไปในสงครามก็ได้มา และ เริ่มอ้างข้อแก้ตัวกับท่าน และสาบานกับท่าน พวกเขามีมากกว่าแปดสิบคน ท่านนบี ซ.ล.  ได้ รับตามที่พวกนั้นเปิดเผย ท่านได้ให้สัตยาบัน และขออภัยโทษให้แก่พวกเขาและได้มอบหมาย ความลับของพวกเขาให้แก่อัลเลาะห์ จนกระทั่งข้าพเจ้าได้มา เมื่อข้าพเจ้าให้สลาม ท่านยิ้มเหมือน การยิ้มของคนที่มีความโกรธ จากนั้นท่านได้กล่าวว่าเข้ามานี่ ข้าพเจ้าได้เดินเข้าไปจนนั่งลง ตรงหน้าท่าน และท่านได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่าอะไรทำให้ท่านไม่ได้ออกไปทำสงคราม ท่าน ไม่ได้ซื้อสัตว์พาหนะของท่านไว้แล้วหรือ ข้าพเจ้าตอบว่าโอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ ความจริง ข้าพเจ้าขอสาบานต่อัลเลาะห์ว่า ถ้าหากข้าพเจ้านั่งอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ท่าน จากชาวโลกนี่ ข้าพเจ้า [374] ก็เห็นว่าจะสามารถออกพ้นจากความโกรธเคืองของเขาได้ด้วยข้อแก้ตัว และความจริงข้าพเจ้าก็ มีความสามารถในด้านการโต้ตอบคารม แต่ข้าพเจ้าขอสาบานต่อัลเลาะห์ว่า ความจริงข้าพเจ้า ทราบดีว่าถ้าหากพูดโกหกกับท่านในวันนี้ ท่านก็คงพอใจตัวข้าพเจ้าด้วยการโกหกนั้น เป็นที่ แน่นอนว่าในไม่ช้าอัลเลาะห์ก็จะทำให้ท่านโกรธข้าพเจ้า และถ้าหากข้าพเจ้าพูดจริงกับท่านท่าน ก็จะต้องโกรธเคืองข้าพเจ้า เพราะคำพูดที่สัจจะนั้น ความจริงข้าพเจ้ามุ่งหวังวาระสุดท้ายที อัลเลาะห์จะตอบแทนให้ในคำพูดที่สัจจะนั้น สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้าไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ และไม่มีใครทีแข็งแรงและรํ่ารวยยิ่งกว่าข้าพเจ้าเลย ขณะที่ข้าพเจ้าไม่ได้ออกไปทำสงครามกับ ท่าน ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวว่าสำหรับชายผู้นี้พูดจริง ดังนั้น จงลุกขึ้นเกิดจนกว่า อัลเลาะห์จะตัดสินในเรื่องของท่าน ข้าพเจ้าจึงได้ลุกขึ้น และได้มีพวกผู้ชายหลายคนจากตระถูล ซะลิมะห์ ได้ลุกหือขึ้นตามข้าพเจ้า แล้วพวกเขาได้กล่าวว่าสาบานต่ออัลเลาะห์พวกเราไม่เคยรู้ว่า ท่านได้ทำบาปก่อนหน้านี้ ความจริงท่านอ่อนแอที่ท่านไม่แก้ตัวกับท่านนบี ซ.ล.  ตามที่บรรดาผู้ ไม่ได้ออกไปทำสงคราม ได้แก่ตัวกับท่านนบี ความจริงพอแล้วแก่บาปของท่าน คือ การที่ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  จะวิงวอนขออภัยโทษให้แก่ท่าน ผู้เล่า (กะอับ) ได้กล่าวว่าสาบาน ต่ออัลเลาะห์ว่า พวกเขายังคงประณามข้าพเจ้าอย่างรุนแรง จนข้าพเจ้าคิดจะกลับไปหาท่านนบี ซ.ล.  อีก (เพื่อกลับคำของตัวเอง) แล้วกล่าวว่า (ที่ข้าพเจ้าได้พูดไปแล้วนั้น) ข้าพเจ้าพูดเท็จ ต่อมาภายหลังข้าพเจ้าได้ถามพวกเขาว่ามีใครอีกบ้างไหมที่ได้พบกับเหตุการณ์เช่นนี้ร่วมกับ ข้าพเจ้า พวกเขาตอบว่ามีชายอีกสองคนได้พบกับเหตุการณ์นี้ร่วมกับท่าน ทั้งสองคนได้

กล่าวเหมือนที่ท่านกล่าว และทั้งสองคนก็ได้รับคำตอบเหมือนที่ท่านได้รับ ข้าพเจ้าถามว่า เขาทั้งสองคือใคร พวกเขาตอบว่า คือ มะรอเราะห์ บิน  อัรรอบิอะห์ อัลอามิรีย์ และ ฮิลาล บิน  อุมัยยะห์ อัลวากิหีเย์ พวกเขาได้เล่าให้ข้าพเจ้าพ้ฟังว่า ชายสองคนนัน เป็นคนดีที่ได้ออก ร่วมทำสงครามที่บัดร์ ในบุคคลทั้งสองนั้น เป็นแบบฉบับที่ดีงาม ต่อมาข้าพเจ้าได้ดำเนินการ ในขณะที่พวกเขาได้กล่าวถึงชายทั้งสองให้ข้าพเจ้าฟัง และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ก็ได้ห้าม บรรดามุสลิม พูดกับพวกเราทั้งสามคน โดยไม่เกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ไม่ได้ออกศึกพร้อมกับท่าน ประชาชนได้เหินห่างจากพวกเรา และได้เปลี่ยนแปลงไปจากที่พวกเราคุ้นเคย และพื้นแผ่นดิน ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในใจของข้าพเจ้า มันไม่ใช่เป็นแผ่นดินที่ข้าพเจ้าเคยรู้จัก พวกเราได้ อยู่ในสภาพเช่นนั้นเป็นเวลาห้าสิบคืน (วัน) ส่วนเพื่อนทั้งสองของข้าพเจ้านั้น ยอมจำนน เขาทั้ง สองอยู่แต่เพียงภายในบ้านร้องไห้ สำหรับข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่มที่สุด และเข้มแข็ง ข้าพเจ้าได้ ออกไปปรากฏตัวร่วมละหมาด และตระเวนไปตามตลาดต่างๆ โดยไม่มีใครพูดกับข้าพเจ้าสัก คนเดียว และข้าพเจ้าได้มาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ข้าพเจ้าได้กล่าวสลามแก่ท่าน ขณะที ท่านกำลังอยู่ในที่ประชุมภายหลังการละหมาด ข้าพเจ้ารำพึงกับตัวเองว่า ท่านได้ขยับริมฝีเปาก ตอบสลามหรือไม่ หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ละหมาดอยู่ใกล้ๆ กับท่าน และได้ลอบมองท่าน และ เมื่อข้าพเจ้าเพ่งอยู่กับการละหมาดของข้าพเจ้า ท่านได้เหลือบตามองข้าพเจ้า และเมื่อข้าพเจ้าหันมองไปทีท่าน ท่านก็เบือนหนีข้าพเจ้า จนเมื่อเหตุการณ์เช่นนั้นล่วงไปนานด้วยการที่บรรดา มุสลิมเหินห่าง (ข้าพเจ้า) ข้าพเจ้าจึงได้ออกเดินไปเรื่อยจนขึ้นกำแพงของอะบีกอตาดะห์ ซึ่ง เป็นบุตร ลุงของข้าพเจ้า และเป็นคนที่ข้าพเจ้ารักที่สุด ข้าพเจ้าได้สลามแก่เขา ขอสาบานต่อ อัลเลาะหิ์ว่าเขาไม่ได้ตอบสลามข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้กล่าวแก่เขาว่า       โอ้ อะบากอตาดะห์ข้าพเจ้าขอถามท่านด้วยพระองค์อัลเลาะหิ์ว่า ท่านทราบไหมว่า ข้าพเจ้ารักอัลเลาะห์และศาสนทูต ของพระองค์ เขานิ่ง ข้าพเจ้าได้ถามซ้ำอีก เขาก็นิ่งไม่ตอบ ข้าพเจ้าจึงได้ถามข้าอีกครั้งหนึ่ง

เขาจึงกล่าวว่า อัลเลาะห์ และ ศาสนทูตของพระองค์ทรงทราบดี ตาทั้งสองข้างของข้าพเจ้าเจิ่งนอง ด้วยนํ้าตา และข้าพเจ้าได้หันกลับวนขึ้นไปเดินอยู่บนกำแพง ต่อมาในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดิน อยู่ในตลาดของนครมะดินะห์ ได้มีชาวนาคนหนึ่งจากกลุ่มชาวนาของชาม จากบรรดาผู้ที่ได้นำ อาหารมาขายในนครฺมะดินะห์ เขากล่าวว่าใครบ้างจะชี้ทางไปหากะอับ บิน มาลิก ประชาชนจึง ได้ชี้ให้เขามาหาข้าพเจ้า จนได้มาถึงข้าพเจ้า เขาได้ยื่นสาส์นฉบับหนึ่งมาจากเจ้าเมืองฆอชชาน และโดยที่ข้าพเจ้าเคยเป็นคนจดบันทึก ข้าพเจ้าจึงอ่านสาสน์ฉบับนั้น ซึ่งมีข้อความดังนี้ “อนึ่ง เราได้รับทราบข่าวว่า เพื่อนของท่านได้กระทำการหยาบคายกับท่าน[375] อัลเลาะห์จะไม่บันดาลให้ ท่าน อยู่ในที่ๆ ตกต่ำและอึดอัด จงมาอยู่กับเราเถิด เราจะอุปถัมภ์ท่าน” ข้าพเจ้าได้รำพึงขณะที่ ได้อ่านสาสน์ฉบับนี้ว่าและนี่ก็เป็นการทดลองด้วยเช่นกัน ต่อมาข้าพเจ้าได้นำมันไปยังเตาอบ ขนมบังและได้เผามันทั้งไป จนเมื่อเวลาได้ผ่านไปสีสิบวัน จากจำนวนห้าสิบวัน และวะฮีย์ ได้ล่าช้าออกไป โดยไม่คาดฝัน ตัวแทนของท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ซ.ล.  ได้มาหาข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  บัญชาให้ท่านแยกกับภรรยาของท่าน ข้าพเจ้าได้ถามว่าข้าพเจ้าจะ ต้องหย่าหรือกระทำประการใด เขาตอบว่าไม่ต้องหย่า แต่ให้ท่านจงแยกกับหล่อน ดังนั้น

ท่านอย่าเข้าใกล้หล่อนเป็นอันขาด และท่านรอซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ก็ได้ส่งตัวแทนไปยังเพื่อน ทั้งสองของข้าพเจ้าด้วยเรื่องเดียวกันนี้ ต่อมาข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ภรรยาของข้าพเจ้าว่าจงกลับ ไปอยู่กับครอบครัวของเธอเถิด และเธอจงอยู่กับพวกเขา จนกว่า อัลเลาะห์จะจัดการในเรื่องนี้ ผู้เล่า (กะอับ) ได้กล่าวว่าต่อมาภรรยาของ ฮิลาล บิน  อุมัยยะห์ ได้มาหาท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ซ.ล.  แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์ แท้จริงสิลาลเป็นชายชราที่ยากไร้ ไม่มีคนรับใช้ ท่านรังเกียจไหมที่ข้าพเจ้าจะคอยรับใช้เขา ท่านตอบว่าไม่ แต่เขาจะต้องไม่เข้าใกล้เธอ หล่อน ได้กล่าวว่าสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ความจริงเขาไม่สามารถเคลื่อนไหว เพื่อกระทำสิ่งใดได้ และสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า เขายังคงร้องไห้นับตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงขณะนี้ ได้มีบางคนในครอบครัว ของข้าพเจ้ากล่าวแก่ข้าพเจ้าถ้าหากท่าน จะขออนุญาตท่านรอซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ในเรื่องภรรยา ของท่านบ้าง เพราะความจริงท่านได้อนุญาตแก่ภรรยาของฮิลาล บิน  อุมัยยะห์ ให้ได้รับใช้เขา ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ขออนุญาต ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ในเรื่องของภรรยา ข้าพเจ้า และไม่มีสิ่งใดบอกให้ข้าพเจ้ารู้ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  จะพูดอย่างไร เมื่อข้าพเจ้า ขออนุญาตในเรื่องของหล่อน ทั้งที่ข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่ม เขา (กะอับ) ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ อยู่อย่างนั้นเป็นเวลาสิบวันจนครบห้าสิบวัน นับตั้งแต่การพูดกับพวกเราได้ถูกห้ามมา หลังจากนั้น ข้าพเจ้าได้ละหมาดฟัจร์ ในเช้าของวันที่ห้าสิบบนหลังคาบ้านหนึ่งจากบรรดาบ้านของเรา ขณะ ทีข้าพเจ้ากำลังนังอยู่ตามสภาพทีอัลเลาะห์ได้กล่าวถึงพวกเรา ความจริงหัวใจของข้าพเจ้ารู้สึก อึดอัด และพื้นแผ่นดินก็คับแคบทั้งที่กว้างขวาง ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคนร้องตะโกนที่เขาได้ขึ้น ไปบนภูเขา ซัลอุ เขาประกาศด้วยเสียงอันดังว่า โอ้ กะอับ บิน  มาลิก จงรับแจ้งข่าวดีเถิด ข้าพเจ้าได้ทรุดตัวลงสุหยุด และข้าพเจ้าก็รู้ว่าความพันภัยได้มาแล้ว ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้แจ้งให้ประชาชนได้ทราบว่า อัลเลาะห์ได้-รับการสารภาพผิด (เตาบะห์) ของพวกเรา แล้ว ขณะที่ท่านได้ละหมาดพัจร์ ประชาชนได้พากันไปแจ้งข่าวดีแก่พวกเรา และบรรดาผู้แจ้ง ข่าวดีก็ได้ไปยังเพื่อนทั้งสองของข้าพเจ้า มีชายคนหนึ่งควบม้ามายังข้าพเจ้า และมีอีกคนหนึ่ง จากเผ่าอัสลัม ได้พยายามมาหาข้าพเจ้า เขาได้ปีนภูเขา และปรากฎว่าเสียงของเขาเร็วกว่าม้า ต่อมาเมื่อคนที่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงของเขา ที่แจ้งข่าวดีแก่ข้าพเจ้าได้มาถึง ข้าพเจ้าจึงได้ถอดผ้า สองผืนของข้าพเจ้าออกสวมให้แก่เขา แลกเปลี่ยนกับข่าวดีของเขา สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้า ไม่มีสิ่งใดเลย ในวันนั้นนอกจากผ้าสองผืนนี้เท่านั้น และข้าพเจ้าได้ขอยืมผ้าสองผืนนั้นมาสวม และออกไปตั้งใจไปหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ประชาชนได้พบกับข้าพเจ้าพวกแล้วพวกเล่า อวยพรให้ข้าพเจ้าที่อัลเลาะห์ทรงรับเตาบะห์ และพวกเขากล่าวว่าการที่อัลเลาะห์รับเตาบะห์ของ ท่านจะต้องทำให้ท่านมีความสุข จนข้าพเจ้าได้เข้าไปในมัสญิด บังเอิญท่านนบี ซ.ล.  นั่งอยู่ใน มัสญิดโดยมีประชาชนห้อมล้อมอยู่รอบตัวท่าน ตอลฮะห์ บิน  อุบ้ยดิ้ลลาห์ ได้ลุกเนอย่างรวดเร็ว จนได้สัมผัสมือกับข้าพเจ้า และได้อวยพรให้ข้าพเจ้า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า พวกมุฮาญิรีนไม่มี ผู้ใดลุกขึ้นนอกจากเขาเท่านั้น และข้าพเจ้าไม่เคยลืมการกระทำต่างๆ ของตอลฮะห์เลย เมื่อ ข้าพเจ้าได้สลามท่านนบี ซ.ล.  ในสภาพที่ใบหน้าของท่านแจ่มใส ท่านได้กล่าวว่าจงรับข่าวดีเถิด ด้วยวันดีที่สุดที่ได้ผ่านพันท่านไป นับตั้งแต่มารดาของท่านได้คลอดท่านมา ข้าพเจ้าได้กล่าวว่ามันมาจากท่าน โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ หรือมันมาจากอัลเลาะห์ ท่านตอบว่าเปล่า แต่มัน มาจากอัลเลาะห์ และตามปกติท่านนบี ซ.ล. นั้นเมื่อท่านดีใจใบหน้าของท่านจะเปล่งปลั่ง คล้าย กับใบหน้าของท่านเป็นส่วนหนึ่งของดวงจันทร์โดยพวกเราเคยรู้มาอย่างนั้น และเมื่อข้าพเจ้า นั่งอยู่ตรงหน้าท่านแล้ว ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  แท้จริงส่วนหนึ่ง จากการ เตาบะห์ของข้าพเจ้าก็คือ ข้าพเจ้าจะปลดเปลื้องทรัพย์สมบัติของข้าพเจ้าออกเป็นทาน (ซอดาเกาะห์) เพื่ออัลเลาะห์และศาสนภูตของพระองค์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า จงเก็บทรัพย์ของ ท่านไว้บ้าง มันจะเป็นการดีแก่ท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าความจริงข้าพเจ้าเก็บเอาส่วนของข้าพเจ้า ทีคอยบัรไว้ และข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ความจริงอัลเลาะห์ได้ให้ข้าพเจ้า พ้นภัย ด้วยความสัจจะ และความจริงส่วนหนึ่งจากการเตาบะห์ของข้าพเจ้าคือการที่ข้าพเจ้าจะ ไม่พูด นอกจากความจริงเท่านั้น ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ามีช่วิตอยู่ สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้า ไม่ทราบว่า มีใครบ้างจากบรรดามุสลิมที่อัลเลาะห์ตะอาลา ได้ทรงทดลองเขาในเรื่องพูดความจริง นับตั้งแต่ข้าพเจ้าได้กล่าวเช่นนั้นแก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  จนถึงวันนี้ที่จะดียิงกว่า สิ่งที่อัลเลาะห์ ได้ทรงทดลองข้าพเจ้า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้าไม่เคยคิดโกหกใดๆ เลยนับตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ กล่าวเช่นนั้นกับท่าน-เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  จนถึงวันนี้ และความจริงข้าพเจ้าหวังไว้ว่าอัลเลาะห์ จะทรงคุ้มครองข้าพเจ้าตลอดอายุที่เหลือของข้าพเจ้า เขาได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และ เกรียงไกรได้ลงมาว่า “แน่แท้อัลเลาะห์ได้รับการสารภาพผิดของนบี ของบรรดาผู้อพยพ (มุฮาญิรีน) และบรรดาผู้ให้การช่วยเหลือ (อันซอร) ซึ่งติดตามเขาในยามยากลำบากภายหลัง จากหัวใจของคนกลุ่มหนึงจากพวกเขาทดท้อ หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้รับการสารภาพผิดของ พวกเขา แท้จริงพระองค์ทรงเมตตาปราณียิ่ง[376] และทรงรับสารภาพผิดแก่คนสามคนที่ไม่ได้ ออกทำสงคราม[377] จนแผ่นดินได้อับแคบแก่พวกเขาทั้งที่มันกว้างขวาง และจิตใจของพวกเขา ก็อึดอัด และพวกเขาทั้งสามคิดว่าไม่มีที่พึ่งพิงที่จะหลบพ้นไปจากอัลเลาะห์นอกจากต้องพึ่งพิง ต่ออัลเลาะห์เท่านั้น ครั้นต่อมาพระองค์ได้รับการสารภาพผิดของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้ ทำการสารภาพผิด แท้จริงพระองค์อัลเลาะห์เป็นผู้ทรงรับสารภาพผิดยิ่งทรงเมตตายิ่ง โอ้บรรดา ผู้ที่มีศรัทธาทั้งหลาย พวกท่านจงยำเกรงต่ออัลเลาะห์และพวกท่านจงอยู่ร่วมกับบรรดาผู้มีสัจจะ เกิด”[378] กะอับ ได้กล่าวว่าสาบานต่ออัลเลาะห์ว่าอัลเลาะห์ไม่เคยประทานความโปรดปราน ใดๆ แก่ข้าพเจ้าเลย นับตั้งแต่ได้นำข้าพเจ้าส่อิสลาม จะยิ่งใหญ่ในจิตใจของข้าพเจ้า ยิ่งกว่า ทีข้าพเจ้าได้พูดความจริงกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  นั่นคือการที่ข้าพเจ้าไม่ได้โกหกท่าน อัน จะเป็นผลให้ข้าพเจ้าพินาศเหมือนกับบรรดาผู้โกหกที่ต้องพบกับความพินาศแท้จริงอัลเลาะห์ ได้ประทานวะฮีย์ลงมาในกลุ่มชนที่โกหก ด้วยคำพูดที่ร้ายแรงที่สุด เท่าที่พระองค์ได้กล่าวแก่ ผู้ใด โดยพระองค์ได้กล่าวว่า“ต่อไปพวกเขาจะสาบานต่ออัลเลาะห์แก่พวกท่าน ขณะเมื่อพวกท่าน กลับมายังพวกเขา เพื่อพวกท่านจะได้หันเหจากพวกเขา ดังนั้น พวกท่านจงหันเหจากพวกเขา เถิดเพราะแท้จริงพวกเขาเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน และที่พำนักของพวกเขาคือ ญะฮันนัม เป็นผลตอบแทน ตามสิ่งที่พวกเขาได้พากเพียรไว้ พวกเขาจะสาบานแก่พวกท่าน เพื่อให้พวกท่าน พอใจพวกเขา ดังนั้น ถ้าหากพวกท่านพอใจพวกเขา แท้จริงอัลเลาะห์จะไม่ทรงพอใจพวกที่

ละเมด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และในบางรายงานว่า ประชาชนได้ปลีกตัวโดยไม่ยอมพูดกับพวกเรา และข้าพเจ้าก็ได้ อยู่ในสภาพเช่นนั้น จนเรื่องนี้ได้ประสพกับข้าพเจ้าเป็นเวลานาน โดยไม่มีสิ่งใดสำคัญแก่ข้าพเจ้า ยิ่งไปกว่าการที่ข้าพเจ้าจะตายไป โดยท่านนบี ซ.ล.  จะไม่ละหมาดให้ข้าพเจ้า หรือท่านนบี ซ.ล.  ตายไป โดยข้าพเจ้าเป็นคนที่อยู่ในดำแหน่งอย่างนั้น ไม่มีใครจากพวกเขาสักคนเดียวที่ พูดกับข้าพเจ้า และไมมีใครสักคนบีจะขอดุอาให้ข้าพเจ้า ต่อมาอัลเลาะห์ไดัประทานเรื่องการ เตาบะห์ของพวกเราลงมายังนบีของพระองค์ ซ.ล.  ในขณะทีมีเวลาเหลืออยู่เศษหนึ่งส่วนสาม สุดท้ายของกลางคืน (ประมาณตีสอง) ขณะที่ท่านนบีอยู่กับอุมม์ซะละมะห์ ซึ่งหล่อนมองเรื่อง ของข้าพเจ้าไปในทางที่ดี และให้ความสำคัญกับเรื่องของข้าพเจ้า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า โอ้อุมม์ซะละมะห์ กะอับ ถูกรบการเตาบะห์แล้ว อุมม์ซะละมะห์ ได้กล่าวว่า

ข้าพเจ้าจะไม่ส่งคนไปหาเขาหรือเพื่อข้าพเจ้าจะแจ้งข่าวดีแก่เขา ท่านนบีได้กล่าวว่าดังนั้น ประชาชนจะมารบกวนพวกท่าน พวกเขาจะทำให้พวกท่านไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน จนเมื่อท่าน นบี ซ.ล.  ได้ละหมาดฟัจร์ ท่านได้แจ้งให้ทราบว่า อัลเลาะห์ใด้รับการเตาบะห์ของพวกเราแล้ว และปรากฏว่าเมื่อท่านได้รับข่าวดีใบหน้าของท่านจะเปล่งคล้ายเป็นส่วนหนึ่งของดวงจันทร์

ซูเราะห์ ยูนุส

ในนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผูทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก ซุฮัยบ์  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ในคำดำรัสของ อัลเลาะห์ตะอาลาว่า สำหรับ บรรดาผู้ที่ประพฤติดีทั้งหลายได้รับความดี และความเพิ่มพูน ท่านนบีได้กล่าวว่าเมื่อ ชาวสวรรค์ได้เข้าสวรรค์ จะมีผู้ประกาศ ประกาศว่าแท้จริงพวกท่านทั้งหลายนั้นจะได้รับสัญญา หนึ่งที่อยู่ ณ พระองค์อัลเลาะห์ซึ่งพระองค์ปรารถนาดำเนินการตามสัญญากับพวกท่านให้ลุล่วงไป พวกเขากล่าวว่าพระองค์ท่านไม่ได้ทรงให้ใบหน้าของพวกเราขาวหรือ พระองค์ท่านไม่ได้ ให้พวกเราพ้นจากไฟนรกหรือ และพระองค์ท่านไม่ได้ให้พวกเราเข้าสวรรค์หรือท่านนบีได้ กล่าวว่า และพระองค์ก็จะเปิดเครื่องกั้นนั้น สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า อัลเลาะห์ไม่ได้ให้สิ่งใดแก่พวกเขาที่พวกเขาจะมีความต้องการยิ่งกว่าการที่ได้เห็นพระองค์

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ติรมิซี ในเรื่องการศรัทธา

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “พึงทราบเกิดว่า บรรดาคนรักของ อัลเลาะห์นั้นจะไม่มี ความกลัวเกิดขึ้นกับพวกเขา และพวกเขาจะไม่รู้สึกเศร้าโศก พวกเขาเหล่านั้นเป็นพวกที่มี ศรัทธาและพวกเขามีความยำเกรง พวกเขาจะได้ข่าวดีทั้งในชิวิตทางโลกนี้ และในโลกหน้า ย่อม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสำหรับสัญญาต่าง ๆ ของอัลเลาะห์ นั่นคือรางวัลอันยิ่งใหญ่” ผู้ชาย คนหนึ่งจากชาว มิสร์ ได้กล่าวขึ้นว่าข้าพเจ้าได้ถาม อะบา อัดอัรดาอุ ถึงอายะห์นี้ที่ว่า “พวกเขา จะได้รับข่าวดีทั้งในชิวิตทางโลกนี้ และโลกหน้า” เขากล่าวว่าไม่เคยมีใครถามข้าพเจ้าเกี่ยวกับ อายะห์นี้ นับตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  เกี่ยวกับมัน ท่านได้ตอบว่าไม่เคยมี ใครถามข้าพเจ้าเกี่ยวกับมันนอกจากท่านนับตั้งแต่มันได้ถูกประทานลงมา มันคือฝันดีที่มุสลิม จะฝันเห็นหรือถูกฝันเพื่อเขา[379]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และฮากีมถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าเมื่ออัลเลาะห์ไดีให้หิเรเอาน์ จมนี้า หิเรเอาน์ ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าศรัทธาแล้วว่าไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจากผู้ซึ่งชาวอิสราอีล ศรัทธา ญิบรีลไดักล่าวว่า โอ้มุฮัมมัด อยากให้ท่านเห็นข้าพเจ้าขณะที่ข้าพเจ้าเอาเลนในท้องทะเล และอุดมันเข้าไปในปากของเขา เพราะกลัวว่าความเมตตาจะประสพกับเขา[380]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

ซูเราะห์ ฮูด

ในนามของอัลลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า พึงทราบเกิดแท้จริงพวกเขาจะค้อมอกของพวกเขา เพื่อ ช่อนเร้นจากพระองค์ พึงทราบเกิดแมัขณะที่พวกเขาห่มเสื้อผ้าของเขาอย่างมิดชิดก็ตาม พระองค์ ทรงทราบสิ่งที่พวกเขาช่อนเร้นและเปิดเผย แท้จริงพระองค์ทรงรู้ยิง สิ่งที่อยู่ในหัวอกทั้งหลาย”[381]

อิบนุอับบาส ร.ฎ. ถูกถามถึงอายะห์นี้ เขาได้ตอบว่า หมายถึงชนกลุ่มหนึ่งที่พวกเขา มีความละอายที่จะปลดเปลื้องทุกข์ โดยเปิดอวัยวะที่ต้องสงวนขึ้นฟ้า และมีความละอายที่จะ สมสู่กับภรรยาของพวกเขาโดยเปิดอวัยวะที่ต้องสงวนขึ้นฟ้า[382] ดังนั้นอายะห์นี้จึงลงมา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า  “และพระองค์เป็นผู้สร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินในหกวัน

และปรากฏว่า อัรช์ (บัลลังก์) ของพระองค์อยู่เหนือนํ้า เพื่อทดสอบพวกท่านว่า มีใครบ้าง ที่ดีที่สุดด้านผลงาน”401

เล่าจาก อะบีรอชิน ร.ฎ. ว่าข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  พระผู้อภิบาล ของเราอยู่ที่ไหนก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นมา ท่านตอบว่า พระองค์อยู่ ที่เมฆทึบ ไม่มือากาศอยู่เบื้องล่างพระองค์ และไม่มือากาศอยู่เบื้องบนพระองค์ และพระองค์ ได้สร้าง อัรช์ (บัลลังก์) ของพระองค์อยู่เหนือนํ้า 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

อิบนุ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า ผู้มีศรัทธาจะ อยู่ใกล้กับพระผู้อภิบาลของเขาจนพระองค์มอบความสงเคราะห์แก่เขา และพระองค์จะยํ้ากับ เขาด้วยบาปต่างๆ ของเขาว่า เจ้ารู้จักบาปนั้นไหม  เขาจะตอบว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาล ข้าพเจ้ารู้จัก (เขาจะกล่าว) สองครั้ง แล้วพระองค์จะกล่าวว่า เราได้ปกปิดมันไว้ในโลกดุนยา และ เราจะอภัยมันแก่เจ้าในวันนี้ หลังจากนั้น แผ่นบันทึกความดีก็จะถูกมอบให้แก่เขา[383] ส่วนคน อื่นๆ หรือบรรดาผู้ไร้ศรัทธา จะถูกประกาศอยู่เหนือหัวของบรรดาผู้เป็นพยานว่า พวกเหล่านี้ คือพวกที่ป้ายสีพระผู้อภิบาลของพวกเขาเอง พึงทราบเถิดว่า การสาปแช่งของอัลลอฮ์ย่อม ต้องประสพกับบรรดาผู้ทุจริต 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอะบีมูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริง พระองค์อัลเลาะห์ จะทรงเพิกเฉยต่อผู้ทุจริต[384] จนเมื่อพระองคํจัดการลงโทษเขา พระองค์จะไม่ให้เขาหนีรอด ไปได้ หลังจากนี้ท่านได้อ่าน “เช่นนั้นแหละคือการจัดการลงโทษของพระผู้อภิบาลของท่าน. เมื่อพระองค์ได้จัดการลงโทษ เมืองต่างๆ โดยที่ชาวเมืองนั้นทุจริต แท้จริงการจัดการลงโทษ ของพระองค์นั้น เจ็บปวดรุนแรง”[385]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า “ขอพระองค์อัลเลาะห์ โปรดเมตตานบีลูฏ แท้จริงเขาเคยพึ่งพิงกับหลักอันมั่นคง และถ้าหากข้าพเจ้าอยู่ในห้องขัง เท่ากับ ที่ยูชุพ อยู่แล้วข้าพเจ้าจะต้องตอบสนองผู้ที่เชื้อเชิญ”[386]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอิบนิ มัสอูด ร.ฎ. ว่า แท้จริงมีผู้ชายคนหนื่งได้จูบผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วได้มาหา ท่านนบี ซ.ล.  ได้เล่าเรื่องดังกล่าวนั้นให้ท่านฟัง จึงได้ถูกประทานลงมายังท่านว่า “และท่าน จงดำรงละหมาดในช่วงต้น และช่วงปลายของเวลากลางวัน และในช่วงแรกๆ ของเวลากลางคืน แท้จริงความดีต่าง  ย่อมจะขจัดสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ นั่นเป็นข้อควรระลึกถีงสำหรับบรรดาผู้ที่ ระลึกทั้งหลาย”[387] ชายคนนั้นกล่าวว่า อายะห์นี้สำหรับข้าพเจ้าหรือ ท่านตอบว่า สำหรับ บุคคลที่ได้ปฏิบัติตามอายะห์นี้จากประชากรของข้าพเจ้า

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบิ้ลยะซัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาข้าพเจ้าเพื่อขอซื้ออินทผลัม แห้ง ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่หล่อนว่า ความจริงในบ้านมีอินทผลัมดีกว่านี่ หล่อนจึงได้เข้าบ้าน พร้อมกันกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้เอนไปหาหล่อนและได้จูบหล่อน ข้าพเจ้าได้ถามอะบูบักร์ เขาตอบว่าจงปิดบังมันไจ้เป็นความลับเหนือด้วของท่านเอง อย่าบอกผู้ใด และจงสารภาพ ผิดต่ออัลเลาะห์ แต่ข้าพเจ้าอดทนไม่ได้ จึงได้ไปถามท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ท่านได้กล่าวว่าท่านได้ตอบแทนนักรบในวิถีทางของอัลเลาะห์ในครอบครัวของเขา ด้วยเสมือนสิ่งนี้ หรือจนเขาคิดว่าไม่น่าจะได้เข้านับถือศาสนาอิสลาม เว้นแต่ในบัดนั้น[388] จนเขาคิดว่าตัวเองเป็นชาวนรก และท่านนบีตกอยู่ในอาการครุ่นคิดเป็นเวลานาน ในที่สุดอัลเลาะห์ได้มีวะฮีย์มายังท่านว่า “ท่านจง ดำรงละหมาดในช่วงต้นและช่วงปลายของเวลากลางวัน และในช่วงแรก ของเวลากลางคืน”[389]จนจบอายะห์ ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้อ่านมันให้ข้าพเจ้าฟัง บรรดาอัครสาวกของท่าน ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  สำหรับชายคนนี้โดยเฉพาะหรือสำหรับผู้คนทั่วๆ ไป ท่าน ตอบว่าแต่สำหรับผู้คนโดยทั่วๆ ไป 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

ซูเราะห์ ยูชูฟ

ในนามของอัลลาะห์ ผู้ทรงเมตตาผู้ทรงกรุณายิ่ง

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ดังนั้นแหละ ที่พระผู้อภิบาลของท่านต้องการคัดเลือก ท่านและสั่งสอนท่านให้รู้จักการทำนายถ้อยคำต่างๆ และประสงค์ที่จะประทานความโปรดปราน ของพระองค์ให้แก่ท่านอย่างครบถ้วน และให้แก่วงศ์วานของ ยะอ์กูบ ดังที่พระองค์ได้เคยประทาน ความโปรดปรานอย่างครบล้วนมาแล้ว แก่สองบรรพบุรุษของท่านตั้งแต่ยุคก่อน คือ อิบรอฮีม และอิสหาก แท้จริงพระผู้อภิบาลของท่านทรงรอบรู้ยิ่งทรงเชี่ยวชาญยิ่ง”

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ที่ประเสริฐเป็นบุตร  ของผู้ที่ประเสริฐเป็นบุตร ของผู้ที่ประเสริฐ เป็นบุตร ของผู้ที่ประเสริฐ คือยูชุฟ บิน  ยะอฺกูบ บิน  อิสหาก บิน  อิบรอฮีม 

รายงานโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถูกถามว่า มนุษย์คนใดที่ มีเกียรติที่สุด ท่านตอบว่าคนที่มีเกียรติที่สุดของพวกเขา ณ พระองค์อัลเลาะห์ คือ ผู้ที่มี ความยำเกรงที่สุดของพวกเขา พวกเขากล่าวว่าพวกเราไม่ได้ถามท่านเรื่องนี้ ท่านได้กล่าวว่า มนุษย์ที่มีเกียรติที่สุดคือ ยูซุฟ นบี ของอัลเลาะห์ เขาเป็นบุตรนบีของอัลเลาะห์ที่เป็นบุตร  นบีของอัลเลาะห์ที่เป็นบุตร คนสนิทของอัลลอฮ์ พวกเขากล่าวว่าพวกเราไม่ได้ถามท่าน เรื่องนี้ ท่านกล่าวว่าจากตระกูลต่างๆ ของอาหรับหรือที่พวกท่านถามข้าพเจ้า พวกเขาตอบว่า ถูกต้องแล้วครับท่านได้ตอบว่าคนดีทีสุดของพวกท่านในสมัยญาฮิลียะห์ ก็คือคนที่ดีที่สุดของ ท่านในอิสลาม เมื่อพวกเขามีความเข้าใจศาสนา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และนางได้ใส่สลักประตูต่างๆ แล้วกล่าวว่า มาเถิดข้าฯ พร้อมจะเป็นของท่าน เขา(ยูชุฟ) ได้กล่าวว่า ขออัลเลาะห์ได้โปรดคุ้มครอง อิกริมะห์ ได้ กล่าวว่าคำว่า “ฮัยตะละกะ ในภาษา เฮารอนียะห์ มีความหมายว่า “มาเถิด” และอิบนุ ยุบัยร์ กล่าวว่ามีความหมายว่า “หันมาเถิด” 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี 

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “จากนั้นจะมีอีกเจ็ดปีที่แห้งแล้งมาถึง ภายหลังจากนั้นซึ่งมัน จะกินสิ่งที่ท่านเก็บไว้เพื่อมัน ยกเว้นเพียงเล็กน้อยจากที่พวกท่านเก็บไว้ (ทำพันธุ์)”

อับดุลเลาะห์ได้กล่าวว่าแท้จริง พวกกุเรชได้ล้าหลังจากท่านนบี ซ.ล.  ด้วยการเข้า นับถืออิสลามข้าแต่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดให้ข้าพเจ้าพอเพียงจากพวกเขาด้วยเจ็ดปีเหมือนกับ เจ็ดปีของยูชุฟ ต่อมาความแห้งแล้งได้มาประสพกับพวกเขา และมันได้ทำลายทุกสิ่ง จนพวกเขา ต้องกินกระดูก และชายคนหนึ่งได้มองดูฟ้า เขาพบว่า ระหว่างตัวเขากับฟ้าคล้ายควัน อัลเลาะห์ได้ ตรัสว่า “ท่านจงรอคอยเถิด วันที่ท้องฟ้าจะนำควันที่แจ้งซัดมา”[390] อัลเลาะห์ได้ตรัสว่า “แท้จริง เราจะผ่อนคลายการลงโทษเพียงเล็กน้อย เพราะความจริงพวกท่านจะต้องกลับคืนไปอีก”[391]ดังนั้น การลงโทษจะถูกผ่อนคลายให้พวกเขาไหม ในวันกิยามะห์ ทั้งที่ความจริง ควัน และ เหตุการณ์รุนแรงได้ผ่านพันไปแล้ว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าแท้จริงผู้ที่มีเกียรติ บุตร  ของผู้ที่มีเกียรติ บุตร  ของผู้ที่มีเกียรติ บุตร  ของผู้ที่มีเกียรติ บุตร  ของผู้ที่มีเกียรติ คือ ยูซุฟ บิน  ยะอฺกูบ บิน  อิสหาก บิน  อิบรอฮีม และถ้าหากข้าพเจ้าต้องอยู่ในห้องขังเท่ากับทีเขา (ยูซุฟ) อยู่แล้ว หลังจากนั้นได้มีทูตมาติดต่อข้าพเจ้า แน่นอนว่า ข้าพเจ้าจะต้องสนองตอบ (ตาม ข้อเสนอ)[392] หลังจากนั้นท่านได้อ่าน “ต่อมาเมือทูตนั้นได้มาหาเขา (ยูซุฟ) เขาได้กล่าวว่าเจ้า จงกลับไปเกิดไปหานายของเจ้า แล้วจงถามเขาว่า บรรดาผู้หญิงที่ได้บั่นมือของพวกนางเป็น อย่างไรบ้าง”[393] ท่านนบีได้กล่าวว่า และขอความเมตตาของอัลเลาะห์จงมีแด่นบี ลูต ความจริง เขาได้พึ่งพิงกับหลักอันมั่นคง ขณะที่ท่านได้กล่าวว่า “หวังว่าข้าพเจ้าจะมืกำลังจัดการกับพวกท่าน หรือ ข้าพเจ้าจะต้องพึงพิงกับหลักอันมั่นคง”[394] ดังนั้นอัลเลาะห์จะไม่แต่งตั้งนบีท่านใดมานอกจาก ในสุดยอดจากพวกพ้องของเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า“จนเมื่อบรรดาศาสนทูตหมดหวัง และมีความมันใจว่า พวกเขาถูกมองว่าโกหก ความช่วยเหลือของเราก็จะมีมา และเราจะช่วยให้พ้นภัยผู้ที่เราประสงค์และ การลงโทษของเราจะไม่ถูกผลักดันให้พ้นไปจากพวกที่ทำบาป”[395]

อุรวะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวแก่อาอิชะห์ว่าพวกเขา (บรรดาศาสนทูต) ถูกมองว่าโกหก หรือถูกกล่าวหาว่าโกหก อาอิชะห์ ตอบว่า พวกเขาถูกกล่าวหาว่าโกหก ข้าพเจ้ากล่าวว่า ความจริงบรรดาศาสนทูตมีความมั่นใจว่า พวกพ้องของพวกเขาได้กล่าวหาว่าพวกเขาโกหก และ มันไม่ใช่เป็นเพียงการคาดคิด อาอิชะห์กล่าวว่าถูกต้องแล้ว สาบานต่ออายุของข้าพเจ้าว่า ความจริง พวกเขามีความมั่นใจเช่นนั้น ตังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวแก่อาอิชะห์ว่า และพวกเขามั่นใจว่า พวกเขาถูกมองว่าโกหกหรือ[396] อาอิชะห์ ได้กล่าวว่าขอป้องกันต่ออัลเลาะห์ว่า บรรดา ศาสนทูตไม่ได้มั่นใจเช่นนั้นต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขา ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า            แล้วอายะห์นี้เป็นอย่างไร อาอิชะห์ กล่าวว่าพวกเขาคือบริวารของบรรดาศาสนทูต พึ่งศรัทธาต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขาและเชื่อมั่นต่อบรรดาศาสนทูต ต่อมาการทดลองได้ประสพกับพวกเขาเป็นเวลานาน และการช่วยเหลือได้ล่าช้าไปจากพวกเขา จนเมื่อบรรดาศาสนทูตหมดหวัง จากผู้ที่กล่าวหาว่าพวกเขาโกหก ที่เป็นพวกพ้องของพวกเขา และบรรดาศาสนทูตมั่นใจว่าบริวาร ของพวกเขาได้กล่าวหาว่า บรรดาศาสนทูตโกหก[397] ความช่วยเหลือของอัลเลาะห์จึงได้มาในขณะนั้น

 รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ซูเราะห์ อัรเราะอฺด์

ในนามของอัณลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ในคำดำรัสของอัลเลาะห์ที่ว่า “และเราให้บางอย่างของมันมีคุณค่ามากกว่าอีกบางอย่าง ในด้านการอาหาร”424 ท่านได้กล่าวว่า อินทผลัมชนิดเลว อินทผลัมชนิดดี ผลทับทิมมีรสหวาน และ เปรี้ยว

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่ามีพวกยะฮูดได้มุ่งหน้ามายังท่านนบี ซ.ล.  แล้วกล่าวว่า โอ้อะบั้ลกอซิม จงบอกเราเกี่ยวกับฟ้าร้องว่า มันคืออะไร ท่านตอบว่า มะลาอิกะห์หนึ่งจากบรรดามะลาอิกะห์ที่ถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับเมฆ เขามีใบพายที่ทำจาก ไฟ จะใช้มันไล่เมฆ ไปยังทีๆ อัลเลาะห์ต้องการ พวกเขากล่าวว่าและเสียงที่เราได้ยินนี้คือ อะไร ท่านตอบว่า เสียงที่มะลาอิกะห์ดุขี้เมฆ เมื่อเขาได้ดุมันจนกว่าจะไปถึงยังที่ๆ ถูกบัญชา พวกเขากล่าวว่า ท่านพูดจริง

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

ซูเราะห์ อิบรอฮีม อ.ล 816

ในนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตายิ่ง ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ได้มีผู้นำตะกร้าใส่อินทผลัมสุกครึงดิบครึ่งมามอบให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ท่านได้กล่าวว่า “เปรียบท่าพูดทีดก็เหมือนกับตันไม้ที่ดี โคนของมันมั่นคง และกิ่งถ้านของมันเสียดขึ้นไปในฟากฟ้า มันให้ผลที่กินได้ทุกขณะตามอนุมัติ ของพระผู้อภิบาลของ มัน”[398] ท่านได้กล่าวว่า มันคือต้นอิทผลัม “และเปรียบท่าพูดที่โสมม เหมือนต้นไม้เลวที่ถูก ลอนกองอยู่บนพื้นดิน ไม่มีความมั่นคงใดคุ สำหรับมัน”[399] ท่านได้กล่าวว่า “มันคือ บวบขม”

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

เล่าจากอัลบะรอสุ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า คนมุสลิมเมื่อถูกถามขณะ ที่อยู่ในหลุมฝังศพให้เขากล่าวปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์และแท้จริง มุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์[400] นั่นแหละคือท่าดำรัสของอัลเลาะห์ที่ว่า “อัลเลาะห์ จะให้เกิดความมั่นคงแก่บรรดาผู้ที่มีศรัทธาด้วยท่าพูดอันมั่นคง ทั้งในชีวิตโลกนี้และโลกหน้า”[401]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และติรมิซี

ตัวบทของติรมิซีว่า “อัลเลาะห์จะให้เกิดความมั่นคงแก่ บรรดาผู้ที่มีศรัทธาด้วยคำพูดอันมั่นคง ทั้งในชีวิตโลกนี้และโลกหน้า” ท่านได้กล่าวว่า ใน หลุมฝังศพ เมื่อถูกถามว่า “ใครเป็นพระผู้อภิบาลของท่าน อะไรคือศาสนาของท่าน และ ใครคือนบีของท่าน”[402]

อัลเลาะห์ตะอาลาใต้ตรัสว่า “ท่านไม่ได้มองดูบรรดาผู้ที่ได้เปลี่ยนแปลงความโปรดปราน

ของอัลเลาะห์ด้วยความไร้ศรัทธาหรือ และพวกเขา ได้ทำให้พวกพ้องของพวกเขาอยู่ในสลานที่ แห่งความพินาศคือนรก ญะฮันนัม ที่พวกเขาจะต้องเข้าไป และมันเป็นแหล่งพักพิงที่ต่ำช้าที่สุด”[403]

อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเขาคือพวกผู้ไร้ศรัทธาชาวมักกะห์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก มัสรูก ร.ฎ. ได้กล่าวว่าอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้อ่านอายะห์นื้ “ในวันที่แผ่นดิน ถูกเปลี่ยนเป็นแผ่นดินอื่น”[404] อาอิชะห์ ได้กล่าวว่าโอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ดังนั้น มนุษย์ จะอยู่ที่ไหน       ท่านตอบว่า “อยู่บนสะพาน” 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ติรมิซี

ซูเราะห์ อัลฮิจร์

ในนามของอํณลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ในการอธิบายความหมายของอายะห์นี้ที่ว่า “บรรดาผู้ไร้ศรัทธามีความปรารถนาอย่างยิ่งที่ ถ้าหากพวกเขาเป็นมุสลิม ”[405] ท่านได้ กล่าวว่าเมื่อพวกที่ศรัทธาในเอกภาพถูกนำตัวออกจากขุมนรก และถูกนำตัวเข้าสวรรค์ บรรดา ผู้ไร้ศรัทธามีความปรารถนาอย่างยิ่งที่ถ้าพวกเขาจะลลายเป็นมุสลิม 

รายงานโดย ติรมิซีในเรื่องการศรัทธา

เล่าจากอิบนิอับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีผู้หญิงสวยคนหนึ่งจากคนที่มีความสวยยิ่ง ละหมาดอยู่ข้างหลังท่านนบี ซ.ล.  และไดัมีบางคนก้าวขึ้นไปอยู่ข้างหน้าจนได้อยู่ในแกวแรก เพื่อเขาจะได้ไม่เห็นหล่อน และมีบางคนกอยร่นลงมาอยู่แกวหลัง เมื่อเขาล้มลง รุกัวะอ. เขา จะมองผ่านไปจากทางใต้รักแร้ทั้งสองข้างของเขา อัลเลาะห์จึงได้ประทานลงมาว่า “และขอสาบาน ว่า เราทราบดีบรรดาผู้ที่ขึ้นไปอยู่ข้างหน้า จากพวกท่าน และขอสาบานว่า เราทราบดีบรรดา ผู้ที่ถอยร่นไปอยู่ข้างหลัง”[406]

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “มันมือยู่เจ็ดประตู แต่ละประตูของพวกเขาเหล่านั้นเป็น สัดส่วนที่แบ่งไว้แล้ว”[407]

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า นรกญะฮันนัม มีเจ็ดประตู ประตูหนึ่งจากจำนวนนั้นสำหรับผู้ที่เปลือยดาบจากฝักทำร้ายประชากรของข้าพเจ้า หรือ ท่าน ได้กล่าวว่าทำร้ายประชากรของมุฮัมมัด

เล่าจาก อะบีสะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าท่านทั้งหลายจงระวังการ สังหรณ์ของผู้มีศรัทธา เพราะความจริงเขาจะมองเห็นด้วยรัศมีของอัลเลาะห์ตะอาลา หลังจากนั้น ท่านได้อ่าน “แท้จริงในนั้นเป็นสัญญลักษณ์ สำหรับบรรดาผู้ที่มีการพินิจพิเคราะห์”[408]

รายงานหะดีษทั้งสามโดย ติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า“และขอยืนยันว่า ความจริงชาวเมืองฮิจร์ ก็ได้กล่าวหา บรรดาคาสนทูตว่าโกหก”[409]

เล่าจาก อิบนิอุมัร ร.ฎ. ว่า แท้จริง ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวแก่อัครสาวกของท่านว่าท่านทั้งหลายอย่าเข้าไปหาพวกเหล่านี้ นอกจากพวกท่านจะต้องร้องไห้ ถ้าหากพวกท่านไม่ร้องไห้ท่านทั้งหลายก็อย่าเข้าไปหาพวกเขา (ด้วยเกรงว่า) สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาจะเกิดขึ้นกับ พวกท่าน[410]

และเล่าจากเขา (อิบนิอุมัร) ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ขณะที่ท่านลงพักอยู่ที่ ฮิจร์ แผ่นดิน ของพวก ซะมูด ในสงครามตะบูก ท่านได้ใช้บรรดาอัครสาวกทั้งหลาย ไม่ให้ดื่มนํ้าจากบ่อของมัน และไม่ให้เดิมนํ้าจากบ่อของมัน พวกเขาได้กล่าวว่าความจริงพวกเราได้นวดแป้งโดยใช้นํ้า จากบ่อนํ้าของมัน และพวกเราได้เติมนํ้าแล้ว ต่อมาท่านได้ใช้พวกเขาให้ทิ้งแป้งที่นวดแล้ว และเทน้ำนั้นทิ้งไป 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี ในเรื่องเริ่มสร้าง และมุสลิมในเรื่องสละโลกีย์

และมุสลิมได้รายงานเพิ่มเติมว่า  และท่านได้ใช้พวกเขา ให้เติมนํ้าจากบ่อที่อูฐเคยมาดื่มน้ำ

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า“และขอยืนยันว่า เราได้มอบ (อายะห์) ทั้งเจ็ดทีถูกอ่าน ซ้ำและอัลกุรอานอันยิ่งใหญ่ให้แก่ท่าน”[411]

เล่าจากอุบัยย์ บิน  กะอับ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าอัลเลาะห์ไม่ได้ ประทานไว้ในคัมภีร์เตารอต และไม่ได้ประทานไว้ในคัมภีร์อินยีล เหมือนอย่างเช่น อุมม์ อัลกุรอานคือ เจ็ดอายะห์ที่ถูกอ่านช้าในสภาพทีมันได้ถูกแบ่งระหว่างเรากับบ่าวของเรา และสำหรับบ่าวของเรา ได้ตามที่ขอ[412]

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิอับบาส ร.ฎ. “คือบรรดาผู้ที่ได้แบ่งอัลกุรอานออกเป็นหลายส่วน”  เขากล่าวว่าพวกนั้นคือชาวคัมภีร์ที่ได้แบ่งอัลกุรอานออกเป็นหลายส่วน และพวกเขาได้ศรัทธาเป็น บางส่วนและไม่ศรัทธาเป็นบางส่วน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ในคำดำรัสของอัลเลาะห์ตะอาลาที่ว่า “เรา จะต้องถามพวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดอย่างแน่นอน ถึงสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ ท่านได้กล่าวว่า ถึงคำที่ว่า ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท่นอกจากอัลเลาะห์

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และท่านจงทำอิบาดะห์ต่อพระผู้อภิบาลของท่านจนกว่า ความมั่นใจจะมาประสพกับตัวท่าน” ชาลิม บิน  อับดิลลาห์ กล่าวว่าความมั่นใจ คือ ความตาย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี  

 

ซูเราะห์ อันนะห์ล

ในนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าสี่เราะกะอัต ก่อนละหมาดดุห์ริ ภายหลังตะวันคล้อย จะถูกคิดให้เท่ากับสี่เราะกะอัตของละหมาดหลังเทียงคืน และไม่มีสิ่งใด นอกจากจะต้องกล่าวสดุดีพระองค์อัลเลาะห์ในช่วงนั้น หลังจากนั้นท่านได้อ่าน “เงาของมันจะ คล้อยไปทางขวาและซ้ายกราบกรานต่ออัลเลาะห์ในสภาพที่พวกมันยอมสยบ” 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสาบรายงานที่เฆาะรีบ

อัลเลาะห์ ตะอาลา ได้ตรัสว่า “และเป็นบางคนของพวกท่านที่ถูกส่งกลับไปสู่วันที่ ตกต่ำที่สุด” 

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ว่าแท่จริงท่านนบี ซ.ล.  เคยวิงวอนขอดุอาว่าข้าพเจ้าขอป้องกัน ด้วยพระองค์ท่าน จาก ความตระหนี่ ความขี้เกียจ วันที่ตกต่ำที่สุด การลงโทษในหลุมฝังศพ วิกฤติการณ์ในเรื่อง ดัจญาล และวิกฤติการณ์ขณะที่มีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “แท้จริงอิบรอฮีมนั้น เป็นแบบฉบับที่ดีงามเป็นผู้ภักดีต่อ อัลเลาะห์ เป็นผู้ยึดมั่นอย่างเหนียวแน่น”[413] อับดุลเลาะห์ได้กล่าวว่า“คำว่า อุมมะห์ นั้น คือผู้สอนสิ่งที่ดีงาม และคำว่า กอนิต นั้นคือผู้ที่ภักดี[414]

เล่าจาก อุบัยย์ บิน  กะอับ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าเมื่อวันศึกที่อุฮุดเกิดขึ้นมืชาวอันศอร ถูกฆ่าถึงหกสิบสี่คน และพวกมุฮายีรีนหกคน ในจำนวนนั้นมีฮัมซะห์ พวกนั้นได้สับพวกเขา เป็นท่อนๆ[415] พวกอันศอร ได้กล่าวว่า สาบานว่า ถ้าหากพวกเราชนะพวกเขาเหมือนอย่างนี้ ในวันหนึ่ง แน่นอนว่าพวกเราจะต้องกระทำกับพวกเขายิ่งกว่านี้ และต่อมาเมื่อถึงวันที่มีชัยต่อนครมักกะห์ อัลลอฮ์ไต้ประทานลงมาว่า “และถ้าแม้นว่าพวกท่านจะทำร้าย ดังนั้น ให้พวกท่าน จงทำร้ายเหมือนที่พวกท่านถูกทำร้าย และขอยืนยันว่า ถ้าหากพวกท่านอดทน มันย่อมจะเป็น การดีแก่บรรดาผู้ที่มีความอดทน”[416] ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า จะไม่มีกุเรชหลังจากวันนี้ ท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่าพวกท่านจงยับยั้งจากพวกนั้น นอกจากสี่คน[417]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

ซูเราะห์ อัลอิสรออ

ในนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวถึง ซูเราะห์ บะนีอิสรออีล อัลกะห์ฟิ และมัรยัม ว่าแท้จริงซูเราะห์เหล่านั้น เป็นซูเราะห์แรกๆ ที่มีความหมายซาบซึ่ง และเป็นซูเราะห์แรกๆ ที่ข้าพเจ้าเรียน[418]

รายงานหะดีษโดยบุคอรี

อัลเลาะห์ ตะอาลา ได้ตรัสว่า“มหาบริสุทธิ์ แด่ผู้ซึ่งได้นำบ่าวของพระองค์ เดินทาง ในยามคํ่าจากมัสญิดฮะรอมถึงมัสญิดอักศอ ซึ่งเราได้เกิดความสิริมงคลรอบๆ มัน เพื่อทำให้ เขาเห็นบางส่วนจากสัญลักษณ์ของเรา แท้จริง พระองค์ทรงได้ยินยิ่ง ทรงแลเห็นยิ่ง”[419]

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ว่าแท้จริง ท่านนบี ซ.ล.  นั้น บุรอกได้ถูกนำมาในคืนที่ท่าน ถูกพาออกเดินทาง ในสภาพสวมบังเหียนสวมอาน แต่มันได้ทำความลำบากแก่ท่าน ญิบรีลจึง ได้กล่าวแก่มันว่าเจ้าทำอย่างนี้กับมุฮัมมัดหรือ ไม่มีใครที่ได้ขี่เจ้า มีเกียรติสำหรับอัลเลาะห์ ยิ่งกว่าเขาผู้เล่าได้กล่าวว่ามันมีเหงื่อไหลออกมาท่วมตัว[420]

เล่าจาก บุรอยดะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าเมื่อพวกเราได้ไปถึง บัยติ้ลมักดิส ญิบรีลได้ทำท่าด้วยนิ้วของเขา และไดํใช้นิ้วเจาะก้อนหิน แล้วได้นำบุรอกไปผูกกับหินก้อนนั้น 

รายงานทั้งสองหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าขณะที่เขาพาข้าพเจ้า

ออกเดินทางไป ข้าพเจ้าได้พบกับมูซา อ.ล  เขาเป็นคนที่มีรูปร่างเพรียว ผมยืด คล้ายเป็นคน

ที่มาจากผู้ชายเผ่าชะนูอะห[421] และข้าพเจ้าได้พบอีซา เขามีรูปร่างสันทัด ผิวแดง คล้ายออกมาจากโรงอาบนํ้า ท่านนบีได้กล่าวว่า และข้าพเจ้าได้พบอิบรอฮีม ขอพรของอัลเลาะห์จงประสพกับเขาโดยที่ข้าพเจ้ามีความคถ้ายคลึงกับเขามากที่สุดจากผู้ที่เป็นบุตรหลานของเขา ท่านนบีได้กล่าวว่าได้มีผู้นำภาชนะสองใบมาให้ข้าพเจ้าในภาชนะหนึ่งจากสองมีนม และในอีกใบหนึ่งมีสุรา ได้มีผู้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่าท่านจงเลือกเอาใบหนึ่งจากทั้งสองตามที่ท่านต้องการ ข้าพเจ้าจึงได้เอานํ้านมและได้ดื่มมัน ได้มีผู้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่าท่านได้ถูกนำสู่ธรรมชาติบริสุทธิ์แล้ว หรือ (ได้กล่าวว่า) ท่านได้กระทำถูกต้องตามธรรมชาติบริสุทธิ์แล้ว พึงทราบเถิดว่า ถ้าหากท่านเลือกเอาสุรา ประชากรของท่านจะต้องหลงผิด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และตัวบทของบุคอรีว่า ได้มีผู้นำมาให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ในคืนที่ท่านถูกนำออกเดินทางไปที่ อีลิยาอุ456 ด้วยภาชนะสองใบที่บรรจุสุราและนม ท่านได้มองไปที่มันทั้งสองและได้เลือกเอานม ญิบรีลได้ กล่าวว่ามวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะห์ ซึ่งได้ซึ่งนำท่านธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ถ้าหากท่านเลือกเอาสุรา ประชากรของท่านจะต้องหลงผิด

เล่าจาก ญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าเมื่อพวกกุเรชกล่าวหาว่าข้าพเจ้าโกหก ขณะที่ข้าพเจ้าถูกนำตัวออกเดินทางในยามค่ำไปยัง บัยติ้ลมักดิส ข้าพเจ้าได้ยืนอยู่ในหินโค้ง พระองค์อัลเลาะห์ได้เปิดให้ข้าพเจ้าเห็นบัยตุ้ลมักดิส แล้วข้าพเจ้าก็ได้เริ่มบอกพวกนั้นถึงเครื่องหมายต่างๆ ของมัน โดยข้าพเจ้ามองเห็นมัน 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และเราไม่เคยลงโทษ จนกว่าเราจะได้แต่งตั้งศาสนทูต และเมื่อเราปรารถนาทำลายบ้านเมืองใด เราจะบัญชาแก่บรรดาผู้นิยมความสำราญแห่งเมืองนั้น พวกเขา ก็จะกระทำการฝ่าฝืนบนขึ้นในเมืองนั้น และแล้วพระดำรัส[422] ก็จะเกิดเป็นความจริงแก่เมืองนั้น และเราก็ได้ทำลายเมืองนั้น อย่างรุนแรง”[423]

เล่าจากอิมรอน บิน  ฮุชอยน์ ร.ฎ. วาแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  นั้นได้ลงมายังท่านว่า “โอ้มวลมนุษย์ พวกท่านจงยำเกรงอัลเลาะห์เถิดเพราะแท้จริงการสั่นสะเทือนในวันกิยามะห์นั้น ใหญ่หลวงนัก” สองอายะห์ ขณะที่ท่านกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทาง ท่านได้กล่าวว่า พวกท่าน ทั้งหลายทราบไหมว่า นั่นคือวันใดพวกเขาตอบว่า อัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ทราบดีท่านได้กล่าวว่า นั่นคือวันที่อัลเลาะห์ตรัสแก่อาดัมว่าท่านจงส่งพวกที่จะไปลงนรก [424]อาดัมได้ถามว่าข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้าฯ อะไรคือพวกที่จะถูกส่งลงนรกพระองค์ตรัสตอบว่าเก้าร้อยเก้าสิบเก้าไปนรก มีหนึ่งเท่านั้นไปสวรรค์ผู้เล่าได้กล่าวว่า บรรดามุสลิมได้ เริ่มร้องไห้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวว่าท่านทั้งหลายจงเดินสายกลาง และหาความ ถูกต้อง (ในการกระทำต่างๆ ของพวกท่าน) เพราะความจริงจะไม่มีตำแหน่งนบี (นุบูวะห์) เลย นอกจากจะปรากฏมียุคญาฮีลียะห์ อยู่ก่อนตำแหน่งนั้น ท่านได้กล่าวว่า จำนวนนั้นจะเอามา จากสมัยญาฮีลียะห์ ถ้าพวกมันครบ และถ้าหากไม่ครบก็จะเอาให้ครบจากพวกหน้าไหว้หลังหลอก (มุนาฟิกีน) ไม่มีการเปรียบเปรยพวกท่านกับประชาชาติต่างๆ นอกจากมันจะเหมือนกับจุดเด่นที่ขาสัตว์ หรือเหมือนกับรอยแด่นที่สีข้างอูฐ หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าหวังไว้ว่าพวกท่านจะต้องเป็นหนึ่งในสี่ของชาวสวรรค์ ประชาชนต่างกล่าวคำตักบีร ต่อมาท่านได้ กล่าวว่าความจริงข้าพเจ้าหวังไว้ว่า พวกท่านจะต้องเป็นหนึ่งในสามของชาวสวรรค์ประชาชนต่างกล่าวตำตักบีร จากนั้นท่านได้กล่าวว่าความจริงข้าพเจ้าหวังไว้ว่า พวกท่านจะต้องเป็นครึ่งหนึ่ง ของชาวสวรรค์ ประชาชนต่างกล่าวคำตักบีร อิมรอนได้กล่าวว่าข้าพเจ้าไม่รู้ว่าท่านได้กล่าวว่า เป็นสองในสามหรือไม่

รายงานโดยติรมิซี ในซูเราะห์อัลฮัจญ์ และบุคอรีในเรื่องเริ่มสร้าง

อับดุลเลาะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า “พวกเราเคยกล่าวแก่เผ่าพันธุ์หนึ่งที่มีจำนวนมากใน ยุคญาฮิลียะห์ว่า ตระกูลของคนนั้นๆ มีมาก”[425]

รายงานโดย บุคอรี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่าและเราได้ประทานคัมภีร์ ซะบูร ให้แก่ดาวูด”[426]

เล่าจาก อะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าเขาได้ให้นบีดาวูด สามารถอ่านได้เร็ว เขาเคยออกคำสั่งให้ใส่อานสัตว์พาหนะของเขา และได้อ่าน ก่อนจะใส่อาน เสร็จ 

รายงานโดย บุคอรี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า“พวกเหล่านั้นเป็นพวกที่วิงวอนแสวงหา สื่อที่จะนำไปสู่ พระผู้อภิบาลของพวกเขา ว่าผู้ใดจากพวกเขาจะใกล้ชิดที่สุด และพวกเขาหวังในความเมตตา ของพระองค์ และกลัวการลงโทษของพระองค์ แท้จริงการลงโทษของพระผู้อภิบาลของท่านนั้น เป็นสิ่งที่น่ากลัว”[427]

อับดุลเลาะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่ามีมนุษย์พวกหนึ่งกราบไหว้ ญินพวกหนึ่ง ต่อมา ญิน นั้นได้เข้านับถือศาสนาอิสลาม แต่พวกนั้นก็ยังคงยึดมั่นอยู่กับศาสนาของพวกเขา[428]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า“และเราไม่ได้บันดาลให้สิ่งต่างๆ ทีเราได้ให้ท่านเห็น นอกจากเป็นวิกฤติการณ์สำหรับมนุษย์”[429]

อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าคือ การประจักษ์ด้วยตาที่ไดให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  เห็นในคืนที่ท่านถูกนำไปอิสรออ[430] และต้นไม้ที่ถูกสาปแช่งคือต้น ซักกูม 

รายงานโคยบุคอรี และติรมิซี

เล่าจาก อะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ในคำดำรัสของอัลเลาะห์ว่า  “ในวันที่เราจะเรียกมนุษย์ทุกคน พร้อมกับผู้นำของพวกเขา”[431] ท่านได้กล่าวว่า คนหนึ่งจาก พวกเขาจะถูกเรียก และเขาจะรับบัญชีของเขาด้วยมือขวา แล้วร่างของเขาจะถูกยืดออกหกสิบศอก ใบหน้าของเขาจะถูกขับให้ขาวผ่อง บนศีรษะของเขาจะมีมงกุฎที่ทำจากไข่มุข สว่างเป็นประกาย จากนั้นเขาจะเดินไปหาเพื่อนๆ ของเขา[432] โดยพวกนั้นจะเห็นเขาแต่ไกล พวกนั้นจะกล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดประทานให้เราด้วยสิ่งนี้ และได้โปรดเพิ่มพูนให้เราในสิ่งนี้ จนเมื่อ เขามาถึงพวกนั้น เขาจะกล่าวว่า  พวกท่านจงรับข่าวดีเกิดว่า ทุกคนจากพวกท่านก็จะได้รับเหมือนกันนี้ ท่านนบีได้กล่าวว่า ส่วนผู้ไร้ศรัทธา (กาฟิร) นั้น ใบหน้าของเขาจะดำคล้ำ ร่างกายของ เขาจะถูกยืดออก หกสิบศอก ในรูปของอาดัม และเขาจะถูกสวมมงกุฎ เพื่อนๆ ของเขาจะเห็นเขา แล้วพากันกล่าวว่า  พวกเราขอป้องกันด้วยอัลเลาะห์จากความชั่วร้ายนี้ ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ อย่าได้ประทานให้เราเหมือนเช่นนี้ท่านนบีได้กล่าวว่า  เขาจะมาหาพวกนั้น และพวกนั้นก็จะกล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดให้เขาตกต่ำเถิด เขาจะกล่าวว่า  ขอพระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดให้พวกท่านห่างไกล (จากความเมตตาเถิด) เถิด แท้จริงพวกท่านทุกคนจะต้องได้รับอย่างนี้ 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ความประเสริฐ ของการละหมาดญะมาอะห์นั้นเหนือกว่าละหมาดคนเดียว ยี่สิบห้าขั้น มะลาอิกะห์กลางคืน และ มะลาอิกะห์กลางวัน จะมาร่วมชุมนุมในละหมาดซุบฮ์[433] อะบูฮุรอยเราะห์กล่าวว่าท่านทั้งหลาย จงอ่านเกิดถ้าต้องการ “และจงดำรงละหมาดฟัจร์ แท้จริงละหมาดฟัจร์ นั้นจะถูกยืนยัน”[434]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และบางช่วงของกลางคืน ท่านจงขึ้นละหมาด “ตะฮัจญุด” เกิดเป็นละหมาดที่เพิ่มเติมแก่ท่าน แน่แท้พระผู้อภิบาลของท่านจะต้องแต่งตั้งให้ท่านอยู่ในตำแหน่ง ที่ควรแก่การสรรเสริญ”[435]

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  ผู้ใดกล่าวขณะได้ยินเสียง อะซานว่า “ข้าแต่พระองค์อัลเลาะห์ ผู้อภิบาลคำประกาศที่สมบูรณ์นี้ และละหมาดที่ดำรงค์อยู่นี้ได้โปรด ประทานความใกล้ชิด และเกียรติยศแก่นายของเราคือ มุฮัมมัด และได้โปรดแต่งตั้งเขาให้อยู่ ในตำแหน่งที่ควรแก่การสรรเสริญ ซึ่งพระองค์ท่านได้สัญญาไว้ การช่วยเหลือของข้าพเจ้าใน วันกียามะห์จะตกอยู่กับเขา”

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

และได้มีผู้ถามท่านนบี ซ.ล.  ถึงอายะห์นี้ ท่านได้กล่าวว่า คือการช่วยเหลือ[436]

เล่าจาก อะบี สะอีส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าเป็นผู้นำของลูกหลานอาดัม โดยไม่ใช่เป็นการโอ้อวด และในมือของข้าพเจ้ามีธงสีแดง โดยไม่ใช่เป็นการโอ้อวด และไม่มีนบีใดในวันนั้นแม้แต่อาดัม และผู้อื่นนอกจากอาดัม นอกจากอยู่ในภายใต้ธงของข้าพเจ้า มนุษย์จะพากันมายังข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะออกเดินทางไปพร้อมกับพวกเขา จนถึงที่ท่านได้ กล่าวว่า  ข้าพเจ้าจะทรุดตัวลงสุหญด และพระองค์อัลเลาะห์จะดลใจให้ข้าพเจ้าได้สดุดีและ สรรเสริญ จากนั้นจะมีผู้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า  จงเงยศีรษะของท่านขึ้น จงขอท่านจะได้ จงช่วย เหลือ ท่านจะถูกประทานการช่วยเหลือ จงพูดคำพูดของท่านจะถูกรับฟัง และมันคือตำแหน่ง ที่ควรแก่การสรรเสริญ ซึ่งอัลเลาะห์ได้ตรัสว่า “แน่แท้พระผู้อภิบาลของท่านจะต้องแต่งตั้ง ให้ท่านอยู่ในตำแหน่งที่ควรแก่การสรรเสริญ”

เล่าจาก อิบนิอับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ท่านนบี ซ.ล.  อยู่ที่มักกะห์ หลังจากนั้นได้ ถูกบัญชาให้อพยพ และได้ประทานลงมายังท่านว่า “และจงกล่าวเถิดว่าข้าแด่พระผู้อภิบาลได้โปรด ให้ข้าพเจ้าได้เข้าสู่ทางเข้าที่สัจจะ และได้โปรดให้ข้าพเจ้าได้ออกในทางออกที่สัจจะ และได้โปรด บันดาลให้ข้าพเจ้ามีอำนาจช่วยเหลือ จากพระองค์ท่าน”[437]

รายงานหะดีษทั้งสามโดยติรมิซี

เล่าจาก อับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้เข้าสู่มักกะห์ โดยรอบบัยตุ้ลเลาะห์นั้นมีรูปเคารพจำนวนสามร้อยหกสิบรูป ท่านได้ที่มมันด้วยไม้ที่อยู่ในมือของท่าน พร้อม กล่าวว่า “สัจจธรรมมาแล้ว และสิ่งเหลวไหลได้พินาศลง แท้จริงสิ่งเหลวไหลนั้นต้องมลาย ไปสิ้น สัจจธรรมได้มาแล้ว สิ่งเหลวไหลจะไม่ปรากฏ และไม่กลับคืนมาอีก”[438]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี 

และเล่าจากเขา (อับดิลลาห์) ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้เดินอยู่กับท่านนบี ซ.ล.  ในสวน อินทผลัมแห่งนครมะดีนะห์ โดยท่านยันร่างอยู่บนก้านอินทผลัม ท่านได้เดินผ่านยะฮูดกลุ่มหนึ่ง พวกเขาบางคนได้กล่าวว่า  หวังว่าพวกท่านทั้งหลายจะถามเขา พวกเขากล่าวว่า  ท่านทั้งหลาย อย่าถามเขาเพราะเขาจะต้องให้พวกท่านไดิยินสิ่งที่พวกท่านไม่พอใจอย่างแน่นอน พวกเขากล่าวว่า  โอ้ อะบั้ลกอซิม จงบอกพวกเราเกี่ยวกับวิญญาณเถิด ท่านนบี ซ.ล.  ไดยืนอยู่ครู่หนึ่ง และ ยกศีรษะขึ้น ข้าพเจ้าทราบว่า วะฮีย์กำลังถูกประทานลงมายังท่าน จนวะฮีย์ขึ้นไป จากนั้นท่าน ได้กล่าวว่า  “และพวกเขาจะถามท่านถึงเรื่องวิญญาณ ท่านจงตอบเถิดว่า วิญญาณนั้นเป็น กิจการของพระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า และพวกท่านไม่ได้รับความรู้นอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”[439]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า  “และเราจะรวมพวกเขาในวันกิยามะห์โดยเอาหน้าของพวถเขา ลง (ต่างเท้า) ในสภาพตาบอด เป็นใบ้และหูหนวก ที่พำนักของพวกเขาคือนรกญะฮันนัม ทุกขณะที่มันมอดลง เราจะเพิ่มความเผาไหม้แก่พวกเขายิ่งขึ้น”[440]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าแท้จริงชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า “โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ กาพีร จะถูกนำมารวมไว้โดยเอาหน้าลงต่างเท้าในวันกียามะห์อย่างไร  ท่านกล่าวว่า  ผู้ที่ให้กาฟิรเดินอยู่ บนเท้าทั้งสองข้างในโลกนื้ จะไม่มีความสามารถให้มันใช้หน้าเดิน (ต่างเท้า) ในวันกิยามะห์หรือ กอตาดะห์ได้กล่าวว่า  หามิได้ครับ สาบานด้วยอำนาจพระผู้อภิบาลของเรา[441]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม 

เล่าจาก อะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  มนุษย์ที่จะถูกนำมา รวมในวันกียามะห์ มีสามพวก พวกหนึ่งเดินด้วยเท้า พวกหนึ่งขี่พาหนะ และอีกพวกหนึ่ง เอาหน้าลง (ต่างเท้า) มีผู้ถามว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  พวกเขาจะใช้หน้าเดินอย่างไรท่านตอบว่า  แท้จริงผู้ที่ให้พวกเขาใช้เท้าเดิน ย่อมมีความสามารถให้พวกนั้น ใช้หน้าเดินได้เช่นกัน พึงทราบเกิดว่า แท้จริง พวกเขาจะระมัดระวังใบหน้าของพวกเขาจากพื้นที่ขรุขระและขวากหนาม และในบางรายงานว่า  แท้จริงพวกท่านจะถูกนำมารวมกันในสภาพที่เดินด้วยเท้า ขี่พาหนะ และเอาหน้าลง (ต่างเท้า) 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และขอยืนยันว่าเราได้มอบหลักฐานเก้าอย่างแก่มูซา ดังนั้น ท่านจงถามวงศ์วานของอิสรออีลเถิดขณะที่มูซาได้มายังพวกเขา และฟิรเอาน์ได้กล่าวแก่เขาว่า ความจริงข้ามั่นใจว่าเจ้า โอ้มูซาเป็นผู้ที่ถูกกระทำคุณ”[442]

เล่าจากซอฟวาน บิน  อัซซาล ร.ฎ. ว่าความจริงมีชาวยะฮูดีสองคน ซึ่งคนหนึ่งได้ กล่าวแก่คนอีกคนว่า เจ้าจงไปพร้อมกับเรายังนบีนี้ เพื่อเราจะได้ถามเขา ยะฮูดีคนนั้นกล่าวว่า  เจ้าอย่าเรียกว่านบี เพราะถ้าหากเขาได้ยินคำนั้น เขาจะมีสี่ตา[443] ต่อมาคนทั้งสองได้มาหาท่าน นบี ซ.ล. และได้ถามท่านถึงคำดำรัสของอัลเลาะห์ผูยิ่งใหญ่และเกรียงไกรว่า “และขอยืนยันว่าเรา ได้มอบหลักฐานเก้าอย่างแก่มูซา” ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้ตอบว่าคือ ท่านทั้งหลายอย่า นำสิ่งใดตั้งภาคีกับอัลเลาะห์       อย่าผิดประเวณี อย่าฆ่าชีวิตที่อัลเลาะห์ทรงหวงห้ามนอกจากโดยธรรม อย่าลักขโมย อย่ากระทำคุณ อย่าพาคนบริสุทธิ์ไปหาผู้มีอำนาจอันจะเป็นเหตุให้ผู้มีอำนาจสังหารเขา อย่ากินดอกเบี้ย (ริบา) อย่ากล่าวหาหญิงบริสุทธิ์ อย่าหนีทัพ และจำเป็นเหนือพวกท่าน เป็นการเฉพาะโอ้พวกยะฮูด พวกท่านอย่าละเมิดในวันเสาร์ เขาทั้งสองได้จูบเท้าและมือทั้งสอง ข้างของท่าน และเขาทั้งสองคนได้กล่าวว่า เราขอยืนยันว่าท่านเป็นนบี ท่านได้กล่าวว่า อะไรที่ห้าม ท่านทั้งสอง การที่ท่านทั้งสองจะเข้านับถืออิสลาม         เขาทั้งสองได้ตอบว่า  แท้จริงนบีดาวูดไดํวิงวอนต่ออัลเลาะห์ว่า นบีจะต้องอยู่ในถูกหลานของท่าน และพวกเรากลัวว่า ถ้าหากเราเข้านับถือศาสนาอิสลามแล้ว พวกยะฮูดจะฆ่าเรา 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ในคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า  “และท่านอย่าส่งเสียงดัง ด้วยการละหมาดของท่าน และอย่าละหมาดแผ่วเบา”[444]เขาได้กล่าวว่า อายะห์นึ่ลงมาขณะที ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ยังคงประกาศศาสนาอย่างลับๆ อยู่ที่ มักกะห์ เมื่อท่านได้ละหมาดร่วมกับบรรดาอัครสาวกของท่าน จะส่งเสียงดังด้วยอัลกุรอาน และ เมื่อพวกผู้ตั้งภาคีไดยิน พวกมันจะด่าอัลกุรอาน และผู้ที่ได้ประทานอัลกุรอานลงมา และผู้ที่ได้นำเอาอัลกุรอานมา อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสแก่นบีของพระองค์ ซ.ล.  ว่าท่านอย่าส่งเสียงดังด้วยการละหมาดของท่าน คือ ด้วยการอ่านของท่านจนเป็นเหตุให้พวกผู้ตั้งภาคีไดยินและด่าอัลกุอาน และอย่าละหมาดแผ่วเบา จากบรรดาอัครสาวกของท่าน จนท่านไม่ทำให้พวกเขาไดยิน และท่านจงหาลู่ทางทีอยู่ระหว่างนั้น480

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ซูเราะห์ อัลกะห์ฟ
มักกียะห์ มีหนึ่งรอยสิบเอ็ดอายะห์
ในนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อะลี ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้เคาะเรียกอะลี และ ฟาติมะห์ ในคืนหนึ่งแล้วกล่าวว่า  พวกท่านจะไม่ละหมาดหรือ ข้าพเจ้าตอบว่า  ความจริงชีวิตของเราอยู่ในเงื้อมมือของอัลเลาะห์ ถ้าหากพระองค์ประสงค์จะปลุกเรา พระองค์ก็จะทรงปลุกเรา ท่านนบี ซ.ล.  จึงหันกลับโดยไม่ได้ตอบอะไรข้าพเจ้าเลย หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ยินท่านขณะหันหลังกลับ ตบต้นขาของท่านแล้วกล่าวว่า  "และมนุษย์นั้นโดยปกติชอบโต้เถียงมากกว่าสิ่งใดๆ 481 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า  "และขณะทีมูซาได้กล่าวแก่เด็กรับใช้ของเขาว่า ฉันจะยัง เดินทางต่อไปจนกว่าจะบรรลุถึงที่บรรจบกันของสองทะเลหรือจะเดินทางต่อไปอีกเป็นเวลานาน

เล่าจาก สะอีด บิน  ยุบัยร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่อิบนิ อับบาสว่า  แท้จริง เนาห์เ อัลปักกาลีย์ เข้อว่า มูซาเพื่อนของอัลคอดิร นั้นเป็นคนละคนกับ มูซาที่คู่กับ บะนี อิสรออีล อิบนุอับบาสกล่าวว่า "ศัตรูของอัลเลาะหัโกหก[445] อุบัยย์ บิน  ละอับ ได้เล่าให้ข้าพฟังว่า เขาได้ยิน ท่านนบี ซ.ล.  กลาวว่า  แท้จริงมูซาได้ลุกขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในท่ามกลางบะนี อิสรออีล และเขาถูกถามว่า มนุษย์คนใดมีความรู้มากที่สุดมูซาตอบว่า ข้าพเจ้า อัลลอฮ์ได้ตำหนิเขาเพราะมูซาไม่คืนความรู้ไปยังพระองค์[446] ต่อมาอัลเลาะห์ไดัวะฮีย์มายังมูซาว่า แท้จริงเรามีบ่าวคนหนึ่งอยู่ ณ ที่บรรจบกันของสองทะเล เขามีความรู้ยิ่งกว่าเจ้า มูซาได้กล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาล ข้าพเจ้าจะพบเขาได้อย่างไร พระองค์ตอบว่า  ให้ท่านเอาปลาตัวหนึ่งไปกับท่าน โดยให้ท่านใส่มันไวในตะกร้า ทีใดที่ท่านทำปลาหาย เขาจะอยู่ที่นั่น มูซาจึงเอาปลาตัว หนึ่งใส่ตะกร้าแล้วออกเดินทาง โดยมีเด็กรับใช้ของเขาชื่อ ยูซะอุ บิน นูน ติดตามไปด้วย จนเมึ่อคนทั้งสองเดินทางถึงหินก้อนใหญ่ ทั้งสองได้วางหัวและนอนหลับไป ปลาที่อยู่ในตะกร้าดิ้น ออกจากตะกร้าและหลุดลงทะเลไป และมันจึงได้โอกาสลงทะเลอย่างปลอดโปร่ง และอัลเลาะห์ ได้ห้ามกระแสนํ้าไหลจากปลาตัวนั่น มันจึงกลายเป็นเหมือนส่วนโค้งของอาคารอยู่บนน้ำ[447] และ ในบางรายงานว่า  ที่โคนก้อนหินใหญ่นั่นมีตานํ้า ที่เรียกกันว่า ตานํ้าแห่งชีวิต ไม่มีสิ่งใดที่กระทบ นํ้าจากตานํ้าแห่งนี้ นอกจากมันจะมีซีวิตขึ้น และปลาตัวนั่นก็ได้กระทบกับน้ำของมัน ปลาก็เคลื่อนไหวได้ และหลุดออกจากตะกร้าลงสู่ท้องทะเล เมื่อมูซาตื่นขึ้น และเพื่อนของเขาก็ลืม บอกให้เขารู้เกี่ยวกับเรื่องปลา ทั้งสองจึงได้ออกเดินทางตลอดวันที่ยังเหลืออยู่ และตลอดคืน จนเมื่อถึงวันรุ่งขึ้น มูซาได้กล่าวแก่เด็กรับใช้ของเขาว่า เจ้าจงนำอาหารเช้าของเรามา ความจริงเราได้รับความเหน็ดเหนื่อยมาจากการเดินทาง คราวนี้ ท่านนบีได้กล่าวว่า  มูซาไม่ได้พบความเหน็ดเหนื่อย    จนได้ผ่านสถานที่ ๆ อัลเลาะห์ได้ใช้ให้เดินทางมา เด็กรับใช้ของเขาจึงได้กล่าวว่า โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดขณะเมื่อเราพักอยู่ที่ก้อนหินใหญ่นั่น ข้าพเจ้าได้ลืมปลาไว้ และไม่มีผู้ใด ทำให้ข้าพเจ้าลืมนอกจากชัยฏอนที่ได้ทำให้ข้าพเจ้าลืมนึกถึงมัน และมันได้ฉวยโอกาสลงทะเลไป อย่างประหลาดยิ่ง ท่านนบีได้กล่าวว่า  ปลาได้ลอบออกไป มูซากับเด็กรับใช้ของเขาได้รับความประหลาดใจ มูซาได้กล่าวว่า  นั่นแหละคือสิ่งที่เราแสวงหา ทั้งสองจึงย้อนกลับตามทางเดิม ของเขาทั้งสอง ท่านนบีได้กล่าวว่า  ทั้งสองได้กลับตามทางเดิมของเขาทั้งสอง จนได้ไปถึงก้อนหินใหญ่ ก็ได้พบกับชายคนหนึ่งคลุมโปงอยู่ มูซาจึงกล่าวสลามทักทายเขา อัลคอดิร ได้กล่าวว่าที่แผ่นดินของท่านมีสลามได้อย่างไร[448] มูซากล่าวว่า ข้าพเจ้าคือมูซา อัลคอดิรถามว่า มูซาแห่ง บะนีอิสรออีล หรือ มูซาตอบว่า  ถูกต้องแล้ว ข้าพเจ้ามายังท่าน เพื่อให้ท่านสอนจากความรู้ อันถูกต้องทีท่านถูกสอนไว้ เขากล่าวว่า ท่านไม่อาจอดทนอยู่กับข้าพเจ้าได้หรอก โอ้ มูซา ความ จริงข้าพเจ้ามีความรู้จากความรู้ของอัลเลาะห์ที่พระองค์ได้ทรงสอนข้าพเจ้าไว้ ซึงตัวท่านเองจะ ไม่รู้วิชานั่น และท่านก็มีความรู้จากความรู้ชองอัลเลาะห์ที่พระองค์อัลเลาะห์ได้ทรงสอนท่านไว้ ซึ่งข้าพเจ้าก็จะไม่รู้วิชานั่น มูซาได้กล่าวว่า  ต่อไปท่านก็จะพบว่า ข้าพเจ้าเป็นคนหนึงทีมีความ อดทน และข้าพเจ้าจะไม่ขัดขืนคำสั่งของท่าน อัลคอดิรได้กล่าวแก่มูซาว่า ถ้าหากท่านติดตามข้าพเจ้าไป ก็จงอย่าได้ไต่ถามข้าพเจ้าถึงสิ่งใดๆ จนกว่าข้าพเจ้าจะเปิดเผยแก่ท่านถึงสิ่งนั้นๆ ทั้งสองจึงได้ออกเดินทางไปตามชายฝังทะเล ต่อมาได้มีเรือลำหนึ่งผ่านมา จึงได้เจรจากับพวกเขา ขออาศัยไปด้วย พวกเขารู้จัก อัลคอดิร จึงให้อาศัยไปโดยไม่คิดค่าโดยสาร เมื่อทั้งสองได้โดยสารอยู่ในเรือลำนั้น ทันใดนั้นโดยไม่คาดฝัน อัลคอดิรได้ลอดไม้แผ่นหนึ่งจากไม้เรือด้วยขวาน มูซาจึงได้กล่าวแก่เขาว่า  พวกหนึ่งได้บรรทุกเรามาโดยไม่คิดค่าโดยสาร ท่านมุ่งไปที่เรือของ พวกเขา เพื่อเจาะมัน เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในเรือจมนํ้า ขอสาบานว่า ความจริงท่านได้กระทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย[449] อัลคอดิร ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าไม่ได้บอกไว้หรือว่า ความจริงท่านจะไม่สามารถอดทน อยู่กับข้าพเจ้าได้                                                                  มูซาได้กล่าวว่า  ขอท่านได้โปรดอย่าเอาผิดข้าพเจ้าเลยในสิ่งที่ข้าพเจ้าลืม และอย่าเข้มงวดทำความลำบากแก่งานของข้าพเจ้าเลย ผู้เล่าได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  และครั้งแรกนี้เกิดขึ้นจากมูซา โดยลืม ท่านนบีได้กล่าวว่า และได้มีนกกระจอก ตัวหนึ่งบินมาเกาะที่กาบเรือ และมันได้จิบนํ้าทะเลจิบหนึ่ง อัลคอดิรได้กล่าวแก่มูซาว่า  ความรู้ ของข้าพเจ้ากับความรู้ของท่าน ไม่อยู่ในความรู้ของอัลเลาะห์ นอกจากเท่ากับสิ่งที่นกกระจอกได้ ทำให้พร่องไปจากทะเลนี้ ต่อมาทั้งสองได้ออกจากเรือขณะที่ทั้งสองกำลังเดินอยู่ที่ชายฝั่ง อัลคอดิร ก็ได้เห็นเด็กคนหนึ่งกำลังอยู่กับเด็ก ๆ อัลคอดิร ได้ใช้มือจับศีรษะของเด็กนั้น แล้ว ดึงศีรษะออก และเขาก็ได้สังหารเด็กคนนั้น มูซาได้กล่าวแก่เขาว่า  ท่านได้สังหารชีวิตที่บริสุทธิ์ โดยไม่มีความผิด ขอยืนยันว่า ความจริงท่านได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายยิ่ง อัลคอดิร ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าไม่ได้บอกท่านหรือว่า ท่านจะไม่สามารลอดทนอยู่กับข้าพเจ้าได้ ท่านนบีได้กล่าวว่า  นี่รุนแรงกว่าครั้งแรก มูซา ได้กล่าวว่า  ถ้าหากข้าพเจ้าถามท่านอีกอย่างเดียวหลังจากนี้ ท่านก็ อย่าให้ข้าพเจ้าติดตาม เพราะความจริงท่านได้ถึงแล้ว ซึ่งคำแก้ตัวจากข้าพเจ้า[450] ทั้งสองได้ ออกเดินทางไปจนเมื่อทั้งสองได้เดินทางมาถึงชาวตำบลหนึ่ง[451] ทั้งสองได้เข้าไปขออาหารชาว ตำบลนั้น แต่พวกเขาไม่ยอมต้อนรับคนทั้งสองเป็นอาคันตุกะ และบุคคลทั้งสองได้พบกำแพง ที่กำลังจะพัง อยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้น อัลคอดิรได้ทำท่าด้วยมือตั้งกำแพงนั้นจนตรง มูซาได้กล่าวว่า  พวกหนึ่งที่เราได้มาหาพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่ยอมเลี้ยงอาหารเรา และไม่ยอมต้อนรับเราเป็น อาคันตุกะ ถ้าหากว่าท่านต้องการก็เรียกร้องเอาค่าจ้างซ่อมกำแพงได้ อัลคอดิร ได้กล่าวว่า  สิ่งนี้ คือสิ่งที่จะแยกระหว่างข้าพเจ้ากับท่าน ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะเฉลยปริศนาที่ท่านไม่อาจจะอดทนได้ ไห้ท่านทราบ[452] ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  เราหวังว่ามูซาจะมีความอดทน เพื่อ อัลเลาะห์จะได้เล่าเรื่องราวของบุคคลทั้งสองให้พวกเราได้ทราบ สะอีด บิน  ยุบัยรได้กล่าวว่า  อิบนุอับบาส เคยอ่านว่า และปรากฏว่าเบื้องหน้าของพวกเขามีกษัตริย์ที่จะคอยยึดเรือทีมสภาพดี ทุกลำโดยใช้กำลังบังคับ และเขาเคยอ่านว่า “ส่วนเด็กชายนั้นเป็นผู้ที่ไม่มีศรัทธาโดยบิดามารดา ของเขาเป็นผู้มีศรัทธา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอุบัยย์ บิน  กะอับ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าเด็กที่ อัลคอดิร ได้ สังหารนั้น ได้ถูกประกับในวันที่ถูกประกับว่า เป็นกาฟิร[453]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์ 

และอะบูดาวูดได้รายงานไว้ในเรื่องกำหนดสภาวะการณ์ โดยได้รายงานเพิมเติมว่า ถ้า หากเด็กนั้นมีช้วิดอยู่ ก์จะต้องทำให้บิดามารดาทุจริต และไม่ศรัทธา

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  แท้จริงที่เรียกว่า อัลคอดิร นั้นก็เพราะการที่เขานั่งอยู่บนพื้นดินสีขาว และพื้นดินใต้เขานั้นได้เกิดสั่นไหวขึ้น แล้ว กลายเป็นสีเขียว[454]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “พวกเขาพูดว่า โอ้ซุลกอรนัยน์ ความจริงยะอฺญูจ และ มะอฺญูจ เป็นพวกที่ทำความเสื่อมเสียในแผ่นดิน ดังนั้น พวกเราจะตั้งรางวัลไว้ให้แก่ท่าน โดย การทีท่านจะต้องสร้างกำแพงขวางกั้นระหว่างพวกเรากับพวกมัน เอาไหม เขาตอบว่า สิ่งที่ พระผู้อภิบาลของข้าฯ ได้มอบมันให้แก่ข้าๆนั้นดียิงกว่า ดังนั้น พวกท่านจงชั่วยเหลือข้าฯ อย่าง แข็งขันเถิด ข้าฯจะสร้างปราการขวางระหว่างพวกท่านกับพวกมัน”[455]

อัลเลาะห์ผู้ยิงใหญ่ทรงสัจจะ

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ในเรื่องกำแพงท่านกล่าวว่า พวก มันกำลังขุดอยู่ทุกวัน จนเมื่อพวกมันเกือบจะทำให้กำแพงทะลุ หัวหน้าของพวกมันจะกล่าว ว่า กลับกันเกิดพรุ่งนี้จึงค่อยทำให้มันทะลุ ต่อมาอัลเลาะห์ก็ให้กำแพงนั้น มีความแข็งแกร่ง ยิ่งกว่าเดิม จนเมื่ออัลเลาะห์ปรารถนาจะส่งพวกมันมาข่มเหงมนุษย์ ผู้เป็นหัวหน้าของพวกมัน จะกล่าวว่า กลับกันเถิดถ้าหากอัลเลาะห์ทรงประสงค์ พรุ่งนี้จึงค่อยทำให้มันทะลุ หัวหน้ามัน ได้กล่าวยกเว้น[456] พวกมันจะกลับไป และพบว่ากำแพงนั้นมีสภาพเหมือนขณะที่พวกมันได้ ปล่อย่ไวั พวกมันกจะทะลุกำแพงออกมาข่มเหงมนุษย์ พวกมันจะดื่มนํ้าทั้งหลายมนุษย์จะพา กันหลบหนีพวกมัน และพวกมันจะยิงลูกธนูของพวกมันข็้นไปในท้องฟ้า มันจะตกกลับลงมา ในสภาพที่อาบเลือด พวกมันจะกล่าวว่า พวกเรากดขี่ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินและอยู่เหนือกว่าผู้ที่ อยู่ในท้องฟ้า ด้วยความทรนงและยะโส อัลเลาะห์จะส่งหนอนลงมารังควานพวกมันที่ต้นคอ ของพวกมัน[457] และพวกมันก็จะพินาศ ขอสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของ พระองค์ว่า แท้จริง สัตว์เลื้อยคลานในแผ่นดินจะอ้วนพีและเต็มไปด้วยเนี้อ[458]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน 

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “จงประกาศเถิดว่า เราจะแจ้งแก่พวกท่านด้วยพวกที่มีพฤติกรรมที่ขาดทุนไหม คือพวกที่ความเพียรพยายามของพวกเขาหลงอยู่ในชีวิตทางโลกนี้โดย พวกเขาคิดว่าพวกเขากระทำดี”[459]

มุสอับ บิน  สะอัด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามบิดาของข้าพเจ้าว่า พวกเขาคือ พวก อัลฮะรูรียะห์ หรือ บิดาข้าพเจ้าตอบว่า ไม่ใช่ พวกนั้น คือ ยะฮูดและนะซอรอสำหรับพวกยะฮูดได้กล่าวหาว่ามุฮัมมัด ซ.ล.  โกหก ส่วนนะซอรอ ได้ทรยศต่อสวรรค์และกล่าวว่า ไม่มีอาหารและเครื่องดื่มในสวรรค์ และพวกอัลฮะรูรียะห์ คือพวกที่ทำลายสัญญาของอัลเลาะห์ หลังจากได้ให้คำมั่นต่อสัญญานั้นแล้ว และสะอัดเคยเรียกพวกเขาว่า เป็นพวกที่ขาดทุน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และฮากิม

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จรังจะมีผู้ที่ใหญ่โต และอ้วนพีในวันกิยามะห์ ซึ่งเขาจะไม่มีนํ้าหนัก สำหรับอัลเลาะห์สักเท่าปีกยุง และท่านได้กล่าว ว่า ท่านทั้งหลายจงอ่าน “และเราจะไม่ตั้งนํ้าหนักแก่พวกเขาเลยในวันกียามะห”[460]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

อัลเลาะห์ตะอาลาใต้ตรัสว่า “แท้จริงบรรดาผู้มีศรัทธาและกระทำคุณความดีต่างๆ สวรรค์ อัลฟิรเดาส์จะเป็นที่พำนักของพวกเขา โดยพวกเขาจะอยู่ในนั้นอย่างถาวร พวกเขาจะ ไม่หาลู่ทางออกจากมันเลย”[461]

เล่าจากอะบีสะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงชายคนหนึ่งที่เป็น ชาวสวรรค์ชั้น อิ้ลลียีน เขาจะโผล่หน้าไปหาชาวสวรรค์ และสวรรค์นั้นจะสว่างไสวด้วยใบหน้า ของเขาคล้ายเป็นดวงดาวที่สุกใส และแท้จริงอะบูบักร และอุมัรก็เป็นส่วนหนึ่งของชาวสวรรค์ชั้นอิลลียีนด้วย และเกินกว่า 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกกุเรชได้กล่าวแก่พวกยะฮูดว่า จงให้คำแนะนำ แก่พวกเราด้วยสิ่งหนึ่ง เพื่อเราจะได้นำมันไปถามชายคนนี้ เขากล่าวว่า พวกท่านจงไปถามเขา เกี่ยวกับวิญญาณ ต่อมาพวกกุเรชก็ได้ไปถามนบี อัลเลาะห์ได้ประทานลงมาว่า “และพวกเขา จะถามท่านเกี่ยวกับวิญญาณ จงตอบว่า วิญญาณเป็นกิจการของพระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า และ พวกท่านไม่ได้รับความรู้นอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”[462] พวกเขากล่าวว่า พวกเราได้รับความรู้ อย่างมากมาย คือ คัมภีร์ เตาร๊อต และผู้ใดได้เตาร๊อต แท้จริงเขาก็ได้รับความดีอย่างมากมาย จึงได้ถูกประทานลงมาว่า “จงประกาศเถิดถ้าหากนํ้าทะเลกลายเป็นนํ้าหมึก สำหรับบันทึกถ้อยคำต่างๆ ของพระผู้อภิบาลของข้าฯ แน่นอนนํ้าทะเลจะต้องหมดก่อนที่ถ้อยคำของพระผู้ อภิบาลของข้า จะหมดอย่างแน่นอน และแม้เราจะนำมันมาอีกเท่าหนึ่งที่เป็นนํ้าหมึกภ็ตาม”[463]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ในซูเราะห์ อัลอิสรออ

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ดังนั้นผู้ใดที่หวังจะพบผู้อภิบาลของเขา ให้เขาจงทำ ความดี และอย่านำผู้ใดมาตั้งภาคีในการทำอิบาดะห์ ต่อผู้อภิบาลของเขา”[464]

เล่าจากอะบี สะอีส บิน  อะบี ฟะฎอละห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่ออัลเลาะห์ได้-รวมมนุษย์ในวันกิยามะห์ เพื่อวันที่ไม่มีความสงสัยใดๆ ในวันนั้น ได้มีผู้ประกาศ ประกาศว่า ผู้ใดนำเอาผู้ใดมาตั้งภาคีในกิจกรรมที่ทำขึ้นเพื่ออัลเลาะห์ ให้เขาจงแสวงหาผลบุญ ของเขาเอาจากผู้อื่นนอกจากอัลเลาะห์เถิดเพราะความจริงอัลเลาะห์ไม่ต้องการการตั้งภาคีร่วม กับบรรดาภาคีทั้งหลาย[465]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และมุสลิม ในเรื่องสละโลกีย์

ซูเราะห์ มัรยม ร.ฎ. 

ด้วยนามของอ1ณลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอัลมุฆีเราะห์ บิน ชัวะอบะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ส่งข้าพเจ้าไปนัจรอน พวกเขาได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า พวกท่านไม่ได้อ่านหรือว่า “โอ้น้องสาวของฮารูน” และความจริงมันได้เกิดขึ้นระหว่างมูซากับอีชาสิ่งที่ได้เกิดขึ้น ข้าพเจ้าไม่ทราบ คำตอบ จึงได้กลับไปหาท่านนบี ซ.ล.  และข้าพเจ้าได้เล่าให้ท่านทราบ ท่านตอบว่า ขอให้ท่าน จงแจ้งแก่พวกเขาว่า แท้จริงพวกเขาเคยถูกตั้งชื่อตามบรรดานบีของพวกเขาและคนดีๆ ในยุค ก่อนพวกเขา

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ในเรื่องนี้ และมุสลิมในเรื่องมารยาท

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ความตายจะถูกนำมาใน สภาพเป็นแกะสีเทา จนมันถูกนำมาหยุดอยู่ที่กำแพง ซึ่งอยู่ระหว่างสวรรค์กับนรกได้มีผู้ประกาศป่าวประกาศว่า โอ้ชาวสวรรค์ทั้งหลาย พวกเขาจะชะเง้อคอมองดู ผู้ประกาศจะกล่าวถาม ว่า พวกท่านรู้จักสิ่งนี่ไหม           พวกเขาจะตอบว่า ครับนี่คือความตาย และพวกเขาทั้งหมดก็ได้เห็นความตาย ต่อจากนั้นมันจะถูกจับนอนตะแคง และมันก็ถูกเชือด505 จากนั้นผู้ประกาศ จะป่าวประกาศว่า เป็นนิรันดร ไม่มีความตายอีกต่อไป และโอ้ชาวนรกทั้งหลาย เป็นนิรันดร ไม่มีความตายอีกต่อไป หลังจากนั้น ท่านได้อ่าน “และท่านจงเตือนพวกเขาเถิดให้ระวังในวันที่ โศกสลด ขณะเมื่องานชิ้นนั้นถูกจัดการ โดยพวกเขาตกอยู่ในความเผลอไผล” เขาที่ตกอยู่ในความ เผลอไผล คือชาวโลก “โดยพวกเขาไม่ศรัทธา”

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และติรมีซีได้รายงานเพิ่มเติมว่า ดังนั้น ถ้าแม้ว่าไม่มีการที่อัลลอฮ์ได้กำหนดให้ชาวสวรรค์ มีชีวิตอยู่ ในสวรรค์และคงถาวรแล้ว พวกเขาจะต้องตายเพราะความดีใจ และถ้าแม้ไม่มีการที่อัลลอฮ์ ได้กำหนดให้ชาวนรกมีชีวิตอยู่ในนรกและคงถาวรแล้ว พวกเขาจะต้องตายด้วย ความโศกเศร้า อย่างแน่นอน

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และเจ้าจงอ่านเรื่องราวของอิดรีสในคัมภีร์เถิด แท้จริงเขา เป็นผู้มีความศรัทธาเชื่อมั่นแท้จริง อีกทั้งเป็นนบี และเราได้ยกย่องเขาอยู่ในตำแหน่งอันสูงส่ง”508

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนปี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า “ขณะเมื่อเขาได้นำข้าพเจ้าเมียะอุรอจ ข้าพเจ้าได้พบอิดริสอยู่ในฟ้าชั้นที่สี่” 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ว่า แท้จริงท่านได้กล่าวแก่ญิบรีลว่า อะไรขัดขวางท่านที่จะมาเยี่ยมพวกเรา เกินกว่าที่ท่านเคยเยี่ยมพวกเรา จึงได้ลงมาว่า “และเรา จะไม่ลงมา นอกจากโดยคำสั่งผู้อภิบาลของท่าน พระองค์มีกรรมสิฑธํ่ในสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเรา สิ่งที่อยู่เบื้องหลังเรา และที่อยู่ระหว่างนั้น”[466]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

อัชซุดดีย์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ลามอัลฮัมดานีย์ครั้งหนึ่ง ถึงคำดำรัสของอัลเลาะห์ ตะอาลาที่ว่า “ไม่มีใครจากพวกท่านนอกจากต้องผ่านมัน” เขาได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า อับดุลเลาะห์ บิน มัสอูด ร.ฎ. ได้เล่าให้พวกเขาฟังจากท่านนบี (ซล)ได้กล่าวว่า มนุษย์จะมาที่ขุมนรก หลังจากนั้น พวกเขาจะออกไปตามผลแห่งการกระทำของพวกเขา คนแรกของพวกเขา ประดุจ สายฟ้าแลบต่อมาเหมือนลมพัด ต่อมาเหมือนม้าวิงเต็มเหยียด ต่อมาเหมือนผู้ข้บขี่พาหนะ ต่อ มาเหมือนคนวิ่งและต่อมาเหมือนคนเดิน 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

คอบบาบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเคยเป็นช่างเหล็กอยู่ที่มักกะห์ และข้าพเจ้าได้ทำ ดาบเล่มหนึ่งให้แก่ อาส บิน  วาอิล ข้าพเจ้าจึงได้มาขอให้เขาใช้หนี้ เขาได้กล่าวว่า ข้าฯจะ ไม่ยอมให้เจ้าจนกว่าเจ้าจะทรยศต่อมุฮัมมัด ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้า จะไม่ทรยศจนกว่าอัลเลาะห์จะให้เจ้าตายไป และชุบชีวิตเจ้าขึ้นมา เขาได้กล่าวว่าดังนั้น เจ้า จงปล่อยข้าเถิดจนกว่าข้าจะตาย และถูกชุบขัวิตขึ้นอีก และต่อเมื่อข้ามีทรัพย์สินและลูกหลานแล้ว ข้าจะใช้หนี้ให้เจ้า จึงได้ลงมาว่า “ท่านเห็นว่าประหลาดไหมผู้ที่ได้ปฏิเสธเครื่องหมาย ต่าง ๆ ของเรา แล้วกล่าวว่า ข้าจะต้องได้ทรัพย์และลูกอย่างแน่นอน เขารู้สิ่งเร้นลับหรือ หรือเขาได้เอาสัญญาไว้กับ ผู้ทรงเมตตา”[467]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และเป็นไปไม่ได้ทีผู้ทรงเมตตาจะมีบุตร  ไม่มีทุกสิ่ง ที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดิน นอกจากจะมาสู่ผู้ทรงเมตตา ด้วยความนอบน้อม แน่นอนพระองค์ ได้สำรวจพวกเขาและได้นับ.จำนวนพวกเขาไว้แล้วอย่างจริงจัง”[468]

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ตะอาลา ได้ตรัสว่า ถูกหลานของอาดัมได้ด่าเรา และไม่บังควรทีเขาจะด่าเรา และกล่าวหาว่าเราโกหก โดยไม่บังควรแก่เขา การที่เขาด่าคือการที่เขากล่าวว่า เรามีบุตร  และทีเขากล่าวหาว่าโกหก ก็คือที่เขากล่าวว่า เขาจะไม่ต้องกลับมาสู่เราเหมือนที่เขาได้เริ่มต้นที่เรา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ในเริ่องเริ่มสร้าง

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่ออัลเลาะห์รัก บ่าวคนใด พระองค์จะแจ้งให้ญิบรีลทราบว่าแท้จริงเรารักคนนั้น รุ ดังนั้นเจ้าจงรักเขาเถิด ผู้เล่า ได้กล่าวว่า ต่อมาญิบรีลจะประกาศในชั้นฟ้า และความรักในตัวเขาก็จะลงมาสู่ชาวดิน[469] และ นั่นเป็นคำดำรัสของพระองค์ทีว่า “แท้จริงบรรดาผู้ที่มีศรัทธาและทำแต่ความดีพระผู้มีเมตตา จะให้ความรักแก่พวกเขา”[470] และเมื่ออัลเลาะห์กริ้วโกรธบ่าวคนใด พระองค์จะแจ้งให้ ญิบรีล ทราบว่า แท้จริงเราโกรธกริ้วคนนั้นๆ ต่อมาญิบรีลจะประกาศในชั้นฟ้า และความกริ้วโกรธเขาจะลงมาสูชาวดิน[471]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ซูแราะห์ ตอฮา อ.ล

ในนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  กลับจาก สงคราม คอยบัร ท่านได้ออกเดินทางในคืนหนึ่งจนง่วงนอน ท่านจึงสั่งหยุดเพื่อพักผ่อนแล้ว ท่านได้กล่าวว่า โอ้บิลาล ท่านจงคุ้มกันพวกเราในคืนนี้ ต่อมา บิลาลได้ละหมาดและได้เอนร่างพิงกับพาหนะของเขาโดยหันหน้าไปทางแสงอรุณ แต่ตาทั้งสองข้างของเขาหนักอื้งและหลับไป โดยไม่มีใครจากพวกเขาตื่นขึ้นเลย ท่านนบี ซ.ล.  ได้ตื่นขึ้นเป็นคนแรก แล้วกล่าวว่า โอ้ บิลาล เขาตอบว่า ขอเอาบิดาของข้าพเจ้าไถ่ตัวท่านโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ผู้ที่ทำให้ท่านหลับ ก็คือผู้ที่ ทำให้ข้าพเจ้าหลับ หลังจากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงย้ายที่พักเถิดต่อมาท่านก็ได้สั่งหยุด ท่านได้อาบนํ้าละหมาดและได้ทำละหมาด หลังจากนั้นก็ได้ละหมาด อีกเหมือนที่ละหมาดในเวลา เสร็จแล้วท่านได้กล่าวว่า “จงดำรงละหมาดเพื่อเป็นการระลึก ถึงเรา”[472]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และเราได้คัดเลือกท่านเพื่อเป็นศาสนทูตของเรา”[473]

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มูซาได้โต้เถียงกับ อาดัม โดยกล่าวแก่อาดัมว่า ท่านเป็นต้นเหตุที่ทำให้มนุษย์ถูกขับออกจากสวรรค์ด้วยบาปของท่าน และท่านได้ทำชั่วไว้กับพวกเขา อาดัมได้กล่าวว่า โอ้มูซา ท่านเป็นผู้ที่อัลเลาะห์ได้คัดเลือกท่านให้เป็นศาสนทูตของพระองค์ เป็นผู้ที่ได้สนทนากับพระองค์เช่นนี้แล้ว ท่านยังจะ ประณามข้าพเจ้าในงานชิ้นหนึ่งที่อัลลอฮ์ ได้บันทึกไว้แล้ว หรือกำหนดไว้แล้วแก่ข้าพเจ้า ก่อนที่พระองค์จะสร้างข้าพเจ้าหรือ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า อาดัม มีหลักฐานเหนือ กว่า มูซา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม 

ซูเราะห์ อัลอัมบิยาอ ซ.ล. 

ในนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “พวกเขากล่าวว่าโอ้ความพินาศของเรา แท้จริงพวกเรา เป็นพวกทุจริต”[474]

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่าความพินาศ (อัลวัยล์) คือ ลำธารหนึ่ง1ในนรกญะฮันนัม ที่ผู้ร้ศรัทธาจะต้องลงไปในนั้นเป็นเวลาสี่สิบปี                                                                    ก่อนจะถึงกัน

ของมัน

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าท่านนบี ซ.ล.  และ เขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ความจริงข้าพเจ้ามีทาสสองคน พวกเขาโกหกข้าพเจ้า ทุจริตข้าพเจ้า ทำชั่วต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงด่าและทุบตีพวกเขา ข้าพเจ้ากับพวกเขาจะเป็นอย่างไร ท่านตอบว่า สิ่งทีพวกเขาทุจริตท่าน ทำชั่วต่อท่านและโกหกท่าน กับการที่ท่านลงโทษพวก เขาจะต้องถูกสอบสวน ดังนั้น ถ้าหากการที่ท่านลงโทษพวกเขา เท่ากับความผิดของพวกเขา ก็เป็นอันยุติเพียงนั้น ไม่เป็นประโยชน์และไม่เป็นโทษแก่ท่าน แต่ถ้าหากการที่ท่านลงโทษพวกเขาต่ำกว่าความผิดของพวกเขา นั่นเป็นความโปรดปรานของท่าน และถ้าหากการที่ท่านลงโทษ พวกเขาเกินกว่าความผิดของพวกเขา เกียรติของท่านจะถูกตัดทอนลงไปให้พวกเขา ชายผู้นั้น ถอยห่างออกไปเริ่มร้องไห้และส่งเสียง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านจงอ่านคัมภีร์ของอัลเลาะห์ที่ว่า “และเราจะตั้งตาชั่งแห่งความยุติธรรมไว้ เพื่อวันกิยามะห์ โดยจะไม่มีชีวิตใดถูกฉ้อฉลสิ่งใดเลย แม้มันจะมีนำหนักเพียงเมล็ดผักก็ตาม เราจะนำมันมา และพอแล้วที่เราเป็นผู้สอบสวน”[475] ชายผู้นั้นได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ไม่มีสิ่งใดที่จะดีแก่ตัวข้าพเจ้า และแก่พวกเขายิ่งกว่าการปลดปล่อยพวกเขา ข้าพเจ้าขอให้พวก ท่านเป็นพยานด้วยว่าพวกเขาเป็นอิสระทั้งหมด

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

ซูเราะห์ อัลฮัจญ์

ในนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอะบีสะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ตะอาลาตรัสว่า โอ้อาดัม เขาตอบว่า ขอรับพระองค์ท่านและยินดีปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ท่าน ความดี ทั้งหลายอยู่ในมือทั้งสองของพระองค์ท่าน จากนั้น พระองค์กล่าวว่า ท่านจงนำชาวนรกออกไป เขากล่าวว่า ชาวนรกคืออะไร พระองค์ตอบว่า ในทุกหนึ่งพัน มีเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน ในวันกิยามะห์เด็กจะผมหงอก หญิงที่มีครรภ์ทุกคนจะคลอดบุตร ของนางเอง เจ้าจะเห็นผู้คนทั้งหลายเมามาย ทั้งที่พวกเขาไม่ได้เมามาย แต่การลงโทษของอัลเลาะห์รุนแรง พวกเขา (อัครสาวก) ถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ใครจากพวกเราที่เป็นคนเดียวนั้น ท่านตอบว่า พวกท่านจงรับ ข่าวดีเถิด แท้จริงคนหนึ่งนั้นมาจากพวกท่าน และหนึ่งพันนั้นมาจากยะอฺญูจ และมะอฺญูจ หลังจาก นั้นท่านได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า ข้าพเจ้ามีความ หวังว่า พวกท่านจะเป็นหนึ่งในสี่ของชาวสวรรค์ พวกเราจึงได้กล่าวตักบีร”[476] ท่านได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ามีความหวังว่าพวกท่านเป็นหนึ่งในสามของชาวสวรรค์ พวกเราได้ตักบีรอีก ต่อมาท่าน ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ามีความหวังว่า พวกท่านจะเป็นครึ่งหนึ่งของชาวสวรรค์ และพวกเราก็ได้ ตักบีรอีก ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านในหมู่มนุษย์นั้นไม่ใช่อื่นใด นอกจากเหมือนเส้นผมสีดำ ที่อยู่ในหนังวัวสีขาว หรือเป็นเหมือนเส้นผมสีขาวอยู่ในหนังวัวสีดำ[477]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และตัวบทของติรมซีว่า จากทุกจำนวนหนึ่งพันจะมีเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคนอยู่ใน ขุมนรกและมีหนึ่งคนอยู่ในสวรรค์พวกเขา (อัครสาวก) รู้สึกเสียใจมากพวกเขาไม่ยอมแม้จะยิ้ม ให้เห็นพัน เมื่อท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ซ.ล.  ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับบรรดาอัครสาวกของท่าน จึง กล่าวว่า พวกท่านจงกระทำเถิด และจงรับข่าวดี ขอสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของมุฮัมมัดอยู่ใน เงื้อมมือของพระองค์ว่า ความจริงพวกท่านจะอยู่ร่วมกับสองสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ทั้งสองสิ่งนี้ ไม่เคยอยู่ร่วมกับสิ่งใดนอกจากมันทั้งสองจะต้องมีจำนวนมากกว่าสิ่งนั้น ทั้งสองนั้นคือ ยะอฺญูจ และมะอฺญูจ และผู้ที่ได้เสียชีวิตไปจากถูกหลานของอาตัม และถูกหลานของอิบลีส[478] มันจึง ทำให้พวกเขาคลายความเสียใจ จากบางสิ่งที่พวกเขาพบ และท่านนบีก็ได้กล่าวว่า พวกท่าน จงกระทำเถิด และจงรับข่าวดี สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของมุฮัมมัดอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า ท่านทั้งหลายในหมู่มนุษย์ไม่ใช่ชีวิตอื่นใด นอกจากมีสภาพเหมือนรอยแด่นข้างตัวอูฐ หรือเหมือนรอยแด่นที่เท้าสัตว์

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และมีส่วนหนึ่งของมนุษย์ชาติที่สักการะอัลเลาะห์อย่าง ลังเล ถ้าหากความดีงามเกิดขึ้นกับเขา เขาจะเกิดความสบายใจกับมัน และถ้าหากมีวิกฤติการณ์ เกิดขึ้นกับเขา เขาจะควํ่าหน้าลง เขาจะประสบกับความขาดทุนทั้งโลกนึ่และโลกหน้า นั่นเป็น ความขาดทุนที่ขัดแจ้ง”[479]

อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เคยมีชายคนหนึ่งมาที่นครมะดีนะห์ ถ้าหากภรรยาของ เขาคลอดถูกชาย และม้าของเขามีลูก เขาจะกล่าวว่า นี่คือศาสนาที่ดีงาม และถ้าหากภรรยาของเขาไม่คลอดถูก ม้าของเขาไม่มีลูกเขาจะกล่าวว่า นี่เป็นศาสนาที่ชั่วร้าย[480]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ทั้งสองพวกนี่เป็นคู่โต้เถียงกัน ที่พวกเขาได้โต้เถียงใน เรื่องเกี่ยวกับผู้อภิบาลของพวกเขา บรรดาผู้ไร้ศรัทธานั้น เสื้อผ้าจากไฟนรกจะถูกตัดให้พวก เขา (สวมใส่) น้ำเดือดจะถูกราดลงจากทางเบื้องบนศีรษะของพวกเขา สิ่งที่อยู่ในท้องของพวกเขา และผิวหนังจะถูกละลายด้วยน้ำมัน และมีท่อนเหล็กอีกมากมายเป็นของพวกเขา”

อะบู ซัรร์ เคยสาบานว่า แท้จริงอายะห์นี่ประทานลงมาในฮัมชะห์ กับเพื่อนทั้งสอง ของเขา และอุตบะห์กับเพื่อนทั้งสองของเขา ในวันที่พวกเขาได้ต่อสู้กันตัวต่อตัวในวันศึกที่บัตร[481]

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นคนแรกทีจะนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระผู้มีเมตตา เพื่อขอให้ตัดสินกรณีพิพาทนี่ในวันกิยามะท์ กอยส์ ได้กล่าวว่า และได้ลงมาในหมูพวกเขา ว่า “ทั้งสองพวกนี่เป็นคู่โต้เถียงกันที่พวกเขาได้โต้เถียงกันในเรื่องที่เกี่ยวกับผู้อภิบาลของพวก เขา” เขาได้กล่าวว่า “พวกนั้นคือพวกที่ได้ต่อสู้กันตัวต่อตัวกับศัตรูในวันบัดร์ ซึ่งได้แก่ อะลี ฮัมชะห์ และอุบัยดะห์ ฝ่ายหนึ่ง และซัยยะห์ บิน  รอบีอะห์ อุตบะห์ บิน  รอบีอะห์ และ อัลวะลีด บิน  รอบีอะห์ อีกฝ่ายหนึ่ง” 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอับดิลลาห์ บิน  ซุบัยร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า ความจริงที่เรียกว่า อัลบัยต์ อัลอะตีก เพราะไม่เคยมีผู้กดขี่คนใดได้เข้าปกครองมันเลย[482]

อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะเมื่อท่านนบี ซ.ล.  ถูกขับออกจากมักกะห์ อะบูบักร์ ได้กล่าวว่า พวกนั้นได้ขับนบีของพวกเขาออก แน่นอนเหลือเกินพวกนั้นจะต้อง พินาศอัลเลาะห์ได้ประทานลงมาว่า “บรรดาผู้ถูกรุกรานได้รับอนุญาต (ให้ทำการต่อต้าน) ทั้งนี่เพราะพวกเขาถูกทุจริต และแท้จริงอัลเลาะห์ ทรงเดชานุภาพยิ่งที่จะช่วยเหลือพวกเขา เป็นพวกที่ถูกขับไล่ไปจากบ้านเรือนของพวกเขา โดยไม่ชอบธรรม นอกจากการที่พวกเขาพูด ว่า ผู้อภิบาลเราคืออัลเลาะห์” อะบูบักร์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าทราบดีว่า มันจะต้องเกิดขึ้น[483]

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมีซี

ซูเราะห์ อัลมุอฺมินูน
มักกียะห์ มีหนึ่งร้อย สิบแปด อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ชัยชนะได้ตกเป็นของบรรดาผู้มีศรัทธาอย่างแน่นอน พวกเขาเป็นพวกที่สำรวมในการละหมาดของพวกเขา พวกเขาเป็นพวกที่หันเหออกจากสิ่งไร้ สาระ พวกเขาเป็นพวกที่จ่ายชะกาด พวกเขาเป็นพวกที่รักษาอวัยวะเพศของพวกเขา นอกจาก กับคู่ครองของพวกเขา หรือ ทาสหญิง ที่พวกเขาครอบครองอยู่ แท้จริงพวกเขาจะไม่ถูกประณาม ดังนั้น ผู้ใดแสวงหานอกเหนือไปจากนั้น พวกเขาเป็นพวกที่ละเมิด อีกทั้งพวกเขาเป็นพวกที่ รักษาความซื่อสัตย์และสัญญาของพวกเขา พวกเขาเป็นพวกที่ธำรงรักษาไวัชื่งการละหมาด ของพวกเรา พวกเหล่านั้น คือ ทายาทที่จะได้สืบทอดสวรรค์ อัลฟิเดาส์ เป็นมรดก โดย พวกเขาจะอยู่ในนั้นเป็นนิรันดร”[484]

อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  นั้นเมื่อมีวะฮีย์ลงมายังท่าน จะได้ยินอยู่เบื้องหน้าของท่านคถ้ายเสียงหึ่งของผื้ง และวะฮีย์ได้ถูกประทานลงมายังท่านในวันหนึ่ง พวกเราได้ หยุดคอยอยู่ครู่หนึ่ง ต่อเมื่อมันได้คลายออกจากท่านแล้ว ท่านได้ผินหน้าสู่กิบละห์ ยกมือทั้งสองขึ้นแล้วกล่าวว่า ข้า แด่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดเพิ่มให้พวกเรา อย่าตัดทอนพวกเรา ได้โปรดให้เกียรติพวกเราอย่าให้พวกเราตกตํ่า จงประทานให้เรา อย่าหวงเรา ได้โปรดเห็นแก่เรา อย่าเห็นผู้อื่นดีกว่าเรา ได้โปรดทำให้เราพอใจ และพึงพอใจเรา หลังจากนั้นท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า สิบอายะห์ได้ถูกประทานลงมายังข้าพเจ้า ผู้ใดผดุงรักษามันไว้[485] เขาได้เข้าสวรรค์ จากนั้นท่านได้อ่าน “ชัยชนะได้ตกเป็นของบรรดาผู้มีศรัทธาอย่างแน่นอน” จนจบสิบอายะห์

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า รูบัยเยียะอฺ บุตรสาว อันนัดร์ ได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  โดยบุตรชายของหล่อนคือ อัลฮารืษ ถูกสังหารในศึกบัดร์ด้วยถูกธนูที่ไม่รู้ว่าเป็นของใคร หล่อนได้กล่าวว่า ได้โปรดบอกข้าพเจ้าเกิดว่า ฮาริยะห์ (เป็นอย่างไร) ถ้าหากเขาได้รับความ ดี ข้าพเจ้ากีพอใจแล้ว และข้าพเจ้าจะอดทน และถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะขยันขอพร ท่าน นบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า โอ้มารดาของฮารืษะห์ แท้จริงมันคือสวรรค์ที่อยู่ในสวรรค์ แท้จริง บุตรชายของเธอ ได้รับสวรรค์อัลฟิรเดาส์ชั้นสูงสุด สวรรค์ฟิรเดาส์ คือ สวรรค์สูงสุดเป็น สวรรค์ทีงดงาม และเป็นสวรรค์ทีดีเยียม 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมีซี

เล่าจากอะบิฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า โอ้มนุษย์ชาติทั้งหลาย แท้จริงอัลเลาะห์ดี และพระองค์จะไม่ทรงรับ นอกจากสิ่งที่ดี และแท้จริงพระองค์อัลเลาะห์ ได้ทรงใช้บรรดาผู้มีศรัทธา ด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงใช้บรรดาศาสนทูต พระองค์ได้ตรัสว่า “โอ้ บรรดาศาสนทูตทั้งหลาย จงบริโภคจากสิ่งที่ดีต่าง ๆ และจงกระทำความดี แท้จริงเราทรงรอบรู้ ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ” และได้ตรัสว่า “โอ้บรรดาผู้ที่มีศรัทธาทั้งหลาย จงบริโภคจากสิ่งที่ดีต่าง ๆ ที่เราได้ประทานเครื่องยังชีพแก่พวกท่าน”[486] ผู้เล่าได้กล่าวว่า ท่านนบีได้กล่าวถึง ชายคนหนึ่ง เดินทางเป็นเวลานาน ผมเป็นกระเชิง เปื้อนฝุ่น เขายืดมือของเขาสู่ฟ้า ข้าแด่พระผู้อภิบาล ข้าแด่พระผู้อภิบาล โดยที่อาหารของเขาเป็นสิ่งต้องห้าม เครื่องดื่มของเขาเป็น สิ่งต้องห้ามเครื่องนุ่งห่มของเขาเป็นสิ่งต้องห้าม และได้รับการเลี้ยงดูด้วยสิ่งต้องห้าม เขาจะ ถูกตอบสนองอย่างไร เพราะดังกล่าวนั้น[487]

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม และติรมิซี

อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถึงอายะห์ นี้คือ “และบรรดาพวกที่บริจาคสิ่งที่พวกเขาได้รับ โดยหัวใจของพวกเขามีความหวาดหวั่น”[488]ข้าพเจ้ากล่าวว่า คือพวกเขาดื่มเหล้า และลักขโมยหรือ ท่านตอบว่า ไม่ใช่หรอกโอ้บุตรสาวของอัซซิดดีก แต่พวกเขาคือพวกที่ถือศีลอด ละหมาด และบริจาค โดยพวกเขากลัวว่า มันจะไม่ ถูกรับไปจากพวกเขา “พวกเขาเหล่านั้น จะชิงกันในความดีต่างๆ 

เล่าจากอะบี สะอีด อัลคุตรี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า และพวกเขาจะ อยู่ในนั้นด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว[489] ท่านได้กล่าวว่า ไฟนรกได้ย่างเขาจนริมสีปากบนของเขา จะถลกขึ้นไปถึงกลางศีรษะ และริมสีปากล่างจะห้อยลงไปจนตีสะดือของเขา

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมีซี

ซูเราะห์ อันนูร

มะดะนียะห์ มีหกสิบสอง หรือหกสิบสี่ อายะห์

ด้วยนามของอ้ณลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก มัรซัด บิน  อะบี มัรซัด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีผู้หญิงโสเภณีคนหนึ่งอยู่ที่นครมักกะห์ มีชื่อว่า อะนาก และ หล่อนเคยเป็นเพื่อนของข้าพเจ้า หล่อนได้พบข้าพเจ้าใน คืนหนึ่งที่นครมักกะห์ หล่อนได้กล่าวว่า ขอเชิญไปนอนค้างคืน กับเราคืนนี้ ข้าพเจ้าตอบว่า โอ้ อะนาก อัลลอฮ์ได้ทรงห้ามซินา และเมื่อข้าพเจ้าได้มาทีนครมะตีนะห์ ข้าพเจ้าได้ มาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ข้าพเจ้าจะสมรสกับ อะนาก ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  นิ่ง โดยไม่ตอบสิ่งใดข้าพเจ้าเลย จนได้ลงมาว่า “ชายผู้ผิด ประเวณีจะไม่สมรสนอกจากหญิงที่ผิดประเวณี หรือหญิงที่ตั้งภาคี และหญิงที่ผิดประเวณี จะไม่มีผูใดสมรสกับนาง นอกจากกับผู้ชายที่ผิดประเวณี หรือผู้ชายที่ตั้งภาคี และนั่นมันได้ถูก ห้ามเหนือบรรดาผู้มีศรัทธา”[490] ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า โอ้มัรซัด เจ้าอย่าสมรสกับหล่อน 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

เล่าจาก อิบนิอับบาส ร.ฎ. ว่า แท้จริง ฮิลาล บิน  อุมัยยะห์ ได้กล่าวหาภรรยา ของเขาว่าผิดประเวณี กับ ซะรีก บิน ซะห์มาอฺ ต่อท่านนบี ซ.ล.  ท่านนบี ซ.ล.  ได้ กล่าวว่า พยานหรือไม่ก็กำหนดโทษที่หลังของท่าน[491] เขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  เมื่อคนหนึ่งของพวกเราได้เห็นชายคนหนึ่งอยู่บนภรรยาของเขา เขาจะต้องไปหาพยานหรือ ท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า พยาน หรือไม่ก็กำหนดโทษที่หลังของท่าน ฮิลาลได้กล่าวว่า สาบาน ต่อผู้จงได้แต่งตั้งท่านด้วยสัจธรรม ข้าพเจ้าพูดจริง สาบานว่า อัลลอฮ์จะต้องประทานสิ่งที่ จะทำให้หลังของข้าพเจ้าพ้นจากกำหนดโทษ ต่อมาญิบรีล ได้นำอายะห์ลงมาว่า “และบรรดา ที่กล่าวหาภรรยาของตนว่าผิดประเวณี และพวกเขาไม่มีพยาน นอกจากตัวของพวกเขาเอง ดังนั้น พยานของคนหนึ่งจากพวกเขาก็คือ การยืนยันด้วยอัลลอฮ์สี่ครั้งว่าเขาเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ ที่พูดความจริง”[492] จากนั้นท่านนบี ซ.ล.  ได้หันกลับไป และท่านได้ส่งตัวแทนไปหาหล่อน (เพื่อนำตัวหล่อนมา) ฮิลาลได้มา และได้กล่าวคำยืนยัน ท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า แท้จริง อัลลอฮ์ทรงทราบว่า คนหนึงจากท่านทั้งสองโกหก จะมีใครจากท่านทั้งสอง รู้สำนึกตัวบ้าง หลังจากนั้นหล่อนได้ลุกขึ้นยืน และได้กล่าวคำยืนยัน ขณะเมื่อหล่อนถึงคำยืนยันครั้งที่ห้า พวกเขา ได้ให้หล่อนหยุดและพวกเขาได้กล่าวว่า ครั้งที่ห้านี้จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน หล่อนหยุด และลังเลจน พวกเราคิดว่า หล่อนคงกลับคำ[493] ภายหลังหล่อนได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะไม่ทำให้ พวกพ้อง ของข้าพเจ้าอับอายตลอดไป และหล่อนก็ได้กล่าวคำยืนยันที่ห้านั้น ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว ว่า ท่านทั้งหลายจงมองลูหล่อน ถ้าหากหล่อนคลอดบุตร ออกมามีขอบตาทั้งสองข้างสีดำ สะโพกทั้งสองข้างใหญ่ แข้งทั้งสองข้างหนา เด็กนั้นเป็นของ ซะรีก บิน  ซะห์มาอ ต่อมา หล่อนก็ได้คลอดบุตร ออกมาตามลักษณะดังกล่าวนั้น ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ถ้าหากไม่มีข้อกำหนดที่ดำเนินไปตามคัมภีร์ของอัลเลาะห์แล้ว ข้าพเจ้าจะต้องจัดการอย่างหนื่งกับหล่อน อย่างแน่นอน และได้เพิ่มเติมในบางรายงานว่า หลังจากนั้นท่านได้ตัดสินว่า ทารกนั้นเป็น ของผู้หญิง และท่านได้แยกทางระหว่างคนทั้งสองที่สาปส่งซึ่งกันและกัน จากนั้นซุนนะห์ก็ได้ ดำเนินไปในเรื่องมรดกว่า ทารกนั้นจะได้รับมรดกของหล่อน และหล่อนจะได้รับมรดกของ ทารกนั้นตามที่ อัลเลาะห์ได้กำหนดไว้ให้หล่อน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “แท้จริงบรรดาผู้ที่นำข่าวเท็จมานั้น ก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งของ พวกท่านนั่นเอง ท่านทั้งหลายอย่าคิดว่า มันเป็นสิ่งที่ชั่วช้าสำหรับพวกท่าน แต่มันกลับเป็น ความดีของพวกท่าน แต่ละคนจากพวกเขาจะได้รับสิ่งที่เขาได้พากเพียรไว้ จากบาปกรรม และ ผู้ที่ได้ดำเนินการในส่วนใหญ่ของข่าวเท็จนั้นเขาจะได้รับการลงโทษอันใหญ่หลวง”[494]

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  เมื่อต้องการออกเดิน ทางท่านจะจับฉลากระหว่างบรรดาภรรยาของท่าน ดังนั้นผู้ใดที่ได้ผลของการออกฉลาก ท่าน ก็จะนำภรรยาคนนั้นออกเดินทางไปกับท่าน ต่อมาท่านได้จับฉลากระหว่างพวกเราในสงคราม หนึ่งที่ท่านจะเดินทางไปทำศึก ปรากฏว่า ผลของการออกฉลากเป็นของข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้า จึงได้ออกไปกับท่าน หลังจากอายะห์ ที่ว่าด้วยการปกปิดอย่างมิดชิด (ฮิญาบ) ได้ลงมา ข้าพเจ้าได้ ถูกบรรทุกอยู่ในประทุน (บนหลังอูฐ) และเขาให้ข้าพเจ้าพักอยู่ในนั้น พวกเราได้เดินทางไปจน กระทั่งท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เสร็จสิ้นจากการทำสงครามของท่านในครั้งนั้น และท่านได้ เดินทางกลับ พวกเราได้เข้าใกล้นครมะดีนะห์ ท่านได้อนุญาตให้พักในคืนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ลุก ขึ้น ขณะที่ท่านอนุญาตให้หยุดพัก ข้าพเจ้าได้เดินทางไปจนพ้นกองทหารเมื่อเสร็จกิจของข้าพเจ้า ก็ได้มุ่งหน้ามายังพาหนะของข้าพเจ้าบังเอิญสร้อยคอของข้าพเจ้าทีทำมาจาภลูกปัดจากยะมันได้ ขาดไป ข้าพเจ้าจึงได้ค้นหาสร้อยคอของข้าพเจ้า และการติดตามค้นหามันได้หน่วงเหนียวข้าพเจ้า เอาไว้ ต่อมากลุ่มบุคคลที่เคยนำข้าพเจ้าเดินทางได้มุ่งมา และได้แบกประทุนของข้าพเจ้าขึ้น บรรทุกอูฐของข้าพเจ้าโดยพวกเขาคิดว่า ข้าพเจ้าอยู่ในประทุนนั้น พวกผู้หญิงในขณะนั้น มีรูปร่าง ผอม เนื้อไม่ได้ทำให้พวกหล่อนมีนํ้าหนัก ความจริงพวกหล่อนจะกินอาหารเพียงเล็กน้อย ดังนั้น คนพวกนั้นจึงไม่เฉลียวใจที่ประทุนนั้นเบา ขณะที่พวกเขายกมันขึ้น และข้าพเจ้าก็ยังเป็น เด็กผู้หญิง ที่มือายุน้อยพวกเขาได้ส่งอูฐและออกเดินทางไปต่อมาข้าพเจ้าได้พบสร้อยคอของ ข้าพเจ้า หลังจากกองทหารได้ออกเดินทางไปแล้ว ข้าพเจ้าได้มายังที่ๆ พวกเขาพำนักก็ไม่พบ ว่ามีผู้ใดเรียกหาและตอบคำเรียกหาอยู่ในที่นั้น[495] เลย ข้าพเจ้าจึงตั้งใจไปยังที่ๆ ข้าพเจ้าลงพัก โดยคิดว่าพวกเขาจะต้องรู้ว่าข้าพเจ้าหายไป และจะต้องกลับมาหาข้าพเจ้า ขณะทีข้าพเจ้ากำลังนั่งอยู่ในที่นั้น ข้าพเจ้าเกิดง่วงนอนและหลับไป และได้ปรากฏมี ชอฟวาน บิน  มุอัตตอล อัซชุละมีย์ อัชชิกวานิ เป็นผู้ตรวจการติดตามทองทหาร เขาได้มารุ่งเข้า ณ สกานที่ ๆ ข้าพเจ้าพัก อยู่ เขาได้เห็นดำตะคุ่มของคนหนึ่งนอนหลับอยู่ เขาจึงได้มายังข้าพเจ้า และรู้ว่าเป็นข้าพเจ้า ทันทีที่เขาเห็น เพราะเขาเคยเห็นข้าพเจ้าก่อนจากจะมีการปกปิดอย่างมิดชิด (ฮิญาบ) ข้าพเจ้า ตื่นขึ้นด้วยคำอิชติรยาอ ของเขา[496] ขณะที่เขารู้ว่าเป็นข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้คลุมหน้าด้วยผ้า คลุมของข้าพเจ้า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า เขาไม่ได้พูดกับข้าพเจ้าสักคำเดียว และข้าพเจ้าไม่ได้ ยินคำใดจากเขาเลยนอกจาก คำอิชติรยาอุของเขาเท่านั้น จนเขาได้นำพาหนะของเขามาคุกเข่า และเขาได้เหยียบที่ขาหน้าของมัน ข้าพเจ้าจึงได้ขนขี่มัน เขาได้เดินทางโดยจูงพาหนะทีมข้าพเจ้านั่ง อยู่จนเราได้มาถึงกองทหาร หลังจากพวกเขาได้ลงพัก ในยามที่ตะวันร้อนจัด และความพินาศ ก็ได้เกิดขึ้นแก่บุคคลที่พินาศ[497] และได้ปรากฏว่าผู้ที่ดำเนินการแพร่ข่าวเท็จก็คืออับดุลเลาะห์ บิน  อุบัยย์ บิน  ซะลูล ต่อมาพวกเราได้เข้าสู่นครมะดีนะห์ และข้าพเจ้าได้ล้มป่วยเป็นเวลา หนึ่งเดือน ประชาชนได้พากันโจษจัน ถึงคำพูดของบรรดาเจ้าของข่าวเท็จนั้น โดยข้าพเจ้าไม่ รู้สิ่งใดเลยจากเรื่องดังกล่าว และสิ่งที่ทำความสงสัยแก่ข้าพเจ้าในยามที่ข้าพเจ้าเจ็บป่วยก็คือ การที่ข้าพเจ้าไม่เห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  แสดงความอ่อนโยน ซึ่งข้าพเจ้าเคยได้เห็นขณะที่ ข้าพเจ้าป่วย ความจริงท่านจะเข้ามาหาข้าพเจ้า ท่านจะกล่าวสลาม แล้วกล่าวว่า หญิงคนนี้ของ พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากนั้นท่านก็กลับไปโดยข้าพเจ้าไม่รู้สึกถึงเรื่องที่ชั่วร้ายเลย จน ข้าพเจ้าได้ออกไปหลังจากข้าพเจ้าหายไข้ใหม่ๆ และอุมม์มิซเตาะห์ได้ออกไปกับข้าพเจ้าด้วย โดยมุ่งหน้าไปยัง อัลมะนาเชิยะอุ มันเป็นที่ถ่ายอุจจาระของพวกเรา[498] และพวกเราไม่เคยออกไป นอกจากคืนเว้นคืน นั่นก่อนที่เราจะสร้างสถานที่มิดชิดไว้ใกล้กับบ้านของพวกเราประเพณีของ เราก็เหมือนกับประเพณีของอาหรับยุคแรกๆ ในเรื่องการถ่ายอุจจาระนอกเมือง และพวกเรา ได้รับความรำคาญจากสกานที่มิดชิดที่สร้างไว้ที่บ้านของพวกเรา ข้าพเจ้ากับอุมม์ มิซเตาะห์ บิน  อุซาซะห์ ซึ่งเป็นบุตรสาวของอะบีรุห์ม บิน  อับดิมะนาฟ และมารดาของหล่อนเป็น น้าสาวของอะบีบักร์ อัซซิดดีก และข้าพเจ้ากับอุมม์ มิซเตาะห์ ได้มุ่งหน้ามายังบ้านของข้าพเจ้า โดยเราได้เสร็จกิจของเราแล้ว ต่อมา อุมม์มิซเตาะห็ ได้หวีผมพลาด และหล่อนได้กล่าวว่า มิชเตาะห์จงพินาศ[499] ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวแก่หล่อนว่า สิ่งที่เธอพูดนั้นเลวมาก เธอจะด่าคนที่ ปรากฏตัวในสงครามบัดร์หรือ หล่อนกล่าวว่า โอ้ท่านหญิง ท่านไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดหรือ ข้าพเจ้ากล่าวว่า เขาพูดอะไร   และหล่อนก็ได้เล่าให้ข้าพเจ้าทราบถึงคำพูดของพวกทีกุข่าวเท็จชื้นมา อาการป่วยของข้าพเจ้าได้เพิ่มกับทวีอาการป่วยเดิมที่มีอยู่ เมื่อข้าพเจ้ากลับบ้าน และ ท่านรอซุลุ้ลเลาะห์ ซ.ล.  ได้เข้ามาหาข้าพเจ้า ท่านได้กล่าวสลาม จากนั้นท่านได้กล่าวว่า หญิงของพวกท่านคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ท่านจะยอมให้ข้าพเจ้าไปหาบิตามารดา ของข้าพเจ้าไหม หล่อนกล่าวว่า และข้าพเจ้าต้องการหาความมั่นใจในข่าวนั้นจากคนทั้งสอง ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  จึงได้อนุญาตให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้มาหาบิตามารดาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่มารดาว่า โอ้มารดาที่รัก ประชาชนได้พูดอะไรกันบ้าง มารดาตอบว่า โอ้ถูกรัก เธอจงทำตัวตามสบายเถิดสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า น้อยเหลือเกินที่หญิงคนหนึ่งที่มี ความงามอยู่กับชายคนหนึ่งที่เขารักหล่อน และหล่อนก็มีคู่แข่งหลายคน นอกจากคู่แข่งเหล่านั้นจะต้องพูดจาทับถมผู้หญิงคนนั้น ข้าพเจ้ากล่าวว่า ซุบฮานัลลอห์ ความจริงประชาชนได้พูด กันเรื่องนี้หรือ หล่อนได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าร้องไห้ตลอดทั้งคืนนั้นจนรุ่งเข้า โดยน้ำตาไม่ได้แห้งเลย และข้าพเจ้าก็ไม่ได้นอนเลย จนรุ่งเข้าข้าพเจ้าก็ยังร้องไห้อยู่ ต่อมาท่านรอซุลุ้ลเลาะห์ ซ.ล.  ได้เรียก อะลี บิน  อะบีตอลิบ และ อุซามะห์ บิน เชด ร.ฎ. เข้าพบขณะที่ วะฮีย์ ได้ชะงักไป เพื่อขอคำปรึกษาจากคนทั้งสอง เรื่องการแยกทางกับครอบครัวของท่าน สำหรับ อุชามะห์ไดให้คำปรึกษาว่า สาบานต่อผู้ซึ่งรู้ความพ้นมลทินของครอบครัวของท่าน และสาบานต่อ ผู้ซึ่งรู้ถึงความรักที่มีอยู่ในหัวใจของท่านที่มอบให้แก่ครอบครัว ต่อมาเขาได้กล่าวว่า โอ้ท่าน เราะซูลุลลอฮ์  จงรักษาครอบครัวของท่านไว้เถิดเราไม่รู้สิ่งใดเลยนอกจากความดีเท่านั้น ส่วนอะลี ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  อัลลอฮ์ไม่ได้ทำให้ท่านอับจน ผู้หญิงนอกจากหล่อนยัง มีอีกมาก และถ้าพวกท่านถามทาสหญิงนั้นก็จะให้ความจริงแก่ท่าน หล่อนได้กล่าวว่า ต่อมาท่าน เราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้เรียก บะรีเราะห[500] เข้าพบแล้วกล่าวว่า โอ้ บะรีเราะห์ เธอเคยเห็นสิ่ง ใดที่ทำให้เธอสงสัยไหม หล่อนตอบว่า ไม่เคยเลย สาบานต่อผู้ซึ่งทรงแต่งตั้งท่านด้วยสัจธรรม ข้าพเจ้าไม่เห็นสิ่งใดที่จะตำหนิหล่อนได้นอกจากการที่หล่อนเป็นเด็กผู้หญิงอายุยังน้อย นอน หลับโดยทั้งแป้งที่นวดแล้วของครอบครัวไว้จนสัตว์เลี้ยงมากินมัน ต่อมาท่านรอซุลัลเลาะห์ ซ.ล.  ได้ลุกชื้นยืนขออาสาสมัครเพื่อจัดการกับ อับดุลเลาะห์ บิน  อุบัยย์ บิน  ซะลูล ท่าน ได้กล่าวขณะอยู่บน มิมบัรว่า โอ้ประชาชนมุสลิมทั้งหลายมีผู้ใดบ้างที่อาสาต่อข้าพเจ้าเพื่อจัด การชายคนหนึ่งที่อันตรายของเขาได้เกิดแก่ข้าพเจ้าในครอบครัวของข้าพเจ้า[501] สาบานต่ออัลเลาะห์ ว่า ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักครอบครัวของข้าพเจ้า นอกจากความดีเท่านั้น และพวกเขาได้กล่าวถึงชาย คนหนึ่ง[502] ที่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักเขานอกจากความดีเท่านั้น และเขาไม่เคยเข้าไปหาครอบครัวของข้าพเจ้า นอกจากต้องมีข้าพเจ้าอยู่ด้วย สะอัด บิน มุอาช[503] ได้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า โอ้ท่าน เราะซูลุลลอฮ์ข้าพเจ้าขออาสาต่อท่านเพื่อจัดการกับเขาเอง ถ้าหากเขาเป็นคนในเผ่าเฮาส์ ข้าพเจ้า จะฟันคอเขา และถ้าหากเขาเป็นพี่น้องของเราจากเผ่าคอชร็อจ ขอท่านได้ปัญชาพวกเราเถิดพวกเราจะจัดการตามคำบัญชาของท่าน สะอัด บิน อุบาดะห[504]ได้ลุกขึ้น ก่อนนี้เขาเคยเป็น คนดี แต่ความคลั่งไคล้ในเรื่องเข้าข้างพวกพ้องได้เข้าครอบงำเขา และได้กล่าวแก่สะอัด (บิน  มุอาช) ว่า เจ้าโกหก สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า เจ้าฆ่าเขาไม่ได้ และไม่สามารถฆ่าเขาได้ อุซัยด์ บิน  ฮุดอยร์ ลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวแก่ สะอัด บิน  อุบาดะห์ว่า เจ้าโกหกสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า เราจะต้องฆ่าเขาได้ แน่แท้เจ้าคือคนหน้าไหว้หลังหลอก เจ้าเถียงแทนพวกหน้าไหว้หลังหลอก[505]ทั้งสองเผ่าเอาส์ และคอซร็อจ ต่างก็แสดงความโกรธแค้นซึ่งกันและกัน จนเกือบลงมือฆ่ากัน โดยที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ยังคงอยู่บนมิมบัร ท่านได้พยายามระงับพวกเขาเหล่านั้น จนสงบลง และท่านก็นิ่ง[506] หล่อนได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ร้องไห้อีกในวันนั้น โดยน้ำตาของข้าพเจ้าไม่ ได้ขาดสายเลย และข้าพเจ้าก็ไม่ได้หลับนอนเลย รุ่งเช้าบิดามารดาได้มาที่ข้าพเจ้า ทั้งที่ความจริง ข้าพเจ้าได้ร้องไห้มาแล้ว สองคืนกับหนึ่งวันทั้งสองท่านคิดว่า การร้องไห้คงทำให้หัวใจ (ตับ) ของข้าพเจ้าสลายลงแล้ว ขณะที่ท่านทั้งสองกำลังนั่งอยู่ที่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้ากำลังร้องไห้ ก็ได้ มีผู้หญิงชาวอัรซอรคนหนึ่งมาขออนุญาตเข้าพบ ข้าพเจ้าได้อนุญาตให้หล่อน และหล่อนก็ได้ นั่งร้องไห้อยู่กับข้าพเจ้า อาอิชะห์ได้กล่าวว่า ขณะที่พวกเราอยู่ในอาการอย่างนั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ก็ได้เข้ามาหาพวกเรา แล้วได้กล่าวสลาม จากนั้นได้นั่งลง โดยที่ท่านไม่เคยนั่งที่ข้าพเจ้าเลย ตั้งแต่เกิดข้อกล่าวหา ท่านอยู่หนึ่งเดือน โดยไม่มีวะฮีย์ประทานลงมายังท่านเกี่ยวกับเรื่อง ของข้าพเจ้า อาอิชะห์ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวคำปฏิญาณขณะที่ท่านนั่งลงแล้ว กล่าวว่า อนึ่งหลังจากนั้น โอ้ อาอิชะห์ ความจริงข้าพเจ้าได้ทราบข่าวเกี่ยวกับตัวเธออย่าง นั้นอย่างนี้553 และถ้าหากเธอเป็นผู้บริสุทธิ้ต่อไปอัลเลาะห์จะทรงให้เธอพ้นมลทิน ถ้าหากเธอ ได้กระทำบาปใดไว้ ให้เธอจงขออภัยโทษต่ออัลเลาะห์เถิดและจงกลับคืนสูพระองค์ เพราะ แท้จริงบ่าวของอัลเลาะห์นั้น เมื่อเขาสารภาพผิด และได้กลับตัวเข้าหาอัลเลาะห์แน่นอน พระองค์ จะรับการกลับตัวของเขา อาอิชะห์ได้เล่าว่า เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  พูดจบลง นํ้าตาของข้าพเจ้าได้เหือดหายไป จนไม่รู้สึกว่ามันเคยไหลสักหยดเดียว[507] ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่บิดาว่า จงตอบสนอง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ในสิ่งที่ท่านพูดเถิดบิดาของข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า จะพูดอะไรกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ข้าพเจ้าจึงกล่าวแก่มารดาว่า จง ตอบสนองท่านรอชุลลุ้ลเลาะห์ ซ.ล. เถิดมารดาของข้าพเจ้ากล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะพูด อะไรกับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  อาอิชะฮ์เล่าว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวโดยที่ขณะนั้นข้าพเจ้ายัง เปีนเด็กหญิงที่อายุยังน้อยไม่ได้อ่านอัลกุรอานมากว่า ความจริงข้าพเจ้าขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ข้าพเจ้าทราบดีกว่า พวกท่านจะต้องได็ยินคำพูดนี้ จนเกิดความมั่นคงภายในจิตใจของพวกท่าน และพวกท่านก็จะต้องเชื่อคำพูดนี้ ถ้าหากข้าพเจ้ากล่าวแก่พวกท่านว่า ข้าพเจ้าพ้นมลทิน โดย พระองค์อัลเลาะห์ก็ทรงทราบว่า ข้าพเจ้าพ้นมลทิน พวกท่านจะต้องไม่เชื่อข้าพเจ้าว่าเป็นอย่างนั้น และถ้าหากข้าพเจ้ายอมรับต่อพวกท่านด้วยเรื่องหนึ่งที่พระองค์อัลเลาะห์ทรงทราบว่า ข้าพเจ้า เป็นผู้บริสุฑธิ์ พวกท่านก็จะเชื่อข้าพเจ้า[508] สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้าไม่พบแบบอย่าง สำหรับพวกท่านนอกจากคำของบิดายูซุบที่ว่า “ความอดทนเป็นสิ่งที่งดงามยิ่ง”[509] พระองค์ อัลเลาะห์ทรงเป็นผู้ได้รับการขอร้องให้ช่วยเหลือให้พ้นจากสิ่งที่พวกท่านพรรณา อาอีชะห์เล่าว่า หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้หันหน้ากลับ และนอนตะแคงอยู่บนที่นอนของข้าพเจ้า[510] โดย ข้าพเจ้าทราบดีว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้บริสุทธํ่ แต่ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้าไม่เคยคิดมาก่อน เลยว่า อัลเลาะห์จะประทาน วะฮีย์ที่ถูกอ่านลงมาในเรื่องของข้าพเจ้า และเพราะเรื่องของข้าพเจ้า ตามความคิดของข้าพเจ้านั้น มันเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินกว่าที่อัลเลาะห์ จะต้องตรัสในตัวของ ข้าพเจ้าด้วยคำสั่งที่ถูกอ่าน แต่ข้าพเจ้าหวังว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  จะฝันเห็นขณะนอน หลับว่า อัลเลาะห์ทรงให้ข้าพเจ้าพ้นมลทิน อาสิชะห์เล่าว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ยังไม่ได้ลุกจากที่นั่งของท่าน และยังไม่มีผู้ใดจากบุคคลในครอบครัวออกไป จน กระทั่งวะฮีย์ได้ถูกประทานลงมายังท่าน และมันได้เข้าครอบงำท่าน สิ่งที่เคยครอบงำจากความรุน แรงของวะฮีย์ จนเหงื่อเม็ดโป้งๆ เหมือนเพ็ชร หลั่งออกมา ในวันที่หนาวจัด เนื่องจากคำพูด อันหนักหน่วงที่ถูกประทานลงมายังท่าน เมื่อมันได้คลายออกจากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  แล้ว ท่านหัวเราะ และคำแรกที่ท่านพูดกับอาอิชะห์ก็คือ โอ้อาอิชะห์ พระองค์อัลเลาะห์ได็ให้ เธอพ้นมลทินแล้ว มารดาของข้าพเจ้าได้กล่าวว่า เจ้าจงลุกไปหาท่าน[511] ข้าพเจ้าตอบว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะไม่ลุกไปหาท่าน และข้าพเจ้าจะไม่ขอบคุณผู้ใดนอกจากอัลเลาะห์ ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรเท่านั้น อัลเลาะห์ได้ประทานลงมาว่า “แท้จริงบรรดาผู้ที่นำข่าวเท็จมานั้น ก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งของพวกท่านนั่นเอง” รวมทั้งหมดสิบอายะห[512] เมื่ออัลเลาะห์ตะอาลา ได้ประทานสิ่งนี้ลงมาในความบริสุทธํ่ฃองข้าพเจ้า อะบูบักร์ อัซซิดดี๊ก ร.ฎ. ได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ข้าพเจ้าจะไม่จ่ายสิ่งใดแก่มิชเตาะห์อีกต่อไป หลังจากเขาได้กล่าวหาอาอีชะห์ โดยที่อะบูบักร์เคยจ่ายค่าเลี้ยงดูให้เขา เพราะเป็นญาติสนิท และเพราะเขายากจน อัลเลาะห์ ตะอาลาได้ประทานลงมาว่า “แล้วผู้ทีมีเกียรติและร่ำรวยของพวกท่านอย่าสาบานว่าจะไม่ให้ความอุปการะแก่ญาติสนิท บรรดาผู้ยากไร้ และบรรดาผู้อพยพในวิถีทางของอัลเลาะห์ ให้พวกเขา จงอย่าถือโทษและจงให้อภัย พวกท่านไม่ปรารถนาให้อัลเลาะห์อภัยโทษแก่พวกท่านหรือ อัลเลาะห์ ทรงอภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง”[513] อะบูบักร์ได้กล่าวว่า หามิใด้ข้าพเจ้าปรารถนาให้อัลเลาะห์ อภัยโทษแก่ข้าพเจ้า และอะบูบักร์ก็ได้จ่ายค่าเลี้ยงดูแก่มิชเตาะห์ ตามที่เขาเคยจ่ายให้ แล้วกล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้าจะไม่ถอนค่าเลี้ยงดูจากเขาตลอดไป อาอิชะห์ได้กล่าว ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยถาม ซัยนับ บิน ยะหฺช์ ถึงเรื่องข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า โอ้ ซัยหนับ เธอรู้อะไรบ้างหรือเห็นอะไรบ้าง       หล่อนกล่าวว่า ข้าพเจ้ารักษาหูและตาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่รู้อะไรนอกจากสิ่งที่ดีเท่านั้น อาอิชะห์เล่าว่า ซัยนับ เป็นผู้ที่เคยเชื่อว่าหล่อนมี ตำแหน่งเท่ากับข้าพเจ้า จากบรรดาภรรยาของท่านนบี ซ.ล.  และพระองค์อัลลอฮ์ได้คุ้มครอง หล่อนด้วยความเคร่งครัดในศาสนา ส่วนพี่สาวของหล่อน คือ ฮัมนะห์ ได้ต่อต้านหล่อน และ หล่อนได้พบกับความพีนาศในท่ามกลางบุคคลที่พินาศจากพวกที่เสนอข่าวเท็จ[514]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า เมื่อข้อแก้ตัวของข้าพเจ้าได้ลงมา ท่านรอซูลลุลเลาะห์ ซ.ล.  ได้ขึ้นยืนบนมิมบัร แล้วบอกเรื่องดังกล่าว ท่านได้อ่านอัลกุรอาน และเมื่อ ท่านลงมาจากมิมบัร ท่านได้ออกคำสั่งให้ลงโทษชายสองคนหญิงหนึ่งคน ดังนั้นพวกเขาจึงถูกโบยตามกำหนดโทษของพวกเขา[515]

รายงานโตย ติรมิซี ค้วยสายรายงานที่หะซัน

และเล่าจากเขา (อาอีชะห์) ได้กล่าวว่า พระองค์อัลเลาะห์จะประทานความเมตตา แก่ผู้หญิงที่อพยพรุ่นแรกๆ เมื่อได้ลงมาว่า “และพวกนางจะต้องลากผ้าคลุมศีรษะของพวก นางมาปิดกับที่คอเสื้อของพวกนาง”[516] พวกนางได้ฉีกผ้าห่มของพวกนางและนำมาทำเป็นผ้า คลุมศีรษะและในบางรายงานว่า พวกนางได้เอาผ้านุ่งของพวกนางมาฉีกทางด้านริม แล้วนำ มาทำเป็นผ้าคลุมศีรษะ 

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าอับดุลเลาะห์ บิน  อุบัยย์ บิน  ซะลูล มีทาสหญิงสองคน คนหนึ่งจากจำนวนสองคนนั้นชื่อมุอัยกะห์ และอีกคนหนึ่งชื่อ อุมัยมะห์ อัลดุลเลาะห์ได้บังคับทาสหญิงทั้งสองให้ผิดปรเวณี ต่อมาทาสหญิงทั้งสองได้ร้องเรียนต่อ ท่านนบี ซ.ล.  จึงได้ลงมาว่า “และท่านทั้งหลายอย่าบังคับทาสหญิงของพวกท่านให้ผิดประเวณี”[517]จนจบอายะห์ 

รานงานหะดีษโดยมุสลิม

ซูเราะห์ อัลฟุรกอน
มักกียะห์ มีเจ็ดสิบเจ็ดอายะห์
ด้วยนามของอลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “บรรดาผู้ที่ถูกนำไปรวมกันในสภาพที่คว่ำหน้าลง (ต่างเท้า) เข้าสู่ขุมนรกญะฮันนัม พวกเหล่านั้น มีสถานะที่ชั่วร้ายและอยู่ในแนวทางที่หลงผิดยิ่ง”[518]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าแท้จริงมีชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้นบีของอัลเลาะห์คนกาฟิรจะ ถูกนำมารวมในสภาพคว่ำหน้าลง (ต่างเท้า) อย่างไรในวันกิยามะห์ ท่านกล่าวว่า ผู้ที่ทำให้เขาเดินด้วยเท้าทั้งสองข้างในโลกนี้ จะไม่สามารถให้เขาควํ่าหน้าเดินในวันกิยามะห์หรือ กอตาดะห์ ตอบว่า หามิได้ขอสาบานต่ออำนาจพระผู้อภิบาลของเรา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามหรือท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถูกถามว่า บาปใดใหญ่ที่สุด ณ พระองค์อัลเลาะห์ ท่านตอบว่า คือ การที่ท่านตั้งภาคีต่ออัลเลาะห์ ทั้งที่พระองค์สร้างท่านขึ้นมา ข้าพเจ้ากล่าวว่า รองลงไปคือบาปใด ท่านตอบว่า คือการที่ท่านฆ่าบุตรของท่านเพราะกลัวเขาจะกินอาหารร่วมกับท่าน ข้าพเจ้ากล่าวว่า รองลงไปคือบาปใด ท่านตอบว่าคือการที่ท่านผิดประเวณีกับภรรยาเพื่อนบ้านของท่าน อับดุลเลาะห์ได้กล่าวว่า อายะห์ต่อไปนี้ได้ลงมายืนยันความสัจจะแห่งคำพูดของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  “และคือบรรดาผู้ที่ไม่สักการะพระเจ้าอื่นใด ร่วมกับอัลเลาะห์ และไม่สังหารชีวิตที่อัลเลาะห์ ทรงหวงห้าม นอกจากโดยธรรม และพวกเขาไม่ผิดประเวณี”[519]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

สะอีด บิน อุบัยย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชาวกูฟะห์ได้เกิดขัดแย้งกันในเรื่องการฆ่าผู้ที่มีศรัทธา ข้าพเจ้าได้เดินทางไปหาอิบนิอับบาส ร.ฎ. ในเรื่องนี้ เขาตอบว่า มีอายะห์ลงมา ในยุคสุดท้ายของวะฮีย์ที่ประทานลงมา โดยไม่มีสิ่งใดยกเลิกมัน และในบางรายงานว่า ข้าพเจ้า ถามเขาเกี่ยวกับดำรัสของอัลเลาะห์ตะอาลาว่า “ผู้ใดฆ่าผู้ที่มีศรัทธาโดยเจตนา ผลตอบแทนของเขาคือนรกญะฮันนัมเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล”[520] เขากล่าวว่า ไม่มีการกลับตัว (เตาบะห์) แก่เขา และถามเกี่ยวกับดำรัสของพระองค์ที่ว่า “และคือบรรดาผู้ที่ไม่สักการะพระเจ้าอื่นใด ร่วมกับอัลเลาะห์” เขากล่าวว่า อายะห์นี้หมายถึงในสมัยญาฮิลียะห์ และในบางรายงานว่า อายะห์ นี้ลงมาในพวกที่ทั้งภาคี 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และตัวบทของมุสลิมว่า ข้าพเจ้าได้ถาม อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่าผู้ที่ฆ่าผู้ที่ศรัทธาจะมีสิทธิ์เตาบะห์ไหม เขาตอบว่า ไม่มี ข้าพเจ้าจึงได้อ่านอายะห์หนึ่งในซูเราะห์อัลฟุรกอนให้เขาฟังคือ “นอกจากผู้ทีสำนึกผิด (เตาบะห)”[521]เขากล่าวว่า อายะห์นี้เป็น อายะห์มักกียะห์ ที่อายะห์มะดะนียะห์ได้มายกเลิกแล้ว คือ “และผู้ ใดฆ่าผู้มีศรัทธาโดยเจตนา” จนจบอายะห์

อิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่ออายะห์นี้ลงมา ชาวมักกะห์ได้กล่าวว่า ความจริง พวกเราได้ตั้งภาคีต่ออัลเลาะห์ และพวกเราได้สังหารชีวิตที่อัลเลาะห์ทรงหวงห้าม และพวกเราได้ กระทำสิ่งที่น่าบัดสี อัลเลาะห์จึงได้1ประทานลงมาว่า “นอกจากผู้ที่สำนึกผิด ได้มีศรัทธา ได้กระทำสิ่งที่ดี พวกเขาเหล่านั้น อัลเลาะห์จะทรงเปลี่ยนความชั่วต่างๆ ของพวกเขาเป็นความดี และพระองค์อัลเลาะห์ทรงอภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง”[522]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบู ดาวูด

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ห้าประการที่ผ่านพ้นไปแล้วนั่นคือ ควัน ดวงจันทร์ โรมัน เหตุการณ์รุนแรง และการลงโทษ และต่อไปก็จะมีแต่การลงโทษ[523]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

ซูเราะห์ อัชชุอะรออ
มักกยะห์ มีหนึ่งร้อยยี่สิบหกอายะห์
ด้วยพระนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายี่ง

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงอิบรอฮีม อ.ล  จะพบบิดาของเขาในวันกิยามะห์ บนร่างของเขามีหมอกควันปกคลุมอยู่ อิบรอฮีมจะกล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาล แท้จริงพระองค์ท่านได้สัญญากับข้าพเจ้าไว้ว่าจะไม่ทำให้ข้าพเจ้าตกต่ำในวันที่ พวกเขาถูกบังเกิดขึ้นใหม่ อัลเลาะห์จะตรัสตอบว่า “แท้จริงเราได้ห้ามสวรรค์เหนือพวกผู้ไร้ศรัทธา”[524]

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  บุตรชายของ ยุดอาน ใน สมัยญาฮิลียะห์นั้นเขาเคยติดต่อวงศ์ญาติ เคยให้อาหารคนยากจน การกระทำดังกล่าวจะเป็น ประโยชน์กับเขาไหม   ท่านตอบว่า จะไม่เกิดประโยชน์กับเขา เพราะความจริงเขาไม่เคยกล่าวสักวันเดียวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลได้โปรดอภัยในความผิดของข้าพเจ้าด้วยเกิดในวันตัดสิน[525]

รายงานหะดีษโดยมุสลิม ในภาคการศรัทธา

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้ลุกขึ้นยืน ขณะที่อัลลอฮ์ได้ประทานลงมาว่า “และเจ้าจงเตือนวงญาติที่ใกล้ชิดของเจ้า”[526] ท่านได้ กล่าวว่า โอ้ชาวกุเรชทั้งหลาย จงซื้อตัวของพวกท่านเอง ข้าพเจ้าไม่อาจป้องกันพวกท่านจาก อัลเลาะห์ได้เลยสักอย่างเดียว โอ้ ตระกูลของอับติ มะนาฟ ข้าพเจ้าไม่อาจป้องกันพวกท่านจาก อัลเลาะห์ได้เลยสักอย่างเดียว โอ้อับบาส บิน  อับดิ้ล มุตตอลิบ ข้าพเจ้าไม่อาจป้องกันท่านจาก อัลเลาะห์ได้เลยสักอย่างเดียว โอ้ ซอฟิยะห์น้าสาวของเราะซูลุลลอฮ์  ข้าพเจ้าไม่อาจป้องกันเธอ จากอัลเลาะห์ได้เลยสักอย่างเดียว โอ้ ฟาติมะห์ บุตรสาว ของ มุฮัมมัด จงขอฉันเถิดในสิ่ง ที่เธอปรารถนาจากทรัพย์สิน ฉันไม่อาจป้องกันเธอจากอัลเลาะห์ได้เลยสักอย่างเดียว 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ตัวบทของติรมีซีว่า โอ้ พวกตระกูลอับดิ้ลมุตตอลิบ พวกท่านจงช่วยตัวเองให้พ้นจากไฟนรก เพราะข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้ให้โทษ และให้คุณแก่พวกท่านได้ โอ้ฟาติมะห์ บุตรสาว มุฮัมมัด เธอจงช่วยตัวเองให้พ้นจากไฟนรกเถิดเพราะความจริง ฉันไม่ใช่ผู้ให้โทษ และให้คุณแก่เธอได้ ความจริงเธอมีเครือญาติ ที่ฉันจะต้องติดต่อเชื่อมสัมพันธ์ด้วยสิ่งต่างๆ ที่ฉันสามารถ

ซูเราะห์ อัลนัมล์
มักกยะห์ มีเก้าสิบกว่า อายะห์
ด้วยนามของอลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และเมื่อคำสั่งลงโทษได้อุบัติขึ้นแก่พวกเขา เราจะให้มีสัตว์ตัวหนึ่งออกมาจากแผ่นดิน มันจะพูดกับพวกเขาว่า แท้จริง มวลมนุษย์นั้น พวกเขาไม่เคย มีความเชื่อมั่นต่อหลักฐานต่างๆ ของเรา”[527]

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า จะมีสัตว์ตัวหนึ่งออกมา โดยมีแหวนของสุไลมาน และไม้เท้าของมูซาอยู่กับมัน สัตว์นั้นจะทำให้ใบหน้าของผู้มีศรัทธามีรัศมี และมันจะประทับตราที่จมูกของผู้ไร้ศรัทธาด้วยแหวนแม้กระทั่งเจ้าของ สำหรับอาหารจะมาร่วมกันเขาจะกล่าวว่า นี่ นี่ ของเจ้าโอ้ผู้มีศรัทธา และจะมีผู้กล่าวว่า นี่ นี่ ของเจ้าโอ้ผู้ไร้ศรัทธา และเขาจะกล่าวว่า นี่ โอ้ผู้ไร้ศรัทธา และนี่โอ้ผู้มีศรัทธา[528]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

ซูเราะห์ อัลกอซอซ
มักกยะห์ มีแปดสิบกว่าอายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวแก่ลุงของท่านคือ อะบี ตอลิบว่า จงกล่าวเกิดว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่เที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น เพื่อข้าพเจ้า จะเป็นพยานแก่ท่านในวันกียามะห์ เขากล่าวว่า ถ้าหากพวกกุเรชจะไม่ตำหนิข้าพเจ้า โดยพวกเขา จะกล่าวว่า ความจริงสิ่งที่ทำให้อะบุตอลิบเป็นอย่างนั้นได้ ก็คือความทุรนทุรายใกล้ตาย ข้าพเจ้า จะต้องทำให้ท่านสบายใจด้วยประโยคนั้น อัลเลาะห์ได้ประทานลงมา “แท้จริงท่านไม่อาจชี้นำ คนที่ท่านรักได้ แต่อัลลอฮ์จะชี้นำแก่ผู้ที่พระองค์ประสงค์”[529]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อุษมาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า “ผู้ใดเสียชีวิตโดยรู้ว่า ความจริงไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮ์ เขาได้เข้าสวรรค์[530]

รายงานหะดีษโดยมุสลิม ในเรื่องการศรัทธา

ซูเราะห์ อัลอันกะบูต
มักกียะห์ มีเก้าสับเก้า อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก มุสอับ บิน  สะอัด ร.ฎ. จากบิดาของเขาได้กล่าวว่า มีสี่อายะห์ที่ถูกประทาน ลงมาในเรื่องของข้าพเจ้า และเขาได้เล่าเรื่องว่า อุมม์ สะอัด ได้กล่าวว่า แท้จริง อัลเลาะห์ใช้ ให้ทำความดีไม่ใช่หรือ สาบานต่ออัลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะไม่รับประทานอาหารและจะไม่ดื่มเครื่องดื่ม จนกว่าข้าพเจ้าจะเสียชีวิต หรือ เจ้าทรยศ (ต่อศาสนาอิสลาม) เขาเล่าว่า เมื่อพวกเขาต้องการ ให้อาหารหล่อน พวกเขาจะต้องเปิดปากของหล่อน อายะห์นี่จึงได้ลงมา “และเราได้สั่งแก่มวลมนุษย์ให้ทำความดีต่อบิดามารดาของเขา และถ้าแม้ทั้งสองได้เคี่ยวเข็ญเจ้าเพื่อให้เจ้าตั้งภาคีต่อเราในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ เจ้าก็อย่าเชื่อฟังเขาทั้งสอง    มาสู่เราเท่านั้นที่เป็นแหล่งกลับคืนของพวกเจ้า และเราจะแจ้งให้พวกเจ้าได้รู้สิ่งทั่พวกเจ้าเคยกระทำไว้”[531]

รายงานหะดีษโดยมุสลิม และติรมิซี ในเรื่องความประเสริฐต่างๆ

เล่าจากอุมม์ ฮานิอฺ ร.ฎ. ในคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาสาที่ว่า “และพวกท่านจะนำ สิ่งต้องห้ามปฎิบัติในสถานที่ชุมนุมของพวกท่านหรือ ” เขาเล่าว่า “พวกเขาจะขว้างชาวดิน และเหยียดหยามพวกเขา”[532]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และท่านทั้งหลายอย่าโต้เถียงกับพวกที่ศรัทธาคัมภีร์ นอกจากด้วยสิ่งที่ดีกว่า”[533]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชาวคัมภีร์จะอ่านคัมภีร์เตารอด ด้วยภาษา อิบรอนียะห์ และจะอธิบายความหมายเป็นภาษาอาหรับแก่ชาวอิสลาม ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า พวกท่านอย่าเชื่อชาวคัมภีร์ และอย่ากล่าวหาพวกเขาว่าโกหก แต่ให้พวกท่านกล่าวว่า เราศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และสิ่งที่ถูกประทานลงมายังเรา” จนจบ อายะห์[534]

รายงานโคยบุคอรในภาคการยึดมั่น

ซูเราะห์อัรรูม

มักกียะห์ มีหกสิบอายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก ยันนาร บิน  มุกรอม อัลอัสละมีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อได้ลงมาว่า “อะลีฟ ลาม มีม โรมถูกพิชิตแล้ว ในแผ่นดินที่ใกล้ชิด (กับอาหรับ) และพวกเขาภายหลังจากถูกพิชิต แล้ว พวกเขาจะได้เป็นฝ่ายพิชิตบ้าง ในเวลาอีกไม่กี่ปี”[535] เปอร์เชิยขณะนั้นเป็นฝ่ายพิชิตโรม และฝ่ายมุสลิมมีความปรารถนาให้ฝ่ายโรมมีชัยชนะเหนือฝ่ายเปอร์เชีย เพราะฝ่ายมุสลิมและโรม เป็นชาวคัมภีร์เหมือนกัน ทั้งนี้เป็นไปตามคำดำรัสของอัลเลาะห์ตะอาลาที่ว่า “และในวันนั้น บรรดาผู้มีศรัทธาจะมีความดีใจ ในการช่วยเหลือของอัลเลาะห์ ชื่งพระองค์จะช่วยเหลือผู้ที่ พระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ทรงอำนาจยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง”[536] ส่วนฝ่ายกุเรชมี ความปรารกนา ให้ฝ่ายเปอร์เชียมีชัยชนะเพราะฝ่ายกุเรช และเปอร์เชียไม่ใช่ชาวคัมภีร์ และไม่ศรัทธาต่อการบังเกิดขึ้นใหม่  เมื่ออายะห์นี่ลงมา อะบูบักร์ ร.ฎ. ได้ออกไปประกาศทั่วๆ นครมักกะห์ว่า อะลีฟ ลาม มีม โรมถูกพิชิตแล้ว จนจบอายะห์ ได้มีประชาชนบางคนจากเผ่ากุเรชกล่าวแก่ อะบีบักรว่า นี่เป็นเรื่องระหว่างเรากับพวกท่าน เพื่อนของพวกท่านคิดว่าโรมจะพิชิตเปอร์เชีย ในเวลาอีกไม่กี่ปี ดังนั้น เราจะไม่เดิมพันกับท่านในเรื่องนี่หรือ อะบูบักร์ ตอบว่า หามิได้ และนั่นเป็นเหตุการณ์ก่อนที่จะมีการห้ามเล่นเดิมพัน อะบูบักร์ กับพวกผู้ตั้งภาคจึงรับท้าเดิมพัน

และพวกเขาก็ได้วางเดิมพันกัน พวกเขาได้กล่าวแก่ อะบีบักร์ ว่า เราจะกำหนดคำว่า “อีก ไม่กี่ปี” มีกำหนดกี่ปี เพราะคำนี่กินความตั้งแต่สามปีจนถึงเก้าปี ดังนั้นท่านจงระบุเป็นกลางๆ ระหว่าง พวกเรากับท่าน เพื่อเราจะใช้เป็นจุดยุติ ผู้เล่ากล่าวว่า พวกเขาได้ระบุกันในหมู่พวกเขาว่า หกปี ต่อมา เมื่อหกปีผ่านพ้นไป ก่อนที่โรมจะสามารถพิชิตเปอร์เช่ยได้ พวกผู้ตั้งภาคีจึงเป็นฝ่ายได้เดิมพัน ของอะบีบักร์ไป เมื่อเข้าปีที่เจ็ดฝ่ายโรมก็สามารถพิชิตเปอร์เชียได้[537] มุสลิมได้ตำหนิอะบีบักร์ ที่ระบุไปว่าหกปี เพราอัลเลาะห์ได้1ตรัสว่า ในอีกไม่กี่ปี” ผู้เล่ากล่าวว่า ได้มีประชาชนจำนวน มากเขาศาสนาอิสลามในขณะนั้น

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงคำว่า “อีกไม่กี่ปี” นั้น คือช่วงระหว่างสามปีถึงเก้าปี 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีทารกคนใด นอก จากจะถูกคลอดออกมาอยู่ในธรรมชาติบริสุทธิ์[538] บิดามารดาของทารกนั้น จะนำให้ทารกไป เป็นยะฮูดีหรือนัสรอนี หรือ เป็นผู้บูชาไฟเหมือนสัตว์ที่ถือกำเนิดขึ้นมามีรูปร่างสมบูรณ์ พวกท่านจะรู้สึกไหมว่ามันพิการ จากนั้นท่านกล่าวว่า “เป็นธรรมชาติของอัลเลาะห์ที่พระองค์ ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมายึดมั่นอยู่กับมัน ย่อมไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระบบการสร้างของอัลเลาะห์ นั่นคือศาสนาที่มั่นคง แต่มนุษย์ส่วนมากไม่รู้”[539]

รายงานหะดีษโดยบุคอรี

ซูเราะห์ ลุกมาน

มักกียะห์ มีสามสับสี่อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา กรุณายิ่ง

เล่าจากอะบี อุมามะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าขาย ทาสหญิงที่เป็นนักร้อง อย่าซื้อพวกหล่อน อย่าสอนพวกหล่อน และไม่มีความดีใดๆ ในการ ค้าขายพวกหล่อน และราคาของพวกหล่อนเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) ในเสมือนเรื่องดังกล่าว นี่ได้ถูกประทานลงมาว่า “มีบางคนที่เขาจะแลกเปลี่ยนคำพูดไร้สาระ เพื่อทำให้หลงจากแนวทางของอัลเลาะห์ โดยไม่มีความรู้”[540]จนจบอายะห์

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

   
   


 

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อได้ลงมาว่า “บรรดาผู้ที่ศรัทธาโดยไม่นำ เอาการศรัทธาของพวกเขาไปปะปนกับการทุจริต”588 การเช่นนั้นได้ทำความลำบากแก่บรรดา อัครสาวกของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  เป็นอย่างยิ่ง และพวกเขาได้กล่าวว่า ใครบ้างจาก พวกเราที่จะไม่นำเอาการศรัทธาไปปะปนกับการทุจริต ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ตอบ ว่า ความจริงมันไม่ใช่เช่นนั้น ท่านไม่ได้ยินหรือคำพูดของลุกมานที่ว่า “แท้จริงการตั้งภาคี คือการทุจริตอย่างใหญ่หลวง”589

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า กุญแจไขความลับมีห้าดอก จากนั้นได้อ่าน “แท้จริงพระองค์อัลเลาะห์นั้น ณ พระองค์คือความรู้เรื่องวันสิ้นโลก พระองค์จะ ให้ฝนตก พระองค์รู้สิ่งภายในมดลูก ไม่มีชีวิตใดรู้ว่า จะประกอบสิ่งใดในกันพรุ่งนี้ และไม่ มีชีวิตใดรู้ว่าจะตาย ณ ที่ใด แท้จริงพระองค์อัลเลาะห์ทรงรอบรู้ ทรงเที่ยวชาญยิ่ง”[541][542]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

ซูเราะห์ อัซซะยะดะห์
มักกียะห์ มีสามสิบอายะห์
ด้วยนามของอิสเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่า แท้จริงอายะห์นี้คือ “สีข้างของพวกเขาห่างเหินจากที่นอน”[543]ได้ลงมาในเรื่องการรอคอยละหมาดนี้ที่เรียกว่า อัลอะตะมะห์ (ละหมาดเวลาดึก)592

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ตะอาลา ตรัสว่า “เราได้เตรียมสำรองไว้ให้แก่บ่าวที่ดีของเรา ด้วยสิ่งที่ตาไม่เคยเห็น หูไม่เคยได้ยิน และมันไม่เคยผ่านเข้ามาในจิตใจของมนุษย์คนใดเพื่อเป็นมิ่งขวัญ พวกท่านจงสลัดสิ่งที่พวกท่านเคยเห็นทิ้งไป” จากนั้น ท่านได้อ่าน “ไม่มีชีวิตใดล่วงรู้ถึงสิ่งที่ถูกซ่อนเร้นไว้ให้เขาจากสิ่ง ที่เป็นความเย็นตา เป็นผลตอบแทนสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำไว้”[544]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอัลมุฆีเราะห์ บิน  ชุอ์บะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวบน มิมบัรว่า ข้าพเจ้าไดยินท่าน รอซูลุ้ลเลาะห์ ซ.ล.  กล่าวว่า แท้จริงมูซา อ.ล  ได้ถามพระผู้อภิบาลของเขาว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลสวรรค์ชั้นไหนต่ำที่สุด พระองค์ตอบว่า ชายคนหนึ่งจะมา ภายหลังจากชาวสวรรค์เข้าสวรรค์แล้ว จะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า เจ้าจงเข้าสวรรค์เถิด เขากล่าวว่า ข้าพเจ้าจะ เข้าได้อย่างไร ทั้งที่พวกเขาได้เข้าพักในที่พักของพวกเขาแล้ว                                  และได้สิ่งที่พวกเขาได้แล้ว มีผู้กล่าวแก่เขาว่า เจ้าจะพอใจไหมที่เจ้าได้เท่ากับกษัตริย์องค์หนึ่งจากบรรดากษัตริย์ในโลกดุนยา เขาตอบว่า ขอรับ ข้าแด่พระผู้อภิบาล ข้าพเจ้าพอใจแล้ว จะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า แท้จริงสิ่งนี้จะเป็นของเจ้าและอีกเท่าหนึ่ง อีกเท่าหนึ่ง และอีกเท่าหนึ่ง เขาจะกล่าวว่า ข้าพเจ้าพอใจ แล้ว ข้าแด่พระผู้อภิบาล จะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า แท้จริงสิ่งนี้จะเป็นของเจ้าและอีกสิบเท่า เขา กล่าวว่า ข้าพเจ้าพอใจแล้ว ข้า แด่พระผู้อภิบาล มีผู้กล่าวแก่เขาว่า แท้จริงเจ้าจะได้พร้อม กับสิ่งนี้คือสิ่งที่อารมณ์ของเจ้าอยาก และตาของเจ้ามีความสุข[545]

รายงานหะดีษโดยมุสลิม และติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า และขอยืนยันว่า เราจะต้องให้พวกเขาได้ลิ้มรสบางอย่าง จากการลงโทษขั้นต่ำ โดยไม่ใช่เป็นการลงโทษอันมหันต์เลย แน่นอนพวกเขาจะต้องกลับคืน”[546]

อุบัยย์ บิน  กะอับ ร.ฎ. ได้กล่าวในอายะห์นี้ว่า การลงโทษขั้นต่ำคือ ภัยพิบัติในโลกนี้ โรม เหตุการณ์รุนแรง หรือควัน595 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ในเรื่องลักษณะของกิยามะห์

ซูเราะห์ อัลอะห์ซาบ
มะดะนียะห์ มีเจ็ดสิบสามอายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

ได้มีผู้กล่าวแก่ อิบนิอับบาสร.ฎ. ว่า ได้โปรดบอกข้าพเจ้าถึงคำดำรัสของอัลเลาะห์ ตะอาลาที่ว่า “อัลเลาะห์ไม่ได้ทรงบันดาล ให้ชายคนหนึ่งมีสองหัวใจอยู่ในภายในของเขา”[547]การเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร เขาตอบว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ลุกขึ้นละหมาด ในวันหนึ่งท่านได้สะคุดใจขึ้นครั้งหนึ่ง[548] บรรดาผู้หน้าไหว้หลังหลอกที่ลหมาดพร้อมกับท่าน ได้กล่าวว่า ท่านไม่เห็นหรือว่า เขามีสองหัวใจ หัวใจหนึ่งอยู่กับพวกท่าน อีกหัวใจหนึ่งอยู่ กับพวกเขา[549] อัลเลาะห์จึงได้ประทานอายะห์นี้ลงมา 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

เล่าจากริบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่าแท้จริงเซต บิน  ฮาริษะห์ ทาสของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  นั้นพวกเราไม่เคยเรียกเขานอกจากจะเรียกว่า เชด บิน  มุฮัมมัด จนกระทั่งอัลกุรอาน ได้ลงมาว่า “ท่านทั้งหลายจงเรียกพวกเขาโดยพาดพิงกับบิดาของพวกเขา นั้นคือความยุติธรรม ณ พระองค์อัลลอฮ์”[550]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ไม่มีผู้ศรัทธาคนใด นอกจากข้าพเจ้าจะมีประโยชน์ยิ่งต่อเขา ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ท่านทั้งหลายจงอ่านเถิดถ้า ต้องการ “นบีนั้นย่อมมีความเมตตาต่อบรรดาผู้ที่มีศรัทธายิ่งกว่าตัวของพวกเขาเอง”[551] ดังนั้น ไม่ว่า ศรัทธาชนคนใด ทิ้งทรัพย์สินไว้จงให้ทายาทของเขาไม่ว่าจะเป็นผู้ใดรับมันไปเป็นมรดก

และถ้าหากเขาทิ้งหนี้สิน หรือครอบครัวที่ยากจนไว่ให้เขาจงมาหาข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเป็น ผู้ปกครองของเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าแท้จริง ลุงของเขา[552] ได้หายหน้าไป จากสงครามบัดร์ต่อมา เขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าหายหน้าไปจากสงครามครั้งแรกที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้ออก ทำสงคราม ขอยืนยันว่า ถ้าหากอัลเลาะห์ได้ให้ข้าพเจ้า ออกปรากฏตัวสู้รบกับพวกผู้ตั้งภาคี อัลเลาะห์จะต้องได้เห็นอย่างแน่นอนว่า ข้าพเจ้าจะกระทำอย่างไร ต่อมาเมื่อเกิดศึกในวันอุฮุด มุสลิมส่วนใหญ่ปราชัย เขาได้กล่าวว่า ข้า แด่พระองค์อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะต้องจัดการให้ พระองค์ท่านพ้นไปจากสิ่งที่พวกผู้ตั้งภาคีนำมา และข้าพเจ้าขออาสาต่อพระองค์ท่านเข้าจัดการ สิ่งที่พวกเหล่านั้นสร้างขึ้น จากนั้นเขาก็บุกตะลุยเข้าต่อสู้จนถูกสังหาร และได้พบในตัวเขามีมาก กว่าแปดสิบแผล ทั้งที่ถูกพ้นด้วยดาบ ถูกแทงด้วยหอก และถูกยิงด้วยธนู และพวกเราได้เคย พูดถึงตัวเขาและมิตรสหายของเขา ได้ลงมาว่า “บางส่วนของบรรดาผู้มีศรัทธานั้น มีผู้ชายหลายคน ที่มีความจริงจังต่อสิ่งที่พวกเขาได้สัญญาไว้กับอัลเลาะห์เหนือสิ่งนั้น บางคนของพวกเขามีผู้ที่ได้ปฏิบัติตามที่เขาบนไว้ และบางคนของพวกเขา มีผู้ที่รอคอย และพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงใดๆ เลย”[553]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจากเชด บิน  ชาบิต ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะเมื่อเราคัดลอกบรรดาแผ่นบันทึก ลงในมุชฮัฟต่าง ยุ ข้าพเจ้าได้พบว่ามือายะห์หนึ่งจากซูเราะห์ อัลอะห์ซาบ หายไป ซึ่งข้าพเจ้า เคยไดยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  อ่านมัน ข้าพเจ้าไม่พบว่ามันอยู่กับผู้ใดนอกจากอยู่ที่ คุมะห์ อัลอันซอรีย์ ซึ่งท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้นับการเป็นพยานของเขาเท่ากับการเป็นพยาน ของชายสองคน (อายะห์นั้นคือ) “บางส่วนของบรรดาผู้มีศรัทธานั้นมีผู้ชายหลายคนที่มีความ จริงจังต่อสิ่งที่พวกเขาได้สัญญาไว้กับอัลเลาะห์เหนือสิ่งนั้น” 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากอาอีชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ถูกบัญชาให้เลือก เอาบรรดาทีเป็นภรรยาของท่าน ท่านได้เริ่มเลือกข้าพเจ้าก่อน ต่อมาท่านได้กล่าวว่า ความ จริงข้าพเจ้าจะเตือนเธอเรื่องหนึ่งไม่เป็นไรที่เธอจะหน่วงไว้ก่อนจนกว่าเธอ จะได้ขอคำปรึกษาจาก บิดามารดาของเธอเสียก่อน อาอิชะห์กล่าวว่า ความจริงท่านนบีทรงทราบดีว่า บิดามารดา ของข้าพเจ้าจะไม่ใช้ให้ข้าพเจ้าแยกทางกับท่าน หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า แท้จริงพระองค์ อัลเลาะห์ ซึ่งการสรรเสริญพระองค์เป็นความยิ่งใหญ่ได้ตรัสว่า “โอ้ผู้เป็นนบี เจ้าจงกล่าว แก่บรรดาภรรยาของเจ้า” จนจบสองอายะห[554] ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ท่านว่า สิ่งใดที่ข้าพเจ้า จะขอปรึกษากับบิดามารดาของข้าพเจ้า เพราะความจริง ข้าพเจ้าปรารถนาอัลลอฮ์และศาสนทูต ของพระองค์ และโลกหน้า อาอิชะห์เล่าว่า ต่อมาบรรดาภรรยาของท่านนบี ซ.ล.  ก็ได้กระทำ เหมือนบีข้าพเจ้ากระทำ[555]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอุมัร บิน อะบี ซะละมะห์ ร.ฎ. ลูกเลี้ยงของท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่อ อายะห์นี้ได้ประทานลงมาที่ท่านนบี ซ.ล.  คือ “ความจริงอัลเลาะห์ทรงปรารถนาจะขจัดสิ่ง โสมมให้หมดสิ้นไปจากพวกท่าน โอ้ครอบครัว (ของศาสดา) และพระองค์ทรงปรารถนาให้ พวกเจ้าสะอาดอย่างแท้จริง”[556] อายะห์นื้ลงมาในบ้าน อุมม์ ซะละมะห์ ท่านได้เรียกฟาติมะห์ หะซันและ หุซัยน์และท่านได้คลุมร่างพวกเขาด้วย ด้วยเสื้อคลุมตัวหนึ่ง หลังจากนั้นท่านได้ กล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ พวกเขาเป็นบุคคลในครอบครัวของข้าพเจ้า ขอท่านได้โปรด ขจัดสิ่งโสมมให้พ้นไปจากพวกเขา และได้โปรดให้พวกเขาสะอาดอย่างแท้จริง[557] อุมม์ ซะละมะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าพร้อมกับพวกเขา โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านตอบว่า เธออยู่ในตำแหน่ง ของเธอ และเธอก็อยู่บนความดี

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  เคยเดินผ่านประตูบ้านของฟาติมะห์ เป็นเวลาหกเดือน ขณะเมื่อท่านออกไปละหมาดฟัจร์ ท่านจะกล่าวว่า จงลุกขึ้นละหมาด โอ้ คนในครอบครัว แท้จริงอัลลอฮ์ปรารถนาจะขจัดสิ่งโสมมให้พ้นไปจากพวกเจ้า โอ้คนในครอบครัว และพระองค์ปรารถนาจะให้พวกเจ้าสะอาดอย่างแท้จริง[558]

เล่าจากอุมม์ อุมาเราะห์ อัลอันซอรียะห์ ร.ฎ. ว่าหล่อนได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าไปพบเห็นสิ่งใดนอกจากจะต้องเป็นของพวกผู้ชาย และข้าพเจ้าไม่พบเห็นว่า พวกผู้หญิงจะถูกระบุถึงด้วยสิ่งใดๆเลย อายะ ห์นี้จึงได้ลงมา “แท้จริง บรรดามุสลิมที่เป็นชายและหญิง และบรรดาผู้มีศรัทธาที่เป็นชายและหญิง”[559]

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ถ้าหากท่านนบี ซ.ล.  ปิดบังสิ่งใดจากวะฮีย์แล้ว ท่านจะต้องปิดบังอายะห์นี้ “และขณะที่เจ้าพูดกับผู้ซึ่งอัลเลาะห์ได้ประทานความโปรดปราน แก่เขา และเจ้าก็โปรดปรานเขา[560] ว่า จงเอาภรรยาของเจ้าไว้กับเจ้าเถิด และจงยำเกรงอัลลอฮ์[561]โดยที่เจ้าช่อนเร้นไว้ในใจของเจ้า ซึ่งสิ่งที่อัลเลาะห์เป็นผู้เปิดเผยมัน และโดยที่เจ้ากลัวมนุษย์ ทั้งที่อัลลอฮ์ต่างหากที่เจ้าควรกลัวพระองค์อย่างที่สุด”[562] จนจบอายะห์ และเมื่อท่านได้แต่งงานกับหล่อน (ซัยนับ) พวกเขา (กุเรช) ได้กล่าวว่า มุฮัมมัดแต่งงานกับภรรยาของลูกชายตนเองอัลเลาะห์ได้ประทานลงมาว่า “มุฮัมมัด นั้นไม่ใช่เป็นบิดาของผู้ใดจากบรรดาผู้ชายของ พวกท่าน แต่ทว่าเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ และเป็นสุดท้ายของบรรดานบี”[563] ท่านนบี ซ.ล.  เคยให้การอุปการะเขาเป็นบุตรบุญธรรมในขณะที่เขายังเลิกอยู่ จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขาจึงถูกเรียกว่า เซด บิน  มุฮัมมัด จึงได้ลงมาว่า “ท่านทั้งหลายจงเรียกพวกเขาโดยพาดพิง ไปยังบิดาแท้ๆ ของพวกเขานั่นคือ ความยุติธรรม ณ พระองค์อัลเลาะห์ ดังนั้น ถ้าหากท่าน ทั้งหลายไม่รู้ชื่อบิดาแท้ๆของพวกเขาในฐานะเป็นพี่น้องร่วมศาสนาของพวกท่าน และในฐานะ เป็นบริวารของพวกท่าน”[564] คนนั้นเป็นบริวารของคนนั้น และคนนั้นเป็นพี่น้องของคนนั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อายะห์นี้ลงมาในเรื่องของ ซัยนับ บุตรี ยะห์ชิ่น “ต่อมาเมื่อเซตได้จัดการกับภรรยาของเขาสมประสงค์แล้ว เราได้สมรสเจ้ากับนาง”[565] เขาได้ กล่าวว่า ซัยนับเคยโอ้อวดกับบรรดาภรรยาของท่านนบี ซ.ล.  โดยกล่าวว่า ครอบครัวของพวกเธอได้แต่งงานพวกเธอ (ให้แก่ท่านนบี) และอัลเลาะห์ได้แต่งงานข้าพเจ้า (ให้แก่ท่านนบี) มาจากเบื้องบนฟ้าชั้นที่เจ็ด[566]

เล่าจากอุมม์ ฮานิอฺ บิน สาว อะบี ตอลิบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้มาสู่ขอข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้อ้างข้อขัดข้องกับท่าน ท่านได้ยอมรับข้อขัดข้องนั้นของข้าพเจ้า อัลเลาะห์ได้ประทานลงมาว่า “โอ้นบี แท้จริงเราได้อนุมัติแก่เจ้า ซึ่งบรรดาคู่ครองของเจ้า ซึ่งเจ้าได้มอบของรางวัลแก่พวกนางแล้ว และทาสที่เจ้าครอบครองอยู่ จากเชลยศึกที่อัลเลาะห์ ได้ทรงประทานแก่เจ้า และบรรดาบุตรสาวของพี่น้องผู้ชายฝ่ายบิดาของเจ้า และบรรดาบุตรสาวของพี่น้องผู้หญิงฝ่ายบิดาของเจ้า และบรรดาบุตรสาวของพี่น้องผู้ชายฝ่ายมารดาของเจ้า และบรรดาบุตรสาวพี่น้องผู้หญิงฝ่ายมารดาของเจ้าซึ่งพวกนางได้อพยพพร้อมกับเจ้า และผู้หญิง ผู้มีศรัทธาที่ได้มอบตัวเองให้แก่นบี” จนจบอายะห[567] อุมม์ ฮานิอฺ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ เป็นที่อนุมัติแก่ท่านนบี เพราะข้าพเจ้าไม่ได้อพยพ ข้าพเจ้าเป็นพวกที่ถูกปลดปล่อย[568]

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

เล่าจากอาอีชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ามีความหึงหวงบรรดาสุภาพสตรีที่ได้มอบ ตัวเองแก่ท่านรอซูลัลเลาะห์ ซ.ล.  และข้าพเจ้ากล่าวว่า สุภาพสตรีจะมอบตัวเองหรือ เมื่ออัลลอฮ์ได้ประทานลงมาว่า “เจ้ามีสิทธิ์จะทอดเวลาอยู่กับผู้ที่เจ้าประสงค์จากพวกนาง และจะนำเอาผู้ที่เจ้าประสงค์มารวมไว้กับเจ้า และผู้ใดที่เจ้ามุ่งหมายจากผู้ที่เจ้าได้ปล่อยไปแล้ว ก็จะไม่มีบาปตกแก่เจ้า”[569] ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะไม่คาดคิดต่อพระผู้อภิบาลของท่านนอกจากพระองค์จะรีบตอบสนองความต้องการของท่าน

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่า ท่านนบี ซ.ล.  เคยขออนุญาต ในวันที่เป็นเวรของผู้หญิงคนหนึ่งจากพวกเรา ภายหลังจากอายะห์นี้ลงมา “เจ้ามีสิทธิจะทอด เวลาอยู่กับผู้ที่เจ้าประสงค์จากพวกนาง” มุอาซะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่หล่อนว่า เธอกล่าวอะไร หล่อนตอบว่า ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านว่า ถ้าหากการเช่นนี้เกิดกับข้าพเจ้า แน่นอนว่า ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้ใครได้ท่านไป โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์[570]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ซํยนับ บุตร ญะห์ช ถูกส่งตัวไปให้ท่านนบี ซ.ล.  พร้อมด้วยขนมปังและเนื้อ ต่อมาข้าพเจ้าได้ถูกส่งไปเชื้อเชิญ (ผู้คน) ให้มารับประทานอาหาร[571]มีพวกหนึ่งมาและรับประทานอาหารแล้วออกไป หลังจากนั้นมีพวกหนึ่งมารับประทานอาหาร แล้วออกไป ข้าพเจ้าได้เชื้อเชิญจนไม่พบผู้ใด ที่จะเชื้อเชิญอีก ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านนบี ของอัลเลาะห์ข้าพเจ้าไม่พบใครจะเชื้อเชิญอีก ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงยกอาหาร ของพวกท่านไป โดยยังมีอีกสามกลุ่มคุยกันในบ้าน ท่านนบี ซ.ล.  ได้ออกมาและเดินไปยัง ห้องของอาอิชะห[572] ท่านนบีได้กล่าวว่า ขอความสันติและความเมตตาของอัลลอฮ์จงมี แด่ พวกท่านโอ้คนในครอบครัว อาอิชะห์กล่าวว่า และจงมี แด่ท่านด้วยสันติและความเมตตาของ อัลเลาะห์ท่านได้พบคนในครอบครัวของท่านเป็นอย่างไร ขออัลลอฮ์ได้โปรดประทานความ เพิ่มพูนแก่ท่าน และท่านนบีได้สำรวจไปตามห้องของบรรดาภรรยาของท่านทั้งหมด ท่านจะกล่าวแก่บรรดาภรรยาของท่านเหมือนที่กล่าวแก่อาอิชะห์ และบรรดาภรรยาของท่านก็ได้กล่าว แก่ท่านเหมือนที่อาอิชะห์ได้กล่าว[573] หลังจากนั้นท่านนบี ซ.ล.  ได้กลับมา บังเอิญคนทั้งสามกลุ่มยังอยู่ในบ้านกำลังคุยกัน และท่านนบี ซ.ล.  มีความเกรงใจมาก[574] ท่านจึงออกไป ยังห้องของอาอิชะห์ ต่อมาท่านถูกแจ้งให้ทราบว่า พวกนั้นได้ออกไปแล้ว ท่านจึงได้กลับมาจน เมื่อท่านวางเท้าของท่านลงที่ธรณีประดู ข้างหนึ่งอยู่ข้างใน อีกข้างหนึ่งอยู่ข้างนอก ท่านได้ห้อยม่าน ลงกั้นระหว่างข้าพเจ้ากับตัวท่าน และอายะห์ฮิญาบก็ได้ถูกประทานลงมา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี เป็นหะดีษยาวจนถึงตอนที่ผู้เล่าได้กล่าวว่า และอายะห์นื้จึงได้ถูกประทานลงมาและท่านได้อ่านมันให้ประชาชนฟังคือ “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกท่านอย่าเข้าบ้านต่างๆ ของนบี นอกจากพวกท่านจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปสู่อาหาร[575] โดยไม่คอยเวลาอาหาร[576] แต่ เมื่อพวกท่านถูกเชื้อเชิญ ก็จงเข้าไป และเมื่อพวกท่านได้รับประทานแล้ว ให้พวกท่านจงแยกย้ายกันไป และพวกท่านจะต้องไม่หยุดอยู่ อย่างชื่นชอบที่จะได้พูดคุยกัน เพราะแท้จริงการ กระทำเช่นนั้น มันทำให้เกิดความรำคาญแก่นบี และนบีก็เกรงใจพวกท่านอัลเลาะห์ไม่เกรงใจ ในเรื่องความจริง และเมื่อท่านทั้งหลายได้ขอสิ่งของจากพวกนางให้พวกท่านจงขอพวกนางจาก หลังม่านกั้น การกระทำของพวกท่านเช่นนั้น เป็นความสะอาดยิ่งของหัวใจพวกท่าน และหัวใจ ของพวกนาง”[577]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ จะมีทั้งคน ดีและคนชั่วเข้ามาหาท่าน ดังนั้นจึงหวังว่าท่านจะบัญชาให้ มารดาของเหล่าผู้ครัฑธา ได้ปกปิด อย่างมิดชิด อัลลอฮ์จึงได้ประทานอายะห์ ฮิญาบ ลงมา “และเมื่อพวกท่านทั้งหลายได้ขอสิ่งของจากพวกนาง ให้พวกท่านจงขอพวกนางจากหลังม่านกั้น การกระทำของพวกท่านเช่นนั้นเป็นความสะอาดยิ่งของหัวใจพวกท่านและหัวใจของพวกนาง”[578]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม 

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เซาดะห์ ร.ฎ. ได้ออกไปทำธุระของนางภาย หลังจากอายะห์ในเรื่องการปกปิดอย่างมิดชิด (ฮิญาบ) ได้ลงมาแล้ว และปรากฏว่าเซาดะห์เป็น ผู้หญิงทีมรูปร่างใหญ่โต เธอไม่อาจพ้นไปจากสายตาของคนที่รู้จักเธอไปได้ อุมัร ร.ฎ. ได้เห็น เธอเข้าจึงได้กล่าวว่า โอ้เซาดะห์ พึงทราบเถิดขอสาบานต่ออัลลอฮ์เธอไม่อาจรอดพ้น จากสายตาของพวกเราไปได้ เธอจงพิจารณาเกิดว่าเธอจะออกไปได้อย่างไร หล่อนจึงหันกลับ ขณะนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  อยู่ในบ้านของข้าพเจ้ากำลังรับประทานอาหารค่ำอยู่ ในมือ ของท่านมีกระดูกติดเนื้ออยู่ท่อนหนึ่งเซาดะห์ได้เข้าไปแล้วกล่าวขึ้นว่า โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ ความจริง ข้าพเจ้าได้ออกไปเพื่อธุระบางประการของข้าพเจ้า และอุมัรได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าอย่างนั้นอย่างนื้ อัลเลาะห์ได้วะฮีย์มายังท่าน ต่อมาจึงคลายออกไปจากท่านโดยที่กระดูกติดเนื้อท่อน นั้นยังอยู่ในมือของท่าน ท่านไม่ได้วางมันลง จากนั้นท่านได้กล่าวว่า พวกเธอได้รับอนุญาตให้ ออกไปทำธุระของพวกเธอได้”[579]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “แท้จริงอัลเลาะห์ และมวลมะลาอิกะห์ ของพระองค์ จะขอพรให้แก่นบี โอ้บรรดาผู้ที่ศรัทธาทั้งหลาย จงขอพรให้แก่นบีและจงขอความสันติอย่าง จริงจังเถิด”[580]

เล่าจากกะอับ บิน  อุจเราะห์ ร.ฎ. ว่า ได้มีผู้กล่าวขึ้นว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ สำหรับการกล่าวสลามแก่ท่านนั้นความจริงพวกเรารู้จักดีแล้ว[581] และการขอพรให้แก่ท่านมันเป็นอย่างไร ท่านตอบว่า ให้พวกท่านกล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ ได้โปรดประทานพร ให้แก่มุฮัมมัด แก่วงศ์วานของมุฮัมมัด เหมือนที่พระองค์ท่านเคยได้ให้พรแก่วงศ์วานของ อิบรอฮีม แท้จริงพระองค์ท่านนั้นควรแก่การสรรเสริญ ควรแก่การสดุดี ข้าแต่อัลเลาะห์ได้โปรด ประทานความเพิ่มพูนให้แก่มุฮัมมัด แก่วงศ์วานของมุฮัมมัด เหมือนบีพระองค์ท่านเคยได้ ให้ความเพิ่มพูนแก่วงศ์วานของอิบรอฮีม แท้จริงพระองค์ท่านนั้นควรแก่การสรรเสริญ ควรแก่ การสดุดี 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

ตัวบทของติรมิซีว่า ข้าแต่อัลเลาะห์ได้โปรดประทานพร ให้นบีมุฮัมมัด แก่วงศ์วานของมุฮัมมัด เหมือนที่พระองค์ท่านได้ประทานแก่อิบรอฮีม และ ขอได้โปรดประทานความเพิ่มพูนแก่มุฮัมมัด แก่วงศ์วานของมุฮัมมัดเหมือนที่พระองค์ท่าน เคยได้ประทานความเพิ่มพูนแก่วงศ์วานของอิบรอฮีมในสากลโลก แท้จริงพระองค์ท่านนั้นควร แก่การสรรเสริญ ควรแก่การสดุดี และจงขอความสันติ เหมือนที่พวกท่านรู้ดีอยู่แล้ว

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริง มูซา อ.ล  นั้นเป็นชายขี้อาย ชอบปกปิด จะมองไม่เห็นสิ่งใดจากผิวหนังของเขาเลย และได้ถ้าวร้าวเขา บุคคลที่ถ้าวร้าวจากตระกูลของอิสรออีล โดยกล่าวว่ามูซาจะไม่ปกปิดเช่นนื้ นอกจากเพราะ มีตำหนิที่ผิวหนังของเขา บางทีอาจเป็นโรคเรื้อน บางทีอาจเป็นไส้เลื่อน และบางทีอาจเป็น โรคร้ายแรงและแท้จริงอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ประสงค์ที่จะให้มูซาพ้นจากสิ่งที่พวกนั้นพูด ต่อมาวันหนึ่งมูซา อ.ล  ได้อยู่ตามลำพังคนเดียว เขาได้วางเสื้อผ้าของเขาไว้บนหินก้อนหนึ่งหลังจากนั้นก็ได้อาบน้ำ เมื่ออาบนํ้าเสร็จ ก็หันไปอังเสื้อผ้า (ที่ถอดกองเอาไว้) เพื่อเอามาสวมได้ปรากฏว่า หินก้อนนั้น นำเอาเสื้อผ้าของเขาวิ่งหนีไป มูซาจึงคว้าไม้เท้าออก ตามหินก้อนนั้นพลางกล่าวว่า เสื้อผ้าฉัน หิน เสื้อผ้าฉัน หิน จนหินก้อนนั้นไดไปถึงกลุ่มหนึ่งจากตระกูลของอิสรออีล และพวกนั้นได้เห็นมูซาเปลือยกาย เป็นมนุษย์ที่มีเรือนร่าง สวยงามที่สุด พระองค์ได้ช่วยให้มูซาพ้นจากคำครหาที่พวกนั้นๆขึ้น และหินก้อนนั้นก็หยุด มูซา จึงได้หยิบเอาเสื้อผ้าของเขา และเริ่มตีหินก้อนนั้นด้วยไม้เท้าของเขา ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ที่หินก้อนนั้นขึ้นแนวจากรอยไม้เท้าของมูซาสามหรือห้าแนว นั่นแหละคือคำดำรัสของอัลเลาะห์ ตะอาลาที่ว่า “โอ้บรรดาผู้ทีมศรัทธา ท่านทั้งหลายอย่าเป็นเหมือนเช่นบรรดาผู้ที่ถ้าวร้าวมูซา และอัลลอฮ์ไดํให้มูซาพ้นมลทิน จากสิ่งที่พวกเขากขึ้น โดยที่เขาเป็นผู้มีเกียรติคนหนึ่งของ อัลลอฮ์”[582]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ซูเราะห์ซะบะอ 

มักกียะห์ มีห้าสิบส์ อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิง 

เล่าจาก ฟัรวะห์ อัลมุรอดีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  แล้ว กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ข้าพเจ้าจะไม่ทำสงครามกับผู้ที่หันหลังให้ศาสนาจากพวก พ้องของข้าพเจ้า โดยอาศัยผู้ที่หันหน้าสุศาสนาจากพวกพ้องของข้าพเจ้าหรือ ท่านได้อนุมัติให้ข้าพเจ้าทำสงครามกับพวกเขา และได้แต่งตั้งข้าพเจ้าให้เป็นหัวหน้า เมื่อข้าพเจ้าออกไปแล้ว ท่านได้ถามถึงข้าพเจ้าว่า อัลกุตอยฟีย์[583] ได้ทำอะไร ท่านจึงได้รับการบอกเล่าว่าข้าพเจ้าได้เดินทางไปแล้วต่อมาท่านได้ส่งคนออกติดตามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้มาหาท่าน ขณะที่ท่านอยู่ กับอัครสาวกกลุ่มหนึ่งของท่าน จากนั้นท่านได้กล่าวว่า ท่านจงไปเชิญชวนพวกนั้น[584] ผู้ใด เข้าสู่อิสลาม (ท่านจงรับเอาเขาไว้) และผู้ใดไม่เข้าสู่อิสลามท่านอย่ารีบร้อน จนกว่าข้าพเจ้าจะแจ้งให้ ท่านทราบ ฟัรวะห์ ได้กล่าวว่า และได้ถูกประทานลงมาในซูเราะห์ ซะบะอฺสิ่งที่ถูกประทานลงมา[585] ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซะบะอฺคืออะไร แผ่นดิน หรือผู้หญิง ท่านตอบว่า ไม่ใช่ทั้งแผ่นดินและผู้หญิงแต่ชะบะอฺ คือ ชายคนหนึ่งที่มีบุตรเป็นชาวอาหรับ สิบคน หกคนของพวกเขาไปตั้งรกรากอยู่ทางยะมัน และสี่คนของพวกเขาได้ใปตั้งรกรากอยู่ที่ ชาม พวกที่ไปตั้งรกรากอยู่ที่ชามได้แก่ ลัคม์ ยุซาม ฆอซซาน และ อามิละห์ ส่วนพวกที่ ไปตั้งรกรากอยู่ทางยะมันได้แก่ อัล-อัซด์ อัลอัชอะรียูน ฮิมยัร มัชฮิจ อันมาร และกินดะห์[586]ได้มีชายคนหนึ่งกล่าวขั้นว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  อันมาร คืออะไร ท่านตอบว่า คือพวกที่เป็นเผ่าคอซอัม และ บะยีละห์ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่ออัลเลาะห์ได้ กำหนดการสิ่งหนึ่งในฟากฟ้า มะลาอิกะห์จะหุบปีกด้วยอาการสยบ เพราะคำดำรัสของพระองค์ คล้ายกับโซ่กระทบกับก้อนหินลื่นๆ และเมื่อความตระหนกได้สลายจากหัวใจของพวกเขาแล้ว พวกเขาได้กล่าวว่า พระผู้อภิบาลของพวกท่านได้ตรัสอะไร [587] พวกเขาตอบแก่สิ่งที่พระองค์ ได้ตรัสว่า สัจจะ พระองค์ทรงสูงยิ่ง ทรงยิ่งใหญ่ บรรดาผู้แอบฟัง[588] จะได้ยินคำโต้ตอบ นั้น และมันจะนำเอาคำนั้นบอกต่อไปยังผู้ที่อยู่ต่ำลงไป หลังจากนั้นอีกคนหนึ่งจะบอกต่อไป ยังผู้ที่อยู่ต่ำลงไป จนคำนั้นจะบอกต่อกันไปจนถึงลิ้นของผู้กระทำคุณหรือโหรทำนายบางครั้ง ก้อนอุกาบาตจะโดนมันก่อนที่มันจะนำเอาคำนั้นไปบอกต่อ และบางทีมันได้เอาคำนั้นบอกต่อ ไปแล้ว ก่อนที่ก้อนอุกาบาตจะโดนมัน และมันจะโกหกพร้อมไปกับคำนั้น ถึงหนึ่งร้อยเท่า จะมีผู้กล่าวว่า เขาไม่ได้บอกพวกเราหรือว่า วันนั้นเป็นอย่างนั้น วันนั้นเป็นอย่างนื้คำที่ได้ยินมา จากฟ้าจะได้รับการเชื่อถือ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี  ในเรื่องนี้ และอะบูดาวูดในเรื่อง ซุนนะต์     

ตัวบทของอะบูดาวูดว่า เมื่ออัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสด้วย วะฮีย์ หนึ่ง ชาวฟ้าจะได้ยินว่าฟ้านั้น มีเสียงกึกก้องเหมือนเสียงลากโซ่ไปบนก้อนหินลื่นๆ พวกเขาจะสลบไสล และจะอยู่ในสภาพ เช่นนั้น จนกว่าญิบรีลจะมายังพวกเขา เมื่อญิบรีลมายังพวกเขาแล้ว ความตระหนกก็จะหายไป จากหัวใจของพวกเขา จะพากันกล่าวว่า โอ้ญิบรีลพระผู้อภิบาลของท่านได้พูดอะไร ญิบรีล จะตอบว่า สัจจะ พวกเขาจะกล่าวว่า สัจจะ สัจจะ

และอิบนุ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  นั่งอยู่กับอัครสาวกของท่านกลุ่มหนึ่ง บังเอิญมีดาวดวงหนึ่งถูกขว้างและส่องแสงสว่าง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ใต้กล่าวขึ้นว่า ท่านทั้งหลายเคยพูดอย่างไร ต่อเหตุการณ์เช่นนี้ในสมัยญาฮิลียะห์ พวกเขาตอบว่า พวกเราเคยกล่าวว่าจะมีคนใหญ่โตเสียชีวิต หรือคนใหญ่คนโตจะเถิดท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ความจริงมันจะไม่ถูกขว้างเพราะความตายของผู้ใด และไม่ใช่เพราะการเกิดของ ผู้ใด แต่พระผู้อภิบาลของเราผู้ทรงยิ่งใหญ่ และเกรียงไกร เมื่อได้กำหนดการเรื่องใด บรรดา มะลาอิกะห์ผู้แบก อัรช จะกล่าวตัสเบียะห์ (สดุดี) พระองค์ จากนั้นชาวฟ้าที่อยู่กัดพวกนั้นไป ก็จะกล่าวตัสเบียะห์ จากนั้นพวกที่อยู่ถัดพวกนั้นไปก็จะกล่าวตัสเบียะห์ จนกระทั่งตัสเบียะห์ นั้นได้ลงมาถึงฟ้าชั้นนี้ ต่อมาชาวฟ้าชั้นที่หกก็จะถาม (ชาวฟ้า) ชั้นที่เจ็ดว่า พระผู้อภิบาล ของพวกท่านได้ตรัสอะไรบ้าง พวกนั้นก็จะบอกพวกเขา ต่อมา ชาวฟ้าทุกชั้นก็จะถามข่าว จน ข่าวนั้นลงมาถึงชาวฟ้าชั้นที่ต่ำสุดบรรดาชัยฏอนก็จะโฉบมาฟังและพวกมันก็จะนำเอาข่าวนั้นไป บอกแก่คนรักของพวกมัน ดังนั้น สิ่งใดที่พวกมันนำมาถูกต้อง มันก็เป็นจริง แต่พวกมันจะบิดเบือน และเพิมเติม

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ในเรื่องนี้ และมุสลิมในเรื่องการแพทย์

ซูเราะห์ ฟาติร
มักกียะห์ มีสี่สิบห้า อายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอะบี สะอีด อัลคุดรีย์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ว่าท่านได้กล่าวในอายะห์นี้ คือ “หลังจากนั้นเราได้สืบทอดคัมภีร์แก่บรรดาผู้ที่เราได้เลือกสรรค์แล้ว จากมวลบ่าวของเรา มีบางคนจากพวกเขาเป็นผู้ทุจริตตัวเอง และมีบางคนของพวกเขาเป็นผู้ที่อยู่ในสายกลาง และมี บางคนของพวกเขาเป็นผู้ลํ้าหน้าด้วยความดีต่างๆ โดยอนุมัติของอัลเลาะห์ นั่นเป็นความโปรด ปรานอันยิ่งใหญ่”[589] ท่านได้กล่าวว่า พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน และ พวกเขาทั้งหมดอยู่ในสวรรค์ 

รายงานโตย ติรมิซี

ซูเราะห์ ยาชีน

มักกียะห์ หรือ มะดะนียะห์ มีแปดสิบสอง อายะห์
ด้วยนามของ)ลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอะบีสะอีด อัลคุดรีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกตระถูล ซะลิมะห์นั้นอยู่ทาง ด้านหนึ่งของนครมะดีนะห์ และต่อมาพวกเขาต้องการย้าย เข้ามาใกล้มัสญิด อายะห์นั้จึงได้ลง มาว่า[590] “แท้จริงเราจะชุบชีวิตแก่ผู้ตาย และเราจะบันทึกสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ และร่องรอยของพวกเขา” ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงร่องรอยของพวกเขาจะถูก บันทึก พวกเขาจึงไม่ได้ย้าย[591]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบีซัรร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าอยู่กับท่านนบี ซ.ล.  ในมัสญิดขณะที่ ตะวันตก ท่านได้กล่าวว่า โอ้อะบาซัรร์ท่านทราบไหมว่า ตะวันตกที่ไหน ข้าพเจ้าตอบว่า อัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ทรงทราบดี ท่านตอบว่า ความจริงตะวันมันจะโคจรไปจนจะสุญูดลงใต้อัรช์ มันได้ขออนุญาตและได้รับอนุญาต[592] และมันเกือบสุญูด แต่ มันจะไม่ถูกตอบสนอง มันได้ขออนุญาตอีกแต่ไม่ได้รับอนุญาตจะมีผู้กล่าวแก่มันว่า เจ้าจง กลับไปยังที่ เจ้ามาเถิด ต่อมามันจึงได้มาโผล่ขึ้นทางทิศที่มันตก นั่นแหละคือดำรัส1ของอัลเลาะห์ ที่ว่า “และตะวันมันจะโคจรอยู่กับเส้นทางของมัน นั่นเป็นข้อกำหนดของผู้ที่ทรงอำนาจยิ่ง ผู้ ทรงรอบรู้ยิ่ง”642 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

ซูเราะห์ อัซซอฟฟาต
มักกียะห์ มีหนึ่งรอยแปดสิบสอง อายะห์
ด้วยนามของอณลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจาก อะนัส บิน  มาลิก ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ไม่มีผู้เรียกร้อง คนใด ที่ได้เรียกร้องไปสู่การสักการะสิ่งหนึ่ง นอกจากเขาจะถูกนำมาหยุดยืนอยู่ในวันกิยามะห์ ตามติดอยู่กับสิ่งนั้นโดยจะไม่แยกจากสิ่งนั้น แม้ชายคนหนึ่งจะเรียกร้องชายคนหนึ่งก็ตาม หลังจากนั้นท่านได้อ่านคำดำรัสของอัลเลาะห์ตะอาลาว่า “พวกเจ้าจงหยุดพวกเขาไว้ เพราะแท้จริง พวกเขาจะต้องถูกสอบสวน เพราะเหตุใดเล่าพวกเจ้าจึงไม่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”[593]

เล่าจากซะมุเราะหฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ในคำดำรัสของอัลเลาะห์ที่ว่า “และ เราได้บันดาลให้ถูกหลานของเขา (นัวฮ์) เป็นพวกที่คงเหลืออยู่ต่อไป”[594] ท่านได้กล่าวว่า คือ ฮาม ชาม และ ยาฟิซ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะนัส) จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ชามเป็นบรรพบุรุษของ อาหรับ ฮาม เป็นบรรพบุรุษของชาวอะบิสิเนีย และยาฟิซเป็นบรรพบุรุษของ ชาวโรมัน[595]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี อะหมัด และฮากิม

อัลเลาะห์ตาอาสาได้ตรัสว่า “แท้จริง ยูนุสก็เป็นคนหนึ่งจากบรรดาศาสนทูต”[596]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ว่าผู้ใดกล่าวว่า ข้าพเจ้าดีกว่ายูนุส บิน  มัตตา แท้จริงเขาโกหก[597]

รายงานหะดีษโดยยุคอรี 

อุบัยย์ บิน  กะอับ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ถึง คำดำรัสของอัลเลาะห์ตะอาลาที่ว่า “และเราได้ส่งเขา (ยูนุส) ไปยังหนึ่งแสนหรือเกินกว่า”[598]ท่านได้ตอบว่า คือ สองแสนคน 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่เฆาะรีบ

ซูเราะห์ ซ๊อดด์

มักกียะห์ มีแปดสิบหกหรือแปดสิบแปดอายะห์
ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะบู ตอลิบป่วย ได้มีพวกกุเรชมาที่เขาและ ท่านนบี ซ.ล.  ก็ได้มาที่เขา และที่อะบี ตอลิบนั้น มีที่ว่างที่จะนั่งได้เพียงคนเดียว อะบุยะฮั้ล จึงลุกขึ้นเพื่อกีดกันท่านนบี[599][600] และพวกเขาได้ร้องเรียนท่านนบีต่ออะบี ตอลิบ ต่อมาอะบู ตอลิบได้ กล่าวว่าโอ้หลานชายผู้เป็นบุตรชายของน้องชายข้าฯ เจ้าต้องการอะไรจากพวกพ้องของเจ้า ท่าน นบีตอบว่า แท้จริงข้าพเจ้าต้องการเพียงคำเดียว ที่อาหรับทั้งปวงจะยอมจำนนแก่พวกกุเรช ด้วยคำพูดเพียงคำเดียวนี้ และชนชาติที่ไม่ใช่ชาวอาหรับจะยอมจ่ายค่าคุ้มครอง (ยิชยะห์) ให้ แก่พวกเขา อะบู ตอลิบ กล่าวว่า คำเดียวหรือท่านนบีตอบว่า เพียงคำเดียว โอ้ท่านลุง คือให้พวกเขากล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น พวกเขาได้กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้ นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น พวกเขากล่าวว่าพระเจาองค์เดียวหรือ พวกเราไม่เคยได้ยินสิ่งนี้ในศษสนาสุดท้าย แท้จริงสิ่งนี้ไม่ใช่อื่นใด นอกจากเป็นสิ่งที่ถูกปั้นแต่งขึ้นเท่านั้น อัลกุรอานจึงได้ลงมาในพวกเขาว่า “ซ็อดด์ สาบานด้วยอัลกุรอานที่มีการกล่าวถึง แต่ทว่าบรรดาผู้ไร้ศรัทธานั้นตกอยู่ในความหยิ่งผยองและแตกแยก จนถึงคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า “พวกเราไม่เคยได้ยินสิ่งนี้ในศาสนาสุดท้าย แท้จริงสิ่งนี้ไม่ใช่อื่นใด นอกจากเป็นสิ่งที่ถูกปั้นแต่งขึ้นเท่านั้น”

รายงานหะดีษโดยติรมิซี 

เล่าจากอะบี ฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงมีผีตนหนึ่งจากญินได้เข้าจู่โจมข้าพเจ้าเมื่อคืนนี้หรือคำหนึ่งที่คล้ายกันนี้ เพื่อทำให้ข้าพเจ้าเลิกละหมาดและอัลลอฮ์ได้ให้ข้าพเจ้าสามารถจับมันไว้ได้ ข้าพเจ้าต้องการผูกมันไว้ ข้าพเจ้าต้องการผูกมันไว้กับเสาต้นหนึ่งจากบรรดาเสาของมัสญิด จนกระทั่งพวกท่านตื่นขึ้นมาในเวลาเช้า และมองดูมันโดยทั่วกัน แต่ข้าพเจ้าระลึกถึงคำของพี่ชายข้าพเจ้านบีสุลัยมานที่ได้กล่าวว่า ข้าแด่พระผู้อภิบาลได้โปรดประทานอำนาจให้ข้าพเจ้าอย่างที่ไม่มีใครเหมาะสม หลังจากข้าพเจ้าอีก ท่านนบีจึงปล่อยมันไปอย่างต้อยต่ำ

รายงานหะดีษโดยบุคอรี

เล่าจากมุอาซ บินญะบัล ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้หน่วงเหนี่ยวให้พ้นจากพวกเราในวันหนึ่งจากการละหมาดซุบฮิ จนพวกเราเกือบได้เห็นดวงตะวัน ท่านจึงได้ออกมาเร็วและได้อิกอมะห์เพื่อละหมาด ท่านนบี ซ.ล. ได้ละหมาดและทำละหมาดอย่างพอใช้ได้ ต่อมาเมื่อท่านสลามแล้วจึงได้เรียกด้วยเสียงของท่านโดยได้กล่าวว่า พึงทราบเถิดว่าแท้จริงข้าพเจ้าจะบอกแก่พวกท่านถึงสิ่งที่ได้กักกันข้าพเจ้าไว้ จากพวกท่านเมื่อเช้านี้ ความจริงข้าพเจ้าลุกขึ้นในตอนกลางคนแล้วอาบน้ำละหมาด และได้ละหมาดตามที่ข้าพเจ้าถูกกำหนดมา และข้าพเจ้าเกิดง่วงนอนในขณะละหมาดจนฝืนไม่อยู่ ทันใดนั้นข้าพเจ้าได้พบพระผู้อภิบาล พระองค์ทรงสิริมงคลทรงสูงส่ง อยู่ในรูปที่งดงามพระองค์ได้ตรัสว่า โอ้มุฮัมมัด ข้าพเจ้าตอบว่าขอรับแด่พระผู้อภิบาล พระองค์ตรัสว่า บรรดามะลาอิกะห์ที่ใกล้ชิดโต้เถียงกันด้วยเรื่องอะไรข้าพเจ้าตอบว่าข้าพเจ้าไม่ทราบ พระองค์ตรัสมันถึงสามครั้ง ท่านนบีได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ทรงวางฝ่ามือลงระหว่างไหล่สองข้างของข้าพเจ้าจนรู้สึกความเย็นจากองคุลีของฝ่ามือพระองค์นั้นอยู่ระหว่างเต้านมทั้งสองข้างของข้าพเจ้า ทุกสิ่งจึงปรากฏแจ้งชัดแก่ข้าพเจ้าและข้าพเจ้าก็รู้ ต่อมาพระองค์ได้ตรัสว่า โอ้มุฮัมมัด ข้าพเจ้าตอบว่าขอรับแด่พระผู้อภิบาล พระองค์ถามว่า บรรดามะลาอิกะห์ที่ใกล้ชิดโต้เถียงกันด้วยเรื่องอะไรข้าพเจ้าตอบว่า ในเรื่องสิ่งที่จะลบล้างบาป พระองค์ตรัสว่า มันได้แก่อะไรบ้าง ข้าพเจ้าตอบว่า เท้าที่ก้าวไปทำความดี[601]การนั่งในมัสญิดภายหลังละหมาด การอาบนํ้าละหมาดอย่างทั่วถึงในยาม ที่ต้องฝืน พระองค์ตรัสว่าในสิ่งใดอีก ข้าพเจ้าตอบว่า เลี้ยงอาหาร คำพูดที่อ่อนโยน ละหมาด ในยามกลางคืน ขณะที่มนุษย์หลับไหล[602] พระองค์ตรัสว่า เจ้าจงขอเจ้าจงกล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ แท้จริงข้าพเจ้าขอต่อพระองค์ให้ได้ทำความดีต่าง งดเว้นความทั่วทั้งหลาย รักคนยากไร้ และขอให้พระองค์ท่านได้โปรดอภัยโทษให้แก่ข้าพเจ้า เมตตาข้าพเจ้า และเมื่อ พระองค์ท่านจะให้กลุ่มชนใดประสบกับวิกฤติการ     ขอพระองค์ท่านได้โปรดให้ข้าพเจ้าจบชีวิตลงโดยไม่ต้องประสบกับวิกฤติการนั้นข้าพเจ้าขอต่อท่าน ให้รักพระองค์ท่าน รักผู้ที่รักพระองค์ ท่านรักกิจกรรมที่จะทำให้เข้าใกล้ความรักของพระองค์ท่าน ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้กล่าว ว่า แท้จริงมันคือความจริง ดังนั้นพวกท่านจงจดจำมันเกิดหลังจากนั้นให้พวกท่านจงศึกษามัน 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี 

อับดุลเลาะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า โอ้ประชาชนทั้งหลาย ผู้ใดรู้สิ่งใดให้เขาจงพูดสิ่งนั้น ผู้ใดไม่รู้ให้เขาจงกล่าวว่า อัลเลาะห์ทรงรู้ยิ่ง เพราะแท้จริงนับเป็นความรู้ด้วยเช่นกัน การที่กล่าวในสิ่งที่ไม่มีความรู้ว่า อัลเลาะห์ทรงรู้ยิ่ง อัลเลาะห์ได้ตรัสแก่นบีของพระองค์ ซ.ล.  ว่า “จงประกาศเถิดว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ขอค่าจ้าง (การเผยแพร่ศาสนา) จากพวกท่านเลย และข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นผู้เสแสร้ง”[603]

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และติรมิซี

ซูเราะห์ อัซซุมัร

มักกียะห์ ยกเว้นบางอายะห์ มีเจ็ดสิบห้า อายะห์

ด้วยนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณายิ่ง

เล่าจากอับดิลลาห์ บิน  อัซซุบัยร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อได้ลงมาว่า “หลังจากนั้น พวกเจ้าจะต้องโต้เถียงกันในวันกิยามะห์ ณ องค์อภิบาลของพวกเจ้า”[604] เขาได้กล่าวขึ้นว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ การโต้เถียงจะเกิดซ้ำขึ้นอีกกับพวกเรา หลังจากได้เคยเกิดขึ้นแล้วกับพวกเราในโลกนี้หรือ[605] ท่านตอบว่าถูกแล้วต่อมาท่านได้กล่าวว่า ความจริงมันจะต้องเป็นเรื่องร้าย

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่าแท้จริงมีคนกลุ่มหนึ่งจากพวกที่ตั้งภาคี พวกเขาเคยฆ่า และได้ฆ่าอย่างมากมาย พวกเขาได้ผิดประเวณีและได้ผิดประเวณีอย่างมากมาย ต่อมาพวกเขา ได้มายังมุฮัมมัด ซ.ล.  พวกเขาได้กล่าวว่า แท้จริงสิ่งที่ท่านพูดถึงและเรียกร้องไปสู่มันนั้น เป็นสิ่งที่ดีงาม ถ้าหากท่านจะแจ้งให้เราทราบว่าสิ่งที่เราได้กระทำไปนั้น มีสิ่งที่จะล้างบาปได้ จึงได้ลงมาว่า “และบรรดาผู้ไม่สักการะพระเจ้าอื่นใด ร่วมกับอัลเลาะห์ และพวกเขาไม่สังหาร ชิวิตที่อัลเลาะห์ทรงบัญญัติห้าม นอกจาก โดยสิทธิอันชอบธรรม และพวกเขาไม่ผิดประเวณี”659 และได้ลงมาว่า “จงประกาศเกิดว่า โอ้มวลบ่าวของเราที่พรำเพรื่อเหนือตัวของพวกเขาเอง (ด้วยการทำความชั่ว) พวกท่านอย่าสิ้นหวังจากความเมตตาของอัลเลาะห์ แท้จริงอัลเลาะห์จะทรงอภัยโทษต่างๆ ทั้งหมด 666 

รายงานหะดีษโดยบุคอรี และรายงานของติรมิซีว่า ท่านนบีได้อ่าน “พวกท่านอย่าสิ้นหวังจากความเมตตาของอัลเลาะห์ แท้จริงอัลเลาะห์จะทรงอภัยโทษต่างๆ ทั้งหมด” และพระองค์จะไม่ทรงหวั่นไหว661

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปราชญ์ท่านหนึ่งจากบรรดาปราชญ์ชาวยิว ได้ มาหาท่านนบี ซ.ล.  แล้วกล่าวว่า โอ้มุฮัมมัด แท้จริงเราพบ662 ว่าอัลเลาะห์จะบันดาลชั้นฟ้าอยู่บนนิ้วหนึ่ง แผ่นดินอยู่บนนิ้วหนึ่ง พืชอยู่บนนิ้วหนึ่ง นํ้าและดิน อยู่บนนิ้วหนึ่ง และ สรรพสิ่งต่างๆ ทั้งหมดอยู่บนนิ้วหนึ่ง แล้วพระองค์จะกล่าวว่า เราคือผู้มีอำนาจปกครองอย่างแท้จริง663 ท่านนบี ซ.ล.  หัวเราะจนเผยให้เห็นฟันของท่าน ยืนยันคำพูดของปราชญ์ชาวยิว ผู้นั้น หลังจากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้อ่าน “และพวกเขา ไม่ได้เชิดชูอัลเลาะห์อย่าง ถึงที่สุดตามที่ควรจะเชิดชูพระองค์ และพื้นแผ่นดินนั้นอยู่ในอุ้งมือของพระองค์ในวันกียามะห์”664

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอิบนิอับบาส ร.ฎ. ได้กล่วาว่า มีชาวยิวคนหนึ่งเดินผ่านท่านนบี ซ.ล.  แล้ว ท่านได้กล่าวแก่ชาวยิวคนนั้นว่า โอ้ชาวยิวจงสนทนากับพวกเราเถิดเขาได้กล่วว่า ท่านจะว่าอย่างไร โอ้ อะบัลกอชิม (ชื่อเล่นของท่านนบี) เมื่ออัลเลาะห์ได้ตั้งฟ้าไว้บนนิ้ แผ่นดินไว้บนนิ้ นํ้าไว้บนนิ้ ภูเขาไว้บนนิ้ และสรรพสิ่งต่างๆ ทั้งหมดไว้บนนิ้ มุฮัมมัด บิน  อัซซอลต์ ได้ชี้นิ้วก้อยของเขาเป็นอันดับแรกและไล่เรื่อยไปจนถึงนิ้วหัวแม่มือ ต่อมาอัลเลาะห์ตะอาลา ได้ประทานลงมาว่า “และพวกเขาไม่ได้เชิดชูอัลเลาะห์อย่างถึงที่สุด ตามที่ควรจะเชิดชูพระองค์665 และพื้นแผ่นดินทั้งหมดนั้นอยู่ในอุ้งมือของพระองค์ในวันกิยามะห์ และชั้นฟ้าต่างๆ จะถูกพับ [606]ลงด้วยมือขวาของพระองค์ พระองค์ทรงบริสุทธิ์และสูงส่งเกินกว่าสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี”[607]

รายงานหะดีษโดยติรมิซี  ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

ตัวบทของบุคอรีและมุสลิมว่า อัลลอฮ์จะกำแผ่นดินและพับชั้นฟ้าด้วยมือขวาของพระองค์ จากนั้นพระองค์จะกล่าวว่า เราคือผู้มือำนาจแท้จริง กษัตริย์ต่างๆ ในหน้าแผ่นดินอยู่ที่ไหน

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ว่า ความจริงเธอได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  “และพื้นแผ่นดินนั้น อยู่ในอุ้งมือของพระองค์ในวันกิยามะห์ และชั้นฟ้าต่างๆ จะถูกพับลง ด้วยมือขวาของพระองค์” แล้วบรรดาผู้ที่มีศรัทธาอยู่ที่ไหนในวันนั้น ท่านได้กล่าวว่า อยู่บนสะพาน โอ้อาอิชะห์

รายงานหะดีษโดยติรมิซี

อัลเลาะห์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และเขา (สัตว์ที่เป็นเครื่องเป่า) จะต้องถูกเป่าอย่างแน่นอน ก็จะพินาศหมดสิ้นทั้งผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้า และผู้ที่อยู่ในแผ่นดิน นอกจากผู้ที่พระองค์อัลลอฮ์ ทรงประสงค์ หลังจากนั้นก็จะต้องเป่ามันอีกครั้งหนึ่ง พลันพวกเขาก็ลุกขึ้น มองดู”[608]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จาก ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ช่วงระหว่างการ เป่าทั้งสองครั้ง สี่สิบ พวกเขาถามว่า โอ้อะบู ฮุรอยเราะห์ สี่สิบวันหรือ อะบู ฮุรอยเราะห์ กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ยอมตอบ[609] เขาถามว่า สี่สิบปีหรือ อะบู ฮุรอยเราะห์ กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ยอมตอบ เขาถามว่า สี่สิบเดือนหรือ                                                           อะบู ฮุรอยเราะห์กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ยอมตอบ แต่ทุกสิ่งจากร่างของมนุษย์จะเสื่อมสลายหมด นอกจากกระดูกก้นกบของเขาเท่านั้น จากกระดูก ก้นกบนี้ที่จะเริ่มสร้างขึ้นใหม่[610]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะมีความสุขได้อย่างไร โดยที่ผู้ทำหน้าที่เป่าเขา ได้อมเขาไว้แล้ว ลดหน้าผากของเขาลงตํ่า ผึ่งหู คอยคำสั่ง ให้เป่า และแล้วเขาก็จะเป่า[611] มวลมุสลิมได้กล่าวว่า เราจะกล่าวอย่างไร โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ท่านตอบว่า ท่านทั้งหลายจงกล่าวว่า อัลเลาะห์ก็พอเพียงแล้ว แก่พวกเรา เป็นผู้รับมอบที่ดี เราขอมอบหมายให้อัลเลาะห์

ท่านนบี ซ.ล.  ถูกถามถึงคำว่า “อัซซูร” ท่านตอบว่า คือเขาสัตว์ที่ใช้เป่า[612]

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี และอะบู ดาวูด


 

 

 


 

[1] คือท่านนบี

[2] คือ อัลกุรอาน

[3] คือ อัลกุรอาน ที่จะทำให้มีชีวิตชีวา

4 ผู้ที่อ่านและท่องจำอย่างตั้งใจ

[5] ชื่อผลไม้ชนิดหนึ่งผลคล้ายผลส้ม

[6] คือสถานที่พักของคนอนาถาและยากไร้ ตั้งอยู่ในบริเวณมัสญิดนบี

[7] บุตฮาน และ อะกีก เป็นชื่อสถานที่อยู่นอกนครมะดีนะห์

[8]  ผู้ที่ท่องจำ อัลกุรอาน จะได้ตำแหน่งหลายขั้นในสวรรค์ เท่ากับจำนวนอายะห์ที่เขาท่องจำ

[9]  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผู้ที่จดจำอัลกุรอาน และปฎิบัติ อัลกุรอานจะต้องมีตำแหน่งสูงกว่าบิดาของเขาที่ไม่ได้จดจำอัลกุรอาน

[10]                ผู้ที่อ่าน อัลกุรอานจะได้ผลตอบแทนแต่ละอักษรที่แขาอ่านถึงสิบความดี

[11]                และอัลเลาะห์ อาจช่วยเหลือได้มากกว่านี้

[12]                หมายความว่าทุกครั้งที่เขาอ่าน อัลกุรอาน จบเขาก็จะเริ่มต้นอ่านใหม่อีก

[13] การลืมอาจะเกิดขึ้นกับท่านนบี (ซ.ล.) ได้ในบทบัญญัติบางข้อ เพื่อให้เกิดคำอธิบายข้อกำหนดนั้น

[14] คืออ่านลากสียงในคำทิ่ควรลากสียงยาว

[15] โดยทิ้ง อะลีฟ ที่คำว่า “มาลิกิ'’

[16]เพื่อท่านจะได้ดีใจ

[17]ท่วงทำนองที่ไพเราะ

[18]เพราะการอ่าน อัลกุรอานเป็นท่วงทำนองที่ไพเราะ จะช่วยเสริมให้อัลกุรอานมีเกียรติและศักดิ์ศรีมากขึ้น

[19]เพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาทในเรื่องความหมายอัลกุรอาน

[20] หมายถึงอิหม่านจะไม่ลงไปสู่หัวใจของพวกเขา          

[21] หมายความว่าในยุคของพวกท่านจะปรากฎผู้คนจำนวนมากบำเพ็ญความดีเป็นนิจสิน เพื่อต้องการโอ้อวดและหวังชื่อเสียง พวกเขาห่างไกลศาสนาเหนือลูกธนูที๋พุ่งทะลุเป้าไปอย่างรวดเร็ว ผู้ยิงจะมองดูหั่วธนู ลูกธนู และขนนกที่อผูยู่หางลูกธนู เขาก็จะ ไม่พบร่องรอยที่มันทะลุเป้ามา

[22] คือค่าพูดของท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.)

[23] หมายถึง ภายหลังจากผู้นำได้เรียกร้องให้พวกเขากลับตัวแล้ว ถ้าหากพวกเขาไม่ยอมกลับตัวก็ให้สู้รบกับพวกเขา เพราะการ สู้รบกับคนพวกนี้เป็น ญิฮาด

[24] คือกล่าวคำว่า อินนาลลลาห วะอินนาอิลัยห็รอญอุน คล้ายกับเขาเห็นว่าการใช้อัลกุรอานมาเป็นเครื่องมือขอ นั่นเป็นภัยพิบิต อย่างหนึ่ง

[25]    คือนำเอา อัลกุรอาน มาเป็นเครื่องมือขอ ประชาชน

[26]    ในบางรายงานว่า จงอ่านให้จบในเจ็ตวัน

[27]    เพราะการอ่านเร็วทำให้ขาดการเอาใจใส่

[28]    หมายความว่าผู้ใดอ่าน อัลกุรอาน จบในสามวันเขาจะไม่เข้าใจ อัลกุรอาน เพราะการอ่านอย่างรวดเร็วจะทำให้ขาดการเอา ใจใส่

[29] ที่รู้ว่า อัลเลาะห์ ได้ทรงระบุนามของเขาแก่ท่านนบื (ซ.ล.)

[30] หมายถึงผู้ที่ปฎิบัติตาม อัลกุรอาน

[31] หะดษนี้ชี้ว่า ซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์ สามารถป้องกันการกระทำคุณไสย แก่ผู้ที่พกพามันได้ใม่ว่าจะโดยจดจำหรอเขียน เอาไว้ ทั้งนี้โดยอนุมัติของอัลเลาะห์

[32] อายะห์ อัลกุรชี คืออายะห์ที่ 255 ของซูเราะห์ อัลบะกอราะห์ ส่วนอายะห์ต่างๆ ท้ายซูเราะห์ บะกอเราะห์ คือตั้งแต่ อายะห์ที่285 จนจบซูเราะห์

[33] ฮามีม อัลมุอฺมิน คือซูเราะท์คี่อย่หลังจากซูเราะห้ อัซซุมัร

[34] คืออายะห์ที่เริ่มด้วย “อามะนัรรอซูล จนจบซูเราะห์

[35] หมายถึงค้มภร์หนึ่งจากบรรดาค้มภืร์ ที่ถูกประทานลงยังบรรดาศาสนทุตเพื่อแนะน่ามนุษยชาติ

[36] คือซูเราะห์ อัลอิสรออ

[37] ผู้ใดท่องจำสิบหรือสามอายะห์จากต้นซูเราะห์ อัลกะห์ฟิ และได้อ่านมันทั้งเช้าเย็น เขาจะถูกคุ้มครองจากความชั่วร้ายของ ดัจญาล

[38] ผู้ใดได้อ่านซูเราะห์ ยาซีน หนึ่งจบต้วยหัวใจบริสุทธิ์ อัลเลาะห์จะให้ผลบุญเขาเท่ากับได้อ่าน อัลกุรอานสิบจบ

[39] ดูรายละเอียดในเรื่องการอ่าน อัลกุรอานให้ศพจาก ภาคละหมาด

[40] ตามต้วบทของหะดีษก็หมายถึงจะได้รับการอภัยบาปทั้งหมดให้ นอกจากที่เป็นกรรมสิทธิ์ของมนุบย์

[41]อัลมุซับบิฮาต ได้แก่ ซูเราะห์อัลหะดีด อัลฮัชร์ อัลซอฟฟ์ อัลญุมอะห์ อัตตคอบุน

[42] เป็นคำคลุม เพื่อด้องการให้อ่าน อัลมุซับบิฮาต ทั้งหมด

[43] คือยับยั้งความชั่วจากผู้ที่อ่าน

[44] หมายถึงได้ผลบุญของการอ่านเท่านั้นเท่านี้

45 หมายความว่าเท่าที่ท่านม่อยู่นนท่านไม่ใช่คนจนแลว   

[46] ด้วยการที่เขารักซูเราะห์นั้น

[47] หมายความว่าการที่ท่านรักซูเราะห์นั้นทำให้ท่านกลายเป็นชาวสวรรค์

[48] การอ่านซูเราะห์ อัลอิคลาส และ อัลมุเอาวิชะตัยน์ สามครํ้งเช้าเย็น พร้อมด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ และมอบหมายต่ออัลเลาะค์ จะคุ้มครองท่านได้ทุกสิ่ง

[49] มุอาวิซาตัยน์ แปลว่า คำที่ใช้ป้องกันทั้งสอง อันได้แก่ ซูเราะห์อัลฟะลัก ซูเราะห์อันนาส

[50] อัลยัวะห์ฟะห์ กับ อัลอับวาอ์ ทั้งสองเป็นชื่อสถานที๋ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างมักกะห์ กับ มะดีนะห์

[51] อะบุเชด คือลุงคนหนึ่งของ อะนัส ชื่อจริงว่า สะอด บุตร อุบัยด์ อัลเอาซีย์

[52] หมายถึงเจ็ดแนวทางในการอ่าน

[53] อิบนุ ชิฮาบ ได้กล่าวว่า บางครั้งแนวทางในการอ่านทั้งเจ็ดนี้เกิดขึ้นในอายะห์เดียวกัน หรือบางครั้งก็เกิดขึ้นในคำเดียวกัน แต่ความหมายของอายะห์นั้นหรือคำนั้นจะไม่เปลี่ยนไปจาก ฮะล้าล เป็น ฮะรอม และ ฮะรอม เป็น ฮะล้าล, ควานหมายนั้นจะ ยังคงอยู่ เช่น อ่าน “มาลิกิ,’ เป็น “มะลิกิ’’ เป็นตน ในซูเราะห์ อัลฟาติฮะห์.

[54] คือข้าพจ้าเสียใจเศร้าใจจนเกิดความคิดว่านบี โกหกเพราะดัดสินการอ่านของชายทั้งสองคนว่าถูกต้อง ทั้งที่ความคิดเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในใจของขาพเจ้าเลยในสมัยญาฮิลียะห์

[55] คือกลัวอัลลอฮ์ ตาอาลา และละอายท่านนบ (ซ.ล.)

[56] คือสานครั้ง ที่ท่านนบี (ซ.ล.) ได้วิงวอนขอให้แก่ประชากรของท่านสองครั้งและเก็บครั้งที่สามไว้ในวันกิยามะห์

[57] ยะมามะห์ เป็นชื่อเมืองหนึ่งในแคว้น ฮิญาซ มีต้นอินทผาลัมมาก ที่เมืองนี้ได้เกิดมี มุซัยลิมะห์ อัลกัซซาบ (จอมโกหก) ขึ้นเขาได้อ้างตัวเป็นศาสดา และมีบริวารเชื่อถือเป็นจำนวนมาก จนอะบูบกร์ ร.ฎ. ได้นำกองทหารมาทำการปราบปราม ได้มีการสู้รบกันจนในที่สุด มุซัยลิมะห์กับสาวกถูกฆ่าตาย และทหารฝ่ายมุสลิมที่ประกอบด้วยอัครสาวกได้ถูกฆ่าตายในฐานะชะฮีดถึงเจ็ดรอยคน และในจำนวนั้นก็มนักจำอัลกุรอาน อยู่ด้วยกลุ่มหนึ่ง

[58] เชด 1ปีนบุคคลที่ อะบูบักร์ ได้คัดเลือกให้เป็นคนรวบรวม อัลกรอาน เพราะความเฉลียวฉลาดและความรอบรู้ของเขา

[59] เซดไม่ได้อาศัยสิ่งเหล่านี้เท่านั้นในการรวบรวม อัลกุรอาน จนกว่าจะมีพยานมายืนยันสองท่านประกอบกับความจำที่ท่านมี

[60] อิรมีนิยะห์เป็นชื่อเมืองใหญ่ตั้งรยู่ระหว่างโรม กับ คอลลาต อัซรอบียาน    เป็นชื่อแคว้น ที่มีเมืองต่างๆ มากมายตั้งอยู่

[61] ชาวชาม อ่านอัลกุรอานตามแนวทางของ อุบัยย์ บิน กะอับ และชาวอิรัก อ่านอัลกุรอานตามแนวทางของ อิบนิ มัสอูด ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันว่าอ่านผิด

[62] ผู้ใดขยายความคัมภีร์ของอัลเลาะห์โดยอาศัยความเห็นและอารมณ์ของตนเอง ซึ่งไม่ตรงกับที่ท่านนบี (ซ.ล.) บรรดาอัครสาวกของท่าน และปวงปราชญ์ ได้กล่าวไว้ ถือว่าเขาผิดจากสัจธรรมและหลงผิดเขาจะได้นรกตอบแทน เพราะความอาจหาญของเขา และเพราะเขาป้ายสีอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เขาไม่มีความรู้หลักภาษาอาหรับ และถ้าหากเขาขยายความได้ถูกต้อง เขาก็มีความผิด เพราะเขากระทำไปโดยไม่มีความรู้

[63] หมายความว่าเป็นหน้าที่ของผู้เป็นบ่าวที่จะต้องสักการะอัลเลาะห็ ด้วยห้วใจบริสุทธิ์ และพระองค์อัลเลาะห์ก็จะโปรดปราน ประทานความช่วยเหลือให้เขา.

[64] พวกยะฮูด ได้แก่ พวกชาวยิว

[65] พวกนะซอรอ ได้แก่พวกชาวคริสต์

[66] จากอายะห์ที่30 ตัวแทนในหน้าแผ่นดิน คือ อาดัม อ.ล.

[67] หมายถึงแผ่นดินและสิ่งที่มอยู่ในหน้าแผ่นดิน อันได้แก่ ทะเลและแม่น้ำ

[68] วันเริ่มต้นสัปดาห์คือวันเสาร์ และวันสุดสัปดาห์คือวันศุกร์ อันเป็นวันรื่นเริงประจำสัปดาห์

[69] หมายถึงศอกของตัวเองและกว้างเจ็ดศอก เพราะมีหะดีษอะหมัดว่า ความสูงชอง อาดัม หกสืบศอก ในความกว้าง เจ็ดศอก.

[70] เมื่ออัลเลาะห์แบมือขวาของพระองค์ ก็ได้ปรากฎรูปวิญญาณของ อาดัม และลูกหลานของ อาดัม ตลอดจนอายุของแต่ละคน ก็ได้ถูกบันทึกไว้ระหว่างดวงตาทั้งสองข้างของแต่ละคน

[71] จากอายะห์ที่ 57 อัลเลาะห์ได้ห้ามพวกบนี อิสรออีล เก็บอาหารที่พระองค์ประทานให้เอาไว้ แต่พวกเขาทรยศ โดยได้เก็บ เอาอาหารไว้มันจงเกิดเน่าเสีย.

[72] จากอายะห์ที๋ 58

[73] พวกเขาได้ฝ่าฝืนทั้งการกระทำและคำพูด การกระท่าคือลากสะโพกเข้าไป คำพูดคือเปลี่ยน อัดตอตุน เป็น อับบะตุน ชะอะเราะห์ เป็นคำพูดที่ไม่มีความหมายใด ๆ พวกเขามิประสงค์อย่างเดียวคือขัดคำสั่ง

[74] จากอายะห์ที่ 79 ปราชญ์ของชาวยิวได้เปลี่ยนแปลงคัมภีร์ เตารอด เป็นส่วนใหญ่ เช่นคุณลักษณะของท่านนบี มุฮัมมัด (ซ.ล.) อายะห์ ที่ว่าด้วยเรื่องการขว้าง คนที่ผิดประเวณี เป็นด้นเพื่อหวังประโยชน์ และความเป็นผู้นำ

[75] หมายความว่าท่านทั้งหลายอย่าถามเรื่องใด ๆ จากพวกเขา เพราะเราเห็นว่าพวกเขาไม่เคยถามพวกท่านถึงเรื่องใด ๆ เลย ดังนั้น พวกท่านจงสมควรที่ไม่ถามพวกเขา มากกว่าพวกเขาจะไม่ถามพวกท่าน เพราะศาสนาของพวกท่านปลอดภัยจากการเปลี่ยนแปลงทั้งปวง

[76] จากอะยะห์ที่ 97 หมายความว่า ผู้ใดที่เป็นศัตรูของญิบรีล ให้เขาจงตายไปด้วยความโกรธเถิด สาเหตุของอายะห์นี้ก็คือ พวกชาวยิว ได้กล่าวแก่ท่านนบี (ซ.ล.) ว่า ไม่มีนบีใดนอกจากจะต้องมีมะลาอกะห์นำข่าวมาให้เขาได้โปรดบอกพวกเราเถิดว่า ใครคือผู้นำข่าวของท่าน ท่านนบีได้ตอบว่า คือ ญิบรีล พวกเขาได้กล่าวว่า ญิบรีลนั้นเป็นผู้นำสงครามมา เขาเป็นศัตรูของพวกเรา ถาหากท่านกล่าวว่า มิกาอีล ซึ่งเป็นผู้นำความเมตตา พืชพันธุ์และน้ำฝนมา กีจะดี อายะห์นี้จึงได้ลงมา

[77] จากอายะห์ที่ 115

[78] ยอมให้ผู้เดินทาง ละหมาดสุนัต โดยหันหน้าไปตามจุดทางที่มุ่งหมายของตน โดยไม่คำนึงถึงกิบลัต

[79] จากอายะห์ที่ 116 พวกยะฮูด และ นะซอรอเชื่อมั่นว่า มะลาอกะห์ คือลูกสาวของอัลเลาะห์ พวกเขาได้กล่าวว่า อัลเลาะห์ มีลูก อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า อัลเลาะห์ นั้นทรงบริสุทธิ์จากการมีลูก สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ และเป็นข้าทาส ของพระองค์ และการที่ทุกสิ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ พระองค์จึงไม่มีลูก.

[80] จากอายะห์ที่125

[81] ที่จริงแล้ว สิ่งที่อุมัร ร.ด. มีความเห็นสอดคล้องกับพระผู้อภิบาลนั้น มีมากมายเกินกว่าสามประการ ดังนั้นคำว่าสามประการ ในหะดิษนี้จึงไม่ใช่เงื่อนไข อาทิ เช่น การห้ามสุรา เรื่องเชลยศึกบัดร์ การไม่ละหมาดให้แก่ศพของพวกหน้าไหว้หลังหลอก เป็นต้น ซื่งมีมากกว่าสิบห้าประการ.

[82] ฮิญาบ หมายลงการปกปิดอวัยวะที่ต้องสงวนของหญิง อายะห์ที่ว่าด้วยเรื่อง ฮิญาบคืออายะห์ที่ 53 ของซูเราะห์ อัลอะห์ซาบ

[83] จะได้นำมากล่าวไว้ใน ชุราะห์ อัตตะห์รีม

[84] จากอายะห์ที่ 127

[85] จากอายะห์ที่ 37 ของซูเราะห์ อิบรอฮีม

[86] คือให้นมลูก และตัวเธอเองก็ดื่มเพียงน้ำ ซัมซัม โดยไม่ต้องการอาหารและเครื่องดื่มอื่นอีก.

[87] คือ อิสมาอึล กับมารดาของเขา(พระนางหะญาร)

[88] ขณะที่พวกกุเรช ปรารถนาจะบูรณะ อัลกะอ์บะห์ขึ้นใหม่ ก่อนที่ท่านนบี จะได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสนทูต พวกเขาได้รวบรวมทรัพย์สิน และพบว่าทรัพย์สินที่บริสุทธิ์นั้นมีไม่เพียงพอที่จะบูรณะกะอ์บะห์ ได้ทั้งหมดบนฐานเดิมของอิบรอฮีม พวกเขาจึงได้ทิ้งส่วนทางด้านทิศเหนือไว้ (คือฮิจรุน อิมาอีล) อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวแกท่านนบีว่า ทำไมท่านจึงไม่สร้างกะอ์บะห์ให้อยู่บนฐานรากของอิบรอฮีม ทั้งหมดโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านนบีได้กล่าวว่า ถ้าไม่ใช่เพราะพวกพ้องของเธอไม่ได้พ้นจากสภาพกุฟร์ มาใหม่ๆ แล้วละก็ ข้าพเจ้าต้องทำอย่างแน่นอน

[89] อายะห์ที่ 143

[90] จากอายะห์ที่ 144

[91]  จากอายะห์ที่ 143 

[92] จากอายะห์ที่ 146

[93] จากอายะห์ที่ 158

[94]  อุรวะห์ เป็นบุตรของอัสมาอ์ ซึ่งเป็นพี่สาวของอาอิชะห์(เป็นน้า อุรวะห์) 

[95]คือลงมาในพวกที่ไม่เวียนไปมาระหว่างศอฟากับมัรวะห์ ก่อนอิสลาม และพวกที่กล่าว พวกเราถูกบัญชาให้เวียนรอบบัยตุลลอฮ์ พวกเราถูกไม่ได้ถูกบัญชาให้เวียนไปมาระหว่างศอฟากับมัรวะห์ 

[96] จากอายะห์ที่ 163 ซูเราะห์อัลบะกะเราะห์ และอายะห์แรกของซูเราะห์ อาลิ อิมรอน 

[97]ซึ่งปรากฏอยู่ในหนึ่งในสามหรือทั้งสามซูเราะห์

[98]  จากอายะหที่ 165 

[99]กิสอส คือการลงโทษอาชญากรด้วยการกระทำอย่างเดียวกับอาชญากรทำ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

[100] ให้ผู้ปกครองผู้ถูกฆ่าติดตามทวงถามเอาค่าปรับแต่โดยดี ไม่กระทำโดยรุนแรง และฝ่ายที่ได้รับการอภัยก็ให้จ่ายดิยะห์แก่เขาแต่โดยดี โดยไม่มีการผลัดผ่อนและลดหย่อน

[101]จากอายะห์ที่ 178 

[102] พวกฝ่ายหญิงไม่ยอม ที่จะอภัยให้

[103] จากอายะห์ที่ 183

[104] จากอายะหที่ 184 

[105] จากอายะหที่ 185

[106] จากอายะหที่ 187

[107]  จากอายะหที่ 187 ในยุคต้นอิสลามห้ามการร่วมประเวณีในเดือนเราะมะฎอน ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ได้มีอัครสาวกบางคนละเมิด โดยได้ร่วประเวณีกลางคืน ต่อมาอัลลอฮ์ได้ผ่อนผันให้มาทางโองการนี้

[108]  จากอายะห์ที่ 187 การละศีลอดในยุคต้นอิสลาม นับตั้งแต่ตะวันตกดินจนถึงการนอนหลับของแต่ละคน เมื่อายะห์นี้ได้ลงมา เวลาการละศีลอดยืดออกไปจนถึงแสงอรุณขึ้น

[109]  หมายถึงเป็นคนโง่

[110]  จากอายะห์ที่ 189

[111]  จากอายะห์ที่ 193

[112]  วิกฤติการณ์ หมายถึง การตั้งภาคี และนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวิกฤติการระหว่าง อัลฮัจญาจ กับ อับดุลลอฮ์ บินซุบัยร์ โดยฮัจญาจได้ปิดล้อม อับดุลลอฮ์ ที่มักกะห์ ในปีที่73 หลังจากได้เกิดการรบพุ่งกันระยะหนึ่ง โดยที่ อิบนิ อุมัร ออกห่างจากทั้งสองฝ่าย เพราะเขาถูกติดตามให้เข้าร่วมในวิกฤติการณ์นี้ 

[113]เท่าที่ปรากฏ พวกที่ถามเป็นพวกเคาะวาริจ ที่ยอมรับอะบูบักร์ กับอุมัร ปฏิเสธอุษมานและอะลี สำหรับอุษมาน ไม่ได้ออกไปร่วรบสงครามอุหุด และอะลี เพราะยอมรับการตัดสินของมุอาวิยะห์ อิบนุอุมัร จึงตอบโดยกล่าวถึงลักษณะเด่นๆ ของคนทั้งสอง ดังกล่าว

[114] หะดีษของอะบี อัยยูบ ที่จะกล่าวต่อไป จะอธิบายเรื่องนี้

[115]จากอายะห์ที่ 196

[116]จากอายะห์ที่ 196 ดูรายละเอียดเรื่องฮัจญ์

[117]คืออายะห์ที่ว่าเรื่องการทำอุมเราะห์ก่อนฮัจญ์ภายในเดือนฮัจญ์ชองปีเดียวกันและต้องเสียค่าปรับตามที่ระบุในอายะห์นั้น

[118]จากอายะห์ที่ 198

[119]จากอายะห์ที่ 199 

[120]จากอายะห์ที่ 203

[121]หมายความว่า กิจกรรมของฮัจญ์ที่เด่นชัดที่สุดคือการวุกุฟที่อะรอฟะห์ และผู้ใดทันวุกุฟที่อะรอฟะห์ก่อนแสงตะวันจะขึ้นในวันอีด เขาก็ได้ฮัจญ์

[122] จากอายะห์ที่ 204 ผู้ที่ตั้งตนเป็นศัตรูตัวฉกาจกับท่านนบี ซ.ล. และเหล่ามุสลิมีน คือ อัลอัคนัส บิน ซะรีก เขาเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก(มุนาฟิกูน) มีคำพูดที่อ่อนหวาน แต่ภายในและการกระทำของเขาโสมมยิ่ง

[123] อัลลอฮ์โกรธที่สุด คือคนที่ตั้งตนเป็นศัตรูตัวฉกาจ

[124] จากอายะห์ที่ 214

[125] หมายความว่า ให้พวกท่านทั้งหลายอดทนเหมือนบรรดาผู้ที่ศรัทธาในยุคก่อนๆ ที่อดทนต่อภัยร้ายแรงต่างๆ

[126] อายะห์ทนนงเป็นอายะห์ที่ 43 ของชุราะห์ อันนิชาอ, อายะห์ที่ สองท 219 ของชุราะท์ อัลบะกอราะห์, 

[127] จากอายะห์ที่ 189

[128] จากอายะห์ที่ 193

[129] วิกฤติการณ์ หมายถึง การตั้งภาคี และนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวิกฤติการระหว่าง อัลฮัจญาจ กับ อับดุลลอฮ์ บินซุบัยร์ โดยฮัจญาจได้ปิดล้อม อับดุลลอฮ์ ที่มักกะห์ ในปีที่73 หลังจากได้เกิดการรบพุ่งกันระยะหนึ่ง โดยที่ อิบนิ อุมัร ออกห่างจากทั้งสองฝ่าย เพราะเขาถูกติดตามให้เข้าร่วมในวิกฤติการณ์นี้ 

[130] จากอายะกํที่ 223

[131] คือร่วมกันภรรยาของตนทางทวารหน้าโดยตนอยู่ทางด้านหลัง

[132] หมายความว่า จงออกห่างการร่วมทางทวารหนัก และขณะมีประจำเดือน

[133] จากอายะห์ที่ 232

[134] จากอายะห์ที๋ 234

[135] จากอายะห่ที่240

[136] หมายลงถูกยกเลิกข้อกำหนด (หุกุ่ม) อายะห์ที่ว่าด้วยเรื่องการสั่งเสียแก่ภรรยานั้นได้ถูกยกเลิกข้อกำหนดโดยอายะห์ที่ว่า ด้วยเรื่องมรดกคืออายะห์ที่ 12 ของซูเราะห์ อันนิซาอ์ และอายะห์ที่ว่าด้วยการกักตัวหนึ่งปีนั้นก็ได้ถูกยกเลิกข้อกำหนดโดยอายะห์ที่ว่า สี่เดือนกับสิบวัน คืออายะห์ที่ 234 ของซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์

[137] จากอายะห์ที่238

[138] วํนอะห์ชาบ คอศก อัลอะห์ชาบ ที่ฝ่ายมุสลมได้ขุดสนามพลๅะฃํ้น หรอที่รขกว่า กก คอนด,ก

[139] ในทรรศนะของ อาอชะห์และอ*'ครสาวกบางท่านกล่าวว่า ละหมาดกลางน้นไม่ใช่ละหนาด กํล่า แต่ปีนสะหมาด ดุท่ร ทรราชตกอยู่ในตอนกลางวน, ในทรรศนะของส่วนใหญ่แล่วถอว่า ละหมาดกลางก็คือละหมาด อสร เพราะดกอยู่กลางระห,ว่าง ละหมาด ดุหร ก่บละหมาด มนรบ

[140] คอถูกด้ามม่ใด้พูดคุยกนขณะละหมาด และถอปีนข้อที่•ท-ๅใด้เสยละหมาด

[141] จากอายะห์ที่ 239 ดูรายละอยคในเรื่องละหมาดในยามหวาดกลัว

[142] จากอายะห์ที่ 255

[143] จะลดและยกด้วยผลงานต่างๆ ของมวลบ่าวที่ถูกสนอาปกังพระยงค์ และด้วยเครื่องยังชีพต่างๆ ที่ลงมาสู่มวลบ่าว ของพระองค์ หรืออาจหมายความว่าพระองค์จะจำกัดปัจจัยยังชีพ และให้ความกว้างขวางในด้านปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองคประสงค์ และหรืออาจหมายถึง พระองค์จะให้คนชั่วตกต่ำและยกย่องคนดี

[144] ผลงานในเวลากลางว่นจะถูกนำเสนอขึ้นไปทุกวันหลังละทมาด อัสร์ และผลงานในเวลากลางคืนจะถูกนำเสนอขึ้นไปทุกวัน หลังละหมาด ซุนฮ์

[145] จากอายะห์ที่ 260 ถ้าหากความสงสัยในความสามารถของอัลเลาะน์มีทางเกิดขึ้นกับบรรดานบีต่าง ๆ ได้แล้ว ข้าพเจ้าก็ควรจะสงสัย แต่ข้าพเจ้าไม่มีความสงสัยใดๆ เลย อิบรอฮีมก็ควรต้องไม่มีความสงสัย ทั้งนี้เพราะ อิบรอฮีมเป็นมิตรสนิทของอัลเลาะห์

[146] จากอายะห์ที่266 หมายความว่า คนใดคนหนึ่งของพวกท่านที่เข้าสุ่วัยชราแล้ว เขามี่ลูกที่ยังเล็กๆ อยู่ มีสวนที่กำลังให้ผล ไม่ต้องการให้โรคระบาดมาทำลายสวนของเขา เพราะเขามีความจำเป็นต้องอาศัยมันอย่างที่สุดในยามนี้ หรือแม้แต่คนที่ยังหนุ่มแน่น ก็ตามก็ไม่ต้องการเช่นนั้น นี่เป็นอุทาหรณ์ ของการบริจาคของคนที่กระทำเพื่อโอ้อวดให้ผู้อื่นเห็น สิ่งที่เขาบริจาคจะสูญไปไม่ เกิดประโยชน์แก่เขาใน อาคิเราะห์ ทั้งที่เขาต้องการมันอย่างเหลือเกิน

[147] อายะห์นี้เป็นอุทาหรณ์ของคน ๆ หนึ่งที่ภักดีต่ออัลเลาะห์เป็นเวลานานโดยการเสียสละทรัพย์และร่างกายของเขา แต่ต่อมา เขาหลงผิดเขาได้เปลี่ยนความดีของเขาเป็นความชั่ว และเขาก็เป็นคนที่เศร้าโศกมากที่สุดในอาคิเราะห์ เพราะเขามีความต้องการ มันมากที่สุดในยามนี้

[148] จากอายะห์ที่ 267

[149]จากอายะห์ที่ 268

[150] จากอายะห์ที่ 271 การบริจาคทานอย่างเปิดเผยเป็นสิ่งที่ควรสรรเสริญ ถ้ากระปาด้วยความบรสุทธใจเพราะเป็นแบบอย่างที่ดี แต่การบริจาคทานอย่างลับๆ ดีกว่าและได้ผลบุญมากกว่าเพราะไม่ม่สิ่งใดเคลือบแฝงอยู่ ดังกล่าวแล้วนี้หมายถึงการบริจาคทานที่ เป็นสุนัต สำหรบการบริจาคที่เป็นวาญิบ เช่นซะกาต การกระทำอย่างเปิดเผยประเสริฐกว่าเพื่อจะไม่มีข้อครหาว่าไม่ออกซะกาด และเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี

[151] ด้ที่บรจาคอย่างปีดบ้งนนลำหร'บอ''ลเลาะห์แล้วเขาม่ความมนคงยิ่งกว่าทุกสง

[152] จากอายะห์ที่ 153 คนขัดสนที่แท้จรงนั้น ไม่ใช่ผู้ที่ขออาหารได้คำสองคำก็ไป เพราะนั่นเขาอาจเป็นคนรวย แต่คนที่ขัดสน จริงๆ  นั้นคือผู้ที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ ไม่มีอาชีพ  ประชาชนไม่รู้จักเขาและเขาจะไม่ขอประชาชน หะดีษนี้สนับสนุนให้จุนเจือแก่คนที่ ขัดสนจริงที่ไม่เที่ยวได้ขอผู้คน เพราะพวกเขาดีกว่าและประเสริฐกว่า

[153] จากอายะห์ที่ 276

[154] อายะห์ที่ว่าด้วยเรื่องดอกเบี้ย (ริบา) ท้ายซูเราะห์บะกอเราะห์คืออายะห์ที่ 275. 276 ท่านรอชูล้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ได้อ่านให้ ประชาชนทํงในม'สยด และท่านก็ได้หามการค้าขายสุรา เพราะม'ปท้ามดม

[155] จากอายะหที่ 281

[156] หมายถงอายะห์ต่างๆที่เกี่ยวกับเรื่องดอก1บี้ย (ริบา) ในที่นี้เป็นอายะห์สุดท้ายที่ได้ลงมา ตอบรอนี ได้นำหะดีษบทหนึ่ง ที่มีหลายสายรายงาน ออกเล่าจากอิบนิ อับบาส ว่าอายะห์สุดท้ายที่ลงมายังท่านนบี (ซ.ล.) คืออายะห์ที่ 281นี้ และอาจนำอา หลักฐานทั้งสองมาตีความรวมกันได้ว่า หมายถึงอายะห์ต่างๆ ในเรื่องดอกเบี้ย (ริบา) ที่คลุมถึงอายะห์นี้ 281 ด้วย

[157] จากอายะห์ที่ 284

[158] คือพวกยะฮูด และนะซอรอ

[159] จากอายะห์ที่ 285

[160]  จากอายะห์ที่ 286

[161] จากอายะห์ที่ 7 อายะห์ที่มีโวหารคลุมเคลือ หมายถึงที่ไม่อาจเข้าใจความหมายได้ เช่นอักษรย่อของต้นซูเราะห์ต่างๆ

[162] การัดแย้งที่ถูกกริ้วก็คือการขัดแข้งที่ตั้งอยู่บนความโง่เพื่ออวดภูมิและหวังชื่อเสียง

[163] จากอายะห์ที่ 26

[164] จากอายะห์ที่ 36

[165] จากอายะห์ที่ 61

[166] จากอายะห์ที่ 20

[167] หมายทวานว่า สิรอกท อ่านอง หรอล่ามเป็นผู้อ่านคามค่าสงของขา.

[168] หมายล่ง นรรดาชาวไร่ชาวนาและประชาชน หรือหมายถึงพวกสกุล อะรี่ซ ซึ่งพาดพิงถึง อับดุลเลาะห์ บุตร อะริซ เป็น บุคคลที่พวกนะชอรอให้เกียรดและยกย่องเพราะได้ประดิษฐ์หลายสิ่งหลายอย่างขึ้นใหม่ในศาสนาของ อิซา (อ.ล.) ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน.

169 อะบี กับซะห เป็นชื่อเล่นของ ฮาริษ บุตร อับดุลอุซซา พ่อนมของท่านนบ ซ.ล. พวกนั้นมักดูถูกท่านนบี โดยพาดพิงกับเขา พวกผิวเหลือง หมายถึงพวกโรมัน.

[170] หมายคว่ามว่า ถ้าหากพวกท่านให้สัตยาบันกับมุฮัมมัด และศรัทธาต่อเขา

[171] จากอายะห์ที่ 67

[172] จากอายะห์ที่ 68 บรรดาผู้เจริญรอยตามเขา หมายถึงในสมัยของเขา นบีท่านนี้ หมายถึง ท่านนบี มุฮัมมัด ซ.ล.

[173] จากอายะห์ที่ 77

[174] ได้เกิดมีกรณีพิพาทกันระหว่าง อัลอัซอัช อัลกินดีย์  กับลูกลุงของเขาชื่อ มะอดาน ในบ่อน้ำใบหนึ่งซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของ อัลอัซอัชแต่อยู่ในครอบครองของลูกของลุงเขา และลูกของลุงเขาได้ปฎิเสธ ทั้งคู่จึงได้นำเรื่องขึ้นไปฟ้องท่านนบี ซ.ล. ท่านนบีได้กล่าวแก่ อัลอัซอัช ว่าท่านจะต้องหาพยานมายืนยัน บ่อจึงจะเป็นของท่าน ถ้าไม่เช่นนั้นก็ให้อีกฝ่ายหนึ่งสาบาน บ่อก็จะตกเป็นของเขา

[175] หมายถึง พวกเขาได้เตือนหล่อนให้ระลึกถึงอัลเลาะห์ และได้อ่านอายะห์นี้ให้ฟัง และขู่หล่อนให้กลัวการลงโทษของอัลเลาะห์ ถ้าหากหล่อนสาบานเท็จ พวกเขาได้ปฏิบัติกับหล่อนเช่นนั้น หล่อนจึงขอยอมสารภาพว่าเป็นผู้ทำร้ายเพื่อนของหล่อนเอง

[176] จากอายะห์ที่ 92

 

[177]             น่ขรูอา คอสวนที่ดที่สุดที่ อะบุตอลอะห์ ปกครองอยู่

[178]             จากอายะท่ที่ 93

[179]             อรกอลน่าชา เป็นโรคที่ท้าชนดหนํ่ง ที่ท่านนบ ยะอกบ บุตร อสหาก บุตร อบรออม ป่วยและไต้บนบานไว้ว่าท้าอ*ลลาะห์ ใท้หายจากโรคน 1ชาจะไม่กนสงที่ขาชอบมากที่ตุดอกต่อไป•พนคอนออูฐ และนมอูฐ ต่อมาอัลเลาะห์ก็ไต่ไท้ขาหายป่วยจากโรคนน เขาจงกำหนดท้าม?ทขาองจากเนออูฐ และนมอูฐ เป็นการปฎบตตามคำบนบาน

[180] จากอายะห์ที่ 96

[181] จากอายะห์ที่ 97

[182] จากอายะห์ที่ 110

[183] หมายกวามว่า ต่อมาพวกเขาได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม และมีหะดีษหนึ่งว่า “อัลเลาะน์ทรงพอพระทัยกับคนพวกหนึ่งที่ได้เข้าสวรรค์ โดยอยู่ในเครื่องพันธนาการพวกเขา ได้แก่เชลยศึกที่ได้รับนับถือศาสนาอิสลาม ด้วยเหตุนี้ประชาชาติ มุฮัมมัด จงเป็นประชาชาติ ที่ดีที่สุดเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ

[184] โอ้ประชาชาติมุฮัมมัด พวกท่านได้ทำให้เจ็ดสิบประชาชาติอิสลามสมบูรณ์ อาทิ เช่นประชาชาติของนบีอีซา นบีบูซา นบีอิบรอฮีมป็นต้น แต่พวกท่านปีนประขาชาดทประสรฐละมกยรตทึ่สุด อ้นนองมาจากการทพวกท่านปีนประชาชาต่ของนบ มุอำหม'ด ชงปีนสํ่งประสรฐทึ๋สุดที่อัลลาะหทรงสร้างฃํ้นมา

[185] จากอายะห์ที่ 122

[186] จากอายะห์ที่ 128

[187] จากอายะห์ที่135

[188] จากอายะห์ที่ 153 ความหม่นหมองนรกก็คือความพ่ายแพ้ ความหม่นหมองที่สองหมายถึง ที่พวกท่านเป็นสาหตุทำให้ศาสนทูต ต้องหม่นหมองต่อการที่พวกท่านไม่เชื่อฟังคำสั่ง สิ่งที่หลุดลอยไป นั้นคือทรัพย์สงคราม สิ่งที่ประสพกับพวกท่านคือ ถูกฆ่า และความพ่ายแพ้

[189] หมายความว่า พวกหน้าไหว้หลังหลอกเป็นพวกที่ขี้ขลาดที่สุด ทอดทิ้งสัจธรรมอย่างที่สุด และมีความโลภทรัพย์สงครามที่สุด

[190] จากอายะห์ที่ 161

[191] จากอายะห็ที่ 189

[192] หมายความว่า ได้เปิดเครองกนให้พวกนนได้แลเห็นพระองค์ และได้บัญชาให้พวกนนฃอสงที่พวกนนด้องการที่สุด

[193] จากอายะห็ที่ 172

[194] ภายหลังสงคราม อุฮุด ที่ฝ่ายมุสลิมถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก และฝ่ายพวกผู้ตั้งภาคีได้ยกทัพกลับไป ท่านนบี ซ.ล. เกิดความกลัวว่าพวกนั้นจะยกทัพกลับมาอีกในขณะที่มุสลิม กำลังเผลอตัว ท่านจึงได้บัญชาให้ อะบุบักร์ และ ซุบีร บิน อัลเอาวาม และอัครสาวกอีกกลุ่มหนึ่งออกติดตามพวกนั้นไป พวกเขาได้สนองตอบคำบัญชาของท่านนบีทั้งที่ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วย บาดแผล เหน็ดเหนื่อย และโศกเศร้าในสิ่งที่ได้ประสบกับพวกเขา และอายะห์นี้ก็ได้ลงมา

[195] จากอายะห์ที่ 173

196 จากอายะห์ที่ 187

[197]  จากอายะห์ที่ 188

[198] จากอายะห์ที่ 190

[199] จากอายะห์ที่ 195

[200] จากอายะห์ที่ 3 หมายความว่า ถ้าหากพวกท่านกลัวว่าจะให้ความยุติธรรมไม่ได้ในลูกกำพร้า โดยที่พวกท่านก็ปรารถนาแต่งงาน กับพวกหล่อน พวกท่านจงปล่อยพวกหล่อนไว้ และจงแต่งงานกับหญิงอื่น

[201]205มีชายคนหนึ่งที่มี(ด็กหญิง)กำพร้าอยู่ในปกครอง โดยที่(เด็กหญิงกำพร้านั้นมีทรัพย์สมบัติมาก เขาจงแต่งงานกับหล่อน(เพื่อหวัง ทรัพย์สมบัติของหล่อน อายะห์นี้จงได้ลงมา และห้ามผู้ปกครองของ(ด็กหญิงกำพร้าแต่งงานกับหล่อน หรือให้แต่งงานกับบุตรชาย ของตัวเองนอกจากจะมีความยุติธรรมใน(เรื่องสินสอดและอื่น ๆ ให้แก่หล่อน

[202] จากอายะห์ที่5

[203] จากอายะห์ที่ 11

[204] จากอายะห็ที่ 12

[205]209ในยุคต้นของอิสลามมรดกทั้งหมดจะต้องตกเป็นของบุตรชาย และการสั่งเสีย (พินัยกรรม) เป็นสิ่งวาญิบที่จะต้องกระทำ ไว้ให้แก่ญาติใกล้ชิด และบิดามารดาตามแต่ลูกชายจะเห็นสมควร ดังปรากฎตามคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “ได้ถูกบัญญัติ แก่พวกท่านทั้งหลาย เมื่อความตายได้มาสู่คนหนึ่งของพวกท่าน หากเขาทิ้งทรัพย์ไว้ ก็ให้ สั่งเสียไว้ใก้แก่ผู้ให้กำเนิดทั้งสอง และ บรรดาญาติสนิท โดยชอบธรรม เป็นสิทธิ์หน้าที่แก่มวลผู้มีความยำเกรง” อายะห์ที่ 180 ซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์ ต่อมาอัลเลาะห์ ได้ยกเลิกการดังกล่าว และได้ประทานอายะห์ที่ว่าด้วยเรื่องมรดกลงมาคือ “อัลเลาะห์ทรงมีคำสั่งแก่พวกท่านในลูก ๆ ของพวกท่าน" อายะห์ที่ 11 ซูเราะห์ อันนิซาอฺ

[206] จากอายะห็ที่19

[207] จากอายะห์ฑ33 การรับมรดกกันในต้านการเป็นพี่น้อง และร่วมสาบานกันก็ไต้ถูกยกเลิกไปต้วยอายะห์นี้

[208]212จากอายะค์ที่ 24 ทาสผู้หญ่งที่พวกท่านปกครองอยู่โดยการจับเอามาเป็นเชลย ยินยอมให้พวกท่านร่วมประเวณีกับหล่อนได้ โดยมีสิทธปกครองและหลังจากได้มีการกักตัว ที่ระยะหนึ่งแล้ว

[209] จากอายะห์ที่31 บาปใหญ่ หมายถึงความผิดที่ศาสนาได้กำหนดโทษไว้แน่นอน เช่นการฆ่า การลักขโมย การผิดประเวณี เป็นต้น และมีบางทัศนะกล่าวว่า ความผิดทุกประเภทที่มีสัญญาการลงโทษ อิบนุอับบาส ได้กล่าวว่า บาปใหญ่นั้นมีเกือบเจ็ดร้อยบาป สถานที่อันทรงเกียรติ คือสวรรค์

[210]214การกล่าวเท็จคือการเป็นพยานเท็จ การสาบานเท็จคือการสาบานที่ด้องการให้เกิดความไม่ถูกต้องขึ้น

[211] จากอายะห์ที่ 32

[212] จากอายะห์ที่ 41

[213]218เมื่อพวกเขาได้ละหมาดโดยไม่มีน้ำละหมาด อัลเลาะห์จึงได้ประทานอายะห์ที่ว่าด้วยตะยั'มมุม ลงมานั่นคือ “และถ้าหาก พวกท่านป่วยไข้หรือกำลังเดินทางหรือคนใดของพวกท่านมาจากสถานที่ถ่ายทุกข์ หรือพวกท่านสัมผัสผู้หญิง และพวกท่านก็หาน้ำไม่ได้แน่นอนให้พวกท่านมุ่ง (ทำตะยัมมุม) ดินที่สะอาดดังนั้น ให้พวกท่านเช็ดใบหห้าของพวกท่าน และมือของพวกท่าน แท้จริงอัลเลาะห์ทรงยกโทษให้ ทรงให้อภัย อายะหที่ 43 ซูเราะห์ อันนิซะอ์

[214] จากอายะห์ที่ 48

[215] จากอายะห์ที่ 65

[216] หมายล่งได้อยู่ร่วมก,บพวกเขาเหล่านนในสวรรค์

[217] คอถูกเสนอให้เล่อกเอาระหว่างคุนยาก้บอาคเราะห์ และท่านก็ได้เล่อกเอาอาคเราะห์

[218] จากอายะห์ที๋ 88

[219] จากอายะห์ที่ 93

[220] จากอายะหท 68 ชรายห อัลฟุรกอน

[221] จากอาขะน์กี่ 70 ชูราะห อัลฟุรกอน

[222]227อิบนุอับบาสมีทัศนะเกี่ยวกับอายะห์ที่ว่า “นอกจากผู้ที่สำนึกตัว “ นั้นลงมาเพื่อชักจูงพวกกุเรชให้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม สำหรับมุสลิมทรู้หลักการของอิสลามดแล้เมื่อได้ฆ่าผู้ศรัทธา (มุอ์มิน) ตายโดยจตนา เขาไม่มีสิทธิ์จะกลับตัว (เตาบะห์) เนื่องจากดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “และผู้ใดฆ่าผู้มีศรัทธาโดยเจตนา" แต่นักวิชาการทั่วๆ ไปมีความเห็นต่างออกไป จากอิบนิอับบาส

[223] ผู้ที่ถูกฆ่าตายจะมาในวันกิยามะห์ในสภาพที่มีเลือดไหลออกมาจากต้นคอของขา และเขาจับศีรษะของฆาตกรจนนำไปหยุดอยู่ต่อหน้าองค์อภิบาล แล้วกล่าวว่า ข้าแด่องค์อภิบาลของข้าฯ ชายผู้นี้ได้สังหารข้า ขอพระองค์ไห้โปรดตัดสินระหว่าง ข้าฯ กับเขาด้วย ณ บัดนั้น ฆาตกรปรารถนาที่จะไถ่ตัวเอง แม้ด้วยทองคำเต็มแผ่นดิน แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ

[224] คือพอให้พ้นจากการถูกฆ่า

[225] จากอายะห์ที่ 94

[226] คือไม่รู้จักเส้นทางที่จะอพยพลี้ภัยจากมักกะห์ไปสู่มะดีนะห์ 768

[227]234 เพราะอิบนุ อับบาส ยังเป็นเด็กและมารดาของเขาก็อ่อนแอ นับถือศาสนาอิสลาม

[228] จากอายะห์ที่ 101

[229] การย่อละหมาดเป็นข้อผ่อนผันแก่ผู้เดินทางไกลทุกคน ดังนั้นจงรับเอาไว้ปฏิบัติเถิด

[230] จากอายะห์ที่ 102

[231] นั้งสองปีนข้อตำบลฑึ๋อยู่ระหว่างม่กกะห์กํบ่มะดนะห์

[232] หมายความว่าให้บ่งทหารออกปีนสองพวก พวกที๋หนงคอยฝ็าศ่ตรูไว้ พวกทสอง ให้ละหมาดพร้อมกํบ่ท่านหนั้งรอกะอ,ต พร้อมกำ)ตดอาวุธ และละหมาดรอกะอ้ตทึ๋สองตามลำพ,ง เสร็จแล้วไปฝึาค้ตรูแทนพวกที่หนั้ง ชงยงไม่ไดละหมาด และให้พวก ฑหนั้งมาละหมาดพร้อมกํบ่ท่านหนั้งรอกะอ้ต ส่วนรอกะอ้ตฑสองให้ปลกตํวละหมาดก่นตามลำพ้ง ส่วนท่านได้ละหมาดสองรอ กะอ้'ต

[233] คออายะห์ที่ 115 mj 110

[234] จากอายะห์ที่ 116

[235] จากอายะห์ที่ 123

[236] ภํยพบ้ติต่าง ๆ ที่ประสพกบมุส mll]'นครองไถ่บาปของขาถ่าฃาม่บาป ๓ไม่ช่นนนก็จะ?เนครองสรมให้๓ยรติขาสูงขน

[237] จากอายะห์ที่ 128

[238] จากอายะห์ที่ 176

[239]247คือซูเราะห์ อันนัสร์ ไม่มีการปฎิเสธซึ่งกันและกัน ในคำพูดชองอัลบะรออฺ อับดุลเลาะห์ บิน อัมร์ และอับนุ อับบาส (ร.ค.) เพราะแด่ละคนได้เล่าตามที่ตนเข้าใจ ซูเราะห์ บะรออะห์เป็นซูเราะห์สุคท้ายที่ลงมาในเรื่องการสงคราม, อัลมาอีดะห์ เป็น ซูเราะห์สุดท้ายในนอกจากรองการสงครามซูเราะห์ อันนัสร์ เป็นซูเราะห์สุดท้ายจากบรรดาซูเราะห์สั้นๆที่ลงนา อายะห์อัลกะลาละห์ เป็นอายะห์สุดท้ายที่ลงมาในเรื่องมรดก และจะไม่ไปปฎิเสธกับที่ได้กล่าวมาแล้วในซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์ที่ว่า อายะห์ สุดท้ายคืออายะห์ที่ว่าด้วยเรื่อง ริบา (ดอกเบี้ย) และที่ว่าอายะห์” วัตตะกูเยามัน...” อายะห์ที่ 281 เป็นอายะห์สุดท้าย      772

[240] จากอายะห์ที่ 3

[241]249จากอายะห์ที่ 6

[242] จากอายะห์ที่ 6

[243] จากอายะห์ที่ 27

[244]250จากอายะห์ที่ 36

[245] จากอายะห้ฑ 39

[246] คือขฌะที่พระองค์ไต้อาขํ'อสํญญาจากถูกหลานของอาตัน ตังปรากฎในคำดำร'สของพระองค์ทว่า “และจงรำลกถด” ขณะ ฑพระต้อกบาลของท่านไต้ดลปนดาลจากถูกหลานของอาตัน ให้ปีนผ่าพ'นธุของพวกขาทออกนาจาก (ไขล'น) หลังของพวกขา และไต้ให้พวกขาปีนพยานปรํกปร่าตัวของพวกขาองว่า ขำไม่ใช่ปีนพระต้อกบาลของพวกจาหรอ พวกเขาดอบว่าหานไต้" จากอายะหท่ 172 ชูราะป ลัลอะอรอฟ่

[247]               จากอายะหฑ 57

[248]              หมายถงประทานให้อย่าง)หลอลน

[249]             จากอายะห์ฑ 70

[250] จากอายะห์ท 84

[251] หมายความว่า ท่านฟังหลายจะย้'งไม่mนาย จนกว่าจะไค้คว้าข้อม่อค้ทุจรดและฟ่าเข้าไปส่สํจธรรม

[252] จากอายะห์ที่ 90 อายะห์นั้ลงมาในเร้องของอ''ครสาวกกลุ่มหนงที่ประสงค์จะออกห่าง่จากผ้หญง ไม่ทเประทานนอ และ ไม่นอนบนที่นอน โดยจะทำการกอกลอด และขํ้นทำอ่บาดะห์ปีนนจ

[253] และท่านได้ผ่อนผ่นให้พวกราแต่งงานก*บผ้หญงโดขม่ผ้าปีนสืนสอด ที่ว่านหมาขถงในการแต่งงานช'วกราว (มุตอะห์) หลังจากนั้นอ'บดุลลาะห์ได้อ่านอายะหน ในหะดษนชื้ว่าอ*'บดุลลาะห์ห็นว่า อนุญาตให้แต่งงานชรกราวได้ เข่นดยวก'นก'บ อบนุอ*'บบาส อาจหมายถงขณะที่ขาย่งไม่ได้ยนหะดษที่มายกลกร้องการแต่งงานชวคราว และมอขาได้ขน เขาก็กลับกำที่ว่า อนุญาตนั้น และได้กล่าวมาแล้วในร้องนกะห์

[254]หนงว่า ท่านอย่าทำสิ่งนั้น เขากล่าวว่า หามได้ สาบานต่ออัลลาะห์ว่า ข้าพล้าจะด้องกระทำสิ่งนั้น และ ต่อมาขาก็ไม่ได้กระทำสิ่งนั้น ก็ไม่ม่สิ่งใดตกหน'กหนอเขาข่นเคยวก'น

[255]             ได้กล่าวมาแล้วอย่างละอขดในรองสุรา จากภาค อาหารและครองคม

[256] จากอายะห์ท 43 ซูเราะห์ ค้นนิ'ชาอุ

[257] จากอายะห์ฑี๋ 94 หมายถงพร้อมก้บอายะห์ก่อนด้วยคออายะห์ที่ 93

[258] จากอายะห์ที่ 96

207 จากอาบะห์หี่ 104 พวกที่ถามท่านรอซล้ถเลาะห์ ซ.ล.  เป็นเชงล้อล่นน่ จะไม่ปรากฎจากผู้ใคนอกจากกหน้าไนล้นล''ง หลอก และการล้อเล่นก้บท่านรอชูล้ลเลาะห ซ.ล.  นั้นตกเปีน กุฟ่ร์ อย่างไม่ต้องสงส''ย

[260] จากอายะหที่ 97 ซูเราะห์ อาลอนรอน

[261]ชายผูนั้นคืออับดุลเลาะห์ บุตร ฮุซาฟะห์ เมื่อเขาทะเลาะกับใครมักจะถูกเรียกว่าเป็นลูกขอคกนอื่น (โดยไม่เรียกเขาว่า อับดุลเลาะห์ บุตร ฮุซาฟะห์) และเมื่อเขาถามท่านนบี (ซ.ล.) ว่าใครคือบิดาของข้าพเล้า ท่านนบีตอบว่า บิดาของท่านคือฮุซาฟะห์, หะดีษนี้ไต้กล่าวมาแล้วในเรื่อง ตำแหน่งนบี

[262] จากอายะห์ที่ 108

[263] จากอายะห์ที่ 109

[264]พวกพ้องของนบีอีซา อ.ล. ได้ขอร้องต่อนบี อีซาให้มีสำรับอาหารลงมาจากฟากฟ้า เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองของพวกเขา และเพื่อเป้ฯเครื่องหมายความสัจจะ อัลลอฮ์ได้ให้มะลาอิกะห์นำสำรับอาหารลงมา ในสำรับนั้นมีขนมปังเจ็ดก้อนมีปลาเจ็ดตัว และอาจจะมีเนื้อเพิ่มเติมดังปรากฏในหะดีษนี้ พวกเขาได้ถูกบัญชาให้รับประทานจนอิ่มและห้ามเก็บไว้ พวกเขาได้รับประทานและเก็บเอาไว้ พวกเขาขัดขืนคำสั่งและทุจริต อัลลอฮ์จึงได้สาปแช่งพวกเขา

[265]จากอายะห์ที่ 104 ซูเราะห์อัมบิยาอ์

[266]เพราะท่านเป็นบุคคลแรกที่ถูกจับเปลือยกายเพราะอัลลอฮ์ ขณะที่พวกนั้นจะจับท่านโยนเข้ากองไฟ

[267]พวกเหล่านั้นคือ อาหรับบเถื่อนที่ไม่มีความรู้ใดๆในเรื่องศาสนาของเขาและพวกเขาได้ทิ้งศาสนาของเขาในภายหลังจากท่านนบี ซ.ล. ได้จากไป

[268]จากอายะห์ที่ 33

[269]จากอายะห์ที่ 65

[270] วิกฤติการที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์กันเองง และการฆ่าฟันกันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยง่ายยิ่งกว่าการลงโทษของอัลลอฮ์

[271]จากอายะห์ที่ 84

[272]เป็นการแสดงให้เห็นสภาพของอาซัร ดังนั้นผู้ไม่ศรัทธาแล้ว เขาจะต้องได้ขุมนรก แม้พ่อหรือลูกของเขาจะเป็นนบีก็ตาม

[273]จากอายะห์ที่ 82

[274]จากอายะห์ที่ 13 ซูเราะห์ลุกมาน

[275]จากอายะห์ที่ 68 ด้วยตำแหน่งนบี และตำแหน่งเราะซูล

[276]ที่ว่านี้หมายถึงก่อนที่ท่านจะรู้ว่าท่านเนมนุษย์ที่ประเสริฐที่สุด หรือเพราะความถ่อมตนของท่านนบี ซ.ล.

[277]จากอายะห์ที่ 90 เหล่านั้นได้แก่นบีอิบรอฮีม นบีอิสหากและนบีที่ดุถูกเอ่ยนามพร้อมกับนบีทั้งสองพวกเหล่านั้น เ)นพวกที่อัลลอฮ์ได้ชี้นำแก่พวกเขาแล้ว และเป็นพวกที่มีชื่อเสียงในการชี้นำมนุษย์ชาติ ดังนั้น โอ้มุฮัมมัดและประชากรของท่าน จงตามรอยพวกนั้นถิด

[278]จากอายะห์ที่ 103

[279]จากอายะห์ที่ 13 ซูเราะห์อันนัจมี

[280]จากอายะห์ที่ 23 ซูเราะห์อัตตักวีร

[281]ตามปรากฏการครั้งนี้คือครั้งที่ ได้เห็นขอบฟ้าอันแจ่มชัด คือที่อัลบะกีอ์และก่อนหน้านั้นอีกครั้งหนึ่งที่ซิดรอตุลมุนตะฮา ในคืนอิสรอ

[282]จากอายะห์ที่ 70 ซูเราะห์อัลมาอิดะห์

[283]จากอายะห์ที่ 151-153 อายะห์นี้อยู่ในแผ่นจารึกที่มีตราประทับของท่านนบี ซ.ล.

[284]หลักฐานเหล่านี้ชี้ชัดว่า ท่านนบี ซ.ล.ไม่ได้เห็นพระผู้อภิบาล ดังนั้นการเห็นพระองค์ในโลกนี้จึงไม่เกิดขึ้นกับผู้ใดเลย ที่ว่านี้เป็นทัศนปวงปราชญ์จำนวนมาก อิบนิ อับบาสและนักวิชาการส่วนใหญ่ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้เห็นพระองอัลลอฮ์ในค่ำคืนอิสรออ์ ซึ่งเรื่องนี้ได้พูดกันกว้างขวางในซูเราะห์ อันนัจม์

[285]จากอายะห์ที่ 118 สัตว์ที่อัลลอฮ์ฆ่า คือสัตว์ที่ตายเอง นอกเหนือการการฆ่าโดยกล่าวนามอัลลอฮ์

[286]จากอายะห์ที่ 146 สัตว์ที่มีกีบเล็บเท้าติดกัน เช่น อูฐ นกหระจอกเทศ

[287]จากอายะห์ที่ 151-153

[288]จากอายะห์ที่ 158 เพราะเป็นอายะห์ที่ทีความหมายชัดเจนทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ในอายะห์เหล่านี้เป็นคำสั่งให้ปฏิบัติ

[289]หะดีษทำให้เข้าใจได้ว่า “ในวันที่บางเครื่องหมายของพระผู้อภิบาลของพวกท่านจะมีมา“  นั่นคือวันที่ตะวันจะขึ้นทางทิศตะวันตก

[290]หมายความว่าเครื่องหมายทั้งสามได้ปรากฏมาแล้ว การที่จะเริ่มศรัทธานั้นเปบ่าประโยชน์

[291]จากอายะห์ที่ 160

[292] จากอายะห์ที่ 31ชาวมักกะห์เคยห้ามชาวเมืองต่างๆ ทำการตอวาฟโดยสวมเสื้อผ้าที่ติดตัวมา เพราะถือว่าสกปรก แต่จะให้เช่าเสื้อผ้าชาวกุเรชทำการตอวาฟ หรือโดยเปลือยกาย 

[293]              จากอายะห์ที่ 33

[294] ห่วงใย คือแสดงอาการโกรธต่อผู้ที่ไม่เจตนาเข้าร่วมกับท่านในสิ่งซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของท่านโดยเฉพาะ สรรเสริญพระองค์เอง เช่นที่พระองค์กล่าวว่า “มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของพระผู้อภิบาลสากลโลก”

[295]              การมีชีวิตอยู่ สุขภาพที่ดี ความหนุ่มแน่น ความสุข เหล่านเป็นลักษณะอันเป็นอมตะของชาวสวรรค์

[296]              จากอายะห์ที่ 43

[297]              จากอายะห์ที่ 143

[298]              หมายถึงตายด้วยเสียงกัมปนาท. นบีมูซาเคยหมดสติที่ภูเขา อัตตูร ขณะที่ได้เห็นรัศมีที่อัลเลาะห์เผยออกมา การหมดสติ ครั้งนี้อาจเป็นเหตุให้นบีมูชาพ้นจากความตายด้วยเสียงกัมปนาทในวันกิยามะห์ก็เป็นได้

[299]              สุไลมานเป็นนักรายงานคนหนึ่งของสายรายงานหะดีษนี้ที่เล่าต่อจากฮัมมาด เขาได้เล่าคำที่ฮัมมาดกล่าวว่า “ดังนี้แหละ" นั่น หมายถึงสิ่งที่อัลเลาะห์ได้เผยรัศมีของพระองค์ให้ปรากฏแก่ภูเขานั้นมีขนาดเท่าองคุลีนิ้วก้อยเท่านั้นยังทำให้ภูเขาทลายลงได้

[300]              จากอายะห์ที่ 156

[301] หมายความว่า ความเมตตาของเราย่อมมาก่อนความกริ้วโกรธของเรา ดังนั้นจะไม่มีการลงโทษเว้นแต่ภายหลังจากได้ส่ง ศาสนทูตมาแล้ว

[302] จากอายะห์ที่ 172 อัลเลาะห์ตาอาลาได้นำอาดัม และถูกหลานของอาดัม มาและพระองค์ได้นำเอาวิญญาณทั้งหมดออกจากพวกเขา และได้นำหลักฐานต่าง ๆ ที่ยืนยันในความเป็นพระเจ้าของพระองค์มาเสนอให้พวกเขา พร้อมทั้งได้มอบสติปัญญา และประสาทสัมผัสให้พวกเขาแล้วพระองค์ก็ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า “ข้าไม่ใช่พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าหรือ พวกเขาได้ตอบว่า หามิได้ “พระองค์ท่านคือพระผู้อภิบาลของพวกเรา  หลังจากนั้นไม่ให้พวกเขากล่าวในวันกิยามะห์ว่า พวกเราเป็นพวกที่ได้ละเลย สิ่งนี้

[303] หมายความว่า ได้ใช้มะลาอิกะห์บางท่านลูบหลังของอาดัม

[304] หมายความว่า กิจกรรมใดเล่าที่เราจะขวนขวายปฏิบัติ ในเมื่อพระองค์ได้กำหนดชาวสวรรค์และนรกไว้แล้ว

[305] เมื่ออาดัมลืมว่าได้ให้อายุของตนแก่ ดาวูด อ.ล. ไปสี่สิบปี อัลเลาะห์จึงได้ใช้บ่าวของพระองค์ให้มีการจดบันทึกและอ้างพยานในการทำกิจกรรมต่างๆ โดยพระองค์ได้ตรัสว่า “และท่านทั้งหลายจงแต่งตั้งพยานขึ้นเถิดเมื่อท่านทั้งหลายตกลงซื้อขายกัน และตั้งผู้บันทึกและตั้งพยานจงอย่าสร้างความเดือดร้อน (ให้ทั้งสองฝ่าย) จากอายะห์ที่ 282 ซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์

[306] จากอายะห์ที่ 190 หมายความว่า เมื่ออัลเลาะห์ได้ประทานลูกที่ดีแก่อาดัมและ เฮาวาอฺ เขาตั้งสองได้ตั้งภาคีต่างๆ ขึ้นเทียมพระองค์ ในสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่ เขาตั้งสองนั้นเอง โดยการตั้งชื่อลูกนั้นว่า อับดุล ฮาริษ (แปลว่า บ่าวของฮาริษ) ทั้งที่เขาไม่ใช่บ่าวของผู้ใดนอกจากเป็นบ่าวของอัลเลาะห์เท่านั้น

[307] หลังจากเสร็จสงคราม บัดร์ สะอัด ได้ขอดาบเล่มหนึ่งจากท่านนบี ซ.ล. แต่ท่านนบีปฏิเสธเพราะทรัพย์สงครามยังไม่ได้มีการแบ่ง ต่อมาเมื่อมีการแบ่งทรัพย์สงครามแล้วดาบเล่มนั้นตกเป็นของท่านนบี ท่านจึงยกให้แก่สะอัด บรรดาอัครสาวกมีการขัดแย้งกันในเรื่องทรัพย์สงคราม บรรดาคนรุ่นหนุ่มได้กล่าวว่า: ทรัพย์สงครามควรเป็นสิทธิ์ของพวกเรา เพราะพวกเราได้ลงมือทำสงครามโดยตรง บรรดาผู้ที่อยู่ในวัยชราได้กล่าวว่า พวกเราเป็นเกราะกำบังให้พวกท่าน ดังนั้นพวกเรา กับพวกท่านเท่าเทียมกัน อัลกุรอานจึงได้ลงมาว่า "พวกเขาจะถามท่านเกี่ยวกับทรัพย์สงคราม จงกล่าวเถิดว่า ทรัพย์สงครามนั้นเป็น สิทธิ์ของอัลเลาะห์และศาสนทูต” ที่จะทำการตัดสินในเรื่องทรัพย์สงคราม และต่อมาท่านนบี ซ.ล.   ก็ได้แบ่งทรัพย์สงคราม ให้แก่พวกเขาอย่างเสมอภาคกัน

[308]              จากอายะห์ที่1

[309] หมายความว่า ถ้าหากพระองค์ท่านประสงค์ให้มวลมุสลิมพินาศลงแล้วก็จะไม่มีผู้ใดสักการะพระองค์ท่านเลย

[310] จากอายะห์ที่45 ซูเราะห์ อัลกอมัร

[311] จากอายะห์ที่ 9

[312] หมายถึงกองคาราวานสินค้าของพวกกุเรช ที่ไม่มีผู้ใดป้องกันมัน อัลอับบาส ไค้เรียกท่านนบี ซ.ล.   ในสภาพที่เขาอยู่ ในเครื่องพันธนาการว่า ไม่สมควรที่ท่านจะไปหากองคาราวานอีกเพราะความจริงอัลเลาะห์ ไค้สัญญาไว้แก่ท่านหนึ่งจากในสอง คือ กองคาราวานสินค้า หรือกองทัพที่ออกมาจากมักกะห์ และท่านก็ได้ชัยชนะต่อกองทัพแล้ว

[313] จากอายะห์ที่ 22 มีกลุ่มชนหนึ่งจากตระกูล บะนี อับดิรดาร บิน กุซอยย์ พวกเขาเคยกล่าวว่า พวกเราเป็นพวกที่ หูหนวก เป็นใบ้ ตาบอด จากสิ่งที่ มุฮัมมัด ได้นำมาพวกเขาเหล่านั้นได้มุ่งหน้าไปพร้อมกับอะบีญะฮัล เพื่อทำสงครามกับท่าน นบี ซ.ล.   ที่บัดร์ และพวกเขาไค้ถูกฆ่าตายจนหมดนอกจากมุสอับ บิน อุมัยร์ และ สุบัยต์ บิน ฮัรมะละห์ อายะห์นี้จึง ได้ลงมาในเรื่องของพวกเขา

[314] จากอายะห์ที่ 24

[315] จากอายะห์ที่ 25 หมายความว่า ท่านทั้งหลายจงระวังความชั้วต่างๆ ซึ่งจะเป็นต้นเหตุของการลงโทษ ซึ่งเมื่อการลงโทษ นั้นเกิดขึ้นก็จะเกิดขึ้นทั่วไปไม่จำกัดเฉพาะผู้ทำความชั่วเท่านั้น

[316] หมายความว่ามนุษย์ทุกคนจะถูกบังเกิดขึ้นมาอยู่บนผลงานที่พวกเขาจบชีวิตลงไปทั้งดีและชั่วเป็นการตอบแทนที่คู่ควรกัน

[317] จากอายะห์ที่ 34

[318] ตราบใดที่ในประชาชาตินี้ยังมีพวกที่วิงวอนขออภัยโทษอยู่ตราบนั้นการลงโทษชนิดถอนรากถอนโคนก็จะยังไม่เกิดขึ้น

28 จากอายะห์ที่38 บรรดาพวกกาฟิรเมื่อยุติความไม่ศรัทธาของพวกเขา โดยการเข้านับ ถือศาสนาอิสสาม เขาจะได้รับการ อภัยโทษให้ทั้งหมดที่ได้กระทำมาในขณะที่ไม่ศรัทธา

[320] อิสลามจะอภัยสิ่งที่แล้วมาให้ในเรื่องกุฟร์ ถ้าผู้ที่เข้าอิสลามนั้นกระทำการดี

[321] ผลงานที่ดีในขณะเป็นกาฟิรจะยังคงเป็นของผู้ปฏิบัติเมื่อเขาได้เข้าอิสลาม

[322] จากอายะห์ที่ 60

[323] จากอายะห์ที่ 65

[324] จากอายะห์ที่ 66 เมื่ออายะห์แรกลงมามุสลิมถูกกำหนดให้ต่อสู้ในการสงครามจำนวนมุสลิมหนึ่งคนต่อข้าศึกจำนวนยี่สิบคน การกำหนดเช่นนี้ได้สร้างความลำบากแก่ มวลมุสลิม อัลเลาะห์จงได้ผ่อนผันให้โดยได้ประทานอายะห์ที่สองลงมาโดยกำหนด ให้มุสลิมหนึ่งคนต่อสู้กับข้าศึกสองคน และพวกเขาก็ยินดีในข้อผ่อนผันนี้ แต่ผลบุญในเรื่องการ ซอบัร ก็ถูกตัดทอนลงไป

[325] อะกีลผู้นี้คือ บุตรของ อะบี ตอลิบ พี่ชายของอะลี ขณะนั้นเขายังไม่ได้เขานับถือศาสนาอิสลาม และเขาได้ออกไป ทำสงครามกับท่านนบี ซ.ล.  ร่วมกับลุงของเขาคือ อัลอับบาส และ เนาฟัล บุตร อัลฮาริษ ซึ่งเป็นลูกของลุง

[326] จากอายะห์ที่ 07 - 68 - 69

[327]              จากอายะหที่ 67

[328]              ชู๓ะห์ที่ม่เปีนร้อยคอซูเราะห์ยาวๆ ซงม่อายะห์เก่นกว่าร้อย

[329]              เจ็ดชูเราะหิยาวๆ ได้แก่ อํลบะกอเราะห์ อาลฮมรอน อ*นพชาอ อลมาอดะห์ อ*ลอนอาฆ อลอะอรอฟ่ อตเตาบะหิ ดงนนเม่อชูเราะหิ อลอนฟ่าล และ อตเตาบะหิ ได้ลงมาที่นครมะดนะหิ และโดยที่แงสอง1ซูเราะห์นนมกวามคล้ายคลงก่น ในเรองการสงคราม และ ฟ้ฮาด ประกอบก่บท่านนบ ซ.ล.  ไม่ได้ใช้ให้เขียน บิสมลลาห์ฯ ขีนระหว่างสอง1ซูเราะห์น บรรดา อครสาวกจงได้นำมาไร้คู่กํนโดยไม่ได้กล่าว บิสมลลาห์ฯ และเพราะลงมาในเรองดาบและการลงโทบทฌฑ์ ส่วนบิสมลลๅห์ฯ น่นั๋ว่าด้วยเรองของความปลอดภ้ขและเมตตา

[330]              จากอายะห์ที่ 3 วันฮัจญ์อันยิ่งใหญ่ คือวันเชือดตรงกับวันที่ สิบ เดือน ซุลฮิจญะห์ เพราะกิจกรรมต่าง ๆ ของฮัจญ์ ได้มีการปฏิบัติในวันนั้นมากอาทิ เช่น การขว้างเสาหิน การเชือดการโกนศีรษะ และการตอวาฟ

[331]              การก่ออาชญากรรมของลูก ผลแห่งความผิดจะไม่ตกไปถึงผู้ให้กำเนิดของ ตน และในเชิงกลับกัน

[332]              หมายถึง นอกจากสิ่งที่เขาให้ด้วยความพอใจ หรือหมายถึง นอกจากสิ่งที่ตนเป็นต้นเหตุ เช่นการรับใช้ในเรื่องการทำความ เสียหาย และการ กิสอสในเรื่องกำหนดโทษต่าง ๆ

[333]              หมายถึงห้ามรับและห้ามจ่าย

[334]              ผู้หญิงที่อยู่กบสามีก็เหมือนกับเชลย หล่อนจะกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากต้องได้รับอนุญาตจากสามี

[335]              การบัดสีที่ปรากฏชัดก็คือ การผิดประเวณี (ซินา) ที่มีพยานยืนยันหรือยอมรับสารภาพ

[336]              ส่วนฮัจญ์เล็กก็คือ อุมเราะห์ เพราะกิจกรรมของอุมเราะห์มีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการฮัจญ์

[337]              ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปโดยเริ่มว่า “พันธะของอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์.."

[338]              หมายความว่าท่านนบ ซ.ล. ได้ใช้ให้อะลี ประกาศด้วยถ้อยคำเหล่านี้ เพิ่มเติมจากที่ให้ประกาศกับประชาชนด้วยเราะห์บะรออะห์ ความจริงท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ไม่มีใครเหมาะสมที่จะทำหน้าที่ประกาศซูเราะห์ บะรออะห์ นอกจากผู้ชายคน หนึ่งจากคนในครอบครัวของข้าพเจ้า และท่านก็ได้ส่งอะลีติดตามไปเพื่อประกาศซูเราะห์บะรออะห์ พร้อมด้วยถ้อยคำเหล่านี้ อะบูบักร์ และตัวเเทนของเขาก็ได้ทำหน้าที่ประกาศถ้อยคำเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน

[339]              วันตัชรีก คือวันที่ตกอยู่หลังวันเชือด ทั้งสามวันได้แก่วันที่ 11-12-13 เดือนซุลฮิจญะห์

[340]              หมายความว่า ผู้ตั้งภาคีทุกคนที่ได้ละเมิดสัญญาเช่นพวกกุเรชและพันธะมิตร โดยพวกเขาจะได้รับความปลอดภัยจนครบ สี่เดือนนับตงแต่เดือน เชาวาล ก็จะมีสภาพเหมือนคนที่ไม่มีข้อผูกพันต่อกันอีกต่อไป

[341]              จากอายะห์ที่ 4

[342]              หมายถึง ฮัจญ์ ก่อนจากฮัจญ์วะดาอ์

[343]              หมายความว่าหลังจากเป็นผู้ตั้งภาคีจะไม่ได้ทำการฮัจญ์อีกต่อไป

[344]              จากอายะห์ที่ 18

[345]              จากอายะห์ที่ 31

[346]              หมายถึงจากสิ่งอื่นที่ไม่ได้เป็นบัญญัติศาสนาของพวกเขา

[347]              การที่จะได้ชื่อว่าสะสมในที่นี้ถึงพิกัดที่ต้องจ่ายซะกาตแต่ไม่ยอมจ่าย

[348]              จากอายะห์ที่ 34 • 35

[349]              อะบูซัรร์ อัลฆิฟารีย์ เคยอยู่ที่ชาม และเคยกล่าวว่า อายะห์นี้ลงมาในเรื่องของพวกเราและพวกชาวคัมภีร์ มุอาวิยะห์ ได้กล่าวว่าอายะห์นี้ลงมาในเรื่องของชาวคัมภีร์เท่านั้นโดยพิจารณาจากอายะห์ที่อยู่ก่อน และโดยที่ มุอาวิยะห์ เป็นเจ้าเมืองชาม มาจากการแต่งตั้งของคอลิฟะห์อุสมาน ร.ฎ. ต่อมาการขัดแย้งระหว่างมุอาวิยะห์กับ อะบีซัรร์ ได้ทวีความรุนแรงขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่เห็นพ้องกับอะบีซัรร์ มุอาวิยะห์จึงได้รายงานเรื่องนี้ไปยังอุสมาน ต่อมาอุสมานได้เรียกตัว อะบีซัรร์มายังนครมะดินะห์ และมีผู้คนจำนวนมากมายมุ่งหน้ามาหาเขา อุสมานได้กล่าวแก่อะบูซัรร์ว่า ถ้าท่านได้อยู่ใกล้ๆ กับเราก็จะเป็นการดี อะบูซัรร์ จงเลือกเอา รอบะซะห์ซึ่งเป็นสถานหนึ่งอยู่ใกล้นครมะดินะห์

[350]              หมายถึงพวกมุสลิมและพวกชาวคัมภีร์

[351]              อิบนุ อุมัรได้กล่าวดังนี้ ตอบชาวอาหรับเร่ร่อนที่ได้มาถามเขาเกี่ยวกับอายะห์นี้

[352]              จากอายะห์ที่ 36

[353]              หะดีษนี้ได้ผ่านมาแล้วในเรื่องการกล่าวสุนทรพจน์ของท่านนบี ซ.ล.   ในวันเชือด ภาคการฮัจญ์

[354]              จากอายะห์ที่ 40

[355]              จากอายะห์ที่ 40

[356]              หมายความว่า ลาที่ท่านนบ ซ.ล. กับอะบูบักร์เข้าไปหลบซ่อนอยู่นั้น อยู่ต่ำกว่าระดับพื้น ดังนั้นถ้าหากพวกนั้นมองลงต่ำก็จะเห็นบุคคลทั้งสองอยู่ต่ำกว่าเท้าของพวกเขาอย่างแน่นอน

[357]              จากอายะห์ที่ 58

[358]              เหมือนลูกธนูที่ทะลุเป้า ก็ได้ปรากฏพวก คอวารีจ ขึ้นจากเชื้อสายของท่าน

[359] จากอายะห์ที่ 40

[360] จากอายะห์ที่ 40

[361] หมายกวาท่า ถ้ำที่ท่านนบี ซ.ล.  กับอะบูบักร์เข้าไปหลบซ่อนอยู่นั้น อยู่ต่ำกว่าระดับพื้น ดังนั้นถ้าหากพวกนั้นมองลงต่ำ ก็จะเห็นบุคคลทั้งสองอยู่ต่ำกว่า เท้าของพวกเขาอย่างแน่นอน

[362]จากอายะห์ที่ 58

[363] เหมือนลูกธนูที่ทะลุเป้า ก็ได้ปรากฎพวก คอวารีจ ขึ้นจากเชื้อสายของท่าน

[364] จากอายะห์ที่ 79

[365] จากอายะห์ที่ 80

366 จากอายะห์ที่ 102 "และพวกอนๆ" จากชาวนทรทะตนะท์ "ได้ลารภาพบาปของพวกขา" ที่ไม่ได้ออกไปร่วนรบในสงทราม ตะถูก “งานทด" คือญฮาด "งานทเลวทราม" คอการไม่ออกไปร่วมรบ อายะห์นืลงมาในอ้ครสาวกกลุ่มหนงที่ไม่ได้ออกไปรบ ร่วมกับท่านนบ ซ.ล.  ต่อมาม่อพวกฃารูสานกกัได้สาบานว่า จะฟ้ดต้วองโดยไม่ยอมปล่อย นอกจากท่านนบ ซ.ล.  จะปล่อย พวกขา เม่อท่านนบได้มาและทราบข่าวท่านกล่าวว่า : สาบานต่ออลลาะห์ว่าขาพจ้าจะไม่ปล่อยพวกขา และจะไม่ยอมทข่อ แกต่วของพวกเขาจนทว่าข่าพจ้าจะถูกม่ณูชาใหทำอย่างาท ต่อมาอายะห์ก็ได้ลงมา ท่านจงขอมร'บข่อแทต้วของพวกขาและ ปลดปล่อยพวกเขา

[367]              มะลาอกะห่ไคข้พวกพเให้ปดำนั้าในแม่นาแห่งชึว่ต พวกเขาได้ดำลงไปและได้กลายสภาพม่รูปร่างกี๋สวยงาม

[368] จากอายะห่กี๋ 108 “มัสญิดหนึ่งซึ่งถูกก่อสร่างอยู่บนความยำเกรง" คือมัสญิด กุบาอฺ โดยอาค้ยตัวบทของอายะห์นี้ หรือ หมายถึงมัสญิรดนบี โดยอาศัยหะดีษที่จะกล่าวต่อไป แต่ไม่มีข้อห้ามใดๆ ที่จะหมายถึงทั้งสองมัสญิดนั้น เพราะแต่ละมัสญิดล้วน แต่มีรากฐานอยู่บนความยำเกรงทั้งสิ้น

[369] จากอายะห่กี๋ 113

[370] ท่านนบีมีความตั้งใจในการขออภัยโทษนั้นว่าเขาจะคุ้นเคยกับอิสลาม อันจะทำให้เขาได้รับทางนำ ถ้าไม่เช่นนั้นท่านรอซูลุล เลาะฮ์ ซ.ล. ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าอัลเลาะฮ์จะไม่อภัยให้เขาถ้าเขาเป็นผู้ที่ตั้งภาคี เพราะการขออภัยโทษจะไม่เกิดประโยชน์นอกจากผู้ที่มีศรัทธา

[371] จากอายะห์ทึ่ 113 และอายะห์หลังจากนั้นคืออายะห์ที่ 114

[372]             เทะบูก เป็นขอสถานที่แห่งหนงอยู่ทางด้าน ขาม ห่างจากนครมะคนะห่ ประมาณ สิบส ม*รอะถะห่ สงครามตะบูทกด ขนใพปีที่ เด้า ของรจเราะห่ศ'กราช

[373]             คอด้องการลงมอเก็บม'นด้วยตํวเอง

[374] จนประชาชนได้ลลามแก่ท่านอย่างา'ทลง

[375]             เพอนของท่านหมายสิงท่านนบมุอ่าหมัด ซ.ล.  กระท่าหยาบคา๗บท่าน คือไม่พูดจาก,บท่าน จงไม่สมควรที่ท่านจะอยู่ ก,บเขา อย่างตกดรและไร้เสิยรติ จงอพยพมาอยู่กํบเราเลดท่านจะพบก,บความสุขสบๅข

[376]              หมายลงในการที่นบได้ริบข้อแก้(ท'วของบรรดาผู้ที่หลบจากการทำสงคราม เพอคนที่มสริ'ทธาจะได้แยกต'วออกจากบุคคลอนๆ อัลเลาะห่คาอาลาได้ตริ'สวา “อัลเลาะห์ได้ทรงอภ้ยให้แก่ท่าน เพราะเหตุที่ว่าทำไมท่านจ็งอนุญาตให้แก่พวกเขา จนกว่าจะเป็นที่ ปรากฎข้'ดแก่'ท่าน บรรดาผู้ฆส้'จจะ และจนกว่าท่านจะรู'พวกที่โกหก” อายะห์ที่ 43

[377]              สามคนนั้นได้แก่ ทะอ้'บ และเพอนนั้งสองของเขาคือมะรอเราะห่ บุตร รอบ่อะห์ และ อลาล บุตร ธุม้ยขะห่

[378]              จากอายะห์ที่ 117-118-119

[379]              ด้งนั้นซ่าวดีของมุสล่มในโลกนคือสันดี ที่ขาสันองทร่อผู้อนสันดีกี่ยวก''บด*'วขา

[380]              ด้งนั้นมอ ฟ้รเอาน์ ได้'กล่าวด้าน ยบรบได้อาเลนจากด้นทะเลมาอุดปากเขาพอความมดตาจะไม่นาปวะสพก้บขา 1พวาะ เขาปีนคนละม่ด ทุจรต และหยิ่งขะโส

[381]              จากอายะห์ที่ 5

[382]              เคยม่กลุ่มชนหนงขณะที่ทำการปลดเปลองทุกข์ เขาละอายที่จะผยอว''ยวะที่พงสงวนของพวกเขาส่ฟ้า พวกเขาจะด้อม หนั้าอกของพวกขา และมอจะร่วมประวณึพวกฃากีละอายที่จะเผยของล''บสู่ฟ้า พวกขาจงคลุมห''วพอซ่อนเร้นจากอ',ลลาะห์ อายะห์นจงได้ลงมา

[383]              จากอายะหที่ 7

[384]              ออจะย่งไม่ลงโทษเพอเขาจะสำนกผดและกล้บคิว ๓ไม่เข่นนั้นพระองคก็จะจ้ดการลงโทษอย่างผู้ทรงอำนาจ

[385]              จากอายะพ) 103

[386]              โดยข้าพเจ้าจะไม่คอยคำตอบของพวกผู้หญง ดูอายะห์ทึ๋ 50 ขูเราะห์ ผูชุฟ่

[387]              จากอายะห่ที่ 114 ชายคนป่นคืออะบุ้ล ยะๆทั บางท่านกล่าวว่ากอ น'บยาน 0'ตต้มทร

[388]              เพราะอ้สลามจะทำลายล้างความผดต่าง ๆ ที่ได'ผ่านพ้นมาแล้ว

[389]              ถ้าชายคนนั้นในรายงานแรกคือ อะบุ้ลยะซัร ทั้งสองรายงานนี้ก็เปีนเรื่องเดียวกัน และถ้าไม่ใช่เช่นนั๋น สาหตุแห่งการ ประทานอายะห์นี้ก็มีหลายสาเหตุ.

[390]              จากอายะห์ที่ 10 ซูเราะห์ อัดคุคอน

[391]              จากอายะห์ที่ 15 ซูเราะห์ อัดดุคอน

[392]              นี่เป็นการล่อมดนของท่านนบ ซ.ล. ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วท่านเป็นผู้นี่มีความอดทนและม่สต่มากนี่สุด

[393]              จากอายะห์นี่ 50

[394]              จากอายะห์นี่ 80 ซูเราะห์ รูด การนี่น'บ ลูต กล่าวแก่พวกพ้องของเขาเช่นนี่ก็เพราะเขาไม่ได้เป็นคนของพวกนั้น แต่ เขาเป็นลูกพ้องขายนบ อบรอฮึม (อ.ล.) พวกเขาเคยอผู่นี่ อรอก จากนั้นได้อพยพมาอผู่นี่ ชาม นปีฮึบรอฮึมได้ดั้งหล'กแหล่ง อยู่นี่ กุดส์ ส่วนนบลูต ได้ดั้งหล่กแหล่งอยู่นี่ มะดาอน ลูต.

[395]              จากอายะห์นี่ 110 นี่บรรดากาสนทูตถูกมองว่าเป็นคนโกหกก็เพราะผู้ปฎิเสธยํงไม่ถูกลงโทษ

[396]              คอพระองค์อัลเลาะห์ใพ้พวกเขาถูกมองว่าโกหกหรอ

[397]              ในนี่งนี่บรรดากาสนทูตได้ใพ้สํญญาไถ้ก'บพวกเขา จากความช่วยเหลอของอัลเลาะห์นี่จะใพ้แก่พวกเขา

  1. หมายถึงให้พืชฬนธุ์และผลไม้บางอย่างมึคุณค่ามากกว่าอีกบางอย่างในด้านการอาหาร ทั้งที่แผ่นดินผืนเดียวกัน

น้ำจากแหล่งเดียวกันแต่ผลที่ออกมาก็ไม่เท่าเทียมกัน

399 ถอดคำออกจากอายะห์ที่ 24 คำพูดที่ดี คือ “ลาอิลาฮะอิ้ลลัลลอห์”

400 จากอายะห์ที่ 26 คำพูดที่โสมมคือคำพูดที่เป็น กุฟร์ และเป็น ชิรก์ 

[401] ความหมายของอายะห์นี้ก็คือ อัลเลาะห์จะชี้นำให้แก่มุสลิมเพื่อให้สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ขณะอยู่ในหลุมฝังศพของเขา

[402] คือเขาจะสามารถตอบได้ว่า อัลเลาะห์คือพระผู้อภิบาลของก้น อิสลามเป็นคาสนาของฉัน และมุฮัมมัด เป็นนบีของฉัน

*     - อินทผาลัมห่าม

[403] จากอายะห์ที่ 28-29

[404] จากอายะห์ที่ 48 ฟ้าและแผ่นดินจะถูกเปลี่ยนเป็นแผ่นดินที่ขาวบริสุทธิ์ วันที่เปลี่ยนคือวันกิยามะห์ ในช่วงวลาที่เปลี่ยน นั้นสรรพสิ่งต่างๆ อยู่บนสะพาน (อัซซิรอต)

482 จากอายะห์ที่ 2

[406] จากอายะห์ที่ 24

[407] จากอายะห์ที่ 44 หมายความว่านรกมีเจ็ดชั้นแบ่งไว้เป็นสัดส่วนแน่นอนแล้ว และประตูหนึ่งนั้นสำหรับผู้ที่เปลือยดาบเข้าห้ำหั่นประชากรของมุฮัมมัดและสร้างความสับสนในหมู่พวกขา

[408] จากอายะห์ที่ 75

[409] จากอายะห์ที่ 80 ฮิจร์ เป็นหุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่าง ชามกับ มะดินะห์ เป็นถิ่นของพวก ซะมูด ที่กล่าวหาว่า นบีซอและห์ โกหก และสุดท้ายพวกเขาก็พินาศ

[410] ดังนั้นถ้าหากพวกท่านไม่เศร้าใจในสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับพวกเขาท่านทั้งหลายก็อย่าเข้าไป เพื่อจะได้ไม่มีสิ่งใดที่ได้ประสพกับ พวกเขามาประสพกับพวกท่าน

[411] จากอายะห์ที่ 87 อายะห์ทั้งเจ็ดที่ถูกอ่านซ้ำ คือซูเราะห์ อัลฟาติฮะห์ เพราะถูกอ่านซ้ำในละหมาด หรือเพราะถูกประทาน ลงมาสองครั้ง ครั้งหนงที่มักกะห์ อีกครั้งหนึ่งที่มะดินะห์

[412] ได้กล่าวมาแล้วในแองความประเสริฐของ อัลฟาติฮะห์ จากภาคความประเสริฐของ อัลกุรอาน

[413]             จากอายะห์นี่ 120

[414]             นี่เป็นการอธิบายคำว่า “อุมมะห์” กับคำว่า “กอนิต" ในอายะห์นี้

[415]              คือพวกกาฟิรได้เฉือนร่างของมุสลิมที่ตายด้วยการตัดจมูก ตัดหู ผ่าท้อง ควักตับออกมาสับเป็นท่อนๆ

[416]              จากอายะห์นี่ 126

[417]              บุคคลทั้งสี่ที่ท่านรอซูลลุลเลาะห์ ซ.ล.  ได้ยกเว้นจะได้นำมากล่าวในบทที่ห้า ภาคสงครามศักดิ์สิทธิ์

[418]              ชุเราะห์เหล่านมความล่กชงและวิจิตรอย่างนี่สุด และเป็นชุเราะห์แรกๆ นี่ถูกปะทานลงมานี่อบดุลเลาะหได้ท่องจำ

[419]              จากอายะห์ที่ 1

[420]              มันพยศไม่ยอมใท้ท่านนบี ซ.ล.  ขึ้นขี่ ญิบรีลจึงได้กล่าวเช่นนั้น มันเกิดกวามละอายจนเหงือไหลออกท่วมต้ว

*    - ชาวอันศอร คีอ ชาวมะกินะห์ที่ช่วยเหลีอนบี

[421]     ชะนูอะห์ เป็นชื่อเผ่าที่รู้จักกันดีว่ามึรูปร่างอย่างนั้น

[422]     หมายกงพระดำรั,สสั่งลงโทษ

[423]     จากอายะห์ที่ 16

[424]     หมาขความว่า ให้ท่านแยกพวกชาวสวรรค์ออกจากพวกชาวนรกจนกว่านั้งหมดจะทกบ้ญชาให้เช้าทึ๋พำนกของตน

 

[426]     จากอายะห์ที่ 55 คัมภีร์ ซะบูร มีหนึ่งร้อยห้าสิบบซูเราะห์ ไม่ม่ช้อกำหนด (ฮุก่ม) ไม่มีฮะลาล ไม่มีหะรอม แต่ทั้งหมด เป็นคำสอน เป็นแง่คิด เป็นคำสดุดีเป็นคำถวายพระพรแด่อัลลาะห่

[427]     จากอายะห์ที่ 57

[428]      ชํ่งที่ควรแล้วพวกนั้นต้องปฎป่ตตามพระผู้ปีนจ้าของพวกเขา โดยจะต้องข้าน้บถอคาสนาอิสลามหม่อนที่พวกณูนไต้ข้า

น้บรอ

[429]     จากอายะปีที่ 60

[430]              "และเราไม่ไต้ป่นตาลให้สิ่งต่าง ๆ ที่เราไต้ไห้ท่านเห็นต้วยตานอกจากปีนวิกฤตการณ์สำหรํบมนุษย์ คือชาวมักกะห์ที่ไต้ กล่าวหาว่ามันโกหก และมีบางคนสืยศาสนาเมื่อไต้ยินมัน

[431]              จากอายะปีที่ 71

[432]              ซึ่งเคยเป็นเพื่อนกับขาในโลกนี้ นี่เป็นการร๊บแจ้งข่าวดีแก่ผู้มีศรัทธา

[433]              มะลาอิกะห์ผลัดกลางคนและมะลาอิกะห์ผลัดกลางวัน หมายถึงมะลาอิกะห์ที่บ้นทึกการกระทำต่าง ๆ ของมนุษย์จะมาร่วม ชุมนุมกันในละหมาด ซุบฮิ แล้วมะลาอิกะห์ผลัดกลางคืนก็จะฃึ้นไปรายงานและกลับลงมาชุมนุมกันอีกในละหมาดอัศรี และหลังจากนั้นมะลาอิกะห์ผลัดกลางว้นก็จะขึ้ไปรายงาน

[434]              จากอายะห์ที่ 78 หมายความว่าละหมาดฟ้จร์ นั้นจะถูกย์นยนโดยมะลารกะห์

[435]              จากอายะห์ที่ 79 ตำแหน่งทควรแก่การสรรสร่ญคือตำแหน่งที่ได้ทสืฑธช่วยเหลอมนุษยชาดครํ้งยิ่งใหญ่

[436]              คือการช่วยเหลือครั้งยิ่งใหญ่ที่ครอบคลุมถึงมนุษยชาติทั้งมวล

[437]              จากอายะห์ที่ 80

[438]              จากอายะห์ที่ 81

[439]              จากอายะห์ที่ 85

[440]              จากอายะห์ที่ 97

[441]              กอตาดะห์ชงเป็นผู้รายงานต่อจาก อะนํส ไต่กล่าวว่า: หามิไต้ขอสาบานต่ออำนาจพระผู้อภิบาลของเราว่า พระองค์ทรง ปรีชาญาณในเรื่องนี้และที่ยังใหญ่กว่านั้

[442]              จากอายะห์ท 101 หล้กฐานเก้าอย่างของนบีมุซาคือ มือที่มีรัศมี, ไม้เท้า, น้ำท่วม, ตั้กแตน, เหา, กบเขียด, เลือด, การ สาปทัพย์สินให้กลายเป็นหิน, และความแห้งแล้ง

[443]              ล้าหากเขาได้ยินคำว่า “นบี" เขาจะมีสี่ตาเปีนสำนวนหมายถึงเขาจะโอหังและข่มพวกเรา

[444]              จากอายะหิที๋ 110

[445]             'ท่านนบ ซ.ล. เม่อละหมาดร่วมกํบบรรดาอํครสาวกของท่าน ท่านจะอ่านอ้'ลกุรอานด่งจนพวกผู้ตั้งภาคได้ขน พวกนนก็ จะด่าอ่ลกุรอาน ด่าผู้ที่ประทานลงมาชงก็กออ่ลเลาะห์ และด่าผู้ทึ๋,นำอ่ล่กุรอานมา ชงก็กอ ท่านนบมุสำหมด ซ.ล.  และในบาง รายงานว่าพวกเขาได้กล่าวว่า ท่านอย่าส่งเส์ขงด'งจะทำให้พระผู้เป็นเด้าของพวกเรารำคาญ แล้วพวกเราก็จะด่าพระผู้เป็นเด้า ของท่าน อ''ลเลาะห์จงได้ประทานอายะห์นลงมา ใช่ให้ท่านอ่านอ''ลกุรอาน โดยส่งเส์ยงแด่เพยงปานกลางพอให้พวกสาวกได้ชน ที่กล่าวนหมายสืงละหมาดในเวลากลางกน เช่นร}ฆรบ อ่ชาอฺ และชุบฮ์ ต่อมาเมออุม้5 และสำชะห์ ได้เข้าน''บถอกาสนาอิสลาน พวกเขาก็ได้อ่านด'งดามด้องการ

[446]             ทอไม่กล่าวว่า อัลเลาะหทรงยง อ'เนลาะห์จงได้ตำหนเขา ด้งจะได้กล่าวตอไป

[447]             คอลอยป่องอยู่บนผวนา

[448]             เพราะพวกที่อาท''ขอยู่ในแผ่นด้นนั้นไม่ฆมุสล่มอยู่เลย หรอเพราะคำแสดงคาราวะของพวกเขาไม่ใช่ลถาม

[449]              คือเป็นความผิดอันใหญ่หลวง แต่ทั้ง ๆ ที่เป็นอย่างนั้นน้ำก็ไม่เข้าเรือ เพราะบุญญาธิการของ อัลคอดิร และเพราะสงสารเจ้าของเรือที่เป็นคนยากจน

[450]              หมายความว่า ต่อไปจะไม่ม่คำแก้ตัวใด ๆ อีก

[451]              คือตำบล อัตอกียะห์

[452]              คือ(สำหรับเรือลำนั้น) ที่จ้าพจ้าได้เจาะ (มันเป็นของคนยากไร้ซึ่งพวกเขาทำงานในทะล) โดยอาศัยเรือหาเครื่องยังชีพ

(และข้าพเจ้าก็ปรารถนาทำให้มันชำรุด เพราะข้างหลังพวกเขานั้นมีกษัตริย์องค์หนึ่งคอยดักชิงเรือทุกลำที่มีสภาพดีส่วนเด็กผู้ชายคนนั้นบิดามารดาของเขาป็นผู้ศรัทธา และเราก็กลัวว่าจะยุยงคนทั้งสองให้ล่วงละเมิดละทรยศ) เพราะเขาเป็นกาฟิรมาแต่กำเนิด (ดังนั้นเราจึงปรารถนาจะให้พระผู้อภิบาลของเขาทั้งสองเปลี่ยนให้เขาทั้งสองได้สูกที่ได้ลูกที่กว่าเด็กคนนั้น ในด้านความบริสุทธิ์ และติดด่อกับเครือญาติ, ส่วนกำแพงนั้น เป็นของเด็กผู้ชายกำพร้าสองคน ที่อยู่ในเมืองนั้น และใต้กำแพงนั้นคลังสมบัติ ซึ่งเป็น กรรมสิฑธิ์ของเขาทั้งสองคน และบิดาของเขาทั้งสองปีนคนดี พระผู้อภิบาลของท่านประสงค์ให้เขาทั้งสองบรรลุสู่วัยฉกรรจ์ เสียก่อนจึงจะให้ทั้งสองขุดคลังสมบัติของเขาทั้งสองคนออกมา เป็นความเมตตาจากองค์อภิบาลของท่านและข้าพเจ้าไม่ได้กระทำสิ่งเหล่านั้นขึ้นเอง) แด่เป็นการดลใจจากอัลเลาะห์ตาอาลา (นั่นเป็นการอธิบายถึงเหตุการณ์ที่ท่านไม่สานารถจะอดทนต่อมันได้) จากอายะห์ที่ 79-80-81-82

[453]              ซึ่งอยู่นอกหลักเกถเฑ์ในเรื่องกำหนดการของอัลเลาะหที่ “เด็กที่ถูกคลอดออกมาทุกคน อยู่บนธรรมชาติอันบริสุทธิ์" นั้น คืออิสลาม.

[454]              อัลคอดิร เป็นฉายาของขา แปลว่า “มีสีเขียว" ชื่อจริงของเขาคือบิลิยา นความหมายเป็นภาษาอาหรับเท่ากับ อะห์มัด ชื่อเล่นของเขาคืออะบุ้ลอับบาส บิดาของเขาเป็นกษัตริย์ชื่อ มิ้ลกาน อัลคอดิร เป็นนบี หรือเป็น วะลี ตามทัศนะของนักวิชาการส่วนมาก

[455]              จากอายะห้ที่ 94—95

[456]              คือกล่าวว่า ถ้าหาก อัลเลาะห์ประสงค์

[457]              เป็นหนอนชนิดที่เกิดอยู่ในจมูกอูฐและแพะ ซึ่งเมอเกิดแล้วอูฐและแพะก็จะเสียชีวิต

[458]              เมื่ออั,ลเเลาะห์ประสงค์ พวกนั้นก็ออกมาในขั้นสุดท้าย พวกมั'นได้ทุจริต ละเมิด และแสดงความหยิ่งยะโส อัลเลาะห์จึง ได้ทำลายพวกมนเสีย

[459]              จากอายะห์ที่ 103-104

[460]              จากอายะห์ที่ 105

[461]              จากอายะห์ที๋ 107

[462]              จากอายะห์ที๋ 85 ซูเราะห์ อัลอิสรออ

[463]              จากอายะพา 109

[464]              จากอายะห์ที่ 110

[465]              อัลเลาะห์จะไม่รับรองการกระทำดีใด ๆ นอกจากเป็นการกระทำดีควยความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์

[466]              จากอายะห์ที่ 64

[467]              จากอายะท์ฑึ๋ 77 - 78

[468]    จากอายะห์ท 92- 93

[469]    ญิบรีลจะประกาศในฟากฟ้าว่า แท้จริงอัลเลาะห์รักคนๆนั้น พวกท่านจงรักเขาเถิด ดังนั้นชาวฟ้าและชาวดินก็จะรักเขา

[470]    จากอายะห์ที่ 96

[471]    ความรักและความโกรธที่มนุษย์มีต่อกันนั้นมาจากอัลเลาะห์

[472]    จากอายะห์ที่ 14

[473]              จากอายะห์ที่ 41

[474]              จากอาขะห์ที่ 14

[475]              จากอายะห์ที่ 47

[476]              คือกล่าว อัลลอฮุ อํกบัร ด้วยความดีใจ

[477]               ด้งนั้นบรรดาด้ม่ศรฑธาที่ป็นป่ระชาชาดของมุอำหมด จงไม่มกวามหวาดหวนใด ๆ 1พราะชาวนรกจะไม่ใช่ประชาชาติ

ของมุฮัมมัด ทั้งที่พวกขาเป็นครึ่งหนึ่งของชาวสวรรค์

[478]              หมายถึงที่เป็นกาฟิร จากมนุษย์ ญิน และไชตอน

[479]              จากอายะห์ที่ 11

[480]              ตามตั'วบทของหะดีษนี้ชี้ว่าเรั่องนํ้เกิดฃํ้นกับชาวอาหรับชนบทบางคนที่ได้อพยพเข้ามา

[481]              ฮัมซะห์ กับเพิ่อนทั้งสองของขาคืออะลี บุตร อะบีตอลิบ กั'บ อุบัยดะห์ บุตร อัลฮาริษ, อุตบะห์ กับเพื่อนทั้งสอง ของเขาคือชัยยบะห์ กับ อัลวะลิด โดยอุตบะห์ ดวลตัวต่อตัวกับ ฮัมซะห์, ชัยบะห์ กับ อุบัยดะห์ และ อัลวะลิดกํบ อะลี ฝ่ายมุสลิมสามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้ทั้งหมด นอกจาก อุบัยดะห์ เขาได้ประดาบสองครั้งกับ ชัยบะห์ และขาถูกฟันที่หัวเข่า ฮัมซะห์ กับ อะลี ได้เข้ามาช่วยกันสังหาร ชั'ยบะห์ แต่ในที่สุคอุบัยดะห์ ก็เสียชีวิตจากบาดแผลนั้น

[482]               อัลบัยต์ อัลอะตีก แปลว่าบ้านที่ถูกปลดปล่อย ก็เพราะอัลลอฮ์ปลดปล่อยมันให้พ้นจากการปกครองของนักปกครองที่กดขี่

[483]          คnอรู้ดีว่ามุสลิมจะด้องมีชัยชนะ

[484]           จากอายะห์ที่ 1 ถึง 11

[485]           คือปฎิบัติตามทั้งสิบอายะห์นั้น เขาจะได้เข้าสวรรค์ โดยไม่ด้องถูกลงโทษ

[486]              จากอายะห์ที่ 172 ซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์

[487]              หมายควากว่า เขาจะไม่ถูกตอบสนอง

[488]              จากอายะห์ที่ 60

[489]              จากอายะห์ฑ 104

[490]    จากอายะห์ที่ 3

[491]    หมายความว่าท่านจะต้องนำพยานมา หริอไม่เช่นนั้นท่านก็จะต้องฤกลงโทษของการกล่าวหา

[492]      จากอายะห์ที่6 คือขาจะต้องกล่าวว่า:ขาพจ้าขอยืนยันต้วยอัลลาะห์ว่าข้าพจ้าพูดจริงที่ไต้กล่าวหาภรรยาของขาพจ้า คนนั้น คนนั้น ว่าทำชินา และในครั้งที่ห้าให้เขากล่าวว่า ขอให้อัลเลาะห์สาปแช่งเขา ถ้าหากเขาโกหก

[493]     คือให้หล่อนกล่าวคำยืนยันสี่ครั้งว่า สามีที่กล่าวหานั้นเป็นคนโกหก และเมื่อถึงคำยืนยันครั้งที่ห้า พวกเขาไต้ให้หล่อนหยุด และไต้เตือนหล่อนให้สำนึกในความผิดและโทษอันใหญ่หลวง หล่อนหยุดลังเลครู่หนึ่ง ก็กล่าวคำยืนยันที่ห้าคือขอใต้อัลเลาะห์ โกรธกริ้วหล่อนถ้าหากฝ่ายสามีพูดจริง

[494]     จากอายะห์ที่ 11

[495]    คือไม่มีใครเลย

[496]     คำอิชติรยาอฺ คือกล่าวคำว่า “อินนา ลิลลาฮ์ วะ อินนา อิลัยฮิ รอญอูน"

[497]              คือบรรดาผู้ที่กุ'ข่าวและ'ใส่ริ'')ย

[498]              สถานที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะของพ')กขาอยู่นอกนครมะคืนะห์ มขอเรยกว่า อัลมะนาชยะอฺ

[499]              มชเตาะห์ คือบุตรชายของนาง ที่ไต้ข้าวิพากน์วิจารณ์ทองของอๅอิช:'น์ต้วย

*             ป''แทจู่ - จะกล่าวสลามให้

[500]             บะนราะห์ ฟ็นหญงที่คอยริบใช้อาอชะห์ ต่อมาอาอชะห์ไต่ซอหล่อนและปล่อยหล่อนป็นอล71; หล่อนก็คงอยู่ก็บอาอิชะห์ คอยริบใช้นาง

[501]             ชายคนที่ท่านนบกล่าวถงคืออ้บดุลลาะห์ อบน สะคูน เขาไต่กล่าวร้ายคนในครอบกริวของท่ๅน

[502]             คอพวกขาไต่กล่าวลงชายคนหนงคือซอฟวาน ไปในทางลวร้าย

[503]           เขาป็นผู้นำของผ่า 1อาช์

[504]              เขาปีนผู้ฝาของเผ่า กอซรอจ

[505]              สะอ'ด บุตร อุบาดะห์มอได้รนคำพูดของ สะอ'ด บุตร บุอาช เช่นนั้นความข้าข้างพวกพ้องของตนองได้ข้าครอบงำ เขา เพราะสะอ'ด บุตร บุอาช จะได้ช่วยหล่อท่านนป็ โดยที่ขาก็ตั้งใจจะท่าช่นนั้นด้วยขาจงได้ด้ดอบก'บ ละอ*ด บุตร บุอาช ด้วยคำพูดด'งกล่าว อุช้ยส์ บุตร อุดอยร์ ชงเป็นลูกพึ๋ลูกพ้องท สะอ'ด บุตร อุบาดะท่ ได้ลุกขํ้นโด้ตอบก'บ สะอ'ด บุตร บุอา'ซ เพอช่วยถกพี๋ลกพ้องของขา

[506]              จากนนท่านนบ (ช.ล). กกลับบาน

[507]              ความโคกเศร้าเมอม่นรุนแรงนาตาก็จะเหือดแห้งไป

[508]              หมายความว่า ถ้าหากข้าพเจ้ากล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นอย่างที่พวกเขาพูด ท่านก็จะต้องเชอตามทข้าพเจ้าพูด

(550) ความอดทนที่จะถือว่างดงามยํ่งน่นคอความอดทนที่ไม่ม่การปรปากปน

[510]              คอข้าพเจ้าพลกต'วกล่บและห้นหห้าเขาหาผน้'ง

[511]              และนั่งข้างๆ ท่านนบี ซ.ล. ที่ท่านไต้นำข่าวดีมาแจ้งแก่เธอ

[512]              จากอายะห์ที่ 10 จนจบอายะห์ที่ 20 มีนักวิชาการบางท่านกล่าวว่า : ที่ถูกต้องแล้วมีสิบสองอายะห์คือรวมทั้งอายะห์ ที่ลงมาในเรื่องของ อะบูบักร ต้วยคือจนจบอายะห์ที่ 22

[513]              จากอายะห์ที่ 22

[514]              คือหล่อนถูกจัดการลงโทษและมีบาปพร้อมกับบรรดาผู้มีบาป

[515]              ผู้ชายทั้งสองคนคืออัซซาน บุตร ซาบิต บุตร มิซเตาะห์ บุตร อะซาซะห์ ส่วนผู้หญิงหนึ่งคนไต้แก่ ฮัมนะห์ บุตรี ยะหช์ หลังจากไต้ถูกลงโทษแล้วพวกเขาก็กลํบตํวและไต้กลายเป็นมุสลิมที่ดี

[516]              จากอายะห์ที่ 31

[517]              จากอายะห์ต่ 33

[518]              จากอายะห์ที่ 34

[519]              จากอายะห์ที่ 68

[520]             จากอายะห์ที่ 92 ชุเราะห์ อ่นน่ซา')

[521]             จากอายะห์ที่ 70

[522]             จากอายะห์ที่ 70

[523]             ค์อควํนที่กล่าวอยู่ในซูเราะค์ อํดดุคอน อายะห์ที่ 10 ดวงฉินทร์ ทกล่าวอยู่ในซูเราะค์ อลทอม*ร อายะท์ที่ 1 T-jjJv ที่กล่าวอยู่ในซูเราะห อ่รรูม อายะค์ที่ 2 เหตุการณ์รุนแรงที่กล่าวอยู่ในซูเราะห อ'ดคุคอน อายะค์ที่ 16 และการลงโทษที่ กล่าวอยู่ในซูเราะห์ อ้ล่ฟุรกอน อายะ'หฑ 77 และต่อไปก็จะม่แต่การลงโทษในอาค์เราะห์ ชงคอไฟนรกที่ปีนนร้นตร์

[524]             เงอนไฃที่จะทำตามสํญญาตอบแทนสวรรค์ก็ค์อการศร'ทธา และบดาของ อบรออมไม่ได้ศร'ฑธา

[525]             หมายกง‘ชาไม่ได้ม่ศรฑธา อบนุ ยุดอาน ชอฃอง'ขาคืออ้บดุลลาะหํ๋ บุตร ยุดอาน 11เนคน'ใจบุญ ที่มีชอเส์ยง'ในสป้ข ยาสิลียะห์

[526]             จากอายะห์ที่ 214

[527]             จากอายะห์ที่ 82

[528]    คือเขาสามารถแยกผู้มืศรัทธาจากผู้ใร้ศรัทธาได้ด้วยริศมีที่ใบหน้า

[529]     จากอายะห์ฑ 56

[530]     ผู้ที่เสียชีวิตโดยยึดมั่นอยู่กับ ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ เขาเป็นชาวสวรรค์ แม้จะด้องถูกลงโทษในการละทิ้งวาญิบ และกระทำ สิ่งด้องห้ามก็ตาม เขาก็จะด้องได้เข้าสวรรค์

[531]             จากอายะห้ท 8 สะอด บุตร อะบว่กกอซ ได้ขาน'บถอศาสนาอิสลาม แต่มารดาของเขารังเกยจอิสลามอิงได้พนายๅม ผล'กด'นให้เขาเลกน''บถอศาสนาอิสลาม แต่เขากไม่ยนขอม มารดาของเขาจงสาบานว่าจะไม่กนอาหารใด ๆ จนกว่าเขาจะเลก น'บถอศาสนาอิสลามหรอ ต'วเองจะตาย อายะห์นี้อิงได้ลงมา

[532]      จากอายะห์ที่ 29 สิ่งด้องห้าม ที่กล่าวในอายะห์นี้สำหรับ พวกพ้องของ ลูต ก็คือการเหยียคหยามเพื่อนมนุษย์ และ ขว้างเพื่อนมนุษย์ด้วยห้อนกรวด

[533]     จากอายะห์ที่ 46

[534]    หะดษนได้ผ่านมาแห้วในซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์

[535]     จากอายะห์ที่ 1-4

[536]     จากอายะห์ที่ 4-5

[537]     ซึ่งหตุการณ์นตรงก้บสงคราม บัดร์ และที่ไหํมีการวางเดิมพพันก้นนั้นก็ก่อนที่จะได้มีการห้าม

[538]    หมายถึงศาสนาอิสลาม

[539]     จากอายะห์ทึ๋ 30

[540]    จากอายะห์ฑี๋ 6

องค์เท่านํ้น

[542]             จากอายะห์ที่ 16

[543]             อายะห์นลงมาในกลุ่มบุคคลที่รอคอยละหมาด อชาอ ร่วมก้น เพราะม่ความยากล่าบากในการรอคอย

[544]             จากอายะห์ที่ 17

[545]     ในเมื่อสิ่งนี้ทานปีนของผู้ที่ได้สวรรค์ขั้นต่ำทสุดแล้ว ดังนั้นสำหร้นผู้อื่นที่ได้เข้าสวรรค์เล่าจะเป็นอย่างไร

[546]     จากอายะห์ทึ่ 21 โทษอันอนันค์นั้นพวกขาจะได้ลิ้มรสในอาคิเราะค์

[547]     จากอายะห์ที่ 4

[548]     คอท่านได้ลืมขณะละหมาดโดยได้'ทำเกิน หรือขาด

[549]     คือหัวใจหนึ่งอยู่กับพวก หน้าไหว้หลังหลอก อีกหัว์ใจหนึ่งอยู่กับบรรดาผู้มีศรัทธา

          [550]                 จากอายะห์ที่ 5

[551]              จากอายะห์ที่ 6

[552]              คืออนัส บุตร อันนัดร

   

 

[555]              คอเล่อกเอาอัลเลาะห์และคาสนทุตของพาะองค์ และโลกหน้า

[556]              จากอายะห์ที่ 33

                                ตานต้วบทของหะด้ษนชว่า บุกคลในครอบคา'วของท่านนบก็ได้แก่บุคคลเหล่าน

                                หนายความว่า ท่านนบ (ช.ล) ได้ตความหนาขอายะห์นอย่างนั้น

[559]             จากอายะห์ที่ 35

[560]     ด้วยการปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระคือเชด บุตร ฮาริษะห์ ซึ่งเขาเคยเป็นเชลยศึกในสมัยญาฮิลิยะห์ ท่านนบ ซ.ล.  ได้ ซื้อเขาก่อนที่ท่านจะได้รับการแต่งตั้งเป็นนบี และท่านก็ได้ปลดปล่อยเขา และได้เลี้ยงดูเขาเป็นบุตรบุญธรรม

[561]    ท่านนบีได้กล่าวแก่เขาเช่นนั้นขณะที่เขามาร้องทุกข์เกี่ยวกับ ซัยนับ ภรรยาของเขาและดั้งใจจะหย่าหล่อน

[562]     จากอายะห์ที่ 37

[563]    จากอายะห์ที่ 40

[564]     จากอายะห์ที่ 5

[565]    จากอายะห์ที่ 37

[566]    ซึ่งก็เป็นความจริงเช่นนั้น

[567]           จากอายะห์ที่ 50

[568]           อุมม่ อานอฺ ไม่ใช่เป็นผู้หญิงที่อพยพลภํย แต่เป็นผู้หญิงคนหนงจากกล่มบุคคลทท่านนบ ซ.ล.  ไดกล่าวแก่พวกเขาใน ว่นเข้าพช่ตม่กกะห์ว่าพวกท่านถูกปลดปล่อยแล่'ว หมายลงข้าพเจ้าอภ้ยให้พวกท่านแล่ว

[569]     จากอายะห์ที่ 51

[570]           อาอชะห์ไห้กล่าวหลังจากอายะห์นี้ให้ลงมาแล้วว่าข้าพเจ้าไม่คิดอะไรต่อพระผู้อภบาลของท่าน นอกจากพระองค์จะ รับสนองตามความต้องการของท่าน และพร้อมกันนี้ท่านนบี ซ.ล.  ก็ไห้เคยขออนุญาตภรรยาในวันที่เป็นเวรของหล่อนเป็น บางครั้ง ชึ่งก็ให้รับอนุญาต นอกจากอาอิชะห์เท่านั้นที่ไม่ยอมอนุญาตให้ท่าน

(012)        ซัยหนับ ได้เข้ามาหาท่านนบี ซ.ล.  ในคืนส่งตัว ท่านไค้เตรียมอาหารไว้เลี้ยงในงาน วะลีมะห์ ประกอบค้วยขนมปัง กับเนื้อ และท่านไค้สั่ง อะนัสไปเชื้อเชิญผู้คนนให้มารับประทานอาหาร

  1. คือบ้านของอาอิชะห์

 

  1. ท่านไม่ไค้สงให้พวกขาออกไป
  2. นอกจากพวกท่านจะไค้รับอนุญาตให้ข้าไปค้วยการเชื้อเชิญรับประอาหาร (020)  โดยไม่คอยจ้องเข้าไปในเวลาอาหาร และเวลาอาหารสุก

(027) จากอายะห์ท 53

ท่านนบ็ให้สลามพวกภรรยา

อาอิขะท่กล่าวตอบ

[578]              จากอายะท่ที๋ 63

[579]             หะดษนี้ชํ๋ว่าผู้หญงออกจากบ้านไปทำธุระได้ โดยด้องได้ทอนุญาตเสืยก่อน

[580]             จากอายะพ 56

[581]             โดยการที๋ท่านได้สอนพวกเราในการอ่าน ตะชะห์หุด

[582]              จากอายะห์ทึ๋ 69

[583]              ส์ถกุคอยฟืย์ เชนชอคระภูลฃอง ฟัรวะห์

[584]              หมายความว่าเชอเชิญให้มาเช้าศาสนาอสลาม

[585]              คอจากบรรดาอายะห์ต่าง ๆ

[586]              ช้งแต่ละคนนใแปีนด้นกำเนตชองก๊ก และเผ่าต่าง ๆ

[587]              หมายความว่าบรรดามะลาอกะห์จะไต่ถามชงก้นและก้น

[588]              ชํ่งได้แก่บรรดา ชิ'ยตอน

(039) จากอายะห์ที่ 32

[590]     จากอายะห์ที่ 12

591     พวกตระกล บะนู ซะลิบะห์ บ้านเรือนของพวกเขาอยู่ชานนครมะดีนะห์พวกเขาต้องการจะย้ายบ้านมาอยู่ใกล้มัสญิดนบี อายะห์นี้จึงได้ลงมา และท่านนบีก็ได้กล่าวว่าแท้จริงรอยเท้าที่พวกท่านก้าวเดินนั้นจะถูกบันทึกเป็นความดี ดังนั้นพวกเขา จึงไม่ได้ย้าย

[592]      คือขอนุญาตขึ้นทางทิศตะวันออกตามปกติของมัน มันจึงได้รับอนุญาต และเมื่อได้เวลาที่จะแสดง สัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ ตะวันต้องการจะสุหญูดอีกและขออนุญาตขึ้นทางทิศตะวันออกตามปกติ แต่คราวนี้มันจะไม่ได้รันอนุญาต

            [593]              จากอายะห์ที่ 24-25

[594]              จากอายะห์นี่ 77

[595]              นี่เป็นการบรรยายถึงลูกหลานของ นัวฮ์ และวงศ์วานของพวกเขา

[596]              จากอายะศ์นี่ 139

[597]              นี่เป็นการถ่อมตนของท่านนบีหรือก่อนนี่ท่านจะทราบว่าท่านเป็นผู้ที่ประเสรืฐสุด

[598]              จากอายะห์นี่ 147

[599]              หมายความว่านี่อะบตอสิบนั้นมนี่ว่างอยู่หนี่งนี่ อะบูยะเสจงโดดไปนี่งในนี่นั้นเพราะเกรงว่านบจะไปนี่งใกล้ๆ อะบูตอสิบ

เมอท่านนบไม่รํเนี่นี่งท่านจงนี่งลงตรงประตู

[601]              เช่นดำเนินการไกล่เกลี่ย เยี่ยมผู้ป่วย เดินตามศพ

[602]              คือละหมาด อิชาอ และละหมาด ซุบฮิ

[603]     จากอายะห์ที่ 86

[604]     จากอายะห์ที่ 31

[605]     จากสงครามและความยุ่งเหยงในโลกน

(059) จากอายะพ) 08 ชุเราะห์ อํลฟุรกอน

  1. จากอายะห์ที่ 53

[607]              จากอายะห่'ท 07

[608]              จากอายะห่ที่ 68

[609]              ที่อะบูฮุรอยเราะห์ไม่ตอบก็เพราะไม่รู้คำตอบ แต่ได้มีมาในสายรายงานของ อิบนิ อับบาสกับ อัลหะซันเป็นหะดีษ มัรฟัวอฺว่า : ช่วงระหว่างการเป่าทั้งสองครั้งนั้นห่างกันสิ่สิบปี อัลเลาะห์จะให้ทุกสิ่งที่มีชีวีตตาย และอีกครั้งหนึ่งพระองค์จะให้ทุกสิ่งที่ตายฟื้นคืนชีพขึ้น

[610]              ก้นกบคือปลายกระดูกสันหลัง จากส่วนนี้เองที่อัลเลาะห์จะสร้างร่างกายขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

[611]              หมายความว่าราไม่ควรแสวงหาความสำเริงสำราญในโลกนี้เพราะมันใกล้พินาศแล้ว เพียงแต่ มะลาอิกะห์ผู้ทำหน้าที่เป่า กำลังคอยคำสั่งให้เป่าท่านั้น

[612]              เขาสัตว์ที่ใช่เป่าก็คลายกับแตรที่ทหารใช่เป่า

หมายเลขบันทึก: 703764เขียนเมื่อ 9 กรกฎาคม 2022 14:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 สิงหาคม 2022 18:16 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท