หะดีษซอเฮี๊ยห์เล่มที่ 4


เล่มที่ 4

อัลกุรอานเป็นคาถา และอนุญาตค่าจ้างในการใช้คาถา

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. เมื่อมีใคร คนใดคนหนึ่งจากครอบครัวของท่านป่วยไข้ลง ท่านจะเป่าคนนั้นด้วยอัลมุเอาวิซาต[1]
และในบางรายงานว่า ปรากฏว่าเมื่อท่านได้รับความทุกข์ทรมาน ท่านจะอ่านอัลมุเอาวิซาตให้ตัวเองและเป่า

และขณะที่ท่านป่วย ครั้งที่ท่านเสียชีวิตในอาการป่วยครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้เป่าให้ท่าน และข้าพเจ้า ได้ลูบท่านด้วยมือของท่านเอง เพราะมือของท่านมีสิริมงคลยิ่งใหญ่กว่ามือของข้าพเจ้า

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด 

เล่าจากอะบี สะอีด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. เคยขอป้องกันจากญิน และดวงตาที่ชั่วร้ายของมนุษย์ จนกระทั่งมุเอาวิซะตาน[2]ได้ประทานลงมา เมื่อทั้งสองได้ถูกประทานลงมาท่านได้ยึดเอาทั้งสองนั้น[3] และท่านได้ทั้งสิ่งอื่นที่นอกจากทั้งสอง 

รายงานหะดีษโดยติรมีซี ด้วยสายงานที่หะซัน 

และเล่าจากเขา (อะบี สะอีด) ว่าได้มีเศาะฮาบะห์กลุ่มหนึ่งของท่านนบี  ซ.ล. ออกไป ในการเดินทางครั้งหนึ่งที่พวกเขาได้ออกเดินทาง จนกระทั่งพวกเขาได้ลงพักที่ชนเผ่าหนึ่งจาก บรรดาเผ่าของอาหรับ พวกเขาได้ขอให้ชนเผ่านั้นให้การต้อนรับพวกเขาในฐานะเป็นอาคันตุกะ แต่คนเผ่านั้นไม่ยอมต้อนรับพวกเขา ต่อมาหัวหน้าชนเผ่านั้นถูกสัตว์ต่อย ชนเผ่านั้นได้พยายาม ทำทุกอย่างเพื่อตัวเขา แต่ไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่เขาเลย ได้มีบางคนพูดขึ้นว่า พวกท่านควร ไปหาคนพวกนั้นทิ่มาลงพัก บางที่พวกเขาอาจมีบางอย่าง (ที่จะเป็นประโยชน์) ดังนั้นพวกเขา จึงได้มาหาคนกลุ่มนั้นแล้วกล่าวว่าแท้จริงนายของพวกเราถูกสัตว์ต่อย พวกเราได้พยายามทำทุกอย่างเพื่อตัวเขาแล้ว แต่ไม่เกิดประโยชน์ ใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านมีสิ่งใดบ้าง มีบางคน ตอบว่าแน่นอน ความจริงข้าพเจ้าสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า เป็นผู้เป่าคาถาได้แต่ขอสาบานต่อ อัลลอฮ์ว่า ความจริงพวกเราได้ไปขอร้องให้พวกท่านต้อนรับเราในฐานะเป็นอาคันตุกะ แต่พวกท่านไม่ยอมให้การต้อนรับพวกเรา ดังนั้นข้าพเจ้าจะไม่เป่าคาถาให้พวกท่านจนกว่าพวกท่านจะต้องตั้งรางวัลให้แก่พวกเราเสียก่อน[4] ชนเผ่านั้นจึงได้ประนีประนอมกับพวกเขาด้วยแกะหนึ่งฝูง[5] จากนั้นเขาจึงได้ไป และเริ่มเป่าที่ตัวเขา (หัวหน้าเผ่า) และได้อ่านอัลฮัมดุลิ้ลลาหิร็อบบิ้ลอาละมีน[6] ต่อมาเขาก็มีสภาพเหมือนอูฐที่ถูกปล่อยจากเครื่องพันธนาการ        เขาเดินได้โดยไม่แสดงอาการป่วยใดๆ ที่เขาเลย เขา (หัวหน้าเผ่า) ได้กล่าวว่าพวกท่านจงทำตามสัญญาที่ให้ไว้แก่พวกเขาด้วย รางวัลของพวกเขาที่ได้ตกลงประนีประนอมกันไว้           ต่อมามีบางคนจากเศาะฮาบะห์ได้กล่าวว่าจง แบ่งกัน ผู้ที่เป่าคาถากล่าวว่าท่านทั้งหลายอย่า (กระทำสิ่งใด) จนกว่าพวกเราจะได้มาหาท่าน เราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. พวกเราจะเล่าให้ท่านทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วพวกเราจะคอยดูว่าท่านจะ บัญชาแก่พวกเราว่าอย่างไร หลังจากนั้นพวกเขาได้เข้ามาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. และได้ เล่าให้ท่านฟัง ท่านได้กล่าวว่าอะไรทำให้ท่านทราบว่ามันเป็นคาถา พวกท่านทำถูกต้องแล้ว จงแบ่งกัน และกำหนดให้ข้าพเจ้าหนึ่งส่วน พร้อมกับพวกท่าน
และในบางรายงานว่า มีบางคน รังเกียจการทำเช่นนั้น โดยพวกเขากล่าวว่า ท่านเอาค่าจ้างบนคัมภีร์ของอัลลอฮ์ จนกระทั่ง พวกเขาได้เข้ามายังนครมาดีนะห์ แล้วกล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ เขาได้เอาค่าจ้างบนคัมภีร์ ของอัลลอฮ์ท่านได้กล่าวว่าแท้จริงสิ่งที่พวกท่านสมควรเอาค่าจ้างที่สุดคือ คำภีร์ฃองอัลลอฮ์ ที่ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร[7]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากคอริยะห์ บิน อัซซอลต์ อัตตะมีมีย์ จากลุงของเขา  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเรา ได้มุ่งหน้าออกมาจากท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ต่อมาพวกเราได้ผ่านอาหรับเผ่าหนึ่ง พวกเขา กล่าวว่าเราได้ข่าวว่าพวกท่านมาจากชายผู้นี้ (มูฮัมหมัด) พร้อมด้วยความดี พวกท่านมียาหรือ คาถาบ้างไหม เพราะแท้จริงพวกเรามีคนเสียสติอยู่คนหนึ่ง พวกเราได้ตอบว่ามีครับ ต่อมา พวกเขาได้นำตัวคนเสียสติมาในเครื่องพันธนาการ และข้าพเจ้าได้อ่าน “ฟาติฮะห์” เป่าเขาสามวัน ทั้งเช้า และเย็น ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าอ่าน “ฟาติฮะห์” จบข้าพเจ้าจะเป่าพร้อมด้วยนํ้าลายของข้าพเจ้า ไปที่เขา ต่อมาเขามีสภาพเหมือนอูฐที่หลุดออกจากเชือกผูก พวกเขาจึงมอบรางวัลให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าไม่จนกว่าข้าพเจ้าจะได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. เสียก่อน จากนั้นข้าพเจ้า ได้ถามท่าน ท่านได้ตอบว่าจงกินเถิด ขอสาบานว่าคนอื่นนั้นเขาได้กินด้วยคาถาที่เป็นเท็จ ความจริงท่านกินโดยคาถาที่เป็นจริง

รายงานโดย อะบูดาวูด ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์(ซอเฮียห์)

ตอนที่สี่

ปฏิเสธความเชื่อถือในสมัยญาฮิลิยะห์

ไม่มีโรคติดต่อ ไม่มีการถือโชคลาง การป้องกันเอาไว้นั้นปลอดภัยกว่า

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าไม่มีโรคติดต่อ ไม่มี นกที่ได้เสี่ยงทาย ไม่มีดวงดาวที่นำน้ำฝนมาให้ และไม่มีเดือนซอฟัร[8]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าไม่มีโรคติดต่อ ไม่มีผี และ ไม่มีเดือนซอฟัร 

รายงานโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากอบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าไม่มีโรคติดต่อ ไม่มีเดือนซอฟัร และไม่มีนกที่เสี่ยงทาย ต่อมาได้มีชาวอาหรับชนบทผู้หนึ่งกล่าวขึ้นว่าโอ้ท่านศาสดา แล้วฝูงอูฐเล่าเป็นอย่าไร ที่มันอยู่ในทะเลทราย เหมือนกับพวกอีเก้ง ต่อมาได้มีอูฐที่เป็นโรคกลากไปอยู่ร่วมกับมัน และทำให้มันเป็นโรคกลากไปด้วยทั้งฝูง ท่านกล่าวว่า ดังนั้นใครนำโรคให้มาติดตัวแรก[9]

เล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าพวกท่านอย่านำตัวที่ป่วย มาหาตัวที่มีสุขภาพดี [10] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด              

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าไม่มีโรคติดต่อและ ไม่มีนกที่ใอ้เสี่ยงทาย และไม่มีเดือนชอฟัร และจงหนีจากคนเป็นโรคเรื้อนเหมือนหนีจากสิงห์โต[11] 

รายงานโดยบุคอรี ในเรื่องโรคเรื้อน

และปรากฏว่าในคณะของพวกซะกีฟนั้น มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นโรคเรื้อน ท่านนบี  ซ.ล. ได้ส่งผู้แทนมาหาเขาว่า แท้จริงเราได้ให้คำมั่นต่อท่านแล้ว ท่านจงกลับไปเกิด[12] 

รายงานโดย มุสลิม

ถ้าหากจะมีโชคร้าย จะปรากฏอยู่ในสามอย่าง

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าไม่มีโรคติดต่อ และไม่มีการ เสี่ยงทายด้วยนก ความจริงโชคร้ายนั้นจะมือยู่ในสามอย่างในม้า ผู้หญิง และบ้าน รายงานโดย สี่คน และตัวบทของอะบีดาวูดว่าไม่มีการเข้อโชคลาง และไม่มีการเสี่ยงทายด้วยนก และ ถ้าหากจะมีโชคลางอยู่ในสี่งใด ก็จะอยู่ในม้า [13] ผู้หญิง และบ้านเรือน

และได้มีชายคนหนึ่งมาแล้วกล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงพวกเราอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง พวกเรามีจำนวนมากในบ้านหลังนั้น และมีทรัพย์สินของพวกเราเป็นจำนวนมากใน บ้านหลังนั้น ต่อมาเราได้ย้ายไปอยู่บ้านอีกหลังหนึ่ง ชื่งพวกเรามีจำนวนน้อย และทรัพย์สินของ พวกเราก็มีน้อยในบ้านหลังนั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่าจงทิ้งบ้านหลังนั้นใน สภาพที่มันถูกประนาม[14] 

รายงานโดย อะบูดาวูด ด้วยสายรายงานที่ศอฮิฮะห์(ซอเฮียห์)

 

ลางดีนั้นช่างเป็นสิ่งดีที่สุด[15]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าไม่มีการถือโชคลาง และโชคลางที่ดีคือ อัลฟะอลุ (สิ่งบอกเหตุที่ดี) มีผู้ถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. อัลฟะอลุ คืออะไร ท่านตอบว่าคือคำพูดที่ดีที่คนใดคนหนึ่งจากพวกท่านได้ยิน และในบางรายงานว่า ไม่มีการเชื่อโชคลาง สิ่งบอกเหตุที่ดีและคำพูดที่ดีนั้นทำให้ข้าพเจ้าพอใจ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด 

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) ว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้ยินคำพูดใดที่ทำให้ ท่านพอใจ ท่านจะกล่าวว่าเราได้ถือเอาสิ่งบอกเหตุที่ดีของท่านจากปากของท่าน 

รายงานโดย อะบูดาวูด และ อะบู นุไอม์

เล่าจากบุรอยดะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล. ไม่เคยถือโชคลางจาก สิ่งใด  และปรากฏว่าเมื่อท่านได้ส่งคนงานท่านจะถามชื่อเขา และเมื่อชื่อของเขาทำให้ท่านพอใจท่านจะดีใจและจะเห็นความยิ้มแย้มที่ใบหน้าของท่าน ถ้าหากท่านไม่ชอบชื่อของเขาก็จะเห็นความไม่พอใจในใบหน้าของท่าน และเมื่อท่านเข้าสู่ตำบลหนึ่ง ท่านจะถามชื่อของมัน ถ้าหากชื่อ ของมันทำให้ท่านพอใจ ท่านก็จะดีใจกับมัน และจะเห็นความยิ้มแย้มที่ใบหน้าของท่าน [16] และถ้าหากท่านไม่ชอบชื่อของมันก็จะเห็นความไม่พอใจที่ใบหน้าของท่าน                                                          

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี 

และได้มีผู้กล่าวถึงการถือโชคลางท่านนบี  ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่าโชคลางที่ดีนั้น คือ สิ่งบอกเหตุที่ดีและมันจะไม่ขัดขวางมุสลิมคนใด [17] เมื่อคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านเห็นสิ่งที่เขารังเกียจ ให้เขาจงกล่าวว่าโอ้พระองค์อัลลอฮ์ จะไม่มีผู้ใดนำความดีมานอกจากพระองค์ท่าน และจะไม่สามารกป้องกันความชั่วต่างๆ ได้นอกจากพระองค์ท่าน และไม่มีพลังและกำลังอันใดเว้นแต่ด้วยท่าน 

รายงานโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

เล่าจากอับดิลลาห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าการถือโชคลาง เป็นการ ตั้งภาคี การถือโชคลางเป็นการตั้งภาคี (ได้กล่าว) สามครั้ง [18] และไม่มีคนใดจากพวกเรานอกจาก (จะมีสิ่งหนึ่งจากการถือโชคลางผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา) นอกจากอัลลอฮ์จะขจัดมันให้หายไปด้วยการมอบความเป็นไปให้อัลลอฮ์ 

รายงานโดย อะบูดาวูด ติรมีซี และถือว่าเป็นหะดีษ เศาะฮีหะห์

และปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล. จะทำให้ท่านพอใจอย่ายิ่งเมื่อท่านได้ออกไปทำกิจธุระ ของท่าน แลัวได้ยินคนเรียกโอ้ผู้ที่เดินถูกทาง โอ้ผู้ประสบความสำเร็จ 

รายงานโดยติรมซี

การทำนายสิ่งเร้นลับ การขีดเขียน และการตอกด้วยถูกหิน [19]

เล่าจากอะบีมัสอูด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี  ซ.ล. ได้ห้ามราคาหมา ค่าตัวโสเภณี และค่ากำนัลของโหรทำนาย 

รายงานโดยบุคอรี และติรมีซี

และท่านหญิงอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าได้มีประชาชนถามท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ถึงเรื่องโหรทำนาย ท่านได้กล่าวว่าพวกนั้นไม่มือะไร พวกเขากล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์แท้จริงบางครั้งพวกเขาบอกถึงสิ่งหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นความจริงท่านได้กล่าวว่าคำพูดที่ออกมา เป็นความจริงนั้นเป็นคำพูดที่ญินได้ฉวยเอามากระซิบที่หูของคนรักของมันเหมือนเสียงไก่ [20] ต่อมาพวกเขาจะเอาเรื่องโกหกมาปนมากกว่าร้อยเรื่อง

รายงานโดยบุคอรี มุสลิม

เล่าจากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าได้มีผู้ชายชาวอันซอรคนหนึ่งจากบรรดาอัครสาวก ของท่านนบี  ซ.ล. ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ขณะที่พวกเขากำลังนั่งอยู่กับท่านนบี  ซ.ล. ในคืน วันหนึ่ง ได้มีดาวดวงหนึ่งตกและส่องแสงสว่าง ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ถามพวกเขาว่าพวกท่านจะว่าอย่าไร ในสมัยญาฮิลียะห์ เมื่อเกิดมีเหมือนดาวดวงนี้ตก พวกเขากล่าวว่า อัลลอฮ์ และรอซูลของพระองค์ทราบดี พวกเราเคยกล่าวว่า บุคคลสำคัญจะถูกกำเนิด และคนสำคัญ จะเสียชีวิตในคืนนี้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงมันจะไม่ถูกขว้างลงมาเพราะ ความตายของคนใด และไม่ใช่เพราะการเกิดของผู้ใด แต่พระผู้เป็นเจ้าของเราผู้ซึ่งมีมงคลและ นามของพระองค์สูงยิ่ง เมื่อได้กำหนดงานขึ้นชิ้นหนึ่ง บรรดามะลาอิกะห์ที่ทำหน้าที่แบกบัลลังก์ ได้กล่าวตัสเบียะห์ หลังจากนั้นชาวฟ้าซึ่งอยู่ถัดจากพวกเขาก็จะกล่าวตัสเบียะห์จนกระทั่งตัสเบียะห์ นั้นได้ล่วงมาถึงชาวฟ้าแห่งโลกนี้ ต่อมาพวกที่อยู่ถัดจากมะลาอิกะห์ที่ทำหน้าที่แบกบัลลังก์ได้ถามมะลาอิกะห์ที่แบกบัลลังก์ว่า พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านได้กล่าวอะไรบ้าง พวกเขาจึงเล่าให้ พวกนั้นฟังว่า พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวอะไรบ้าง ต่อมาบางส่วนของชาวฟ้าก็ได้ขอให้ชาวฟ้าบางส่วน เล่าให้ฟังจนข่าวนั้นล่วงมาถึงฟากฟ้าแห่งโลกนี้ พวกญินจึงไปแอบฟัง และนำไปบอกแก่คนรัก ของพวกมัน และพวกมันก็จะถูกขว้างด้วยดวงดาวนั้น ดังนั้นสิ่งใดที่พวกมันนำมาตามตรงข่าวนั้น ก็เป็นความจริง แต่พวกเหล่านั้นจะเสริมแต่งและเพิ่มเติม

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และตีมีซี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดได้ศึกษาหาความรู้ จากดวงดาว ก็เท่ากับเขาได้ศึกษาแขนงหนึ่งจากการกระทำคุณ เขายิ่งเพิ่มมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้น[21] 

รายงานโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

เล่าจากภรรยาบางท่านของท่านนบี  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดได้มาหา นักทำนาย และได้ถามเขาถึงสิ่งหนึ่ง ละหมาดของเขาจะไม่ถูกรับเป็นเวลาสี่สิบคืน 

รายงานโดย มุสลิม และอะห์มัด และตัวบทของอะห์มัดว่าผู้ใดได้มาหานักทำนายหรือโหรและเชื่อในสิ่งที่เขาบอก ดังนั้นแท้จริงเขาเป็นผู้ทรยศต่อสิ่งที่ถูกประทานมายังมุฮัมมัด  ซ.ล. [22]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าผู้ใดได้มาหาโหรทำนาย และเชื่อเขาตามที่เขาพูด หรือได้ร่วมสังวาสกับภรรยาของเขา ขณะที่มีเลือดประจำเดือนหรือได้ ร่วมสังวาสกับภรรยาของเขาทางด้านหลังของหล่อนก็เท่ากับเขาได้พ้นจากสิ่งที่ได้ถูกประทาน ลงมาเหนือมุฮัมมัด  ซ.ล.[23] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก มุอาวิยะห์ บินฮะกัม อัซซุลามีย์  ร.ฎ. ว่าข้าพเจ้าได้กล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ มีหลายสิ่งที่พวกเราเคยทำในสมัยญาฮิลียะห์ พวกเราเคยไปหาพวกโหรท่านได้กล่าวว่าดังนั้น ท่านทั้งหลายอย่าไปหาพวกโหร ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าพวกเราเคยถือโชคลาง ท่านได้กล่าวว่าดังนั้นท่านทั้งหลายอย่าไปหาพวกโหร ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าพวกเราเคยถือโชคลาง ท่านได้กล่าว ว่านั่นเป็นสิ่งที่คนหนึ่งคนใดจากพวกท่านพบมันอยู่ในจิตใจของเขา ดังนั้นอย่าให้มันขัดขวาง พวกท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่ามีพวกผู้ชายหลายคนจากพวกเราที่พวกเขาขีดเขียน ท่านได้กล่าว ว่าเคยมีนบีท่านหนึ่งจากบรรดานบีเคยขีดเขียน ดังนั้นผู้ใดที่การขีดเขียนของเขาถูกต้อง มันก็ นั่นแหละ[24] 

รายงานโดย มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากกอบี เซาะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. กล่าว ว่าการไล่ตะเพิดนก [25] การถือโชคลาง [26] การตอกด้วยถูกหิน [27] เป็นสิ่งที่เหลวไหล [28] 

รายงาน โดยอะบูดาวูด ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

บทสุดท้าย

การมอบหมายต่ออัลลอฮ์นั้นดีที่สุด

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และผู้ใดก็ตามทิ่มอบหมายต่ออัลลอฮ์ แน่นอนลำพัง อัลลอฮ์ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา แท้จริงอัลลอฮ์บรรลุถึงคำสั่งของพระองค์เสมอ แท้จริง อัลลอฮ์ได้บันดาลกำหนดการไว้แล้วสำหรับทุกๆ สิ่ง พระองค์อัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงไว้ซึ่งสัจจะ”

เล่าจากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ออกมาหาพวกเราในวันหนึ่ง ท่านได้กล่าวว่าประชาชาติต่างๆ ได้ถูกนำมาเสนอให้ข้าพเจ้า (ได้แลเห็น) [29]ได้มีนบีท่านหนึ่งผ่านไปพร้อมกับนบีท่านนั้นมีผู้ชายคนหนึ่ง และนบีท่านหนึ่งมีผู้ชายสองคน และนบีท่านหนึ่ง มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งไม่เกินสิบคน และนบีท่านหนึ่งไม่มีใครเลยสักคนเดียว และข้าพเจ้าได้เห็นผู้คน จำนวนมากมายเต็มขอบฟ้า ข้าพเจ้าตั้งความหวังว่าคงเป็นประชากรของข้าพเจ้า แต่มีผู้กล่าวว่า นี่คือ มูซากับประชากรของเขา หลังจากนั้นได้มีผู้กล่าวกับข้าพเจ้าว่าจงมองดู ข้าพเจ้าได้แลเห็น ผู้คนจำนวนมากเต็มขอบฟ้า และได้มีผู้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านจงมองดูทางโน้น ทางนี้ข้าพเจ้า ก็ได้เห็นผู้คนจำนวนมากเต็มขอบฟ้า และได้มีผู้กล่าวว่า เหล่านี้คือประชากรของท่าน และพวก เขาเหล่านี้มีจำนวนเจ็ดหมื่นคนที่พวกเขาจะเข้าสวรรค์โดยไม่ต้องสอบสวนหลังจากนั้นประชาชน ได้แยกย้ายกันไปโดยที่ท่านไม่ได้อธิบาย ถึงพวกเหล่านั้น (คือผู้ใดบ้าง) ต่อมาบรรดาอัครสาวก ของท่านนบี  ซ.ล. จึงได้ทบทวนกัน พวกเขาได้กล่าวว่าส่วนพวกเรานั้นได้ถูกกำเนิดขึ้นมา ในสภาพที่ตั้งภาคี แต่พวกเราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และเร่าะซูลของพระองค์ แต่พวกเขาก็เป็น ถูกหลานของพวกเรา และ (เรื่องนี้) ได้ล่วงรู้ไปถึงท่านนบี  ซ.ล. ท่านจึงได้กล่าวว่าพวกเขา คือพวกที่ไม่ถือโชคลาง ไม่ขอให้เป่าคาถา ไม่รักษาโดยใช้วิธีเอาเหล็กเผาไฟนาบ[30] แต่พวกเขาจะมอบหมายไว้กับอัลลอฮ์ อุกกาซะห์ บินเมียะห์ซอนได้ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่าข้าพเจ้าจะเป็นคนหนึ่งจากพวกเขาไหม โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านตอบว่าใช่ และได้มีคนอื่นลุกขึ้นยืนอีก แล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าจะเป็นคนหนึ่งจากพวกเขาไหม ท่านตอบว่าอุกกาซะห์ได้ชิงเอาไปก่อนท่านแล้ว 

รายงานโดยบุคอรีมุสลิม และติรมีซี 

และตัวบทของมุสลิมว่าชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้โปรดวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ให้ดลบันดาลให้ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งจาก พวกเขา ท่านได้กล่าวว่าโอ้พระองค์อัลลอฮ์ ได้โปรดดลบันดาลให้เขาเป็นคนหนึ่งจากพวกนั้น และได้มีอีกคนหนึ่งลุกขึ้นแล้วกล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้โปรดวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ บันดาลให้ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งจากพวกนั้น ท่านได้กล่าวว่าอุกกาชะห์ได้ชิงเอาไปก่อนท่านแล้ว

เล่าจากอับดิลลาห์  ร.ฎ. จากท่านนที่  ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงคาถา[31] และเครื่อง รางที่ใช้แขวน และการกระทำคุณที่ทำให้หญิงชายรักกันเป็นการตั้งภาคี ภรรยาของท่านคือ ซัยหนับได้กล่าวขึ้นว่า อย่างไรกันนี่ สาบานต่ออัลลอฮ์ ตาของข้าพเจ้าเคยเจ็บมีนํ้าตาไหล และข้าพเจ้าได้เคยไปหาชายคนนั้นซึ่งเป็นชาวยิวหลายครั้ง และเขาได้เป่าคาลาให้ที่ตา และมัน (นํ้าตา) ก็หยุด อับดิลลาห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่านั่นคืองานของชัยฏอนที่มันได้เอามือของมันทิ่ม ไปที่ดวงตาเมื่อเขาได้เป่าคาถาไปที่ตา มันก็เลิกทิ่มตา ความจริงเพียงพอแล้วที่เธอจะกล่าวตาม สิ่งที่ท่านนบีได้กล่าวไว้ว่าได้โปรดให้ความทุกข์ทรมานหายไป โอ้พระผู้อภิบาลแห่งมวลมนุษยชาติ ได้โปรดให้การป่วยไข้หายไป พระองค์ท่านเป็นผู้ทำให้อาการป่วยไข้หายไป ไม่มีการหายจาก อาการป่วยไข้นอกจากการหายจากอาการป่วยไข้ของพระองค์ท่าน เป็นการหายจากอาการป่วยไข้ ที่จะไม่ทิ้งอาการป่วยใดๆ [32] 

รายงานโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

เล่าจาก อัลมุฆีเราะห์ บิน ชัวะอุบะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใด ได้รักษาโดยใช้วิธีเอาเหล็กเผาไฟนาบ หรือได้ขอให้ใช้คาถา ดังนั้นแท้จริงเขาได้พ้นจากการมอบหมายต่ออัลลอฮ์ [33]

เล่าจากอีซา บิน อับดุลเราะห์มาน  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้เข้าไปหา อะบี เมียะอุบัด อัลยุฮะนีย์ เพื่อเยี่ยมเขาโดยที่เขาเป็นผื่นแดง พวกเราได้กล่าวแก่เขาว่า ท่านจะไม่แขวนสิ่งใด หรือ เขาตอบว่า ความตายใกล้ยี่งกว่านั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้แขวน สิ่งหนึ่งสิ่งใดเขาจะถูกปล่อยไว้กับสิ่งนั้น[34]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

ภาคตำแหน่งนบีและรอซูล
มีแปดตอน และบทสุดท้าย
ตอนที่หนึ่ง ความประเสริฐของท่านนบี  ซ.ล.

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า และ (จงระลึก) ขณะที่อัลลอฮ์ ได้เอาสัญญาจากบรรดา นบีว่า [35] แน่นอน สิ่งที่เราได้ให้แก่พวกท่านจากคัมภีร์และวิทยปัญญา แล้วในภายหลังได้มีศาสนทูต หนึ่งมายังพวกท่าน รับรองสิ่งที่พวกท่านมือยู่ แน่นอนพวกท่านจะต้องศรัทธาต่อเขาและจะต้อง ให้การช่วยเหลือเขา พระองค์ตรัสว่าพวกท่านจะยอมรับและยึดเอาสัญญาของเราเหนือสิ่งนั้นไหม พวกเขาตอบว่าพวกเรายอมรับ พระองค์ตรัสว่า ดังนั้นพวกท่านจงเป็นพยานเกิด และเราอยู่พร้อมกับพวกท่าน จากบรรดาผู้เป็นพยาน

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถูกบังเกิด ขึ้นนับแต่ ศตวรรษที่ดีของถูกหลานอาดัม ศตวรรษ ต่อ ศตวรรษ [36] จนข้าพเจ้าได้ปรากฏ เป็นส่วนหนึ่งจากศตวรรษที่ข้าพเจ้าอยู่ในศตวรรษนั้น

รายงานโตย บุคอรี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นนาย ของลูกหลานอาตัม ในวันกิยามะห์ และเป็นคนแรกที่หลุมฝังศพจะคลายออกมาและเป็นคนแรก ที่ขอสิทธิการช่วยเหลือ และเป็นคนแรกที่ได้รับสิทธิการช่วยเหลือ [37]

รายงานโดยมุสลิม อะบู ดาวูด และติรมีซี และตัวบทของติรมีช่ว่า ข้าพเจ้าเป็นนายของถูกหลานอาดัม ในวันกิยามะห์ และในมือของข้าพเจ้ามีธงแห่งคำสรรเสริญ [38] และไม่ใช่เป็นการโอ้อวด ไม่มีนบีใดในวันนั้น ทั้งอาดัมและคนอื่นๆ นอกจากจะอยู่ใต้ธงของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเป็นคนแรกที่ผืนแผ่นดินคลาย ออก และไม่ใช่เป็นการโอ้อวด [39]

และท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อถึงวันกิยามะห์ ข้าพเจ้าจะเป็นผู้นำของ นบีทั้งหลาย และเป็นผู้มีสิทธิในการช่วยเหลือก่อนพวกเขา และเป็นเจ้าของความช่วยเหลือพวก เขาโดยไม่ใช่เป็นการโอ้อวด 

รายงานโดยติรมิซี

เล่าจากวาซิละห์ บินอัซเกาะอุ  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงอัลลอฮ์ได้คัดเลือกก๊กกินานะห์ [40] จากถูกหลานของอิสมาอีล และได้คัดเลือกเผ่ากุเรชจากก๊กกินานะห์ และได้คัดเลือกตระกูล บะนีฮาชิมจากเผ่ากุเรช และได้คัดเลือกข้าพเจ้าจากตระกูลบะนีฮาชิม

รายงานโดยมุลลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงเปรียบตัวข้าพเจ้า และบรรดานบีทั้งหลายนั้น เหมือนกับชายคนหนึ่งที่สร้างบ้านขึ้นหลังหนึ่งเขาได้สร้างอย่างสวยงามและวิจิตรโดยได้เว้นที่ที่จะบรรจุอิฐได้หนึ่งก้อนไว้ที่มุมหนึ่งประชาชนได้พากันมุงดูที่ แห่งนั้นและพากันแปลกใจ และกล่าวว่า ควรจะใส่อิฐก้อนนี้ ท่านได้กล่าวว่า ดังนั้นข้าพเจ้าคือ อิฐก้อนนั้น และข้าพเจ้าเป็นนบีคนสุดท้าย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ว่าพวกเขาได้กล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอห์ เมื่อใด ที่ตำแหน่งนบีได้กำหนดไว้แก่ท่าน ท่านได้ตอบว่า ขณะที่อาดัมอยู่ระหว่างวิญญาณกับเรือนร่าง [41]

และอับบาสได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงพวกกุเรชใต้นั่งทบทวน วงศ์ตระกูล ของพวกเขา และพวกเขาได้ตั้งข้อเปรียบเที่ยบตัวท่านเหมือนกับต้นอินผลัมที่อยู่ในกองขยะของ โลกนี้ ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงพระองค์อัลเลาะห์ได้สร้างสรรพสิ่งต่างๆ ขึ้น และ ได้ดลบันดาลให้ข้าพเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของสรรพสิงเหล่านั้น ให้เป็นสิงที่ดีที่สุดของพวกต่างๆ จากสรรพสิ่งเหล่านั้น และให้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งสองพวก หลังจากนั้นพระองค์ได้คัดเลือก เผ่าต่างๆ และได้ให้ข้าพเจ้าอยู่ในเผ่าที่ดี หลังจากนั้นพระองค์ได้คัดเลือกครอบครัว และได้ให้ ข้าพเจ้าอยู่ในครอบครัวที่ดี ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งด้านต้นตระกูล และครอบครัว

เล่าจาทอะนัส  ร.ฎ. จากท่านนปี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้ ออกมาเมื่อมนุษย์ถูกบังเกิดขึ้น และข้าพเจ้าเป็นผู้เจรจาของมวลมนุษย์ขณะที่พวกเขาได้มาหา

(พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา) และข้าพเจ้าเป็นผู้แจ้งข่าวดี ของพวกเขาขณะที่พวกเขาสิ้นหวัง ธงแห่งการสรรเสริญในวันนั้นอยู่ในมือของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเป็นผู้มีเกียรติที่สุด จากถูกหลาน ของอาดัม ณ พระผู้อภิบาลของข้าพเจ้าและไม่ใช่เป็นการโอ้อวด

และเล่าจากเขา (อะนัส) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าเมื่อวันที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. เข้าสู่นครมะดีนะห์นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างได้ส่องแสงรุ่งโรจน์จากนครมะดีนะห์และเมือวัน ที่ท่านเสียชีวิตนั้นทุกสิ่งทุกอย่างกีได้มีดมิดลง

เล่าจากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าได้มีชนกลุ่มหนึ่งจากอัครสาวกของท่านนบี  ซ.ล. นั่งคอยท่านอยู่ หลังจากนั้นท่านได้ออกมาจนเมื่อเข้ามาใกล้พวกเขา ท่านได้ยินพวกเขา กำลังทบทวนความรู้กัน ได้มีบางคนของพวกเขากล่าวว่า เป็นที่น่าภูมิใจที่พระองค์อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรลือเอาอิบรอฮีม เป็น “คอลีล” [42] จากบรรดาสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง อีกส่วนหนึ่งได้กล่าวว่า อะไรที่จะภูมิใจยิ่งกว่าคำพูดของมูซา ที่พระผู้อภิบาลของเขาได้ตรัสกับเขาจริง อีกส่วนหนึ่งได้กล่าวว่าอีซาคือคำดำรัสของอัลลอฮ์ และเป็นวิญญาณของพระองค์ และอีกสวนหนึ่งได้กล่าวว่า อาดัมนั้นเป็นบุคคลที่อัลลอฮ์ทรงกัคัดเลือก ท่านนบีจึงออกมาหา พวกเขาแล้วกล่าวสลาม และได้กล่าวขึ้นว่า ความจริงข้าพเจ้าได้ยินคำพูดของพวกท่านและความภูมิใจของพวกท่าน แท้จริง อิบรอฮีมป็นคอลีลแห่งอัลลอฮ์และก็เป็นความจริงเช่นนั้น อีซา เป็นวิญญาณของอัลลอฮ์และเป็นคำดำรัสของพระองค์และก็เป็นความจ่ริงเช่นนั้น     และอาดัม เป็นบุคคลที่อัลลอฮ์ทรงคัดเลือกและก็เป็นความจริงเช่นนั้น โปรดทราบข้าพเจ้าเป็นคนรักของอัลเลาะห์ และไม่ใช่เป็นการอวดอ้าง ข้าพเจ้าเป็นผู้ถือธงแห่งการสรรเสริญในวันกิยามะห์ และ ไม่ใช่เป็นการอวดอ้าง ข้าพเจ้าเป็นบุคคลแรกที่ได้ช่วยเหลือ และข้าพเจ้าเป็นบุคคลแรกที่ถูกขอความช่วยเหลือในวันกิยามะห์ และไม่ใช่เป็นการอวดอ้าง ข้าพเจ้าเป็นบุคคลแรกที่ได้ขยับห่วง (ที่ประตู) สวรรค์ และอัลเลาะห์ได้เปิดให้แก่ข้าพเจ้า พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้าเข้าไปในสวรรค์ และพร้อมกับข้าพเจ้าคือบรรดาผู้ยากจนจากมวลผู้มีศรัทธา [43] และไม่ใช่เป็นการโอ้อวดและข้าพเจ้าเป็นผู้มีเกียรติที่สุดแห่งบรรดาบุคคลในยุคแรกและยุคสุดท้าย และไม่ใช่เป็นการโอ้อวด 

อับดุลเลาะห์ บิน สะลาม  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า คุณลักษณะของมุฮัมมัด และคุณลักษณะ ของอีซาบิน มัรยัม อ.ล. ถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์เตาร๊อต และอีซานั้นจะถูกฝังรวมอยู่กับมุฮัมมัด  ซ.ล.[44]

รายงานหะดีษทั้งหกโดยติรมิซี 

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าสาบานด้วยผู้ซึ่งชีวิตของ มุฮัมมัดอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า จะต้องมีวันหนึ่งมาถึงใครคนหนึ่งจากพวกท่านอย่างแน่นอน การที่เขาพบเห็นข้าพเจ้า ชั่วพริบตาเดียวแล้วไม่ได้เห็นข้าพเจ้าอีกเลยนั้น เป็นความปรารกนาของเขายิ่งกว่าปรารกนาให้ครอบครัวและทรัพย์สมบัติของเขาอยู่กับพวกเขาเสียอีก 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม

การกำเนิดของท่านนบี  ซ.ล. วงศ์ตระกูลและนามข้อของท่าน

เล่าจากกอยส์ บิน มัครอมะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าและท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. เกิดในป็ช้าง 

และท่านอุสมาน บิน อัฟฟานได้ถาม กุบาซ บิน อัชยัม บินไลซ์  ร.ฎ. ว่า ท่าน แก่กว่าหรือท่านเราะซูลุลลอฮ์ (แก่กว่า) เขาตอบว่า เราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. มี (ตำแหน่ง) ใหญ่กว่าข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก่อนท่านในการเกิด ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. เกิดในปีข้าง และ มารดาของข้าพเจ้าได้ยกข้าพเจ้าไปไว้ในสถานที่แห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เห็นมูลช้างมีสีเขียวกำลังเปลี่ยนสภาพ 

ราIเงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

ส่วนวงศ์ตระกูลของท่านนปึ  ซ.ล. นั้นมีดังนี คือ มุฮัมมัด  ซ.ล. บินอับดุลเลาะห์ บินอับดุลมุตตอลิบ บิน ฮาชิม บิน อับดุ มะนาฟ บิน กุชอยย์ บิน กิลาบ บิน มุรเราะห์ บิน กะอับ บิน ลุอัยย์ บิน ฆอลิบ บิน ฟิฮ์ร บิน มาลิก บิน นัดร์ บิน กินานะห์ บิน คุซัยมะห์ บิน มุดริกะห็ บิน อิลยาส บิน มุดอร์ บิน นิซาร บิน มะอัดด์ บิน อัดนาน 

รายงานหะดีษโดยมุคอรี 

เล่าจาก ยุเบร บิน มุตอิม  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้ามีห้านาม ชื่อ ข้าพเจ้าคือ มุฮัมมัด ข้าพเจ้าคือ อะห์มัด ข้าพเจ้าคือ อัลมาฮีย์ (ผู้ลบ) ชึงอัลลอฮ์ จะลบความไม่ศรัทธา ด้วยข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคือ อัลฮาซิร (ผู้รวม) ซึ่ง มวลมนุษย์จะถูกรวมอยู่ แทบเท้าของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าคือ อัลอากิบ 

รายงานหะดีษโดยมุคอรี มุสลิม และติรมิซี

อะบู มูซา อัลอัชอะรี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. เอ่ยนาม ชื่อของท่านให้พวกเราฟังหลายชื่อ โดยท่านได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าคือ มุฮัมมัด คือ อะห์มัด คือ อัลมุก๊อฟฟิ[45]  คือ อัลฮฟัร คือ นบียุตเตาบะห์ และคือนะบียุรเราะห์มะห์ 

รายงานโดยมุสลิม

ตอนที่สองลักษณะเรือนร่างอันประเสริฐของท่านนบี  ซ.ล. 541

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านรอชูด้ลเลาะห้  ซ.ล. มีร่างสูงปานกลาง ไม่ใช่คนสูงและไม่ใช่คนเตี้ย มีผิวพรรณที่เปล่งปลั่งไม่ใช่ผิวขาวบริสุทธิ์ และไม่ใช่สีน้ำตาล (ผมของท่าน) ไม่ใช่หยิกติดหนังศีรษะและไม่ใช่ยืดดตรง วะฮีย์ ถูกประทานลงมายังท่านขณะที่ ท่านมือายุสี่สิบปี และท่านได้พำนักอผู่ที่มักกะห์เป็นเวลาสิบปี โดย วะฮีย์ คงถูกประทานลงมา ยังท่าน และอยู่ทิ่มะดีนะห์ สิบปี ท่านได้เลียชีวิตในสภาพที่ศีรษะและเคราทั้งสองของท่านมี ผมหงอกไม่ถึงยี่สิบเส้น

เล่าจากท่านบะรออฺ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. นั้นเป็น คนที่มีรูปร่างปานกลาง มีไหล่กว้าง ผมหนายาวลงมาถึงติงพูทั้งสองข้าง สวมเสือผ้าลีแดง ข้าพเจ้าไม่เคยเห์นอะไรเลยที่มีความสวยงามยี่งกว่าท่านนบี  ซ.ล.

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (บะรออุ) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. มีใบหน้าที่ งดงามที่สูดแห่งมนุษย์ชาติ และมีกิริยามารยาทที่ดีงามที่สูดของมนุษย์ชาติ ท่านไม่ใช่คนสูงโย่ง และไม่ใช่คนเตี้ย 

รายงานหะดีษโดย มุคอรี และมุสลิม

และได้มีผู้ถามท่าน บะรออุ  ร.ฎ. ว่า ใบหน้าของท่านนบี  ซ.ล. (ขาว) เหมือนดาบหรือ ท่านตอบว่า แต่เหมือนกับดวงจันทร์

รายงานหะดีษโดย มุคอรี และติรมิซี 

เล่าจากอะบีตุไฟล์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. และ ไม่มีใครสักคนในหน้าผืนแผ่นดิน (ขณะนี้) ได้แลเห็นท่านนอกจากข้าพเจ้า678 ได้มีผู้ถามเขาว่า ท่านได้เห็นเราะซูลุลลอห์ในสภาพอย่างไร เขาตอบว่า ข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบ  ซ.ล. มีผิวขาว งดงาม รูปร่างสูงปานกลาง

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

ในตัวบทของอะบู ดาวูดว่า ข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี  ซ.ล. มีผิวขาว งดงามเมื่อท่านเดินเหมือนกับลงจากที่ลาด ท่านญาบิร บินซะมุเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ปากกว้าง ตาโต ส้นเท้าทั้งสองข้างมีเนื้อน้อย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ไม่ใช่คนสูงและไม่ใช่คนเตี้ย มือและเท้าใหญ่ ศีรษะใหญ่ ข้อกระดูกใหญ่ ขนหน้าอกยาว เมื่อท่านเดิน จะเอนลำตัวจริงๆ จังๆ เหมือนเดินลงจากที่ลาด ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นใครเหมือนกับท่านทั้งก่อนและหลังจากท่าน

และได้ปรากฏว่า อะลี  ร.ฎ. ขณะที่ได้พรรณาลักษณะของท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ไม่ใช่คนสูงชะลูด และไม่ใช่เตี้ยม่อต้อ และปรากฏว่าท่านนบีสูงปานกลาง ไม่ใช่ผมหยิกติดศีรษะ และไม่ใช่ผมยืดตรงท่านไม่ใช่คนอ้วน ไม่ใช่เป็นคนร่างเล็ก และใบหน้าของ ท่านกลม ผิวขาวอมแดง ขณะเดินท่านจะเคลื่อนตัวเหมือนกำลังเดินอยู่ในทางลาด และเมื่อ ท่านหันจะหันหมดทั้งตัว ระหว่างไหล่ทั้งสองท่านมีตราประทับของการเป็นนบี คือ ตราประทับว่าเป็นนบีสุดท้าย ท่านเป็นคนใจบุญเป็นคนมีใจคอกว้างขวาง เป็นคนมีวาจาสัตย์ เป็น คนที่มีความสุภาพ เป็นคนที่มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ผู้ใดเห็นท่านโดยบังเอิญจะตกใจกลัว ผู้ใดรู้จักคุ้นเคยกับท่านจะรักท่าน ผู้พรรณาลักษณะของท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นผู้ใด เหมือนกับท่าน ทั้งก่อนและหลังจากท่าน

อะบู ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นสิ่งใดสวยงามยิ่งกว่า ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ในท่าเดินของท่าน เหมือนกับพื้นแผ่นดิน พับระยะทางให้แก่ท่าน แท้จริงพวก เราต้องเหน็ดเหนื่อย (ในการเดินติดตามท่าน) โดยที่ท่านไม่ได้สะทกสะท้านเลย 

รายงานหะดีษทั้งสามโดยติรมิซี

ผมของท่านนบี  ซ.ล.

เล่าจากกอตาดะห์  ร.ฎ. ว่าข้าพเจ้าได้ถามอะนัสว่า ผมของท่านนบี  ซ.ล. เป็นอย่างโร เขาตอบว่า ผมของท่านยืดไม่ใช่หยิกและไม่ใช่ยืตตรง อยู่ระหว่างหูทั้งสองของท่าน กับบ่าของ ท่าน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์นั้นผมของท่านเคยเรี่ยไหล่ทั้งสองข้างของท่าน และในบางรายงานว่า ถึงกลางใบหูทั้งสองข้างของท่าน และในอีกรายงานหนึ่งว่า ยาวถึงติ่งหูทั้งสองข้างของท่าน[46] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี 

เล่าจากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าพวกที่ศรัทธาในคัมภีร์นั้น จะปล่อย ผมของพวกเขาให้ห้อยสยาย ส่วนพวกที่ตั้งภาคีจะหวีผมแสก และท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ชอบที่จะปฏิบัติสอดคล้องกับพวกศรัทธาในคัมภีร์ปฏิบัติในเรื่องที่ไม่มีคำสั่งให้เป็นภาระเฉพาะ ท่านได้ปล่อยผมที่ขม่อมของท่านให้ห้อยสยาย และได้หวีผมแสกในภายหลัง[47] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากญาบิร บิน ซะมุเราะห์  ร.ฎ. ว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. มี ผมหงอกแซมอยู่กับผมดำ เมื่อท่านใส่นํ้ามันผมหงอกจะไม่ปรากฏให้เห็น เมือผมท่านยุ่งผมหงอภจะปรากฏให้เห็น และปรากฏว่าเคราของท่านดก ไดัมีผู้ชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า ใบหน้าของท่าน เหมือนดาบ[48] ท่านญาบิรกล่าวว่า แต่ใบหน้าของท่านเหมือนตะวันหรือดวงจันทร์ และใบหน้า ของท่านกลม รายงานโดยมุสลิม

กลิ่นกายของท่านนบี  ซ.ล.

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจัาไม่เคยได้ดมกลิ่นอำพันทอง และกลิ่นชมดเข้ยง และกลิ่นใด ลุ เลยที่จะมีภลิ่นหองJยิ่งภว่ากลิ่นกายของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. และข้าพเจัา ไม่เคยได้สัมผัสสิ่งใดเลย ทั้งผ้าไหมเส้นใหญ่และผ้าไหมธรรมดา ที่ให้ความสัมผัสนิ่มนวลยิ่งกว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอะบี ยุไฮฟะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ออกไปในขณะที่แดดกำลังร้อนจัด ไปยังบัดฮาอฺ ต่อมาท่านได้อาบนํ้าละหมาด และได้ละหมาด จากนั้นประชาชน ได้พากันลุกขึ้นยืนจับมือทั้งสองของท่านเอาไปลูบที่ใบหน้าของพวกเขาและข้าพเจ้าได้จับมือของท่าน เอามาวางไว้ที่ใบหน้าของข้าพเจ้าทันใดนั้น (ข้าพเจ้าได้พบว่า) มือของท่านเย็นยิ่งกว่านํ้าแข็ง และมีกลิ่นหอมยิ่งกว่าชมดเชียง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ญาบิร บิน ซะมุเราะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ละหมาดพร้อมกับท่านนบี  ซ.ล. เป็น ละหมาดแรก[49] หลังจากนั้นท่านได้ออกไปหาครอบครัวของท่าน ข้าพเจ้าก็ได้ออกไปพร้อมกับ ท่าน เด็กๆ ได้พากันต้อนรับท่าน ท่านได้ลูบแก้มทั้งสองข้างของเด็กคนหนึ่งจากเด็กๆ เหล่านั้น ที่ละคนที่ละคน ส่วนข้าพเจ้าท่านก็ได้ลูบแก้มของข้าพเจ้า ญาบิรได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พบว่ามือ ของท่านเย็นและมีกลิ่นคล้ายกับท่านเพิงชักมือออกมาจากภาชนะใส่นํ้าหอมของพ่อค้าเครื่องหอม

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้เข้ามาหาพวกเราและท่านได้นอน พักผ่อนในเวลากลางวันที่พวกเรา เหงื่อของท่านไหลออกมา มารดาของข้าพเจ้าจึงได้นำขวดมา ใบหนึ่งและได้รองเหงื่อเก็บไวในขวดนั้น ท่านนบี  ซ.ล. ได้ตื่นนอนขึ้น ท่านได้กล่าวว่า โอ้ อุมมุ สุไลม์ เธอทำอะไรอย่างนี้ มารดาของข้าพเจ้าตอบว่า นี่คือเหงื่อของท่านเราจะนำมันไป ใส่ในเครื่องหอมของเรา เพราะมันมีกลิ่นหอมดีที่สุดแห่งบรรดาเครื่องหอมทั้งหลาย 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม 

คำพูดของท่านนบี  ซ.ล.

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ไม่เคยพูดลิ้นรัว เหมือนอย่างที่พวกท่านพูดลิ้นรัว

รายงานโดยบุคอรี มุสลิม และติรมีซี

และติรมีซีได้รายงานเพิ่มเติม ว่า แต่ท่านจะพูดด้วยคำพูดทิ่มีจังหวะหยุดขั้นระหว่างคำพูดนั้น ซึ่งบุคคลที่นั่งสนทนาด้วยจะ สามารกจดจำได้

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล. เคยพูดเรืองหนึ่ง หากจะมีคนนับคำพูดของท่านก็สามารถนับได้หมด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบู ดาวูด

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่าปรากฏว่าคำพูดของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.นั้นเป็นคำพูดมีจังหวะ และพูดเนิบๆ 

รายงานโดยหะดีษทั้งสองโดยอะมุดาวูด ในเรื่องมรรยาท

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. เคยยำคำๆ หนึ่ง ถึงสามครั้ง เพิ่อได้รับความเข้าใจจากคำนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะห์มัด

การหัวเราะของท่านนบี  ซ.ล.

ได้มีผู้ถามญาบิร บิน ซะมุเราะห์  ร.ฎ. ว่าท่านเคยนั่งร่วมอยู่กับท่านนบี  ซ.ล. ไหมุ เขาตอบว่า เคย ส่วนมากท่านจะไม่ลุกขึ้นจากที่ที่ท่านได้ละหมาด ซุบฮ์ จนกระทั่งตะวันขึ้น เมื่อตะวันขึ้นท่านก็จะลุกขึ้น โดยที่พวกอัครสาวกกำลังพูดคุยกันอยู่[50] พวกเขาจะนำเอาเรือง ในสมัยญาฮิลียะห์มา (พูดคุยกัน) และหัวเราะกัน และท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ก็จะยิ้ม 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม

และเล่าจากเขา (ญาบิร) ได้กล่าวว่า ได้ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. จะหยุดนิ่ง อยู่เป็นเวลานาน ๆ[51] หัวเราะน้อย 

รายงานหะดีษโดยอิหม่ามอะห์มัด

และเล่าจากเขา (ญาบิร) ได้กล่าวว่า น่องของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ทั้งสองข้าง เรียว ท่านจะไม่หัวเราะนอกจากยิ้ม และเมื่อท่านมองไปยังท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านจะต้อง กล่าวว่า ตาทั้งสองข้างของท่านทายาตาทั้งๆ ที่ไม่ได้ทายาตาเลย

เล่าจากอับดิลลาห์ บิน อัลฮาริษ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นใครยิ้มเก่งกว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยดิรมิซี

การนอนของท่านนบ  ซ.ล.

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. เขาได้พูดคุยให้พวกเราฟังถึงคืนที่ท่านนบี  ซ.ล. ถูกพาออก เดินทางในเวลากลางคืน (อิสรออุ) จากมัสยิดแห่งวิหารกะอะบะห์ ได้มีชายสามคนมาหาท่าน ก่อนที่จะมีวะฮีย์ มายังท่าน[52] ขณะที่ท่านกำลังนอนหลับอยู่ในมัสยิดหะรอม[53] ชายคนแรก ได้กล่าวว่า คนไหนคือเขา คนกลางตอบว่า คือคนที่ดีที่สุด และคนสุดท้ายได้กล่าวว่าพวกท่านจงเอาคนที่ดีที่สุดของพวกเขาเรื่องนี่มือยู่เท่านี้ ท่านนบีไม่เห็นพวกเขา จนกระทั่งพวกเขา ได้มาอีกคืนหนึ่งตามที่หัวใจของท่านแลเห็น ท่านนบี  ซ.ล. นั้นดวงตาทั้งสองข้างของท่านหลับ แต่หัวใจของท่านไม่หลับ และบรรดานบีทั้งหลายก็เช่นกัน ดวงตาของพวกเขาจะหลับแต่หัวใจของพวกเขาไม่หลับ ญิบรีลได้มุ่งมาหาท่านนบี และได้นำท่านขึ้นสู่ฟากฟ้า

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ว่าข้าพเจ้าได้พูดขึ้นว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ท่านวะนอนก่อนที่ท่านจะละหมาดวิตร์ ท่านตอบว่า ดวงตาของฉันหลับแต่ใจของฉันไม่หลับ 

รายงานหะดมทั้งสองโดยบุคอรี และมุสลิม

การผ่าอกของท่านนบี  ซ.ล.

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ญิบรีลได้มาหาท่านขณะที่ ท่านกำลังเล่นอยู่กับเพื่อนเด็กๆ ญิบรีลได้จับท่านนอนลง                                 และได้ผ่าเพื่อเอาหัวใจของท่าน ญิบรีลได้จับเอาหัวใจของท่านออกมาและได้เอาเลือดก้อนหนึ่งออคจากหัวใจขอ3ท่าน พร้อมทั้ง กล่าวว่า นี้เป็นส่วนของชัยฏอน (มารร้าย) จากตัวท่าน หลังจากนั้นญิบรีลได้ล้างหัวใจของท่าน นบีในอ่างทองคำด้วยนํ้า ซัมซัม หลังจากนั้นจึงได้ประกบเข้าด้วยกันและได้นำกลับไปไว้ที่เดิม พวกเด็กๆ ได้พยายามมาหามารดาของท่านนบี หมายถึงแม่นมของท่าน[54] แล้วพากันบอกว่า แท้จริงมุฮัมมัดถูกฆ่าเสียแล้ว พวกเขาจึงพากันมายังท่านนบี ในสภาพที่ท่านตัวซีด ท่านอะนัส ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เคยเห็นรอยเย็บนั้นที่หน้าอกของท่านนบี  ซ.ล.

 รายงานหะดีษโดยมุสลิม  ในเรื่องเมียะอ์รอจ

ตอนที่สาม

จริยธรรมของท่านนบี  ซ.ล.

เล่าจากอะบี สะอีด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล. มีความอายยิ่งกว่า หญิงสาว ที่อยู่ในผ้าคลุมของหล่อน และได้ปรากฏว่าเมื่อท่านรังเกียจสิ่งใดพวกเราจะรู้ได้ใน สีหน้าของท่านและในสายรายงานหนึ่งว่า ท่านนบี  ซ.ล. ไม่ใช่คนลามก และพูดสิ่งลามกและ ท่านได้กล่าวว่า แท้จริงคนที่ดีที่สุด ของพวกท่าน คือ คนที่มีมรรยาทดีที่สุดในหมู่พวกท่าน นั่นเอง

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม

และในบางรายงานว่า ปรากฏว่าท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. เป็นผู้มีมรรยาทดีที่สุดในมวลมนุษย์

ตัวบทของบุคอรี และดิรมีซิ ว่า ท่านนบี  ซ.ล. ไม่เคยตำหนิอาหารเลยถ้าท่านชอบ ท่านก็รับประทาน และถ้าท่านไม่ชอบ ท่านก็ปล่อยไว้

เล่าจาก อะตออฺ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ อับดุลเลาะห์ บิน อัมร ว่าจงบอกข้าพเจ้าถึงลักษณะของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ที่ระบุอยู่ในคัมภีร์เตาร๊อต เขา ตอบว่า ได้ซิ สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า แท้จริงท่านได้ถูกพรรณนาลักษณะไว้ในคัมภีร์เตาร๊อต ด้วย ลักษณะบางประการทิ่มีอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน โอ้ นบี แท้จริงเราได้ส่งท่านมาเป็นพยาน[55] เป็นผู้แจ้งข่าวดี เป็นผู้แจ้งข่าวร้าย เป็นผู้ปกป้องชนชาติที่ไม่รู้หนังสอ ท่านเป็นปาวของเรา เป็นทูตประกาศศาสนาของเรา เราตั้งนามท่านว่า ผู้มอบหมาย ไม่ใช่เป็นผู้มีนิสัยทราม  ไม่ใช่คนที่มีใจแข็งกระด้าง ไม่ใช่คนที่ส่งเสียงดังตามตลาด ท่านจะไม่ต้านความชั่วด้วยความชั่ว แต่ท่านจะอภัยและไม่ลงโทษ อัลลอฮ์จะไม่เก็บชีวิตของท่านจนกว่าอัลลอฮ์จะให้ศาสนาที่คดงอ[56] นั้นตรงด้วยตัวท่านโดย ประชาชนจะกล่าวว่าไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะ นอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น และด้วยคำ (ปฏิญาณ)นี้ อัลเลาะหจะเปิดดวงตาที่บอด. เปิดหูที่หนวก เปิดหัวใจที่มืดมิด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ไม่เคยถูกขอสิ่งใดเลยที่ ท่านจะกล่าว (ปฏิเสธ) ว่า ไม่

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งได้ขอฝูงแกะที่อยู่ (เต็ม) ระหว่างหุบเขาสองลูก จากท่านนบี  ซ.ล. ท่านได้ให้มันแก่ชายผู้นั้น ต่อมาผู้ชายคนนั้นได้มายังพวกพ้องของเขาแล้ว ได้พูดขึ้นว่า โอ้พวกพ้องของข้าพเจ้า พวกท่านจงเข้านับถือศาสนาอิสลามเถิด ขอสาบานต่อ อัลเลาะห์ว่า แท้จริงมุฮัมมัดจะให้ของรางวัล โดยที่เขาไม่กลัวความยากจน[57] อะนัสได้กล่าวว่าถ้าหากผู้ชายคนนั้นจะเข้ามานับถือศาสนาอิสลาม โดยเขาไม่ปรารกนาสิ่งใดนอกจากโลกนี้ ดังนั้น เขากจะยังไม่ได้เข้านับถือศาสนาอิสลามอย่างแท้จริงจนกว่าอิสลามจะเป็นที่รักของเขายิ่งกว่าโลกนี้ และสิ่งที่อยู่ในโลกนี้ ซอฟวาน บิน อุไมยะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า แท้ จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ให้แก่ข้าพเจ้าสิ่งที่ท่านได้ให้ในสงคราม ฮุนัยน์[58] ความ จริงแล้วท่านเป็นคนที่ข้าพเจ้าโกรธมากที่สุด แต่ท่านได้ให้ข้าพเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่ง ท่านกลายเป็นคนที่ข้าพเจ้ารักมากที่สุด

รายงานหะดีษทั้งสามโดยมุสลิม

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์เป็นคนดีที่สุดแห่งมวลมนุษย์ ใจ บุญที่สุดแห่งมวลมนุษย์ และเป็นคนที่กล้าหาญที่สุดแห่งมวลมนุษย์ ชาวนครมะดีนะห์ได้เกิด ตระหนกตกใจขึ้นในวันหนึ่ง ผู้คนพากันออกไปทางทิศของเสียงนั้น ต่อมาท่านนบี  ซ.ล. ได้ พบกับพวกเขาขณะที่ท่านกำลังกลับ โดยท่านได้ไปยังเสียงนั้นก่อนพวกเขา ท่านอยู่บนหลังม้า ที่ไม่มีอานของอะบี ตอลฮะห์ ที่คอของท่านมีดาบสะพายอยู่ ท่านกล่าวว่า พวกท่านไม่ต้องตกใจ พวกท่านไม่ต้องตกใจ[59] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า เมื่อท่านนบี  ซ.ล. ได้เข้ามายังนครมะดีนะห์ อะบูตอลฮะห[60] ได้จับมือของข้าพเจ้าไปหาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. อะบูตอลฮะห์ได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ แท้จริงอะนัสเป็นเด็กฉลาด จงให้เขารับใช้ท่าน อะนัสได้กล่าวว่า ข้าพเจ้า ได้รับใช้ท่านในขณะที่เดินทางและในขณะที่อยู่บ้าน เป็นเวลาสิบปี สาบานต่ออัลลอฮ์ท่าน ไม่เคยถามข้าพเจ้าในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำไปแล้วว่า ทำไมเจ้าจึงไม่ทำสิ่งนี้อย่างนี้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี 

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. เป็นคนที่มี จริยธรรมดีที่สุด ท่านได้ส่งข้าพเจ้าไปทำธุระอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ท่านว่า สาบาน ต่ออัลลอฮ์ข้าพเจ้าจะไม่ไป แต่ภายในใจของข้าพเจ้าบอกว่า ข้าพเจ้าจะต้องไปตามที่ท่าน เราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้มีบัญชา และข้าพเจ้าจึงได้ออกไปจนกระทั่งเดินผ่านเด็กๆ ซึ่งกำลัง เล่นกันอยู่ในตลาด                                       ต่อมาโดยไม่คาดคิดมาก่อนท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้มาจับต้นคอของข้าพเจ้าจากทางด้านหลัง ข้าพเจ้าได้หันไปมองเห็นท่านกำลังหัวเราะพร้อมทั้งได้กล่าวว่า โอ้ อุในส์ (อะนัสที่น่าสงสาร) เจ้าได้ไปตามที่เราได้สั่งเจ้าแล้วหรือ ข้าพเจ้าตอบว่า ครับ ข้าพเจ้ากำลังจะไป โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ว่าแล้วข้าพเจ้าก็ไป 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม และอะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นใครจะมีความเมตตาต่อครอบครัว ยิ่งไปกว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. อะนัสได้กล่าวว่าปรากฏว่า อิบรอฮีมเป็นเด็กยังดื่มนมอาศัยอยู่ (กับครอบครัวหนึ่ง) ที่ชานนครมะดีนะห ต่อมาท่านนบี (ได้ไปเยี่ยม) และ พวกเราได้ไปกับท่านด้วยท่านได้เข้าไปในบ้าน และภายในบ้านเต็มไปด้วยควันไฟ เพราะปรากฏว่า สามีของแม่นม (อิบรอฮีม) นั้นเป็นช่างเหล็ก ท่านได้จับอิบรอฮีมขึ้น มาจูบ หลังจากนั้นท่าน ก็กลับ เมื่ออิบรอฮีมเสียชีวิต ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอิบรอฮีมเป็น บุตรของข้าพเจ้า เขาเสียชีวิตในวัยดื่มนม และแท้จริงเขาจะมีแม่นมสองคนจะทำหน้าที่ให้นม เขาจนครบกำหนดในสวรรค์

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้เห็นอิบรอฮีมขณะกำลังอยู่ใน อาการใกล้ตายอยู่ต่อหน้าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ดวงตาทั้งสองข้างของท่านนองด้วยนํ้าตา ท่านได้กล่าวว่า ดวงตากำลังร้องไห้ หัวใจกำลังเศร้าหมองแต่เราจะไม่พูดอะไรนอกจากสิ่งที่ พระผู้อภิบาลของเราพอพระทัย สาบานต่ออัลลอฮ์โอ้อิบรอฮีมเอ๋ยแท้จริงเรากำลังเศร้าหมองเพราะเจ้า 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยบุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. มีทาสคนหนึ่งเสียงดี ชื่อ อันยะชะห์ ท่านนบี  ซ.ล. เดินผ่านเขาขณะที่กำลังไล่ต้อนอูฐพร้อมด้วยภรรยาที่ดีหลายคน (ของท่าน) ท่านได้กล่าวแก่เขาว่า ช้าๆ โอ้อันยะชะห์ ท่านอย่าทำให้ขวดแตก 

           รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. เมื่อท่านได้ ละหมาด ซุบฮ์ เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีคนรับใช้ในนครมะดีนะห์นำภาชนะที่มีนํ้าของพวกเขามา ไม่มีภาชนะใดที่ถูกนำมานอกจากท่านจะจุ่มมือลงไป และบางครั้งพวกเขาได้นำามาใน เวลาเช้าที่หนาวเย็น ท่านก็จะจุ่มมือของท่านลงในภาชนะเหล่านั้น

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ในขณะ ที่ช้างโกนศีรษะกำลังโกนศีรษะท่าน และบรรดาสาวกของท่านไตัวนอยู่รอบตัวท่าน โดยพวก เขาไม่ต้องการให้ผมสักเส้นเดียวหล่นนอกจากหล่นอยู่ในมือของใครคนหนึ่ง697

และเล่าจากเขา (อะนัส) ว่า มีผู้หญิงคนหนึ่ง ปรากฏว่าในสติปัญญาของหล่อนนั้นมี สิ่งหนึ่ง (คือมีสติไม่สมบูรณ์) หล่อนได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูล้ลเลาะห์ข้าพเจ้ามีธุระกับท่าน อย่างหนึ่ง ท่านได้กล่าวว่า โอ้มารดาของคนนั้น (พร้อมกับระบุซือ) เธอจงดูเกิดว่าทางใดที่ เธอต้องการไป จนกว่าข้าพเจ้าจะทำธุระให้เธอเสร็จ ท่านนบีได้อยู่กับหล่อนตามลำฟังในเส้น ทางบางเส้น จนกระที่งหล่อนเสร็จธุระของหล่อน698 รายงานโดยห!!ดแทั้งสามนโดย มุสติม

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ไม่ได้ถูกให้เลือกระหว่าง งานสองเน ซึ่งเนหนึ่งง่ายกว่าอีกเนหนึ่งนอกจากท่านจะเลือกเอางานที่ง่ายนั้น ตราบใดเมื่อ มันไม่เป็นบาป และถ้าหากมันเป็นบาปท่านจะเป็นบุคคลที่ออกห่างมากที่สุด และท่านเราะซูลุลลอฮ์จะไม่มีความเคียดแค้นเพราะตัวท่าน นอกจากเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของอัลลอฮ์ ซึ่งยิ่งใหญ่และเกรียงไกรถูกทำลาย 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ไม่เคยเฆี่ยนตี สิ่งใดด้วยมือของท่านเลย ไม่ว่าจะเป็นภรรยา และคนรับใช้นอกจากในยามที่ท่านออกทำสงคราม ในวิถีทางอัลลอฮ์ และไม่เคยมีสิ่งใดที่ได้ ประสพกับท่านเลย ที่ท่านจะมีความเคียดแค้น ผู้ที่กระทำต่อท่าน นอกจากจะมีสิ่งหนึ่งจากความศักดิ์สิทธิ์ของอัลลอฮ์ถูกทำลาย นั่นแหละ ท่านจึงจะเคียดแค้นเพื่ออัลลอฮ์ ซึ่งยิ่งใหญ่และเกรียงไกร 

รายงานโดยมุสลิมและอะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อะอิชะห์) ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ทำงานชิ้นหนึ่ง ต่อมาท่านได้ผ่อนปรนให้ในงานชิ้นนั้น[61] และมันได้ล่วงรู้ไปถึงอัครสาวกกลุ่มหนึ่งของท่าน พวกเขาไม่ชอบมันและปลีกตัวจากมัน[62] การทำเช่นนั้นได้ล่วงไปถึงท่านนบี ท่านจึงได้ลุกขึ้น ยืนแสดงสุนทรพจน์โดยท่านได้กล่าวว่า จะเป็นอย่างไรบ้าง พวกที่เขาได้ข่าวว่าข้าพเจ้าทำงาน ชิ้นหนึ่ง และได้ยอมผ่อนปรนให้ในงานชิ้นนั้น พวกเขารังเกียจมันและได้ปลีกตัวออกจากมัน สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ข้าพเจ้ารู้จักอัลลอฮ์มากที่สุดในมวลมนุษย์ และเกรงกลัวอัลเลาะห์มากที่สุดในหมู่พวกเขา 

รายงานโดยมุสลิม

ความสงสารของท่านนบี  ซ.ล. ที่มีต่อประชากร

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า โดยแท้จริงได้มีศาสนทูตหนึ่งจากเผ่าพันธุ์เดียวกันกับพวก ท่านได้มายังพวกท่าน เขามีความกังวลในสิ่งที่พวกท่านทุกข์ร้อน เขามีความหวังดีต่อพวกท่าน อีกทั้งมีเมตตาปรานี แก่บรรดาศรัทธาชน

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า นบีทุกท่านมีคำขอ (ดุอาอุ) หนึ่ง ที่ถูกตอบสนอง และนบีทุกท่านได้ใช้คำขอนั่นไปแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังเก็บคำขอ ของข้าพเจ้าไว้ เพื่อช่วยเหลือประชากรของข้าพเจ้าในวันกิยามะห์ และมันจะต้องได้  ถ้าหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์แก่บุคคลที่เสียชีวิตจากประชากรของข้าพเจ้าที่เขาไม่ได้นำสิ่งใดตั้งภาคีกับอัลลอฮ์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาห์ บินอัมร์  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้อ่านพระดำรัสของ อัลลอฮ์ที่เป็นดำพูดของอิบรอฮีมว่า      โอ้พระผู้อภิบาลของข้าฯ แท้จริงรูปปั้นเหล่านั้นได้ทำให้ส่วนมากของประชาชนหลงผิด ดังนั้นผู้ใดปฏิบัติตามข้าพเจ้า เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า และผู้ใดฝ่าฝืนข้าพเจ้าแท้จริงพระองค์ท่านทรงอภัยยิ่งทรงเมตตายิ่ง และอีซา อ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากพระองค์ท่านลงโทษพวกเขาความจริงพวกเขาก็เป็นบ่าวของพระองค์ท่าน และถ้าหากพระองค์ท่านอภัยให้แก่พวกเขาแท้จริงพระองค์ท่านก็คือผู้พิชิตยิ่งผู้เชี่ยวชาญยิ่ง ท่านนบีได้ยกมือทั้งสองของท่านขึ้นแล้วกล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ ประชากรของข้าพเจ้า ประชากรของข้าพเจ้า แล้วท่านก็ร้องไห้ ต่อมาพระองค์อัลลอฮ์ ซึ่งทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ได้กล่าวว่า โอ้ญิบรีล ท่านจงไปหามุฮัมมัด โดยพระผู้อภิบาลของท่านทรงทราบดีแล้ว ท่านจงถามเขาว่า อะไรทำให้ท่านร้องไห้ ญิบรีล อ.ล. จึงได้มาหาท่านนบี และได้ถามท่าน (ด้วยคำถามนั้น) ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้บอกแก่ญิบรีลตามที่ท่านได้กล่าวและท่านก็ทราบดี พระองค์อัลลอฮ์ได้ตรัสว่า โอ้ญิบรีลจงไปหามุฮัมมัดและกล่าวว่า แท้จริงเราจะให้ท่านพอใจ ในประชากรของท่าน และเราจะไม่ทำให้ท่านต้องพบกับสิ่งเลวร้าย

เล่าจากอะบี มูซา  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ตาอาลา เมื่อพระองค์ต้องการแสดงความเมตตาต่อประชากรหนึ่งประชากรใด จากบ่าวของพระองค์พระองค์จะเก็บชีวิตนบีของประชากรนั้นไปก่อน และพระองค์จะบันดาลให้นบีนั้นเป็นมิ่งขวัญ และล่วงหน้าไปรอประชากรนั้น และเมื่อพระองค์ต้องการทำลายประชากรใด ท่านจะลงโทษ ประชากรนั้น โดยที่นบีของประชากรนั้นยังมีชีวิตอยู่ พระองค์ก็จะทำลายประชากรนั้นโดยนบี นั้นจะมองดูและพระองค์จะทำให้นบีนั้นสบายใจด้วยการทำลายประชากรนั้น ขณะที่ประชากร นั้นได้กล่าวหาว่านบีโกหกและฝ่าฝืนคำสั่งของนบี[63] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม ในภาคการ ศรัทธา

ตอนที่สี่ เครื่องหมายการเป็นน]นของท่านนบี  ซ.ล. 552

ตราประทับตำแหน่งนบี

เล่าจากซาอิบ บิน ยะซีด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า น้าสาวของข้าพเจ้าได้พาข้าพเจ้าไปพบกับท่านนบี  ซ.ล. และนางได้กล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอห์ แท้จริงถูกชายน้องสาวของข้าพเจ้ามีอาการเจ็บปวด ท่านจึงได้ลูบศีรษะของข้าพเจ้าและได้ขอความเป็นสิริมงคลให้แก่ข้าพเจ้า                                     หลังจากนั้นท่านได้อาบนํ้าละหมาดและต่อมาข้าพเจ้าได้ดื่มนํ้าที่ใช้อาบนํ้าละหมาดของท่าน จากนั้นข้าพเจ้าได้ลุกขึ้นยืนอยู่เบื้องหลังของท่าน ข้าพเจ้าได้มองไปยังตราประทับของท่านที่อยู่ระหว่างไหล่ทั้งสองข้างของท่าน มีขนาดเท่ากระดุมของกระโจม[64] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากญาบิร บิน ซะมุเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นตราประทับดวงหนึ่ง ที่แผ่นหลังของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. มีขนาดเท่ากับไข่นกพิราบ 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม ติรมีซี และตัวบทของติรมีซีว่าปรากฏว่าตราประทับของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ซึ่งอยู่ระหว่าง ไหล่ทั้งสองของท่านนั้นเป็นปุมสีแดงเท่ากับไข่นกพิราบ

เล่าจากอาซิม จากอับดิ้ลลาห์ บิน ซัรยิส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี  ซ.ล. และข้าพเจ้าได้รับประทานขนมปังกับเนื้อ หรือเขาได้กล่าวว่า ซะรีด พร้อมกับท่าน อาซิมได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่เขาว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ขออภัยโทษให้ท่านใช่ไหม เขา ตอบว่าใช่ และได้ขออภัยโทษให้แก่ท่านด้วย หลังจากนั้น อับดิลลาห์ได้อ่านโองการนื้คือ โอ้มุฮัมมัดท่านจงขออภัยโทษสำหรับบาปของท่าน และของมวลผู้ศรัทธาทั้งชายหญิง อับ­ดิลลาห์ได้กล่าวว่า ต่อมาข้าพเจ้าได้เดินอ้อมไปทางด้านหลังของท่านนบี และข้าพเจ้าได้มอง ไปที่ตราประทับตำแหน่งนบีที่อยู่ระหว่างไหล่ทั้งสองข้างของท่าน ค่อนไปทางเนินไหล่ซ้ายของท่านปูดขึ้นมาเหมือนกำมือมีปุ่มเล็ก ๆ อยู่บนนั้นคล้ายเม็ดที่งอกขึ้นมา[65] 

รายงานโดยมุสลิม

การบอกข่าวของนักบวชในศาสนาคริสต์ว่าท่านนบี  ซ.ล. เป็นศาสนทูต ก่อนที่ท่านจะถูกแต่งตั้ง

เล่าจากอะบี มูซา  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านอบู ตอลิบได้ออกเดินทางไปยังชาม โดยมีท่าน นบี  ซ.ล. ร่วมไปด้วยในท่ามกลางผู้อาวุโสของเผ่ากุเรช เมื่อพวกเขาได้ขึ้นมาถึงนักบวชคนนั้น[66] พวกเขาได้ลงและตั้งที่พัก ต่อมานักบวชผู้นั้นได้ออกมาหาพวกเขา ซึ่งแต่ก่อนนั้นพวกเขาจะ เดินทางผ่านนักบวชไปโดยนักบวชจะไม่ออกมาและไม่มองพวกเขา นักบวชผู้นั้นได้มาขณะที่พวกเขากำลังอยู่ในที่พัก นักบวชผู้นั้นได้มองอย่างค้นหาพวกเขา จนในที่สุดเขาได้มาคว้ามือ ของท่านนบี  ซ.ล. พร้อมกับกล่าวว่า นี่คือผู้นำแห่งชาวโลก นี่คือทูตของพระผู้อภิบาลแห่ง ชาวโลก ซึ่งอัลลอฮ์จะทรงแต่งตั้งเขาเพื่อเป็นความเมตตาแก่ชาวโลกได้มีผู้อาวุโสจากเผ่ากุเรซ

หลายคนได้ถามนักบวชคนนั้นว่า ท่านทราบได้อย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี่ นักบวชตอบว่า แท้จริง ขณะที่พวกท่านขึ้นภูเขา อะกอบะห์ จะไม่มีต้นไม้ใดและหินก้อนใดนอกจากมันจะทรุดตัวลง สุหญูด[67] และมันทั้งสองจะไม่สุหญูด นอกจากสุหญูดให้แก่ผู้เป็นนบี และความจริงข้าพเจ้ารู้ว่า เขาเป็นนบีก็ด้วยตราประทับตำแหน่งนบี ที่อยู่ใต้กระดูกไหล่ของเขา มีขนาดเท่าผลแอบเปิล จากนั้นนักบวชก็ได้กลับที่พักและได้ทำอาหารมาให้พวกเขา (พวกกุเรช) เมื่อนักบวชได้นำอาหารมา ถึงพวกเขาปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล. กำลังอยู่ในทุ่งเลี้ยงอูฐ เขาได้กล่าวว่า พวกท่านจงส่งคน ไปตามตัวเขามา ท่านนบีได้มุ่งหน้ามาโดยมีเมฆปกคลุมให้ร่มเงาอยู่เหนือท่าน เมือท่านเข้ามา ใกล้คนพวกนั้น ท่านได้พบว่าพวกเขาได้ล่วงหน้าท่านไปยังร่มเงาของต้นไม้ต้นหนึ่ง เมือท่านนบี  ซ.ล. นั่งลงเงาของต้นไม่ได้เลื่อนมาเหนือท่าน นักบวชจึงได้พูดขึ้นว่า ท่านทั้งหลายจงมองดู เงาของต้นไม่ได้เอนไปเหนือเขา ผู้เล่าได้กล่าวว่าขณะที่นักบวชยืนขึ้นท่ามกลางพวกกุเรช เขาได้ขอร้อง พวกกุเรชไม่ให้นำนบีเดินทางไปยัง อาณาจักรโรมันเพราะความจริงเมื่อพวกโรมัน เห็นนบีพวกเขาจะรู้จักนบีด้วยคุณลักษณะ และพวกเขาก็จะฆ่านบี จากนั้นนักบวชก็หันกลับที่พักบังเอิญได้มีบุคคลเจ็ดคนเดินทางมาจากอาณาจักรโรมัน นักบวชจึงให้การต้อนรับพวกเขา นักบวชได้ถามขึ้นว่า อะไรที่ทำให้พวกท่านเดินทางมา พวกเขาตอบว่า ที่พวกเราเดินทางมาก็ เพราะแท้จริงนบีนี่[68] ได้เดินทางออกมาในเดือนนี่ ตังนั้นไม่มีทางสัญจรใดเหลืออยู่ นอกจากจะ ต้องส่งบุคคลกลุ่มหนึ่งไปติดตามหาเขา แท้จริงพวกเราได้รับคำบอกเล่ากึฟาวคราวของเขา พวก เราจึงถูกส่งมายังทางสัญจรของท่านนี่ นักบวชจึงถามว่า ข้างหลังพวกท่านมีใครสักคนไหมที่ดี กว่าพวกท่าน พวกเขาตอบว่า พวกเราที่ถูกคัดเลือกมานี่ เป็นคนที่ดีที่สุดเพื่อมายังทางสัญจรของท่านนี้ นักบวชกล่าวว่า พวกท่านจงบอกข้าพเจ้าเถิดว่า งานที่อัลลอฮ์ปรารถนาจะดำเนินการ ให้ลุล่วงจะมีมนุษย์คนใดไหมสามารกขัดขวางได้ พวกเขาตอบว่า ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้ ผู้เล่าได้ กล่าวว่า ต่อมาพวกโรมันเหล่านั้นได้ให้สัตยาบันแก่ท่านนบี[69]  และได้พำนักอยู่กับท่านนบี นัก บวชได้กล่าวว่าข้าพเจ้าขอร้องพวกท่านด้วยอัลลอฮ์ว่า ใครในหมู่พวกท่านที่เป็นผู้ปกครอง ของเขา (มุฮัมมัด) พวกเขาตอบว่า อะบู ตอลิบ นักบวชได้คงขอร้องอะบู ตอลิบจนกระทั่ง อะบู ตอลิบได้นำท่านนบีกลับ และอะบุบักร์ก็ได้ส่งบิลาลกลับมาพร้อมกับเขาด้วย และนักบวช ก็ได้เตรียมเสบียงเป็นขนมปังและน้ำมันให้แก่เขา 

รายงายโดยติรมิซี ด้วยด้วยสายรายงานที่หะซัน

ก้อนหินและต้นไม้กล่าวสลามแก่ท่านนบี  ซ.ล.

เล่าจากญาบิร บิน ซะมุเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าว ว่า ข้าพเจ้ารู้จักก้อนหินที่อยู่ ณ นครมักกะห์ที่เคยกล่าวสลามแก่ข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าจะถูก แต่งตั้งให้รับตำแหน่ง ความจริงข้าพเจ้ายังรู้จักมันจนถึงเดี๋ยวนี้ รายงานโดยมุสลิมและติรมีซี และ ตัวบทของติรมีซี แท้จริง ณ นครมักกะห์นั้น มีก้อนหินที่เคยกล่าวสลามแก่ข้าพเจ้าเป็นเวลาหลายคืนที่ข้าพเจ้าถูกแต่งตั้งแท้จริงข้าพเจ้ายังรู้จักมันจนถึงเดี๋ยวนี้

และอะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้อยู่กับท่านนบี  ซ.ล. ที่นครมักกะห์ต่อมาเรา ได้ออกไปตามชานนครมักกะห์บางแห่ง ไม่มีก้อนหินและต้นไม้ใดที่ได้พบกับท่านนอกจากมัน จะกล่าวว่าขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน โอ้ ศาสนทูตแห่งอัลเลาะห์[70] 

รายงานโดยติรมิซี

การบอกข่าวของญินและเสียงก้องในอากาศเกี่ยวกับท่าบบบี  ซ.ล.

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินท่านอุมัรพูดถึงสิ่งใดเลย โดย ข้าพเจ้าคิดว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนั้น นอกจากมันจะเป็นไปเช่นที่อุมัรได้พูดไว้[71] ขณะที่อุมัรกำลังนั่งอยู่ได้มีผู้ชายรูปงามคนหนึ่ง[72] เดินผ่านเขาไปอุมัร ได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าคาดผิดไป หรือแท้จริงชายคนนี้ยังอยู่ในศาสนาของเขาในยุคญาฮิลียะห์ หรือแท้จริงเขาเป็นโหรของพวกนั้น พวกท่านจงตามตัวชายคนนั้นมาหาข้าพเจ้า[73] ต่อมาชายคนนั้นได้ถูกเรียกตัวมาหา

อุมัรได้ลามเขาดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ชายผู้นั้นตอบว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นเหมือนเช่นวันนี้ที่ผู้ชาย มุสลิมถูกต้อนรับ[74] ท่านอุมัรได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าตั้งใจลงโทษท่านนอกจากท่านจะต้องเล่าให้ ข้าพเจ้าฟัง ชายผู้นั้นกล่าวว่าข้าพเจ้าเคยเป็นโหรของคนพวกนั้นในสมัยญาฮิลียะห์ อุมัรกล่าว ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ท่านชอบที่สุดจากสิ่งที่ ญินตัวเมีย715นำมาบอกแก่ท่าน เขาตอบว่า ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในตลาดในวันหนึ่ง ญินตัวเมียได้มาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้ว่ามันตกใจ เพราะมันได้กล่าว ว่าท่านไม่ได้มองดูญินและความกลัวของมันหรือ และความสิ้นหวังของมันหลังจากหัวของ มันคมำลง[75] และญินมันได้ตามมาทันเจ้าของอูฐ และสิ่งที่บรรทุกอยู่บนหลังอูฐ[76] อุมัรได้กล่องข้อความ: onกล่าวว่า ท่านพูดถูกแล้ว ในขณะที่ข้าพเจ้าอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา (รูปั้น) ได้มีผู้ชาย คนหนึ่งนำลูกวัวมาเชือด ต่อมาได้มีผู้รัองตะโกนขึ้นที่ถูกวัวนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินผู้ร้องตะโกน คนใดเลยที่มีเสียงรุนแรงกว่าผู้นี้ โดยตะโกนว่า โอ้ศัตรูของอัลลอฮ์ งานที่ได้รับชัยชนะ คือ ผู้ชายคนที่พูดจาฉะฉานว่าไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากอัลเลาะห์ ประชาชน พากันลุกขึ้นอย่างพรวดพราด ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าข้าพเจ้าจะต้องอยู่จนกว่าจะรู้สิ่งที่อยู่เบื้องหลัง ผู้ที่ตะโกนนี้ ภายหลังก็ได้ประกาศว่า โอ้ศัตรูของอัลลอฮ์ งานที่ได้รับชัยชนะคือ ผู้ชายที่พูด จาฉะฉานว่าไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากอัลลอฮ์ข้าพเจ้าได้ลุกขึ้นยืน ข้าพเจ้า ไม่ได้อยู่นานนอกจากมีเสียงกล่าวขึ้นว่า นี้คือ นบีที่ได้เผยโฉมออกมา (สู่มวลมนุษย์) รายงานโดย บุคอรี ในเรื่องความประเสริฐต่างๆ ในเรื่องการเข้านับถือศาสนาอิสลามของ อุมัร  ร.ฎ. (และขอให้พวกเราได้เข้ารวมอยู่ในกลุ่มของเขาด้วย อามีน)

ตอนที่ห้า วะฮีย์ ตำแหน่งนบี และตำแหน่งรอซูล

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่าและเช่นนั้นเราได้ดลจิตวิญญาณมายังท่านโดยบัญชาของเราเอง แต่เดิมท่านไม่เคยรู้มาก่อนว่าอะไรคือ คัมภีร์และอะไรคือศรัทธาแต่ทว่าเราได้บันดาลให้อัลกุรอาน นี้เป็นรัศมีที่เราใช้มันเป็นสิ่งชี้นำทาง แก่ผู้ที่เราประสงค์จากบรรดาบ่าวของเรา และแท้จริงท่าน จะชี้นำสู่แนวทางอันเที่ยงตรง เป็นแนวทางของอัลลอฮ์ซึ่งพระองค์ทรงสิทธิ ในสรรพสิ่งที่ มีอยู่ในฟากฟ้า และสรรพสิ่งในแผ่นดินพึงทราบเกิดบรรดาการงานทั้งปวงจะต้องกลับสู่อัลลอฮ์ อย่างแน่นอน

วะฮีย์ ลงมาที่ท่านนบี  ซ.ล. ในสภาพใด 556

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ว่าท่านฮาริษ บิน ฮิซาม ได้ถามท่านนบี  ซ.ล. ว่า วะฮีย์[77] มาหาท่านในสภาพอย่างไร ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ตอบว่า บางครั้ง วะฮีย์มายังข้าพเจ้าเหมือนเสียงกังวานของระฆัง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่รุนแรงเหนือข้าพเจ้าอย่างยิ่ง และต่อมามันก็หาย ไปจากข้าพเจ้า และความจริงข้าพเจ้าได้เอาใจใส่ตามที่เขา (ญิบรีล) กล่าว และบางครั้ง มีมะลาอิกะห์ แปลงร่างเป็นผู้ชายมาหาข้าพเจ้ามาพูดกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็จะเอาใจใส่ในสิ่งที่เขาพูด อาอิชะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นนบีขณะที่วะฮีย์กำลังลงมายังท่านในวันที่หนาวจัด หลังจากนั้นมัน ได้จากท่านไปในสภาพที่หน้าผากของท่านเต็มไปด้วยเหงื่อ 

รายงานโดยมุคอรมุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอุบาดะห์ บิน ซอมิต  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล. ขณะที่ วะฮีย์ถูกประทานลงมา จะปรากฏความรุนแรงให้เห็น และใบหน้าของท่านจะเปลียนสี

และเล่าจากเขา (อุบาดะห์) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่านบีของอัลเลาะห์  ซ.ล. เมื่อวะฮีย์ ได้ถูกประทานลงมายังท่าน ท่านจะก้มศีรษะลง และเหล่าสาวกของท่านก็จะก้มศีรษะของ พวกเขาลงเมื่อวะฮีย์ได้จากท่านไปท่านก็เงยศีรษะขึ้น 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม

การประทานวะฮีย์ครั้งแรกด้วยตำแหน่งนบีและรอซูล

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า วะฮีย์ครั้งแรกที่ได้เริ่ม แก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. คือฝันดี ในขณะนอนหลับ ปรากฏว่าท่านไม่เคยฝันใดๆ นอกจากจะมีมาตามนั้นดุจเดียวกับความสว่างแห่งแสงอรุณ[78] หลังจากนั้น ท่านรักที่จะอยู่ตามลำพัง และท่านได้ไปอยู่ตามลำพังในถ้ำฮิรออุ[79] และได้ ทำการภักดี อยู่ในถ้ำนั้นเป็นเวลาหลายวันหลายคืน ก่อนที่ท่านจะกลับมายังครอบครัวของท่าน และท่านได้เตรียมเสบียงไปเพื่อการนั้น ต่อมาภายหลังท่านได้กลับมาหาคอดิญะห์ (ภรรยาของ ท่าน) และได้เตรียมเสบียงไปอีกเหมือนเช่นเคยจนกระทั่งสัจจะธรรมได้มาสู่ท่าน ขณะที่ท่าน อยู่ในถ้ำฮิรออุ ได้มีมะลาอิกะห์มาหาท่านแล้วกล่าวว่า ท่านจงอ่าน ข้าพเจ้ากล่าวว่า ข้าพเจ้าอ่านไม่ เป็น ท่านได้เล่าว่าเขาได้จับตัวข้าพเจ้าและโอบกอดข้าพเจ้า จนข้าพเจ้าถึงขั้นอึดอัด ต่อมาเขา จึงได้ปล่อยข้าพเจ้าแล้วเขาก็กล่าวว่า ท่านจงอ่านข้าพเจ้ากล่าวว่าข้าพเจ้าอ่านไม่เป็นเขาได้จับตัว ข้าพเจ้าและโอบกอดข้าพเจ้าจนข้าพเจ้าถึงขั้นอึดอัด ต่อจากนั้นเขาก็ได้ปล่อยตัวข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า ท่านจงอ่านด้วยนามแห่งพระผู้อภิบาลของท่านซึ่งได้สร้าง พระองค์ได้สร้างมนุษย์จากก้อนเลือด ท่านจงอ่านและพระผู้อภิบาลของท่านนั้นสูงเกียรติยิ่ง ท่านนบี  ซ.ล. ได้นำโองการเหล่านี้กลับมาด้วยหัวใจที่สั่นระรัว และท่านได้เข้าไปหา คอดิญะห์ บุตรสาว คุไวลิด  ร.ฎ. ท่านได้กล่าวว่าท่านทั้งหลายจงห่มผ้าให้ฉัน จงห่มผ้าให้ฉัน พวกเขาจึงได้ห่มผ้าให้ท่าน จนความกลัว ของท่านหายไป ได้กล่าวแก่คอดิญะห์และได้บอกข่าวนั้นแก่นางว่าแท้จริงข้าพเจ้ากลัวอันตรายจะประสบกับตัวเอง      คอดิญะห์ได้กล่าวว่า จะไม่เป็นเช่นนั้นหรอก สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า พระองค์อัลลอฮ์จะไม่ให้ท่านตกต่ำตลอดกาล เพราะความจริงท่านติดต่อวงศ์ญาติท่านรับภาระ ในสิ่งที่ยากลำบากท่านแสวงหาสิ่งที่ไม่มี[80] ท่านให้การต้อนรับอาคันตุกะ และท่านช่วยเหลือ ในการแสวงหาความยุติธรรม คอดิญะห์จึงได้นำท่านนบีไปหา วะรอเกาะห์ บินเนาฟัล บิน อะสัด บิน อับดิ้ล อุซซา เป็นบุตรชายลุงของคอดิญะห์ เขาเป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์ในสมัยญาฮีลิยะห์ และเขาเคยเขียนคัมภีร์ภาษาอิบรอนีย์ เคยเขียนคัมภีร์อิลยีล เป็นภาษาอิบรอนีย์ตาม ที่พระองค์อัลลอฮ์ใครให้เขาเขียน และปรากฏว่าเขาเป็นชายชราที่ตาบอด ต่อมาคอดิญะห์ได้ กล่าวแก่เขาว่าโอ้บุตรชายลุงของข้าพเจ้า จงฟังเรื่องราวจากผู้เป็นบุตรพี่น้องของท่านเถิด วะรอเกาะห์จึงได้กล่าวแก่ท่านนบีว่า โอ้บุตรพี่น้องของข้าพเจ้าท่านเห็นอะไร ท่านรอซูลลุลเลาะห์  ซ.ล. จึงได้เล่าให้เขาฟังด้วยเรื่องราวที่ท่านได้เห็นมา วะรอเกาะห์ได้กล่าวแก่ท่านว่า นี้คือ นามูส[81] ซึ่งอัลลอฮ์ได้บัญชาให้ลงมาหามูซา โอ หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น ข้าพเจ้าต้องการเป็นชายหนุ่มที่บึกบึน หวังว่าข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่ เพราะพวกพ้องของท่านจะขับไล่ท่านออกไป ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกเขาจะขับไล่ข้าพเจ้าออกไปหรือ เขาตอบว่า ถูกต้อง แล้วไม่เคยมีใครสักคนเดียวที่ได้นำมา เหมือนสิ่งที่ท่านนำมานี้นอกจากจะถูกตั้งตัวเป็นศัตรู ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่จนถึงวันของท่าน ข้าพเจ้าจะต้องช่วยเหลือท่านอย่างจริงจัง หลังจาก นั้นอีกไม่นานวะรอเกาะห์ก็ได้เสียชีวิตและวะฮีย์ก็ขาดตอนลง

ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวขณะที่พูดถึงช่วงที่วะฮีย์ ขาดตอนโดยได้เล่าในหะดีษ ของเขา จากท่านนบี  ซ.ล. ว่า ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินอยู่ พลันก็ได้ยินเสียงมาจากฟากฟ้า ข้าพเจ้ายกสายตาขึ้น บังเอิญพบกับมาลาอิกะห์ ซึ่งได้เคยมาหาข้าพเจ้าที่ถ้ำฮิรออฺ กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ซึ่งอยู่ระหว่างฟากฟ้าและแผ่นดิน ข้าพเจ้าบังเกิดความกลัวมะลาอิกะห์นั้นจึงได้กลับไปและข้าพเจ้า ได้กล่าวว่า พวกท่านจงห่มผ้าให้ข้าพเจ้า พวกท่านจงห่มผ้าให้ข้าพเจ้า อัลลอฮ์ตาฮาลาจึงได้ ประทานโองการลงมาว่า“โอ้ผู้ที่ห่มผ้า ท่านจงยืนขึ้น และจงประกาศเตือนเกิด และเฉพาะองค์อภิบาลของท่านนั้น ท่านจงถวายความยิ่งใหญ่เถิด และเสื้อผ้าของท่านให้ท่านจงทำความสะอาดและความชั่วช้านั้นท่านจงออกห่างเถิด” ต่อมาวะฮีย์ก็ได้ลงมาเป็นจำนวนมากและติดต่อ กัน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากยะห์ยา  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามอะบาชะลามะห์ว่า โองการใดจาก อัลกรอาน ถูกประทานลงมาก่อน เขาตอบว่าคือ “ยาอัยยุฮั้ลมุดดัซซิร” ข้าพเจ้ากล่าวว่า หรือว่าคือ “อิกเราะอุ” เขากล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามญาบิร บิน อับดุลเลาะห์ว่า โองการใดจากอัลกรอาน ถูกประทานลงมาก่อน เขาตอบว่า “ยาอัยยุฮั้ลมุดดัซซิร” ข้าพเจ้ากล่าวว่า หรือว่า คือ “อิกเราะอุ” ญาบิรได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะบอกท่านด้วยสิ่งที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. เล่าแก่พวกเราโดยได้ กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พักอยู่ในถ้ำฮิรออุ เป็นเวลาหนึ่งเดือนและเมื่อข้าพเจ้าเสร็จสิ้นจากการพำนัก ก็ได้ลงมาและลงไปอยู่ที่ก้นหุบเขา ข้าพเจ้าถูกเรียกจึงได้มองไปเบื้องหน้า เบื้องหลังด้านขวา และด้านซ้ายของข้าพเจ้า โดยข้าพเจ้าไม่เห็นผู้ใดเลย หลังจากนั้นข้าพเจ้าถูกเรียกอีกจึงมองไปก็ ไม่พบผู้ใดต่อมาข้าพเจ้าได้ถูกเรียกอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงได้เงยศีรษะขึ้น บังเอิญได้พบ ญิบรีล อยู่บนบัลลังก์ลอยอยู่ในอากาศ ข้าพเจ้าตกใจมาก จึงได้มาหา คอดิญะห์ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า พวก ท่านจงห่มผ้าให้ข้าพเจ้า พวกเขาห่มผ้าให้ข้าพเจ้าและได้เอานํ้ามารดาข้าพเจ้าและต่อมาอัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรก็ได้ประทานโองการลงมาว่า “ โอัผู้ห่มผ้าท่านจงยืนขึ้น แล้วจง ประกาศเดือนเกิด และเฉพาะองค์อภิบาลของท่านนั้นท่านจงถวายความยิ่งใหญ่เถิด และเสือผ้า ของท่านนั้นท่านจงทำความสะอาด[82]

รายงานโดยมุสลิม

อายุของท่านนบี  ซ.ล. และเวลาที่ทำหน้าที่ศาสนทูต[83]

เล่าจากอับนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ถูกแต่งตั้งเมื่อมี อายุสีสิบปี ท่าน1พำนักอยู่ที่มักกะห็เป็นเวลาสิบสามปี โดยมีวะฮีย์ถูกประทานลงมายังท่าน ต่อ มาได้ถูกบัญชาให้อพยพไปยังนครมะดีนะห์ ท่านจึงได้อพยพไปยังนครมะดีนะห์ และได้พำนักอยู่ที่นั้นเป็นเวลาสิบปี และท่านได้ เสียชีวิตขณะมีอายุหกสิบสามปี 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) ได้กล่าวว่าท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. เสียชีวิตขณะที่ ท่านมีอายุ หกสิบห้าปี[84] 

รายงานโดยมุสลิม และติรมิซี

อะนัสได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ถูกเก็บชีวิต เมื่ออายุหกสิบสามปีและ ท่านอบูบักร เมื่อมีอายุหกสิบสามปี และท่านอุมัรเมื่อมีอายุหกสิบสามปี

รายงานโดยมุสลิม

และอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. เสียชีวิตเมื่อมีอายุหกสิบสามปี

ยะรีร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้นั่งร่วมอยู่กับมุอาวิยะห์ และได้พูดถึงปีต่างๆ ที่ล่วงเลยไปแล้วของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. มุอาวิยะห์ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ถูก เก็บชีวิต เมื่อมีอายุหกสิบสามปี ท่านอะบูบักรเสียชีวิต เมื่อมีอายุหกสิบสามปีและท่านอุมัรถูก สังหารเมื่อมีอายุหกสิบสามปี และข้าพเจ้าก็มีอายุหกสิบสามปี 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม และติรมิซี

ตอนที่หก อัลอิสรออ[85]

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่าทรงบริสุทธิ์ แด่ผู้ซึ่งให้บ่าวของพระองค์เดินทางในยามค่ำคืนจากมัสยิดฮะรอม ไปยังมัสยิดอักซอ เราได้ให้เกิดมีมงคลรอบๆ มัสยิดนั้น เพื่อเราจะให้ เขาได้เห็นจากบรรดาสัญลักษณ์ของเขา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ได้ยินยิ่งเป็นผู้เห็นยิ่ง

เล่าจากมาลิก บิน เซาะอซออะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขณะที่ข้าพเจ้า อยู่ที่ใบตุลเลาะห์ ระหว่างหลับกับตื่น[86] และเขาได้เล่าว่าอยู่ระหว่างผู้ชายสองคน ได้มีผู้นำเอาอ่างทองคำที่บรรจุ ด้วยวิทยะปัญญาและความศรัทธามายังข้าพเจ้า และท่านได้ถูกผ่าตั้งแต่ ต้นคอจนถึงท้องน้อยหลังจากนั่นท้องได้ถูกล้างด้วยนํ้าซัมซัม จากนั่นได้ถูกบรรจุลงด้วยวิทยะปัญญาและความศรัทธา[87] และได้มีผู้นำสัตว์สีขาวตัวเล็กกว่าล่อใหญ่กว่าลามาให้ข้าพเจ้ามันคือ บุร็อก ต่อมาข้าพเจ้าจึงได้เดินทางไปกับญิบรีล จนกระทั่งเราได้มาถึงฟ้าชั้นที่ใกล้ที่สุด ได้มีผู้ถามว่า ผู้นี้ใคร เขา (ญิบรีล) ได้ตอบว่า คือญิบรีล ได้มีผู้ถามว่าใครมากับท่าน ญิบรีลตอบว่า มุฮัมมัด

ได้มีผู้ถามว่า เขา (มุฮัมมัด) ถูกแต่งตั้งเป็นศาสนทูตแล้วหรือ ญิบรีลตอบว่า ใช่แล้ว ก็ได้มี ผู้กล่าวว่า ยินดีต้อนรับมุฮัมมัด เขาเป็นผู้มาเยือนที่ดีที่ได้มา ต่อมาข้าพเจ้าได้มาที่ (ท่านนบี) อาดัม ข้าพเจ้าได้กล่าวสลาม แก่ท่าน ท่านตอบว่า ยินดีต้อนรับท่าน ในฐานะเป็นบุตรและนบี และในบางรายงานว่า เมื่อเราได้ขึ้นถึงฟ้าชั้นที่ใกล้ที่สุด ได้มีชายคนหนึ่งด้านขวาของเขามีผู้คน จำนวนมากมาย และด้านซ้ายก็มีผู้คนจำนวนมาก เมื่อเขามองไปทางด้านขวาของเขา เขาหัวเราะ และเมื่อได้มองไปทางด้านซ้ายของเขา เขาก็ร้องไห้ ชายผู้นั้นได้กล่าวว่า ยินดีต้อนรับนที่ที่ดี และบุตรที่ดี ข้าพเจ้าถามว่า ชายผู้นี้เป็นใคร โอ้ญิบรีล เขาตอบว่า ชายผู้นี้คือ อาดัม ผู้คนจำนวน มากมายที่อยู่ทางด้านขวาและด้านซ้ายคือชีวิตลูกหลานของเขา พวกที่อยู่ด้านขวานั้นคือชาวสวรรค์ และพวกที่อยู่ทางด้านซ้ายของเขาคือชาวนรก เมื่อเขามองไปทางด้านขวา เขาก็หัวเราะและเมื่อ มองไปทางซ้ายเขาก็ร้องไห้ ต่อมาเราได้มาถึงฟ้าชั้นที่สอง มีผู้ถามว่า ผู้นี้เป็นใคร เขา (ญิบรีล) ตอบว่า คือญิบรีล มีผู้ถามว่า ใครมากับท่าน ญิบรีลตอบว่าคือ มุฮัมมัดได้มีผู้ถามว่าเขาถูกแต่งตั้ง เป็นศาสนทูตแล้วหรือ ญิบรีลตอบว่า ใช่แล้ว มีผู้กล่าวว่า ยินดีต้อนรับมุฮัมมัด เขาเป็นผู้มาเยือนที่ดีที่ได้มา ต่อมาข้าพเจ้าได้มาที่ท่านนบีอีซา และยะห์ยา ทั้งสองท่านได้กล่าวว่า ยินดี ต้อนรับท่านในฐานะน้องชายและนบี ต่อมาเราได้มาถึงฟ้าชั้นที่สามมีผู้ถามว่าผู้นี้เป็นใคร เขา ตอบว่า คือญิบรีล มีผู้ถามว่า ใครมากับท่าน เขาตอบว่า มุฮัมมัด มีผู้ถามว่า เขาถูกแต่งตั้งเป็นศาสนทูตแล้วหรือเขาตอบว่าใช่แล้ว มีผู้กล่าวว่า ยินดีต้อนรับมุฮัมมัด เขาเป็นผู้มาเยือนที่ ดีที่ได้มา ต่อมาข้าพเจ้าได้มาที่ท่านนบี ยูซุฟ ข้าพเจ้าได้กล่าวสลาม แก่ท่าน ท่านได้ตอบว่า ยินดีต้อนรับท่านในฐานะเป็นน้องชายและนบี ต่อมาข้าพเจ้าได้มาถึงฟ้าชั้นที่สี่ ได้มีผู้ถามว่า ผู้ นี้เป็นใคร เขาตอบว่า ยิบรีล มีผู้กล่าวว่าใครมากับท่าน เขาตอบว่า มุฮัมมัดได้มีผู้ถามว่าเขาถูกแต่งตั้งเป็นศาสนทูตแล้วหรือยิบรีลตอบว่าใช่แล้ว มีผู้กล่าวว่า ยินดีต้อนรับมุฮัมมัดเขาเป็นผู้มาเยือนที่ดี ที่ได้มาหลังจากนั้นข้าพเจ้าได้มาที่นบีอิดรีส ข้าพเจ้าได้กล่าวสลามแก่ท่าน ท่านได้กล่าวว่า ยินดีต้อนรับท่านในฐานะน้องชายและนบี หลังจากนั้นเราได้มาถึงฟ้าชั้นที่ห้ามีผู้ถามว่าผู้นี้เป็นใคร เขาตอบว่ายิบรีลมีผู้ถามว่าใครมากับท่าน ญิบรีลตอบว่า มุฮัมมัด ได้มีผู้ถามว่า เขาถูกแต่งตั้งเป็นศาสนทูตแล้วหรือ ยิบรีลตอบว่าใช่แล้ว มีผู้กล่าวว่า ยินดีต้อนรับมุฮัมมัด เขาเป็นผู้มาเยือนที่ดีที่ได้มา ต่อมาเราได้มาที่นบี ฮารูน ข้าพเจ้าได้กล่าวสลามแก่ท่าน ท่านได้กล่าวว่า ยินดีต้อนรับในฐานะ น้องชายและนบี ที่หลังจากนั้นเราได้มาถึงฟ้าชั้นที่หก มีผู้ถามว่าผู้นี้เป็นใครเขาตอบว่า ญิบรีลมีผู้ถามว่า ใครมากับท่าน ญิบรีลตอบว่า มุฮัมมัด มีผู้ถามว่าเขาถูกแต่งตั้งเป็นศาสนทูตแล้วหรือ เขาตอบว่า ใช่แล้ว(มีผู้กล่าวว่า) ยินดีต้อนรับมุฮัมมัด เขาเป็นผู้มาเยือนที่ดีที่ได้มา ต่อมาข้าพเจ้าได้มาที่นบีมูซา ข้าพเจ้าได้กล่าวสลามแก่ท่าน ท่านได้กล่าวว่า ยินดีต้อนรับท่านในฐานะน้องชายและนบี เมื่อข้าพเจ้า ได้ผ่านท่านไปท่านได้ร้องไห้ จึงมีผู้ถามว่า อะไรทำให้ท่านร้องไห้ ท่านได้กล่าวว่า โอ้พระผู้ อภิบาลของข้าพเจ้า ชายหนุ่มผู้นี้ได้ถูกแต่งตั้งหลังจากข้าพเจ้า ประชาชาติของเขาจะได้เข้าสวรรค์ยิ่ง กว่าประชาชาติของข้าพเจ้าเข้าสวรรค์ หลังจากนั้นเราได้มาถึงฟ้าชั้นที่เจ็ด มีผู้ถามว่า ผู้นี้เป็น ใคร เขาตอบว่า ญิบรีลมีผู้ถามว่า ใครมากับท่าน ญิบรีลตอบว่า มุฮัมมัด มีผู้ถามว่าเขาถูกแต่งตั้ง เป็นศาสนทูตแล้วหรือ เขาตอบว่าใช่แล้ว มีผู้กล่าวว่า ยินดีต้อนรับมุฮัมมัด เขาเป็นผู้มาเยือนที่ดีที่ได้มา หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้มาที่ท่านนบี อิบรอฮีม ข้าพเจ้าได้กล่าวสลามแก่ท่าน ท่านได้กล่าวว่า ยินดีต้อนรับท่านในฐานะน้องชายและนบี ต่อมาไบตุ้ลมะอฺมูร ได้ถูกยกมาให้ข้าพเจ้า (ชม) ข้าพเจ้าได้ถามญิบรีล เขาตอบว่านี้คือ ไบตุ้ล มะอฺมูร[88] จะมีมะลาอิกะห์เข้าไปละหมาดในนั้นจำนวนเจ็ดหมื่นทุกวัน เมื่อพวกเขาได้ออกมาจะไม่กลับเข้าไปอีก ไบตุล มะอฺมูร เป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาต้องมา และ ซิดรอตุลมุนตะฮา[89]ได้ถูกยกมาให้ข้าพเจ้า (ชม) ปรากฏว่าผลของมันคล้ายกับโอ่ง ฮะยัร[90]ใบของมันคล้าย หูช้าง ที่โคนต้นของมันมีแม่นํ้าสี่สาย สองสายอยู่ภายใน แเละอีกสองสายอยู่ภายนอก ข้าพเจ้า ได้ถามญิบรีล เขาตอบว่า สองสายที่อยู่ภายในนั้นอยู่ในสวรรค์ ส่วนสองสายที่อยู่ภายนอกนั้น คือ แม่น้ำในล์และฟุรอต (แม่น้ำไนล์อยู่ในประเทศอียิปต์ แม่นํ้าฟุรอต (ยูเฟรติส)     อยู่ในประเทศอีรัค) และในบางรายงานว่า หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้มาถูกนำขึ้นไปจนข้าพเจ้าได้ปรากฏ ตัวอยู่ในระดับหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินเสียงปากกากระทบกระดาษ[91]หลังจากนั้นละหมาดห้าสิบเวลา ได้ถูกกำหนดเหนือข้าพเจ้า จากนั้นข้าพเจ้าได้ผินจากมา จนได้มาที่นบีมูซา เขาได้ถามว่า ท่าน ได้ทำอะไร ข้าพเจ้าตอบว่า ละหมาดห้าสิบเวลาได้ถูกกำหนดเหนือข้าพเจ้า นบีมูซาได้กล่าว ว่าข้าพเจ้ารู้จักมนุษย์ดีกว่าท่าน เพราะข้าพเจ้าได้ทำการเยียวยารักษาพวก บะนีอิสรออีล (ยิว) อย่างหนัก[92] และเพราะความจริงประชาชาติของท่านไม่มีความสามารล (ปฎิบัติได้ครบ) ดังนั้นท่านจงกลับไปหาผู้อภิบาลของท่านขอให้พระองค์ลดหย่อนให้บ้าง ข้าพเจ้าจึงได้ไปขอลดหย่อน จากพระองค์ พระองค์ได้ลดหย่อนให้เหลือสี่สิบ หลังจากนั้นอีกครั้นหนึ่งเหลือสามสิบหลัง จากนั้นอีกครั้งหนึ่ง เหลือยี่สิบ หลังจากนั้นอีกครั้งหนึ่ง เหลือสิบ ข้าพเจ้าได้มาที่นบีมูซา ท่าน ได้กล่าวเหมือนเดิม และต่อมาพระองค์อัลลอฮ์ได้ผ่อนผันให้ละหมาด เหลือห้าเวลาหลังจาก นั้นข้าพเจ้าได้มาที่นบีมูซา เขาได้ถามว่า ท่านได้ทำอะไร ข้าพเจ้าตอบว่า อัลลอฮ์ได้กำหนดละหมาดให้มีห้าเวลา ท่านก็ได้กล่าวเหมือนเข้นเดิม ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้จำนนแล้ว ต่อความดี ต่อมาจึงได้ประกาศว่า[93] แท้จริงเราได้ให้การกำหนดฟัรฎูของเราผ่านพ้นไปแล้ว และเราได้ผ่อนปรนให้แก่บ่าวของเรา และเราจะตอบแทนหนึ่งความดีนั้นด้วยสิบ 

รายงานโดย บุคอรี ในเรื่องเริ่มการสร้าง และมุสลิมในเรื่องการศรัทธา และสำนวนของมุสลิมว่า ข้าพเจ้า (มุฮัมมัด) ได้คงกลับไปกลับมาระหว่างพระผู้อภิบาลของข้าพเจ้าผู้ยิงใหญ่ด้วยความเพิ่มพูน และสูงส่ง กับนบีมูซา  อ.ล. จนกระทั่งพระองค์ได้ตรัสว่า โอ้มุฮัมมัด ความจริงละหมาด นั้นมีห้าเวลาทุกวันและคืน แต่ละความดีได้รับผลตอบแทนสิบ และนั่นแหละมันเท่ากับห้าสิบ ละหมาด

เล่าจากยายิร  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขณะที่ชนเผ่า กุเรซกล่าวหาว่าข้าพเจ้าพูดเที่จในเรื่อง อิสรออฺ นั้นข้าพเจ้าได้ลุกขึ้นยืนอยู่ในหินโค้งอิสมาอีล อัลลอฮ์ไดีให้ไบตุ้ลมักดิส ปรากฏให้ข้าพเจ้าเหินอย่างข้ดเจน และข้าพเจ้าได้เริ่มเล่าความถึง เครื่องหมายต่าง «1 ของใบตุ้ลมักดิส ให้พวกเขาฬง โดยข้าพเจ้ามองไปที่มัน

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะหิ  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้พบ ตัวเองอยู่ในหินโค้งอิสมาอีล โดยที่ชนเผ่ากุเรช กำลังสอบถามข้าพเจ้าถึงเรื่องการอิสรออฺ ของ ข้าพเจ้า พวกเขาได้ถามข้าพเจ้าหลายอย่างที่ข้าพเจ้าก็ไม่มันใจ ข้าพเจ้ามีความลำบากใจอย่างชนิดที่ ไม่เคยมีความลำบากเข้นนี่มาก่อนเลย ต่อมาอัลลอฮ์ได้ยกไบตุ้ลมักดิสมาให้ข้าพเจ้าได้มองดู ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาถามข้าพเจ้าถึงสิ่งนั้น นอกจากข้าพเจ้าจะตอบพวกเขาในสิงนั้น และข้าพเจ้า ได้พบตัวเองอยู่ท่ามกลางบรรดานปึ นั่นนบีมู1ชา กำลังยืนละหมาดเขาเป็นผู้ชายที่มีรูปร่างปราด เปรียว ผมหยิกเหมือนผู้ชายคนหนึ่งจากพวะชะนูอะห[94] นั่นนบีอี1ชา บิน มัรยัม  อ.ล. กำลัง ยืนละหมาด บุคคลที่คล้ายกับนบีอีซามากที่สุด คือ อรวะห์ บิน มัสอูสอ้ชชะกอหีเย์ และ นั่นนบีอิบรอฮึมกำลังยืนละหมาด บุคคลที่เหมือนกับนบีอิบรอฮึมมากที่สุดคือเพือนของพวก ท่าน หมายถึงตัวท่านนบีมุฮัมมัด  ซ.ล. เอง ได้เวลาละหมาดข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่นำพวกเขา ละหมาด และเมื่อเสร็จละหมาดได้มีผู้กล่าวว่า โอ้มุฮัมมัดนี่คือ มาลิก ผู้ดูแลไฟนรก ท่าน จงกล่าวสลามแก่เขา ข้าพเจ้าได้หันไปทางเขา และเขาได้เริมกล่าวสลามแก่ข้าพเจ้าก่อน รายงาน หะmmสองโดยมุสลิม ในภาคการศพธา

ตอนที่เจ็ด การอพยพ[95]

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่าและจงระลึกเถิด เมื่อบรรดาผู้เนรคุณได้วางแผนร้ายกับตัวท่าน เพื่อกักกันท่าน หรือเพื่อฆ่าท่าน หรือขับไล่ท่านออกไป และพวกเขาวางแผน แต่อัลลอฮ์ก็วางแผน และพระองค์เป็นผู้ประเสริฐยิ่งแห่งบรรดาผู้วางแผนทั้งมวล “และอัลเลาะห์ ตาอาลา ได้ตรัสว่าถ้าหากพวกเจ้าไม่ช่วยเหลือเขา (มุฮัมมัด) แน่นอนอัลเลาะห์ก็จะ ช่วยเหลือเขา ขณะที่พวกเนรคุณได้ขับไล่เขาออก มีเพียงคนที่สองจากจำนวนสองคน (คือ นบีมุฮัมมัด กับอะบูบักร์) ขณะที่ทั้งสองอยู่ในถ้ำเมื่อเขา (มุฮัมมัด) กล่าวแก่เพื่อนของเขา ว่าท่านอย่าเศร้าโศกไปเลย แท้จริงอัลลอฮ์อยู่ร่วมกับเรา ดังนั้นอัลลอฮ์จึงประทานความสงบ มั่นของพระองค์แก่เขา และพระองค์ได้เสริมกำลังให้เขาด้วยบรรดาทหารที่พวกเจ้ามองไม่เห็น และพระองค์ได้บันดาลให้ถ้อยคำของพวกเนรคุณตกตํ่าที่สุด และพระคำของอัลลอฮ์ย่อมสูงส่งเสมอและพระองค์อัลลอฮ์ทรงอำนาจยิ่ง ทรงปรีชาญาณยิ่ง”

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขัาพเจ้าจำบิดามารดาของข้าพเจ้าไม่ได้เลย นอกจาก ท่านทั้งสอง นับถือศาสนาอิสลาม และไม่มีวันใดที่ผ่านพวกเราไป นอกจากท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ต้องมาหาพวกเราทั้งสองช่วงของวันคือ เวลาเช้ากับเวลาเย็น ขณะที่บรรดามุสลิมถูก (ทดลองด้วย) ภัยคุกคาม อะบูบักรได้อพยพออกไปยังแผ่นดิน ฮะบะซะห์ (อบิสิเนีย) จนเขาเดินทางไปถึง บัรกั้ลฆิมาด[96] อิบนุดดุฆุนนะห์ ซึ่งเป็นหัวหน้าดินแดนในแกบนั้นได้พบเข้ากับ อะบูบักร์ จึงได้ถามว่า โอ้อะบุบักร์ท่านตั้งใจจะเดินทางไปที่ไหน อะบูบักร์ตอบว่า พวกพ้องของข้าพเจ้า ได้ขับไล่ข้าพเจ้าออกมา และข้าพเจ้าตั้งใจจะท่องเที่ยวไปในหน้าพื้นแผ่นดิน และกราบไหว้ พระผู้อภิบาลของข้าพเจ้า อิบนุดดุฆุนนะห็ได้กล่าวว่า ความจริงบุคคลเช่นท่านนั้น จะต้องไม่ออก และจะต้องไม่ถูกขับไล่ออก แท้จริงท่านเป็นผู้แสวงหาสิ่งที่ไม่มี[97] ท่านเชื่อมสัมพันธ์ กับวงค์ญาติ ท่านรับภาระในสิ่งที่เหน็ดเหนื่อย ท่านให้การต้อนรับแขกทิ่มาเยือน และท่านให้ ความช่วยเหลือเพื่อให้ได้รับความจริง ตังนั้นข้าพเจ้าจะเป็นผู้รับประกันท่านเอง ท่านจงกลับ ไปและไปกราบไหว้พระผู้อภิบาลของท่าน ณ บ้านเมืองของท่านเถิด อะบูบักร์ได้เดินทางกลับ และอิบนุดดุฆุนนะห์ ได้เดินทางร่วมมากับเขา และอิบนุดคุฆุนนะห์ได้ตระเวนไปหาหัวหน้า ของเผ่ากุเรชในตอนเย็น และได้พูดแก่พวกเขาว่า แน่แท้อะบูบักร์นั้นบุคคลเช่นเขา จะต้องไม่ออกและจะต้องไม่ถูกขับไล่ออก พวกท่านจะขับไล่สุภาพบุรุษที่แสวงหาสิ่งที่ไม่มี เชื่อมสัมพันธ์กับวงค์ญาติรับเป็นภาระในสิ่งที่เหนื่อยยาก ให้การต้อนรับแขกทิ่มาเยือน และให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้ได้รับความจริงเช่นนั้นหรือ          พวกกุเรชไม่ปฏิเสธความคุ้มครองของอิมนุดดุฆุนนะห์

โดยพวกนั้นได้กล่าวแก่เขาว่า ท่านจงใช้อะบูบักร์ให้กราบไหว้พระผู้อภิบาลของเขาภายในบ้าน ของเขาเถิด ให้เขาจงละหมาดอยู่ภายในบ้าน และให้เขาอ่านคัมภีร์ได้ตามต้องการ โดยอย่าให้ เขาสร้างความเสียหายต่อพวกเราด้วยการทำเช่นนั้น และอย่าให้เขาทำอย่างเปิดเผยเพราะพวก เรากลัวว่า เขาจะสร้างความปั่นป่วนให้เกิดกับพวกผู้หญิงและถูกหลานของเรา หลังจากนั้น อิบนุดคุฆุนนะห์ ได้นำเอาข้อความดังกล่าวไปบอกแก่อะบูบักร์ ท่านอะบูบักร์ ได้อาศัยข้อตก ลงนั้นทำการกราบไหว้กระผู้อภิบาลของเขา อยู่ภายในบ้านของเขาและจะไม่เปิดเผยการละหมาดของเขา เขาจะไม่อ่านคัมภีร์อัลกุรอาน นอกจากในบ้านของเขา หลังจากนั้นอะบูบักร์เห็นสมควร จึงได้สร้างมัสยิดขึ้นที่ลานบ้านของท่าน ท่านได้ละหมาดและอ่าน (คัมภีร์อัลกุรอาน) ในมัสยิด และ (การกระทำของ) ท่านได้ดึงดูดพวกผู้หญิงและบรรดาเด็กๆ ของพวกมุชรีกีน พวกเขา จะมองดูอะบูบักร์และพวกเขาก็รู้สึกประทับใจในตัวอะบูบักร์ และปรากฏว่าอะบูบักร์นั้นเป็นผู้ชายที่ร้องไห้เก่ง ท่านไม่สามารกควบคุมดวงตาทั้งสองของท่านขณะอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน ได้การทำอย่างนั้นทำให้หัวหน้าพวกกุเรชจากพวกมุชรีกินตกใจพวกเขาจึงได้ส่งตัวแทนไปหา อิบนุดคุฆุนนะห์ เขาได้มาหาพวกนั้น พวกกุเรชได้กล่าวขึ้นว่า ความจริงพวกเราให้ความคุ้มครองแก่อะบูบักร์ด้วยการคุ้มครองของท่าน โดยให้เขากราบไหว้พระผู้อภิบาลของเขาภายในบ้านของเขา แต่เขาได้ปฏิบัติเกินเลยกว่านั้น เขาได้สร้างมัสยิดขึ้นที่ลานบ้านของเขาและ เขา ได้เปิดเผยการละหมาดของเขา และการอ่านของเขาในมัสญิดนั้น ความจริง พวกเรากลัวว่า เขา จะทำความปั่นป่วนแก่ผู้หญิงของเราและถูกหลานของเรา ดังนั้นท่านจงห้ามเขา ถ้าหากเขาปรารกนา จะกราบไหว้พระผู้อภิบาลของเขาแต่เพียงภายในบ้านของเขาแล้ว เขาก็ทำได้ และถ้าหากเขาไม่ ยอมก็ให้ท่านจงขอให้เขาส่งการคุ้มครองของท่าน คืนให้แก่ท่าน เพราะความจริงเราไม่ต้องการ ละเมิดสัญญาทิ่มีต่อท่าน แต่เราไม่อาจยอมรับ การกระทำอย่างโจ่งแจ้งของอะบูบักร์ได้ อิบนุต­ดุฆูนนะห์ จึงได้มาหาอะบูบักร์ และกล่าวว่า ความจริงท่านก็ทราบสิ่งที่ข้าพเจ้าตกลงไว้กับท่าน บางที่ให้ท่านจำกัดอยู่บนการกระทำเช่นนั้น และบางที่ท่านจะต้อง ส่งการคุ้มครองของข้าพเจ้า คืนให้แก่ข้าพเจ้า เพราะความจริงข้าพเจ้าไม่ต้องการได้ยิน ชาวอาหรับพูดว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ละเมิด สัญญาในเรื่องผู้ชายคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้ตกลงกับเขาแล้ว ท่านอะบูบักร์ได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้า ขอส่งการคุ้มครองของท่านคืนให้แก่ท่าน และข้าพเจ้ายินดีจะอยู่ในความคุ้มครองของอัลเลาะห์ ผู้เกรียงไกรและยิ่งใหญ่[98] ขณะนั้นท่านนบี  ซ.ล. อยู่ที่นครมักกะห์ ท่านนบี  ซ.ล. ได้ กล่าวแก่มวลมุสลิมว่า แท้จริงเขาได้ให้ข้าพเจ้าแลเห็น แหล่งที่พวกท่านจะอพยพไปที่นั่นมีต้นอินทผลัมอยู่ระหว่างสองลานหิน ทั้งสองนั้นเป็นบริเวณทิ่มหินสีดำ ต่อมาผู้ที่อพยพได้อพยพ ไปยังนครมะตีนะห์และคนส่วนมากที่อพยพไปอบิสิเนียก็ได้กลับไปสู่นครมะดินะห์ ท่านอะบูบักร์ ได้เตรียมตัวอพยพไปยังนครมะตีนะห์ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขาว่า ช้าไว้ก่อน อย่ารีบร้อน เพราะแท้จริงข้าพเจ้ามีความหวังว่าจะได้รับอนุญาตให้อพยพ อะบูบักร์ได้กล่าวว่า ท่านมีความหวังเช่นนั้นหรือสาบานด้วยบิดาและมารดาของข้าพเจ้า แลกเปลี่ยนกับตัวท่าน[99] ท่านนบีได้กล่าวว่า ใช่ อะบูบักร์จึงกักขังตัวเอง อยู่กับท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. เพื่อเป็นเพื่อน ร่วมเดินทางกับท่าน อะบูบักร์ได้เลี่ยงสัตว์พาหนะสองตัวที่เขามีอยู่ด้วยใบไม้อัซชะมุรที่เรียกว่า คอบต์ เป็นเวลาสี่เดือน

เล่าจากอะบี มูซา  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าฝันเห็นในขณะนอน หลับว่า ข้าพเจ้าอพยพออกจากมักกะหืไปยังแผ่นดินแห่งหนึ่งมีต้นอินทผลัม ข้าพเจ้าดาดคิดว่า มันคือแผ่นดิน ยะมามะห์ หรือ ฮะยัร[100] แต่ที่แท้คือ นครมะตีนะห์ ยัซริบ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี 

เล่าจากอาอิซะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะที่พวกเรากำลังนั้งอยู่ ในวันหนึ่งที่บ้านของ อะบูบักร์ในเวลาที่ร้อนจัด ได้มีคนกล่าวขึ้นแก่อะบูบักร์ว่า นั่นคือท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ท่าน อยู่ในสภาพคลุมหน้า ท่านไม่เคยมาหาพวกเราในยามนี้เลย อะบูบักร์ได้กล่าวว่า บิดาและมารดา ของข้าพเจ้าเป็นค่าไก่ตัวเขา สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ไม่มีสิ่งใดที่ท่านมาในยามนี้ นอกจากภารกิจ สำคัญ ต่อจากนั้นท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ก็มาถึงท่านได้ขออนุญาต (เข้าบ้าน) ท่านได้รับ อนุญาต ท่านได้เข้าไปในบ้านและได้กล่าวแก่อะบูบักร์ว่า จงให้คนที่อยู่กับท่านออกไปให้หมด อะบูบักร์ตอบว่าแท้จริงพวกเขาก็คือครอบครัวของท่าน โดยเอาบิดาของข้าพเจ้าเป็นค่าไถ่ตัวของท่าน โอ้ท่านเราะซูลุลลอห์ ท่านได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้รับอนุญาตให้ออก อะบูบักร์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนเดินทางของท่านใช่ไหม โดยเอาบิดาของข้าพเจ้าเป็นค่าไถ่ตัวของท่าน ท่าน เราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ตอบว่าใช่ อะบูบักร์ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ท่านจงเอาพาหนะ ตัวหนึ่งจากสองตัวของข้าพเจ้านี้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า โดยแลกเปลี่ยนกับ ราคา อาอิชะห์ได้กล่าวว่า พวกเราได้จัดเตรียมมันทั้งสองด้วยอุปกรณ์ที่รักยิ่ง และได้บรรจุ เสบียงอาหารของทั้งสองลงในกระสอบ[101] อัสมาอฺ พี่สาวของข้าพเจ้าได้ตัดผ้าคาดเอวของหล่อน ออกท่อนหนึ่งและได้ใช้มันผูกปากกระสอบนั้น ดังนั้นด้วยเหตุนี้เองหล่อนจึงได้ถูกตั้งฉายาให้ ว่า “หญิงผู้เป็นเจ้าของผ้าคาดเอว”[102] อาอิซะห็ได้กล่าวว่าหลังจากนั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์และ อะบูบักร์ได้ไปที่ถํ้าในภูเขาเขาร์ ทั้งสองได้ช่อนตัวอยู่ในถํ้าเป็นเวลาสามวันโดยมีอับดุลเลาะห์ บินอะบูบักร์ ซึ่งเป็นชายคนหนึ่งที่มีความฉลาดและไหวพริบปฏิภาณดี นอนด้างคืนอยู่กับ ท่านทั้งสองด้วย เขาจะไปจากท่านทั้งสองในเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้ว และจะไปรุ่งเช้า อยู่กับ พวกกุเรช ที่นครมักกะห์ คล้ายกับเขานอนค้างคืนอยู่ที่มักกะห์ เขาไม่ได้ยินเรื่องอะไรที่จะ (มี อันตราย) เข้าใกล้คนทั้งสอง นอกจากเขาจะเอาใจใสต่อเรื่องนั้น จนกระทั้งเขาจะมาหาท่าน ทั้งสองพร้อมด้วยข่าวนั้น ในขณะที่ความมืดเข้าปกคลุม และอามิร บิน ฟุไฮรอห์ ทาสของอะบูบักร์ จะนำฝูงแกะที่มีนม มาเลี้ยงใกล้ๆ ท่านทั้งสอง และเขาจะให้ฝูงแพะพักผ่อนใกล้ ท่านทั้งสองขณะที่ยามเย็นผ่านพ้นไป ท่านทั้งสองจะแรมคืน โดยอาศัยนํ้านมที่ใสในภาชนะที่ ทำด้วยกระเบื้องที่ตากแดดเอาไว้ และภาชนะที่เอาหินตากแดดใส่ลงไป[103] จนกระทั้งอามิรจะ ตื่นขึ้นในตอนย่ำรุ่ง พร้อมด้วยฝูงแพะ เขาจะกระทำเช่นนี้ทุกวัน ตลอดทั้งสามวัน ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. และอะบูบักร์ได้ว่าจ้างผู้ชายคนหนึ่งจากตระกูลดีล[104] เป็นคนนำทางที่ชำนาญ โดยเขา ได้สาบานเป็นพันธมิตรกับวงค์วานของอาส บิน วาอิลอัสสะห์มีย์ ขณะนั้นเขายังอยู่ในศาสนา ของพวกผู้ทรยศกุเรช ท่านทั้งสองได้มอบความไว้วางใจแก่ชายผู้นั้น และได้มอบพาหนะของ ท่านทั้งสองให้แก่เขาไปโดยท่านทั้งสองได้นัดพบกับเขา ณ ถํ้าของภูเขาเซาร์ เมื่อพ้นคืนที่สาม เขาได้มาหาท่านทั้งสองพร้อมด้วยพาหนะของท่านทั้งสองในเวลารุ่งอรุณของวันที่สาม อามิร บิน ฟุไฮรอห์และผู้นำทางก็ได้เดินทางพร้อมกับท่านทั้งสองด้วย โดยผู้นำทางได้นำ คนเหล่านั้นเดินเลียบชายฝั่งทะเล

สุรอเกาะห์ บิน มาลิก บิน กัวะอชม อัลมุดลิยีย์ ได้กล่าวว่า ทูตของพวกผู้ทรยศ กุเรซได้มาหาพวกเราแล้วกำหนดค่าหัว ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. กับอะบูบักร์ด้วยดิยะห์ ของแต่ละคน[105] แก่ผู้ที่สามารถฆ่าหรือจับตัวเป็นเชลยได้ ขณะที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ในที่ประชุมกับ พวกพ้องของข้าพเจ้าตระกูลมุดลิจบังเอิญมีผู้ชายคนหนึ่งจากพวกเขาได้มุ่งหน้ามา จนมายืนอยู่ที่ พวกเรา โดยพวกเรากำลังนั่งอยู่ เขากล่าวว่า โอ้สุรอเกาะห์ ความจริงข้าพเจ้าเห็นเมื่อสักครู่ นี้เอง เงาตะคุ่ม กู อยู่ที่ชายทะเล ข้าพเจ้าคิดว่ามันคือมุฮัมมัดกับสาวกของเขา สุรอเกาะห็ได้ กล่าวว่า ข้าพเจ้ารู้ว่า พวกนั้นคือพวกเขา  ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่าแท้จริง เงาตะคุ่มพวกนั้น ไม่ใช่มุฮัมมัดกับสาวกของเขาหรอก แต่ที่จริงท่านได้เห็นคนนั้นและคนนั้นซึ่งออกเดินทางผ่าน หน้าเราไป[106] ข้าพเจ้าได้อยู่ในที่ประชุมนั้นอีกครู่หนึ่งจึงได้ลุกออกไป ข้าพเจ้าได้เข้าบ้านและสั่งให้ทาสหญิงของข้าพเจ้านำมัาออกไปไว้ข้างหลังเนินทราย หล่อนได้ขังม้าไว้ให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า ได้คว้าหอก และออกทางหลังบ้าน ข้าพเจ้าได้เอาปลายหอกลากไปกับดิน และได้ลดด้ามมันลง[107] จนกระทั่งข้าพเจ้าได้มาถึงม้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ขึ้นขี่มันและควบมัน ม้าได้ยกขาหน้าขึ้น พร้อมกับพาข้าพเจ้าไป จนข้าพเจ้าได้เข้าใกล้พวกเขา ต่อมาม้าได้นำข้าพเจ้าไปพบ ข้าพเจ้าจึง ลงมาจากหลังม้ายืนขึ้นหยิบลูกธนูจากซองบรรจุลูกธนูของข้าพเจ้าและข้าพเจ้าได้เสี่ยงทายโดยใช้ถูกธนูว่า ข้าพเจ้าทำร้ายพวกเขาดีหรือไม่ ปรากฏว่าการเสี่ยงทายที่ออกมา เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้า ไม่ต้องการ[108] ข้าพเจ้าจึงไม่เชื่อคำทำนายของลูกธนู ข้าพเจ้าได้ขึ้นขี่ข้าและควบมัน จนข้าพเจ้า ได้ยินการอ่านของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ท่านไม่ได้หันหน้าหันหลังเลย แต่อะบูบักร์หันหน้าหันหลังมาก ขาหน้าของม้าทั้งสองข้างของข้าพเจ้าได้จมลงไปในดินถึงหัวเข่า ข้าพเจ้าจึงลงจากม้าและไล่มัน มันจึงขึ้นได้ แต่มันเถือ บไม่สามารถถอนขาหน้าของมันทั้งสองข้างออกมาได้ เมื่อ มันลุกขึ้นยืนตรงได้ก็มีฝุ่นคลุ้งตลบตามรอยขาหน้าทั้งสองข้างของมันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าคล้ายกับ ควัน ข้าพเจ้าจึงได้เสี่ยงทายโดยใช้ลูกธนู ผลการเสี่ยงทายออกมาตรงกับที่ข้าพเจ้าไม่ต้องการ ข้าพเจ้าจึงเรียกพวกเขาโดยสัญญาให้ความปลอดภัย พวกเขาหยุด ข้าพเจ้าจึงขับม้าของข้าพเจ้า จนมาถึงพวกเขา   และได้เกิดความคิดขึ้นในใจของข้าพเจ้าขณะที่ข้าพเจ้าได้พบสี่งที่ได้พบจากการที่ข้าพเจ้าไม่สามารกทำอันตรายพวกเขาได้ว่า งานของท่านรอซูลุ้ลเลาะห์  ซ.ล. จะต้องปรากฏเปิดเผยขึ้นอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวแก่ท่านว่า แท้จริงพวกพ้องของท่านได้ตั้งค่าหัวของ ท่านด้วยดิยะห์ และข้าพเจ้าได้เล่าให้พวกเขาฟังถึงสิ่งที่ผู้คน (ชาวกุเรช) ต้องการทำกับพวกเขา และ ข้าพเจ้าได้เสนอเสบียงและข้าวของให้แก่พวกเขา                                            แต่พวกเขาไม่ได้ตอบสนองข้อเสนอของข้าพเจ้า

และทั้งสองท่านไม่ได้ขออะไรข้าพเจ้านอกจากกล่าวว่า ท่านจงเก็บเรื่องของเราไว้เป็นความลับ จากนั้นข้าพเจ้าได้ขอให้ท่านเขียนหนังสือให้ความปลอดภัยให้แก่ข้าพเจ้าฉบับหนึ่ง ท่านนบีจึงสั่งให้อามิร บิน ฟุไฮรอห์ เขาจึงได้เขียนลงในแผ่นหนัง จากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ออกเดินทางไปอินนุซิฮาบได้กล่าวว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้พบกับซุไบร์ใน กองคาราวานของมุสลิมที่เป็นพ่อค้ากลับมาจากชาม ซุไบร์ได้ให้ท่านนบีและอะบูบักร์สวมเสื้อ ผ้าสีขาว มวลมุสลิมที่นครมะดีนะห์ได้ยินข่าวการเดินทางของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. จากนครมักกะห์ พวกเขาจะพากันออกมาทุกเช้าที่ลานหินดำ รอคอยท่านนบีจนกว่าความร้อนของเวลากลางวันจะขับไล่พวกเขากลับ ในวันหนึ่งพวกเขาได้พากันกลับหลังจากได้รอคอยเป็นเวลานาน ซึ่งเมื่อพวกเขาเข้าบ้านแล้วได้มีชาวยิวคนหนึ่งขึ้นไปบนป้อมหนึ่งจากบรรดาป้อมของพวกเขาเพราะสิ่งหนึ่งที่เขากำลังจ้องมองอยู่ ต่อจากนั้นเขาได้แลเห็นท่านรอชุลุลเลาะห์  ซ.ล.และสาวกของท่านอยู่ในชุดสีขาวซึ่งเปลวแดดได้กลืนพวกเขาหายไป ชาวยิวคนนั้นไม่สามารถควบคุม ตัวเองไว้ได้จึงตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า โอ้ชาวอาหรับทั้งหลาย ชายผู้นี่คือความโชคดีของพวก ท่านขังพวกท่านกำลังรอคอยเขา บรรดามุสลิมได้ปราดเข้าไปคว้าอาวุธและได้ออกไปต้อนรับท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนจัด ท่านได้พาพวกเขามุ่งหน้าไปทางด้านขวาจนกระทั่งได้พาพวกเขาลงพักที่ตระกูลบะนีอัมร์ บินเอาฟ  เหตุการณ์นั้นเป็นวันจันทรเดือน รอบิอุ้ลเอาวัล ท่านอะบุบักร์ได้ลุกชื้นให้การต้อนรับประชาชน และท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้นั่งนิ่ง ชาวอันซอรที่ยังไม่เคยเห็นท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ก็ได้เริ่มกันเข้ามาแสดงคารวะต่ออะบุบักร จนกระทั่งแสงตะวันได้กระทบร่างท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. อะบุบักร์ได้หันมาและเอาผ้าคลุม ของท่านทำเป็นร่มให้แก่ท่านนบี ประชาชนก็ได้รู้จักท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ในขณะนั้นเอง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้พำนักอยู่กับตระคูลบะนีอัมร์บินเอาฟ เป็นเวลาสิบกว่าวัน มัสยิดทถูกก่อตั้งขึ้นบนรากฐานของความยำเกรงก็ได้ถูกสร้างชื้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ละหมาด ในมัสยิดนั้น จากนั้นท่านได้ขึ้นขี่พาหนะของท่าน และประชาชนก็ได้ออกเดินทางไปพร้อมกับ ท่านจนพาหนะของท่านได้ล้มตัวลงนอน ในที่ๆ เป็นมัสยิดของท่านรอซูลที่นครมะดินะห์ ซึ่งเป็นที่ๆ บรรดาผู้ชายมุสลิมจะละหมาดกันในมัสยิดนั้น และปรากฏว่าสถานที่แห่งนั้นแต่เดิม เคยเป็นลานตากอินทผลัมของสุไหล์และซ;ะหั้ลซึ่งทั้งสองเป้นเด็กกำพร้าอยู่ไนการดูแลของอัสอัด บิน ซุรอเราะห์ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวในขณะที่พาหนะของท่านล้มตัวลงนอนว่า ตรงนี้แหละเป็นบ้านถ้าหากอัลลอฮ์ประสงค์ดีจากนั้น ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้เรียกเด็ก ทั้งสองมาและได้เจรจาขอซื้อลานตากอินทผลัมแห่งนั้นจากเด็กทั้งสองเพื่อใช้สร้างมัสยิด เด็กทั้งสองได้กล่าวว่าไม่ (ข้าพเจ้าไม่ขาย) แต่ข้าพเจ้าจะยกมันให้แก่ท่านโอ้ท่านเราะซูลุลลอห์ แต่ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ไม่ยอมรับในฐานะเป็นของให้เปล่าๆ จนท่านได้ซื้อมันจากเด็กทั้งสองและได้สร้างเป็นมัสยิด ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้เริมขึ้นอิฐพร้อมกับประชาชนโนการ [109] ก่อสร้างมัสยิด โดยท่านได้กล่าวขณะขึ้นอิฐว่า สิ่งที่ถูกขนย้ายนี้ไม่เหมือนสิ่งที่ถูกขนย้ายมาจาก คอยบัร นี่ดีกว่าสะอาดกว่าโอ้พระผู้อภิบาลของเรา750

และท่านกล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์แท้จริงการตอบแทนนั้นคือ การตอบแทน ในภพหน้า (อาคิเราะห์) ขอพระองค์ท่านได้โปรดเมตตาพวกผู้ช่วยเหลือและพวกที่อพยพ

ท่านได้กล่าวตามลำนำของชายมุสลิมคนหนึ่ง สิ่งไม่ได้ถูกเอ่ยนามแก่ข้าพเจ้า[110] อิบนุ ชีฮาบได้กล่าวว่า ไม่ได้ถ่ายทอดมาถึงพวกเราในหะดีษต่างๆ ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ แสดงการขับลำนำครบหนึ่งบท นอกจากบรรดาบาทเหล่านื้

อะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบีของอัลลอฮ์  ซ.ล. ได้มุ่งหน้ามายังนครมะดีนะห์ มีอะบูบักร์นั่งซ้อนมาข้างหลัง ท่านนบีเป็นผู้ชายหนุ่มที่ไม่มีใครรู้จัก ส่วนอะบูบักร์เป็นคนชรา ทิ่มีผู้รู้จัก ได้มีผู้ชายคนหนึ่งพบกับอะบูบักร์จึงได้ถามว่า โอ้อะบูบักร์ผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้าท่าน คนนี้เป็นใครอะบูบักร์ตอบว่า ชายคนนี้คือผู้ที่จะชี้ทางให้แก่ข้าพเจ้า คนที่คิดก็จะคิดว่ามันคือ ถนนหนทาง แต่ความจริงแล้วอะบูบักร์หมายถึง หนทางที่ดีอะบูบักร์ได้หันไปดู บังเอิญมีคน ขี่ม้าติดตามพวกเขามา เขาจึงได้กล่าวแก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ว่า มีคนขี่ม้าติดตามพวกเรา มา ท่านนบีของอัลลอฮ์  ซ.ล. จึงได้เห็นและกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์อัลเลาะห์จงได้โปรด ให้มันล้มคว่ำลง ต่อมาม้าของเขาจึงได้ทำให้เขาล้มคว่ำลง หลังจากม้าลุกขึ้นยืนได้มันก็ส่งเสียงร้องลั่น ชายที่ขี่ม้าจึงได้กล่าวว่าโอ้นบีของอัลลอฮ์ได้โปรดสั่งข้าพเจ้าให้ปฏิบัติตามที่ท่านต้องการเกิด ท่านจึงได้กล่าวว่าท่านจงอยู่ในที่เดิมของท่าน ท่านจงอย่าปล่อยให้มีใครติดตามพวกเรามา เขาได้กล่าวว่าชายที่ขี่ม้านั้นในตอนเช้าเขาเป็นผู้ที่พยายามจะทำร้ายนบีของอัลลอฮ์  ซ.ล. แต่ในตอนเย็นเขากลับเป็นผู้ที่ให้ความช่วยเหลือแก่ท่าน[111] ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ลงพัก ที่ด้านหนึ่งของลานหินดำ[112] ท่านได้ส่งคนไปหาพวกอันซอร พวกเขาได้มาแล้ว ได้กล่าวสลาม แก่ท่านทั้งสอง พวกเขากล่าวว่า ท่านทั้งสองจงขึ้นขี่เถิดอย่างมีความปลอดภัยและอย่างมีผู้เชื่อฟัง ท่านนบีของอัลลอฮ์  ซ.ล. และอะบูบักร จึงได้ขึ้นขี่พาหนะ พวกเขาได้เข้ามาห้อมล้อม ท่านนบีโดยทุกคนสะพายอาวุธ[113] ได้มีการโจษจันขึ้นที่นครมะดีนะห์ว่า นะบีของอัลลอฮ์ได้มาแล้ว นบีของอัลลอฮ์ได้มาแล้ว พวกเขาจึงได้ขึ้นไปบนที่สูงคอยมองดู และพากันกล่าว ว่า นบีของอัลเลาะห์ได้มาแล้ว นบีของอัลเลาะห์ได้มาแล้ว ท่านนบีได้มุ่งหน้าเดินทางมาจน กระทั่งท่านได้ลงพักที่ด้านหนึ่งของบริเวณบ้านของบะนีไอยูบ ท่านนบี  ซ.ล. ได้ถามขึ้นว่า บ้านของครอบครัวของเราหลังใดใกล้ที่สุดอะบูไอยูบกล่าวว่า[114] ข้าพเจ้าโอ้ท่านบีของอัลลอฮ์ นี่คือบริเวณบ้านของข้าพเจ้า และนี่คือประตูบ้านของข้าพเจ้า ท่านได้กล่าวว่าดังนั่นท่านจงไป เตรียมสถานที่พักผ่อนให้เรา อะบูไอยูบได้กล่าวว่า ท่านทั้งสองจงลุกขึ้นเกิดด้วยความมีสิริมงคล จากอัลลอฮ์ตาอาลา 

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดยบุคอรี

เล่าจากบะรออฺ บิน อาซิบ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะบูบักร์ได้เอาพาหนะจากบิดาของข้าพเจ้าด้วยราคาสิบสามดิรฮัม และได้เล่าหะดีษเรื่องการอพยพจากอะบูบักรจนถึงที่อะบูบักร กล่าวว่าเมื่อเขาได้เข้ามาใกล้พวกเราหมายถึง สุรอเกาะห์ท่านนบี  ซ.ล. ได้วิงวอนขอให้สิ่งเลวร้ายจงบังเกิดขึ้นกับเขา ก็ได้ปรากฏว่าม้าของเขาจมลงไปในพื้นดินจนถึงท้อง สุรอเกาะห์ได้กระโดดลงมาจากหลังม้าและกล่าวว่าโอ้มุฮัมมัด แท้จริงท่านย่อมรู้ว่าสิ่งนี้เป็นการกระทำของท่าน ขอท่านได้โปรดวิงวอนต่ออัลลอฮ์ ให้ข้าพเจ้าหลุดพันจากสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังเผชิญอยู่นี้ โดยท่านจะได้รับจากข้าพเจ้าคือ ข้าพเจ้าจะไม่บอก (เรื่องของท่าน) แก่คนที่อยู่ข้างหลังข้าพเจ้า นี่คือ ซองใส่ลูกธนูของข้าพเจ้า ท่านจงรับเอาลูกธนูไปบ้าง เพราะแท้จริงท่านจะต้องเดินทาง ผ่านอูฐของข้าพเจ้าและทาสของข้าพเจ้าที่อยู่ที่นั่นที่นั่น ท่านจงเอามันไปบ้างเท่าที่ท่านจำเป็น ท่านนบีได้กล่าวว่าเราไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยอูฐของท่าน ต่อมาพวกเราได้มาถึงนครมะดีนะห์ในเวลากลางคืนพวกเขาได้ยื้อแย่งกันว่าใคร ที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. จะลงพักอยู่กับเขา

ท่านนบีได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ลงพักอยู่กับบะนีอันนัจยาร ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าชายอับดุลมุดตอลิบ ข้าพเจ้าจะให้เกียรติพวกเขาด้วยการพักอยู่กับพวกเขา พวกผู้ชายและผู้หญิงได้ขึ้นไปบนบ้าน เด็กๆ และคนรับใช้ แยกย้ายกันไปตามทางเดิน พากันตะโกนร้องเรียกโอ้มุฮัมมัด โอ้ศาสนทูต ของอัลลอฮ์ โอ้มุฮัมมัด โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากบะรออฺ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า บุคคลแรกที่ได้มาถึงพวกเราที่นครมะดีนะห์คือมุสอับ บิน อุเมร และอิบนิอุมมิ มักตูม เขาทั้งสองได้สอนประชาชนให้อ่านพระคัมภีร์ อัลกุรอาน ต่อมาก็ได้แก่บิลาล สะอัดบินอะบีวักกอส และอัมมาร บินยาซิร หลังจากนั้นได้แก่ ท่านอุมัรบินค๊อตต๊อบ พร้อมกับยี่สิบท่านจากเหล่าอัครสาวกของท่านนบี  ซ.ล. หลังจากนั่นท่านนบี  ซ.ล. ก็ได้มาถึงนครมะดีนะห์ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นซาวนครมะดีนะห์ ดีใจในสิ่งใดเหมือนกับที่พวกเขาดีใจ ในการมาของท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. จนแม้กระทั่ง ทาสหญิงก็กล่าวกันว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้มาแล้ว 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

การอพยพของชาวเรือ766 571

เล่าจากอะบีมูซา  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้รับข่าวว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ได้อพยพออกไป ขณะนั้นพวกเราอยู่ที่ประเทศยะมัน พวกเราจึงได้อพยพออกไปหาท่านมีตัว ข้าพเจ้าและพี่น้องของข้าพเจ้าอีกสองคน ข้าพเจ้าเป็นคนเล็กที่สุดคนหนึ่งคืออะบูบุรดะห์ และ อีกคนหนึ่งคืออะบูรุห์มฺ พร้อมด้วยพรรคพวกของข้าพเจ้าอีกกว่าห้าสิบคน พวกเราได้โดยสารเรือไป เรือได้นำพวกเราไปถึงกษัตริย์นัจญาซีย์ที่แผ่นดินฮะบะชะห์ (อบิสิเนีย) พวกเราได้พบ ยะอฟัร บิน อะบีตอลิบ พร้อมด้วยมิตรสหายของเขาอยู่กับกษัตริย์นัจญาซีย์ ยะอฺฟัร ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้ส่งพวกเรามาที่นี้ และได้ใช้พวกเราให้พำนักอยู่ ดังนั้นพวกท่าน จงพำนักอยู่กับพวกเราเถิด พวกเราจึงได้พำนักอยู่กับเขา (ยะอฺฟัร) จนกระทั่งพวกเราได้มากัน ทั่งหมด[115]  และพวกเราได้มาพบกับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ขณะที่ท่านได้รับชัยชนะที่สมรภูมิคอยบัร ท่านได้ให้พวกเรามีส่วนได้หรือผู้เล่าได้กล่าวว่า ท่านได้ให้แก่พวกเราจากทรัพย์ที่ ได้จากคอยบัร ท่านไม่ได้แบ่งให้แก่ผู้ใดที่ไม่ได้อยู่ร่วมในชัยชนะที่คอยบัร สิ่งใดๆ เลย นอกจากพวกเราที่อพยพมาทางเรือพร้อมกับยะอฺฟัร และมิตรสหายของเขาเท่านั้น ท่านนบีได้แบ่งส่วน ให้แก่พวกเขา พร้อมกับพวกเขาได้มีบางคนกล่าวแก่พวกเราว่า[116] พวกเราได้อพยพมาก่อนหน้าพวกท่าน ต่อมาอัสมาอุ บิน อุเมส ได้เข้ามาหาฮัฟเซาะห์  ร.ฎ. เพื่อเยี่ยมเยียนหล่อน จากนั้นอุมัรก็ได้เข้ามาที่คนทั่งสองแล้วกล่าวว่าหญิงผู้นี้เป็นใคร ฮัฟเซาะห์ตอบว่าอัสมาอุ บิน อุเมส อุมัรกล่าวว่า ชาวอบิสิเนียคือคนนี้และชาวทะเลก็คือคนนี้ อัสมาอุตอบว่าใช่แล้ว อุมัร จึงได้กล่าวว่าพวกเราได้อพยพล่วงหน้ามาก่อนพวกท่าน ดังนั้นพวกเราจึงมีสิทธิในตัวของท่าน เราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ยี่งกว่าพวกท่าน อัสมาอุโกรธจึงพูดขึ้นว่า ท่านโกหก โอ้ อุมัร มันไม่ใช่ เช่นนั้น สาบานต่ออัลเลาะห์พวกท่านอยู่กับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. โดยมีท่านรอซูลให้อาหาร คนที่หิวโหยของพวกท่าน ให้การอบรมสั่งสอนคนที่โง่เขลาของพวกท่าน ส่วนพวกเราอยู่ใน ดินแดนที่ไม่มีญาติพี่น้อง และถูกปองร้ายในดินแดนฮะบะชะห์ (อบิสิเนีย) ทั่งหมดนั้นเพื่ออัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่าข้าพเจ้าจะไม่รับประทานอาหาร และจะไม่ดื่มนํ้าจนกว่าข้าพเจ้าจะเล่าสิ่งที่ท่านพูดให้แก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. พวกเราเคย ถูกคุกคามเคยตกอยู่ในความหวาดกลัว และข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องนั้นแก่ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ด้วยและถามท่าน และขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้าจะไม่โกหก จะไม่บิดเบือนและจะไม่ เพิ่มเติมเกินกว่านั้น เมื่อท่านนบี  ซ.ล. ได้มาข้าพเจ้ากล่าวว่า โอ้ท่านนบีของอัลลอฮ์แท้จริง อุมัรได้กล่าวอย่างนั้นๆ ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. จึงได้กล่าวว่าเขาไม่ได้มีสิทธิในตัวข้าพเจ้า ยิ่งกว่าพวกท่าน เพราะตัวเขาและมิตรสหายของเขานั้นอพยพเพียงครั้งเดียว ส่วนพวกท่านพวกชาวเรือได้อพยพสองครั้ง อัสมาอฺได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นอะบูมูซา และบรรดาผู้อพยพ ทางเรือพากันมาหาข้าพเจ้าหลายระลอก มาถามข้าพเจ้าถึงหะดีษนี้ ไม่มีสิ่งใคในโลกนี้ที่พวก เขาจะภูมิใจ และหัวใจพองโตไปยิ่งกว่าคำพูดที่ท่านรอซุลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้พูดถึงพวกเขา อัสมาอฺได้กล่าวว่า ปรากฏว่าอะบูมูซาได้มาขอร้องข้าพเจ้าให้เล่าหะดีษะบทนี้ให้เขาฟังอีก[117]

รายงานโดยมุสลิม ในเรื่องความประเสริฐต่างๆ และบุคอีร ในเรื่องการอพยพไปอบิสิเนีย

ความเห็นของท่านนบี  ซ.ล. ในกิจการต่างๆ ของโลก 572

เล่าจากอะบี ฮุไมด์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ออกไปสงครามตะบูกพร้อมกับท่าน เราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. พวกเราได้มาถึงลำธารของหมู่บ้าน ณ สวนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของผู้หญิงคนหนึ่ง ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจงคำนวณผลของมัน พวกเราจึงได้คำนวณ และท่านรอซุลุลเลาะห์  ซ.ล. ก็ได้คำนวณมัน ได้สิบเอาซุก[118] ท่านได้กล่าวแก่หญิง นั้นว่าเธอจงคำนวณมันจนกว่าพวกเราจะกลับมาหาเธอ ถ้าหากพระองค์อัลลอฮ์มีประสงค์ และพวกเราก็ได้ออกเดินทางจนพวกเราได้มาถึงตะบุก ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ได้กล่าวว่าในคืนนี้จะมีลมแรงจัด พัดมาทำความเสียหายแก่พวกท่าน ดังนั้น ไม่ให่ใครคนหนึ่งในพวกท่าน ลุกขึ้นยืน และผู้ใดมีอูฐให้เขาจงผูกขามันเสีย และแลัวลมที่แรงจัดก็ได้พัดมา ได้มีชายคนหนึ่งลุกขึ้นปรากฏว่าลมได้หอบเขาไปตกที่ภูเขาสองลูกของเผ่าตอยยิอฺ[119] ทูตของอิบนิลอัลมาอุเจ้าเมืองไอละห์ได้มาหาท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. พร้อมด้วยสาส์นฉบับหนึ่งและมอบล่อสีขาว ให้เป็นของขวัญแก่ท่าน ต่อมาท่านรอซุลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้เขียนสาสน์ส่งไปถึงเขา (อิบนิลอัลมาอุ) และได้มอบผ้าคลุมผืนหนึ่งเป็นของขวัญแก่เขา หลังจากนั้นพวกเราก็ได้เดินทางกลับ เข้ามาถึงลำธารของหมู่บ้านนั้น ท่านรอซุลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ถามผู้หญิงคนนั้นถึงสวนของหล่อนว่าผลไม้ถึงจำนวนเท่าไหร่ หญิงผู้นั้นตอบว่าสิบเอาซุก ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าจะรีบเดินทางผู้ใดจากพวกท่านต้องการให้เขาจงรีบไปพร้อมกับข้าพเจ้า และผู้ใดต้องการให้เขาจงหยุดอยู่ พวกเราจึงได้ออกเดินทางจนกระทั่งพวกเราได้เห็นนครมะดีนะห์ ท่านได้กล่าวว่า นี่คือ ตอบะห์ นี่คือ ภูเขาอุฮุด เป็นภูเขาที่มันรักเรา และเราก็รักมัน หลัง จากนั้นท่านได้กล่าวว่า แท้จริงบ้านเรือนที่ดีที่สุดของชาวอันซอรคือบ้านเรือนของบะนีอับดิ้ล อัชฮั้ล รองลงมาคือบ้านของบะนีอัลฮาริษ บิน คอชร็อจ รองลงมาคือบ้านของบะนีชาอิดะห์ และความดีนั้นอยู่ในบ้านของชาวอันซอรทั้งหมด ต่อมาสะอัด บิน อุบาดะห์ได้ตามมาทันพวก เรา อะบูอุไซด์จึงได้กล่าวขึ้นว่า ท่านไม่เห็นหรือว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ชมเชยบ้าน ของชาวอันซอรว่าดีที่สุด และท่านได้จัดอันดับพวกเราไว้เป็นอันดับสุดท้าย ต่อจากนั้นสะอัด ได้บอกแก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. โดยได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอห์ ท่านได้ชมเชยบ้าน ของชาวอันซอรว่าดีที่สุด และท่านได้จัดอันดับเราไว้ที่หลัง ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านยังไม่พออีกหรือที่พวกท่านก็เป็นส่วนหนึ่งจากคนที่ดีๆ

เล่าจากรอเฟียะอุ บิน คอดีจ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบีของอัลลอฮ์  ซ.ล. ได้มา ถึงนครมะดีนะห์ในสภาพที่ชาวเมืองกำลังผสมเกสรอินทผลัม[120]ท่านได้ถามว่า พวกท่านกำลัง ทำอะไรพวกเขาตอบว่า พวกเรากำลังทำสิ่งที่เคยทำ ท่านจึงได้กล่าวว่า หวังว่าถ้าหากพวกท่าน ไม่กระทำจะเป็นการดียิ่งกว่า พวกเขาจึงเลิกกระทำและต่อมาปรากฏว่าอินทผลัมให้ผลไม่สมบูรณ์ พวกเขาจึงได้ใปบอกให้ท่านทราบเรื่องดังกล่าวท่านได้กล่าวว่าความจริงข้าพเจัาก็เป็นเพียงมนุษย์[121] 

และในบางรายงานท่านได้กล่าวว่า พวกท่านรู้เรื่องดุนยาของพวกท่านดีกว่า[122] 

รายงาน โดยมุสลิม

ตอนที่แปด มัวะอญิซาตฃองท่านนบี  ซ.ล. น้ำพุ่งออกมาจากซอกนิ้วของท่านนบ  ซ.ล.

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้มีผู้นำภาชนะใบหนึ่งมาให้ท่านนบี  ซ.ล. ขณะที่ ท่านอยู่ที่เซารออุ[123]พร้อมกับอัครสาวกของท่าน ท่านได้เอามือวางลงในภาชนะ นํ้าได้เริ่มพุ่ง ออกมาจากซอกนิ้วของท่าน และประชาชนเหล่านั้นได้อาบนํ้าละหมาด กอตาดะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจัาได้กล่าวกับอะนัสว่า พวกท่านมีกี่คน อะนัสตอบว่าสามร้อยหรือจำนวนสามร้อยคน 

รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม

และเล่าจากเขา (อะนํส) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. และ ใกล้เวลาละหมาดอัสร์แล้ว นิ้วที่จะนำมาอาบนํ้าละหมาดได้ถูกค้นหา แต่พวกเขาก็ไม่พบ ต่อ มาได้มีผู้นำนํ้าที่จะใข้อาบนํ้าละหมาดมาให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ท่านไตัวางมือของท่าน ลงในภาชนะนั้น ท่านได้ออกคำสั่งให้ประชาชนอาบนํ้าละหมาดจากภาชนะนั้น ข้าพเจ้าได้เห็น นํ้าพุ่งออกมาจากซอกนิ้วของท่าน ประชาชนได้อาบนํ้าละหมาดจนพวกเขาได้อาบนำละหมาด ถึงคนสุดท้ายของพวกเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่าท่านนบี  ซ.ล. ได้ออกไปในการเดินทางบางครั้ง ของท่าน และได้มีประชาชนกลุ่มหนึ่งจากอัครสาวกของท่าน ร่วมไปกับท่านด้วย พวกเขาได้ เริ่มออกเดินทางจนได้เวลาละหมาด และพวกเขาไม่พบน้ำที่จะใช้อาบน้ำละหมาด ได้มีชาย คนหนึ่งจากกลุ่มนั้นเดินทางไปและได้นำภาชนะใบหนึ่งทิ่มีเพียงนํ้าอยู่เล็กน้อยมา ท่านนบี  ซ.ล.ได้อาบนํ้าละหมาดจากภาชนะนั้น หลังจากนั้นท่านได้ยื่นนิ้วมือทั้งสี่ไปบนภาชนะนั้นต่อมาท่าน ได้กล่าวว่า พวกท่านจงลุกขึ้นอาบน้ำละหมาดประชาชนเหล่านั้นได้อาบน้ำละหมาดจนพวกเขาได้บรรลุถึงสี่งที่พวกเขาต้องการคือน้ำที่ใช้อาบน้ำละหมาด และปรากฏว่าคนเหล่านั้นมีจำนวน เจ็บสิบคนหรือประมาณนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ประชาชนพากันกระหายน้ำในวันฮุไดบียะห์ และเบื้องหน้าท่านนบี  ซ.ล. นั้นมีถุงหนังใสน้ำใบเล็กๆ ใบหนึ่ง ท่านได้อาบน้ำละหมาด ประชาชน ได้พากันรีบตรงมายังท่าน ท่านได้ถามว่า พวกท่านเป็นอย่างไรกันบ้าง พวกเขาตอบว่าพวกเรา ไม่มีน้ำที่จะใช้อาบละหมาดและที่พวกเราจะ

ดื่ม นอกจากสี่งที่มีอยู่เบื้องหน้าท่านนี้เท่านั้น ท่าน จึงได้เอามือของท่านวางลงในลุงหนังใสน้ำใบนั้น ได้มีนํ้าพุ่งออกมาจากซอกนิ้วของท่านเหมือน กับตาน้ำ พวกเราได้ดื่มและได้อาบน้ำละหมาด มีผู้ถามว่าพวกท่านมีกี่คน เขา (ญาบิร) ตอบว่า ถ้าหากพวกเรามีจำนวนหนึ่งแสนคน มันก็จะพอเพียงแก่พวกเรา พวกเรา (ในวันนั้น) มีจำนวนหนึ่งพันห้าร้อยคน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

ทำน้ำน้อยให้มากขึ้นด้วยสิริมงคลของท่านนบี  ซ.ล. 574

เล่าจากบะรออฺ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราอยู่ในวันฮุไดบียะห์ มีจำนวนหนึ่งพันสี่ร้อยคน ฮุได้บียะห์ เป็นบ่อใบหนึ่งที่พวกเราได้ตักน้ำของมันจนกระทั่งพวกเราไม่ได้ปล่อยไว้สักหยดเดียว ท่านนบี  ซ.ล. ได้นั่งอยู่ที่ปากบ่อ ท่านได้เรียกหาน้ำและได้นำไปวนในปากและได้บ้วน ลงในบ่อ พวกเราพักอยู่ไม่ไกลนัก หลังจากนั้นพวกเราได้ดื่มน้ำจนอิ่มและพาหนะของเราก็อิ่ม หรือเต็ม

เล่าจากอิมรอน บิน ฮุซอยน์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ร่วมกับท่านนบี  ซ.ล. ในการเดินทางครั้งหนึ่งและท่านได้ให้ข้าพเจ้าเดินทางอยู่ในขบวนข้างหน้าท่าน พวกเราได้เกิด การกระหายน้ำอย่างรุนแรงขณะที่พวกเรากำลังเดินทางอยู่นั้น บังเอิญพวกเราได้พบกับผู้หญิง คนหนึ่งลากเท้าทั้งสองข้างของหล่อน ระหว่างถุงหนังบรรจุน้ำสองใบ พวกเราได้ถามหล่อนว่า น้ำอยู่ที่ไหน หล่อนตอบว่าไม่มีน้ำ พวกเราถามว่าระยะทางเท่าใดระหว่างครอบครัวของเธอ และระหว่างน้ำหล่อนตอบว่าวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง พวกเราจึงได้กล่าวว่าเธอจงไปหาท่านรอซูลุลลอห์  ซ.ล. หล่อนตอบว่า เราะซูลุลลอฮ์คืออะไร ดังนั้นพวกเราจึงไม่ได้ให้หล่อนควบคุม เรื่องของหล่อนอีกต่อไป จนพวกเราได้นำหล่อนมาอยู่เบื้องหน้าท่านนบี  ซ.ล. หล่อนได้เล่า ให้ท่านฟังเหมือนกับที่เล่าให้พวกเราฟัง นอกจากหล่อนได้เล่าให้ท่านนบีฟังว่าหล่อนมีถูกกำพร้าหลายคน ท่านจึงได้ใช้ให้นำเอาถุงหนังบรรจุนํ้าทั้งสองใบของหล่อนลง และท่านได้ลูบปาก ถุงหนังบรรจุน้ำทั้งสองใบนั้นพวกเราได้ดื่มอย่างกระหายถึงสี่สิบคนจนพวกเราอิ่มและพวกเราได้บรรจุจนเต็มถุงหนังใส่น้ำทุกใบที่เรามี รวมทั้งภาชนะที่ใสนํ้าทุกใบด้วย แต่พวกเราไม่ได้ให้ อูฐดื่มนํ้า ในขณะที่มันเถือ บจะไหลออกมาเพราะเต็มอิ่ม ต่อมาท่านได้กล่าวว่าพวกท่านจงนำ สี่งที่พวกท่านมีอยู่มาที่นี่ ต่อมามันจึงได้ถูกรวบรวมให้แก่หล่อนจากขนมปังหักๆ และอินทผลัม จนในที่สุดหล่อนได้มาถึงครอบครัวของหล่อนและหล่อนได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พบกับยอดนักเล่นกล หรือนบีตามที่พวกเขากล่าวอ้าง ต่อมาพระองค์อัลลอฮ์ได้ฮิดายะห์ให้แก่พวกพเนจร เลี้ยงสัตร์กลุ่มนั้น โดยหญิงผู้นั้น เพราะหล่อนได้เข้านับถือศาสนาอิสลามและพวกเขาก็ได้เข้า นับถือศาสนาอิสลาม 

รายงานโดยบุคอรี

การทำให้อาหารเพิ่มปริมาณมากขึ้นจนพอกับความต้องการของกลุ่มชนนั้น

และจนเกินความต้องการ 575

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. กล่าวว่า อะบูตอลฮะห์ได้กล่าวแก่อุมมุซุไลม์ว่าแท้จริงข้าพเจ้า ได้ยินเสียงท่าน

เราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. อ่อนลง ซึ่งข้าพเจ้ารู้ว่าในตัวท่านนั้นมีความหิว ที่เธอมีสิ่งใดบ้าง หล่อนตอบว่ามี พร้อมกับได้นำขนมปังหลายแผ่นที่ทำจากข้าวบาร์เล่ย์ออกมา จาก นั้นหล่อนได้เอาผ้าคลุมศีรษะของหล่อนออกมาและได้นำบางส่วนของมันห่อขนมปัง จากนั้น หล่อนได้นำมันมาใสไว้ใต้แขนของข้าพเจ้า (อะนัส) โดยหล่อนไม่ได้พับด้วยส่วนที่เหลือนั้นต่อมาหล่อนได้ส่งข้าพเจ้าไปหาท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ข้าพเจ้าจึงได้ไปและได้พบกับท่าน ในมัสยิด โดยมีประชาชนอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าได้ยืนอยู่เหนือประชาชนเหล่านั้น ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า อะบูตอลฮะห์ส่งท่านมาหรือ ข้าพเจ้าตอบว่า ครับ ท่าน

กล่าวว่าพร้อมด้วยอาหารใช่ไหม ข้าพเจ้าตอบว่า ใช่ครับ ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. จึงได้

กล่าวแก่ผู้ที่อยู่กับท่านว่า ท่านทั้งหลายจงลุกขึ้น ท่านได้ออกเดินไปโดยข้าพเจ้าเดินอยู่ข้างหน้า พวกเขาเหล่านั้น จนกระทั่งข้าพเจ้าได้มาถึงอะบูตอลฮะห์และได้เล่าให้เขาฟัง อะบูตอลฮะห์ ได้กล่าวขึ้นว่า โอ้อุมมุ ซุไลม์ แท้จริงท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ได้พาประชาชนมาโดยที่เรา ไม่มีสี่งที่จะเป็นอาหารให้แก่พวกเขาอุมม์ ซุไลม์ ตอบว่าอัลลอฮ์และศาสนทุตของพระองค์ ทราบได้ดี อะบูตอลฮะห์จึงได้ไปหาท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. และได้มาพร้อมกับท่าน ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เธอจงเอาออกมาเถิด โอ้อุมมุ ซุไลม์สิ่งที่เธอมีอยู่หล่อนได้ นำขนมปังนั้นออกมา ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. จึงได้ออกคำสั่ง ขนมปังนั้นจึงถูกนำมาป่น และอมมุ  ได้รีดถุงหนังที่บรรจุเนยและนํ้าผึ้ง (เพื่อเค้นมันออกมา) และหล่อนก็ได้นำ

มันไปทำเป็นกับแกล้มกับขนมปัง หลังจากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. พูดลงไปในขนมปัง นั้นตามแต่อัลเลาะห์ประสงคํให้ท่านพูด จากนั้นท่านได้กล่าวว่าจงอนุญาตให้เข้ามาได้สิบคน ท่าน ได้อนุญาตให้แก่พวกเขาและพวกเขาก็ได้รับประทานจนอิ่ม จากนั้นพวกเขาก็ได้ออกไป ต่อมา ท่านได้กล่าวว่า จงอนุญาตให้เข้ามาได้สิบคนท่านได้อนุญาตให้แก่พวกเขา และพวกเขาได้รับประทานจนอิ่ม จากนั้นก็ได้ออกไปต่อมาท่านได้กล่าวว่า จงอนุญาตให้เข้ามาได้สิบคน พวก เขาเหล่านั้นได้รับประทานกันหมดทุกคนและอิ่มหนำ พวกเหล่านั้นมีจำนวนเจ็ดสิบหรือแปดสิบคน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะที่คอนดัก (สนามเพลาะ) ได้ถูกขุดข้าพเจ้าได้เห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. มีความหิวโหยอย่างรุนแรงข้าพเจ้าจึงได้กลับไปหาภรรยาของ ข้าพเจ้า (ที่บ้าน) ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า เธอมีสิ่งใดอยู่บ้าง เพราะแท้จริงข้าพเจ้าได้พบว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. มีความหิวโหยอย่างรุนแรง หล่อนจึงได้นำถุงออกมาให้ข้าพเจ้าใบหนึ่ง ในนั้นมีข้าวบาร์เล่ย์หนึ่งซออุ768 และมีแกะเล็กๆ ตัวหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เชือดแกะตัวนั้น และหล่อน ได้โม่ข้าวบาร์เล่ย์หล่อนได้ทำเสร็จพร้อมกับข้าพเจ้าต่อมาหล่อนได้หั่น (เนื้อ) มันใส่ลงในหม้อ จากนั้นข้าพเจ้าได้หันกลับไปยังท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ภรรยาของข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ท่าน อย่าทำให้ข้าพเจ้าต้องอับอายท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. และบุคคลที่อยู่กับท่าน ข้าพเจ้าได้ไป หาท่านและได้กระซิบกับท่าน โดยข้าพเจ้ากล่าวว่า                                                          โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์เราได้เชือดแกะตัวหนึ่งของเรา และเราได้โม่ข้าวบาร์เล่ย์ที่เรามีอยู่จำนวนหนึ่งซออุ ดังนั้นขอเชิญท่านและกลุ่มชนที่อยู่ กับท่าน ท่านนบีได้ส่งเสียงขึ้นว่า โอ้ชาวสนามเพลาะทั้งหลาย แท้จริงญาบิรได้จัดงานเลี้ยงขึ้น ขอเชิญพวกท่านไปกันเร็วๆ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวขึ้นว่า ท่านจะต้องไม่ยกหม้อ ของท่านลง และจะต้องยังไม่นำเอาแป้งที่นวดไว้มาทำขนมปัง จนกว่าข้าพเจ้าจะมา ต่อจากนั้น ข้าพเจ้าได้มาและท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ก็ได้มาโดยนำหน้าประชาชนจนกระทั่งข้าพเจ้าได้มาที่ภรรยาของข้าพเจ้า หล่อนได้กล่าวว่าเพราะท่านที่เดียว เพราะท่านที่เดียว ข้าพเจ้าได้ กล่าวว่าแท้จริงข้าพเจ้าได้บอกตามที่เธอบอกแล้ว จากนั้นหล่อนได้นำแป้งที่นวดแล้วออกมาให้ ท่านนบี ท่านได้ถ่มน้ำลายลงไป และมันก็มีสิริมงคล (เพิ่มขึ้น) หลังจากนั้นท่านได้ตรงไปยัง หม้อของพวกเรา และท่านได้ถ่มนํ้าลายลงไปในหม้อนั้น และมันมีสิริมงคล จากนั้นท่านรอซู ลัลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เธอจงไปเชิญช่างทำขนมปังมาให้ทำขนมปังพร้อมกับเธอ และให้เธอจงตักจากหม้อของ

พวกท่าน โดยพวกท่านอย่ายกมันลง (จากเตา) พวกเขามีจำนวนหนึ่ง พันคน ข้าพเจ้าขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า แท้จริงพวกเขาได้รับประทานกัน จนกระทั่งผละทิ้ง และได้กลับไปโดยที่หม้อของเรายังเดือดอยู่อย่างเดิม และแป้งที่นวดแล้วของเราก็ยังคงถูกทำ ขนมปังอยู่เหมือนเดิม 

รายงานโดยมุคอรีในเรื่องสงครามสนามเพลาะ

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ หรืออะบี สะอีด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ในขณะที่เกิดสงครามตะบูฑ ความหิวโหยได้ประสพกับประชาชนพวกเขากล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ถ้าแม้ท่านยินยอม ให้พวกเรา พวกเราก็จะเข้อดอูฐที่ใข้บรรทุกนํ้าของเรา และพวกเราก็จะได้รับประทานและ จะได้นำไขมันมาชะโลมตัว   ท่านได้กล่าวว่าพวกท่านจงกระทำเถิด ต่อมาท่านอุมัรได้มาและ

ได้กล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ถ้าหากท่านกระทำเช่นนั้น พาหนะก็จะลดน้อยลง แต่ท่านจง ประกาศเรียกพวกเขาให้นำเสบียงของพวกเขาที่เหลืออยู่มา จากนั้นให้ท่านจงวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ให้แก่พวกเขา เหนือเสบียงนั้นด้วยความเพิ่มพูนหวังว่าอัลเลาะห์จะประทานให้เกิด (ความเพิ่มพูนและความดี) ขึ้นในเสบียงนั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่าตกลง ต่อมาท่าน ก็ได้เรียกให้นำแผ่นหนังมาและท่านได้ปูมันลงจากนั้นท่านได้เรียกร้องให้นำเอาเสบียงของพวก เขาที่เหลืออยู่มา ได้มีชายคนหนึ่งนำข้าวโพดมากอบมือหนึ่ง อีกคนหนึ่งนำอินทผลัมมากอบ มือหนึ่ง และอีกคนหนึ่งนำขนมปังหักๆ มา จนกระทั่งมันได้กองอยู่บนแผ่นหนังจากดังกล่าว นั้น สิ่งของเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผู้เล่าได้กล่าวว่า จากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ก็ได้วิงวอน ขอความเพิ่มพูนให้เกิดขึ้นแก่มันแล้วท่านก็กล่าวว่า พวกท่านจงบรรจุลงในภาชนะของพวกท่าน จนพวกเขาไม่ได้ทิ้งภาชนะใดไว้ในกองทหารนอกจากพวกเขาได้บรรจุมันจนเต็ม ผู้เล่าได้กล่าว ว่า พวกเขาได้รับประทานจนอิ่มและยังมีของเหลืออยู่อีก ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากอัลเลาะห์ และแท้จริงข้าพเจ้าเป็นทูตประกาศศาสนาของอัลเลาะห์ ไม่มีบ่าวคนใดที่พบกับอัลเลาะห์ด้วยประโยคทั้งสอง นอกจากเป็นผู้ที่สงสัยดังนั้นเขาจะถูกปิดบังจากสวรรค์

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี  ซ.ล. ขออาหารจากท่าน ท่านได้ให้อาหารแก่เขาจำนวนครึ่งวัสก์จากข้าวบาร์เลย์ ชายคนนั้นคงได้รับประทานข้าวบาร์เล่ย์นั้น รวมทั้งภรรยาและแขกของคนทั้งสองจนเขาเบึ่อมันต่อมาเขาได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. และท่าน ได้กล่าวว่า ถ้าแม้ท่านไม่เบื่อมัน พวกท่านก็จะได้รับประทานมัน และมันก็ยังคงอยู่เป็นประโยชน์ แก่พวกท่าน 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม

เล่าจากสะมุเราะห์ บินขุนดุบ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเราอยู่พร้อมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. พวกเรากำลังรับประทานอาหารในถาดใบหนึ่งเป็นอาหารกลางวัน จนถึงกลางคืน จะลุกขึ้นสิบคน และลงนั่งสิบคนพวกเราได้ถามว่า อาหารถาดนี้ถูกส่งมาเสริมอย่างไร ท่านได้กล่าว ว่าพวกท่านประหลาดใจจากสิ่งใดอาหารถาดนี้ไม่ได้ถูกเสริมเว้นแต่จากที่นี่ และท่านได้ชชี้มือ ขั้นฟ้า 

รายเงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

อาหารได้กล่าวคำตัสเบียะห็ต่อหน้าท่าหหบี  ซ.ล. 578

เล่าจากอับดิ้ลลาห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้นับสัญญาณต่างๆ ว่าเป็นสิริมงคล และพวกท่านนับสัญญาณต่าง ๆ ว่า เป็นการบอกข่าวที่น่ากลัว พวกเราเคยร่วมเดินทางไปกับ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ต่อมาน้ำมีน้อยท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจงไปค้นหานํ้าที่เหลืออยู่ จากนั้นพวกเขาได้นำภาชนะใบหนึ่งมาในนั้นมีนํ้าเพียงเล็กน้อย ท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงได้เอามือ ของท่านจุ่มลงไปในภาชนะนั้น หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่าเข้ญมาส่นํ้าที่มีมงคลและความมีมงคลนั้นมาจากอัลลอฮ์ขอสาบานว่าข้าพเจ้าได้เห็นนํ้าพุ่งออกมาจากซอกนิ้วของท่านนบี  ซ.ล. และพวกเราเคยได้ยินการกล่าวคำตัสบีหะห์ของอาหารขณะที่มันกำลังถูกรับประทาน

รายงานโดยมุคอรี และติรมิซี ด้วยตัวบทที่ว่าพวกเราได้รับประทานอาหารหลายชนิดพร้อมกับท่าน นบี  ซ.ล. และพวกเราได้ยินการกล่าวตัสบีหะห์ของอาหารนั้น

ทำให้อินทผลัมที่มีจำนวนเล็กน้อยมีปริมาณมากขึ้นจนพอชดใช้ให้แก่เจ้าหนี้

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าบิดาของข้าพเจ้าได้เสียชีวิตไปโดยมีพนี้สินติดอยู่เหนือท่าน ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. และได้กล่าวว่าแท้จริงบิดาของข้าพเจ้าได้ทิ้งหนี้สินไว้ โดย ไม่มีอะไรที่ข้าพเจ้าเลยนอกจากสิ่งที่ต้นอินทผลัมของเขาจะให้ผล และสิ่งที่มันจะให้ผลนั้นเป็น เวลาหลายปีก็ยังไม่ (ถึง) พอจำนวนหนี้สินที่ติดอยู่ ดังนั้นขอเชิญท่านไปพร้อมกับข้าพเจ้าเพื่อ บรรดาเจ้าหนี้จะได้ไม่ใช้วาจาหยาบคายกับข้าพเจ้า ดังนั้นต่อมาท่านจึงได้ไปเดินวนรอบลานแห่งหนึ่งจากบรรดาลานที่ตากอินทผลัม และท่านได้วิงวอนต่ออัลเลาะห์ หลังจากนั้นได้ทำอีกครั้งหนึ่ง และได้นั่งลงบนลานแห่งนั้น และท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงขนมันออกไป เขาได้นำไปชดใช้ให้แก่บรรดาเจ้าหนี้ด้วยสิ่งที่พวกเขามีสิทธิ์และยังคงเหลืออยู่อีกเท่ากับสิ่งที่ไค้ให้กับพวกเขาไป 

รายงานโดยมุคอรี

 


 

การครวญครางของต้นอินทผลัมเพราะท่านนบี  ซ.ล. 579

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่ามัสยิด (นบี) นั้นมีหลังคาตั้งอยู่บนเสาที่ทำ จากต้นอินทผลัมและปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล. นั้นเมื่อท่านแสดงธรรมคุตบะห์ ท่านจะยืนพิง อยู่กับเสาอินทผลัมต้นหนึ่ง และต่อมาเมื่อมิมบัร (แท่นแสดงธรรมคุตบะห์) ถูกสร้างขึ้นท่าน ก็ได้ขึ้นไปแสดงธรรมคุตบะห์บนมิมบัรนั้นพวกเราได้ยินเสาต้นนั้นมีเสียงร้องเหมือนเสียงอูฐตัวเมีย จนกระทั่งท่านนบี  ซ.ล. ได้มาและเอามือของท่านวางลงบนอินทผลัมต้นนั้น มันจึงเงียบเสียงและในบางรายงานว่า เมื่อถึงวันศุกร์และท่านได้นั่งลงบนมิมบัร เสาอินทผลัมต้นนั้นได้ส่งเสียงร้องเหมือนเสียงเด็ก 

รายงานโดยบุคอรี นะซาอี ติรมีซี ด้วยตัวบทที่ว่า เสาอินทผลัม ต้นนั้นได้ส่งเสียงครวญครางเหมือนเสียงอูฐตัวเมีย ท่านนบี  ซ.ล. ได้ลงมาและได้ลูบมันจึง หยุดครวญคราง

ต้นไม้เคลื่อนตามท่านนบี  ซ.ล.

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเราได้เดินทางไปพร้อมกับท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. จนกระทั่งพวกเราได้ลงพักที่หุบเขาอันกว้างใหญ่ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ออกไปเพื่อทำธุระส่วนตัว ข้าพเจ้าได้ติดตามท่านไปพร้อมด้วยภาชนะที่บรรจุนํ้า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้มองหาแต่ท่านไม่พบสิ่งใดที่จะใช้ปกปิดได้ บังเอิญมีต้นไม้สองต้นอยู่ที่ริมหุบเขานั้น ท่าน เราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้เดินไปหาต้นหนึ่งจากทั้งสอง ท่านได้จับกิ่งหนึ่งจากบรรดากิ่งของมัน แล้วพูดขึ้นว่าจงเคลื่อนตามข้าพเจ้าโดยคำอนุญาตของพระองค์อัลเลาะห์ มันได้เคลื่อนมาพร้อม กับท่านเหมือนอูฐที่ถูกสนสะพายซึ่งมันจะตามคนที่จูงมัน จนกระทั่งมาถึงอีกต้นหนึ่ง ท่านได้ จับกิ่งหนึ่งจากบรรดากิ่งของมันและได้กล่าวว่าจงเคลื่อนตามข้าพเจ้าโดยคำอนุญาตของพระองค์อัลเลาะห์มันก็ได้เคลื่อนมาพร้อมกับท่านเช่นเดียวกัน                                        จนกระทั่งท่านได้มาถึงสถานที่ที่อยู่กึ่ง

กลางระหว่างต้นไม้ทั้งสอง ท่านได้โน้มมันทั้งสองต้นเข้าหากัน โดยท่านกล่าวว่าเจ้าทั้งสองต้น จงโน้มเข้าหากันคลุมเหนือข้าพเจ้า โดยคำอนุญาตของพระองค์อัลลอฮ์ ทั้งสองต้นจึงได้โน้ม เข้าหากัน ญาบิรได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้พยายามออกไปห่างๆ กลัวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. จะรู้สึกว่ามีข้าพเจ้าอยู่ใกล้ๆ จะเป็นเหตุให้ท่านออกห่างไปหรือออกไปไกล ข้าพเจ้าได้นั่งลง รำพึงกับตัวเอง[124]ชั่วครู่เดียวที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้พบท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.มุ่งหน้ามาและต้นไม้ทั้งสองต้นได้แยกออกจากกัน แต่ละต้นได้ตั้งอยู่บนลำต้นของมัน ข้าพเจ้า ได้เห็นท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. หยุดอยู่ครู่หนึ่งท่านได้ใช้ศีรษะทำท่าอย่างนี้[125] จากนั้นท่านจึงได้มุ่งหน้ามา เมื่อมาถึงข้าพเจ้าท่านได้กล่าวว่าโอ้ญาบีรท่านได้เห็นตำแหน่งของข้าพเจ้าแล้วใช่ ไหม ข้าพเจ้าตอบว่า ครับโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ 

           รายงานโดยมุสลิม จากหะดีษที่ยาวของอะบิล ยุสริ  ร.ฎ. เรื่องที่ดวงจันทร์ถูกแยกนั้นจะกล่าวในซูเราะห์อิกตะร่อ บะติซซาอะห์ วัน ซักก้อล ก่อมัร ในภาคการบรรยายความหมายพระคัมภีร์อัลกุรอานอินชาอัลลอฮ์

คำวิงวอนของท่านนบี  ซ.ล. ได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็ว 580

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าความแห้งแล้งได้ประสพกับชาวนครมะดีนะห์ในสมัยท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ขณะที่ท่านกำลังแสดงธรรมคุตบะห์ในวันศุกร์นั้น ได้มีชายผู้หนึ่งลุกชื้นยืนแล้วกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ฝูงม้าได้เสียหายหมดแล้ว ฝูงแพะแกะได้ เสียหายหมดแล้วขอท่านได้โปรดวิงวอนต่อพระองค์อัลลอฮ์ให้ประทานน้ำฝนแก่พวกเรา ท่านได้ยื่นมือทั้งสองข้างของท่านและวิงวอนขออะนัสได้กล่าวว่าแท้จริงฟ้านั้น (ใส) เหมือน แผ่นกระจกต่อมากระแสลมได้เกิดป่นป่วนก่อให้เกิดเมฆและมันได้รวมตัวกันขึ้น ต่อมาฟ้าก็ได้ เทฝนลงมาอย่างหนัก พวกเราได้ออกไปลุยนํ้าจนมาถึงบ้านของพวกเราฝนยังดกอยู่เรื่อยๆ จน ถึงอีกวันศุกร์หนึ่ง ผู้ชายคนเดียวกันนั้นหรือคนอื่นได้ลุกชื้นยืนและกล่าวชื้นว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ บ้านเรือนฟังหมดแล้วได้โปรดวิงวอนต่ออัลลอฮ์ให้กักฝนไว้ ท่านนที่  ซ.ล. ยิ้ม หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า (ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดให้มันไปตก) รอบๆ พวกเราอย่าตกลงมาเป็นอันตรายแก่พวกเรา ข้าพเจ้าได้มองดูก้อนเมฆมันเคลื่อนออกไปอยู่รอบๆ นครมะดีนะห์ มีสภาพคล้ายมงกุฎ (ที่สวมอยู่บนศีรษะ)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

การบอกสิ่งเร้นลับต่าง ๆ

เล่าจากอะดีย์ บิน ฮาติม  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่กับท่านนบี  ซ.ล. ได้มีชายผู้หนึ่งมาหาท่านและได้ร้องเรียนแก่ท่านถึงความยากจน ภายหลังได้มีอีกคนหนึ่งมาหาท่านและได้ร้องเรียนว่ามีการปล้นสดมภ์ตามทางสัญจรท่านได้กล่าวว่า โอ้อะดีย์ท่านเคยเห็นเมือง ฮีเราะห์ไหม [126] ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่เคยเห็นแต่ข้าพเจ้าเคยได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับเมืองนี้ ท่านได้กล่าวว่าถ้าหากท่านมีอายยืนยาว ท่านก็จะต้องได้แลเห็นผู้หญิงที่นั่งอยู่บนหลังอูฐออกเดินทางจากเมืองฮีเราะห์ เพื่อมาทำการตอวาฟวิหารกะอุบะห์โดยหล่อนจะไม่เกรงกลัวผู้ใดเลยนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น ข้าพเจ้ากล่าวแก่ตัวเองว่า แล้วพวกผู้ร้ายของเผ่าตอยยิอที่คอยรังควานอยู่ในประเทศยะมันไปอยู่ที่ไหน และถ้าหากท่านมีอายุยืนยาวต่อไปคลังต่างๆ ของจักรพรรดิ์กิซรอ จะต้องถูกพิชิต ข้าพเจ้าถามว่า กิซรอ บิน ฮุรมุชหรือ[127] ท่านตอบว่าใช่แล้ว และถ้าหากท่านมีอายุยืนยาวต่อไปท่านจะต้องได้แลเห็นคนๆ หนึ่งนำทองคำหรือเงินออกมาเต็มฝ่ามือของเขาโดยเขาไม่พบคนที่จะรับมัน และคนหนึ่งจากพวกท่านจะต้องพบกกับพระองค์อัลลอฮ์ ในวันที่เขาพบนั้น โดยไม่มีล่ามถ่ายภาษาให้ระหว่างเขากับพระองค์อัลลอฮ์ พระ องค์จะกล่าวแก่เขาว่า เราไม่ได้ส่งศาลนทูตไปยังเจ้า                                                                                                       เพื่อเขาจะแจ้งให้เจ้าทราบหรือ เขาจะกล่าวว่าครับ (ท่านได้ส่งไปแล้ว) พระองค์จะกล่าวอีกว่า เราไม่ได้ให้ทรัพย์สมบัติและ ลูกหลาน และเราไม่ได้ให้การโปรดปรานแก่เจ้าจนล้นเหลือหรือ  เขาตอบว่าครับ (พระองค์ได้ให้แล้ว) จากนั้นเขาได้มองไปทางด้านขวาของเขา เขาไม่เห็นอะไรนอกจากนรกยะฮันนัม และเขาได้มองไปทางต้านข้าย เขาก็ไม่เห็นอะไรนอกจากนรกยะฮันนัม ดังนั้นท่านทั้งหลายจง เกรงกลัวไฟนรกเถิด ถึงแม้จะด้วยกับซีกหนึ่งของผลอินทผลัมก็ตาม และผู้ใดไม่มีก็ด้วยคำพูดที่ดี  อะดีย์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นผู้หญิงที่นั่งอยู่บนหลังอูฐเดินทางจากเมือง ฮีเราะห์ จนได้มา ตอวาฟที่วิหาร กะอบะห์ โดยหล่อนไม่กลัวสิ่งใดนอกจากอัลเลาะห์[128] และข้าพเจ้าเป็นบุคคล หนึ่งจากจำนวนบุคคลที่ได้เข้าพิชิตคลังสมบัติของจักรพรรดิกิซรอ และถ้าหากพวกท่านมีชีวิตยืนยาวต่อไป พวกท่านก็จะต้องได้พบเห็นสิ่งที่อะบุ้ลกอเซ็ม  ซ.ล. ได้พูดเอาไว้[129] 

รายงาน โดยบุคอรี

เล่าจากค๊อบบาบ บิน อัลอะร๊อตต์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ไปร้องเรียนต่อท่าน นบี  ซ.ล. ในสภาพที่ท่านเอาผ้าคลุมของท่านหนุนศีรษะอยู่ในร่มของวิหารกะอุบะห์ พวกเรา ได้กล่าวแก่ท่านว่า โปรดขอความช่วยเหลือให้แก่พวกเรา โปรดวิงวอนขอต่ออัลเลาะหให้แก่ พวกเรา[130]         ท่านได้ภล่าวว่ามีชายคนหนึ่งในยุคก่อนพวกท่านพื้นดินถูกขุดขึ้นเป็นหลุมเพื่อเขา และเขาถูกใส่ลงไปในหลุมนั้น เลื่อยได้ถูกนำมาและวางลงบนศีรษะของเขาและเขาก็ถูกผ่าออก เป็นสองซีก การทำเช่นนั้นไม่ได้ทำให้เขาหันเหออกจากศาสนาของเขา และ (มีชายอีกคนหนึ่ง) ถูกสับด้วยหวีเหล็กลึกลงไปในเนื้อของเขาถึงกระดูกหรือเส้นเอ็นและการกระทำเช่นนันก็ไม่ได้ทำให้เขาหันเหออกจากศาสนาของเขา สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ จะให้งานชิ้นนื้สมบูรณ์จนกระทั่งผู้โดยสารจะเดินทางจาก ซอนอาอุ ถึง ฮัดรอเมาต[131] โดยไม่ เกรงกลัวสิ่งใดนอกจากอัลเลาะห์ หรือกลัวหมาป่าจะขยำฝูงแกะของเขา แต่พวกท่านรีบร้อน 

รายงานโดยบุคอรีในบทนี้ และอะบูดาวูดในเรื่อง ยิฮาด

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้ละหมาด อิซาอ ร่วมกับพวกเรา ในคืนวันหนึ่งในบั้นปลายชีวิตของท่าน เมือท่านให้สลามแล้วก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้ว กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะบอกแก่พวกท่านในคืนนื้ว่า แท้จริงในต้นหนึ่งร้อยปีนับตั้งแต่คืนนี้ จะไม่มี เหลืออยู่จากบุคคลที่อยู่บนหลังแผ่นดินนี้สักคนเดียว อิบนุ อุมัรได้กล่าวประชาชนได้พูดกัน ไปต่างๆ นานา ในเรื่องนี้และได้พูดคุยถึงคำว่าหนึ่งร้อยปี ทุกคนพูดตามสิ่งที่ตนเข้าใจ แต่ความหมายของมันก็คือจะไม่มีใครเหลือ จากบุคคลที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้บนหลังพื้นแผ่นดินและมัน ก็จะสิ้นสุดศตวรรษนั้น 

รายงานโดยมุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

และญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. พูดไว้ก่อนท่าน เสียชีวิตหนึ่งเดือนว่า พวกท่านถามข้าพเจ้าถึงวันกิยามะห์ และแท้จริงความรู้เกี่ยวกับกำหนด วันกิยะมาห์นั้นอยู่ที่พระองค์อัลลอฮ์ และข้าพเจ้าสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า จะไม่มีๆ ชีวิตใดที่ถูก บังเกิดขึ้นมาบนพื้นแผ่นดินนี้ ที่เวลาหนึ่งร้อยปีได้ผ่านพ้นไปโดยจะยังมีชีวิตอยู่อีกในวันนั้น[132] 

รายงานโดยมุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า มีอยู่สองจำพวกที่เป็นชาวนรก ซึ่งข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นทั้งสองพวกนั้นคือ พวกหนึ่งมีแส้อยู่กับพวกเขาเหมือนหางวัว พวกเขา จะใช้มันเฆี่ยนประชาชน(อีกพวกหนึ่งคือ) พวกผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้า(แบบ)เปลือยกาย ยั่วยวน หันเหออกจากทางนำ หัวของพวกหล่อนเหมือนตะโหงกอูฐที่เอียง พวกผู้หญิงเหล่านั้นจะไม่ ได้เข้าสวรรค์ และไม่ได้พบกลิ่นของมัน แท้จริงกลิ่นสวรรค์จะพบได้ตั้งแต่ระยะเท่านั้นเท่านี้[133]

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เถือ บแล้วถ้าหาก ท่านมีชีวิตอยู่ยืนยาว ที่ท่านจะเห็นคนพวกหนึ่งในมือของพวกเขามีคล้ายหางวัว เช้าขึ้นมาพวก เขาจะอยู่ในความโกรธกริ้วของอัลลอฮ์ และตกเย็นพวกเขาก็จะอยู่ในความชิงชังของอัลเลาะห์[134] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิมในเรื่องลักษณะของขาวนรก

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อจักรพรรดิกิซรอ พินาศ ก็จะไม่มีกิซรออีกหลังจากนั้น และเมื่อจักรพรรดิ์ กอยซอรพินาศ ก็จะไม่มีกอยซอรอีก หลังจากนั้น ขอสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในอุ้งมือของพระองค์ว่าคลังสมบัติของจักรพรรดิ์ทั้งสองนั้นจะต้องถูกจ่ายออกไปในวิถีทางของอัลเลาะห์[135] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี ในเรื่องวิกฤติการ

สิ่งเร้นลับถูกเปิดเผยแก่ท่านนบี  ซ.ล. 583

เล่าจากอุกบะห์ บิน อามิร  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ออกไปใน วันหนึ่ง ท่านได้ละหมาดให้แก่ชาวอุฮุดเป็นละหมาดให้แกศพ หลังจากนั้น ท่านได้กลับมาขึ้น มิมบัรแลัวกล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นมิ่งขวัญของพวกท่าน และเป็นพยานให้พวกท่าน และแท้จริง ข้าพเจ้าขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ข้าพเจ้ากำลังมองดูบ่อนํ้าของข้าพเจ้าอยู่ในขณะนี้ และแท้จริง ข้าพเจ้าได้รับ กุญแจคลังของแผ่นดินนี้ หรือกุญแจของแผ่นดินนี้ และแท้จริงข้าพเจ้าขอสาบาน ต่ออัลลอฮ์ว่า ข้าพเจ้าไม่กลัวว่า พวกท่านจะตั้งภาคีหลังจากข้าพเจ้าจากไป แต่ข้าพเจ้ากลัวว่า พวกท่านจะแก่งแย่งกันในพื้นแผ่นดิน[136] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ว่าแท้จริงประชาชนได้เรียนถามนบีของอัลลอฮ์  ซ.ล. จนกระทั่งพวกเขาได้ตั้งคำถามกับท่านเป็นประจำ ในวันหนึ่งท่านได้ออกมาขึ้นมิมมัร แล้วกล่าวว่าท่าน ทั้งหลายจงถามข้าพเจ้าเถิด ท่านทั้งหลายอย่าถามข้าพเจ้าถึงสิ่งหนึ่งนอกจากข้าพเจ้าจะอธิบายสิ่งนั้นแก่พวกท่านอย่างแจ่มแจ้ง เมื่อประชาชนได้ยินเช่นนั้นก็พากันนี่งเงียบ และกลัวว่าท่านกำลัง เผอิญกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้น อะนัสได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเริ่มหันขวาหันซ้าย บัดนั้นผู้ชายทุกคนได้ มุดหัวอยู่ในผ้าของเขาร้องไห้และมีผู้ชายคนหนึ่งที่เขาทะเลาะกับคนอื่นและถูกเรียกโดยพาดพิงว่า เป็นถูกคนอื่นที่ไม่ใช่บิดาของเขา เขาจึงได้กล่าวว่า โอ้นบีของอัลลอฮ์ ใครคือบิดาข้าพเจ้า ท่าน ได้กล่าวว่า บิดาของท่านคือ ฮุซาฟะห์ หลังจากนั้น อุมัร  ร.ฎ. ก็ได้เริ่มกล่าวขึ้นว่า พวกเรา ยินดีต้อนรับเอาอิสลามเป็นศาสนา และมุฮัมมัดเป็นศาสนทูต โดย(พวกเรา)ขอป้องกันด้วย อัลลอฮ์จากความชั่วร้ายของความปั่นป่วนวุ่นวาย ท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้า ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ในวันนี้ทั้งความดีและความชั่ว แท้จริงสวรรค์และนรก ได้ถูกนำมาให้ข้าพเจ้าเห็นเป็นภาพ และข้าพเจ้าเห็นมันทั้งสองใกล้กว่าฝาผนังนี้ และในบางรายงานว่า มารดาของอับดุลเลาะห์ บิน ฮุชาฟะห์ได้กล่ารแก่อับดุลเลาะห์ว่า ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินว่ามีลูกคนใดจะ อกตัญญูยิ่งกว่าเจ้า เจ้าเชื่อหรือว่าแม่ของเจ้าเคยละเมิดประเวณี เหมือนที่พวกผู้หญิงในสมัย ญาฮิลิยะห์ได้ละเมิด เจ้าจึงทำให้หล่อนต้องอับอายต่อหน้าประชาชน อัลดุลเลาะห์ได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลเลาะห์ถ้าแม้ท่านนบีบอกว่าข้าพเจ้าเป็นลูกของทาสผิวดํา ข้าพเจ้ากจะถือว่าเขาเป็นพ่อ

เล่าจากอชามะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ขึ้นไปบนที่สูงแห่งหนึ่งจาก บรรดาที่สูง ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านเห็นไหมสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็น  แท้จริงข้าพเจ้าได้แลเห็นวิกฤติการเกิดขึ้นตามบ้านเรือนของพวกท่านเหมือนที่ๆ  มีฝนตก[137]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และมุสลิมในเรื่องวิกฤตการ

เล่าจากอะบี ดัรดาอฺ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ได้ยืนอยู่ในละหมาด พวกเราได้ยินท่านกล่าวว่าข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยอัลเลาะห์ จากท่านหลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าสาปแช่งท่านด้วยคำสาปแช่งของอัลเลาะห์ (ได้กล่าวอย่างนี้) สามครั้ง และท่านได้กางมือของท่านคล้ายกับท่านจะจับสิ่งหนึ่ง เมื่อท่านเสร็จละหมาดพวกเราได้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ แท้จริงพวกเราได้ยินท่าน พูดสิ่งหนึ่งในละหมาด นี่งเราไม่เคยได้ยินท่านพูดเช่นนี้มาก่อน และพวกเรายังได้เห็นท่านกางมือของท่านออก ท่านได้กล่าวว่าความจริงศัตรูของอัลลอฮ์อิบลีสได้มาพร้อมด้วยคบเพลิง (จากไฟนรก) เพื่อนำมันมาไว้ข้างหน้าข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ขอป้องกันด้วยอัลลอฮ์จากท่าน สามครั้ง หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าสาบแช่งท่าน ด้วยคำสาปแช่งของอัลลอฮ์ที่สมบูรณ์ แต่มันก็ยังไม่ยอมถอยหลังทั้งสามครั้ง หลังจากนั้น ข้าพเจ้าจึงตั้งใจจับตัวมัน สาบานต่ออัลเลาะห์ถ้าแม้ใม่มีคำวิงวอนของพี่ชายของเรา สุไลมาน[138] มันจะต้องถูกผูกไว้ให้เด็ก ๆ ชาวนครมะดีนะห์เล่นอย่างแน่นอน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ในเรื่องการละหมาด

และได้กล่าวมาแลัวในเรื่องละหมาด สุริยะคราสและจันทรคราส ว่าท่านนปึ ซ.ล.เห็น นรก และสวรรคํ พร้อมด้วยสิงที่อยู่ในนรกและสวรรค์ และท่านได้กล่าวในหะดษอื่นว่า ไม่ม สิ่งใดที่พวกท่านถูกสัญญาไว้นอกจาล1ข้าพเจ้าได้พบเห็แม้นแล้วในที่ยน (ละหมาด) ของข้าพเจ้า นี้ และต่อไป อินชาอลัเลาะห็จะได้กล่าวในเรื่อง ความอ่อนโยน ว่า แท้จริงข้าพเจ้าเห็นสิ่งที่ พวกท่านไม่เห็นและได้ยินสิ่งที่พวกท่านไม่ได้ยิน

นบีจะยังไม่ตายจนกว่าจะถูกเสนอให้เลือกเอาระหว่างโลกดุนยากับอาคิเราะห์[139]

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ.ว่า เธอได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. กล่าวก่อนท่านเสียชีวิต โดยท่านได้พิงอยู่กับอกของเธอว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดอภัยให้แก่ข้าพเจ้า ได้โปรด เมตตาข้าพเจ้า และได้โปรดให้ข้าพเจ้าได้อยู่กับมิตรที่รักยิ่ง

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเคยได้ยินว่า นบี จะยังไม่ตายจนกว่าจะถูกเสนอ ให้เลือกระหว่างโลกดุนยานี้ กับอาคิเราะห์ อาอิชะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่าน นบี  ซ.ล. ในยามที่ท่านป่วยซึ่งได้เสียชีวิตในการป่วยครั้งนี้ ขณะที่ท่านมีอาการเสียงแหบห้าว ท่านกล่าวว่าพร้อมกับบรรดาผู้ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ได้ประทานความโปรดปรานให้พวกเขา จากบรรดานบี บรรดาผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง บรรดานักรบที่ถูกฆ่าในสงครามศักดสิทธิ์และ บรรดาคนที่ดีๆ พวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นมิตรที่ดี อาอิชะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าคิดว่าท่านคงกำลังถูกเสนอให้เลือกในขณะนั้น[140] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม ในเรื่องเกียรติของอาอิชะห์

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. เคยกล่าว ในขณะที่ท่านมีสุขภาพสมบูรณ์ว่า จะไม่มีนบีใดถูกเก็บชีวิตจนกว่าจะได้เห็นที่อยู่ของเขาใน สวรรค์ หลังจากนั้นจึงจะถูกเสนอให้เลือก อาอิชะห์ได้กล่าวว่า เมื่อมะลาอิกะห์แห่งความตาย ได้ลงมาที่ท่านเราะซูลุลลอห์ ซ.ล. ศีรษะของท่านพาดอยู่บนขาอ่อนของข้าพเจ้า ท่านได้สลบ ไปครู่หนึ่ง หลังจากท่านฟื้นขึ้น ท่านได้เหลือบตามองหลังคา แลัวกล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ มิตรที่สูงส่ง ข้าพเจ้า(อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ณ บัดนี้ท่านไม่ได้เลือกอยู่กับพวกเราแลัว และข้าพเจ้าได้รู้จากหะดีษ ที่ท่านเคยกล่าวไว้ ขณะที่มีสุขภาพสมบูรณ์ และปรากฏว่าคำสุด ท้ายที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ได้พูดก็คือ ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ มิตรที่สูงส่ง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม 

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. มีภาชนะที่ทำจากหนังหรือทำ ด้วยไม้อยู่ข้างหน้าท่าน ในภาชนะนั้นมีนํ้าบรรจุอยู่ ท่านได้เอามือของท่านจุ่มลงไปและเอามาเช็ด หน้าของท่าน พร้อมกับกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากอัลลอฮ์เท่า นั้น แท้จริงความตายนั้นมีความรุนแรงอยู่มาก หลังจากนั้นท่านได้ยกมือขึ้นตั้ง และเริ่มกล่าวถึง มิตรสูงส่ง จนถูกเก็บชีวิตและมือของท่านก็เอนต่ำลง 

รายงานโดยมุดอรีในเรื่อง ความอ่อนโยน

บทสุดท้าย เกียรติของนบีบางท่าน  ซ.ล. 586

ท่านนบีอิบรอฮม อ.ล.

อัลลอฮ์ตาอาลาได้กล่าวว่า    และท่านจงระลึกถึงอิบรอฮีมที่ได้ระบุอยู่ในคัมภีร์เถิดเพราะแท้จริงเขาเป็นผู้มีสัจจะยิ่งนัก และเขาเป็นนบีผู้หนึ่ง

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี  ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ มนุษย์ชาติที่ดีที่สุด ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า นั่นคือ อิบรอฮีม  อ.ล.[141] 

ราย งานโดยมุสลิม อะบูเดาวูด และติรมิซี  ในภาคซุนนะห์

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า อิบรอฮีม ที่เป็นนบี อ.ล. นั้นท่านได้ทำการขลิบหนังที่ปลายอกัยวะเพศขณะที่มือายุแปดสิบปี ที่ก่อดูม[142]

และเล่าจากเขา (อะนัส) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อิบรอฮีมที่เป็นนบี อ.ล. นั้น ไม่เคยโกหกเลย นอกจากสามครั้ง สองครั้งเกี่ยวกับองค์อัลเลาะห์[143]คือคำของอิบรอฮีมที่ว่า “แท้จริงข้าพเจ้าป่วย”[144] และที่ว่า “แต่รูปปั้นองค์ใหญ่ที่สุดนั้นแหละเป็นผู้กระทำการนี้  และอีกครั้งหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องของท่านหญิง ซาเราะห์ ขณะที่อิบรอฮีมได้มายังแผ่นดินของจอม เผด็จการโดยมีท่านหญิงซาเราะห์ร่วมไปกับท่านด้วย และปรากฏว่าท่านหญิงซาเราะห์เป็นผู้ หญิงที่มีความงดงามมาก นบีอิบรอฮีมได้กล่าวแก่ท่านหญิงซาเราะห์ว่า ความจริงจอมเผด็จการ ผู้นี้ ถ้าหากเขารู้ว่าเธอเป็นภรรยาของฉันเขาต้องข่มเหงฉันด้วยการเอาตัวเธอไป ดังนั้นถ้าหาก เขาถามเธอ จงตอบเขาว่า เธอเป็นน้องสาวฉันในอิสลาม[145]เพราะแท้จริงฉันไม่ทราบว่ามีมุสลิม คนใดในพื้นแผ่นดินนี้อีกนอกจากฉันและเธอ ต่อมาเมื่ออิบรอฮีมได้เข้าสู่ดินแดนของเขาได้มี พวกของจอมเผด็จการบางคนแลเห็นซาเราะห์ จึงได้มาหาจอมเผด็จการ และรายงานว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาสู่ดินแดนของท่าน ไม่สมควรที่หล่อนจะเป็นของผู้ใดนอกจากเป็นของท่าน จอมเผด็จการจึงส่งคนไปนำตัวมา ท่านนบีอิบรอฮีม อ.ล. จึงได้ลุกขึ้นละหมาด[146]เมื่อซาเราะห์ ได้เข้ามาหาเขา เขาไม่สามารกควบคุมตัวเองได้ จึงได้ยื่นมือออกไปหาหล่อน แต่มือของเขาถูก กระซากอย่างรุนแรง เขาได้กล่าวแก่นางว่า เธอจงวิงวอนต่ออัลลอฮ์ ให้ปล่อยมือของข้า และ ข้าจะไม่ทำลายเจ้า ท่านหญิงซาเราะห์จึงได้กระทำ แต่เขาก็ได้ทำอีกมือของเขาถูกกระชากรุนแรง ยิ่งกว่าครั้งแรก และเขาได้พูดกับซาเราะห์ด้วยถ้อยคำเช่นเดิม ท่านหญิงซาเราะห์จึงได้กระทำ และเขาก็ได้กระทำมันอีก มือของเขาได้ถูกกระชากรุนแรงกว่าสองครั้งแรก เขาจึงได้กล่าวแก่ นางว่า จงวิงวอนต่ออัลลอฮ์ให้ปล่อยมือข้าพเจ้า และสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ข้าจะไม่ทำร้าย เจ้าอีก ท่านหญิงซาเราะห์จึงได้กระทำ และมือของเขาก็ได้ถูกปล่อย เขาได้เรียกตัวผู้ที่นำซาเราะห์มาและกล่าวแก่เขาว่า แท้จริงเจ้าได้นำชัยฏอนมารร้ายมาหาข้าฯ เจ้าไม่ได้นำมนุษย์มาหา ข้า จงนำหล่อนออกไปให้พ้นแผ่นดินของข้า และจงมอบ ฮายัร[147]ให้แก่หล่อน (ผู้เล่า) ได้กล่าว ว่า ซาเราะห์จึงได้มุ่งหน้าเดินทางไปเมื่ออิบรอฮีม อ.ล. ได้เห็นหล่อน จึงได้เลิกละหมาดและ ถามหล่อนว่า เป็นอย่างไรบ้าง ซาเราะห์ตอบว่า ดี อัลลอฮ์ได้ยับยั้งมือของคนโฉด และได้ มอบคนให้มารับใช้คนหนึ่ง อะบูฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า ผู้นั้นคือมารดาของพวกท่าน โอ้บรรดา ถูกหลานของนํ้าฝน[148]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม ในเรื่องนี้และบุคอรี ในเรื่องเริ่มต้นการสร้าง

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ.จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าบรรดานบีต่างๆ ได้ถูกนำมาให้ ข้าพเจ้าได้เห็น นั่นคือนบีมูซา มีรูปร่างเพรียวจากบรรดาผู้ชาย คูคล้ายกับเป็นคนที่มาจากเผ่า ซะนูอะห์ และข้าพเจ้าได้เห็นนบีอีซา บิน มัรยัม อ.ล. บุคคลที่คล้ายกับเขาอย่างที่สุด ที่ข้าพเจ้าเห็น คือ อัรวะห์ บิน มัสอูด และข้าพเจ้าได้แลเห็นอิบรอฮีม อ.ล. บุคคลคล้ายกับเขาอย่างที่สุด ที่ข้าพเจ้าเห็นคือเพื่อนของพวกท่าน ท่านหมายถึงตัวท่านเอง  ซ.ล. และข้าพเจ้าได้เห็น ญิบรีล อ.ล. บุคคลที่คล้ายกับเขาอย่างที่สุดที่ข้าพเจ้าเห็นคือ เดียะห์ยะห์ บิน คอลีฟะห์ 

รายงานโดย มุสลิมในเรื่องอิสรออฺ

นบี มูซา อ.ล. 

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า และท่านจงระลึกถึงมูซาที่ได้ระบุอยู่ในคัมภีร์เถิด เพราะ แท้จริงเขาเป็นผู้มีจิตใจบริสุทธํ่ และเป็นทั้งรอซูล และนบี และเราได้เรียกเขามาจากเบื้องขวา ของภูเขาฏูรและเราไค้ให้เขาเข้ามาใกล้ชิดโดยการให้สนทนา

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่ามีผู้ชายสองคนได้ด่ากัน คนหนึ่งจากชาวยิว อีกคนหนึ่งจากพวกมุสลิม มุสลิมคนนั้นได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งได้เลือกเฟ้นมุฮัมมัด  ซ.ล. ให้ประเสริฐเหนือชาวโลกทั้งมวล ชาวยิวได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งได้เลือกเฟ้นมูซา อ.ล. ให้ประเสริฐเหนือชาวโลกทั้งมวล มุสลิมคนนั้นจึงยกมือชื้นในบัดดล และตบหน้าชาวยิวคนนั้น เขาจึงได้ไปหาท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. และได้เล่าให้ท่านทราบถึงเรื่องของเขากับเรื่องของมุสลิมคนนั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จึงได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าถือว่าข้าพเจ้าประเสริฐกว่ามูซา แท้จริงบรรดามนุษย์ทั้งมวลนั้นจะสลบไสล[149]และข้าพเจ้าเป็นบุคคลที่ฟื้นชึ้น และได้พบว่ามูซานั้นจับด้านหนึ่งของอัรช์(บัลลังก์)ไว้ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ในจำนวนผู้ที่สลบไสลและ เขาได้ฟื้นก่อนข้าพเจ้า หรือเป็นบุคคลที่อัลลอฮ์ยกเว้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า มะลาอิกะห์แห่ง ความตาย(มะละกุ้ลเมาด้) ได้ถูกส่งไปหานบีมุซา  อ.ล. เมือไปถึงนบีมูซาได้ต่อยตาของมะละ กุ้ลเมาต์ ทำให้ตาแตก มะละกัลเมาต์จึงกลับไปหาพระผู้อภิบาลของเขาแล้วกล่าวว่า พระองด้ ท่านได้ส่งข้าพเจ้าไปหาปาวที่ยังไม่ด้องการตาย ท่านนบีได้กล่าวว่า และอัลเลาะห์ใด้ให้ดวงตา ของเขากลับดีดังเดิมแล้ว พระองด้ได้กล่าวว่าเจ้าจงกลับไปยังมุซาเถิด และจงบอกเขาให้เอา มือวางบนหลังจัวตัวผู้ เขาจะได้รับ(การต่ออายุ) ด้วยสิ่งที่มือของเขาทับอยู่ต่อทุกๆ ขนหนึ่งเส้น เป็นเวลาหนึ่งปี มุซาได้ถามว่า โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพเจ้าหลังจากนั้นไปไหน อัลเลาะห์ตอบว่า หลังจากนั้นกตาย มูซาจึงได้กล่าวว่า เดียวนี้ดีกว่าและเขาได้ขอต่ออัลลอฮ์ให้นำตัวเขาไป ใกล้กับผืนแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์[150]เท่ากับระยะขว้างก้อนหิน ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าแม้ข้าพเจ้าอยู่ที่นั่น ข้าพเจ้าจะให้พวกท่านได้แลเหินหลุมฝังศพของเขาอยู่ข้างทางใต้เนิน(ทราย) สีแดง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม 

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเดินทางผ่านนบีมูซาในคืน ที่ข้าพเจ้าได้ถูกนำไป อิสรออ. ที่เนิน(ทราย)สีแดง ท่านกำลังยืนละหมาดอยู่ในหลุมฝังศพ[151] ของท่าน 

รายงานโดยมุสลิม

นบี อีซา  ซ.ล. 589

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า(จงระลึกถึง) เมื่อครั้งทิ่มะลาอิกะห์ ได้กล่าวว่า โอ้มัรยัม แท้จริงอัลเลาะห์ทรงแจ้งข่าวดีแก่เธอด้วยด้อยคำหนึ่งจากพระองค์[152]ชื่อของเขาคือ อัลมะเซียะห์ อีซา บิน มัรยัม เป็นผู้มีเกียรติทั้งโลกนี้ และโลกหน้า และเขาเป็นคนหนึ่งจากมวลผู้ใกล้ชิต และเขา(อีซา)จะพุดกับผู้คนได้ตั้งแต่อยู่ในเปลและในวัยผู้ใหญ่ และเขาเป็นคนหนึ่งจากผู้ประพฤติดี ทั้งหลาย” 

พระองค์อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงมีสัจจะ

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าในคืนหนึ่งข้าพเจ้าได้ฝันเห็น ตัวเอง อยู่ที่กะอะบะห์ ข้าพเจ้าได้เห็นชายคนหนึ่งผิวดำแดง งดงามยิ่งกว่าที่ท่านเคยเห็นพวกผู้ชาย ผิวดำแดง เขามีผมยาวจรดดิ่งหู งดงามยิ่งกว่าที่ท่านเคยเห็นผมยาวจรดติ่งหู เขาได้หวีมันอย่าง เรียบร้อย ในสภาพที่มันหยดลงมาเป็นนํ้า เขานั่งเอกเขนกอยู่บนผู้ชายสองคน หรือบนบ่าของ ผู้ชายสองคนกำลังทำการตอว๊าฟ ที่ใบด้ลเลาะห์ ข้าพเจ้าได้ถามว่าชายผู้นี้คือใคร มีผู้ตอบว่าคือ มะเซียะห์ บิน มัรยัม หลังจากนั้น ข้าพเจ้าได้พบผู้ชายคนหนึ่ง ผมหยิกติดหนังหัวมีตาข้างขวา ข้างเดียวคล้ายกับผลองุ่นที่โปนออกมา ข้าพเจ้าถามว่า ชายผู้นี้คือใคร มีผู้ตอบว่า ชายผู้นี้คือ มะเซียะห์ ดัจญาล 

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เดินทางผ่าน นบีมูซา บิน อิมรอน อ.ล. ในคืนที่ข้าพเจ้าถูกนำตัวออกเดินทางอิสรออฺ ท่านเป็นผู้ชายผิวดำแดง สูง ผมหยิก คล้ายเป็นคนทิ่มาจากพวกผู้ชายเผ่าซะนอะห์ และข้าพเจ้าได้เห็น นบีอีซา บิน มัรยัมเป็นผู้ที่มีรูปร่างสันทัด มีผิวขาวอมแดง ผมยาวเป็นลอน 

รายงานโดยมุสลิม และติรมิซี ในเรื่อง การอธิบายความหมายของอัลกุรอาน

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีเด็กคนใดที่คลอด ออกมานอกจากชัยฏอนจะต้องจี้(ที่เอวของ)เด็กนั้น จึงได้ส่งเสียงร้องขึ้น จากการจี้ของชัยฏอน นอกจากบุตรชายของมัรยัม(คืออีซา) และมารดาของเขา อะบูฮรอยเราะห์ได้กล่าวว่าท่านทั้ง หลายจงอ่าน ถ้าหากท่านทั้งหลายต้องการ และแท้จริงข้าพเจ้า (อิมรอน) ขอป้องกันนาง (มัรยัม) ด้วยพระองค์ท่าน และถูกหลานนางจากชัยฏอนที่ถูกสาปแข่ง

และเล่าจากเขา (อะบุฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ามีสิทธิ์ยิ่งกว่าผู้ใด ในตัว ของนบีอีซา บิน มัรยัม ทั้งในโลกนี้และโลกอาคิเราะห์ บรรดาอัครสาวกได้ถามว่า คืออย่างไร โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ท่านตอบว่า บรรดานบีทั้งหลายเป็นพี่น้องกันเนื่องมาจาก บิดาคนเดียวกันแต่ต่างมารดา[153]   พวกเขา ต่างมารดากันแต่ศาสนาของพวกเขาเป็นศาสนาเดียวกัน และไม่มีนบีท่านใดมาขั้นระหว่างเรา และ ในรายงานหนึ่งว่า ข้าพเจ้ามีสิทธิ์ยิ่งกว่าผู้ใดในตัวนบีอีซา บิน มัรยัม บรรดานบีนั้น เป็นบุตร จาก บิดาคนเดียวกันแต่ต่างมารดา และไม่มีนบีท่านใดมาขั้นระหว่างข้าพเจ้ากับอีซา

รายงานหะดีษทั้งสองโดยบุคอรี มุสลิม และอะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่านบีอีซา อ.ล. ได้เห็น ผู้ชายคนหนึ่งกำลังทำการขโมย ท่านได้กล่าวแก่ชายคนนั้นว่า ท่านได้ขโมย ชายผู้นั้นกล่าว ว่า เปล่า ขอสาบานต่อผู้ซึ่งไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น ท่าน นบีอีซาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และข้าพเจ้าขอกล่าวหาว่าตัวเองโกหก802

รายงานโดยมุสลิม

นบียูนุส และซะกะรียะ  ซ.ล.

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า และแท้จริงยูนุสนั้นเป็นคนหนึ่ง จากบรรดาศาสนทูตและ เราได้ส่งตัวเขาไปยังผู้คนจำนวนหนึ่งแสนหรือเกินกว่านั้น ต่อมาพวกเขาเหล่านั้นได้ศรัทธา ดังนั้นเราจึงให้พวกเขามีความสุข จนถึงเวลาหนึ่ง

เล่าจากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. เคยเห็นทางระหว่าง มักกะห์ และมะดีนะห์ ท่านได้เดินทางผ่านทุบเขา แห่งหนึ่งท่านถามว่า นีถือ ทุบเขาอะไร บรรดาอัครสาวกกล่าวว่า นี่คือทุบเขาอัชร๊อก ท่านกล่าวว่า มันคล้ายกับข้าพเจ้ากำลังมองเห็น นบี มูซา อ.ล. กำลังลงจากเนินสูง ส่งเสียงวิงวอนต่ออัลลอฮ์ด้วยการกล่าว “ตัลบียะห์ หลัง จากนั้นท่านนบี ได้เดินทางผ่านเนินสูง “ฮัรชา” ท่านได้ถามว่า นีคือเนินอะไร บรรดาอัคร สาวกตอบว่า นี่คือเนิน ฮัรซา ท่านได้กล่าวว่า คล้ายกับข้าพเจ้ากำลังมองเห็นนบี ยูนุส บิน มัดตา อ.ล. อยู่บนอูฐ สีแดงที่แข็งแรง ท่านสวมเสื้อยาวที่ทำจากขนสัตว์ บังเหียนอูฐของท่าน ทำจากเส้นใย ในสภาพที่ท่านกำลังกล่าว ตัลบียะห์ 

รายงานโดย มุสลิม ในเรื่องเมียะอุราจ

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่สมควรที่บ่าวคนใด จะกล่าวว่าข้าพเจ้า (หมายถึงนบีมุฮัมมัด) ดีกว่านบี ยูนุส บิน มัตตา โดยท่านนบีได้พาดพิง นบียูนุสไปยังบิดาของท่าน 

รายงานโดยมุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า นบีซะกะรียา อ.ล. นั้น เป็นช่างไม้ 

รายงานโดย มุสลิม

นบีไอยูบ อ.ล. 591

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า และไอยูบขณะที่เขาได้วิงวอนต่อองค์อภิบาลของเขาว่า แท่ จริงได้มีเภทภัยมาประสพกับข้าพเจ้า โดยที่พระองคํท่านนั้นเป็นผู้มีเมตตายิ่งกว่าบรรดาผู้ที่มี เมตตาทั้งหลาย เราได้สนองตอบคำขอของเขา และเราได้คลี่คลายเภทภัยที่ประสพกับเขานั้น และเราได้ให้เขามายังครอบครัวของเขาและที่เหมือนกับพวกเขา พร้อมพวกเขาอีกด้วย เป็น เมตตาธรรมจากเราและเป็นข้อเตือนใจแก่บรรดาผู้น้อมนมัสการ

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขณะที่นบีไอยูบ[154]กำลัง อาบน้าเปลือยกายอยู่นั้น ได้มีตั๊กแตนทองคำตกลงมาบนตัวท่าน ท่านได้เอามันไปไวในผ้านุ่ง ของท่าน พระผู้อภิบาลของท่านได้เรียกท่านว่าโอ้ ไอยูบ ข้าฯไม่ได้ทำให้ท่านร่ำรวย จากสิ่ง ที่ท่านเห็นหรือ ไอ้ยูบได้กล่าวว่าใช่แล้ว และขอสาบานต่ออำนาจของพระองค์ท่าน แต่ข้าพเจ้า ยังไม่ร่ำรวยจากความเพิ่มพูน(บะรอกะห์) ของพระองค์ท่าน 

รายงานโดยมุคอรี ในเรื่องการอาบน้ำ ภาคการทำความสะอาด

ซุลกอรในน์ อุเซซ ดุบบะอฺ  ร.ฎ.

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า และพวกเขาจะถามท่าน โอ้มุฮัมมัด เกี่ยวกับ ซุลกอรในน์ ท่านจงตอบพวกเขาว่า ฉันจะบอกพวกท่านถึงเรื่องราวบางส่วนของเขา แท้จริงเรา (อัลลอฮ์) ได้ให้เขาพักพิงอยู่ในแผ่นดินและเราได้ประทานให้เขามีแนวทางแสวงหาจากทุกสิ่ง และอัลลอฮ์ ตาอาลาได้ตรัสว่าและพวกยะฮูดีได้กล่าวว่า อุเซซ เป็นบุตรของอัลลอฮ์ และพวกนะซอรอ กล่าวว่า มะเซียะห์(อีซา) เป็นบุตรของอัลเลาะห์นั่นเป็นคำพูดจากปากของพวกเขา คล้ายคลึง กับบรรดาคำพูดของผู้เนรคุณในยุคก่อนๆ ซึ่งอัลเลาะห์ได้ทำลายล้างพวกเขาไปแล้ว อย่างไรเล่า พวกเขาจึงถูกหันเหออกไป (จากสัจจะธรรม) และอัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่าพวกเขาหรือ พวกตุบบะอฺดีกว่ากัน[155]

เลาจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากทานนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าดุบบะอฺนั้นเขาถูกสาปแช่งใช่หรือไม่ และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าอุเซซนั้นเขาเป็นนบีหรือเปล่า 

รายงานโดยอบูดาวูด และฮากิม ตัวบทของฮากิมว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า ซิลกอรในน์นั้นได้ปรากฏเป็น นบีหรือไม่

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าไม่ทราบว่า การลงโทษนั้นจะทำให้ผู้เป็นเจ้าของโทษสะอาดบริสุทธิ้หรือไม่[156]และข้าพเจ้าไม่ทราบว่า ดุบบะอฺนั้นได้ปรากฏเป็นผู้ที่ถูกสาปแช่งหรือไม่ และข้าพเจ้าไม่ทราบว่า ซุลกอรในน์นั้นได้ปรากฏ เป็นนบีหรือกษัตริย์ 

รายงานโดย อิบนุ อะซากิร และรายงานของอะห์มัดและตอบรอนีว่า ท่านทั้งหลายอย่าด่า ดุบบะอุ เพราะความจริงเขาได้เข้านับถือศาสนาอิสลามแล้ว[157]

จำนวนหะดีษในภาคตำแหน่งนบี มี 137 หะดีษ

แผนกที่สาม

ความประเสริฐต่าง ๆ การอธิบายความหมายอัลกุรอาน สงครามศักดิ์สิทธ์
ในนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ

ภาค ความประเสริฐต่างๆ

มีเจ็ดตอนและตอนสุดท้าย

ตอนที่หนึ่งความประเสริฐของบรรดาอัครสาวกของท่านนบี  ซ.ล.

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่ามุฮัมมัดเป็นศาสนทูตแห่งอัลเลาะห์ และบรรดาผู้ร่วมกับเขาล้วนเป็นผู้มีความเข้มงวดเหนือพวทผู้ปฏิเสธ อีกทั้งเป็นผู้มีความเมตตาระหว่างพวกเขาด้วยกัน ท่านจะเห็นพรกเขาทำการก้ม (รุกัวะอุ) กราบ(สุหญูด) เป็นการแสวงหาความโปรดปรานและความพอใจจากอัลลอฮ์ เครื่องหมายของพวกเขาปรากฏอยู่ในใบหน้าของพวกเขา[158] จากร่องรอยของการกราบนั่นเป็นลักษณะของพวกเขาที่ปรากฏในคัมภีร์เตาร๊อต

เล่าจากอิมรอน บิน ฮุซอยน์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.ได้กล่าวว่า ประชาชาติของข้าพเจ้า ที่ดีที่สุดคือ ในศตวรรษของข้าพเจ้า[159] ต่อจากนั้นคือ บรรดาบุคคลที่อยู่ถัดจากพวกเหล่านั้น ต่อ จากนั้นคือบรรดาบุคคลที่อยู่ถัดจากพวกเหล่านั้น อิมรอนได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านนบี ได้กล่าวหลังจากศตวรรษท่าน สองศตวรรษหรือสาม (ท่านนบีได้กล่าวหลังจากนั้นว่า) ต่อจากนั้น จะมีพวกหนึ่งหลังจากพวกท่าน พวกเขาจะให้การเป็นพยานโดยไม่ถูกขอร้องให้เป็นพยาน พวกเขาจะทุจริต ไว้ใจไม่ได้ พวกเขาจะบนบานและไม่ปฏิบัติตามคำบนบาน และจะปรากฏความอ้วนพีในหมู่พวกเขา[160]

เล่าจากอับดิลเลาะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าประชาชาติที่ดีที่สุดคือศตวรรษของข้าพเจ้า ต่อจากนั้นคือ บรรดาบุคคลที่อยู่ถัดจากพวกเหล่านั้น ต่อจากนั้นได้แก่บรรดา บุคคลที่อยู่ถัดจากพวกเหล่านั้น ต่อมาจะมีบุคคลจำพวกหนึ่งที่การเป็นพยานของคนหนึ่งจากพวก เขาจะอยู่ก่อนการสาบาน และการสาบานของเขาจะอยู่ก่อนการเป็นพยานของเขา[161]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

อะอิชะห์  ร.ฎ.ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ถูกถามว่า ประชาชาติใดดีที่สุด ท่านตอบว่าคือ ศตวรรษที่ข้าพเจ้าอยู่ ในศตวรรษนั้น ต่อมาได้แก่ศตวรรษที่สองต่อมาได้แก่ศตวรรษที่สาม

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะมีช่วงเวลาหนึ่งมาสู่มวลมนุษย์ และจะมีกลุ่มบุคคลจากมวลมนุษย์นั้นออกทำสงคราม พวกเขาจะถามว่า ในหมู่พวกท่าน มีใครบ้างที่ได้เป็นสาวกของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.[162] พวกเขาจะตอบว่า มีครับชัยชนะก็จะ ตกเป็นของพวกเขา หลังจากนั้นจะมีช่วงเวลาหนึ่งมาสู่มวลมนุษย์และจะมีกลุ่มบุคคลจากมวล มนุษย์นั้นออกทำสงครามจะมีผู้ถามว่า ในหมู่พวกท่านมีใครบ้างที่ได้อยู่ร่วมกับสาวกของท่าน เราะซูลุลลอห์  ซ.ล. พวกเขาจะตอบว่า มีครับชัยชนะก็จะตกเป็นของพวกเขา จะมีกลุ่มบุคคล จากมวลมนุษยนั้นออกทำสงคราม และมีผู้ถามว่า ในหมู่พวกท่านมีใครบ้างที่ได้อยู่ร่วมกับพวก ที่ได้อยู่ร่วมกับสาวกของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. พวกเขาตอบว่า มีครับชัยชนะก็จะตกเป็นของพวกเขา

รายงานโดย บุคอรีมุสลิม 

และมุสลิมได้เพิ่มเติมในรายงานหนึ่งว่า หลังจากนั้นจะ ปรากฏรุ่นที่สี่จะมีผู้กล่าวว่า พวกท่านจงมองดูว่าพวกท่านได้เห็นในพวกเขาเหล่านั้นว่ามีใคร

สักคนหนึ่งไหมที่เขาได้เห็นคนที่เห็นคนที่เห็น สาวกของท่านนบี  ซ.ล.ได้พบว่า มีชายคนหนึ่ง ที่(ได้เห็นชายคนนั้น) ชัยชนะจึงตกเป็นของพวกเขา เพราะชายคนนั้น

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ว่าแท้จริงมีชายสองคนจากบรรดาอัครสาวกได้ออกมาจากท่านนบี  ซ.ล.ในคืนหนึ่งที่มืดมิด และพร้อมกับคนทั้งสองนั้นมีเหมือนตะเกียงสองดวงส่องแสงสว่าง อยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง เมื่อคนทั้งสองแยกทางกัน ตะเกียงดวงหนึ่งก็ได้ไปพร้อมกับแต่ละคน จากทั้งสองนั้น จนใต้มาถึงครอบครัวของเขา[163]

ายงานโดยมุคอรี ในเรื่องเดรื่องหมายของตำแหน่งนบี

 เล่าจากอะบี มูซา  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าพวกเราได้ละหมาด มัฆริบพร้อมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. หลังจากนั้นพวกเราได้กล่าวว่า พวกเราควรจะนั่งอยู่ก่อนจนกว่าพวกเราจะได้ละหมาดอิซาอุ ต่อมาท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ได้ออกมาที่พวกเราแล้วท่านได้กล่าวว่าพวกท่านยังคง อยู่ที่นี่หรือ พวกเราตอบว่า ครับ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ พวกเราได้พูดกันว่า ควรนั่งอยู่ก่อน จนกว่าพวกเราจะได้ละหมาด อิซาอท่านได้กล่าวว่า พวกท่านทำดีแล้ว หรือ พวกท่านทำถูกต้องแล้ว หลังจากนั้นท่านได้เงยศีรษะของท่านขึ้นฟ้า และเป็นสิ่งที่ท่านมักทำเสมอ แล้วท่านก็กล่าว ว่า ดวงดาวเป็นตัวแทนของฟากฟ้า เมื่อดวงดาวหายไป ก็จะมายังฟากฟ้าสิ่งที่มันถูกสัญญาไว้[164] ตัวข้าพเจ้าเป็นตัวแทนของอัครสาวกของข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าได้จากไปก็จะมายังอัครสาวกของข้าพเจ้า สิ่งที่พวกเขาถูกสัญญาไว้[165]และบรรดาอัครสาวกของข้าพเจ้าเป็นตัวแทนของประชากร ข้าพเจ้า เมื่ออัครสาวกของข้าพเจ้าจากไป ก็จะมายังประชากรของข้าพเจ้าสิ่งที่พวกเขาถูกสัญญา ไว้[166]

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. ว่าแท้จริง ทาสของฮาติบ คนหนึ่งได้มาหาท่าน เราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ร้องเรียน ฮาดิบ โดยกล่าวว่าโอ้ท่านรอซูลัลเลาะห์ ฮาติบต้องลงนรกอย่างแน่นอน ท่านนบีได้กล่าวว่า เจ้าโกหก ฮาติบจะไม่ลงนรกเพราะเขาได้เข้าร่วมในสงคราม บัดร์ และฮุไดบียะห์ 

รายงานโดย มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากเขา (ญาบิร) ว่าแท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวขณะที่อยู่กับ ฮัฟเซาะห์ว่า จะ ไม่ลงนรก ถ้าหากอัลเลาะห์มีประสงค์ สักคนเดียวจากชาวต้นไม้[167] ที่ได้ให้สัตยาบันใต้ต้นไม้ ฮัฟเซาะห์ได้กล่าวว่า ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านได้ตะคอกนาง ฮัฟเซาะห์ จึงได้กล่าวขึ้นว่า อัลเลาะห์ตาอาลาได้กล่าวว่า และไม่มีใครจากพวกเจ้า(พ้นจากนรกได้) นอก จากต้องผ่านมันอย่างแน่นอน ท่านนบี  ซ.ล.ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสภายหลังจากนั้น ว่า หลังจากนั้นเราได้ช่วยให้บรรดาผู้ยำเกรงรอดพ้น และเราปล่อยบรรดาผู้ทุจริตไว้ในขุมนรก ในอาการคุกเข่า 

รายงานโดยมุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากบุรอยดะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไฟนรกจะไม่กระทบมุสลิม คนใดที่ได้เห็นข้าพเจ้า หรือได้แลเห็นคนที่แลเห็นข้าพเจ้า

เล่าจากบุรอยดะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าไม่มีคนใดจากบรรดาอัครสาวก ของข้าพเจ้าที่เสียชีวิต ณ พื้นแผ่นดินแห่งหนื่งนอกจากเขาจะถูกบังเกิดขึ้นมาในฐานะเป็นผู้นำ และเป็นรัศมีให้แก่พวกเขาในวันกิยามะห์ 

รายงานหแดนทั้งสองโดย ติรมิข

การด่าอัครสาวกถือเป็นบาปใหญ่ 596

เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บิน มุฆ๊อฟฟัล ร.ฎ. จากท่านนบี ได้กล่าวว่า (จงยำเกรง) อัลเลาะห์ ในอัครสาวกของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายอย่าเอาพวกเขามาทำเป้าหลังจากข้าพเจ้า[168] ดังนั้น ผู้ใดรักพวกเขาก็เท่ากับรักข้าพเจ้าด้วย และผู้ใดชิงชังพวกเขาก็เท่ากับชิงชังข้าพเจ้าด้วย และผู้ใดทำร้ายพวกเขาก็เท่ากับทำร้ายข้าพเจ้า และผู้ใดทำร้ายข้าพเจ้าก็เท่ากับทำร้ายอัลเลาะฮ์ และผู้ใดทำร้ายอัลลอฮ์ก็ใกล้แล้วที่พระองค์จะจัดการกับเขา[169] 

รายงานโดยติรมิซี 

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่า ระหว่างคอลิด บิน อัลวะลีด และ ระหว่างอับดุรเราะห์มานบิน เอาฟ์นั้นมีเรื่องหนึ่งต่อมา คอลิดได้ด่า อับดุรเราะห์มาน ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. จึงได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าด่าคนใดจากอัครสาวกของข้าพเจ้า เพราะความจริงคนหนึ่งจากพวกท่านนั้น แม้จะบริจาคเท่ากับภูเขาอุฮุดเป็นทองคำ ก็ยังไม่เท่ากับ หนึ่งลิตรของคนใดจากพวกเขา หรือแม้เพียงครึ่งลิตร

รายงานโดยสีคน และตัวบทของติรมีข้ว่า เมื่อพวกท่านเห์นบรรดาบุคคลที่ด่าอัครสาวกของข้าพเจ้า พวกท่านทั้งหลายจงกล่าวว่า การสาป แข้งของอัลลอฮ์จงอยู่เหนือความรัวของพวกท่าน

ตอนที่สองความประเสริฐของ คอลีฟะห์ทั้งสี่ ความประเสริฐของอะบูบักร์  ร.ฎ.

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวสุนทรพจน์ ต่อประชาชนโดยท่านได้กล่าวว่าแท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ได้ให้บ่าวคนหนึ่งเลือกเอาระหว่าง โลกนี้และระหว่างสิ่งที่มีอยู่ ณ พระองค์ และบ่าวคนนั้นได้เลือกเอาสิ่งที่มีอยู่ที่พระองค์อัลลอฮ์ ผู้เล่า (สะอีด) ได้กล่าวว่าอะบูบักร์ได้ร้องไห้ และพวกเราก็แปลกใจที่เขาร้องไห้ และปรากฏว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. คือผู้ที่ถูกเสนอให้เลือกและอะบุบักร์ได้บอกให้พวกเราทราบเช่นนั้น[170] ท่านเราะซูลุลลอห์ ซ.ล.ได้กล่าวว่าแท้จริงบุคคลที่มีความกรุณามากที่สุดในมวลมนุษย์ แก่ข้าพเจ้าในความเป็นเพื่อนและในทรัพย์สมบัติของเขาคือ อะบูบักร์ และถ้าหากข้าพเจ้าจะหา คอลีล[171] จากประชากรของข้าพเจ้า นอกจากพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องเอา อะบูบักร์อย่างแน่นอน แต่ความเป็นพี่น้องร่วมอิสลาม และความรักของเขา[172] ไม่มีประตูใดในมัสญิดเหลืออยู่นอกจากต้องถูกอุด ยกเว้นประตู (บ้าน) ของอะบูบักร์ และในรายงานหนึ่งว่า ถ้า หากข้าพเจ้าจะเอาจากประชากรของข้าพเจ้าเป็นคอลีลแล้วข้าพเจ้าจะต้องเอาอะบูบักร์อย่างแน่ นอน แต่เขาเป็นพี่น้องของข้าพเจ้า และเป็นเพื่อนแท้ของข้าพเจ้า แต่พระองค์อัลเลาะห์ได้เอา มิตรของพวกท่านเป็นคอลีลแล้ว 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบี ดัรดาอฺ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้น้งอยู่กับท่านนบี  ซ.ล. บังเอิญ อะบูบักร์ ได้มุ่งหน้ามาโดยจับชายผ้า (กลกชื้น) จนเผยให้เห็นหัวเข่าของเขา ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่ามิตรของพวกท่านตกอยู่ในยามคับขันและเสี่ยงภัย (อะบูบักร์) ได้ให้สลาม แล้วกล่าวว่าความจริงมีเรื่องหนึ่งระหว่างข้าพเจ้ากับ อิบนุ ค๊อดต๊อบ ข้าพเจ้าจึงพุ่งไปที่เขา[173] และข้าพเจ้าก็เสียใจ ข้าพเจ้าได้ขอให้เขาอภัยแก่ข้าพเจ้า[174]  แต่เขาไม่ยอม ข้าพเจ้าจึงได้มุ่งหน้า มาหาท่าน ท่านนบีได้กล่าวว่าพระองค์อัลลอฮ์อภัยแก่ท่าน โอ้อะบูบักร์ (ได้กล่าวย้ำ) สามครั้ง หลังจากนั้นอุมัรก็เสียใจและมายังบ้านของอะบูบักร์เขาได้ถามว่า อะบูบักร์อยู่ไหน พวกเขาตอบว่า ไม่อยู่อุมัรจึงได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. และได้ให้สลาม ใบหน้าของท่านนบี  ซ.ล. เริ่มเปลี่ยนสี825 จนกระทั่งอะบูบักร์เกิดความสงสาร จึงได้คุกเข่าทั้งสองข้างลง[175] แล้วกล่าวว่า สาบานต่ออัลลอฮ์ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าได้ทำการทุจริต (ได้กล่าวยํ้า) สองครั้ง ท่าน นบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ ได้ส่งข้าพเจ้ามายังพวกท่าน และพวก ท่านก็ได้กล่าว (แก่ข้าพเจ้า)ว่า ท่านโกหก แต่อะบูบักร์ได้กล่าวว่า ท่านพูดความจริง และเขายัง ได้สละชีวิตของเขา และทรัพย์สินของเขา ให้แก่ข้าพเจ้า พวกท่านทั้งหลายจะยอมทิ้งมิตรของ ข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าไหม (ได้กล่าวยำ) สองครั้ง และอะบูบักร์ก็ไม่ถูกคุกคามอีกหลังจากนั้น

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ว่าแท้จริง ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้เสียชีวิต ขณะที่ อะบูบักร์อยู่ที่ ซุนฮ์[176] อุมัรได้ลุกชื้นแล้วกล่าวว่า สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ไม่ได้เสียชีวิต และได้กล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ไม่เคยเกิดขึ้นในจิตใจของข้าพเจ้านอกจากอย่างที่กล่าวนั้น และขอสาบานว่า พระองค์อัลลอฮ์จะทรงบังเกิดท่านเราะซูลุลลอฮ์ให้มีชีวิตขึ้น      และพระองค์จะตัดมือของผู้ชายและเท้าของพวกเขาอย่างแน่นอน[177] ต่อมาอะบูบักร์ได้กลับมา และได้เปิดร่างของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. และได้จุมพิตท่านพร้อมกับกล่าวว่า ขอเอาบิดา และมารดาของข้าพเจ้าไถ่ตัวท่าน ท่านหอมทั้งขณะทิ่มีชีวิตและ เสียชีวิต ขอสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่าพระองค์อัลลอฮ์จะไม่ให้ท่านลิ้มรสความตายถึงสองครั้งตลอดไป[178] หลังจากนั้นอะบูบักร์ได้กล่าวปราศัยโดยได้กล่าวคำสดุดีพระองค์อัลลอฮ์และได้ถวายคำสรรเสริญต่อพระองค์แล้วกล่าวว่าโปรดทราบ ผู้ใดเคารพกราบไหว้มุฮัมมัด แท้จริงมุฮัมมัดก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว และผู้ใดเคารพกราบไหว้ อัลลอฮ์แท้จริงอัลลอฮ์ทรงมีชีวิตไม่ตาย และอัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่าแท้จริงท่าน (โอ้มุฮัมมัด) เปีนผู้ที่เสียชีวิต และพวกเขาก็เป็นผู้เสียชีวิต และได้ตรัสว่ามุฮัมหมัดไม่ใช่ อื่นใด นอกจากเป็นศาสนทูตคนหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีบรรดาศาสนทูตได้ล่วงลับไปเป็นจำนวนมาก ถ้าหากเขาตายหรือถูกฆ่า พวกเจ้าจะหันหลังกลับอย่างนั้นหรือ และถ้าผู้ใดหันหลังกลับ เขาก็ไม่สามารถทำให้เกิดอันตรายใด ๆ ต่ออัลลอฮ์ และอัลลอฮ์จะตอบแทนแก่ผู้ที่สำนึกใน บุญคุณ ผู้เล่าได้กล่าวว่า ประชาชนพากันร่ำไห้330 ผู้เล่าได้กล่าวว่า พวกอันซอร ได้พากันไป ชุมนุมอยู่กับสะอัด บิน อุบาดะห์ ในชายคาของตระถูล บะนี ซาอิดะห์[179] พวกอันซอรได้ กล่าวว่าจากพวกเรามีผู้นำและจากพวกท่านก็มีผู้นำ อะบูบักร์จึงได้รุดไปหาพวกอันซอรพร้อม กับอุมัร และอะบู อุไบดะห์ บิน อัลยัรรอห์ อุมัรได้เริ่มพูด แต่อะบูมักร์ได้ให้อุมัรหยุดพูด โดยอุมัรได้พูดว่า สาบานต่ออัลลอฮ์ ข้าพเจ้าไม่ต้องการทำเช่นนั้น นอกจากข้าพเจ้าได้เตรียม คำพูดไว้แล้วที่ทำให้ข้าพเจ้าพอใจ ข้าพเจ้ากลัวว่า อะบูบักร์จะไม่ล่วงรู้ถึงคำพูดนั้น หลังจากนั้น อะบูบักร์ได้พูดแบบนักพูดทิ่มีโวหารลึกซึ่งที่สุด อะบูบักร์ได้พูดในคำพูดของเขาว่าพวกเรา เป็นผู้นำและพวกท่านเป็นผู้ช่วยเหลือ ฮุบาบ บิน มุนซีร ได้กล่าวว่าไม่ สาบานต่ออัลลอฮ์ เราจะไม่กระทำอย่างนั้น แต่จากพวกเรามีผู้นำ และจากพวกท่านก็มีผู้นำ อะบูบักร์ได้กล่าวว่าไม่ แต่พวกเราเป็นผู้นำ และพวกท่านเป็นผู้ช่วยเหลือ พวกเขา (มุฮาญิรีน) เป็นชาวอาหรับ ที่มีเกียรติสูง และมีชาติตระถูลที่ดี ตังนั้นท่านทั้งหลายจงให้สัตยาบันแก่อุมัรหรืออะบู อุไบดะห์ อุมัรได้กล่าวว่า แต่พวกเราจะให้สัตยาบันแก่ท่านตัวท่าน เพราะท่านเป็นผู้นำของพวกเรา เป็น คนที่ดีของพวกเราเป็นคนที่รักยิ่งของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. จากพวกเรา อุมัรได้จับมืออะบูบักร์ และได้ให้สัตยาบันแก่เขา ได้มีผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า พวกท่านได้ฆ่า สะอัด บิน อุบาดะห์ อุมัรได้พูดขึ้นว่า ขอพระองค์อัลลอฮ์ได้ฆ่าเขา

เล่าจากอัมมาร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้เห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ไม่มีใครอยู่กับ ท่านนอกจาก ทาสห้าคน[180] ผู้หญิงสองคนและอะบูบักร์ 

รายงานหะดษทั้งสามโดยบุคอรี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าใน ขณะป่วยว่าเธอจงไปเรียกอะบูบักร์ บิดาของเธอ และพี่น้องของเธอมาหาข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้า จะเขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่ง ความจริงข้าพเจ้ากลัวว่าจะมีผู้มุ่งหวังตั้งความหวังไว้ และจะมี ผู้กล่าวว่า ข้าพเจ้ามีความเหมาะสมกว่า แต่พระองค์อัลเลาะห์และบรรดาผู้ศรัทธาจะไม่ยินยอม นอกจากอะบูบักร์เท่านั้น[181] 

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้ถามว่า มีใครบ้างจากพวกท่าน ในวันนี้ที่ตื่นเช้าขึ้นมาในสภาพถือศีลอด  อะบูบักร์ได้กล่าวว่าข้าพเจ้า ท่านได้ถามว่า มี ใครบ้างจากพวกท่านในวันนี้ได้ติดตามศพ อะบูบักร์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้า ท่านได้ถามว่า มีใคร บ้างจากพวกท่านในวันนี้ที่ได้ให้อาหารแก่คนยากจน อะบูบักร์ได้กล่าวว่าข้าพเจ้า ท่านได้ถาม ว่า มีใครบ้างจากพวกท่านในวันนี้ได้ไปเยี่ยมผู้ป่วย อะบูบักร์ตอบว่าข้าพเจ้า ท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะไม่อยู่ในผู้ใดนอกจากเขาได้เข้าสวรรค์ 

รายงานหะดีษทั้งสองใดยมุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์  ) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ญิบรีล  อ.ล. ได้ มาหาข้าพเจ้า และได้จับมือข้าพเจ้า และได้ให้ข้าพเจ้าเห็นประตูสวรรซึ่งประชาชนของข้าพเจ้า จะได้เข้าทางประตูนั้น อะบูบักร์ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าปรารถนาจะอยู่กับท่าน ด้วยเพื่อข้าพเจ้าจะได้มองดูมัน ท่าน

เราะซูลุลลอห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า พึงทราบเถิดว่าแท้จริง ท่าน โอ้อะบูบักร์ เป็นบุคคลแรกที่จะได้เข้าสวรรค์จากประชากรของข้าพเจ้า[182] 

รายงานโดย อะบูดาวูด

เล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีมือของใครที่อยู่ กับพวกเราเว้นแต่พวกเราได้ตอบแทนเขา นอกจาก อะบูบักร์ เพราะแท้จริงมือของเขาที่อยู่กับ พวกเรานั้นพระองคือัลลอฮ์จะทรงตอบแทนเขาด้วยสาเหตุของมือนั้นในวันกิยามะห์ และไม่ มีทรัพย์สินของใครที่ให้ประโยชน์แก่ข้าพเจ้าเลยเหมือนอย่างที่ทรัพย์สินของอะบูบักร์ได้ให้ประโยชน์ แก1ข้าพเจ้า

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ว่าแท้จริงท่านได้กล่าวแก่อะบูบักร์ว่า ท่าน เป็นมิตรของข้าพเจ้าที่ปอนํ้ว[183] และเป็นมิตรของข้าพเจ้าในกำ

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะบูบักร์ได้เข้าไปหาท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า ท่านเป็นบุคคลที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงปลดปล่อยให้พ้นจากไฟนรก อาอิชะห์ ได้กล่าวว่านับตั้งแต่นั้นอะบู บักร์ถูกเรียกว่า อะตีก (ผู้ที่ถูกปลดปล่อย)

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่สมควรแก่คนกลุ่มหนึ่ง ทซึ่งมีอะบูบักร์ร่วมอยู่ด้วย ที่คนอื่นจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนั้น นอกจากอะบุปักร์ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

ความประเสริฐของอุมัร  ร.ฎ. 600

เล่าจากอะบี สะอีด  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนหลับข้าพเจ้าได้ฝันเห็น มวลมนุษย์ที่ถูกนำมาให้ข้าพเจ้าได้เห็นและปรากฏว่าบนเรื่อนร่างของ พวกเขานั้นมีเสื้อสวมอยู่ เสื้อบางตัวถึงหน้าอกบางตัวถึงต่ำกว่านั้น และอุมัร บิน อัลค๊อตต๊อบ ได้ผ่านมาบนร่างของเขามีเสื้อตัวหนึ่งที่เขากำลังลากมัน พวกเขา (อัครสาวก) ได้ถามขึ้นว่าท่านจะทำนายฝันนี้อย่างไร โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านได้ตอบว่า มันคือ ศาสนา[184] 

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอน หลับ บังเอิญข้าพเจ้าได้ฝันเห็นภาชนะใบหนึ่ง ถูกนำมายังข้าพเจ้าในนั้นมีนมบรรจุอยู่ ข้าพเจ้า จึงได้ดื่มจากภาชนะนั้น จนข้าพเจ้าเห็นความอิ่มนํ้าวิ่งอยู่ในเล็บของข้าพเจ้าหลังจากนั้นข้าพเจ้า ได้ให้ (นำนม) ที่เหลือแก่ อุมัร บิน อัลค๊อตต๊อบ พวกเขา (อัครสาวก) ถามว่า ท่านจะทำ นายฝันนี้อย่างไร โอ้ท่านเราะซูลุลลอห์ ท่านได้ตอบว่ามันคือความรู้

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์    ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เคยมีผู้ชายหลายคน ในยุคก่อนพวกท่านจากบะนี อิสรออีล ถูกใช้ให้พูด[185] โดยที่พวกเขาไม่ได้เป็นนบี ดังนั้นถ้าแม้ ว่าในประชากรของข้าพเจ้าจะมีใครสักคนหนึ่ง ผู้นั้นก็คือ อุมัร 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากสะอัด บิน อะบี วักกอส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อุมัรได้ขออนุญาตเข้าไปพบท่านนบี  ซ.ล. ขณะนั้นมีผู้หญิงจากเผ่ากุเรชหลายคนสนทนาอยู่กับท่าน และชอบส่งเสียงดังเหนือกว่า เสียงของท่านขณะที่อุมัรขออนุญาตเข้าไปพบท่าน พวกหล่อนได้ลุกขึ้นและรีบคลุมหน้า[186] ท่าน นบีได้อนุญาตให้เขาจึงเข้าไป ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. กำลังหัวเราะท่านอุมัรได้กล่าวว่าขอ พระองค์อัลลอฮ์ได้เห็นฟันของท่านหัวเราะ[187] โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าแปลกใจ ที่พวกหล่อนอยู่กับข้าพเจ้า เมื่อพวกหล่อนได้ยินเสียงของท่าน ก็รีบปกปิด อุมัรได้กล่าวว่า ท่านสมควรที่พวกหล่อนจะเกรงขามมากกว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ หลังจากนั้น อุมัรได้กล่าวแก่พวกผู้หญิงเหล่านั้นว่า โอ้บรรดาผู้ที่เป็นศัตรูกับตัวเองพวกหล่อน เกรงขามข้าพเจ้าโดยไม่เกรงขามท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. อย่างนั้นหรือ พวกหล่อนได้กล่าวว่าถูกแล้ว เพราะท่านเป็นคนที่แข้งกร้าว และรุนแรง ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า พอเถิดโอ้ บิน ค๊อตต๊อบ สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า ไม่มี ชัยฏอน ที่ได้พบท่านเดินอยู่ในทางหนึ่งนอกจากมันจะต้องเดิน นอกจากทางเดินของท่าน[188]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์    ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขณะที่ข้าพเจ้านอน หลับอยู่ข้าพเจ้าได้ฝันเห็นตัวเองอยู่ในสวรรค์ บังเอิญมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอาบนํ้าละหมาด[189] อยู่ข้างปราสาทหลังหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ถามว่า ปราสาทนี้เป็นของใคร พวกเขาตอบว่าเป็นของอุมัร หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้นึกถึงความหวงของเขา ข้าพเจ้าได้หันหลังกลับ ต่อมาอุมัรได้ร้องไห้และ กล่าวว่าข้าพเจ้าจะหวงท่านหรือ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอะบี บุรอยดะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ในตอนรุ่งเข้าท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ได้ เรียกบิลาล (ไปพบ) แล้วกล่าวว่า โอ้บิลาล ด้วยสิ่งใดที่ท่านได้เข้าสวรรค์ก่อนข้าพเจ้า ข้าพเจ้า ไม่เคยเข้าสวรรค์เลยนอกจากได้ยินเสียงเดินของท่าน อยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้า ต่อมาข้าพเจ้าได้ไป ยังปราสาทหลังหนึ่งสี่เหลี่ยมสูงตระหง่านสร้างจากทองคำ ข้าพเจ้าได้ถามขึ้นว่า ปราสาทนื้เปีนของใคร พวกเขาตอบว่า เป็นของชายผู้หนึ่ง จากชาวอาหรับ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าก็เป็นชาวอาหรับ ปราสาทหลังนี้เป็นของใคร พวกนางตอบว่าเป็นของผู้ชายคนหนึ่งจากเผ่ากุเรช ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าก็เป็นชาวกุเรช ปราสาทนี้เป็นของใคร พวกเขาตอบว่า เป็นของผู้ชายคนหนึ่งจากประชากรของมุฮัมมัด ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้านี่แหละคือ มุฮัมมัด ปราสาทนี้เป็นของใครพวกเขาตอบว่าเป็นของอุมัร บิน ค๊อตต๊อบ บิลาลได้กล่าวว่า โอ้ท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าจะไม่ได้ทำการอะซานนอกจากข้าพเจ้าได้ละหมาดสองรอกะอัต และข้าพเจ้า จะไม่มีมลทินมาประสบนอกจากข้าพเจ้าจะอาบนํ้าละหมาดทันที่ และข้าพเจ้าเห็นว่า แท้จริง ละหมาดสองรอกะอัตจำเป็นเหนือข้าพเจ้าเพื่ออัลลอฮ์ ท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าว ว่า ด้วยสองประการนั้น[190] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อุมัร ได้กล่าวว่าข้าพเจ้ามีความเห็นตรงกับ พระผู้อภิบาลของข้าพเจ้าในสามเรื่อง ในมะกอมอิบรอฮีม (ที่ยืนของอิบรอฮีม)[191] ในเรื่องการ ปกปิด และในเรื่องเชลยศึกในสงครามบัดร์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) จากทานนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า โอ้พระองค์อัลเลาะห์ ได้โปรดให้ศาสนาอิสลามเกรียงไกร ด้วยคนที่ท่านรักยิ่งจากผู้ชายสองคนนี้ ด้วยอะบียะหั้ล หรือ อุมัร บิน ค๊อตต๊อบ ท่านได้กล่าวว่าปรากฏว่าคนที่พระองค์ (อัลลอฮ์) ทรงรักยิ่งคือ อุมัร บิน ค๊อตต๊อบ ต่อมาเขาได้ตื่นขึ้นในตอนเข้า และได้เดินทางมาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. และได้เข้านับลือศาสนาอิสลาม

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริง อัลลอฮ์ได้ให้ สัจจธรรมอยู่ที่ลิ้นของอุมัร และที่หัวใจของเขา

และอิบนุ อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ไม่มีเรื่องใดเลยที่ได้ลงมาทิ่มวลมนุษย์ โดยพวกเขา ได้กล่าวในเรื่องนั้นอย่างหนึ่ง และอุมัรก็ได้กล่าวในเรื่องนั้นอีกอย่างหนึ่ง นอกจากอัลกุรอาน ได้ลงมาเหมือนที่อุมัรได้กล่าวไว้345

เล่าจากบุรอยดะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ออกไปในการทำ ศึกบางครั้งของท่าน เมือท่านได้ผินมา คือได้กลับมา มีทาสหญิงผิวดำคนหนึ่งมาหาและกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ความจริงข้าพเจ้าได้บนบานเอาไว้ว่า ถ้าหากพระองค์อัลเลาะห์ให้ท่าน กลับมา โดยดีแล้วข้าพเจ้าจะตีกลองข้างหน้าท่าน และขับลำนำ ท่านได้กล่าวแก่ทาสหญิงคน นั้นว่า ถ้าหากเธอได้บนบานเอาไว้ ก็จงตีเถิด ถ้าหากไม่ได้บนบานเอาไว้ก็จงอย่าตี ต่อมา ทาสหญิงคนนั้นก็ได้เริมตีกลอง อบูบักร์ได้เข้ามาหล่อนก็ยังคงดีกลองอยู่ จากนั้นอะลีได้เข้า มาหล่อนก็ยังตีอยู่ ต่อมาอุสมานได้เข้ามาหล่อนก็ยังคงตีอยู่ หลังจากนั้นอุมัรได้เข้ามาหล่อนจึง ได้โยนกลองเข้าไปใต้ที่นั่งของหล่อน และได้นั่งลงทับมันไว้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ กล่าวว่า แท้จริงชัยฏอน นั้นก็จะต้องกลัวท่าน โอ้อุมัร แท้จริงข้าพเจ้านั่งอยู่ขณะที่หล่อนตี กลอง อะบูบักร์ได้เข้ามาหล่อนก็ยังตีกลอง หลังจากนั้นอะลีได้เข้ามาหล่อนก็ยังคงตี หลังจากนั้น อุสมานได้เข้ามาหล่อนก็ยังคงตีอยู่ ต่อมาเมื่อท่านได้เข้ามา โอ้อุมัรหล่อนได้โยนกลองทิ้งไป

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. กำลังนั่ง อยู่ ต่อมาพวกเราไดํยินเสียงหนวกหูและเสียงเดีกๆ ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. จึงได้ลุกขึ้น[192]  บังเอิญมีหญิงชาวอะบิสิเนียคนหนึ่งกำลังเต้นระบำและตีกลองอยู่ พวกเด็กๆ ได้รายล้อมรอบ ตัวหล่อน ท่านนบีได้กล่าวว่า โอ้อาอิชะห์ มาดูที่นี่ ข้าพเจ้าจึงได้เอาคางของข้าพเจ้าวางลงบน บ่าของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าได้เริ่มดูหล่อน ท่านได้กล่าวในเวลาต่อมาว่า อิ่มเสียที่ อิ่มเสียที่ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ยังไม่อิ่ม เพื่อข้าพเจ้าจะได้พิสูจน์ความสำคัญของข้าพเจ้าทิ่มีต่อท่าน บังเอิญอุมัรได้โผล่เข้ามา ประชาชนได้แตกฮือออกจากหล่อน ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้เห็นทั้งชัยฏอนที่เป็นมนุษย์และญินเผ่นหนีจากอุมัร อาอิชะห์ได้ กล่าวว่า ข้าพเจ้าจึงได้กลับ

เล่าจากอุกบะห์ บิน อามิร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากจะมีนบี ภายหลังจากข้าพเจ้าอีก ก็จะต้องได้แก่ อุมัรบิน ค็อตต๊อบ

และอุมัรได้กล่าวแก่ท่านอะบีบักร์  ร.ฎ. ว่า โอ้คนที่ดีที่สุดแห่งมวลมนุษย์หลังจาก ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. อะบูบักร์ได้กล่าว ขอท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้น เพราะแท้จริงข้าพเจ้า ได้ยินท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. กล่าวว่า ดวงตะวันไม่ได้ขึ้นมาเหนือผู้ชายคนใดที่ดีกว่า อุมัร 

รายงานหะดีษทั้งหกนโดยติรมิซี

ประวัติของอะบูบักร์และอุมัร  ร.ฎ. 604

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขณะที่ชายคนหนึ่ง กำลังไล่วัวของเขาซึ่งเขาได้บรรทุกสิ่งของเหนือวัวตัวนั้น วัวตัวนั้นได้หันมาทางเขาและได้พูด ขึ้นว่าแท้จริงข้าพเจ้าไม่ได้ถูกบังเกิดขึ้นมาเพื่อการนี้ แต่ข้าพเจ้าถูกบังเกิดชื้นมาเพื่อการไถ ประชาชนได้พากันกล่าวอุทานว่า ซุบฮานัลเลาะห์ ด้วยความประหลาดใจและตกใจ วัวพูดได้ หรือ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าอะบูบักร์และอุมัรเชื่อว่ามันพูดได้ และท่านรอซูลลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขณะที่คนเลี้ยงสัตว์กำลังอยู่ท่ามกลางฝูงแพะของเขา ได้มีหมาป่าตัวหนึ่งบุกเข้ามาที่เขาและจับเอาแพะตัวหนึ่งจากฝูงนั้นไป คนเลี้ยงสัตว์ได้ออกติด ตามหมาป่าตัวนั้นไปจนสามารถช่วยแพะให้พ้นจากหมาป่าตัวนั้นได้ หมาป่าตัวนั้นได้หันมาทาง คนเลี้ยงสัตว์และพูดขึ้นว่า ใครเล่าที่จะดูแลฝูงแพะในวันทิ่มีแต่สัตว์ร้าย ในวันที่ฝูงแพะไม่มีคนเลี้ยงดู นอกจากข้าพเจ้า ประชาชนได้พากันอุทานว่า ซุบฮานัลเลาะห์ ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าว แท้จริงข้าพเจ้าอะบูบักร์และอุมัรเชื่อว่ามันพูดได้[193]

รายงานหะดีษทั้งสองโดยบุคอรี มุสลิม และติรมีซีได้รายงานเพิ่มเติมว่า และบุคคลทั้งสอง (อะบูบักร์และอุมัร) ไม่ได้ อยู่ในกลุ่มชนนั้นด้วยในวันนั้น

เล่าจาก มุฮัมมัด อัลฮะนะฟิยะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่บิดาของ ข้าพเจ้าว่า[194] มนุษย์คนใดที่ดีที่สุดหลังจากท่านนบี  ซ.ล. บิดาของข้าพเจ้าตอบว่า คืออะบูบักร์ ข้าพเจ้าถามอีกว่า หลังจากนั้นคือใคร บิดาข้าพเจ้าตอบว่า คืออุมัร และข้าพเจ้ากลัวบิดาของ ข้าพเจ้าจะตอบว่า อุสมาน ต่อมาข้าพเจ้าได้กล่าวว่า หลังจากนั้นคือท่านหรือ บิดาข้าพเจ้าตอบว่าข้าพเจ้ามิใช่เป็นใครนอกจากเป็นผู้ชายคนหนึ่งจากมวลมุสลิม

รายงานโดยบุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ร่างของอุมัรถูกวางลงบนเตียงของเขา[195] ต่อมา ประชาชนได้ห้อมล้อมร่างของเขา ขอพรและละหมาด ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกยก และข้าพเจ้า รวมอยู่ในหมู่ประชาชนนั้นด้วย มันไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าหวาดหวั่นนอกจากผู้ชายคนหนึ่งที่จับบ่า ของข้าพเจ้า บังเอิญเขาคืออะลี เขาได้ขอพรต่อพระองค์อัลลอฮ์ให้เมตตาอุมัร และได้กล่าว ว่า ท่านไม่ได้ทิ้งผู้ใดไว้ที่ข้าพเจ้า รักจะพบกับพระองค์อัลลอฮ์ด้วยเสมือนผลงานของเขา ยิ่งกว่าท่าน สาบานต่ออัลลอฮ์ว่าแท้จริงข้าพเจ้าค่อนข้างมั่นใจว่า พระองค์อัลลอฮ์จะดลบันดาล ให้ท่านได้อยู่ร่วมกับมิตรทั้งสองของท่าน และข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าเคยได้ยินท่านนบี  ซ.ล. ได้พูดอยู่บ่อยๆ ว่า ข้าพเจ้าได้เดินทางไปด้วยตัวข้าพเจ้าเองกับอะบูบักร์และอุมัร และข้าพเจ้า ได้เข้าไปด้วย ตัวข้าพเจ้าเองกับอะบูบักร์และอุมัร และข้าพเจ้าได้ออกไปด้วยตัวข้าพเจ้าเองกับ อะบูบักร์และอุมัร 

รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอะบี สะอีด  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงพวกที่มีตำแหน่งสูงๆ นั้น พวกทิ่มีตำแหน่งต่ำกว่าจะมองดูพวกเขาเหมือนดังที่พวกท่านเห็นดวงดาวขึ้นอยู่ที่ขอบฟ้า และแท้จริงอะบูบักร์และอุมัรเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาและบุคคลทั้งสองนั้นยังมีเกียรติสูงกว่า และเล่าจากเขา (อะบี สะอีด) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีนบีท่านใด นอกจาก นบีท่านนั้นจะต้องมีผู้ช่วยสองท่านเป็นชาวฟ้า และมีผู้ช่วยสองท่านเป็นชาวดิน ส่วนผู้ช่วยทั้งสองของข้าพเจ้าที่เป็นชาวฟ้า ก็คือ ญิบรีล กับ มีกาอีล ส่วนผู้ช่วยของข้าพเจ้าสองท่าน ที่เป็นชาวดินก็คือ อะบูบักร์และอุมัร

เล่าจากฮุซัยฟะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงตามบุคคลทั้งสองหลังจากข้าพเจ้าจากไป คือ อะบูบักร์ และอุมัร และในบางรายงานว่า แท้จริงข้าพเจ้า ไม่ทราบว่า ข้าพเจ้าอยู่กับพวกท่านอีกนานเท่าไหร่ ดังนั้นพวกท่านจงตามบุคคลทั้งสอง หลัง จากข้าพเจ้าจากไป และท่านได้ชี้ไปยังบุคคลทั้งสอง[196]

เล่าจากอะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าอยู่กับท่านนบี  ซ.ล. บังเอิญอะบูบักร์ และ อุมัร ได้โผล่เข้ามา ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า สองคนนั้คือ นายของคนวัยกลางคน[197] ที่เป็นชาวสวรรค์ ทั้งคนรุ่นแรกและรุ่นหลัง นอกจากบรรดานบีและรอซูล โอ้อะลี ท่านอย่าบอกแก่บุคคลทั้งสอง

เล่าจากอับดิ้ลเลาะห์ บิน ฮันดอบ  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ เห็นอะบูบักร์และอุมัร ท่านได้กล่าวว่า ทั้งสองนี้คือหู และตา[198]

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ออกมาหาอัครสาวกของ ท่าน ทั้งพวก มุฮาญิริน และอันซอร โดยที่พวกเรากำลังนั่งกันอยู่โดยมีอะบุบักร์ และอุมัร ร่วมอยู่ด้วย ไม่มีใครสักคนเดียวจากพวกเขาที่ยกสายตาขึ้นมองท่าน นอกจากอะบุบักร์และอุมัร แท้จริงทั้งสองได้มองไปยังท่าน และท่านก็ได้มองไปยังคนทั้งสอง และบุคคลทั้งสองได้ยิ้ม ให้ท่าน และท่านก็ได้ยิ้มให้แก่บุคคลทั้งสอง[199]

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้ออกไปในวันหนึ่ง และได้เข้าสู่มัสยิดพร้อมด้วยอะบูบักร์และอุมัร คนหนึ่งอยู่ด้านขวา อีกคนหนึ่งอยู่ด้านซ้าย ของท่าน โดยท่านได้จับมือของคนทั้งสอง และท่านได้กล่าวว่าในสภาพอย่างนี้แหละที่จะถูก บังเกิดขึ้นใหม่ในวันกิยามะห์

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าผืนแฝนดินจะคายออกมา หลังจากนั้นก็อะบูบักร์ และอุมัร ตามลำดับ จากนั้นข้าพเจ้าจะไปหา ชาวบะเกียะอฺ พวกเขาจะถูกนำมารวมอยู่กับข้าพเจ้า หลังจากนั้นข้าพเจ้าจะคอยชาวมักกะห์จน ข้าพเจ้าถูกนำมารวมระหว่างสองแผ่นดินคักดิ์สิทธิ์[200] 

ฟาจากอับดิ้ลลาห้  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะมีผู้ชายชาวสวรรค์ คนหนึ่งจึงโผล่เข้ามาที่พวกท่าน ต่อมาอะบุบักร์ ได้โผล่เข้ามา หลังจากนั้นท่านได้กล่าวอีกว่า จะ มีผู้ชายชาวสวรรค์คนหนึ่งโผล่เข้ามาที่พวกท่าน ก็ปรากฏว่าอุมัรได้โผล่เข้ามา 

รายงานหะดีษทั้งเก้าโดยติรมิซี

การเข้านับถือศาสนาอิสลามของอุมัร  ร.ฎ. 

เล่าจากอิบนิ อุมัร (ร.ค.) ได้กล่าวว่า ขณะที่อุมัรอยู่ในบ้านด้วยความหวาคกลัว[201] ก็ได้ มีอาส บินวาอิ้ล อัซซะห์มีย์ก็[202] บนร่างของเขามีเครึ่องแต่งกายที่มีลายเป็นทาง และสวมเสื้อ ที่ถูกกุ้นด้วยผ้าไหม เขาอยู่ในตระภูล บะนี ซะห์มุ ซึ่งเป็นพันธมิตรของเรา ในสมัยญาฮีลียะห์ ได้มาหาท่าน และได้กล่าวแกท่านว่า ท่านเป็นอย่างไรบ้าง อุมัรตอบว่าพรรคพวกของท่าน ตั้งใจจะสังหารข้าพเจ้า ถ้าหากข้าพเจ้านับถือศาสนาอิสลาม เขาได้กล่าวว่า พวกเขาไม่มีทางมาถึงตัวท่านได้ หลังจากเขาได้กล่าวคำนี้ ข้าพเจ้าก็รู้ว่าปลอดภัยแล้ว ต่อมาอาสได้ออกมาและได้พบกับประชาชนที่พากันหลั่งไหลมาเต็มหุบเขา เขาได้กล่าวขึ้นว่า พวกท่านต้องการจะไปไหน พวกเขาตอบว่า เราต้องการตัว อุมัร บิน ค๊อตต๊อบ ซึ่งได้ทิ้งศาสนาเดิม เขาได้กล่าวว่าไม่มี ทางไปถึงตัวเขาได้ ประชาชนเหล่านั้นได้เผ่นหนี และในบางรายงานว่า เมื่ออุมัรเข้านับถือ ศาสนาอิสลาม ประชาชนได้พากันมาชุมนุมที่บ้านของเขา และกล่าวว่า อุมัรได้ทิ้งศาสนาของ บรรพบุรุษ ขณะนั้นข้าพเจ้ายังเป็นเต็กอยู่บนบ้าน ได้มีผู้ชายคนหนึ่งมาหาเขาสวมเสื้อคลุมที่ ทำจากผ้าไหม เขาได้กล่าวว่า อุมัรได้ทิ้งศาสนาของบรรพบุรุษแล้วเป็นอย่างไรข้าพเจ้าเป็นผู้ให้ความคุ้มครองแก่เขา ข้าพเจ้าได้เห็นประชาชนแยกย้ายกันออกไปจากเขา ข้าพเจ้าได้ ถามว่า ชายผู้นี้เป็นใคร พวกเขาตอบว่าคือ อาส บินวาอิ้ล 

รายงานโดยบุดอรี

คำสั่งเสียของอุนัร และการให้สัฅยาบันแก่อุสมาน ร.ฎ.

เล่าจากอัมร์ บิน ไมมูน  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พบอุมัรก่อนที่ท่านจะถูกสังหาร เป็นเวลาหลายวัน ที่นครมะตีนะห์ ท่านได้ยืนอยู่กับฮุไซฟะห์ และอุสมาน บิน ฮุในฟ์[203] ท่านใต้กล่าวขึ้นว่า ท่านทั้งสองได้กระทำอย่างไรบ้าง ท่านทั้งสองกลัว หรือว่าท่านทั้งสองจะ ให้โลกนี้รับภาระด้วย สิ่งที่มันไม่มีความสามารก เขาทั้งสองตอบว่า เปล่า แต่เราได้ให้มัน รับภาระด้วยเรื่องที่มันมีความสามารถด้วยสิ่งที่มีความประเสริฐอันใหญ่หลวง อุมัรได้กล่าวว่า ท่านทั้งสองจงพิจารณาดูว่า ท่านทั้งสองได้ให้โลกนี้รับภาระสิ่งที่มันไม่มีความสามารกหรือเปล่า เขาทั้งสองตอบว่า เปล่า อุมัรได้กล่าวว่า ถ้าแม้ว่าพระองค์อัลลอฮ์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้าแล้ว แน่นอนเหลือเกินว่าข้าพเจ้าจะต้องทิ้งหญิงหม้ายของชาวอีรัคไว้ โดยที่พวกหล่อนจะไม่ต้องพึ่ง พาอาศัยอยู่ใดอีกหลังจากข้าพเจ้าจากไป[204] ผู้เล่าได้กล่าวว่า ยังไม่ทันผ่านอุมัร ไปนอกจากวัน ที่สีเท่านั้นจนเขาถูกสังหาร โดยไม่ปรากฏมีผู้ใดระหว่างข้าพเจ้ากับอุมัร นอกจากอิบนุ อับบาส ในตอนเช้าที่ท่านถูกสังหาร และได้ปรากฏว่าเมื่อท่านเดินผ่านระหว่างสองแถว ท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงตั้งแกวให้ตรงจนกระทั่งเมื่อท่านมองไม่เห็นช่องว่างในบรรดาแถวเหล่านั้น ท่านจึงได้ขึ้นหน้าไปและได้ตักบีร บางที่ท่านอาจอ่าน ซูเราะห์ยูชุฟ หรือซูเราะห์ อันนะห์ลิ หรือเหมือนกันนั้นในรอกาอัตแรก จนประชาชนได้พากันมาชุมนุม ต่อมาท่านก็ไม่ได้ทำอะไร นอกจากได้ตักบีร ข้าพเจ้าได้ยินท่านกล่าวว่า หมามันได้ฆ่าหรือได้กัดข้าพเจ้า ในขณะที่มันได้ แทงท่าน ต่อจากนั้นอ้ายมนุษย์จอมโหดผู้นั้นได้หนีไปพร้อมด้วยมีดด้ามหนึ่งที่มีสองคม มันไม่ได้ผ่านผู้ใดทั้งทางด้านขวาและด้านซ้าย นอกจากมันได้แทงเขา จนมันได้แทงถึงสิบสามคน และได้เสียชีวิตไปเจ็ดคนจากจำนวนนั้น เมื่อชายมุสลิมคนหนึ่งเห็นเช่นนั้นจึงได้โยนเสื้อคลุม ชนิดมีที่คลุมศีรษะในตัวไปคลุมร่างของมันไว้ เมื่อมนุษย์จอมโหดคนนั้นเห็นว่าตัวเองคงถูกจับ แน่จึงได้เชือดตัวเอง860 ต่อมาอุมัรได้จับมืออับดุลเราะห์มาน บิน เอาฟ์ และได้ดึงเขาขึ้นไป อยู่ข้างหน้าเพื่อทำละหมาด ส่วนผู้ที่อยู่ใกส้กับอุมัรก็ได้แลเห็น สิ่งที่ข้าพเจ้าแลเห็น ส่วนผู้ที่อยู่ รอบๆ มัสยิดนั้นพวกเขาไม่รู้เรื่องอะไร นอกจากพวกเขาไม่ได้ยินเสียงของอุมัรเท่านั้นโดยพวก เขากล่าวว่าซุบฮานั้ลเลาะห์ ซุบฮานั้ลเลาะห์ อับดุลเลาะห์จึงได้ละหมาดกับพวกเขาโดยได้ ละหมาดอย่างเร็วๆ เมื่อประชาชนได้กลับไปแล้วอุมัรได้กล่าวว่า โอ้ อิบนุอับบาส จงไปดูว่า ใครคือผู้สังหารข้าพเว้า อินบุอับบาสได้ไปตระเวนอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นได้กลับมาและกล่าวว่า (ผู้ที่สังหารท่าน) คือ ทาสของมุฆีเราะห์ อุมัรได้กล่าวว่า ทาสที่เป็นนักประดิษฐ์ใช่ไหม เขาตอบว่า ใช่ อุมัรได้กล่าวว่าขอพระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดสังหารเขา ความจริงข้าพเจ้า ได้ใช่เขาให้ทำความดีแล้วขอขอบคุณพระองค์อัลเลาะห์ที่ไม่ได้ให้ความตายของข้าพเจ้าอยู่ในมือของผู้ที่อ้างตนว่านับถือศาสนาอิสลาม โอ้ อิบนุ อับบาสตัวท่านและบิตาของท่าน ปรารถนา ให้มีมนุษย์ที่โหดร้ายมากๆ ในนครมะดีนะห์ เพราะอับบาสมีทาสมากที่สุด อิบนุ อับบาสได้ กล่าวว่า ถ้าหากท่านด้องการเราจะฆ่าพวกมันเสีย อุมัรได้กล่าวว่า อย่าทำอย่างนั้น หลังจาก พวกนั้นได้พูดตามที่พวกท่านพูดได้ละหมาดสู่ทิศกิบลัตของพวกท่าน และได้ประกอบพิธีฮัจย์ เหมือนการประกอบพิธีฮัจย์ของพวกท่าน หลังจากนั้นอุมัรก็ถูกหามกลับบ้าน พวกเราเดินไป พร้อมกับเขา คล้ายว่าประชาชนไม่เคยประสพกับภัยพิบัติใดๆ ก่อนหน้านี้ บางคนพูดว่าคงไม่ เป็นไร บางคนก็พูดว่า น่ากลัวว่าจะเป็นอันตราย ต่อมาได้มีผู้นำนํ้าหมักผลอินทผลัมมา และ เขาให้ดื่มมัน แต่ต่อมามันก็ไหลออกจากท้องเขา หลังจากนั้นนมได้ถูกนำมาเขาได้ดื่มมัน แต่ ต่อมามันก็ไหลออกจากท้องของเขา ประชาชนก็รู้ว่าเขาต้องตายแน่ ต่อมาพวกเราได้เข้าไปหาเขา และประชาชนได้กล่าวคำสรรเสริญเขา ได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาและได้กล่าวว่า จงรับข่าวดี โอ้ ผู้นำของมวลผู้ศรัทธา ด้วยข่าวดีของอัลลอฮ์ เป็นของท่านแล้ว ตามที่ท่านทราบจากการเป็นสาวกของท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล.      และการเข้าสู่ศาสนาอิสลามก่อน สิ่งต่อมาท่านได้ขึ้นปกครอง และท่านมีความยุติธรรม และก็เสียชีวิตในฐานะนักรบผู้ตายในสงครามศักดิ์สิทธิ์ (ชะฮีด) อุมัรได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าต้องการให้การดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่เพียงพอ ไม่ใช่เป็นภัยกับ ข้าพเจ้าและไม่ใช่เป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้า เมื่อชายหนุ่มคนนั้นหันหลังกลับไป บังเอิญผ้านุ่ง ของเขายาวลากพื้นดิน อุมัรจึงได้กล่าวว่า พวกท่านจงไปตามชายหนุ่มคนนั้นกลับมาหาข้าพเจ้า เมือชายหนุ่มคนนั้นมา อุมัรได้กล่าวว่า โอ้หลานชายจงยกผ้าของท่านให้สูงขึ้น เพราะมันเป็นการรักษาผ้าของท่านให้ทนทาน และเป็นการแสดงความยำเกรงต่อพระผู้อภิบาลของท่าน หลังจากนั้นอุมัรได้กล่าวว่า โอ้อับดุลเลาะห์ บินอุมัร ท่านจงดูเถิดว่ามีหนี้สินอะไรบ้างเหนือ ข้าพเจ้า พวกเขาจึงได้พากันคิดหนี้สิน และพบว่ามันมีถึงแปดหมื่นหกพันหรือใกล้เคียงกันนั้น อุมิรได้กล่าวว่า ถ้าหากทรัพย์สินของตระกูลอุมัร พอซดใข้หนี้สินแล้ว ให้ท่านนำมันมา ซดใข้จากทรัพย์สินของพวกเขา และถ้าหากมันไม่พอใข้ ท่านจงไปขอความช่วยเหลือจาก ตระกูล บะนือะดีย์ บิน กะอับ และถ้าหากทรัยพ์สินของพวกเขาไม่พอใข้หนี้ ก็ให้ท่านไปขอความ ช่วยเหลือจากพวกกุเรช และท่านอย่าข้ามพวกเขาไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น และท่านจงนำ ทรัพย์สินนี้ใข้หนี้สินแทนข้าพเจ้า [205] จากนั้นอุมัรได้กล่าวว่า ท่านจงไปหาอาอิชะห์ มารดา ของมวลผู้ศรัทธา แล้วแจ้งว่า อุมัรได้กล่าวสลามแก่เธอ ท่านอย่าพูดว่า ผู้นำของมวลผู้ศรัทธา เพราะวันนี้ข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นผู้นำของมวลผู้ศรัทธาอีกแล้ว และท่านจงบอกเก่นางว่า อุมัร บิน ค๊อตต๊อบ ขออนุญาต ฝังร่างของเขาเคียงข้างมิตรทั้งสองของเขา อับดุลเลาะห์ บิน อุมัรได้ ไปหานางให้สลาม และขออนุญาตเข้าพบ ต่อมาก็ได้เข้าพบนาง เขาได้พบว่า อาอิชะห์กำลัง ร้องไห้[206] เขาได้แจ้งแก่นางตามที่อุมัรได้สั่งไว้ อาอิชะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งใจเก็บเอาไว้ เพื่อตัวของข้าพเจ้าเอง ในวันนี้ข้าพเจ้าจะสละมันให้แก่ผู้อื่น เมื่ออับดุลเลาะห์ได้กลับมา มีผู้กล่าวขึ้นว่า นี้อับดุลเลาะห์ บิน อุมัรได้กลับมาแล้ว อุมัรได้กล่าวแก่อิบนุ อุมัรว่า ท่านได้อะไรบ้าง อิบนุ อุมัรตอบว่า สิ่งที่ท่านปรารถนานั้นนางได้อนุญาตแล้ว อุมัรได้กล่าวว่า อัลฮัมดุลิลลาห์ ไม่มีสิ่งใดสำคัญสำหรับข้าพเจ้ายิ่งกว่าเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อข้าพเจ้าเสียชีวิต พวกท่านจงแบกข้าพเจ้าไป หลังจากนั้นพวกท่านจงให้สลาม และจงกล่าวว่า อุมัร บินค๊อตต๊อบขออนุญาต ถ้า หากนางอนุญาตให้แก่ข้าพเจ้า พวกท่านจงนำข้าพเจ้าเข้าไป และถ้าหากนางปฏิเสธข้าพเจ้า พวกท่านจงนำข้าพเจ้ากลับไปยังหลุมฝังศพของพวกมุสลิม มารดาของมวลผู้ศรัทธาฮัฟเซาะห์ และพวกผู้หญิงได้มาพร้อมกับนาง เมื่อพวกเราเห็นนางก็ได้ลุกขึ้น นางได้เข้าไปหาอุมัร และได้หยุดอยู่ที่อุมัร ชั่วครู่หนึ่ง และพวกผู้ชายได้ขออนุญาตเข้า ต่อมานางได้เข้าไปข้างใน พวกเราได้ยินเสียงร้องไห้ของนางลอดมาจากข้างใน พวกเขาได้กล่าวว่าโอัผู้นำของมวลผู้ศรัทธา

ท่านจงสั่งเสีย จงแต่งตั้งตัวแทน อุมัรได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่พบว่าใครจะมีสิทธิในเรื่องนี้ยิงกว่า พวกหรือกลุ่มนี้ซึ่งเป็นพวกที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. เสียชีวิตโดยท่านมีความยินดีในพวกเขา หลังจากนั้นอุมัรก็ได้เอ่ยชื่อ อะลี อุสมาน ซูเบร ตอลฮะห์ สะอัด อับดุลเราะห์มาน และได้ กล่าวว่า อับดุลเลาะห์ บิน อุมัร จะเป็นพยานให้แก่พวกท่านโดยเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เหมือนกับเรื่องการปลอบใจ ซึ่งเป็นสิทธิของเขา และถ้าหากตำแหน่งตกเป็นของสะอัดมันก็ต้องดำเนินไปตามนั้น ถ้าไม่เช่นนั้นก็ให้ขอความช่วยเหลือจากเขา คนใดจากพวกท่านที่ ไม่ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ปลดเขา อันเนื่องจากหมดความสามารกและทุจริต จากนั้นอุมัรได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอสั่งเสียถึงคอลีฟะห์ หลังจากข้าพเจ้าด้วยผู้อพยพรุ่นแรก

ให้ยอมรับสิทธิของพวกเขาว่าเป็นของพวกเขา และให้รักษาศักดิ๋ศรีของพวกเขา และข้าพเจ้าขอสั่ง เสียถึงคอลีฟะห้ให้ปฏิบ้ตแก่พวกอันซอรด้วยดี866                                            เพราะเป็นพวกที่ได้เตรียมพร้อมทั้งบ้าน

และอีหม่านไว้ก่อนพวกเขาโดยให้รับคุณความดีของพวกเขาและอภัยในข้อเสียของพวกเขา และข้าพเจ้าขอสั่งเสียเขาในพวกหัวเมืองต่าง ยุ ด้วยดี867                                                         เพราะพวกเขาเป็นกำลังของอิสลาม

และเป็นผู้รวบรวมทรัพย์สมบัติ และเป็นผู้ที่แค้นเคืองศัตรู และไม่ให้เอาจากพวกเขานอกจาก สิ่งที่เกินความต้องการของพวกเขาด้วยความพอใจของพวกเขา                                                         และข้าพเจ้าขอสั่งเสียเขาใน

ชาวอาหรับชนบทด้วยความดีเพราะพวกเขาเป็นต้นกำเนิดของชาวอาหรับ และเป็นโครงสร้าง ของอิสลามให้เอาจากสัตร็ที่เป็นทรัพย์สินของพวกเขา และส่งคืนให้แก่คนที่ยากจนของพวกเขา และข้าพเจ้าขอสั่งเสีย เขาในพวก ข้มมะห์ ของอัลลอฮ์และข้มมะห์ของรอ5ข้ล868 โดยให้ ปฏิบ้ติตามสัญญาของพวกเขาให้สมบูรณ์ และให้ทำสงครามป้องกันพวกเขา และพวกเขาจะ ไม่ถูกบังคับนอกจากที่พวกเขามิความสามารก ผู้เล่าได้กล่าวว่า เมื่ออุมัรถูกเก็บ่ชีวิต พวกเราได้ นำเขาออกไป และอิบนุ อุมัรได้ให้สลามแก่อาอิชะห์ และได้กล่าวว่า อุมัรขออนุญาต นางได้ กล่าวว่า จงนำเขาเข้ามา ศพของอุมัรจึงได้ถูกนำเข้าไปและถูกวางไร็ในที่นั้นพร้อมด้วยมิตรทั้ง สองของเขา เมื่อเสร็จจากการฝังศพอุมัร พวกเขาเหล่านั้นได้ประชุมกันอับดรเราะห์มานได้ กล่าวว่า พวกท่านจงมอบเรื่องของพวกท่านไว้กับสามคน จากพวกท่าน ซุเบรได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าขอมอบเรื่องของข้าพเจ้าให้แก่อะลี และตอลฮะห์ได้กล่าวว่า         แท้จริงข้าพเจ้าขอมอบเรื่องของข้าพเจ้าให้แก่อุสมาน และสะอัดได้กล่าวว่าแท้จริงข้าพเจ้ามอบเรื่องของข้าพเจ้า ให้แก่อับดุรเราะห์มานบินเอาห์เ     หลังจากนั้นอับดรเราะห์มาน         บินเอาห์ได้กล่าวขึ้นว่า[207] ผู้ใดจากท่านทั้งสองที่จะสละจากงานชิ้นนี้ เราก็จะมอบงานชิ้นนี้ให้เขา อัลลอฮ์และอิสลาม อยู่เหนือเขาที่จะต้องมองหาคนที่ประเสริฐที่สุดของพวกเขาในตัวเขาเอง ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง นิ่งเงียบ อับดุรเราะห์มานจึงได้กล่าวว่า พวกท่านจะมอบงานนี้ให้แก่ข้าพเจ้าไหม[208] และพระองค์อัลลอฮ์จะสอดส่องดูข้าพเจ้า โดยข้าพเจ้าจะไม่เลินเล่อมองข้ามคนที่ประเสริฐที่สุด ของพวกท่าน ทั้งสองท่านได้กล่าวว่า ครับ  อับอุรเราะห์มานได้จับมือคนหนึ่งจากทั้งสอง(คืออะลี) แล้วกล่าวว่า ท่านเป็นญาติใกล้ชิดของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. และเข้านับถือ ศาสนาอิสลามมาแต่เติม ตามที่ท่านก็ทราบดี พระองค์อัลลอฮ์ก็จะสอดส่องท่านด้วยถ้าหาก ข้าพเจ้าแต่งตั้งท่าน ท่านก็จะมีความยุติธรรม และถ้าหากข้าพเจ้าแต่งตั้งอุสมาน ท่านก็จะต้อง เชื่อฟังและปฏิบัติตามเขา (อะลี) ได้กล่าวว่าถูกแล้ว หลังจากนั้นได้หันไปหาอีกคนหนึ่ง (คือ อุสมาน) และได้กล่าวแก่เขาด้วยข้อความเหมือนกันเมื่ออับดุรเราะห์มานได้เอาคำมั่นจากบุคคล ทั้งสองแล้ว ได้กล่าวว่า จงยกมือขึ้น โอ้อุสมาน อับดุรเราะห์มานได้ให้สัตยาบันแก่อุสมาน ต่อมาอะลีก็ได้ให้สัตยาปันแก่อุสมาน และชาวเมืองก็ได้เข้ามาและได้ให้สัตยาบันแก่อุสมาน[209] 

รายงาน โดย บุคอรี

คุณความดีของอุสมาน  ร.ฎ.[210]

เล่าจากอะบี มูซา  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าอยู่กับท่านนบี  ซ.ล. ในสวนแห่งหนึ่ง จากสวนของนครมะดีนะห์ ได้มีผู้ชายคนหนึ่งมาแล้วขอให้เปิด (ประตู) ท่านนบี  ซ.ล. ได้ กล่าวว่า จงเปิด (ประตู) ให้เขาและแจ้งข่าวดีแก่เขาด้วยสวรรค์ ข้าพเจ้าจึงได้เปิด (ประตู) ให้ เขา บังเอิญเป็นท่านอะบุปักร์ ข้าพเจ้าจึงได้แจ้งข่าวดีแก่เขา ตามที่ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าว เขาได้สรรเสริญพระองค์อัลลอฮ์ หลังจากนั้นได้มีผู้ชายคนหนึ่งมาขอให้เปิด (ประตู) ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า จงเปิด (ประตู) ให้เขาและแจ้งข่าวดีแก่เขาด้วยสวรรค์ ข้าพเจ้าได้เปิด (ประตู) ไห้เขาบังเอิญเขาคือ อุมัร ข้าพเจ้าจึงได้บอกแก่เขาตามที่ท่านนบี  ซ.ล. ได้บอก เขา ได้สรรเสริญพระองค์อัลเลาะห์ หลังจากนั้น ได้มีผู้ชายคนหนึ่งมาขอให้เปิด (ประตู) ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่าจงเปิด(ประตู)ให้เขา และจงแจ้งข่าวดีแก่เขาด้วยสวรรค์ บน ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับตัวเขา[211] ข้าพเจ้าได้เปิด (ประตู) บังเอิญเป็นอุสมาน ข้าพเจ้าได้บอกแก่ เขาตามที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. บอก เขาได้สรรเสริญพระองค์อัลเลาะห์หลังจากนั้นขา ได้กล่าวว่า พระองค์อัลลอฮ์คือผู้ที่ถูกขอความช่วยเหลือ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราอยู่ในยุคของท่านนบี ซ.ล. พวกเราไม่เคยมีใครสักคนที่เที่ยบได้กับอะบุบักร ต่อมาก็อุมัร และตอมาก็อุสมาน หลังจากนั้นพวกเราได้ ปล่อยอัครสาวกของท่านนบี  ซ.ล. ไว้ โดยพวกเราไม่ถือว่าใครประเสริฐกว่ากันระหว่างพวกเขา

รายงานโดยบุคอรี อะบูดาวูด และติรมีซี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ได้กล่าวว่า พวกเราเคยพูด[212] โดยที่ท่านนบี  ซ.ล. ยังมีชีวิดอยู่ว่า ประชากรของท่านนบี ที่ประเสริฐที่สุดหลังจากท่านคือ อะบุบักรต่อมาได้แก่อุมัร จากนั้นได้แก่อุสมาน  ร.ฎ. 

รายงานโดยอะบูดาวูด และตอบรอนีย์ ได้รายงานเพิ่มเติมว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ยินคำพูดดังกล่าวและท่านไม่ได้ปฏิเสธคำพูดนั้น

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้ขึ้นไปบนภูเขาอุอุด พร้อมด้วยอะบู บักร์ อุมัร และอุสมาน ภูเขาได้เกิดอาการสั่นขึ้นด้วยสาเหตุพวกเขาเหล่านั้น ท่านนบีได้กล่าวว่า จงนิ่ง โอัอุฮุด เพราะความจริงผู้ที่อยู่บนท่านนั้น มีนบี มีผู้ที่ศรัทธาอย่างแท้จริง (อัซซิดดีก) และมีนักรบชะฮีดสองคน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และได้มีผู้ถาม อุบัยดิลลาห์ บิน อะดีย์  ร.ฎ. ว่า อะไรห้ามท่านไม่ให้พูดกับอุสมาน ในเรื่องอัลวะลีด[213] น้องชายของเขาทั้งๆ ที่ประชาชนได้วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมายในเรื่องของเขา                                         ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตั้งใจไปหาอุสมานขณะที่เขาออกมาละหมาด ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่เขาว่า แท้จริงข้าพเจ้ามีธุระกับท่าน และมันเป็นคำตักเตือนแก่ท่าน อุสมานได้กล่าวว่า โอ้ท่านสุภาพบุรุษ ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยอัลเลาะห์จากท่าน[214] ข้าพเจ้าจึงกลับไปหาพวกเขา ต่อมา ทูตของอุสมานได้มาตาม ข้าพเจ้า ได้มาหาเขา เขาได้ถามว่าอะไร คือคำตักเตือนของท่าน ข้าพเจ้า กล่าวว่า แท้จริงพระองค์อัลเลาะห์ซุบฮานะฮู ได้แต่งตั้งมุฮัมมัดพร้อมด้วยสัจจะธรรมและ ได้ประทานพระคัมภีร์มายังเขา และท่านก็เป็นบุคคลที่ได้ตอบสนองคำเรียกร้องของอัลลอฮ์ และรอซูลของพระองค์ ท่านได้อพยพถึงสองครั้ง[215] ท่านได้เป็นอัครสาวก ของท่านรอซูลุล เลาะห์  ซ.ล. ท่านได้เห็นทางนำของท่านนบี  ซ.ล. และประชาชนได้พากันวิพากษ์วิจารณ์ อย่างมากมายในเรื่องของอัลวะลีด[216] เขาได้กล่าวว่า ท่านทันได้พบกับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. หรือ ข้าพเจ้าตอบว่า เปล่า แต่มันได้ตกมาถึงข้าพเจ้าจากความรู้ของท่าน เหมือนดังสิ่งที่ตก ไปถึงหญิงสาวที่อยู่ในผ้าคลุมของหล่อน[217] เขาได้กล่าวว่า อนี่งแท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ไดั แต่งตั้งมุฮัมมัด  ซ.ล.ด้วยสัจจะธรรม และข้าพเจ้าเป็นคนที่ตอบสนองคำเรียกร้องของอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ และข้าพเจ้าศรัทธาในสิ่งที่ถูกส่งมาพร้อมกับมุฮัมมัด ข้าพเจ้าได้อพยพถึงสองครั้ง เหมือนที่ท่านและข้าพเจ้าได้เป็นอัครสาวกของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. และข้าพเจ้าได้ให้สัตยาบันแก่ท่าน สาบานต่ออัลลอฮ์ว่าข้าพเจ้าไม่เคยละเมิดคำสั่ง ของท่าน ไม่เคยตบตาท่าน จนกระทั่งพระองค์อัลเลาะห์ได้ให้ท่านเสียชีวิต หลังจากนั้นอะบูบักร์ ก็เช่นเดียวกันและอุมัรก็เช่นเดียวกัน และข้าพเจ้าได้ถูกแต่งตั้งเป็นคอลีฟะห์ ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ เหมือนที่พวกเขามีสิทธิหรือ ข้าพเจ้าตอบว่าถูกแล้ว ท่านมีสิทธิ เขา (อุสมาน) ได้กล่าวว่า แล้วคำพูดเหล่านี่ที่ข้าพเจ้าได้รู้มาจากพวกท่านเล่าส่วนสิ่งที่ท่านได้กล่าวถึงเรื่องของอัลวะลีดนั้นเราจะรับเอาไปพิจารณาโดยยุติธรรม ถ้าหากพระองค์อัลเลาะห์ปรารถนาหลังจากนั้นอุสมาน ได้เรียกอะลีและได้ส่งเขาไปเฆี่ยนอัลวะลีด อะลีจึงได้เฆียนอัลวะลีดแปดสิบครั้ง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

และท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ใครขุดบ่อ รูมะห์ [218] สวรรค์จะเป็นของ พวกเขาอุสมานได้ขุดบ่อนํ้านั้น และผู้ใดให้การสนับสนุนกองทหารแห่งความยากลำบาก[219] สวรรค์จะเป็นของเขาอุสมานก็ได้ให้ความสนับสนุนกองทหารดังกล่าว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะห์มัด และติรมิซี

เล่าจากอุสมาน บิน เมาฮิบ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งจากซาวมิสร์เดินทางมา และได้ทำฮัจย์ที่บัยตุลเลาะห์ เขาได้เห็นคนพวกหนึ่งนั่งอยู่ จึงถามว่า พวกเหล่านี่เป็นใคร พวกเขาตอบว่าคือพวกกุเรช เขาถามว่า ใครเป็นหัวหน้าของพวกเขา พวกเขาตอบว่า อับดุลเลาะห์ บิน อุมัร เขาได้กล่าวว่า โอ้อิบนุ อุมัร ข้าพเจ้าจะถามท่านถึงสิ่งหนึ่งขอให้ ท่านจงบอกแก่ข้าพเจ้า ท่านทราบไหมว่า อุสมานหนีในวันศึกอุฮุด อิบนุ อุมัรตอบว่า รู้ขอรับ เขาได้กล่าวต่อไปว่า ท่านทราบไหมว่า อุสมานไม่ได้ไปในสงครามบัดร์ และไม่ได้ปรากฏตัว ในสงครามบัดร์ อิบนุ อุมัรตอบว่า รู้ครับ เขากล่าวว่าท่านทราบไหมว่า อุสมานไม่ได้ร่วมในการให้ สัตยาบันแห่งความพึงพอใจของพระองค์อัลเลาะห์ และไม่ได้ปรากฏตัวในการให้สัตยาบันนั้น[220]  อิบนุ อุมัรตอบว่า รู้ครับ เขากล่าวว่า พระองค์อัลเลาะห์ทรงเกรียงไกรยิ่ง[221] ทรงเกรียงไกรยิ่ง อิบนุ อุมัรได้กล่าวว่า มานี่ข้าพเจ้าจะอธิบายให้ท่านทราบ ส่วนการที่อุสมานหนีในวันอุฮุดนั้น ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ ได้อภัยและยกโทษให้แก่เขา แล้ว[222] ส่วนการที่อุสมานไม่ได้ไปในวันสงครามบัดร์ ก็เพราะมีบุตรสาวของท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. อยู่ในความดูแลของเขาเพราะเธอป่วย และท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ได้กล่าวแก่เขาว่า แท้จริงท่านจะได้รับผลบุญเท่ากับบุคคลที่ออกร่วมในสงคราม บัดร์และส่วนได้ของเขา[223]ส่วนการที่เขาไม่ได้ร่วมในการให้สัตยาบันแห่งความพึงพอใจของพระองค์อัลเลาะห์ ก็เพราะถ้าหากมีใครที่มีเกียรติยิ่งใหญ่ที่หุบเขาแห่งนครมักกะห์ยิ่งกว่าอุสมาน แล้วท่านรอซูลก็คงต้องส่งผู้นั้นไปแทนอุสมาน                                      แต่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้สั่งอุสมานไป และการให้สัตยาบันแห่งความพึงพอใจของพระองค์อัลเลาะห์ได้เกิดขึ้นหลังจากอุสมานได้ไปยังมักกะห์ [224] ท่านรอซูลัลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวด้วยมือขวาของท่านว่านี่คือมือของอุสมาน และท่านได้ตบมันลงบนมือซ้ายของท่านพร้อมกับกล่าวว่า นี่คือมือของอุสมานหลังจากนั้น

อิบนุ อุมัรได้กล่าวแก่ชายผู้นั้นว่าท่านไปได้แล้ว ณ บัดนี้ พร้อมด้วยคำตอบที่ท่านมี[225] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. นอนตะแคง อยู่ในบ้านของข้าพเจ้า โดยเปิดขาอ่อนทั้งสองของท่าน หรือหัวเข่าทั้งสองของท่าน อะบูบักร์ ได้ขออนุญาตท่านได้อนุญาตให้เขาเข้ามาโดยท่านอยู่ในสภาพเช่นนั้น และท่านได้พูดคุยกับเขา หลังจากนั้นอุมัรได้ขออนุญาต ท่านได้อนุญาต ให้เขาเข้ามาโดยท่านอยู่ในสภาพเช่นนั้น และ ท่านก์ได้พูดคุยกับเขา หลังจากนั้นอุสมานได้ขออนุญาตเข้าพบ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ ลุกขี้นนั่งและได้จัดเสื้อผ้าของท่านให้เรียบร้อย (มุฮัมมัด ได้กล่าวว่า และข้าพเจ้าจะไม่กล่าว เช่นนั้นในวันเดียวกัน) อุสมานได้เข้ามาและท่านได้พูดคุยกับเขา เมื่ออุสมานออกไป อาอิชะห์ ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอห์ อะบูบักร์ได้เข้ามาโดยท่านไม่ให้ความสนใจกับเขาและไม่หวั่นไหว และภายหลังอุมัรได้เข้ามาโดยท่านไม่ให้ความสนใจกับเขาและไม่หวั่นไหว หลังจาก นั้นอุสมานได้เข้ามา     ท่านได้ลุกขี้นนั่งและได้จัดเสื้อผ้าของท่านให้เรียบร้อย ท่านได้กล่าวว่าข้าพเจ้าจะไม่อายหรือ สุภาพบุรุษที่แม้แต่มะลาอิกะห์ยังอายเขาและในบางรายงานท่านได้กล่าว ว่า แท้จริงอุสมานเป็นคนขี้อาย ข้าพเจ้ากลัวว่า ถ้าหากข้าพเจ้าอนุญาตให้เขาเข้ามาในสภาพ อย่างนั้น เขาจะไม่แจ้งธุระของเขาให้ข้าพเจ้าทราบ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม

เล่าจากอะบี อับดิรเราะห์มาน อัซซุละมีย์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่ออุสมานถูกล้อม ท่านได้ขี้นไปดูพวกเขาบนบ้านของท่าน หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่พวกที่ล้อมท่านอยู่ว่า ข้าพเจ้า ขอเตือนพวกท่าน ด้วยอัลเลาะห์ว่าพวกท่านรู้ไหมว่า ความจริงภูเขาฮิรอฺ ขณะที่มันสั่นนั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เจ้าจงนิ่ง โอ้ ฮิรออุ ไม่ใช่ใครหรอกที่อยู่บนเจ้านี้นอก จากนบีหรือผู้ศรัทธาด้วยใจจริง หรือนักรบชะฮีด พวกเขาตอบว่ารู้ครับ หลังจากนั้นได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอเตือนพวกท่านด้วยอัลลอฮ์พวกท่านทราบไหมว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าวในกองทหารแห่งความยากลำบากว่า ผู้ใดจะบริจาค เป็นการบริจาคที่ถูกรับรองในยาม ที่ประชาชนตกอยู่ในความยากไร้ ข้าพเจ้าจึงได้ อุดหนุนกองทหารนั้น พวกเขากล่าวว่า ครับ หลังจากนั้นเขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอเตือนด้วยอัลลอฮ์ พวกท่านทราบไหมว่าบ่อนํ้ารูมะห์ นั้นไม่มีใครจะสามารถดื่มได้นอกจากต้องจ่ายราคา ข้าพเจ้าจึงได้ซื้อบ่อนํ้านั้น และข้าพเจ้าได้อุทิศมันให้แก่คนรวย คนจน และคนเดินทางพวกเขากล่าวว่า “ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์” ทราบแล้วครับ และอีกหลายอย่างที่เขาได้นับมัน

เล่าจากมุรเราะห์ บิน กะอับ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. กล่าวถึงวิกฤติการณ์ต่างๆ (ฟิตนะห์) และได้กล่าวว่า มันได้ใกล้เข้ามาแล้ว ต่อมา มีผู้ชายคนหนึ่งใช้ผ้าคลุมหน้าเดินผ่านมา ท่านได้กล่าวว่าชายคนนี้ในวันนั้นเขาจะอยู่บนทางที่ถูกต้อง ข้าพเจ้าได้ลุกขึ้นไปหาเขา บังเอิญ เขาคืออุสมาน บิน อัฟพาน ข้าพเจ้าจึงให้เขาหันหน้า ไปหาท่านนบี  ซ.ล. ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า คนนี้หรือ ท่านกล่าวว่า ใช่แล้ว

เล่าจากอะบี สะห์ละห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อุสมานได้กล่าวในวันที่บ้านของท่านถูก ล้อมว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ให้สัญญากับข้าพเจ้าไว้ ดังนั้นข้าพเจ้าจะต้อง อดทนต่อสัญญานั้น[226]

เล่าจาก ซุมามะห์ บิน ฮะซัน อัลกุซัยรีย์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้อยู่ที่บ้าน (ของอุสมาน) ในขณะที่อุสมานได้ขึ้นไปดูพวกนั้นโดยได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงไปนำเพื่อน ทั้งสองคนของพวกท่านมาหาข้าพเจ้า ซึ่งเขาทั้งสองได้เรียกชุมนุมพวกท่านเพื่อทำร้ายข้าพเจ้า ผู้เล่าได้กล่าวว่า บุคคลทั้งสองได้ถูกนำตัวมา คล้ายกับทั้งสองเป็นอูฐหรือลา[227] อุสมานได้ขึ้น ไปดูพวกเขาแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอถามพวกท่านด้วยอัลลอฮ์และอิสลาม ว่า พวกท่านทราบ ไหมว่าแท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้มาที่นครมะดีนะห์ โดยไม่มีน้ำในนครมีดีนะห์ที่จะใช้ดื่มนอกจากบ่อนํ้ารูมะห์ ท่านได้กล่าวว่า ใครซื้อบ่อน้ำรูมะห์ด้วยดีและอุทิศกระบวยของ มันร่วมกับกระบวยของมวลมุสลิม เขาจะได้รับมันดีกว่านั้น ในสวรรค์ ข้าพเจ้าจึงได้ซื้อมันจาก ทรัพย์สมบัติส่วนตัวของข้าพเจ้า แต่พวกท่านในวันนี้ได้ห้ามข้าพเจ้ามิให้ดื่มมัน จนข้าพเจ้าจะ ต้องดื่มนํ้าทะเล พวกเขากล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ ทราบแล้วครับ อุสมานได้กล่าว ว่าข้าพเจ้าขอถามพวกท่านด้วยอัลลอฮ์ และอิสลามพวกท่านรู้ไหมว่า มัสยิดคับแคบแก่ผู้ ทิ่มาละหมาด ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดจะซื้อที่จากตระถูลนั้นๆ และเพิ่มมันลงไปในมัสยิด เขาจะได้ดีกว่านั้นในสวรรค์ ข้าพเจ้าจึงได้ซื้อมันมาจากทรัพย์ส่วนตัวของข้าพเจ้า ในวันนี้พวกท่านห้ามไม่ให้ข้าพเจ้าละหมาดสองรอกาอัตในมัสยิดนั้น พวกเขากล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์  ทราบแล้วครับ หลังจากนั้นอุสมานได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอถามพวกท่านด้วย อัลลอฮ์และอิสลาม พวกท่านทราบไหมว่า แท้จริงข้าพเจ้าเป็นผู้จัดเตรียมกองทหารแห่งความยากลำบากจากทรัพย์สินของข้าพเจ้า พวกเขาตอบว่า ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์  ทราบแล้วครับ จากนั้น อุสมานได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอถามท่านทั้งหลายด้วยอัลเลาะห์ และอิสลาม พวกท่านรู้ไหมว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ขถเะอยู่ที่ภูเขาซะบีร มักกะห์ พร้อมกับอะบูบักร์ อุมัร และข้าพเจ้า ต่อมาภูเขาได้เกิดสั่นสะเทือนขึ้น จนกระทั่งหินตกลงมา ที่แข้งเขา ท่านนบี  ซ.ล. ได้กระทืบเท้าของเขา และท่านได้กล่าวว่า เจ้าจงหยุด โอ้ซะบีร ความจริงผู้อยู่บนเจ้านี่คือนบี และผู้ที่ศรัทธาด้วยใจจริง (ซิดดีก) และสองนักรบซะฮีด พวกเขากล่าว ว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ ทราบแล้วครับ อุสมานได้กล่าวขึ้นว่า พระองค์อัลลอฮ์ทรงเกรียงไกรยิ่ง พวกเขาได้เป็นพยานยืนยันแก่ข้าพเจ้าแล้ว ขอสาบานต่อผู้อภิบาลกะอะบะห์ว่า แท้จริงข้าพเจ้าเป็นซะฮีด ท่านได้กล่าวสามครั้ง [228] 

และอิบนุ อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวถึงเรื่องวิกฤตการณ์ (ฟิตนะห์) แล้วท่านได้กล่าวว่า ชายผู้นี้จะถูกฆ่าโดยไม่เป็นธรรม ในวิกฤติการณ์นั้น[229] 

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าโอ้อุสมาน หวังว่า พระองค์อัลลอฮ์ จะให้ท่านสวมเสื้อตัวหนึ่ง ถ้าหากพวกเขาตั้งใจมายังท่านเพื่อถอดเสื้อนั้น ท่านจงอย่าถอดมันให้แก่พวกเขา[230]

อับดุรเราะห์มาน บินซะมุเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าภัยอุสมาน ได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. พร้อมด้วยหนึ่งพันเหรียญทองในแขนเสื้อของเขา ขณะที่ท่านกำลังให้กำลังใจแก่กองทหาร แห่งความยากลำบาก อุสมาน  หว่านมันลงในตักของท่าน ข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี  ซ.ล. พลิกมันไปมาอยู่ในตักของท่าน และกล่าวว่า จะไม่เป็นอันตรายต่ออุสมานสิ่งที่เขาได้กระทำ หลังจากวันนี้[231] ท่านได้กล่าว สองครั้ง

และอับดิรเราะห์มานบินของค๊อบบ๊าบ  ร.ฎ.ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี  ซ.ล.

ในขณะที่ท่านกำลังให้กำลังใจแก่กองทหารแห่งความยากลำบาก อุสมานได้ลุกขึ้นแล้ว..................... 

กล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าจะต้องบริจาคอูฐหนึ่งร้อยตัว พร้อมด้วยผ้ารองอาน และ อานของมันในวิถีทางของอัลลอฮ์ ต่อมาท่านได้ปลุกใจกองทหาร อุสมานได้ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าต้องบริจาคอูฐสองร้อยตัว พร้อมด้วยผ้ารองอานและอานของมันใน วิถีทางของอัลลอฮ์ จากนั้นท่านได้ปลุกใจกองทหาร

อุสมานได้ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าต้องบริจาคอูฐสามร้อย ตัว พร้อมด้วยผ้ารองอานและอานของมัน ในวิถีทางของอัลลอฮ์ข้าพเจ้าเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ลงจากมิรบัร พร้อมกับกล่าวว่า ไม่มีอันตราย เหนืออุสมานสิ่งที่กระทำหลังจากนี้ไม่มี อันตรายเหนืออุสมาน สิ่งที่เขาได้กระทำหลังจากนี้

รายงานหะดีษทั้งแปดโดย ติรมิซี สามหะดีษแรกด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

คุณความดีของอะลี บิน อะบี ตอสิบ  ร.ฎ. 618

เล่าจาก ซะลามะห์ บิน อัลอักวะอ์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะลีได้ล้าหลังจากท่านนบี  ซ.ล. ในศึก คอยบัร โดยปรากฏว่า เขาตาเจ็บ เขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ล้าหลังเสียแล้ว เขาจึงได้ออกเดินทางไปและได้ไปทันท่านนบี  ซ.ล.        เมื่อถึงเวลากลางคืน ที่อัลเลาะห์ได้ให้ สามารถพิชิตคอยบัรได้ในยามรุ่งเช้าของคืนนั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะต้องมอบธงรบหรือจะรับธงรบในวันพรุ่งนี้ ชายคนหนึ่งที่อัลเลาะห์และรอซูลของพระองค์ รักเขาหรือท่านได้กล่าวว่า ซึ่งเขาเป็นผู้ที่รักอัลเลาะห์และรอซูลของพระองค์ ที่พระองค์อัลเลาะห์จะให้ชัยชนะอยู่ในตัวเขา ต่อมาพวกเราได้พบกับอะลี โดยพวกเราไม่หวังว่าจะได้พบเขา พวกเขาได้กล่าวว่า นี่คืออะลี ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. จึงได้มอบธงให้แก่เขา พระองค์อัลเลาะห์ก็ ได้มอบชัยชนะให้แก่เขา

เล่าจากสะหัล บิน สะอัด  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าวใน วันคอยบัรว่า ข้าพเจ้าจะต้องมอบธงนี้ให้แก่ผู้ชายคนหนึ่งที่พระองค์อัลลอฮ์จะให้ชัยชนะอยู่

ในมือทั้งสองข้างของเขา ซึ่งเขารักอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ และพระองค์อัลเลาะห์ กับรอซูลของพระองค์ก็รักเขา ประชาชนได้พากันวิพากษ์วิจารณ์ในคืนนั้น ว่าใครจะถูกมอบธงให้ เมื่อรุ่งเช้าประชาชนได้พากันไปหาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. กันทุกคน โดยหวังว่าจะถูกมอบ ธงให้ ท่านนบีได้ถามว่า อะลี บิน อะบี ตอลิบอยู่ที่ไหน พวกเขาตอบว่า เขากำลังได้รับความ ทรมานจากดวงตาทั้งสองข้างของเขา ท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงส่งคนไปยังเขาให้นำตัวเขามา จากนั้นอะลีได้ถูกนำตัวมา ท่านนบีได้ถ่มนํ้าลายลงไปในดวงตาทั้งสองข้างของเขาและ ได้ขอพรให้แก่เขา อาการป่วยของเขาได้หายไปเหมือนกับไม่เคยเจ็บมาก่อนเลย และท่านนบีได้มอบธงให้แก่เขา อะลีได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะสู้รบกับพวกเขาจนกว่า พวกเขาจะมีสภาพเหมือนพวกเรา ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านจงไปอย่างสุขุม จนกว่าท่านจะไป อยู่ที่ลานบ้านของพวกเขา หลังจากนั้นท่านจงเรียกร้องพวกเขามาสู่ศาสนาอิสลาม และท่านจงแจ้งให้พวกเขารู้ถึงสิ่งที่จำเป็นเหนือพวกเขาจากสิทธิของอัลลอฮ์ ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า การที่พระองค์อัลเลาะห์จะแนะนำแนวทางที่ถูกต้องแก่ผู้ใด   เพราะท่านเป็นต้นเหตุมันจะเป็นความดีแก่ตัวท่านยิ่งกว่าอฐแดง

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวในวัน คอยบัรว่า ข้าพเจ้าจะต้องมอบธงนี้ให้แก่ ชายคนหนึ่งที่เขารักอัลเลาะห์และรอซูลของพระองค์ ที่พระองค์อัลเลาะห์จะให้ชัยชนะอยู่ในมือทั้งสองข้างของเขา อุมัรได้กล่าวว่าข้าพเจ้า ไม่เคยชอบตำแหน่งหน้าที่นอกจากในวันนั้นที่ข้าพเจ้ามีดวามทะเยอทะยานอยากได้ตำแหน่งหน้าที่ หวังว่าข้าพเจ้าจะถูกเรียกเพื่อมอบธงให้ ต่อมาท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้เรียกอะลีและได้ มอบธงให้แก่เขาพร้อมกับกล่าวว่า ท่านจงไปและอย่าหันกลับจนกว่าพระองค์อัลลอฮ์จะมอบ ชัยชนะให้แก่ท่าน อะลีได้ออกเดินทางไปได้เล็กน้อยก็หยุดนิ่งแต่ไม่หันกลับ จากนั้นเขาได้ตะโกน ว่า โอ้ท่านรอซูล้ลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะทำสงครามกับมวลมนุษย์บนสิ่งใด ท่านได้กล่าวว่า ท่าน จงทำสงครามสู้รบกับพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพ

สักการะนอกจากพระองค์อัลเลาะห์เท่านั้น และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นทูตประกาศศาสนาของอัลลอฮ์เมื่อพวกเขาได้ปฏิบัติดังนั้นแล้ว เลือดของพวกเขา และทรัพย์สินของพวกเขาก็เป็นสิ่งต้องห้ามจากท่าน นอกจากด้วยสิทธิของมัน[232] และการสอบสวนพวกเขาอยู่ที่พระองค์อัลเลาะห์ตาอาลา 

รายงานทั้งสามหะด.มนโตยบุคอร และมุสลม

เล่าจากสะอัด บิน อะบี วักกอส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านรอซูล้ลเลาะห์  ซ.ล. ได้แต่งตั้งอะลี บิน อะบี ตอลิบ เป็นผู้สำเร็จราชการแทน ในสงครามตะบุก อะลีได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอห์ ท่านทิ้งข้าพเจ้าไว้กับพวกผู้หญิงและเด็กๆ หรือ ท่านนบีได้กล่าวว่าท่านไม่พอใจหรือการที่ท่านกับข้าพเจ้าก็เหมือนฮารูนกับมูซา เว้นแต่จะไม่มีนบีอีกหลังจากข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากสะหัล บิน สะอัด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ผู้ชายคนหนึ่งจากวงค์วานของ มัรวาน ได้ถูกแต่งตั้งให้ปกครองมะดีนะห์ ต่อมาเขาได้เรียกสะหัลและได้ใช้เขาด่าอะลี แต่สะหัลไม่ยอม ด่าอะลี ต่อมาชายคนนั้นได้กล่าวแก่สะหัลว่า เมื่อท่านไม่ยอมด่าก็ให้ท่านจงพูดว่า ขออัลลอฮ์ได้สาปแช่ง “อะบุตตุรอบ” สะหัลได้กล่าวว่าไม่มีข้อใดที่ อะลีรักยิ่งกว่าชื่อนี้ อะลีจะดีใจ เมื่อถูกเรียกด้วยชื่อนี้[233] ได้มีผู้ถามสะหัลว่า จงเล่าให้พวกเขาฟังเถิดว่า ทำไมอาลีจึงถูกเรียกว่า อะบุตตุรอบ สะหัลได้เล่าว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้มา ที่บ้านของฟะติมะห์และไม่ พบอะลี  อ.ล. ท่านได้ถามขึ้นว่า บุตรชายลุงของเธออยู่ที่ไหน ฟาติมะห์ เขามีเรื่องบางอย่าง กับข้าพเจ้า เขาโกรธข้าพเจ้าและเขาก็ได้ออกไปโดยไปนอนกลางวันที่ข้าพเจ้า[234] ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวแก่คนหนึ่ง[235]ว่า จงไปดูเขาว่าเขาอยู่ที่ไหน ต่อมาคนนั้นได้กลับมาและแจ้งว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์เขากำลังนอนอยู่ในมัสยิด ต่อมาท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้มาหาเขา ขณะที่เขากำลังนอนตะแคงอยู่ ผ้าคลุมตกลงมาจากสีข้างของเขาและดินได้ติด อยู่ที่ร่างของเขา ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ลูบดินออกจากตัวเขา โดยท่านได้กล่าวว่า จงลุกขึ้นเถิด อะบุตตุรอบ[236] จงลุกขึ้น อะบุตตุรอบ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากสะอัด บิน อะบี วักกอส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มุอาวิยะห์ได้ใช้ข้าพเจ้าให้ด่า อะบุตตุรอบ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ายังคงระลึกถึง สามประการที่ท่านเราะซูลุลลอห์ใด้กล่าวแก่เขา ดังนั้น ข้าพเจ้าจะไม่ด่าเขา[237] เพราะการที่ประการหนึ่งจากสามประการนั้นจะมาเป็นของข้าพเจ้า มัน ก็เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนายิ่งกว่า อูฐแดง ความจริง ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้แต่งตั้ง เขาเป็นผู้สำเร็จราชการในบางครั้งที่ท่านออกศึก อะลีได้กล่าวว่า ท่านได้แต่งตั้งข้าพเจ้าให้อยู่ กับพวกผู้หญิงและเด็กๆ หรือข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. กล่าวว่า ท่านไม่พอใจ หรือที่ท่านกับข้าพเจ้าอยู่ในตำแหน่งของฮารูนกับมูซา แต่จะไม่มีตำแหน่งนบีอีกหลังจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้ยินท่านกล่าวในวันคอยบัรว่า         ข้าพเจ้าจะต้องมอบธงให้กับชายคนหนึ่งที่เขารักอัลเลาะห์และรอซูลของพระองค์ และอัลเลาะห์กับรอซูลของพระองค์ก็รักเขา ผู้เล่าได้กล่าวว่า พวก เรามีความทะเยอทะยานอยากได้ธงนั้น ต่อมาท่านนบีได้กล่าวว่า  พวกท่านจงไปเรียกตัวอะลีมาหา ข้าพเจ้า อะลีได้ถูกนำตัวมาในสภาพที่ตาเจ็บท่านนบีได้ถ่มนํ้าลายลงในดวงตาของเขา และท่าน ก็ได้มอบธงให้เขา และพระองค์อัลลอฮ์ก็ได้ให้ชัยชนะขึ้นอยู่กับเขา และเมื่อโองการนี้ได้ประทานลงมา “จงประกาศเถิด (โอ้ มุฮัมมัด แก่พวกศรัทธาในคัมภีร์ว่า) เชิญพวกท่านมาที่นี่ เราจะเรียกถูกหลานของเรา และลูกหลานของพวกท่าน” ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ เรียกอะลี ฟาติมะห์ หะซัน และหุเซน มาแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ พวกเขา นี่แหละเป็นครอบครัวของข้าพเจ้า[238] 

รายงานโดย มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากเซด บิน อัรกอม  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่ข้าพเจ้าเป็นคนรักของเขา ดังนั้นอะลีก็เป็นคนรักของเขาด้วย[239]

และเล่าจากเขา (เซด) ว่าเขาเคยกล่าวว่า บุคคลแรกที่เข้านับลือศาสนาอิสลามคือ อะลี อัมร์ บิน มุรเราะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เล่าเช่นนั้นแก่อิบรอฮีม อันนะคออีย์ เขาได้กล่าว ว่า บุคคลแรกที่เข้านับถือศาสนาอิสลามคือ อบูบักร์อัซซิดดีก[240]

เล่าจากอัลบะรออุ บิน อาซิบ  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวแก่ อะลี บิน อะบี ตอลิบว่า ท่านเป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของท่าน

เล่าจากริบอีย์ บิน ฮิรอช  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะลี บิน อะบี ตอลิบได้เล่าให้เราฟัง ขณะอยู่ที่สนามแห่งหนึ่ง[241] โดยได้กล่าวว่า ในวันฮุไดบียะห์ นั้น มีพวกมุชริกีน (พวกผู้ตั้งภาคี) ออกมายังพวกเรา ในพวกเขาเหล่านั้นมี สุไหล์ บิน อัมร์ และมีห้วหน้าพวกมุซริกีน อีกกลุ่มหนึ่ง พวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ มีลูกหลาน พวกพี่น้องและทาสของเรากลุ่มหนึ่งออกมา อยู่กับท่านโดยที่พวกเขาไม่มีความเข้าใจในศาสนา ความจริงพวกเขาออกมาเพราะต้องการหลบหนีจากทรัพย์สมบัติ และที่ดินของเรา ดังนั้นขอให้ท่านจงส่งพวกเขาคืนแก่พวกเราด้วย ท่าน นบีได้กล่าวว่า จ้าหากพวกเขาไม่มีความเข้าใจในศาสนา ต่อไปนี้เราจะทำให้พวกเขาเข้าใจในศาสนา หลังจากนั้นท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า โอ้ชาวกุเรซทั้งหลายพวกท่านด้องยุติการกระทำ ของ พวกท่าน หรือ (ไม่เช่นนั้น) พระองค์อัลเลาะห์ จะต้องส่งผู้ที่จะมาฟันคอพวกท่านด้วยดาบบนแนวทางของศาสนา ซึ่งเป็นบุคคลที่พระองค์อัลเลาะห์ได้ทดสอบหัวใจของเขาแล้ว บนการศรัทธา พวกเขาถามว่าเขาคือใคร โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ และอะบุบักร์ก็ได้ถามว่าเขาเป็นใคร โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์อุมัรก็ได้ถามว่า เขาเป็นใคร โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านได้ตอบว่า เขาคือคนเย็บรองเท้า[242] เพราะปรากฏว่าท่านได้มอบรองเท้าให้อะลีเย็บ ผู้เล่าได้กล่าวว่า หลังจากนั้น อะลีได้หันมายังพวกเราและได้กล่าวว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดโกหก เหนือข้าพเจ้าโดยเจตนา ให้เขาจงเตรียมที่อยู่ของเขาจากไฟนรก

เล่าจากอิมรอน บิน ฮุซอยน์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้จัดส่ง ทหารกองหนึ่งและท่านได้แต่งตั้งอะลีให้เป็นแม่ทัพคุมทหารกองนั้น อะลีได้ออกเดินทางไปกับเหล่าทหารนั้น ต่อมาอะลีได้ร่วมหลับนอนกับทาสหญิงคนหนึ่ง พวกทหารจึงได้ประนามอะลี และได้มีอัครสาวกสี่ท่านตกลงกันจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไปเล่าให้ท่านนบี  ซ.ล. รับทราบ เมื่อพวกเขาได้กลับมา และเป็นประเพณีว่าบรรดามุสลิมนั้น เมื่อกลับจากการเดินทางพวกเขาจะ เรื่มต้นที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ก่อน พวกเขาจะกล่าวสลามแก่ท่าน และแยกย้ายกันกลับ ไปยังที่พักของพวกเขา และเมื่อกองทหารได้เข้ามา พวกเขาได้กล่าวสลามแก่ท่านนบี  ซ.ล. ต่อมาอัครสาวกคนหนึ่งจากสี่ท่านนั้นได้ลุกขึ้นยืน และรายงานว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านไม่ทราบหรือว่าอะลีได้กระทำอย่างนั้น ๆ ท่านนบี  ซ.ล. ได้เบือนหน้าหนีจากเขาอัครสาวกคนที่สองได้ ลุกขึ้น และได้กล่าวเหมือนคำพูดของคนแรก ท่านนบีก็ได้เบือนหน้าหนีจากเขาหลังจากนั้นคนที่สาม ได้ลุกขึ้นและได้กล่าวเหมือนกับสองคนแรก จากนั้นคนที่สี่ก็ได้พูดขึ้นเหมือนที่พวกเขาได้พูด ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ผินหน้ามาทางพวกเขา ความโกรธเได้จากสีหน้าของท่านแล้วท่าน ก็ได้กล่าวว่า พวกท่านต้องการอะไรจากอะลี และท่านได้ยํ้าถึงสามครั้ง จากนั้นท่านได้กล่าวว่า แท้จริงอะลีเป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของเขา และเขาเป็นคนรักของ ผู้มีศรัทธาทุกคนภายหลังจากข้าพเจ้า[243]

เล่าจาก อุมม์ ซะลามะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. เคยกล่าวว่าจะไม่รักอะลีหรอกคนหน้าไหว้หลังหลอก และจะไม่โกรธเกลียดอะลีหรอกคนที่มีศรัทธา[244]

เล่าจาก บุรอยดะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ได้ใช้ข้าพเจ้า ให้รักสี่คน และได้บอกข้าพเจ้าว่า ท่านรักบุคคลทั้งสี่นั้น ได้มีผู้ถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ จงเอ่ยนามพวกเขาให้พวกเราได้ทราบ ท่านกล่าวว่า อะลีเป็นคนหนึ่งจากพวกเขา ท่านได้กล่าว อย่างนั้นถึงสามครั้ง และอะบูซัรร์ มิกดาร บิน อัลอัสวัด และซัลมาน ท่านนบี ได้ใช้ข้าพเจ้า ให้รักพวกเขา และได้บอกแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านรักพวกเขา

เล่าจากฮะบะชีย์ บิน ญะนาดะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า อะลีเป็น ส่วนหนึ่งของข้าพเจ้าและข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของอะลี และไม่มีใครปฏิบัติการแทนข้าพเจ้า นอกจากข้าพเจ้าเองหรืออะลี[245]

และอิบนุ อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้สถาปนาความเป็นพี่น้องกันระหว่าง บรรดาอัครสาวกของท่าน ต่อมาอะลีได้มาในสภาพที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขามีนํ้าตาไหลนอง และได้พูดขึ้นว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านได้สถาปนาความเป็นพี่น้องกันระหว่างอัครสาวก ของท่าน แต่ท่านไม่ได้สถาปนาความเป็นพี่น้องกันระหว่างข้าพเจ้ากับผู้ใดเลย ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าวแก่อะลีว่า ท่านเป็นพี่น้องของข้าพเจ้าทั้งโลกนี้ และโลกอาคิเราะห์[246]

เล่าจากอะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าข้าพเจ้านั้นเมื่อขอท่านนบี  ซ.ล. ท่านจะให้ ข้าพเจ้า และถ้าหากข้าพเจ้านิ่งเฉย ท่านก็จะเป็นฝ่ายเริ่มต้นแก่ข้าพเจ้าก่อน[247]

เล่าจาก อัลบะรออฺ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ส่งทหารออกไปสองกอง และได้แต่งตั้งอะลีให้เป็นผู้นำทหารกองหนึ่ง และอีกกองหนึ่งท่านได้แต่งตั้งคอลิด บิน อัลวะวีด แถ้วท่านได้กล่าวว่า ถ้าหากมีการปะทะต่อสู้กันก็ให้อะลีเป็นผู้นำทัพ ต่อมาอะลีได้มีชัยชนะ ต่อ ป้อมปราการแห่งหนึ่ง และท่านได้จับทาสหญิงคนหนึ่งเอามาจากป้อมนั้น ต่อมาคอลิดได้เขียน สาสน์ฉบับหนึ่งส่งพร้อมกับข้าพเจ้าไปถึงท่านนบี  ซ.ล. ติเตียนอะลี ต่อมาข้าพเจ้าได้เข้าไป หาท่านนบี ซ.ล. และได้มอบสาส์นฉบับนั้นให้แก่ท่าน ท่านได้อ่านมันและหน้าของท่านก็ เปลี่ยนไป หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า เจ้ามีความเห็นอย่างไรในผู้ชายคนหนึ่งที่รักอัลลอฮ์ และรอซูลของพระองค์ และอัลลอฮ์กับรอซูลของพระองค์ก็รักเขา ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอ ป้องกันด้วยอัลลอฮ์ จากความกริ้วโกรธ ของอัลลอฮ์ และจากความกริ้วโกรธของรอซูลของ พระองค์ ความจริงข้าพเจ้าเป็นเพียงทูต ผู้ทำหน้าที่ ถือสาส์นเท่านั้น แล้วท่านก็นี่ง[248]

ญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้เรียกอะลีเข้าไปในวันตออิฟ และได้ซุบซิบกับอะลี ประชาชนได้กล่าวว่า ท่านนบีได้ซุบซิบกับ บุตร ชายลุงของท่านเป็นเวลานาน ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ซุบซิบกับเขาแต่พระองค์อัลเลาะห์ต่างหากที่ ซุบซิบกับเขา[249]

อะบูสะอึด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าวแก่อะลีว่า โอ้ อะลี ไม่ อนุญาตให้ผู้ใดพี่มีมลทิน (ยนบ) เดินภายในมัสยิดนี้ นอกจากข้าพเจ้าและนอกจากท่าน[250]

เล่าจากอุมมิ อะตียะห์ ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ส่งกองทหารออกไปกองหนึ่งโดยมี อะลีอยู่ในกองทหารนั้นด้วย อุมมิ อะตียะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี  ซ.ล. ขณะที่ท่านยก สองมือของท่านขึ้นกล่าวว่า โอ้พระองค์อัลเลาะห์ โปรดอย่าให้ข้าพเจ้าตายจนกว่าพระองค์ท่าน จะให้ข้าพเจ้าได้เห็นอะลี[251]

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล. มีนกอยู่ตัวหนึ่งต่อมาท่านได้ กล่าวว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดนำบุคคลที่พระองค์ท่านรักยิ่งจากบรรดาสรรพสิ่งที่ พระองค์ท่านได้สร้างขึ้น         มาหาข้าพเจ้าด้วย เพื่อที่เขาจะได้รับประทานนกตัวนี้พร้อมกับข้าพเจ้า ต่อมาอะลีได้มาและได้ร่วมรับประทานกับท่าน[252]

เล่าจากอะลี  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขอพระองค์อัลลอฮ์ได้โปรด ประทานความเมตตาแก่อะบูบักร์ที่ได้แต่งงานบุตรสาวของเขาให้แก่ข้าพเจ้าและได้พาข้าพเจ้า ไปยังดินแดนแห่งการอพยพ และได้ปลดปล่อยบิลาลให้เป็นอิสระจากทรัพย์สมบัติของเขา ขอพระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดประทานความเมตตาแก่อุสมาน ทิ่มวลมะลาอิกะห์มีความละอายเขา ขอพระองค์อัลลอฮ์ได้ประทานความเมตตาแก่อะลี ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดหมุนเวียน สัจธรรมให้อยู่กับเขาในที่ๆ เขาได้หมุนเวียนไป[253] 

รายงานทั้งสิบหกหะดีษนนี้โดยติรมิซี

เล่าจากเขา (อะลี) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นคลังแห่งวิทยปัญญา และอะลีเป็นประตูของมัน[254] 

รายงานโดย ติรมิซี ตอบรอนี และฮากิม ถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

 เล่าจากอัลอักเราะอุ ผู้ทำหน้าที่อะซานของอุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อุมัรได้ส่งข้าพเจ้า ไปหานักบวชในศาสนาคริสต์ ข้าพเจ้าจึงได้โปเชิญเขามา จากนั้นอุมัรได้ถามเขาว่า ท่านพบ ลักษณะของข้าพเจ้าไหมในคัมภีร์เขาตอบว่าพบ อุมัรได้ถามว่า ท่านพบข้าพเจ้าเป็นอย่างไร เขาตอบว่า ข้าพเจ้าพบท่านเป็นเขาสัตว์ ผู้เล่าได้กล่าวว่า อุมัรได้เงื้อคทาขึ้นไปหาเขา (หมาย ที่จะตีเขาเพราะเข้าใจว่าเป็นการประณาม) อุมัรได้ถามขึ้นว่า ที่ว่าเป็นเขาสัตว์นั้นท่านหมายความ ว่าอย่างไร เขาตอบว่า เป็นป้อมปราการเหล็ก เป็นผู้คํ้าประกัน (ปวงชนมุสลิม) เป็นผู้รุนแรง เหนือศัตรู อุมัรได้ถามว่า ท่านพบผู้ที่จะมาภายหลังข้าพเจ้าอย่างไร เขาตอบว่า ข้าพเจ้าพบว่าเป็นคอลีฟะห์ ที่เป็นคนดี แต่เขาให้ความรักเป็นพิเศษแก่ เครือญาติที่ใกล้ชิดของเขา อุมัรได้กล่าวว่า พระองค์อัลลอฮ์จะประทานความเมตตาแก่อุสมาน (ได้ยํ้า) สามครั้ง   จากนั้นอุมัรได้ถามว่า ท่านพบบุคคลที่จะมาภายหลังจากเขาเป็นอย่างไร เขาตอบว่า ข้าพเจ้าพบว่าเขาเป็น สนิมเหล็กอุมัรไตัวางมือลงบนศีรษะของเขาแล้วกล่าวว่า โอ้ความเน่าเหม็นในอิสลาม โอ้ความเน่าเหม็นในอิสลาม (โดยอุมัรเข้าใจว่าเป็นการประณาม) เขาจึงกล่าวว่า โอ้ ผู้นำของมวลผู้ศรัทธา ความ จริงเขาเป็น คอลีฟะห์ ที่เป็นคนดีแต่เขาถูกแต่งตั้งในขณะที่เขาถูกแต่งตั้งนั้น ดาบกำลังเปลือยฝัก เลือดกำลังหลั่งนอง 

รายงานโดย อะบูดาวูด ด้วยสายรายงานทศอลิฮะห์

ตอนที่สาม คุณงามความดีของจำนวนที่เหลืออยู่จากบรรดาอัครสาวกทั้งสิบที่ได้ รับข่าวดีด้วยสวรรค์  ร.ฎ.[255]

คุณงามความดีของ ซุเบร บิน เอาวาม  ร.ฎ. 625

เล่าจากญาบิร บิน อับดิลลาห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้เรียก ร้องประชาชนในวัน คอนดัก[256] ซุเบร ได้ตอบสนองคำเรียกร้องหลังจากนั้นท่านได้เรียกร้อง ประชาชน ซุเบร ก็ได้ตอบสนองคำเรียกร้อง หลังจากนั้นท่านได้เรียกร้องประชาชนอีก ซุเบร ก็ได้ตอบสนองคำเรียกร้องอีก (เป็นครั้งที่สาม) ท่านนบี  ซ.ล. จึงได้กล่าวว่า นบี ทุกท่านนั้น มีผู้ช่วยเหลือ และผู้ช่วยเหลือของข้าพเจ้าคือ ซุเบร

เล่าจากอับดิลลาห์ บิน ซุเบร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าปรากฏตัวในวันอะห์ซาบ[257] โดยข้าพเจ้ากับอุมัร บิน อะบี ซะละมะห์ถูกแต่งตั้งให้ทำหน้าที่คุ้มกันภรรยาของท่านนบี ข้าพเจ้า ได้มองไปบังเอิญข้าพเจ้าพบซุเบรกำลังขี่ม้ากลับไปกลับมายังพวกตระกูลบะนีกูรอยเดาะห์สองหรือสามครั้ง เมื่อข้าพเจ้ากลับมาจึงได้ถามขึ้นว่า โอ้บิดาที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นท่าน กลับไปมายังพวกตระกูลบะนีกุรอยเดาะห์ ซุเบรได้กล่าวขึ้นว่า เจ้าเห็นข้าฯ หรือ โอ้ถูกรัก ข้าพ เจ้าตอบว่า ครับ (ผู้เล่า) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ใครบ้างที่ จะไปยังพวกตระกูลบะนีกุรอยเดาะห์ เพื่อไปนำข่าวของพวกเขามาให้ข้าพเจ้า ดังนันข้าพเจ้า จึงได้ออกเดินทางไปเมื่อข้าพเจ้ากลับมา ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้รวมบิดามารดาของท่าน ให้แก่ข้าพเจ้าโดยท่านได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอไถ่ตัวท่านด้วยบิดามารดาของข้าพเจ้า[258] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้ขึ้นไปบนภูเขา ฮิรออุ ต่อมาภูเขาฮิรออุเกิดอาการสั่นสะเทือนขึ้น[259] ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เจ้า จงหยุดนิ่ง โอ้ ฮิรออุ ไม่มีใครอยู่บนเจ้านอกจาก นบี หรือ ผู้ศรัทธาด้วยใจจริง (อัซซิดดีก) หรือ นักรบ ชะฮีด และปรากฏว่าบนภูเขาฮิรออุนั้นมีท่านนบี  ซ.ล. อะบูบักร์ อุมัร อุสมาน อะลี ตอลฮะห์ ซุเบร และสะอัด บิน อะบี วักกอส  ร.ฎ. 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอรวะห์ บิน ซุเบร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะอิชะห์ ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า บิดา มารดาของท่านนั้นขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาบุคคลที่ตอบสนองคำเรียกร้อง ของอัลลอฮ์ และรอซูล หลังจากพวกเขาได้รับบาดแผล[260] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากมัรวาน บิน หะกัม  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เลือดกำเดาอย่างรุนแรงได้ประสพกับ อุสมานในปีที่โรคเลือดกำเดาระบาด[261] จนถึงขั้นทำให้ท่านไม่สามารกไปประกอบพิธีฮัจย์ได้ และท่านได้ทำการสั่งเสีย ได้มีผู้ชายชาวกุเรชเข้าไปหาท่าน แล้วกล่าวว่า ท่านจงแต่งตั้งคอลีฟะห์ อุสมานได้กล่าวว่า พวกเขาได้พูดถึงใครแล้วหรือ ชายผู้นั้นตอบว่า ครับ ท่านได้ถามว่า ใคร ชายผู้นั้นนิ่งไม่ยอมตอบ หลังจากนั้นได้มีชายอีกคนหนึ่ง[262] เข้าไปหาท่าน แล้วกล่าวว่า ท่านจง แต่งตั้ง คอลิฟะห์ อุสมานได้กล่าวว่า และพวกเขาได้พูดถึงใครแล้วหรือ เขาตอบว่า ครับ อุสมานถามว่าเขาเป็นใคร ชายคนนั้นนิ่งไม่ตอบ อุสมานได้กล่าวว่า ซุเบร ใช่ไหมชายผู้นั้นตอบว่าใช่ครับ อุสมานได้กล่าวว่าโปรดทราบ สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้า อยู่ในเงื้อมมือ ของพระองค์ว่าแท้จริงเขาเป็นคนดีที่สุด ตามที่ข้าพเจ้าทราบและแท้จริงเขาเป็นคนที่ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. โปรดปรานยิ่ง

เล่าจากอัรวะห์ บิน ซุเบร  ร.ฎ. ว่าแท้จริงบรรดาอัครสาวกของท่านนบี  ซ.ล. ได้ กล่าวแก่ซุเบรในวันยัรมูก[263] ว่า ท่านควรจะกระหน่ำพวกกาเฟร พวกเราจะกระหน่ำพร้อมกับ ท่าน ซุเบรจึงได้บุกกระหน่ำพวกกาเฟร แต่พวกนั้นได้ฟันสองครั้งที่ต้นคอของเขา ระหว่างสอง แผลนั้นมีแผลเก่าที่เขาถูกฟันในวัน บัดร์ อุรวะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเคยเอานิ้วของข้าพเจ้าแหย่ เข้าไปในบาดแผลเหล่านั้น ที่ข้าพเจ้าได้เล่นในวัยเด็ก 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุคอรี

และเล่าจากเขา (อุรวะห์) ได้กล่าวว่า ซุเบร ได้สั่งเสียบุตรชายของเขาอับดุลเลาะห์ ใน ตอนเช้าของสงครามแห่งอูฐ[264] โดยได้กล่าวว่า ไม่มีสักอวัยวะเดียวจากร่างกายของข้าพเจ้านอก จากมันมีบาดแผลพร้อมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. จนกระทั่งบาดแผลเช่นนั้นมันไปถึงอวัยวะเพศ ของเขา[265]

เล่าจากอะอิซะห์  ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้เห็นตะเกียงในบ้านของ ซุเบร ท่านจึงได้กล่าวว่า โอ้อาอิชะห์ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นอัสมาอฺนอกจากเธอได้คลอดบุตรแล้ว[266] ตังนั้น ท่านทั้งหลายอย่าตั้งชื่อให้ทารกนั้น เพื่อข้าพเจ้าจะได้ตั้งชื่อให้เขา ต่อมา ท่านนบี  ซ.ล. จึงได้ ตั้งชื่อทารกนั้นว่า อับดุลเลาะห์ และท่านได้เคี้ยวผลอินทผลัมและนำไปใส่ในลำคอของอับดุล เลาะห์ด้วยมือของท่านเอง 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

คุณงามความดีฃองตอลฮะห์ บิน อุไบ ดิลลาห์  ร.ฎ.[267]

เล่าจากอะบี อุสมาน  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ไม่มีผู้ใดอยู่พร้อมกับท่านนบี  ซ.ล. ในบางวัน เหล่านั้น[268] ที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. เข้าทำสงคราม นอกจากตอลฮะห์ และสะอัด จาก หะดีษ ของบุคคลทั้งสอง รายงานโดย มุดอรี และมุสลิม

กอยส์ บิน อะบี ฮาซิม  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้เห็นมือของตอลฮะห็ที่ใช้ป้องกัน ท่านนบี  ซ.ล. ได้เป็นอัมพาต[269] 

รายงานโดย มุคอรี มุลลิม

เล่าจากซุเบร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า บนเรือนร่างของท่านนบี  ซ.ล. ในวันอุฮุดนั้น มี เสื้อเกราะสองตัวต่อมาท่านได้ปีนขึ้นไปที่หินใหญ่ก้อนหนึ่ง แต่ท่านไม่สามารถ ต่อมาท่านได้ให้ตอลฮะห์ นั่งอยู่ใต้ท่าน และท่านนบี  ซ.ล. ก็ขึ้นบนหินก้อนใหญ่นั้นได้ ต่อมาท่านได้กล่าวว่า (สวรรค์นั้น) ต้องได้แก่ตอลฮะห์

เล่าจากตอลฮะห์  ร.ฎ. ว่าแท้จริงบรรดาอัครสาวกของท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวแก่ชาว อาหรับบ้านนอกที่โง่เขลาคนหนึ่งว่า จงถามเขา (ตอลฮะห์) ว่าใคร ที่ได้กระทำตามที่ได้บนเอาไว้ โดยพวกเขาไม่กล้าถาม เพราะให้เกียรติแก่เขา และยำเกรงเขา อาหรับบ้านนอกคนนั้นได้ถาม เขา และเขาได้ผินหน้าหนี หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้โผล่เข้ามาจากประตูมัสยิด โดยข้าพเจ้าสวมเสื้อผ้า สีเขียว เมื่อท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. เห็นข้าพเจ้าจากประตูมัสยิดจึงได้ถามว่า คนที่ถามถึงคน ที่ได้กระทำตามที่ได้บนเอาไว้อยู่ที่ไหน ชาวอาหรับบ้านนอกคนนั้นตอบว่า ข้าพเจ้าเอง โอท่าน รอซูลุลเลาะห์ (ท่านรอซูลุลเลาะห์ได้กล่าวว่า) นี่คือผู้ที่ได้กระทำตามที่เขาได้บนเอาไว้[270]

เล่าจากอะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า หูของข้าพเจ้าได้ยินจากปากของท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. โดยท่านกล่าวว่า ตอลฮะห์ และซุเบร เป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้าในสวรรค์

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. จากท่านนปึ  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่การมองตูนักรบชะฮีด เดินอยู่ บนหน้าพื้นแผ่นดินเป็นความภูมิใจของเขาแล้ว ให้เขาจงมองตู ตอลฮะห์ บิน อุไบดิลลาห์

รายงานหะดีษทั้งสี่โดยติรมิซี

คุณงามความดีฃองสะอิด บิน อะบีวักกอส  ร.ฎ.[271]

เล่าจากอะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ไม่ได้รวมบิดามารดาของท่าน ให้แก่ผู้ใด นอกจากสะอัด บิน มาลิก เพราะความจริงท่านได้กล่าวแก่เขาในวัน อุฮุดว่า จงยิงเถิด บิดาและมารดาของข้าพเจ้าเป็นค่าไก่ตัวท่าน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี และติรมิซี ได้รายงานเพิ่มเติมว่า จงยิงเถิด โอ้เด็กหนุ่มผู้ทรงพลัง

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้อดนอนหลังจากได้ มายังนครมะดีนะห์ในคืนหนึ่ง ท่านได้กล่าวว่า หวังว่าจะมีผู้ชายที่เป็นคนดี จากอัครสาวกของ ข้าพเจ้ามาเป็นยามคุ้มกัน[272]ให้แก่ข้าพเจ้าในคืนนี้ อาอิชะห์ได้กล่าวว่า ขณะที่พวกเราอยู่ในสภาพ เช่นนั้น พวกเราก็ได้ยินเสียงกระทบกันของอาวุธ ท่านนบีได้ถามว่า คนนี้เป็นใคร  เขาตอบว่า สะอัด บินอะบี วักกอส ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ถามเขาว่า อะไรที่นำท่านมา เขาตอบว่าความกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อท่านนบี  ซ.ล. ได้เกิดขึ้นในใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้มาเป็นยามรักษาการณ์ให้แก่ท่านดังนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. จึงได้ขอพรให้แก่เขา หลังจากนั้น ท่านจึงได้นอน 

รายงานโดยติรมิซี และมุสลิม

เล่าจากสะอัด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มารดาของสะอัด ได้สาบานว่าจะไม่พูดกับเขาตลอดไป จะไม่ยอมรับประทานอาหาร จะไม่ยอมดื่มนํ้าจนกว่าสะอัดจะทรยศต่อศาสนาของเขา (อิสลาม) โดยมารดาของเขาอ้างว่าแท้จริงอัลลอฮ์ได้สั่งเสียท่านให้ทำความดีต่อบิดามารดาของท่าน และ ข้าพเจ้าใช้ท่านด้วยสิ่งนี้ มารดาของเขาได้อยู่ในสภาพนั้นเป็นเวลาสามวัน จนกระทั่งเป็นลมเพราะ ความหิวโหย บุตรชายคนหนึ่งของนางชื่อ อุมาเราะห์ได้ลุกขึ้นและนำน้ำมาให้นางดื่ม และใน บางรายงานว่าเมื่อพวกเขาตั้งใจจะให้นํ้าดื่ม พวกเขาได้งัดปากของนางด้วยไม้เท้า หลังจากนั้น พวกเขาจึงได้เทอาหารลงไปให้นาง นางได้เริ่มแช่งด่าสะอัด พระองค์อัลลอฮ์จึงได้ประทาน โองการลงมาว่า “และเราได้สั่งแก่มวลมนุษย์ให้ทำความดีต่อผู้ให้กำเนิดทั้งหลายของเขา และ ถ้าหากทั้งสองได้บังคับท่านให้ท่านตั้งภาดีต่อเราในสิ่งที่ท่านไม่มีความรู้ในสิ่งนั้น ท่านอย่าได้เชื่อฟัง เขาทั้งสอง” 

รายงานโดยมุสลิม ในเรื่องนี้และติรมิซีในเรื่องตัฟซีร

และเล่าจากเขา (สะอัด) ได้กล่าวว่า ไม่มีใครเข้านับถือศาสนาอิสลาม นอกจากในวันที่ ข้าพเจ้าได้เข้านับถือศาสนาอิสลาม และความจริงข้าพเจ้าได้หยุดนิ่งเฉยอยู่เป็นเวลาเจ็ดวัน และ ความจริงข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในสามของศาสนาอิสลาม[273] 

รายงานโดยมุคอรี

และเล่าจากเขา (สะอัด) ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ได้กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดตอบสนองคำขอของสะอัด เมื่อเขาได้วิงวอนขอพระองค์ท่าน[274]

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า สะอัด บินอะบี วักกอส ได้มุ่งหน้ามา ท่านนบี ซ.ล. ได้พูดขึ้นว่า นิ่คือน้าชายของข้าพเจ้า ดังนั้นให้คนหนึ่งจงแสดงตัวแก่ข้าพเจ้าว่าเป็นอาของเขา[275] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

คุณงามความดีฃองอะบี อุบัยดะห์ บินยัรรอห์  ร.ฎ.[276]

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านรอซูล้ลเลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงทุกประชาชาตินั้นมีผู้ที่ซื่อสัตย์ และแท้จริงผู้ที่ซื่อสัตย์ของเรา โอ้ประชาชาตินี้ คือ อะบู อุบัยดะห์ บิน ยัรรอห์

เล่าจากฮุไซฟะห์ บิน ยะมาน ได้กล่าวว่า ชาวนัจรอน[277] ได้มาหาท่านนบี ซ.ล. พวก เขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้โปรดส่งชายที่ซื่อสัตย์ไปยังพวกเรา ท่านนบี ได้กล่าวว่า สาบานว่าข้าพเจ้าจะต้องส่งชายที่ซื่อสัตย์จริง ๆ ไปยังพวกท่าน ประชาชนต่างพากันทะเยอทะยานที่ จะได้ตำแหน่งนี้ ต่อมาท่านนบีได้ส่งอะบู อุไบดะห์ บิน ยัรรอห์ไป 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ว่าแท้จริงชาวยะมัน[278]ได้เข้ามาหาท่านนบี ซ.ล. พวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้โปรดส่งไปพร้อมกับพวกเรา ผู้ชายที่จะสอนซุนนะห์และอิสลามให้ แก่พวกเรา ผู้เล่าได้กล่าวว่า ท่านนบีได้จับมืออะบู อุไบดะห์ แล้วท่านก็กล่าวว่า นี้คือคนที่ซื่อสัตย์ แห่งประชาชาตินี้ 

รายงานโดยมุคอรีและมุสลิม

คุณงามความดีของอับดุรเราะห์มาน บิน เอาฟ์  ร.ฎ.

เล่าจากอับดิ้รเราะห์มาน  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า อะบูบักร์อยู่ในสวรรค์ อุมัรอยู่ในสวรรค์ อุสมานอยู่ในสวรรค์ อะลีอยู่ในสวรรค์ ตอลฮะห์อยู่ในสวรรค์ ซุเบรอยู่ในสวรรค์ อับดุรเราะห์มาน บิน เอาฟ์อยู่ในสวรรค์ สะอัดอยู่ในสวรรค์ สะอีดอยู่ในสวรรค์ และอะบู อุไบดะห์ บิน ยัรรอห์ อยู่ในสวรรค์[279] 

รายงานโดยติรมิซี และอะบูดาวูด

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.กล่าวว่า แท้จริงเรื่องของ พวกเธอนั้นเป็นเรื่องที่จะทำให้ข้าพเจ้าเป็นกังวล หลังจากข้าพเจ้าได้จากไป และจะไม่มีใคร อดทนเหนือพวกเธอได้นอกจากพวกที่มีความอดทน[280] ผู้เล่าได้กล่าวว่า ต่อมาอาอิชะห์ได้กล่าว ว่าขอพระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดให้บิดาของท่าน[281]ดื่มนํ้าจากสายนํ้า ซัลซะบีลของสวรรค์ เธอหมาย ถึงอับดรเราะห์มาน บินเอาฟ์ และปรากฏว่าอับดุรเราะห์มานเคยส่งไปให้แก่บรรดาภรรยาของ ท่านนบี ซ.ล ด้วยทรัพย์สิน ที่มีผู้กล่าวว่า ถูกส่งไปให้ถึงสี่หมื่น 

เล่าจากอะบี ซะละมะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริงอับดรเราะห์มาน บินเอาฟ์ ได้สั่ง เสียด้วยสวนแห่งหนึ่งไว้ให้แก่บรรดาภรรยาของท่านนบี โดยจะส่งจากรายได้ของสวนแห่งนั้น ถึง สี่แสน 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

คุณงามความดีของสะอีด บิน เซด  ร.ฎ.[282]

เล่าจากฮุไมด์  ร.ฎ. ว่าแท้จริงสะอีด บิน เซด  ร.ฎ. ได้เล่าให้เขาฟังว่า เขาเป็นคนหนึ่ง ในกลุ่มชนที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า มีสิบคนที่อยู่ในสวรรค์ คืออะบูบักร์อยู่ใน สวรรค์ อุมัรอยู่ในสวรรค์ อุสมาน อะลี ซุเบร ตอลฮะห์ อับดิรเราะห์มาน อะบู อุไบดะห์ สะอัด บิน อะบี วักกอส และเขา หยุดนี่งไม่กล่าวถึงคนที่สิบ ประชาชนได้พูดขึ้นว่า พวกเรา ถามท่านด้วยพระองค์อัลลอฮ์ โอ้อะบุ้ล อะอุวัร ใคร เป็นคนที่สิบ ท่านได้กล่าวว่า พวกท่าน ได้ถาม ข้าพเจ้าด้วยอัลลอฮ์ อะบุ้ลอะอฺวัร[283]  อยู่ในสวรรค์

เล่าจากสะอีด บิน เซต บิน อัมร์ บิน นุไฟล์  ร.ฎ. ว่าเขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอยืนยันเก้าคนว่าแท้จริงพวกเขาอยู่ในสวรรค์ และถ้าหากข้าพเจ้ายืนยันคนที่สิบ ข้าพเจ้าก็ไม่มีบาป มีผู้ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเขาตอบว่า พวกเราได้ปรากฏอยู่กับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ที่ภูเขาฮิรออุ950 ท่านได้กล่าวว่า จงนิ่ง โอ้ ฮิรออุ เพราะความจริงไม่มีใครอยู่บนเจ้านออจาก นบี หรือผู้ที่ศรัทธาด้วยความจริงใจ (ซิดดีก) หรือนักรบชะฮีด มีผู้ถามว่าพวกเขาคือใคร โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านตอบว่าคือเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. อะบูบักร์ อุมัร อุสมาน อะลี ตอลฮะห์ ซุเบร สะอัด และอับดรเราะห์มาน บิน เอาฟ์ มีผู้ถามว่าใครเป็นคนที่สิบ  เขาตอบว่า คือข้าพเจ้า เอง 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี และอะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (สะอีด) ได้กล่าวขณะที่เขาอยู่ในมัสยิดแห่งเมืองกูฟะห์ว่า สาบานต่อ อัลลอฮ์ว่าแท้จริงข้าพเจ้าได้พบตัวเองโดยมีอุมัรเป็นผู้พันธนาการข้าพเจ้าต่อการ (ที่ข้าพเจ้า) เข้ารับศาสนาอิสลาม ก่อนที่อุมัรจะได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม และถ้าหากภูเขาอุฮุดได้พินาศ ลงเพราะสี่งที่พวกท่านได้กระทำต่ออุสมานแล้ว มันก็สมควรกับสิ่งนี้แล้ว ที่พวกเราถูกทรมาน จากอุมัร[284] 

รายงานโดยบุคอรี ในเรื่องการเข้านับถือศาสนาอิสลามของสะอีด  ร.ฎ.
 

ตอนที่สี่ คุณงามความดีของบุคคลในครอบครัว  ร.ฎ. 632

ได้มีผู้ถามอิบนุ อับบาส  ร.ฎ. ถึงคำดำรัสของพระองค์อัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “จง ประกาศเถิด (โอ้มุฮัมมัด) ว่าข้าพเจ้าไม่ได้ขอค่าจ้างจากพวกท่านเป็นค่าการเผยแพร่ศาสนา นอกจากขอความรักในเครือญาติ” สะอีด บิน ญุเบร ได้กล่าวว่าคำว่า “อัลกุรบา” หมายถึง วงศ์ษาคณาญาติของท่านนบีมุฮัมมัด  ซ.ล. อิบนุ อับบาส ได้กล่าวว่า ท่านรีบร้อนเกินไป แท้จริงท่านนบี  ซ.ล. จะไม่มีแขนงหนึ่งแขนงใดจากเผ่ากุเรช นอกจากจะมีความสัมพันธ์ทาง เครือญาติกับท่านอยู่ในพวกเขา ท่านได้กล่าวว่า นอกจาก (ข้าพเจ้าจะขอ) ให้พวกท่านเชื่อม สิ่งที่มีอยู่ระหว่างข้าพเจ้ากับพวกท่าน นั่นคือความเป็นญาติ[285] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ในเรองตัฟซีร

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ออกไปในเช้าวันหนึ่งบนร่าง ของท่านมีเสื้อคลุมที่มีลายเป็นทางทำมาจากขนสัตว์สีดำ ต่อมาหะซัน บิน อะลี ได้มา ท่านได้ ให้เขาเข้าไปอยู่ในเสื้อคลุมของท่าน จากนั้นหุเซนได้มา ท่านก็ได้ให้เขาเข้าไปอยู่ในเสือคลุม ของท่านภายหลังฟาติมะห์ได้มา ท่านก็ได้ให้เขาเข้าไปอยู่ในเสื้อคลุมของท่าน จากนั้นอะลีได้มา ท่านก็ได้ให้เขาเข้าไปอยู่ในเสื้อคลุมของท่าน ต่อมาท่านได้กล่าวว่า “ แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ มีความปรารกนาจะขจัดบาปออกไปจากพวกท่าน โอ้ครอบครัวของนบี และปรารถนาจะช้าระ พวกท่านให้สะอาดจริง ลุ”952 รายงานโดยมุสลิมและติรมีช้ ส่วนตัวบทของติรมีช้ว่า โองการนี่ “แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์มีความปรารถนาจะขจัดบาปออกไปจากพวกท่าน โอ้ครอบครัวของ นบีและปรารถนาจะชำระพวกท่านให้สะอาดจริง ๆ” ได้ประทานลงมาในบ้านของอุมมิ ซะละมะห์ ท่านนบี ซ.ล. ได้เรียกฟาติมะห์ หะซันและหุเซน เข้ามาและท่านได้คลุมพวกเขา ด้วยเสื้อคลุมโดยมีอะลีอยู่เบื้องหลังของท่าน ท่านก็ได้คลุมพวกเขาด้วยเสื้อคลุม หลังจากนั้น ท่านได้กล่าวว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์พวกเขาเหล่านี่คือครอบครัวของข้าพเจ้า ดังนั้นได้โปรด ขจัดบาปออกไปให้พันพวกเขา และได้โปรดชำระพวกเขาให้สะอาดจริงๆ อุมมุ ซะละมะห์ได้ กล่าวว่า และข้าพเจ้าขออยู่พร้อมกับพวกเขาด้วย โอ้ท่านนบีของอัลเลาะห์ ท่านกล่าวว่าเธออยู่ ในตำแหน่งของเธอ และเธอจะไปสู่ความดี953

เล่าจากยะซีด บิน ฮัยยาน  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ออกเดินทาง ตัวข้าพเจ้าเอง ฮุชอยน์ บิน ซับเราะห์ และอุมัร บิน มุสลิม ไปหาเซต บิน อัรกอม เมื่อพวกเราได้นั่งลงที่ เขาฮุซอยน์ได้กล่าวแก่เขาว่า แท้จริงท่าน โอ้เซต ได้พบกับความดีอย่างมากมาย ท่านได้เห็น ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ท่านได้ยินหะดีษของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านได้ออกรบร่วมกับท่าน เราะซูลุลลอฮ์ และท่านได้ละหมาดข้างหลังท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงท่านโอ้เซตได้พบกับ ความดีมากมาย ท่านจงเล่าให้พวกเราฟัง โอ้ เซต สิ่งที่ท่านได้ยินจากท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. เซต บิน อัรกอม ได้กล่าวว่า โอ้น้องชายสาบานต่ออัลเลาะห์ว่าความจริงอายุของข้าพเจ้ามาแล้ว และยุคสมัยของข้าพเจ้าได้ผ่านมาเนินนานแล้ว และข้าพเจ้าได้ลืมบางสิ่งบางอย่างที่ข้าพเจ้าได้ เคยเอาใจใส่มาจากท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ดังนั้นสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เล่าให้พวกท่านพึง พวกท่านจงเก็บเอาไปเถิด และสิ่งใดที่ข้าพเจ้าไม่ได้เล่าให้ฟัง พวกท่านก็อย่าได้บังคับข้าพเจ้า จากนั่น เซต บิน อัรกอม ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ยืนขึ้น ในวันหนึ่ง ท่ามกลางพวกเรา โดยได้กล่าวสุนทรพจน์ ณ แหล่งน้ำแห่งหนึ่ง ชื่อ คุมม์[286] ซึงอยู่ระหว่างมักกะห์ กับนครมะดีนะห์ ท่านได้กล่าวคำสรรเสริญพระองค์อัลลอฮ์ และได้ถวายคำเยินยอแก่พระองค์ และ ท่านได้สั่งสอน และตักเตือน จากนั่นท่านได้กล่าวว่า อนี่ง...โอ้ประชาชนทั้งหลาย พึงทราบ เถิดว่า ความจริงข้าพเจ้าเป็นมนุษย์คนหนึ่งใกล้ถึงเวลาที่บุตรจากพระผู้อภิบาลของข้าพเจ้าจะมา แล้ว[287] และเขาก็ถูกตอบสนอง ข้าพเจ้าได้ทิ้งไว้ในพวกท่านทั้งหลายสองสิ่งที่หนักหน่วง[288] สิ่งแรกคือ พระคัมภีร์ของอัลลอฮ์ ในคัมภีร์นั้นมีทางนำ และมีรัศมี ดังนั่นท่านทั้งหลายจงยึดเอาพระคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และยึดมั่นต่อพระคัมภีร์นั่น และท่านได้ปลุกใจให้ปฏิบัติตาม พระคัมภีร์ของอัลลอฮ์ สนับสนุนให้รักชอบพระคัมภีร์ จากนั่นท่านได้กล่าวว่าภัยและคนในครอบครัวของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอตักเตือนพวกท่านด้วยอัลเลาะห์ในเรื่องคนในครอบครัวของ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอตักเตือนพวกท่านด้วยอัลเลาะห์ในเรื่องคนในครอบครัวของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอ ตักเตือนพวกท่านด้วยอัลเลาะห์ในเรื่องคนในครอบครัวของข้าพเจ้า อุซอยน์ได้กล่าวแก่เขาว่า ใครคือคนในครอบครัวของท่านเราะซูลุลลอห์ โอ้ เซต ภรรยาของท่านไม่ใช่หรือที่เป็นคนใน ครอบครัวของท่าน[289] อุซอยน์ ได้กล่าวว่า ภรรยาของท่านเป็นส่วนหนึ่งจากคนในครอบครัว ของท่าน แต่คนในครอบครัวของท่านจริง ๆ คือบุคคลที่ถูกห้ามไม่ให้รับซอดาเกาะห์ (ซะกาต) ภายหลังจากท่าน ฮุซอยน์ได้กล่าวว่า พวกเขาได้แก่ใครบ้าง โอ้ เซด เขาตอบว่า พวกเขา คือ วงศ์วานของอะลี วงศ์วานของอะกีล วงค์วานของยะอฺฟัร และวงค์วานของอับบาล ฮุชอยน์ ได้กล่าวว่า พวกเหล่านี้ทกคนถูกห้ามไม่ให้รับซอดาเกาะห์หรือ เขาตอบว่า และในบางรายงาน ว่า ใครเป็นคนในครอบครัวของท่านเราะซูลุลลอฮ์  บรรดาภรรยาของท่านหรือ  เชดตอบ ว่า ไม่ใช่ สาบานต่ออัลเลาะห์แท้จริงผู้หญิงนั้นจะอยู่กับสามีข้วระยะหนึ่ง ภายหลังสามีหย่า หล่อน หล่อนก็จะกลับไปอยู่กับบิดา และพวกพ้องของหล่อน คนในครอบครัวของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ก็คือ ด้นตระถูลของท่านและทายาทของท่าน ซึ่งถูกห้ามไม่ให้รับซอดาเกาะห์ (ชะก๊าด) ภาย หลังจากท่าน รายงานโดยมุสลิมในเรื่องความประเสริฐของอะลี และติรมีซ็ ตัวบทของติรมีซ็ ว่า แท้จริงข้าพเจ้าจะทิ้งไวในหม่พวกท่าน สิ่งหนึ่งถ้าหากพวกท่านยึดมั่นอยู่กับสิงนี่ท่านทั้งหลายจะ ไม่หลงผิดหลังจากข้าพเจ้าจากไป สิ่งแรกยิ่งใหญ่กว่าอีกสิงหนึ่งนันคือ พระคัมภีร์ของอัลเลาะห์ เป็นเข้อกที่ถูกโรยลงมาจากฟากฟ้าลงมาสู่พื้นแผ่นดิน และวงค์วานของข้าพเจ้า คือบุคคลใน ครอบครัวของข้าพเจ้าทั้งสองนั้นจะไม่เพกออกจากกัน จนกว่าทั้งสองจะมายังสระนํ้าของข้าพเจ้า ดังนั้นท่านทั้งหลายจงมองดูว่าท่านทั้งหลายได้ทำหน้าที่แทนข้าพเจ้าในทั้งสองสิ่งนั้นอย่างไร

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.ใต้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงรักพระองค์ อัลลอฮ์เพราะพระองค์ได้ประทานความโปรดปานอย่างมากมายแก่พวกท่าน และท่านทั้ง หลายจงรักข้าพเจ้าด้วยการรักอัลลอฮ์และท่านทั้งหลายจงรักคนในครอบครัวของข้าพเจ้าเพราะ รักข้าพเจ้า

เล่าจากอะลี  ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้จับมือ หะข้นและทุเซ็น แล้วกล่าว ว่า ผู้!ดรักข้าพเจ้า รักสองคนนี้ รักบิดาของเขาทั้งสองและมารดาของเขาทั้งสองและมารดา ของเขาทั้งสอง เขาจะอยู่ในตำแหน่งเดียวกับข้าพเจ้าในวันกิยามะห์

เล่าจากเซด บิน อัรกอม  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวแก่อะลี ฟาติมะห์ หะซันและฮูเซ็นว่า ข้าพเจ้าคือศัตรูของผู้ที่พวกท่านเป็นศัตรู และข้าพเจ้าเป็นมิตรของผู้ที่ พวกท่านเป็นมิตร 

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดยติรมิซี สองหะดีษแรกด้วยสายรายงานที่หะซัน

ความประเสริฐของอับบาส  ร.ฎ.958

เล่าจากอะนัสว่าแท้จริงอุมัร  ร.ฎ. นั้นเมื่อปรากฏว่าพวกเขาได้ประสบกับคราบแห้งแล้ง อุมัรได้ทำการละหมาดขอฝน โดยอาศัยอับบาส บิน อับดิลมุตตอลิบ เป็นสื่อเข้าใกล้อัลลอฮ์ โดยได้กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ แท้จริงพวกเราเคยเอานบี ซ.ล. ของพวกเราเป็นสื่อเข้าใกล้พระองค์ท่าน และบัดนี้แท้จริงพวกเราได้อาศัยลุงนบีของเราเป็นสื่อเข้าใกล้พระองค์ท่าน ดังนั้นได้โปรดประทานฝนแก่พวกเราเถิด ผู้เล่าได้กล่าวว่า ต่อมาพวกเขาก็ได้รับนํ้าฝน 

รายงาน โดยบุคอรี

เล่าจากอับดิลมุตตอลิบ บิน รอบีอะห์ บิน ฮาริษ บิน อับดิ้ลมุตตอลิบ  ร.ฎ. ว่า แท้จริงอับบาสได้เข้ามาหาท่านนบี  ซ.ล.ด้วยอาการที่โกรธจัด และข้าพเจ้าได้อยู่กับท่านด้วย ท่านนบีได้กล่าวว่าอะไรทำให้ท่านโกรธ  เขาตอบว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์มีอะไรเกิดขึ้นกับ เราและพวกกุเรซหรือเมื่อพวกเขาพบปะกันเองพวกเขาจะพบกันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และเมื่อพวก เขาได้พบปะกับพวกเรา พวกเขาจะพบปะกับพวกเราด้วยใบหน้าที่ไม่เหมือนอย่างนั้น ผู้เล่าได้ กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. เกิดความโกรธจนใบหน้าของท่านเปลี่ยนเป็นสีแดง หลังจากนั้นท่าน ได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์อีหม่านจะไม่เข้าสู่หัวใจ ของใครคนหนึ่งจนกว่าเขาผู้นั้นจะรักพวกท่านเพื่ออัลลอฮ์                 และรอซูลของพระองค์ จากนั้นท่านได้กล่าวว่า โอ้ประชาชนทั้งหลายผู้ใดทำร้ายลุงของข้าพเจ้า เท่ากับเขาได้ทำร้ายข้าพเจ้า แท้จริงลุงของคนๆ หนึ่งก็เหมือนกับเป็นบิดาของเขา

เล่าจากอะลี  ร.ฎ. ว่าแท้จริง ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวแก่อุมัร ขณะที่ท่านได้กล่าวถึง เรื่องซอดาเกาะห์ (ซะกาต) ของอับบาสว่า แท้จริงลุงของคนๆ หนึ่งก็เหมือนกับเป็นบิดาของ เขา และในบางรายงานว่า อับบาสเป็นลุงของท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล.และความจริงลุงของ คนๆ หนึ่งก็เหมือนกับเป็นบิดาของเขา หรือจากประเภทเดียวกับบิดาของเขา

เล่าจากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.ได้กล่าวว่า อับบาส เป็นส่วนหนึ่งของ ข้าพเจ้าและข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของเขา[290]

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) ว่าแท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวแก่อับบาสว่า เมื่อ ถึงเช้าวันจันทร์ให้ท่านจงมาหาข้าพเจ้า ท่านพร้อมกับบุตรของท่าน เพื่อข้าพเจ้าจะวิงวอนขอ พรให้แก่ท่าน ด้วยคำวิงวอนหนึ่งที่จะเกิดประโยชน์แก่ตัวท่านและบุตรของท่าน เมื่อรุ่งเช้าพวกเรา ได้โปอยู่พร้อมกับท่าน ท่านได้ให้พวกเราสวมเสื้อคลุม[291] หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่าข้าแด่ พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดประทานอภัยแก่อับบาสและบุตรของเขาเป็นการอภัยทั้งภายนอก และภายใน โดยไม่ทิ้งบาปใดๆ ไว้อีกเลย ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดพิทักษ์เขาในบุตรของเขา

รายงานหะดีษทั้งสี่โดยติรมิซี

ความประเสริฐของยะอฺฟ้ร บินอะบีตอลิบ961 636

เล่าจากอัลบะรออฺ บินอฬบ  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี  ซ.ล.ได้กล่าวแก่ยะอฺฟัร บิน อะบีตอลิบว่า ท่านมีรูปร่างเหมือนข้าพเจ้าและเหมือนกับอุปนิสัยของข้าพเจ้า รายงานโพตรมข และมุคอร

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ว่าแท้จริงประชาชนได้พูดกันว่า อะบูฮุรอยเราะห์ราย งานหะดีษมากมาย แท้จริงแล้วข้าพเจ้าติดตามอยู่กับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. เพื่อให้ท้องของ ข้าพเจ้าอิ่ม แม้แต่ขึ้นมปงหมักข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้กิน ผ้าไหมก็ไม่เคยได้สวมใส่ และไม่มีใครทั้ง ชายและหญิงคอยบริการข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเคยเอาท้องของข้าพเจ้านาบกับพื้นดินเนื่องจากความ หิวและแท้จริงข้าพเจ้าเคยขอให้ชายคนหนึ่งสอนโองการหนึ่งซึงที่จริงข้าพเจ้าก็จำได้แล้วเพื่อ เขาจะได้นำข้าพเจ้ากลับไป และเลี้ยงอาหารแก่ข้าพเจ้า และปรากฏว่าคนที่ดีต่อคนยากจนมาก ที่สุดคือ ยะอฺฟัรบิน อะบีตอลิบ เขาเคยนำพวกเรากลับไปและเลี้ยงอาหารพวกเรา ด้วยสิ่ง ที่มือยู่ในบ้านของเขา จนบางครั้งเขาได้นำลุงบรรจุเนยออกมาให้เราซึงภายในลุงนั้นไม่มีสิ่งใด เหลืออยู่ พวกเราได้ฉีกลุงนั้นและได้เลียสิ่งที่ติดอยู่ในลุงนั้น รายงานโดย บุคอรีและติรมีซึ ได้ รายงานเพิ่มเติมว่า ยะอฺฟัร รักคนยากจน เขาจะนั่งร่วมวงกับคนยากจนพูดคุยและสนทนากับ พวกเขา และท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ตั้งฉายาเขาว่าเป็นบิดาของคนยากจน

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่า ไม่มีใครที่สวมรองเท้าไม่มีใครที่ขี่อูฐ ไม่มีใครที่ข้บขี่พาหนะ หลังจากท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ประเสริฐยิ่งกว่ายะอฺฟัร บิน อะบ­ด อลิบ

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ฝันเห็น ยะอฺฟ้ร บินอยู่ในสวรรค์ พร้อมกับมวลมะลาอิกะห์ รายงานหะดมทั้งสองโพ ตรมข

และปรากฏว่า อิบนุอุมัร  ร.ฎ. เมื่อได้กล่าวสลามทักทาย บินของ ยะอฺฟัรจะกล่าว ว่าความสันติสุขจงมีแดท่าน โอ้ บินของชายผู้มีสองปีก962 

รายงานโดยบุคอรี

คุณงามความดีของ ท่านหญิงฟาดีมะห์ บุตรสาว ของท่านนบี  ซ.ล.963

เล่าจากมิสวัร บิน มัครอมะห์  ร.ฎ. ว่าแท้จริงเขาได้ยินท่านนบี  ซ.ล. กล่าวขณะ อยู่บนมิมบัรว่า แท้จริงตระกูลบะนีฮิชาม บิน มุฆีเราะห์ ได้ขออนุญาตข้าพเจ้า เพื่อจะแต่งงาน บุตรสาวของพวกเขาให้แก่อะลี บินอะบี ตอลิบ แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมอนุญาตให้แก่พวกเขา หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ยอมอนุญาตให้แก่พวกเขา หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ยอมอนุญาตให้แก่พวกเขา นอกจาก อะลี บิน อะบีตอลิบ จะมีความปรารถนาหย่าขาดจากบุตรสาวของข้าพเจ้า และ ปรารถนาจะแต่งงานกับบุตรสาวของพวกเขา เพราะความจริงบุตรสาวข้าพเจ้านั้นเป็นส่วนหนึ่งของ ข้าพเจ้า สิ่งใดที่ทำให้หล่อนเป็นสุขมันก็จะทำให้ข้าพเจ้าเป็นสุข และสิ่งใดที่เป็นภัยแก่หล่อน มันก็เป็นภัยแก่ข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และตัวบทของบุคอรีว่า ฟาติมะห์เป็น ส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า ตังนั้นผูใดทำให้หล่อนโกรธ ก็เท่ากับทำให้ข้าพเจ้าโกรธ

ขณะที่ฟาติมะห์รู้ข่าวว่าอะลีได้สู่ขอบุตรสาวของอะบี ยะฮั้ลเธอได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. แล้วกล่าวแก่ท่านว่า แท้จริงพวกพ้องของท่านกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ท่านไม่โกรธแทนบุตรสาวของท่านและนี่คืออะลีกำลังจะสมรสกับบุตรสาวของอะบี ยะฮั้ล ท่านนบี  ซ.ล. ได้ลุกขึ้น ยืน แล้วกล่าวคำปฏิญาณตน หลังจากนั้นได้กล่าวว่า อนี่ง ความจริงข้าพเจ้าได้แต่งงานให้แก่ อะบุลอาส บิน รอเบียะอุ964 เขาได้สนทนากับข้าพเจ้าและเขาก็เชื่อข้าพเจ้า และแท้จริงฟาติมะห์ บุตรสาว มุฮัมมัดนั้น เป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า และแท้จริงข้าพเจ้าไม่ปรารถนาให้พวกเขา ทำให้เธอปั่นป่วน965 และแท้จริงสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า บุตรสาวของเราะซูลุลลอฮ์ จะไม่ รวมอยู่กับลูกสาวศัตรูของอัลลอฮ์ ที่สามีคนเดียวกัน ตลอดไป ผู้รายงานได้กล่าวว่า จากนั้น อะลีก็ได้ถอนหมั้น 

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้เรียกฟาติมะห์บุตรสาวของท่านมา พบในอาการป่วยของท่านที่ท่านได้ถูกเก็บชีวิตไปในอาการป่วยที่ จากนั้นท่านได้กระซิบกับเธอ ด้วยเรื่องหนึ่งแล้วเธอก็ร้องไห้1ต่อมาท่านได้เรียกเธอเข้ามาพบอีกได้กระซิบกับเธอแล้วเธอก็ หัวเราะ อาอิชะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามเธอถึงเรื่องตังกล่าว เธอตอบว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้กระซิบกับข้าพเจ้า และได้บอกแก่ข้าพเจ้าว่าตัวท่านจะถูกเก็บชีวิตในการป่วยครั้งนี้ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงร้องไห้ ต่อมาท่านได้กระซิบกับข้าพเจ้าและได้บอกข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะเป็นคนแรก จากคนในครอบครัวของท่านที่จะติดตามท่านไปข้าพเจ้าจึงได้หัวเราะ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อาอีชะห์) ได้กล่าวว่า บรรดาภรรยาของท่านนบี  ซ.ล. ได้ร่วมชุมนุม กันทั้งหมดอยู่ที่ท่าน ในขณะที่ท่านป่วยต่อมาฟาติมะห์ได้เข้ามา ท่าทางการเดินของฟาติมะห์นั้น เหมือนกับท่าเดินของท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า ยินดีต้อนรับบุตรสาวของข้าพเจ้า จากนั้นท่านได้ให้ฟาดิมาะห์ นั่งลงทางด้านขวาหรือซ้ายของท่าน ต่อมาท่านได้กระซิบคำพูด กับเธอแล้วฟาติมะห์ก็ร้องไห้ต่อมาท่านก็ได้กระซิบคำพูดกับเธออีก แล้ว เธอก็หัวเราะ ข้าพเจ้า จึงได้ถามเธอว่า อะไรทำให้เธอร้องไห้ เธอตอบว่าข้าพเจ้าจะไม่ยอมแพร่งพรายความลับท่าน เราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นเหมือนเช่นวันนี้ ที่ความดีใจอยู่ ใกล้เหลือเกินกับความเสียใจ[292] เมื่อท่านนบี  ซ.ล. ถูกเก็บชีวิตไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ถามเธอ อีก เธอตอบว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้บอกข้าพเจ้าว่า แท้จริงญิบรีลนั้น จะนำอัลกุรอาน มาทบทวนกับท่านทุกปีๆ ละหนึ่งครั้ง แต่ในปีนี้ญิบรีลได้นำ อัลกุรอานมาทบทวนกับท่านถึงสองครั้ง แล้ว และข้าพเจ้าไม่ได้พบตัวเองนอกจากพบว่ากำหนดความตายของข้าพเจ้าได้มาแล้ว และแท้ จริงเธอเป็นคนแรก จากครอบครัวของข้าพเจ้าที่จะติดตามข้าพเจ้าไปและผู้ที่ล่วงหน้าไปก่อนที่ จะเป็นผลดีแก่เธอมากที่สุดก็คือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้ร้องไห้เพราะเหตุนั้น หลังจากนั้นท่าน ได้กระซิบแก่ข้าพเจ้าโดยกล่าวว่า เธอไม่พอใจหรือที่เธอจะเป็นผู้นำของมวลสตรีที่มีศรัทธา หรือ เป็นผู้นำของผู้หญิงแห่งประชาชาตินี้ ข้าพเจ้าจึงได้หัวเราะเพราะเหตุนั้น 

รายงานโดยบุคอริ มุสลิม และติรมีซี ตัวบทของติรมีซีและบุคอรีว่า จากนั้นท่านได้แจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่า แท้จริงข้าพเจ้าเป็น ผู้นำของผู้หญิงชาวสวรรค์นอกจาก มัรยัม บุตรสาว อิมรอน ตังนั้นข้าพเจ้าจึง หัวเราะ[293]

และเล่าจากเขา (อาอิซะห์) ขณะที่ถูกถามว่า มนุษย์คนใดเป็นที่รักยิ่งของท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. อาอีชะห์ตอบว่า คือ ฟาติมะห์ และได้มีผู้ถามขึ้นว่า จากฝ่ายชายคือใคร อาอีชะห์ ตอบว่า คือสามีของนาง ความจริงที่ข้าพเจ้าทราบก็คือเขาเป็นผู้ที่ชอบถือ ศีลอด และยืนหยัด ทำความดี 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

และเล่าจากเขา (อาอีซะห์) ว่า แท้จริงฟาติมะห์  อ.ล. ได้ส่งตัวแทนไปพบอะบีบักร์ เพื่อขอมรดกของเธอที่ควรจะได้รับจากท่านนบี  ซ.ล. จากทรัพย์สงครามที่อัลลอฮ์ได้ประทาน ให้แก่ท่าน[294] อะบูบักร้ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะห์ได้กล่าวว่า พวกเราจะไม่ถูกรับมรดก สิ่งที่พวกเราทิ้งไว้ ถือ ว่าเป็นทาน ซอดาเกาะห์ ความจริงวงค์วานของมุฮัมมัดจะได้กินจากทรัพย์ กองนี้ [295] และแท้จริงข้าพเจ้าขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ข้าพเจ้าจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงสิ่งใด จากบรรดาซอดาเกาะห์ของท่านนบี  ซ.ล. ซึงเคยมีอยู่ในสมัยของท่าน และข้าพเจ้าจะปฏิบัติ ในทานซอดาเกาะห์นี้ เหมือนสิ่งที่ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้ปฏิบัติ อะลี  ร.ฎ. ได้กล่าว คำปฏิญาณแล้วกล่าวว่าแท้จริงพวกเราทราบโดย อะบูบักร์ถึงความประเสริฐของตัวท่าน และ อะลีได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางเครือญาติของพวกเขากับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. และสิทธิของ พวกเขา จากนั้นอะบูบักร์ได้เจรจาโดยกล่าวว่า สาบานต่อผู้ชึ่งซีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือ ของพระองค์ว่าเครือญาติของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. นั้นข้าพเจ้าต้องการติดต่อยิ่งกว่าเครือญาติของข้าพเจ้าเอง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

คุณงามความดีของหะซัน และหุเซน  ร.ฎ.[296] 639

ได้มีผู้ชายชาวอิรัค คนหนึ่ง ถามอับดุลเลาะห์ บิน อุมัร ถึงคนที่ครองเอียะห์รอมและ ได้ไปฆ่าแมลงวันตาย (อับดุลเลาะห์) บิน อุมัรได้กล่าวว่า ชาวอิรัคถามถึงแมลงวันทั้งๆ ที่ พวกเขาได้ฆ่าหลานชายที่เกิดจากบุตรสาวของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. และท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่าคนทั้งสองขณะที่อยู่ในโลกนี้ สำหรับข้าพเจ้าแล้วเหมือนโหระพา[297] 

รายงานโดย บุคอรี และติรมีซี ตัวบทของติรมีซี ว่า ผู้ชายชาวอิรัคคนหนึ่งได้ถาม อิบนุ อุมัร ถึงเลือดยุงที่ โดนผ้า อิบนุ อุมัรได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงดูผู้ชายคนนี้ เขาถามถึงเลือดยุง ทั้งๆ ที่พวกเขา ได้ฆ่าหลานชายของท่านนบี  ซ.ล. และข้าพเจ้าได้ยินท่านกล่าวว่า แท้จริงหะซันและหุเซนนั้น ทั้งสองคนนี้สำหรับข้าพเจ้าแล้วเหมือนโหระพาจากโลกนี้

เล่าจากอะบี บักเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี  ซ.ล. ขณะที่อยู่บน มิมบัร มีหะซันอยู่ข้างๆ ท่านมองไปที่ประชาชนครั้งหนึ่งและมองไปที่หะซันครั้งหนึ่ง พร้อม กับกล่าวว่าหลานชายคนนี้ของข้าพเจ้าเป็นผู้นำและหวังว่า พระองค์อัลลอฮ์ จะให้เขาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างมุสลิมสองฝ่ายที่ขัดแย้งกัน[298]

รายงานโดย บุคอรี และติรมีซี ตัวบทของติรมีซีว่า แท้จริงหลานชายของข้าพเจ้าคนนี้เป็นผู้นำพระองค์อัลลอฮ์จะให้เขาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยระหว่าง สองพวกที่ยิ่งใหญ่

เล่าจากอัลบะรออฺ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี  ซ.ล. โดยมีหะซัน อยู่บนด้นคอของท่าน ท่านกล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ แท้จริงข้าพเจ้ารักเขา ดังนั้น ขอ พระองค์ท่านได้โปรดรักเขาด้วยเถิด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ออกไปกับท่านนบี  ซ.ล. พร้อม กับคนกลุ่มหนึ่งในเวลากลางวัน โดยท่านไม่ได้พูดกับข้าพเจ้าและข้าพเจ้าก็ไม่ได้พูดกับท่าน จนกระทั่งท่านได้มาถึงตลาดของชาวยิว ตระกูล บะนี กอยนูกออ์ จากนั้นท่านก็กลับไป จนกระทั่ง ได้มาถึงบ้านของฟาติมะห์ ท่านได้พูดขึ้นว่า หนูน้อยอยู่ไหม หนูน้อยอยู่ไหม ท่านถามถึงหะซัน พวกเราคิดว่า มารดาของเขาคงกักตัวเอาไว้ เพื่ออาบนํ้า และสวมสร้อยลูกประคำ ทันที่ ทิ่มาถึงทั่งสองฝ่ายต่างตรงเข้าสวมกอดกัน และท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าแด่ พระองค์อัลลอฮ์ แท้จริงข้าพเจ้ารักเขา ดังนั้นขอพระองค์ท่านได้โปรดรักเขาด้วยเกิด และได้ โปรดรักผู้ที่รักเขา

เล่าจาก อิยาส จากบิดาของเขา  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้จูง ล่อสีดำ ของ ท่านนบี  ซ.ล. โดยมีท่านนบี นั่งอยู่พร้อมด้วยหะซันและหุเซนจนกระทั่งข้าพเจ้าได้นำพวก เขามาถึง ห้องของท่านนบี  ซ.ล.คนนี้เตินข้างหน้า คนนั้นเดินอยู่ข้างหลังท่าน 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุลลิม

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ไม่มีใครเหมือนกับท่านนบี  ซ.ล. ยิ่งกว่าหะซัน บิน อะลี 

รายงานโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจากอุกบะห์ บิน ฮาริษ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นอะบูบักร์  ร.ฎ. แบกหะซัน ไว้ และกล่าวว่า สาบานด้วยบิดาของข้าพเจ้า เขาเหมือนกับท่านนบี ไม่เหมือนกับอะลี และ อะลีก็หัวเราะ[299] 

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าอยู่กับอิบนุ ซิยาด ภายหลังศีรษะของทุเซ็น ได้ถูกนำมาอิบนุซิยาดได้กล่าวโดยมีไม้ถือของเขาอยู่ในจมูกของหุเซ็นพร้อมกับกล่าวว่า ข้าพเจ้า ไม่เคยเห็นความงดงามเช่นนี้มาก่อน[300] ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า พึงทราบเถิดว่าแท้จริงเขา (หุเซ็น) เหมือนกับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. มากที่สุด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจากอะบี สะอีด  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า หะซันและหุเซ็น เป็นผู้นำ ของชายหนุ่มชาวสวรรค์[301]

เล่าจากอัลบะรออฺ  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้เห็น หะซันและหุเซ็นท่านได้ กล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลลาะห็ แท้จริงข้าพเจ้ารัก บุคคลทั้งสองดังนั้นขอพระองค์ได้โปรด รักเขาทั้งสองด้วยเกิด[302]

เล่าจากอะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า หะซันเหมือนกับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ในส่วน ระหว่างหน้าอกถึงศีรษะ ส่วนทุเซ็นเหมือนกับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ในส่วนที่อยู่ต่ำกว่านั้น[303]

และเล่าจากเขา (อัลบะรออุ) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริง นบี ทุกท่าน นั้นจะได้ผู้ซ่วยเจ็ดคนที่เฉลียวฉลาด หรือที่ประเสริฐยิ่ง ส่วนข้าพเจ้านั้น ถูกประทานผู้ช่วย สิบสี่คน พวกเราได้ถามว่า พวกเขาได้แก่ใครบ้าง ท่านตอบว่า ตัวข้าพเจ้า บุตรสองคนของข้าพเจ้า ยะอุฟัร ฮำซะห์ อะบูบักร์ อุมัร มุสอับ บินอุเมร บิลาล ซิลมาน มิกดาร อะบูซิรร์ อัมมาร และอับดุลเลาะห์ บิน มัสอูด

เล่าจากฮุไซฟะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มารดาของข้าพเจ้าได้ถามข้าพเจ้าว่า เจ้ามีนัดกับ ท่านนบี  ซ.ล. เมื่อไหร่ [304] ข้าพเจ้าตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ได้มีนัดกับท่านนบี ตั้งแต่ เมื่อนั้น เมื่อนี้979 มารดาข้าพเจ้าจึงได้ต่อว่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากล่าวแก่มารดาว่า ปล่อยข้าพเจ้าเถิด เพื่อ ข้าพเจ้าจะได้ไปหาท่านนบี  ซ.ล. ข้าพเจ้าจะได้ละหมาดมัฆริบร่วมกับท่าน และข้าพเจ้าจะได้ ขอให้ท่านขออกัยโทษให้แก่ข้าพเจ้าและให้แก่ท่านด้วย ต่อมาข้าพเจ้า ได้ไปหาท่านนบีและได้ ละหมาดมัฆริบ พร้อมกับท่าน ท่านได้ละหมาดจนได้ละหมาดอิซาอฺอีก จากนั้นท่านจึงได้ออก จากละหมาด ข้าพเจ้าได้ติดตามท่านไป ท่านได้ยินเสียงของข้าพเจ้า จึงได้กล่าวว่า ใครนี้ ฮุไซฟะห์ ใช่ไหม ข้าพเจ้าตอบว่าใช่ ครับ ท่านได้ถามว่า เจ้ามีธุระอะไร ขอพระองค์อัลลอฮ์ได้โปรด อภัยให้แก่เจ้า และมารดาของเจ้า จากนั้นท่านได้กล่าวว่า แท้จริงนี้คือ มะลาอิกะห์ ที่ไม่เคย ลงมายังหน้าพื้นแผ่นดินเลย ก่อนจากคืนนี้มะลาอิกะห์นี้ได้ขออนุญาตจากพระผู้อภิบาลของเขา เพื่อให้สลามแก่ข้าพเจ้า[305] และเพื่อบอกข่าวดีแก่ข้าพเจ้าว่า แท้จริงฟาติมะห์ เป็นผู้นำของผู้หญิง ชาวสวรรค์ และแท้จริงหะซันและหุเซนเป็นผู้นำของชายหนุ่มชาวสวรรค์

เล่าจาก บุรอยดะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี  ซ.ล. ได้ขึ้นกล่าวปราศัยกับพวก เรา บังเอิญ หะซันและหุเซน  อ.ล. ได้มา ทั้งสองสวมเสื้อสีแดง กำลังเดินและทั้งสองได้ สะดุดล้มลง ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้ลงจากมิมบัร และ อุ้มทั้งสองขึ้นแล้วนำไปวาง ไว้ข้างหน้าท่าน                          จากนั้นท่านได้กล่าวว่า      พระองค์อัลลอฮ์ทรงสัจจะที่ได้ตรัสว่า ความจริงทรัพย์สมบัติของพวกท่าน และถูกหลานของพวกท่านเป็นความวุ่นวาย (ฟิตนะห์) ข้าพเจ้าได้มองดูเด็กสองคนนี้ ที่กำลังเดินและสะดุดล้มลง ข้าพเจ้าไม่สามารถอดทนได้จึงเลิกปราศรัย และอุ้มเด็กทั้งสองขึ้น[306]

เล่าจากยะอฺลา บิน มุรเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า หุเซน เป็น ส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของหุเซน พระองค์อัลลอฮ์ทรงรักผู้ที่รัก หุเซน และหุเซนเป็นผู้มีจรรยามารยาทดีงาม เหมือนประชาชาติที่ดี

เล่าจากซัลมา  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เข้าไปหาอุมมิ ซะละมะห์ ขณะที่เธอกำลัง ร้องไห้ ข้าพเจ้าจึงได้ถามว่า อะไรทำให้เธอร้องไห้ อุมมิ ซะละมะห์ กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ในฝันมีฝุ่นติดอยู่บนศีรษะและเคราทั้งสองข้างของท่าน ต่อมาข้าพเจ้าได้ถามว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์อะไรเกิดขึ้นแก่ท่าน ท่านได้ตอบว่า ข้าพเจ้าได้เห็นหะซันจะถูกสังหารเร็วๆ นี้

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ถูกถามว่าคนในดรอบครัว ของท่านคนใดที่ท่านรักมากที่สุด ท่านตอบว่า หะซันและหุเซ็น และท่านเคยกล่าวแก่ฟาดิมะห์ว่า เธอจงเรียกหลานทั้งสองของข้าพเจ้ามา จากนั้นท่านได้จูบคนทั้งสองและได้โอบกอดทั้งสอง เข้ามาหาท่าน

เล่าจากอิบนิอับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล.ได้อุ้มหุเซ็น ไว้บนบ่า ต่อมาได้มีผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่าเป็นพาหนะที่ดีที่สุดที่เจ้าไอ้ขี่โอ้เด็กน้อย ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.ได้กล่าวว่าและคนขี่ที่ดีที่สุดคือเขา 

รายงานหะดีษทั้งสิบโดยติรมิซี

ความประเสริฐของอบดุลเลาะห์บิน อับบาส  ร.ฎ.[307]

เล่าจากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล.ได้กอดข้าพเจ้าไว้กับอกของ ท่านและท่านได้กล่าววา โอ้พระองค์อัลเลาะห์ ได้โปรดสอนวิทยะปัญญาแก่เขด้วยเถิต 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล.ได้วิงวอนขออนุญาต จากพระองค์อัลเลาะห์ให้ประทานฮิกมะห์แก่ข้าพเจ้าถึงสองครั้ง[308] 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) ว่าแท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้เข้าไปในห้องส้วมข้าพเจ้า ได้นำน้ำจะใช้อาบนํ้าละหมาดไปวางไว้ให้แก่ท่าน เมื่อท่านออกมา ท่านได้กล่าวว่า ใครเป็นคน นำสิ่งนี้มาวางไว้ ข้าพเจ้ากล่าวว่า อิบนิ อับบาส ท่านจึงกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์อัลเลาะห์ใด้ โปรดให้เขามีความเข้าใจในศาสนา[309] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

ความประเสริฐของอับดุลเลาะห์ บิน ยะอฺฟัร  ร.ฎ. 643

เล่าจากอับดิลลาห์ บิน ยะอฺฟัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล. เมื่อกลับมา จากการเดินทาง เด็กๆ ในครอบครัวของท่านจะถูกนำมาพบกับท่าน และแท้จริงท่านได้กลับ มาจากการเดินทางครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ถูกนำไปหาท่านก่อนคนอื่นท่านได้อุ้มข้าพเจ้าไว้ข้างหน้าของท่าน หลังจากนั้น บุตรคนหนึ่งจากบุตรชายทั้งสองของฟาติมะห์ได้ถูกนำมา ท่านได้จับเอา ไปขี่ซ้อนอยู่ข้างหลังท่าน พวกเราทั้งสามได้ถูกนำเข้าสู่นครมะตีนะห์ โดยนั่งอยู่บนสัตว์ตัวเดียวกัน[310] 

รายงานโดยมุสลิม และอะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อับดิลลาห์) ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ได้ให้ข้าพเจ้านั่งซ้อนอยู่ข้างหลังของท่านในวันหนึ่ง จากนั้นท่านได้กระซิบคำพูดกับข้าพเจ้า โดยข้าพเจ้าจะไม่ บอกคำพูดนั้นแก่ผูใด จากมวลมนุษย์ 

รายงานโดยมุสลิม

ตอน เซด บิน ฮาริซะห์ ทาสของท่านนบี ซ.ล.[311]

 เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล.ได้ส่งกองทหารกองหนึ่ง และท่าน ได้แต่งตั้ง อุซามะห์ บิน เซด ให้เป็นผู้นำทัพ มีประชาชนบางคนวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้งนี้ท่านนบี  ซ.ล.ได้กล่าวว่า ถ้าหากพวกท่านวิพากษ์วิจารณ์ การแต่งตั้งเขา ความจริงก็เท่า กับพวกท่านพูดทิ่มตำ การแต่งตั้งบิดาของเขามาก่อน สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ถ้าหากบิดาของเขามีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่ง ความจริงเขาก็เป็นคนทิ่ข้าพเจ้ารักยิ่งกว่าใคร และแท้จริง ชายคนนี้ก็เป็นคนที่ข้าพเจ้ารักยิ่งกว่าใครหลังจากบิดาของเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

มุสลิมได้รายงานเพิ่มเติมว่า ดังนั้นข้าพเจ้าขอสั่งเสียต่อพวกท่านทั้งหลายให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อเขาด้วยดี เพราะความจริงเขาเป็นคนหนึ่งจากบรรดาคนตี ของพวกท่าน

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ได้กล่าวว่า พวกเราไปเคยเรียก เซด บิน ฮาริชะห์ นอก จากเรียกว่า เซด บิน มุฮัมมัด จนกระทั่งได้ลงมาในอัลกุรอานว่า “ท่านทั้งหลายจงเรียกพวก เขาเป็นบุตรของบิดาจริงของพวกเขานั้นเป็นความยุติธรรม ณ พระองค์อัลลอฮ์” 

รายงานโดยมุสลิม และติรมิซี

และท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านเป็นพิ่น้องของเราและเป็นคนรักของเรา 

รายงานโดยบุดอรี

เล่าจากญะบะละห์ บิน ฮาริษะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. แล้วข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้โปรดส่งเซตน้องชายของข้าพเจ้าไปพร้อมกับ ข้าพเจ้าเถิด ท่านนบีได้กล่าวว่า นี่ไง ถ้าหากเขาไปกับท่าน ข้าพเจ้าก็จะไม่ห้ามเขา เซดได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ข้าพเจ้าจะไม่เลือกใครก่อนท่าน ญะบะละห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าความเห็นของน้องชายข้าพเจ้าดีกว่าความเห็นของข้าพเจ้า[312]

และอุมัร  ร.ฎ. ได้กำหนดให้แก่ อุซามะห์ บิน เซด สามพันห้าร้อย และได้กำหนด ให้แก่บุตรชายของเขาเอง คือ อับดิลลาห์ บิน อุมัร สามพัน (อับดุลลาห์) บิน อุมัร ได้ กล่าวแก่บิดาของตนว่า ทำไมท่านจึงให้อุซามะห์มากกว่าข้าพเจ้า สาบานต่ออัลเลาะห์ว่า เขาไม่ ได้ล่วงหน้าไปสู่สมรภูมิก่อนข้าพเจ้าเลย อุมัรได้กล่าวว่า เพราะความจริงเซด เป็นบุคคลที่ท่าน เราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. รักยิ่งกว่าบิดาของเจ้า และปรากฏว่าอุซามะห์เป็นบุคคลที่ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. รักยิ่งกว่าเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเลือกเอาคนรักของท่านเราะซูลุลลอห์ไว้ก่อน คนรักของ ข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยฅิรมิซี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

ความประเสริฐของ อุซามะห์ บิน เซด  ร.ฎ.[313]

เล่าจากอุซามะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้านั่งอยู่กับท่านนบี  ซ.ล. บังเอิญอะลี กับ อับบาสได้ มาขออนุญาตเข้าพบ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ อะลี กับอับบาสได้ขอ อนุญาตเข้าพบ ท่านได้กล่าวว่า ท่านทราบไหมว่า อะไรนำคนทั้งสองมา ข้าพเจ้าตอบว่า ข้าพเจ้า ไม่ทราบ ท่านนบีได้กล่าวว่า แต่ข้าพเจ้าทราบ ท่านจึงได้อนุญาตแก่คนทั้งสอง เขาทั้งสองจึงได้เข้า มาแล้ว กล่าวขึ้นว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์พวกเรามาเพื่อจะถามท่านว่า ผู้ใดในครอบครัวของท่านที่ ท่านรักมากที่สุด ท่านตอบว่า ฟาติมะห์ บุตรสาวมุฮัมมัด บุคคลทั้งสองได้ถามอีกว่า พวกเราไม่ได้มาเพื่อถามท่านเกี่ยวกับคนในครอบครัวของท่านจริงๆ ท่านได้กล่าวว่า คนในครอบครัว ของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้ารักมากที่สุด คือ ผู้ที่พระองส์อัลลอฮ์ได้ประทานความโปรดปรานแก่เขา และข้าพเจ้าได้ให้ความโปรดปรานแก่เขา คือ อุซามะห์ บิน เซด[314] บุคคลทั้งสองได้ถามว่า ถัดจากนั้นคือใคร ท่านตอบว่า ถัดจากนั้นคืออะลี บิน อะบี ตอลิบ อับบาส ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอห์ ท่านได้เอาลุงของท่านไว้เป็นอันดับสุดท้าย จากคนในครอบครัวของท่านหรือ ท่านนบีตอบว่า เพราะแท้จริงอะลีได้อพยพไปก่อนท่าน

และเล่าจากเขา (อุซามะห์) ได้กล่าวว่า ขณะที่ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. มีอาการเพียบหนัก ข้าพเจ้าและประชาชนได้เดินทางเข้าสู่นครมะดีนะห์ จากนั้นข้าพเจ้าได้เข้าไปหาท่าน ท่านนิ่ง เงียบไปโดยไม่พูด ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ได้เริ่มวางมือทั้งสองข้างไว้บนข้าพเจ้า และ ท่านได้ยกมันทั้งสองข้างขี้น ข้าพเจ้ารู้ว่าแท้จริงท่านกำลังขอดุอาอฺให้แก่ข้าพเจ้า

และอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ต้องการจะปัดขี้มูกของอุซามะห์ออกไปให้พ้น ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ปล่อยให้ข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำเถิด ท่านได้ กล่าวว่า โอ้อาอิชะห์ เธอจงรักเขาเพราะแท้จริงข้าพเจ้ารักเขา[315] 

รายงานหะดีษทั้งสามโดยติรมิซี หะดีษแรกด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

ความประเสริฐของบิลาล บิน รอบาห์ ชาวอะบิสิเนีย
ผู้ทำหน้าที่อะซานของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าปรากฏว่าอุมัรเคยกล่าวว่า อะบูบักร์เป็นนายของพวกเรา และเขาได้ปลดปล่อยนายของพวกเราให้เป็นอิสระเขาหมายถึง บิลาล

เล่าจากกอยส์  ร.ฎ. ว่าแท้จริง บิลาลได้กล่าวแก่อะบูบักร์ว่า ความจริงถ้าหากท่านซื้อข้าพเจ้าเพื่อตัวของท่านเอง ก็ให้ท่านจงยึดเอาตัวข้าพเจ้าไว้ และถ้าหากความจริงท่านซื้อข้าพเจ้าเพื่อ อัลลอฮ์ ก็จงปล่อยข้าพเจ้าและงานของข้าพเจ้าเพื่ออัลเลาะห์[316] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุคอรี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล.ได้กล่าวแก่บิลาล หลังจากละหมาดซุบฮ์ว่า โอ้บิลาล จงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงการกระทำที่เป็นความหวังของท่านว่า จะเกิดประโยชน์มากที่สุดที่ท่านได้กระทำไว้กับตัวท่านในอิสลาม เพราะแท้จริงข้าพเจ้าได้ยิน เมื่อคืนนี้ เสียงย่ำของรองเท้าทั้งสองข้างของท่านอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้าในสวรรค์ บิลาลได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยกระทำการใดๆ ในอิสลามที่หวังว่าจะเป็นประโยชน์มากพีสุดแก่ข้าพเจ้า ยิ่งไปกว่าการ ที่ข้าพเจ้าจะไม่กระทำความสะอาด (อาบนํ้าละหมาด) อย่างสมบูรณ์ในช่วงเวลาหนึ่งของกลางคืน หรือกลางวันนอกจากข้าพเจ้าได้ละหมาดด้วยการทำความสะอาด (อาบนํ้าละหมาด) นั้น ตาม แต่พระองค์อัลเลาะห์ได้กำหนดให้ข้าพเจ้าละหมาด[317] 

รายทนโดยมุสลิม บุคอรี และตัวบทของ บุดอรีว่า ข้าพเจ้าได้ยินเสียงย่ำของรองเท้าทั้งสองข้างของท่านในสวรรค์

ความประเสริฐของมุสอับ บิน อุเมร เผ่ากุเรช  ร.ฎ.[318]

เล่าจากคอบบาบ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้อพยพไปพร้อมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.โดยเรามุ่งหวังแต่พระองศีอัลลอฮ์ และผลบุญของเราจะเกิดขึ้นที่พระองศีอัลลอฮ์ ส่วนหนึ่งของพวกเราได้เสียข้วตไป โดยเขาไม่ทันได้กินผลบุญของเขาเลยสักอย่าง และอีกส่วน หนึ่งของพวกเรานั้น ผลจากบุญของเขาสุกงอกและเขาได้เก็บเกี่ยวมัน แท้จริงมุสอับบินอุเมร ได้เสียชีวิตโดยเขาไม่ได้ทิ้งสิงใดนอกจากผ้าผืนหนึ่ง เมื่อพวกเขาใช้ผ้าผืนนั้นปิดศีรษะ เท้าทั้งสองข้างของเขาจะเปิดและเมื่อพวกเขาใข้ผ้าผื่นนั้นปิดเท้าทั้งสองข้างของเขา   ศีรษะของเขาจะเปิด

ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงปิดศีรษะของเขาและจงเอาอิซคิช[319] มาไว้ บนเท้าทั้งสองข้างของเขา 

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานทิ่เศาะฮีหะห์ และบุคอรี

ความประเสริฐของอับดุลเลาะห์ บิน อุมัร บิน ค๊อตต๊อบ  ร.ฎ.[320]

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่งในสมัย ท่านนบี  ซ.ล. เมื่อ เขาฝันเห็นใด ๆ จะนำความฝันนั้นไปเล่าให้ท่านนบี  ซ.ล.ฟัง ข้าพเจ้าตั้งความหวังไว้ว่า (ถ้า) ฝันเห็นใดๆ จะได้นำไปเล่าให้ท่านนบี  ซ.ล. ฟังบ้าง ขณะนั้นข้าพเจ้ายังเป็นเด็กหนุ่มโสด ข้าพเจ้านอนอยู่ในมัสยิด และได้ฝันเห็นคล้ายกับมีมะลาอิกะห์สองท่านจับตัวข้าพเจ้า และได้นำข้าพเจ้าไปยังขุมนรก ทันใดนั้น ขุมนรกมีสภาพเหมือนบ่อนํ้าที่ถูกก่อไว้ และมีเขาสองเขาเหมือน เขาทั้งสองของบ่อน้ำ[321] และมีมนุษย์อยู่ในนั้น แท้จริงข้าพเจ้ารู้จักพวกเขาเหล่านั้น และข้าพเจ้าได้กล่าวว่าข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยอัลลอฮ์จากขุมนรก ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยอัลเลาะห์จาก ขุมนรก จากนั้นได้มีมะลาอิกะห์อีกท่านหนึ่ง มาพบกับสองท่านแรกแล้วกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านไม่ต้องกลัว ต่อมา ข้าพเจ้าได้นำความฝันนี้ไปเล่าให้ฮัฟเซาะห์ฟัง และฮัฟเซาะห์ ก็ได้นำไปเล่าให้ ท่านนบี  ซ.ล. ฟังอีกทอดหนึ่ง ท่านนบีได้กล่าวว่า ผู้ชายที่ดีที่สุดคืออับดุลเลาะห์ ถ้าหากเขายังคงละหมาดในเวลากลางคืน ซาลิม[322] ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าอับดุลเลาะห์จะไม่นอนในเวลา กลางคืน นอกจากเล็กน้อยเท่านั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ฝันเห็น คล้ายกับในมือของข้าพเจ้า มีผ้าไหมอยู่ท่อนหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่ได้ใช้ผ้าไหมผืนนั้นชี้ไปยังสถานที่แห่งใดในสวรรค์ นอกจากมัน จะนำข้าพเจ้าบินไปยังสกานที่แห่งนั้น หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้นำความฝันนี้ไปเล่าให้ฮัฟเซาะห์ ฟังและฮัฟเซาะห์ได้นำไปเล่าต่อให้ท่านนบี  ซ.ล.ฟัง ท่านได้กล่าวว่า แท้จริง น้องชายของเธอ เป็นคนดี หรือกล่าวว่า แท้จริงอับดุลเลาะห์เป็นคนดี999 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ได้กล่าวว่า ขณะที่พวกเราอยู่กับท่านนบี  ซ.ล. นั้น ได้มี ผู้นำยอดอ่อนของต้นอินทผลัมเข้ามา ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงส่วนหนึ่งของต้นไม้ นั้นมีมงคลเหมือนความมีมงคลของคนมุสลิม[323]  และในบางรายงานว่า แท้จริงส่วนหนึ่งของ ต้นไม้นั้นมีต้นหนึ่งที่ใบของมันไม่เคยหลุดร่วง พวกท่านทั้งหลายจงบอกข้าพเจ้าเถิดว่า มันคือ ด้นไม้อะไร                                          ประชาชนต่างพากันคิดถึงต้นไม้ทิ่มีอยู่ตามลำธารต่างๆ แต่ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นต้นอินทผลัม และข้าพเจ้าตั้งใจจะพูดว่ามันคือต้นอินทผลัม โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าได้หันไป และปรากฏว่าข้าพเจ้าเป็นหนึ่งจากจำนวนสิบคน โดยข้าพเจ้ามือายุน้อยที่สุดของพวกเขา ข้าพเจ้า จึงนี่งเสีย จากนั้นท่านนปึซ.ล. จึงได้พูดว่า มันคือต้นอินทผลัม 

รายงานโดยบุคอรีในเรื่องอาหาร ติรมิซีในเรื่องการยกอุทาหรณ์

ความประเสริฐของอับดุลเลาะห์ บิน มัสอูด  ร.ฎ.[324]  648

เล่าจากมัสรูก ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเขาได้กล่าวถึง อิบนิ มัสอูด ขณะที่อยู่กับอับดุลเลาะห์ บิน อุมัร ท่านได้กล่าวว่า นั่นเป็นชายคนหนึ่งที่ข้าพเจ้ายังคงรักเขา หลังจากได้ยินท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงขอให้สอนอัลกุรอาน[325] จากสี่คนคือจากอับดุลเลาะห์ บิน มัสอูด ท่านนบีได้เริ่มที่เขาเป็นอันดับแรก ซาลิม ทาสของฮุซัยฟะห์ อุบัย บิน กะอับ และมุอาซ บิน ญะบัล 

รายงานโดยบุดอรี มุสลิม

เล่าจากอะบี มูซา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าและน้องชายของข้าพเจ้า ได้กลับเข้ามาจากประเทศยะมัน และเราได้พำนักอยู่เป็นเวลานาน ข้าพเจ้าไม่ได้คาดคิดว่า (อับดุลเลาะห์) บิน มัสอูด กับมารดาของเขา นอกจากคาดคิดว่าเป็นคนในครอบครัวของท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล.เนื่องจากพวกเขาได้เข้าไปหาและติดตามท่านนบีอยู่บ่อยๆ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอับดิรเราะห์มาน บิน ยะซีด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ถามฮุไซฟะห์ ถึง ผู้ชายคนหนึ่งที่มีบุคคลิกและมีแนวทางใกล้เคียงกับท่านนบี  ซ.ล. เพื่อพวกเราจะได้ศึกษาเอาจากเขา ฮุไซฟะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ว่ามีคนใดที่จะมีบุคคลิกภาพ แนวทางและอุปนิสัยใกล้เคียงกับ ท่านนบี  ซ.ล. ยิ่งกว่า “อิบนุ อุมมิ อับด์”[326] 

รายงานโดยบุคอรี และติรมิซี ได้รายงานเพิ่มเติม ว่า จนกระทั่งเขาได้ซ่อนตัวจากพวกเรา อยู่แต่เพียงในบ้านของเขา และแท้จริงบรรดาบุคคลที่ ถูกคุ้มครองจากบรรดาอัครสาวกของมุฮัมมัดรู้ว่า แท้จริงอินนุ อุมมิ อับด์ เป็นผู้ที่มีตำแหน่ง ใกล้ชิดกับพระองค์อัลลอฮ์มากที่สุด

เล่าจากอัลกอมะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เข้าไปในเมืองชาม และได้ละหมาด สองรอกาอัต จากนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดให้ความสะดวกแก่ข้าพเจ้าให้ ได้เพื่อนที่ดี จากนั้นข้าพเจ้าได้เห็นชายชราคนหนึ่งมุ่งหน้ามา[327] เมื่อเขาเข้ามาใกล้ ข้าพเจ้าได้ กล่าวว่า หวังว่าพระองค์อัลเลาะห์จะตอบสนองคำวิงวอน เขาได้กล่าวว่า ท่านมาจากไหน  ข้าพเจ้า ตอบว่า เป็นชาวกูฟะห์เขาได้กล่าวว่า เจ้าของเท้าทั้งสองข้าง เจ้าของหมอน และน้ำที่ใช้ทำความสะอาด ไม่ได้เป็นคนหนึ่งในพวกท่านหรือ[328]                                                                                       และผู้ที่ถูกคุ้มครองจากชัยฏอน (มารร้าย) ไม่ได้เป็นคนหนึ่งในพวกท่านหรือ [329]                                                               และเจ้าของความลับหนี่งไม่มีใครรู้นอกจากเขาไม่ได้เป็นคนหนึ่งในพวกท่านหรือ[330] (ชายชราคนนั้นได้กล่าวว่า) อิบนุ อุมมิ อับด์ ได้อ่าน “วัลลัยลิ อิซา เยาะฆ์ชา” อย่างไร ส่วนข้าพเจ้าอ่านว่า "วัลลัยลิ อิซา เยาะฆ์ชา วันนะฮาริ อิซาตะยั้ลลา วัซซะ กะริ วัลอุนซา” ชายชราผู้นั้นได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล.ได้อ่านให้ข้าพเจ้าฟัง (เช่นนั้น) ปาก ต่อปาก และพวกชามก็ได้คงอ่านอยู่จนพวกเขาเกือบจะบังคับให้ข้าพเจ้ากลับไปอ่านตามการอ่านของ พวกเขา[331] 

รายงานโดยบุคอรี

เล่าจากคอยซะมะห์ บิน อะบี ซับเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้มายังนครมะดีนะห์ แล้วข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดให้ความสะดวกแก่ข้าพเจ้าให้ได้เพื่อน ที่ดี ต่อมาพระองค์ได้ให้ความสะดวกแก่ข้าพเจ้าได้ อะบูฮุรอยเราะห์เป็นเพื่อน ข้าพเจ้าได้อยู่ ร่วมกับเขา หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้กล่าวว่าแท้จริงข้าพเจ้าได้ขอต่ออัลลอฮ์ว่าให้พระองค์ประทานความสะดวกแก่ข้าพเจ้าให้ได้เพื่อนที่ดี และท่านก็ได้ถูกแนะนำให้มาเป็นเพื่อนของข้าพเจ้า ต่อมาอะบุฮุรอยเราะห์ ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านมาจากไหน ข้าพเจ้าตอบว่ามาจากชาวกูฟะห์ ข้าพเจ้ามาติดตามและแสวงหาความดี อะบูฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า สะอัด บิน มาลิก ผู้ถูกตอบสนองตามคำขอ[332] และอิบนุ มัสอูด เจ้าของนํ้าทำความสะอาด ท่านนบี  ซ.ล. และรองเท้า ทั้งสองข้างของท่าน และฮุซัยฟะห์ เจ้าของความลับของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. และอัมมาร ซึ่ง พระองค์อัลลอฮ์ได้ให้ความคุ้มครองแก่เขาจากชัยฏอนตามความวิงวอนของนบีของพระองค์ และซัลมานเจ้าของสองพระคัมภีร์[333] ไม่ได้เป็นคนหนึ่งในพวกท่านหรือ       

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

เล่าจากอับดิลลาห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อโองการนี้ได้ลงมา “ ย่อมไม่เป็นบาปแก่บรรดา ผู้ศรัทธาและทำความดีในสิ่งที่พวกเขาได้บริโภคเป็นอาหารตราบที่พวกเขายังมีความยำเกรง มีศรัทธา ” จนจบโองการ[334] ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่าได้มีผู้บอกแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านเป็นคนหนึ่งจากพวกเขาเหล่านั้น

และเล่าจากเขา (อับดิลลาห์) ได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งไม่มีพระเจ้าที่แท้จริงนอกจาก พระองค์เท่านั้น ว่าไม่มีซูเราะห์ใดจากคัมภีร์ของอัลลอฮ์นอกจากข้าพเจ้าจะต้องรู้ว่าถูกประทาน ลงที่ไหนและไม่มีโองการ (อายะห์) ใดนอกจากข้าพเจ้าจะต้องรู้ว่าถูกประทานลงมาในเรื่องอะไร

และเล่าจากเขา (อับดิลลาห์) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้อ่านให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ฟังกว่าเจ็ดสิบซูเราะห์ และแท้จริงบรรดาอัครสาวกของมุฮัมมัด  ซ.ล. ก็รู้ว่าแท้จริงข้าพเจ้า มีความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์ของอัลลอฮ์มากที่สุด และถ้าหากข้าพเจ้ารู้ว่ามีคนใดที่มีความรู้ยิ่งกว่า ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องเดินทางไปหาเขา ซะกีกได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้นั่งร่วมกับบรรดาอัครสาวกของมุฮัมมัด  ซ.ล. ข้าพเจ้าไม่ได้ยินผู้ใดปฏิเสธและตำหนิเขาที่กล่าวเช่นนั้น

รายงาน หะดีษทั้งสามนี้โคยมุสลิม

และเล่าจาก (อับดิลลาห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงปฏิบ้ติตาม สองคนที่อยู่ภายหลัง ข้าพเจ้าจากบรรดาอัครสาวกของข้าพเจ้า คืออะบุบักร์และอุมัร และท่าน ทั้งหลายจงรับทางนำด้วยทางนำของอัมมารและท่านทั้งหลายจงยึดเอาแนวทางของ บิน มัสอูด[335]

เล่าจากอะลี  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถ้าหากข้าพเจ้าจะแต่งตั้งผู้ใดโดยไม่ ต้องปรึกษาหารือกันแล้ว ข้าพเจ้าจะแต่งตั้งให้ริบนุอุมมิอับด์ เป็นผู้นำของพวกเขา[336] รา!งาน หะด Uทั้ง1สองโดยตรมข

ความประเสริฐของ ชาสิมทาสของอะบีธุซัยฟะห์ อิลฟาริชึ  ร.ฎ.[337] เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บินอัมร์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจง ขอให้สีคนนี้สอนพระคัมภีร์อัลกุรอาน คือ อิบนิมัสอูด ชาลิมทาสของอะบีฮุซัยฟะห์ อุไบย์ บิน กะอับ และมุ!ทช บินยะทั้ล รายงานโดยบุคอร มุสลิม

ความประเสริฐของอัมมาร บุฅร ยาซิร  ร.ฎ.[338]

เล่าจากอะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อัมมารได้มาขออนุญาตเข้าพบท่านนบี  ซ.ล. ท่านได้ กล่าวว่าท่านทั้งหลายจงอนุญาตให้เขา ยินดีต้อนรับผู้บริสุทธิ์ ที่ถูกทำให้บริสุทธิ์

รายงานโดย ติรมิซี ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า จงรับข่าวดี โอ้อัมมาร พวกที่ละเมิดจะสังหารท่าน[339] 

รายงานโดยมุสลิม และติรมีซี

เล่าจากอาริซะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัมมารไปได้ถูกใช้ให้เลือกเอา ระหว่างงานสองชิ้น นอกจากเขาจะต้องเลือกเอางานชิ้นที่ถูกต้องที่สุดจากงานสองชิ้นนั้น

รายงาน โดยติรมิซี และอิบนุมายะห์

ความประเสริฐของอัมร์ บิน อาส  ร.ฎ.[340]

เล่าจากอุกบะห์ บินอามิร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าประชาชนได้เข้านับ ถือศาสนาอิสลาม[341] ส่วนอัมร์ บิน อาสนั้นมีศรัทธา

เล่าจากตอลฮะห์ บินอุไบดิลลาห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัมร์ บิน อาสนั้น เป็นคนดีคนหนึ่งจากเผ่ากุเรช[342] 

รานงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

เล่าจากอัมร์ บิน อาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้แต่งตั้ง ข้าพเจ้าให้เป็นผู้นำกองทหารในศึก “ซาติซซะลาซิล”[343] หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้มาหาท่านแล้ว กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ มนุษย์คนใดที่ท่านรักมากที่สุด ท่านตอบว่า อาอิชะห์ ข้าพเจ้า ถามว่า จากบรรดาผู้ชาย ท่านตอบว่า บิดาของอาอิชะห์ รายงานโดยติรมีซี ในเรื่องความประเสริฐ ของอาอิชะห์ และรายงานโดยบุคอรีในสงคราม “ซาติซซะลาซิล” และได้รายงานเพิ่มเติมว่า ข้าพเจ้าได้ถามว่า หลังจากนั้นเป็นใคร ท่านตอบว่า อุมัร ต่อมาท่านได้นับผู้ชายอีกหลายคน หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้หยุดนิ่งเพราะกลัวว่าท่านจะนับข้าพเจ้าไว้เป็นอันดับหลังสุดของพวกนั้น

เล่าจากอิบนิ ซะมาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้มาหาอัมร์ บิน อาส ขณะที่เขา ใกล้จะตาย เขาได้ร้องไห้เป็นเวลานาน และได้หันหน้าเข้าหาฝาผนัง บุตรชายของเขาจึงได้กล่าว ขึ้นว่า โอ้ บิดาที่รัก ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้แจ้งข่าวดีแก่ท่านแล้วว่าจะได้รับอย่างนั้น ได้แจ้งข่าวดีแก่ท่านแล้วว่าจะได้รับอย่างนื้ ผู้เล่าได้กล่าวว่า เขาได้หันหน้ามาพร้อมกับกล่าวว่า แท้จริงที่ประเสริฐที่สุดของสิ่งที่เราเตรียมเอาไว้ก็คือ การปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าที่แท้จริงนอกจากอัลลอฮ์และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นทูตประกาศศาสนาของอัลลอฮ์ ความจริงข้าพเจ้า อยู่บนสภาพการทั้งสามที่ข้าพเจ้าได้พบตัวเองโดยไม่มีใครที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. จะโกรธ ยิ่งกว่าข้าพเจ้าและถ้าหากข้าพเจ้าเสียชีวิตในสภาพนั้น ข้าพเจ้าก็จะต้องเป็นชาวนรก และเมื่อพระองค์อัลลอฮ์ได้ดลบันดาลให้ศาสนาอิสลามอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้มาหาท่าน นบี  ซ.ล. แล้วข้าพเจ้าได้กล่าวว่า จงแบมือของท่าน ข้าพเจ้าจะให้สัตยาบันแก่ท่าน ท่านนบี ได้แบมือขวาของท่าน จากนั้นข้าพเจ้าได้จับมือของข้าพเจ้าเอง ท่านได้กล่าวว่า เกิดอะไรแก่ท่าน โอ้อัมร์ ข้าพเจ้ากล่าวว่า ข้าพเจ้าต้องการตั้งเงื่อนไข ท่านกล่าวว่า ท่านจะตั้งเงื่อนไขว่าอย่างไร ข้าพเจ้ากล่าวว่า เงื่อนไขคือท่านจะต้องขออภัยโทษให้แก่ข้าพเจ้า ท่านได้กล่าวว่า ท่านไม่ทราบ หรือว่า แท้จริงอิสลามจะทำลายความผิดที่มือยู่ก่อนอิสลาม และแท้จริงการอพยพนั้นจะทำ ลายความผิดที่มีอยู่ก่อนการอพยพนั้น และแท้จริงการทำฮัจญ์ จะทำลายความผิดที่มือยู่ก่อนทำการฮัจย์นั้น และไม่มีผู้ใดที่ข้าพเจ้าจะรักยิ่งกว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. และไม่มีผู้ใดยิ่งใหญ่ ในสายตาของข้าพเจ้ายิ่งกว่าท่าน และข้าพเจ้าไม่สามารถบรรจุท่านให้เต็มดวงตาทั้งสองของ ข้าพเจ้าได้ เป็นการให้เกียรติแก่ท่าน และถ้าหากข้าพเจ้าถูกขอร้องให้พรรณาลักษณะของท่าน ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถ เพราะข้าพเจ้าไม่สามารถบรรจุท่านให้เต็มดวงตาทั้งสองข้างของข้าพเจ้าได้ และถ้าหากข้าพเจ้าต้องเสียชีวิตลงในสภาพอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็หวังว่าข้าพเจ้าจะเป็นชาวสวรรค์ หลังจากนั้นเราได้ทำหน้าที่หลายอย่างด้วยกันโดยข้าพเจ้าไม่ทราบว่าข้าพเจ้าจะมีสภาพเป็นเช่นไร ในสิ่งเหล่านั้น ดังนั้นเมื่อข้าพเจ้าเสียชีวิตลง อย่าให้หญิงที่รำพันและไฟไปพร้อมกับข้าพเจ้า[344] และเมื่อท่านทั้งหลายได้ฝังศพของข้าพเจ้าแล้ว จงเอาดินถมลงไปบนข้าพเจ้าอย่างจริงจ้ง หลัง จากนั้นให้พวกท่านอยู่รอบๆ หลุมศพของข้าพเจ้าชั่วขนาดเชือดอูฐและแบ่งเนื้อของมัน เพื่อข้าพเจ้าจะได้เอาพวกท่านเป็นเพื่อน และเพื่อจะใคร่ครวญดูว่าข้าพเจ้าจะตอบแก่ทูตของพระผู้ เป็นเจ้าของข้าพเจ้าอย่างไร 

รายงานโคยมุสลิมในเรื่องการศรัทธา

ความประเสริฐของคอลิด บิน วะลีด เผ่ากุเรซ  ร.ฎ.[345] 653

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้แจ้งข่าวการเสียชีวิตของเซด ยะอฺฟัร และริบนุรอวาฮะห์ [346] แก่ประชาชนก่อนที่ข่าวของพวกเขาจะมาถึงประชาชน ท่านได้กล่าวว่า เซดได้ถือธง แล้วเขาก็ถูกสังหาร จากนั้น ยะอฺฟัร ได้ถือธงและเขาก็ถูกสังหาร ต่อมาอิบนุรอวาฮะห์ ได้ถือธงและเขาก็ถูกสังหาร โดยดวงตาทั้งสองข้างของท่านมีนํ้าตาเอ่อนอง จนกระทั้ง ดาบ หนึ่งจากบรรดาดาบของพระองค์อัลลอฮ์ได้ถือธง จนในที่สุดพระองค์อัลลอฮ์ได้มอบชัยชนะให้ แก่พวกเขา 

รายงานโดยบุคอรี (และต่อไปจะนำมากล่าวในสงคราม มุอฺตะห์ ถ้าหากพระองค์ อัลลอฮ์ต้องการ)

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ลงพักในที่พักแห่งหนึ่งพร้อมกับ ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล.ประชาชนได้เริ่มพากันเดินผ่านมา ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล.กล่าว ว่า ชายผู้นื้คือใครโอ้อะบุ ฮุรอยเราะห์ ข้าพเจ้าตอบว่าคือคนนั้นคนนื้ (พร้อมกับระบุนาม) ท่านได้บอกว่า บ่าวของอัลลอฮ์ที่ดีคือชายคนนื้ และท่านได้ถามว่า ชายผู้นื้คือใคร ข้าพเจ้าตอบ ว่า คือคนนั้น คนนื้ (พร้อมกับระบุนาม) ท่านกล่าวว่า บ่าวของอัลลอฮ์ที่เลวคือชายคนนื้ จนกระทั้งคอลิด บินวะลีดได้เดินผ่านมา ท่านได้ถามว่า ชายผู้นื้คือใครข้าพเจ้าตอบว่านื้คือ คอลิด บิน วะลีด ท่านได้กล่าวว่าบ่าวของอัลเลาะห์ที่ดีคือคอลิด บิน วะลีด เขาเป็นดาบหนึ่ง จากบรรดาดาบของอัลเลาะห์[347] 

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่หะซัน

ความประเสริฐของมุอาวิยะห์ บิน อะบี ซุฟยาน  ร.ฎ.[348]

เล่าจากอะบี มุไลกะห์  ร.ฎ. ได้มีผู้ถามอิบนิ อับบาสว่า ท่านมีความเห็นอย่างไรในการ กระทำของผู้นำของมวลผู้ศรัทธา มุอาวิยะห์ เพราะความจริงเขาได้ละมาดวิตร์ เพียงหนึ่งรอกาอัต อิบนุอับบาสได้กล่าวว่า เขาทำถูกแล้วความจริงเขาเป็นผู้ที่มีความเข้าใจในศาสนา[349] 

รายงาน โดยบุคอรี

เล่าจากอับดิรเราะห์มาน บิน อะบี อุไมเราะห์  ร.ฎ. ว่าปรากฏว่าเขาเป็นอัครสาวก คนหนึ่งของท่านนบี  ซ.ล. จากท่านรอซูล้ลเลาะห์  ซ.ล. ว่าท่านได้กล่าวแก่มุอาวิยะห์ว่า ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดบันดาลให้เขาเป็นผู้แนะนำ แนวที่ถูกต้อง เป็นผู้ถูกแนะแนวทาง ที่ถูกต้อง และได้โปรดให้เขาแนะนำ สู่แนวทางที่ถูกต้อง (แก่บรรดาบ่าวของพระองค์ท่าน)[350] 

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานทิ่หะซัน

ความประเสริฐของอะบีซุฟยาน บิน ฮัรบ์  ร.ฎ.

เล่าจากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มวลมุสลิมทั้งหลายนั้นเคยไม่มองอะบี ซุฟยาน และเคยไม่นั่งรวมกับเขา หลังจากนั้นเขาได้กล่าวแก่ท่านนบีว่า โอ้ท่านนบีของอัลเลาะห์ สามประการนี่ท่านจงมอบมันให้แก่ข้าพเจ้า ท่านนบีตอบว่า ได้ อะบูซุฟยานได้กล่าวว่า ข้าพเจ้า มี (หญิง) อาหรับที่ดีและงดงามยิ่งคือ อุมมุ ฮะบีบะห์ บุตรสาวของอะบีซุฟยาน ข้าพเจ้าจะแต่งงานท่านกับหล่อน ท่านนบีตอบว่าได้ อะบูซุฟยานได้กล่าวว่า และมุอาวิยะห์ ท่านจะ ต้องแต่งตั้งเขาให้เป็นคนเขียนวะฮีย์ ณ เบื้องหน้าท่าน ท่านตอบว่า ได้ อะบูซุฟยานได้กล่าวอีก ว่า และท่านจะต้องแต่งตั้งข้าพเจ้าให้เป็นผู้นำทัพเพื่อข้าพเจ้าจะได้ต่อสู้กับพวกผู้ทรยศ กาเฟร เหมือนที่ข้าพเจ้าเคยต่อสู้กับมวลมุสลิม ท่านตอบว่าได้ซิ อะบูซุไมล์[351] ได้กล่าวว่าความ จริงแม้ว่าเขาไม่ขอสิ่งดังกล่าวต่อท่านนบี  ซ.ล.ท่านก็จะไม่ให้เขา เพราะความจริงท่านไม่ได้ ถูกขอสิ่งใดนอกจากท่านจะกล่าวว่าได้ 

รายงามโดยมุสลิม

จนถึงที่นี่ล้วนแต่เป็นการกล่าวถึงพวกมุฮาญิรีน นอกจากบุคคลสุดท้าย  ร.ฎ. และทั้งหมดที่ได้กล่าวมานับตั้งแต่ อะบูบักร์จนถึงที่นี่ ล้วนแต่เป็นชาวกุเรชทั้งสิ้น นอกจากเซต บิน ฮาริซะห์ กับบุตรของเขาคือ อุซามะห์ บิลาล อิบนุมัสอูด ซาลิมทาสของอะบี ฮุไซฟะห์ และ อัมมาร บิน ยาซีร  ร.ฎ.

ตอนที่ห้า ความประเสริฐของภรรยาท่านนบี  ซ.ล. 655

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า “โอ้หญิงผู้เป็นภรรยาของนบี พวกเธอหาได้มีฐานะเหมือน เช่นบรรดาสตรีทั้งหลายไม่ หากพวกเธอมีความยำเกรงก็อย่าได้ใช้วาจาอ่อนหวาน (กับชายอื่น) ซึ่งจะเป็นเหตุทำให้ชายทิ่มีโรค[352] อยู่ในหัวใจพากันมุ่งหวัง (ในตัวเธอ) และเธอจงใช้วาจาที่ดี และพวกเธอจงประจำอยู่แต่ในเรือนของพวกเธอ[353] และพวกเธออย่าปรากฏตัวอย่างเปิดเผยเหมือนการเปิดเผยในยุคญาฮิลียะห์ที่เป็นยุคเดิม พวกเธอจงทำละหมาด พวกเธอจงบริจาคทานซะกาต และพวกเธอจงภักดีต่ออัลลอฮ์และศาสนาทูตของพระองค์ แน่นอนอัลลอฮ์ ปรารกนาจะขจัดสิ่งโสมม[354] ให้พ้นไปจากพวกท่าน โอ้ครอบครัว (ของนบี) และปรารกนา จะปลดเปลื้องพวกเจ้าให้สะอาดโดยแท้จริง และพวกเธอจงรำลึกถึงสิ่งที่ถูกอ่านอยู่ในบ้านของ พวกเธอจากโองการต่างๆ ของอัลเลาะห์[355] และจากวิทยปัญญาแท้จริงอัลเลาะห์เป็นผู้เวทนา เป็นผู้ทรงรอบรู้” และพระองค์ได้ตรัสว่า “ผู้เป็นนบีย่อมทำประโยชน์ให้แก่บรรดาผู้ศรัทธาได้ดียิ่งกว่าตัวของพวกเขาเอง และบรรดาภรรยาของเขา (นบี) ย่อมมีฐานะเป็นมารดาของพวก เขา[356] (บรรดาผู้ศรัทธา) 

พระองค์อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงมีสัจจะ

ความประเสริฐของท่านหญิงคอดิญะห์ บุตรสาว คุไวลิด  ร.ฎ.[357]

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยหึงหวงบรรดาภรรยาของท่านนบี  ซ.ล.คนใดนอกจากคอดิญะห์ และความจริงข้าพเจ้าไม่ได้พบกับเธอ ได้ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.เมื่อท่านได้เชือดแกะท่านจะกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงส่ง (เนื้อ) ไปให้แก่เพื่อนๆ ของคอดิญะห์ อาอิชะห์ได้เล่าว่า ข้าพเจ้าโกรธท่านนบีในวันหนึ่งข้าพเจ้าจึงได้กล่าวว่าคอดิญะห์หรือ ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล.ได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าถูกประทานให้มีความรักนาง[358] และใน บางรายงานว่า บางครั้งข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ท่านนบีว่า คล้ายกับไม่มีใครในโลกนีนอกจากคอดิญะห์ เท่านั้น ท่านจะกล่าวว่าแท้จริง คอดิญะห์เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น และได้ปรากฏว่าข้าพเจ้ามี บุตรกับนาง และในบางรายงานว่า ข้าพเจ้าไม่เคยหึงท่านนบี  ซ.ล.กับภรรยาคนใดจากภรรยา ของท่าน เหมือนสิ่งที่ข้าพเจ้าหึงคอดิญะห์เพราะท่านได้1กล่าวถึงเธอมาก และข้าพเจ้าก็ไม่เคย เห็นเธอเลย เพราะเธอได้เสียชีวิตไปก่อนที่ท่านจะแต่งงานกับข้าพเจ้าถึงสามปี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ญิบรีลได้มาหาท่านนบี  ซ.ล.แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์ นี่คือคอดิญะห์ได้มาหาท่านพร้อมด้วยภาชนะที่ใส่กับข้าวหรืออาหารหรือ เครื่องดื่ม ดังนั้นเมื่อเธอมาถึงท่าน ให้ท่านจงบอกสลามแก่เธอ (เป็นสลาม) ทิ่มาจากพระ ผู้อภิบาลของเธอที่ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร และจากข้าพเจ้าและจงแจ้งข่าวดีแก่เธอถึงบ้านหลัง หนึ่งในสวรรค์สร้างจากไข่มุกที่ถูกร้อยเป็นพวงด้วยเพชร โดยไม่มีเสียงครำครวญและไม่มีความ เหน็ดเหนื่อยในบ้านหลังนั้น

เล่าจากอะลี  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.กล่าวว่า ผู้หญิง ที่ดีที่สุดในโลกนื้ คือมัรยัมบุตรสาวอิมรอน และผู้หญิงที่[359] ดีที่สุดในโลกนื้คือ คอดิญะห์ บุตรสาว คุไวลิด[360] 

รายงามหะดีษทั้งสามโดยบุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฮาละห์ บุตรสาวคุไวลิด น้องสาวของคอดิญะห์ ได้ ขออนุญาตเข้าพบท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล.ท่านรู้สึกเหมือนการขออนุญาตของคอดิญะห์ และ ทำให้ท่านนึกถึง แต่ท่านรู้สึกตกใจกับการดังกล่าวถึงกับอุทานว่า ข้าแต่พระองค์อัลเลาะห์ หล่อน คือ ฮาละห์ บุตรสาวคุไวลิด[361] ข้าพเจ้าจึงเกิดอาการหึงหวง แล้วข้าพเจ้าก็กล่าวว่า สิ่งที่ท่าน กำลังคิดถึงนั้นคือหญิงชราคนหนีงจากบรรดาหญิงชราของเผ่ากุเรช ที่มีมุมปากแดงทั้งสอง ข้าง[362] ซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว และพระองค์อัลลอฮ์ได้เปลี่ยนให้ท่านดีกว่าหญิงชรานั้น[363] 

รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เพียงพอสำหรับ ท่านแล้วจาก ผู้หญิงทั้งโลกนี้ คือ มัรยัมบุตรสาวอิมรอน และคอดิญะห์ บุตรสาวคุไวลิด และฟาติมะห์ บิน สาวมุฮัมมัด และอาสิยะห์ ภรรยาของฟิรเอาน[364] 

รายงานโดยดิรมิซี น่าซาอี และฮากิม

ความประเสริฐของท่านหญิงอาอิชะห์ บุตรสาวอะบูบักร์  ร.ฎ. 657

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. จากท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ฝันเห็น เธอสามคืน โดยมีมะลาอิกะห์ นำเธอมาหาข้าพเจ้าอยู่ในผ้าไหมชนิดดีผืนหนึ่ง[365] พร้อมกับ กล่าวว่านีคือภรรยาของท่าน ข้าพเจ้าจึงได้เปิดหน้าเธอบังเอิญก็คือเธอ ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวว่า ถ้าหากสิ่งนี่มาจากพระองค์อัลลอฮ์แล้ว ขอพระองค์จงให้มันเป็นไปเถิด รายงานโดยบุคอรี มุสลิมและติรมีซี ตัวบทของติรมีซีว่า ญิบรีลได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. พร้อมด้วยรูปของอาอิชะห์ ห่ออยู่ในผ้าไหมสีเขียวผืนหนึ่ง แล้วญิบรีลได้กล่าวว่า แท้จริงนี่คือภรรยาของท่านในโลกนี้และโลกหน้า

และอุรวะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า คอดิญะห์ ได้เสียชีวิตก่อนที่ท่านนบี  ซ.ล.จะอพยพ สามปีและท่านนบีได้พำนักอยู่ เป็นเวลาสองปีหรือใกล้เคียงกันนั้น[366] และท่านได้แต่งงานกับ อาอิชะห์ ซึ่งขณะนั้นมือายุหกปี ก่อนการอพยพ หลังจากนั้นท่านได้ร่วมกับอาอิชะห์ในเดือน เชาวาล ขณะนั้นมีอายุเก้าปี หลังการอพยพ

รายงานโดยบุคอรี

และเล่าจาก อาอิชะห์ ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้แต่งงานกับข้าพเจ้า ขณะ นั้นข้าพเจ้าอายุหกขวบ จากนั้นพวกเราได้มายังนครมะดีนะห์ พวกเราได้ลงพักกับตระกูล บะนี อัลฮาริษ บิน คอซรอจ[367] ต่อมาข้าพเจ้าป่วยเป็นไข้ตัวร้อน และผมของข้าพเจ้าแตกเป็น กระเซิง และยาวลงมาถึงบ่า จากนั้นมารดาของข้าพเจ้า อุมมุ รูมานได้มาหาข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังอยู่ในเปลโดยมีเพื่อนๆ ของข้าพเจ้าอยู่ด้วย[368] มารดาได้ส่งเสียงเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึง ได้ไปหามารดา โดยข้าพเจ้าไม่รู้ว่ามารดาต้องการทำอะไรข้าพเจ้า จากนั้นมารดาได้จับมือข้าพเจ้าจน กระทั่งได้นำข้าพเจ้ามาหยุดอยู่ที่ประตูบ้านหลังหนึ่ง[369] และข้าพเจ้ากำลังหอบจนกระทั่งใจ ของข้าพเจ้าสงบแล้ว มารดาได้นำนํ้ามาลูบหน้าและศีรษะข้าพเจ้า หลังจากนั้นได้นำข้าพเจ้า เข้าไปในบ้านหลังนั้น และได้พบว่าภายในบ้านมีผู้หญิงชาวอันซอรอยู่หลายคน พวกหล่อนได้ กล่าวต้อนรับบนความดีและความมีมงคล และบนความโชคดี มารดาได้มอบตัวข้าพเจ้าให้พวก หล่อน จากนั้นพวกผู้หญิงเหล่านั้นได้จัดแจงทำให้สภาพของข้าพเจ้าดีขึ้น และไม่มีใครทำให้ ข้าพเจ้าตกใจกลัวนอกจากท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ในตอนสาย พวกเธอเหล่านั้นได้มอบตัว ข้าพเจ้าให้แก่ท่าน ข้าพเจ้าในวันนั้นมือายุเก้าขวบ[370] 

รายงานโดยมุคอรี

และเล่าจาก อาอิชะห์ ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า โอ้อาอิชะห์ นี่คือญิบรีลได้บอกสลามแก่เธอ ข้าพเจ้าได้ตอบว่า ขอความสันติสุขความเมตตาของอัลลอฮ์ และความเพิ่มพูนของพระองค์จงประสบแก่เขา โอ้ท่านเราะซูลุลลอห์ท่านแลเห็นสิ่งที่ข้าพเจ้า แลไม่เห็น

เล่าจากอะบี มูซา  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.ได้กล่าวว่า ที่สมบูรณ์จากพวกผู้ชายนั้น มีมากและไม่มีใครสมบูรณ์จากพวกผู้หญิงนอกจากมัรยัม บุตรสาวอิมรอน และอาสิยะห์ ภรรยา ของฟิรเอาน์และความประเสริฐของอาอิชะห์เหนือผู้หญิงทั้งหลายนั้นดุจตัง ซะรีด[371] ที่มีความ ประเสริฐกว่าอาหารทั้งหมด 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้ปรากฏว่าประชาชนคอยระวังพร้อมด้วยของขวัญ ของพวกตน (ที่จะนำไปมอบให้ท่านนบี) ในวันที่เป็นเวรของอาอิชะห์ บรรดาเพื่อนๆ ที่เป็น ภรรยาด้วยกันกับข้าพเจ้าได้นัดชุมนุมกันที่ อุมม ซะละมะห์ พวกเธอเหล่านั้นได้กล่าวว่า โอ้ อุมมุ ซะละมะห์ สาบานต่ออัลลอฮ์ว่าแท้จริงประชาชนคอยระวังพร้อมด้วยของขวัญของ พวกตน ในวันที่เป็นเวรของอาอิชะห์ และความจริงพวกเรามีปรารถนาความดี เช่นเดียวกับ อาอิชะห์ปรารถนา ดังนั้นเธอจงให้ท่านนบีให้ออกคำสั่งแก่ประชาชนให้นำของขวัญมามอบโดย ไม่คำนึงว่าท่านจะอยู่ที่ (ภรรยาคน) ใด อุมมุ ซะละมะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้บอกเรื่องนี้ แก่ท่านนบี  ซ.ล.ท่านได้เบือนหน้าหนีจากข้าพเจ้า และเมื่อท่านได้กลับมาเป็นครั้งที่สองข้าพเจ้า ได้บอกเรื่องนี้แก่ท่านนบีอีก ท่านก็เบือนหน้าหนีจากข้าพเจ้า และเมื่อท่านได้กลับมาเป็นครั้ง ที่สาม ข้าพเจ้าได้บอกแท่ท่านอีก ท่านได้กล่าวอีกว่า โอ้ อุมมุ ซะละมะห์ เธออย่าทำให้ฉัน เป็นทุกข์ในเรื่องของอาอิชะห์เลย เพราะความจริงสาบานต่ออัลลอฮ์ว่าไม่เคยมีวะฮีย์ได้ลงมา เหนือข้าพเจ้าในขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในที่นอนของใครคนใดคนหนึ่งจากพวกเธอ นอกจากอาอิชะห์ เท่านั้น 

รายงายโดยบุคอรี และติรมิซี

และเล่าจาก อาอิชะห์ ได้กล่าวว่า ขณะที่ท่านนบี  ซ.ล.อยู่ในอาการป่วยของท่าน ท่านได้เริ่มเปลี่ยนเวรไปอยู่กับบรรดาภรรยาของท่าน โดยท่านจะกล่าวว่า พรุ่งนี้ข้าพเจ้า จะไปอยู่ที่ไหน พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะไปอยู่ที่ไหน ท่านต้องการจะไปอยู่ที่บ้านของอาอิชะห์ ดังนั้น เมื่อเป็นวันของข้าพเจ้าท่านก็จะเงียบ (ไม่ถาม) 

รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม ตัวบทของมุสลิม ว่า ปรากฏว่าท่านนบีจะสอดส่องคอยวันของข้าพเจ้า โดยท่านจะถามว่า วันนี้ข้าพเจ้าจะไปอยู่ ที่ไหน พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะไปอยู่ที่ไหน เป็นการแสดงให้เห็นว่า ล่าช้ากว่าจะถึงวันของอาอิชะห์ และเมื่อถึงวันของข้าพเจ้าพระองค์อัลลอฮ์ก็ได้เก็บชีวิตท่านในสภาพที่ท่านอยู่ระหว่างหน้าอก กับต้นคอของข้าพเจ้า[372]

และเล่าจาก อาอิชะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ากำลังเล่นตุ๊กตาที่เป็นรูปเด็กผู้หญิงอยู่ กับท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. และได้ปรากฏเพื่อนๆ ที่เป็นภรรยาร่วมกับข้าพเจ้า ได้มาหาข้าพเจ้า โดยพวกเธอเหล่านั้นได้คลุมหน้าเนื่องจากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.[373] และท่านได้ออกคำสั่ง ให้พวกเธอออกไป เพื่ออยู่กับข้าพเจ้า

และเล่าจาก อาอิชะห์ ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้า ว่า แท้จริงฉันรู้ดี เมื่อเธอพอใจในตัวฉัน และเมื่อเธอโกรธเคืองฉัน ข้าพเจ้าได้ถามว่า ท่านรู้จัก อย่างนั้นได้จากที่ไหน            ท่านตอบว่า เมื่อเธอพอใจในตัวฉัน เธอจะกล่าวว่า ไม่ สาบานต่อพระผู้อภิบาลของมุฮัมมัด และเมื่อเธอ โกรธเคืองฉันเธอจะกล่าวว่า ไม่ สาบานต่อพระผู้ อภิบาลของอิบรอฮีม ข้าพเจ้าตอบว่า ถูกแล้วสาบานต่ออัลลอฮ์ โอ้ ท่านเราะซูลุลลอห์ ข้าพเจ้า ไม่ทิ้งนอกจากนามของท่าน[374] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม

เล่าจากอะบี มูซา  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ไม่มีหะดีษใดทิ่ทำให้พวกเราอัครสาวกของท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. เกิดความสงสัย และพวกเราได้ใปถามอาอิชะห์นอกจากพวกเราจะพบว่า เธอมีความรู้เกี่ยวกับหะดีษนั้น 

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

ความประเสริฐของเซาดะห์ บุตร สาว ซัมอะห์ ร.ฎ. 660

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นผู้หญิงคนใดที่ข้าพเจ้ารักที่สุดที่จะ ดำเนินตามแบบฉบับของหล่อนยิ่งกว่าเซาดะห์ เมื่อเซาดะห์ เข้าสู่วัยชราเธอได้กล่าวว่า โอท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้ายกเวรของข้าพเจ้าที่จะได้จากท่านให้แก่อาอิชะห์ และได้ปรากฏว่าท่าน เราะซูลุลลอฮ์ได้แบ่งเวรให้แก่อาอิชะห์ สองวัน คือวันของอาอิชะห์และวันของเซาดะห์ 

รายงานโดยมุคอรี และมุสลิม

ความประเสริฐของอุมบุ ซะละมะห์  ร.ฎ.[375]

เล่าจากซัลมาน  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านอย่าเป็นคนแรกที่เข้าไปในตลาด[376] ถ้าหากท่าน สามารถและอย่าเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากตลาด เพราะแท้จริงตลาดนั้นเป็นสมรภูมิของชัยฏอน และมันได้ตั้งธงรบของมันอยู่ที่ตลาดซัลมานได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้รับการบอกเล่าว่าแท้จริงญิบรีล อ.ล. ได้มาหานบีของอัลลอฮ์  ซ.ล. ขณะที่อุมมุซะละมะห์อยู่กับท่าน ต่อมาญิบรีล อ.ล. ได้เริ่มพูด จากนั้นได้ลุกขึ้นนบีของอัลลอฮ์ได้กล่าวแก่อุมมุชะละมาะห์ว่า ผู้นี้เป็นใครหรือพูดคล้ายกันนี้ อุมุ ซะละมะห์ได้กล่าวว่านี้คือ เดียะห์ยะห์ อัลกัลบีย์ อุมมุ ซะละมะห์ ได้ กล่าวว่า สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าเป็นใครนอกจากต้องเป็นเขา[377] จนกระทั่ง ข้าพเจ้าได้ยิน คำปราศรัยจากนบีของอัลเลาะห์ที่เล่าเรื่องราวของเขา หรือได้พูดคล้ายกันนี้ ต่อมาข้าพเจ้าได้กล่าวแก่อะบี อุสมานว่า ท่านได้ยินเรื่องนี้จากใคร เขาตอบว่า จากอุซามะห์ บิน เซด 

รายงานโดยมุสลิม และหะดีษ ที่ว่าด้วยการแต่งงานของอุมมุ ฮะบีบะห์ กับท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องสินสอด จากภาคการแต่งงาน

ความประเสริฐของซัยนับ บุตรสาว ญัวฮ์ช  ร.ฎ.

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า ต่อมาเมื่อเซต ได้สมประสงค์แล้ว จากภรรยาของเขา ด้วย การหย่าขาด และเราได้สมรสท่านกับนาง[378]

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ที่จะติดตาม ข้าพเจ้าไปอย่างกระนั้นขัดจากพวกเธอนั้น คือคนที่มือยาวที่สุด ในหมู่พวกเธอ[379] อาอีชะห์ได้ กล่าวว่า พวกเธอเหล่านั้นต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันว่า พวกเธอคนใดที่มือยาวที่สุด และได้ปรากฏ คนที่มือยาวที่สุดของพวกเราคือ ไซหนับ เพราะเธอทำงานด้วยมือของเธอเองและได้บริจาคทาน

รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม

ความประเสริฐของซอฟิยะห์ บุตรสาวฮุยัย  ร.ฎ.[380]

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ซอฟิยะห์ได้ทราบข่าวว่า ฮัฟเซาะห์ กล่าวว่าตัวเธอ เป็นลูกสาวของชาวยิว เธอได้ร้องไห้ ต่อมาท่านนบี  ซ.ล. ได้เข้ามาหาเธอขณะที่เธอกำลังร้องไห้ ท่านถามว่า อะไรที่ทำให้เธอร้องไห้ ซอฟิยะห์ ตอบว่า ฮัฟเซาะห์ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นถูกสาว ของชาวยิว ท่านนบีจึงกล่าวว่า แท้จริงเธอเป็นบุตรสาวของนบี และที่แท้จริงลุงของเธอก็เป็น นบี และความจริงเธอยังเป็นภรรยาของนบีอีกด้วย[381] ตังนั้นในสิ่งใด ที่ฮัฟเซาะห์จะโอ้อวด เหนือเธอ ต่อมาท่านได้กล่าวว่าจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์โอ้ฮัฟเซาะห์และในบางรายงานว่า ข้าพเจ้า ได้ข่าวจากฮัฟเซาะห์และอาอิชะห์ว่า ความจริงพวกเขาได้กล่าวว่า พวกเราเป็นความประเสริฐ แก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ยิ่งกว่าซอฟิยะห์ พวกเราเป็นภรรยาของท่าน เป็นบุตรสาวลุง ของท่าน ต่อมาท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้เข้ามาหาข้าพเจ้าและข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องนั้นให้ท่าน ทราบ ท่านได้กล่าวว่าเธอไม่ได้พูดหรือว่า สองคนนั้นจะดีกว่าข้าพเจ้าอย่างไร โดยที่สามีของ ข้าพเจ้าคือ มุฮัมมัด บิดาของข้าพเจ้าคือ ฮารุน และลุงของข้าพเจ้าคือมูซา 

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหะห์

ที่กล่าวมาจนถึงนี่เป็นภรรยาของท่านนบี ซ.ล. ส่วนหนึ่งคือ ฮัฟเซาะห์ บุตรสาว อุมัร  ร.ฎ. และทั้งหมดเป็นชาวกุเรซ และเป็นผู้ที่อพยพนอกจากซอฟิยะห์ ร.ฎ. และนอกจาก คอดิญะห์ เพราะเธอได้เสียชีวิตก่อนการอพยพ และขอพระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดเมตตาเธอ และยินดีในตัวเธอ แต่เธอก็เป็นคนหนึ่งจากชาวกุเรซที่ยิ่งใหญ่ดังได้กล่าวมาแล้ว

ความประเสริฐของ อุมมุ ไอมัน ทาสหญิงของท่านนบี  ซ.ล.[382]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ใปหาอุมมุ ไอมัน และข้าพเจ้าได้ ไปกับท่านด้วย ต่อมา อุมมุ ไอมัน ได้นำภาชนะใบหนึ่งมาให้ท่านในภาชนะใบนั้นมีเครื่องดื่ม บรรจุอยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่ามันตรงทับที่ท่านถือศีลอดอยู่หรือ ท่านไม่ต้องการมัน อุมมุไอมัน ได้ชื้นเสียงและดุท่าน[383]

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า อะบูบักร์ได้กล่าวแก่อุมัร  ร.ฎ. หลังจากท่านนบี  ซ.ล. ได้เสียชีวิตไปแล้วว่า จงไปหาอุมมุ ไอมันพร้อมกับพวกเรา เพื่อเยี่ยมเธอเหมือนที่ท่าน นบี ซ.ล.ได้เยี่ยมเธอ เมื่อพวกเราไปถึงเธอ เธอได้ร้องไห้ คนทั้งสองจึงได้กล่าวแก่เธอว่า อะไร ทำให้เธอร้องไห้ สิ่งทิ่มี ณ พระองส์อัลลอฮ์นั้นเป็นความดีแก่ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. เธอ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ร้องเพราะไม่รู้เรื่องดังกล่าว แต่ที่ข้าพเจ้าร้องไห้เพราะแท้จริง วะฮีย์ นั้นได้ขาดตอนลงแล้วจากฟากฟ้า เธอได้ทำให้คนทั้งสองร้องไห้ เขาทั้งสองก็ได้ร้องไห้พร้อม กับเธอ[384] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม

ความประเสริฐของอุมมุ ซุไลม์  ร.ฎ.[385]

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏกว่าท่านนบี  ซ.ล. ไม่เข้าไปหาคนใดจากบรรดา ผู้หญิงภายหลังภรรยาของท่าน นอกจากเข้าไปหาอุมมุซุไลม์ เพราะความจริงท่านได้เคยเข้าไป หาเธอ[386] ได้มีผู้ถามท่านถึงเรื่องนี้ ท่านตอบว่า แท้จริงข้าพเจ้าสงสารเธอ พีชายของเธอถูก ฆ่าตายขณะที่อยู่ทับข้าพเจ้า
 

และเล่าจากเขา (อะนัส) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เข้าสวรรค์ และ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเดิน ข้าพเจ้าจึงถามว่า ผู้นี้เป็นใคร พวกเขากล่าวว่า ผู้นี้คือ อัลฆุไมซออฺ บุตรสาว มิลฮาน มารดาของอะนัส บิน มาลิก และในบางรายงานว่าสวรรค์ได้ถูกนำมาให้ข้าพเจ้า เห็น ข้าพเจ้าเห็นภรรยาของอะบีตอลฮะห์ ภายหลังข้าพเจ้าได้ยินเสียงเดินอยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้า เขาคือบิลาล นั่นเอง 

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดยมุสลิม

ตอนที่หกความประเสริฐของชาวอันซอร  ร.ฎ.[387]

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และบรรดา(ชาวอันซอร) ผู้ซึ่งพำนักในเมือง(มะดินะห์) และมีความศรัทธาก่อนหน้าพวกเขา (พวกผู้อพยพ) นั้น มีความรัก ต่อผู้ที่อพยพมายังพวกเขา และไม่มีความต้องการ (ผลประโยชน์ใดๆ อยู่ในหัวใจของพวกเขาจากสิ่งที่พวกเขาได้รับและ ได้ให้ความสำคัญแก่พวกผู้อพยพเหนือกว่าตัวของพวกเขาเสียอีก และมาดแม้นว่าพวกเขาจะประสพกับความขัดสนปานใดก็ตาม และผู้ใดก็ตามที่ระงับความละโมภของตัวเองได้ แน่นอน พวกเหล่านั้นเป็นพวกที่มีความสุขอย่างแท้จริง”

เล่าจากอัลบะรออฺ  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ประชาชนชาวอันซอรนั้นจะไมมีใคร รักพวกเขานอกจากผู้มีจิตศรัทธา และจะไม่มีผู้ใดชิงชังพวกเขานอกจากคนหน้าไหว้หลังหลอก  ดังนั้นผู้ใดรักพวกเขา อัลลอฮ์จะรักเขาผู้นั้น และผู้ใดชิงชังพวกเขา อัลลอฮ์จะชิงชังเขาผู้นั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เครื่องหมายของการอีหม่าน คือ รักพวกอันซอรและเครื่องหมายของการหน้าไหว้หลังหลอก คือการชิงชังพวกอันซอร

และเล่าจากเขา (อะนัส) ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้เห็นเด็กๆ และพวกผู้หญิงของ ชาวอันซอร กำลังมุ่งหน้ามาจากงานแต่งงาน ท่านได้ลุกขึ้นยืนตรงพร้อมกับกล่าวว่า ข้าแต่พระ องค์อัลลอฮ์ พวกท่านเป็นผู้ที่ข้าพเจ้ารักที่สุดจากมวลมนุษย์ ท่านได้กล่าวสามครั้ง

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า มีผู้หญิงชาวอันซอรคนหนึ่งมาหาท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ท่านได้อยู่ตามลำฟังกับหญิงคนนั้น[388] และท่านได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของ ข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์แท้จริงพวกท่านเป็นพวกที่ข้าพเจ้ารักที่สุด

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี มุสลิม
 

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงถ้าหากพวกอันซอรเดินอยู่ในทุบเขา หรือทางซอกภูเขาแห่งหนึ่ง แน่นอนข้าพเจ้าจะต้องเดินไปในทุบเขา ของพวกอันซอร และถ้าแม้ว่าไปมีการอพยพแล้ว แน่นอนว่าข้าพเจ้าจะต้องเป็นคนหนึ่งจากพวก อันซอร[389]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

และได้มีผู้ถามอะนัสว่า ร.ฎ. จงบอกข้าพเจ้าเถิดว่า ชื่อพวกอันซอรนั้นพวกท่านเรียกกันเองหรือพระองค์อัลลอฮ์เรียกพวกท่าน อะนัสตอบว่า แต่พระองค์อัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้เรียกพวกเราอย่างนั้น[390]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.ว่า พวกอันซอรได้กล่าวแก่ท่านนบี  ซ.ล. ว่า จงแบ่งสวนอินทผลัมระหว่างเรากับพวกเขา (มุฮาญิรืน) ท่านได้กล่าวว่า ไม่ และได้กล่าวอีกว่า ให้พวก ท่านจ่ายค่าโสหุ้ยให้พวกเราและพวกท่านจะมีส่วนร่วมกับพวกเราในผลอินทผลัม[391] พวกผู้อพยพ(มุฮาญิรีน) ได้กล่าวว่า พวกเราได้ยินแล้วและได้ปฎิบัติตามแล้ว

เล่าจากเซด บิน อัรกอม  ร.ฎ. ว่าพวกอันซอรได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ สำหรับ นบีทุกท่านนั้นมีบริวารและแท้จริงพวกเราได้เป็นบริวารของท่าน ดังนั้นท่านจงวิงวอนต่ออัลลอฮ์ ได้ดลบันดาลให้บริวารของเรานั้นมาจากพวกเรา ท่านนบีไดิวิงวอนตามนั้นโดยได้กล่าวว่า ข้าแต่ พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดบันดาลให้บริวารของพวกเขามาจากพวกเขา[392] 

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี

และเล่าจากเขา (เซต บิน อัรกอม) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ อัลลอฮ์ได้โปรดประทานอภัยให้แก่พวกอันซอรแก่ลูกของพวกอันซอร และแก่หลานของพวกอันซอร 

รายงานโดยมุสลิม และติรมีซี ตัวบทของดิรมีซีว่า เซด บิน อัรกอม  ร.ฎ. ได้เขียนคำปลอบใจให้แก่อะนัส ได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าจะแจ้งข่าวดีแก่ท่านด้วยข่าวดีจากพระองค์ อัลลอฮ์ ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรด อภัยให้แก่พวกอันซอร แก่ถูกๆ ของชาวอันซอร และแก่หลานของชาวอันซอร

และตัวบทของมุสลิม ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ขออภัยให้แก่พวก อันซอร แก่ถูกหลานของชาวอันซอร และแก่ทาสของชาวอันซอร

และตัวบทของติรมีซี  ร.ฎ. ว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดอภัยแก่ชาวอันซอร แก่ถูก ๆ ของชาวอันซอร แก่หลานของชาวอันซอร และแก่พวกผู้หญิงของชาวอันซอร[393]

เล่าจากอะบี อุเซด  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า บ้านที่ดีของชาวอันซอรคือ บ้านของตระกูล นัจยาร ถัดจากนั้นคือตระกูลของอับดิลอัชฮั้ล รองลงไปคือตระกูลฮาริษ บิน คอซรอจ และรองลงไปคือตระกูล ซาอิดะห์ ในบ้านของชาวอันซอรทุกหลังมีความดี สะอัด บิน อุบาดะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นท่านนบี  ซ.ล. นอกจากท่านได้ยกย่องผู้อื่น เหนือพวกเรา ได้มีผู้กล่าวขึ้นว่า ความจริงท่านนบีได้ยกย่องพวกท่านเหนือผู้คนอื่นเป็นจำนวน มาก[394]

และในบางรายงาน สะอัด ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านได้ยกย่องบ้านของ ชาวอันซอร และท่านได้ให้พวกเราอยู่ในอันดับสุดท้าย ท่านนบีได้กล่าวว่า พวกท่านยังไม่พอใจ อีกหรือ ที่พวกท่านก็เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาคนที่ดีๆ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะบูบักร์ กับ อับบาส  ร.ฎ. ได้เดินผ่านที่ประชุม หนึ่งจากบรรดาที่ประชุมของชาวอันซอร ขณะที่พวกเขากำลังร้องไห้ เขาจึงได้ถามพวกเขา พวกเขาตอบว่า พวกเราได้กล่าวถึงที่ประชุมของท่านนบี ซ.ล. ในหมู่พวกเรา[395] ต่อมาเขาได้ เข้าไปหาท่านนบี  ซ.ล. และได้บอกให้ท่านนบีทราบ ท่านนบีจึงออกมา โดยท่านได้พันศีรษะ ของท่านด้วย ริมผ้าคลุมของท่าน จากนั้นท่านไดิขึ้นมิมบัร และท่านไม่ได้ขึ้นมันอีกหลังจากวันนั้น ท่านได้ถวายคำสดุดีแต่พระองค์อัลลอฮ์ และได้เยินยอ พระองค์หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าสั่งเสียพวกท่านทั้งหลายด้วยพวกอันซอรเพราะความจริงพวกเขาคือกระเพาะและคลัง ของข้าพเจ้า[396] และพวกเขาได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาแล้ว และยังเหลืออยู่แต่สิ่งที่จะยังประโยชน์แก่พวกเขา ดังนั้นท่านทั้งหลายจงรับเอาแต่สิ่งที่ดีงามของพวกเขาและจงมองข้ามข้อเสียของพวกเขา

เล่าจากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้ออกมาโดยบนร่างของท่าน มีผ้าห่มที่ท่านใช้มันคลุมไหล่ท่าน และบนร่างของท่านมีผ้าพันศีรษะสีดำ จนกระทั่งท่านได้ นั่งลงบนมิมบัร ท่านได้กล่าวคำสะดุดี พระองค์อัลเลาะห์และได้กวายคำเยินยอแก่พระองค์ หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า อนี่ง โอ้ประชาชนทั้งหลายแท้จริงประชาชนจะมีจำนวนมากขึ้น แต่ พวกอันซอรจะมีน้อยลง จนกระทั่งพวกเขาจะเป็นเกลือที่ผสมอยู่ในอาหาร ดังนั้นผู้ใดจากพวกท่านมีตำแหน่งหน้าที่ในกิจการอันใดที่จะให้โทษแก่คนใดในกิจการนั้นหรือให้คุณแก่คนใดให้เขา จงรับเอาแต่สิ่งที่ของพวกเขา (อันซอร) และให้มองข้ามข้อเสียของพวกเขา

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนปึ  ซ.ล. ได้เรียกชาวอันซอรเข้าไปเพื่อจะจัด สรรประเทศบาห์เรนให้แก่พวกเขา ต่อมาพวกเขาได้กล่าวว่า ไม่ นอกจากท่านจะต้องจัดสรร ให้แก่พี่น้องของเราพวกมุฮาญินรีนเช่นเดี่ยวกัน ท่านได้กล่าวว่า บางที่อาจไม่พอ ดังนั้นให้ท่าน ทั้งหลายจงอดทนจนกว่าท่านทั้งหลายจะพบกับข้าพเจ้า เพราะศวามจริงการเห็นแก่ตัวจะประสบ กับพวกท่าน ภายหลังจากข้าพเจ้า[397] 

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี 

และเล่าจากเขา (อะนัส) ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งจากชาวอันซอรได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้โปรดแต่งตั้งข้าพเจ้าเหมือนที่ท่านได้แต่งตั้งคนนั้นคนนี้ ท่านได้กล่าวว่า ต่อไปพวกท่านจะ ได้พบการเห็นแก่ตัว ภายหลังจากข้าพเจ้า ดังนั้นให้ท่านทั้งหลายจงอดทน จนกว่าท่านทั้งหลาย จะพบกับข้าพเจ้าที่สระนํ้า

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า พวกอันซอรได้กล่าวในวันศึกตอนดัก (สนามเพาะ) ว่า

เราคือผู้ให้คำมั่นต่อมุฮัมมัด ว่าจะต่อสู้ตราบเท่าที่เรามีชีวิตอยู่ตลอดไป ท่านได้ตอบ พวกเขาว่าไม่มีชีวิตที่สุขสบายนอกจากชีวิตในอาคิเราะห์ ดังนั้นจงให้เกียรติแก่ชาวอันซอร และ พวกผู้อพยพ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี 

และติรมิซี จากอะบี ตอลฮะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าว แก่ข้าพเจ้าว่า จงบอกสลามแก่พวกของท่าน เพราะความจริงพวกเขาตามที่ข้าพเจ้ารู้นั้นเป็นพวกที่รักษาตัวและอดทน 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

คุณงามความดีของสะอัด บิน มุอ๊าช หัวหน้าเผ่าเอาส์  ร.ฎ.[398]

เล่าจากอัลบะรออุ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้รับของขวัญเป็นชุด ผ้าไหมบรรดาอัครสาวกของท่านได้ลูบคลำและชอบในความนุ่มของมัน ท่านได้กล่าวว่า พวก ท่านชอบความนุ่มของสิ่งนี่หรีอที่จริงผ้าเข้ดหน้าของสะอัด บิน มุอ๊าซในสวรรค์นั้นดีกว่าและนุ่มกว่านี่

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า บัลลังก์ของพระผู้ทรงเมตตาสั่นสะเทือน[399] เพราะการ ตายของ สะอัด บิน มุอ๊าช และในบางรายงานว่า ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าว ขณะ ที่ศพบนคันหามของสะอัด บินมุอ๊าซ อยู่เบื้องหน้าพวกเขาว่า บัลลังก์ของพระผู้ทรงเมตตาสั่นสะเทือนเพราะศพของเขา 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อศพบนคันหามของสะอัด บิน มุอ๊าช ถูกหามไป พวกหน้าไหว้หลังหลอกได้กล่าวว่า อะไรหนอทำให้ศพนื้เบา ทั้งนี้เพราะสะอัด ได้ตัดสินพวก ยิวตระกูล กุรอยเดาะห์ คำพูดนั้นได้ล่วงไปถึงท่านนบี  ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า แท้จริงมะลาอิกะห์ ได้หามร่างของเขา[400] 

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

เล่าจากอะบี สะอีด  ร.ฎ. ว่ามีประชาชนกลุ่มหนึ่งได้ลงมาโดยการตัดสินของสะอัด บิน มุอ๊าช ต่อมาท่านรอซูลุลเลาะห์ได้ส่งตัวแทนไปหา สะอัด จากนั้นเขาจึงได้ขี่อูฐมา เมื่อเข้ามาใกล้มัสยิด ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงลุกชื้นให้เกียรติแก่คนที่ดีของพวกท่าน หรือหัวหน้าของพวกท่าน จากนั้นท่านได้กล่าวว่า โอ้ สะอัด แท้จริงพวกเขาเหล่านั้นได้ลงมาเพื่อ ให้ท่านตัดสินสะอัดได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าตัดสินในหมู่พวกเขาโดยให้ฆ่านักรบของพวกเขา และให้จับผู้หญิงและเด็กของพวกเขาเป็นเชลย ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านได้ทำการตัดสินตามคำ ตัดสินของอัลลอฮ์ หรือด้วยคำตัดสินของพระผู้เป็นเจ้าผู้มีอำนาจเด็ดขาด[401] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

ความประเสริฐของอุเซด บิน ฮุเดร และอับบาด บิน บิชร์  ร.ฎ.[402]

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ว่า แท้จริง อุเซด บิน ฮุเดร และอับบาด บิน บิชร์ ทั้งสอง ได้คุยกันที่ท่านนบี  ซ.ล. จนล่วงเข้าสู่ช่วงหนึ่งของเวลากลางคืนที่มีดมิด หลังจากนั้นบุคคล ทั้งสองได้ออกมาโดยในมือของคนทั้งสองมีไม้เท้า และไม้เท้าของคนหนึ่งจากทั้งสองได้ส่องแสงสว่าง จนคนทั้งสองสามารกเดินทางไปท่ามกลางแสงสว่างของมัน จนเมื่อถึงทางแยกที่ทั้งสองต้องแยกกัน ไม้เท้าของอีกคนหนึ่งก็ได้ส่องแสงสว่างขึ้น คนทั้งสองจึงได้เดินไปท่ามกลาง แสงสว่างจากไม้เท้าของตน จนได้กลับมาถึงครอบครัวของเขา[403] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ความประเสริฐของสะอัด บิน อุบาดะห์ หัวหน้าเผ่าคอชรอจ  ร.ฎ.

เล่าจากอะบี อุเซด  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า บ้านที่ดีของพวกอันซอรคือ บ้านของตระกูลนัจยาร ถัดจากนั้นคือ ตระกูล อับดิลอัชฮั้ล ถัดจากนั้นคือตระกูล อัลฮาริษ บิน คอซรอจ ถัดจากนั้นคือตระกูลซาอิดะห์ และภายในบ้านของพวกอันซอรทั้งหมดมีความดี สะอัด บิน อุบาดะห์ได้กล่าวขึ้น โดยเขาเป็นผู้ที่เข้าสู่ศาสนาอิสลามแต่เก่าก่อนว่า ข้าพเจ้าเห็น ว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ลือว่า (ผู้อื่น) ประเสริฐเหนือกว่าพวกเรา จึงได้มีผู้กล่าวแก่เขาว่า ความจริงท่านรอซูลได้ลือว่าพวกท่านประเสริฐกว่าประชาชนอีกเป็นจำนวนมาก

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่ากอยส์ บิน สะอัด บิน อุบาดะห์ กับ ท่านนบี  ซ.ล. นั้นอยู่ในตำแหน่งขององค์รักษ์กับกษัตริย์[404]

รายทนโดยติรมิซี ด้วยสายรายที่หะซัน

ความประเสริฐของมุอาซ บิน ยะบั้ล และอุบัยย์ บิน กะอับ และเซต บิน ซาบิต  ร.ฎ.

เล่าจากอับดิลลาห์ บิน อัมร์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจง ขอให้สี่คนนิ้สอนพระคัมภีร์ อัลกุรอาน คือ อิบนุ มัสอูด ซาลิม ทาสของอะบีฮุซัยฟะห์ อุบัยย์ และมุอ๊าช บินยะบัล  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ผู้รวบรวมพระคัมภีร์อัลกุรอานในสมัยท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. มีสี่คนทุกคนเป็นชาวอันซอรได้แก่ มุอ๊าซ บิน ญะบัล อุบัยย์ บิน กะอับ เซด บิน ซาบิต และอะบูเซด กอตาดะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามอะนัสว่า ใครคืออะบุเซด เขาตอบว่า คือคนหนึ่งจากลุงของข้าพเจ้า[405] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะนัส) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ที่ฝ็ความเมตตาต่อประชากร ของข้าพเจ้าจากประชากรของข้าพเจ้าคืออะบุบักร์ และผู้มีความเข้มงวดจากประชากรชองข้าพ!จ้า ในกิจการของอัลลอฮ์ คือ อุมัร และผู้ที่มีความละอายอย่างจริงจังจากประชากรของข้าพเจ้า คือุสมาน     และผู้ทิ่มความเชียวชาญในคัมภีร์ของอัลลอฮ์จากประชากรของข้าพเจ้าคืออุบัยย์ บิน กะอับ และผู้ที่มีความรู้แตกฉานในเรื่องการแบ่งมรดกจากประชากรชองข้าพเจ้า คือ เซต บิน ซาบิต และผู้ที่มีความรู้ดีที่สุดในเรื่อง ฮาลาล และฮารอม จากประชากรของข้าพเจ้าคือ มุอ๊าช บิน ญะบัล

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าสุภาพบุรุษที่ดีคือ อะบู บักร์ สุภาพบุรุษที่ดีคือ อุมัร สุภาพบุรุษที่ดีคือ อะบู อุไบดะห์ สุภาพบุรุษที่ดีคือ อุเซด บิน ฮุเดร สุภาพบุรุษที่ดีคือ ซาบิต บินกอยส์ บิน สีมาส สุภาพบุรุษที่ดีคือ มุอ๊าช บิน ญะบัล และสุภาพบุรุษทื่ดีคือ มุอ๊าช บิน อัมร์ บิน ยะมัวฮ์ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

ความประเสริฐของอะบี ตอลฮะห์  ร.ฎ.[406]

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ในวันสงครามอุฮุด เมื่อปรากฏว่าประชาชนแตก พ่ายออกจากท่านนบี ซ.ล. โดยมีอะบู ตอลฮะห์ อยู่ข้างหน้าท่านนบี  ซ.ล. ปกป้องด้วยโล่ของ เขา และปรากฏว่าอะบู ตอลฮะห์ นั้นเป็นทหารแม่นธนู ที่ง้างคันธนูได้รุนแรง เขาได้ทำคันธนู หักในวันนั้นสองหรือสามคัน และได้มีชายคนหนึ่งผ่านมาพร้อมด้วยชองใส่ลูกธนู ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าเจ้าจงกระจายมันให้แก่อะบีตอลฮะห์ จากนั้นท่านนบี  ซ.ล. ได้ขึ้นไปมองดูพวกนั้น อะบู ตอลฮะห์ กล่าวขึ้นว่า โอ้ นบี ของอัลลอฮ์ด้วยบีดาและมารดาของข้าพเจ้าเป็นค่าไก่ ตัวท่าน อย่าขึ้นไป ถูกธนูจากบรรดาถูกธนูของพวกนั้นจะถูกท่าน อกของข้าพเจ้าจะคุ้มครอง อกของท่าน และความจริงมีดดาบได้หลุดจากมือของอะบี ตอลฮะห์ สองหรืออาจสามครั้ง[407]

รายงานโฅยบุคอรี และมุสลิม

และได้ผ่านมาแล้วถึงการตอบสนองของเขาต่อคำดำรัสของพระองค์ อัลเลาะห์ตาอาลา ที่ว่า ท่านทั้งหลายจะยังไม่ได้รับความดีจนกว่าท่านทั้งหลายจะบริจาค สิ่งที่ท่านทั้งหลายรักเสียก่อน” ในเรื่องการวักฟ์ จากภาคการค้าขายและการเพาะปลูก

ความประเสริฐของยาบิร บิน อับดุลลาห์ อัลอันซอรีย์  ร.ฎ.

เล่าจากยาบีร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้มา(เยี่ยม) ข้าพเจ้าโดย ท่านไม่ได้ขี่ล่อและสัตว์ใดๆ 

และเล่าจากเขา (ยาบีร) ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ขออภัยโทษให้แก่ ข้าพเจ้าในคืนอูฐ ยี่สิบห้าครั้ง[408]

และปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล. ได้ทำดีต่อยาบีรและเมตตาต่อเขา เพราะบิดาของเขาถูก สังหารในวันสงครามอุฮุด และได้ทิ้งบุตรสาวไว้หลายคน และปรากฏว่ายาบีรได้ให้ความคุ้มครอง พวกเธอ และดูแลกิจการของพวกเธอ 

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

ความประเสริฐของอับดุลเลาะห์ บิน อัมร์ บิดาของยาบิร  ร.ฎ.

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า บิดาของข้าพเจ้าถูกฆ่าในวันสงครามอุฮุด และศพของ เขาได้ถูกนำมาในสภาพที่ถูกตัดจมูกและหูทั้งสองข้าง ไว้เบื้องหน้าท่านนบี  ซ.ล. ข้าพเจ้าได้ เปิดผ้าออกจากใบหน้าของเขา และข้าพเจ้าก็ร้องไห้ พวกเขาห้ามข้าพเจ้า ส่วนท่านเราะซูลุลลอฮ์ ไม่ห้ามข้าพเจ้า ฟาติมะห์ บุตรสาวอัมร์ น้าสาวของญาบิรได้มาร้องไห้ที่ศพของเขา ท่านรอซูลุล เลาะห์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า เธอจะร้องไห้ที่ศพเขาหรือไม่ร้องไห้ก็ตาม มะลาอิกะห์จะยังคงให้ ร่มแก่เขาด้วยปีกของมะลาอิกะห์ จนกว่าท่านทั้งหลายจะได้ยกศพของเขาขึ้น 

รายงานโดยมุสลิม

ความประเสริฐของสิมาก บิน คอรอซะห์  ร.ฎ.

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้หยิบดาบขึ้นมาในวันสงคราม อุฮุดแล้วท่านก็กล่าวขึ้นว่า ใครจะรับเอาดาบเล่มนี้จากข้าพเจ้า ประชาชนได้แบมือออก ทุกคน พากันกล่าวว่า ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า ท่านนบีได้กล่าวว่า ใครคือผู้ที่จะรับเอามันไปพร้อมด้วยสิทธิ ของมัน[409] ทุกคนเงียบ สิมาก บินคอรอชะห์(ทิ่มีชื่อเล่นว่า) อะบุ ดุยานะห์ ได้กล่าวขึ้นว่า ข้าพเจ้าจะขอรับมันพร้อมด้วยสิทธิของมัน ผู้เล่าได้กล่าวว่า สิมากได้รับเอาดาบมา และได้ใช้ มันผ่าหัวพวกมุชริกีน(ผู้ตั้งภาคี) 

รายงานโดยมุสลิม

ความประเสริฐของญุไลบีบ  ร.ฎ.

เล่าจากอะบีบัรซะห์  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้ปรากฏอยู่ในสงครามครั้งหนึ่ง ต่อมาพระองค์อัลลอฮ์ได้ประทานทรัพย์สงครามให้แก่ท่าน จากนั้นท่านได้กล่าวแก่บรรดาอัคร สาวกของท่านว่า พวกท่านได้สำรวจตกหล่นใครบ้างไหม พวกเขาตอบว่า ครับ คนนั้น คนนั้น และคนนั้น หลังจากนั้น ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านได้สำรวจตกหล่นใครบ้างไหม พวกเขาตอบว่า ไม่ตกหล่นผู้ใดท่านได้กล่าวว่า แต่ข้าพเจ้าสำรวจไม่พบ ยุไลบีบ พวกท่านจงออกค้นหาเขา เขาถูกค้นหาในท่ามกลางนักรบที่ถูกฆ่าตาย พวกเขาได้พบว่าศพของเขาอยู่เคียงข้างกับศพของศัตรู เจ็ดศพที่เขาได้ฆ่าตายหลังจากนั้นพวกศัตรูก็ได้สังหารเขา ต่อมาท่านนบี  ซ.ล. ได้มาและหยุดยืนอยู่ที่เขา แล้วท่านได้กล่าวว่า เขาได้สังหารเจ็ดศพ หลังจากนั้นพวกเขาได้สังหารเขา ชายผู้ นี้เป็นส่วนหนึ่งของฉัน และฉันเป็นส่วนหนึ่งของเขา ชายผู้นี้เป็นส่วนหนึ่งของฉัน และฉันเป็นส่วนหนึ่งของเขา ผู้เล่าได้กล่าวว่า จากนั้นท่านได้เอาศพของเขาวางลงบนท่อนแขึ้นทั้งสองข้าง ของท่าน โดยไม่มีเตียงสำหรับเขา นอกจากท่อนแขึ้นทั้งสองข้างของท่านนบี  ซ.ล. จนกระทั่ง หลุมได้ถูกขุดขึ้นเพื่อศพของเขา และศพของเขาก็ถูกวางลงในหลุมฝังศพของเขาโดยไม่ได้เอ่ย ถึงการอาบน้ำศพ 

รายงานโดยมุสลิม

ความประเสริฐของอะนัส บิน มาลิก  ร.ฎ. 671

จากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล.ได้เข้ามาหาพวก!รา โดยไม่มีใครนอก จากข้าพเจ้า มารดาของข้าพเจ้า และอุมมุ ฮะรอม น้าสาวของข้าพเจ้า มารดาของข้าพเจ้าได้ กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ นี่คืออะนัส ผู้รับใข้ตัวน้อยๆ ของท่าน ได้โปรดวิงวอนต่ออัลลอฮ์ แก่เขาด้วย อะนัสได้กล่าวว่า ท่านได้วิงวอนขอให้ข้าพเจ้าด้วยทุกๆ ความดี และได้ปรากฏว่า สุดท้ายที่ท่านวิงวอนคือท่านได้กล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดประทานให้ทรัพย์สมบัติ ของเขา และลูกของเขามีมาก และได้โปรดเพิ่มพูนแก่เขาในสิ่งดังกล่าว

รายงานโดยมุสลิม 

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า มารดาของข้าพเจ้าได้นำข้าพเจ้าไปหาท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล.โดยมารดาของข้าพเจ้าได้ใช้ครึ่งหนึ่งจากผ้าคลุมศีรษะของเธอ นุ่งให้ข้าพเจ้า และอีกครึ่งหนึ่งห่มข้าพเจ้า จากนั้นมารดาของข้าพเจ้าได้เ0ยเนว่า โอ้ท่านรอซูลัลเลาะ ห์ นี่คือ อะนัสตัวน้อยๆ บุตรชายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้นำเขามาหาท่าน เพื่อให้รับใช้ท่าน ดังนั้นขอ ท่านได้โปรดวิงวอนต่ออัลลอฮ์ให้แก่เขา ท่านจึงได้กล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรด ประทานให้ทรัพย์สมบัติของเขาและลูกของเขามีมาก และแท้จริงบุตรของข้าพเจ้า และบุตรของบุตร (หลาน) ของข้าพเจ้ามีจำนวนเกือบหนึ่งร้อยคนในวันนั้น

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอห์ได้เดินผ่านมา มารดาของข้าพเจ้า อุมม์ ซุไลม์ ได้ยินเสียงของท่าน แล้วกล่าวว่า ด้วยบิดาและมารดาของข้าพเจ้าเป็นค่าไก่ตัวท่าน โอ้ท่านเราะซูลุลลอห์ นี่คืออะนัสตัวน้อยๆ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้วิงวอนให้แก่ข้าพเจ้า ด้วยสามคำวิงวอน แท้จริงข้าพเจ้าได้เห็นสองคำวิงวอนในโลกนี้ และข้าพเจ้าหวังว่าจะได้พบ กับคำวิงวอนที่สามในโลกอาคิเราะห์[410] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ได้มาหาข้าพเจ้าขณะ ที่ข้าพเจ้ากำลังเล่นอยู่กับเด็กๆ ท่านได้กล่าวสลามแก่พวกเรา และได้ส่งข้าพเจ้าให้ไปทำธุระ อย่างหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงได้กลับไปหามารดาของข้าพเจ้าล่าข้า มารดาจึงได้ถามข้าพเจ้าว่า อะไรหน่วง เหนี่ยวเจ้าไว้ ข้าพเจ้าตอบว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ได้ส่งข้าพเจ้าไปทำธุระ มารดาถาม ข้าพเจ้าว่า ธุรกิจของท่านคืออะไร                                                ข้าพเจ้าตอบว่า มันเป็นความลับ มารดาได้กล่าวว่า เจ้าอย่านำความลับของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ไปบอกแก่ผู้ใด อะนัสได้กล่าวว่า สาบานต่อ อัลเลาะห์ ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้าจะบอกความลับนี้แก่ผู้ใดแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องบอกแก่ท่านโอ้ ซาบิต

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ได้บอกความลับอย่างหนึ่งแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าไม่เคยเปิดเผยแก่ผู้ใดเลยหลังจากนั้น 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยมุสลิม

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า บางครั้งท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า โอ้ผู้ทิ่มีสองหู[411]

เล่าจากชาบิต  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อะนัสได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า โอ้ ซาบิต ท่านจงเอา (ความรู้) ไปจากข้าพเจ้า เพราะความจริงท่านจะไม่ได้เอา (ความรู้) จากผู้ใดที่ไว้วางใจได้ยิ่งกว่าข้าพเจ้า แท้จริงข้าพเจ้าได้เอามันมาจากท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ซึ่งท่านได้เอามันมาจาก ญิบรีล ซึ่งญิบรีลได้เอามาจากอัลเลาะห์ตาอาลา

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

ความประเสริฐของฮุไซฟะห์ บิน ยะมาน  ร.ฎ.

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อได้ปรากฏว่าในวันอุฮุดนั้น พวกมุชริกีน (พวกตั้ง ภาคี) ต้องประสบกับความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับที่เห็นได้ข้ด อิบลีส ได้ส่งเสียงว่า โอ้ปาวของ อัลลอฮ์ กองหลังของพวกท่าน ต่อมากองหน้าของพวกมุชริกีน ได้กลับมาสมทบกับกองหลัง ของพวกเขา และการรบถึงขั้นตะลุมบอนได้เกิดชื่นกับกองหลังของฝ่ายมุสลิมๆ ฮุซัยพ่ะห์ได้ มองไปพบบิดาของเขา[412]จึงได้กล่าวว่า โอ้ปาวของอัลลอฮ์บิดาของข้าพเจ้า บิดาของข้าพเจ้า สาบานต่ออัลลอฮ์ พวกเขาไม่ได้ยั้งมือ จนกระทั่งพวกเขาได้สังหารเขา (บิดาของฮุซัยพ่ะห์) ฮุซัยพ่ะห์ได้กล่าวว่า ขอพระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดอภัยแก่พวกท่าน อุรวะห์ได้กล่าวว่า สาบาน ต่ออัลลอฮ์ร่องรอยแห่งความดีจากสงครามอุฮูด ยังคงอยู่ในตัวฮุซัยพ่ะห์ จนกว่าเขาจะได้พบ กับพระองค์อัลเลาะห์ที่ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากฮุไซฟะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเขาได้กล่าวแก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ว่า หวังว่า ท่านจะแต่งตั้งคอลีฟะห์ไว้ทำหน้าที่แทนท่าน ท่านได้กล่าวว่า ถ้าหากข้าพเจ้าแต่งตั้งคอลีฟะห์ ให้ปกครองพวกท่านแล้วพวกท่านไม่เชื่อฟังเขา พวกท่านก็จะต้องถูกลงโทษ แต่ว่า สิ่งใดที่ ฮุซัยฟะให้ได้บอกแก่พวกท่าน ให้พวกท่านจงเชื่อเขา และสิ่งใดที่อับดุลเลาะห์ได้อ่านให้พวกท่านฟังให้พวกท่านจงอ่านตามเถิด

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

ความประเสริฐของ บะรออ บิน มาลิก  ร.ฎ.

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล.ได้กล่าวว่า มีผู้คนเป็นจำนวน มากทิ่มีผมยุ่งเป็นกระเซิง และร่างกายเต็มไปด้วยฝุ่นสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่มีผู้ใดยำเกรงเขา ถ้าหากเขาสาบานต่ออัลลอฮ์พระองค์จะทำตามคำสาบานของเขา ส่วนหนึ่งจากบุคคลเหล่านั้น คือ บะรออฺ บิน มาลิก[413] 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี  ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

ความประเสริฐของ ฮัซซาน บิน ซาบิต  ร.ฎ.[414]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่าแท้จริงอุมัร ได้เดินผ่านฮัชชาน ขณะกำลังขับลำนำ อยู่ในมัสยิด อุมัรได้ชำเลืองมองไปที่เขา[415] ฮัซชานจึงได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเคยขับลำนำโดยที่ ในมัสยิดนื้มีผู้ที่ดีกว่าท่านร่วมอยู่ด้วย จากนั้นได้หันมายังข้าพเจ้า ต่อมาฮัซซานได้กล่าวว่า ข้าพเจ้า ขอร้องท่านด้วยพระองค์อัลลอฮ์ว่า ท่านได้ยินไหมที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ได้กล่าวว่า (โอ้ ฮัซซาน) เจ้าจงโต้ตอบแทนข้าพเจ้า ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดให้การสนับสนุนเขาด้วย วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ (ญิบรีล) อะบู ฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ ครับ ข้าพเจ้า ได้ยินเช่นนั้น

เล่าจากบะรออฺ  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล.กล่าวแก ฮัชซาน บิน ซาบิตว่า จงประนามพวกมัน หรือจงประจานพวกมันโดยมีญิบรีลอยู่กับท่าน[416]

เล่าจากมัสรูก  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เข้าไปหาอาอิชะห์ และได้พบว่ามีฮัชชาน บิน ซาบิต กำลังขับลำนำอยู่ที่เธอ เป็นลำนำที่สรรเสริญเธอ ด้วยลำนำหลายบทของเขา โดยได้กล่าวว่า หญิงดีที่มีสติสมบูรณ์ ไม่เคยถูกกล่าวหาใด ทั้งเช้าและเย็นกระหายที่จะลิ้มเนื้อมนุษย์[417] ต่อมา อาอิชะห์ได้กล่าวแก่เขาว่า แต่ท่านไม่ได้เป็นเช่นนั้น มัสรูกได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ อาอิชะห์ว่า ทำไมเธอจึงขออนุญาตให้เขาเข้ามาหาเธอ ทั้งที่พระองค์อัลลอฮ์ ได้ตรัสไว้มีใจ ความว่า “และ และผู้ที่ดำเนินการ (กระจาย) ส่วนใหญ่ของข่าวเท็จในหมู่พวกเขานั้น เขาย่อม ได้รับการลงโทษอันใหญ่หลวง” อาอิชะห์ได้กล่าวว่า จะมีการลงโทษใดที่ร้ายแรงยิ่งกว่า อาการตาบอด ความจริงเขาเคยเป็นผู้ที่เคยปกป้องหรือต่อสู้แทนท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.(ในเชิงลำนำ)

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฮัชชานได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอห์ ได้โปรด อนุญาตให้แก่ข้าพเจ้าใน (การประณาม) อะบี ซุฟยาน ท่านได้กล่าวว่า ความเป็นเครือญาติของ ข้าพเจ้ากับเขาเป็นเช่นไรฮัชซานตอบว่า สาบานต่อผู้ซึ่งได้ให้เกียรติท่าน ข้าพเจ้าจะต้องถอนท่านออกจากพวกนั้นดุจดังเส้นผมที่ถูกถอนออกจากแป้งที่ถูกนวดแล้ว ฮัชชาน ได้กล่าวว่า แท้จริงเกียรติอันสูงส่งจากวงศ์วานของฮาซิม อยู่ในลูก ๆ ของ (ฟาติมะห์) บุตรสาว มัคซูม ทั้งที่บิดาของเจ้าเป็นเพียงทาสเท่านั้น[418] จนจบบทลำนำของเขานี้

รายงานหะดีษทั้งสี่นี้โดยมุสลิม

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ว่าแท้จริงท่านรอซูล้ลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้ง หลายจงประนามพวกกุเรช เพราะแท้จริงการประนามนั้นมันเป็นสิ่งร้ายแรงกับกุเรซ ยิ่งกว่า การยิ่งด้วยลูกธนู จากนั้นท่านนบีได้ส่งตัวแทนไปหา อิบนิ รอวาหะห์ แล้วกล่าวว่า จงประนาม พวกเขา (กุเรช) ต่อมาอิบนิ รอวาหะห์ได้ประนามพวกกุเรช แต่ยังไม่เป็นที่พอใจ ท่านจึงได้ ส่งตัวแทนไปหา กะอับ บิน มาลิก ภายหลังได้ส่งไปหา ฮัซซาน บิน ซาบิต เมื่อตัวแทนได้ เข้าไปหาเขา ฮัซซานได้กล่าวว่า ความจริงถึงเวลาแล้วที่พวกท่านจะด้องส่งตัวแทนมาหาสิงโตตัวนี้ที่กำลังกระดิกหาง และแลบลิ้น และได้เริ่มขยับลิ้นโดยกล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งได้แต่งตั้งท่านด้วยสัจธรรม แน่นอนว่าข้าพเจ้าจะต้องสับพวกเขาเหล่านั้นเหมือนสับแผ่นหนังออกเป็น ชิ้น[419] ต่อมาท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านอย่ารีบร้อน เพราะแท้จริงอะบูบักร์รู้จักวงศ์ตระกูลของพวกกุเรชได้ดี และความจริงวงศ์ตระกูลของข้าพเจ้าก็มีอยู่ในพวกกุเรช จนกว่าอะบุบักร์จะได้สรุปวงศ์ตระกูลของข้าพเจ้าให้ท่านได้ทราบ จากนั้น ฮัซซานได้มาหาอะบูบักร์ แล้วกลับไป และได้กล่าวว่า โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์แท้จริงอะบูบักร์ได้สรุปวงศ์ตระกูลของ ท่านให้ข้าพเจ้าได้ทราบแล้ว ขอสาบานต่อผู้ซึ่งได้แต่งตั้งท่านด้วยสัจธรรมว่าแน่นอนข้าพเจ้าจะ ต้องถอนท่านออกจากพวกเขาเหมือนเส้นผม ถูกดึงออกจากแป้งที่กำลังนวด ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล.ได้กล่าวว่า แท้จริงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ (ญิบรีล) จะยังคงให้การสนับสนุนท่านตราบ เท่าที่ท่านยังคงป้องกันอัลลอฮ์ และศาสนาทูตของอัลลอฮ์ ฮัซชาน  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านได้ประนามมุฮัมมัด ดังนั้นข้าพเจ้าจะตอบโต้แทนเขา และการกระทำเข้นนั้นย่อมได้รับผลตอบแทนจากอัลลอฮ์เจ้า ได้ประณามมุฮัมมัด ทั้งที่เป็นคนดี เป็นผู้ที่หันเหสู่สัจธรรม เป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์ สัญญลักษณ์ของเขาคือทำตามสัญญา ความจริงบิดาของข้าฯปู่ของข้าฯ และศักดิ์ศรีของข้าฯ จะปกป้องรักษา ศักดิ์ศรีของมุฮัมมัดจากพวกเจ้า ข้าฯคงขาดลูก ๆ ที่น่ารัก ถ้าหากพวกเจ้าไม่เห็นม้า ที่ทำให้ฝุ่นฟุ้งรอบ ๆ กะดาอุ[420]  ลูก ๆ ของข้าฯ กำลังแข่งกับม้าที่เผ่นทะยาน

โดยมีหอกที่กระหายเลือด พวกเจ้าอยู่ที่บ่าของมัน

ม้าของเราเหงื่อยังคงไหลริน

จนพวกผู้หญิงได้เช็ดตัวมันด้วยผ้าคลุมหน้า

ถ้าแม้ว่าพวกเจ้าปล่อยพวกเรา พวกเราจะได้เข้าทำอุมเราะห์

ชัยชนะจะปรากฏและม่านก็จะเปิดออก[421]

และถ้าแม้ไม่เป็นเช่นนั้น พวกเจ้าจงอดทนวันแห่งสงคราม

ที่พระองค์อัลลอฮ์จะมอบอำนาจให้ในวันนั้นแก่บุคคลที่พระองค์ต้องการ

พระองค์อัลเลาะห์ได้ตรัสว่า ข้าฯ ได้ส่งบ่าวคนหนึ่ง (มุฮัมมัด)

เขาจะพูดแต่สัจธรรม โดยไม่มีการอำพราง

พระองค์อัลลอฮ์ได้ตรัสว่า แท้จริงเราได้ให้ความสะดวกแก่เหล่าทหาร ซึ่งพวกเขาคือ ผู้ช่วยเหลือ หน้าที่ของพวกเขาคือการปะทะ ทุกวันจะต้องประสบกับเขาจากพวก มะอัดด์ (กุเรช)

ด้วยการด่าทอ หรือการทำสงคราม หรือการประณาม

ดังนั้นผู้ใดจากพวกเจ้าที่ด่าประณามศาสนพูตของอัลลอฮ์

จะสรรเสริญและช่วยเหลือเขามีค่าเท่ากัน

ญิบรีลเป็นทูตของอัลลอฮ์ในหมู่พวกเรา

และเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่มีใครเสมอเหมือน[422]

อาอิชะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. กล่าวว่า ฮัชชานได้ประณาม พวกเขา เขาได้ทำให้ (บรรดาผู้มีศรัทธา) พอใจ และตัวเขาเองก็พอใจ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

การสถาปนาความเป็นพี่น้องกันระหว่างพวกอันซอรและมุฮาญิรีน

โดยท่านนบี  ซ.ล.[423]ส่วนหนึ่งจากจำนวนนั้นได้แก่ อะบู ซัรร์ อัลฆิฟารีย์  ร.ฎ.

เล่าจากอับดิรเราะห์มาน บินเอาฟ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อพวกผู้อพยพได้มาถึงนครมะดีนะห์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ได้สถาปนาความเป็นพี่น้องกันระหว่าง อับดิรเราะห์มาน บิน เอาฟ์เ กับสะอัด บิน รอเบียะอฺ ต่อมา สะอัดได้กล่าวแก่ อับดิรเราะห์มานว่า แท้จริง ข้าพเจ้าเป็นชาวอันซอรที่มีทรัพย์สมบัติมากที่สุด ดังนั้นข้าพเจ้าจะแบ่งทรัพย์สมบัติของข้าพเจ้า ออกคนละครึ่งระหว่างข้าพเจ้ากับท่านและข้าพเจ้ามีภรรยาสองคน ท่านจงดูคนใดจากทั้งสองที่ ท่านพอใจ แล้วจงเอ่ยนามของหล่อนแกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะหย่าหล่อน และเมื่อหล่อนหมดกำหนด ที่ต้องกักตัว (อิดดะห์) แล้ว ให้ท่านจงแต่งงานกับหล่อน อับดิรเราะห์มานได้กล่าวว่า ขอพระ องค์อัลลอฮ์ได้โปรดเพิ่มพูนแก่ท่าน ทั้งครอบครัวของท่านและทรัพย์สินของท่าน ตลาดของ พวกท่านอยู่ไหน พวกเขาได้ชี้ทางให้เขาไปยังตลาดของ ยะลูดี(ตระดูลบะนี กอยนุกออุ) อับดรเราะห์มานไม่ได้กลับจากตลาดนอกจากมีสิ่งที่เหลือจากเนยแข็งและเนยมาด้วย ภายหลังอับดรเราะห์มาน ก็ได้ออกไปยังตลาดในตอนเช้า (ทุกวัน) ภายหลังเขาได้เข้ามาในวันหนึ่งมีรอยสีเหลืองติดอยู่ที่ ตัวเขา[424] ท่านนบี  ซ.ล.ได้ถามว่า นี่อะไร เขาตอบว่า ข้าพเจ้าได้แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง จากชาวอันซอร ท่านนบีได้ถามว่า ท่านได้จ่ายให้หล่อนเท่าไร่ เขาตอบว่า นํ้าหนักเท่ากับเม็ด อินทผลัมจากทองคำ ท่านจึงได้กล่าวว่า ท่านจงจัดงานฉลอง (วะลีมะห์) ถึงแม้ด้วยแกะเพียง หนึ่งตัว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอะบี ยุไฮฟะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้สถาปนาความ เป็นพี่น้องกันระหว่าง อะบี อัดดัรดาอุ กับซัลมาน 

รายงานโดยบุคอรี

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้สถาปนาความเป็นพน้อง กันระหว่างอะบี อุไบดะห์ บิน อัลยัรรอห์ กับ อะบี ตอลฮะห์

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้สถาปนาความเป็นพี่น้องกันระหว่างพวกกุเรชกับอันซอร ภายในบ้านของท่านที่นครมะดีนะห์

เล่าจากยุเบร บิน มุตอิม  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.ได้กล่าวว่า ไม่มีเพื่อนร่วมสาบาน ในอิสลาม[425] เพื่อนร่วมสาบานใดที่เกิดขึ้นในสมัยญาฮิลียะห์ อิสลามจะไม่เพิ่มพูนอะไรให้กับ มันนอกจากความรุนแรง 

รายงานหะดีษทั้งสามนี้โดยมุสลิม

ตอนที่เจีดกลุ่มฃองอัครสาวกที่ไม่ใช่พวกกุเรชและอันซอร 676

ส่วนหนึ่งจากจำนวนนั้นได้แก่ อะบูซัรร์ อัลฆิฟารีย์ ร.ฎ.

เล่าจากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อข่าวการที่ท่านนบี  ซ.ล.ถูกแต่งตั้งได้มา ถึงอะบูซัรร์ เขาได้กล่าวแก่น้องชายของเขา[426]ว่า เจ้าจงขึ้นขี่พาหนะไปยังหุบเขานี้ และเจ้าจง นำข่าวของชายคนที่อ้างตนว่าเป็นนบีที่มีข่าวจากฟากฟ้ามายังเขา มาบอกแก่ข้าพเจ้า เจ้าจงฟัง คำพูดของเขา และนำมาบอกข้าฯ น้องชายของเขาได้ออกเดินทางไปจนเข้าสู่นครมักกะห์ และได้ฟังคำพูดของท่านนบี ต่อมาเขาได้เดินทางกลับไปหาอะบี ซัรร์ และได้แจ้งแก่อะบี ซัรร์ว่า ข้าพเจ้า ได้พบว่าเขาใช้ให้มีความประพฤติที่ควรยกย่อง และใช้คำพูดที่ไม่ใช้เป็นโคลงกลอน[427] อะบู ซัรร์ ได้กล่าวว่า เจ้ายังไม่ได้ทำให้ข้าฯ พอใจในสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการ ดังนั้นอะบู ซัรร์จึงได้จัดเตรียม เสบียงและสะพายถุงหนังบรรจุนํ้า จนได้มายังนครมักกะห์ เขาตรงไปยังมัสญิด ตามหาท่าน นบี  ซ.ล.โดยที่เขาเองก็ไม่รู้จักท่าน และไม่ต้องการถามถึงท่าน[428] จนเวลากลางคืนมาถึง เขา ได้ล้มตัวลงนอน และอะลี  ร.ฎ. ได้เห็นเขาและรู้ว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า เมื่ออะบุ ซัรร์ได้เห็น อะลีก็ได้ติดตามอะลีไป[429] โดยที่ต่างคนก็ไม่ได้ถามสิ่งใดๆ จากกันและกัน จนถึงเวลาเช้า จากนั้น เขาก็ได้สะพายลุงนํ้าและเสบียงของเขาไปยังมัสญิด สภาพการณ์ในวันนั้นคงเป็นไปเช่นเดิม และท่านนบี  ซ.ล.ก็ไม่ได้พบเขา จนถึงเวลาเย็น เขาจึงกลับไปยังที่นอนของเขา ต่อมาอะลี ได้เดินผ่านมาทางเขา แล้วกล่าวว่าพึงทราบเถิด ควรที่ท่านสุภาพบุรุษจะรู้จักที่พำนักของเขา อะลีจึงได้ให้เขาลุกขึ้น และนำเขาไปโดยที่ต่างคนก็ไม่ได้ถามสิ่งใดๆ จากกันและกัน จนกระทั่ง ถึงวันที่สามอะลีก็ได้กลับมากระทำเหมือนอย่างเดิม[430] จึงให้เขาลุกขึ้นไปพร้อมกัน หลังจาก นั้นอะลีได้กล่าวว่า ท่านจะไม่บอกแก่ข้าพเจ้าหรือว่าอะไรที่ให้ท่านมา อะบุ ซัรร์จึงกล่าวว่า ถ้าหากท่านจะให้สัญญาณและคำมั่นแก่ข้าพเจ้า ว่าท่านจะแนะนำาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะบอกให้ ท่านทราบ อะลีจึงได้ให้สัญญา อะบู ซัรร์ได้แจ้งให้อะลีทราบถึงสาเหตุที่เขามา อะลีได้กล่าว ว่า มันคือสัจธรรม เขาคือศาสนทูตของอัลลอฮ์  ซ.ล. เมื่อถึงเวลาเช้าให้ท่านตามข้าพเจ้า ไป แท้จริงถ้าหากข้าพเจ้าเห็นสิ่งใดที่ข้าพเจ้ากลัวว่าจะเป็นอันตรายกับตัวท่าน ข้าพเจ้าจะยืน เหมือนกับกำลังเทน้ำ[431] และถ้าหากข้าพเจ้าเดินเรื่อยไปก็ให้ท่านตามข้าพเจ้าไป จนกระทั่ง ท่านจะเข้าทางที่ข้าพเจ้าเข้า อะบู ซัรร์ได้รับที่จะปฏิบัติตาม และได้ออกเดินติดตามเขาไปอะลี ได้เข้าไปหาท่านนบี  ซ.ล. และอะบู ซัรร์ก็ได้เข้าไปพร้อมกับอะลีด้วย อะบู ซัรร์ได้ร้บฟังจาก คำพูดของท่าน และได้เข้านับถือศาสนาอิสลาม ณ บัดนั้น จากนั้นท่านนบีได้กล่าวแก่เขาว่า จงกลับไปยังพวกของท่าน และจงแจ้งข่าวแก่พวกเขา จนกว่าคำสั่งของข้าพเจ้าจะมีไปยังท่าน อะบู ซัรร์ได้กล่าวว่าสาบานต่อผู้ชึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ ข้าพเจ้าจะนำมัน ไปป่าวประกาศในที่ชุมนุมของพวกเขา จากนั้นเขาได้ออกไปจนมาถึงมัสญิด และได้ประกาศด้วย เสียงอันดังว่า ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากอัลลอฮ์ และแท้จริงมุฮัมมัด เป็นศาสนาทูตของอัลเลาะห์ หลังจากนั้นกลุ่มชนได้ลุกขึ้น และทุบตี เขาจนล้มลง พอดีอับบาสได้มาและได้เข้าป้องกันเขาไว้แล้วกล่าวว่า ความพินาศจะบังเกิดแก่ พวกท่าน พวกท่านไม่รู้หรือว่าเขามาจากเผ่า ฆิฟาร และแท้จริงเส้นทางการค้าของพวกท่านไป ยังชามนั้นต้องผ่านพวกเขา อับบาสจึงได้ช่วยเขาให้พ้นจากพวกนั้น และหลังจากนั้นเขาก็ได้กลับมา ทำเช่นนั้นอีกในวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็ได้ทุบตีเขาอีก และได้ลุกฮือขึ้นมาล้อมเขาไว้ อับบาสก็ได้ เข้ามาป้องกันเขาและได้ช่วยเขาให้พ้นภัย

รายงานโดยบุดอรี และมุสลิม

 

......................................................................... 18พย61

และในรายงานของมุสลิมว่า ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล.ได้กล่าวแก่เขาว่า ท่านจะเป็น ผู้เผยแพร่ในกลุ่มพรรคพวกของท่านแทนข้าพเจ้าไหม หวังว่า อัลลอฮ์จะให้ประโยชน์แก่พวกเขา เพราะท่าน และจะให้ผลบุญแก่ท่านในหมู่พวกเขา จากนั้นเขาได้เดินทางกลับ และ น้องชายของเขาอุในส์ ก็ได้เข้านับถือศาสนาอิสลาม พร้อมด้วยมารดาของเขาทั้งสอง และ พวกเขาได้พากันมาหาพวกพ้องของเขา ครึ่งหนึ่งของพวกเขาได้นับถือศาสนาอิสลาม และได้ ปรากฏว่าผู้ทำหน้าที่เป็นผู้นำพวกเขา (ในละหมาด) คือ ไอมาอฺ บิน รอฮาเดาะห์ อัล ฆิฟารืย์ และเขายังเป็นหัวหน้าของพวกนั้นอีกด้วย ส่วนพวกที่เหลืออยู่ก็ได้เข้านับถือศาสนาอิสลาม ขณะ ที่ท่านนบี  ซ.ล.ได้มายังนครมะตีนะห์ เผ่าอัสลัมได้เข้ามาแล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ พวกเราจะยอมจำนนต่อสิ่งที่พี่น้องของเราได้ยอมจำนน  และพวกเขาก็ได้เข้านับถือศาสนา อิสลาม จากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ได้กล่าวว่า เผ่าฆิฟาร นั้น อัลลอฮ์ได้อภัยให้แก่ พวกเขา และเผ่าอัสลัม อัลลอฮ์ก็ได้ให้ความปลอดภัยแก่พวกเขา

เล่าจากอะบีซัรร์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.ได้กล่าวว่า ไม่มีใครที่ อยู่ใต้ฟ้าเหนือแผ่นดินจากคนทิ่มีภาษาที่จะมีความสัจจะ และข้อตรงต่อสัญญายิ่งกว่าอะบี ซัรร์ เหมือนกับอีซา บิน มัรยัม  อ.ล. อุมัรได้กล่าวขึ้นคล้ายผู้มีความอิจฉาเขาว่า พวกเราจะประกาศ เช่นนั้นเพื่อเขาไหม   ท่านเราะซูลุลลอห์ ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงประกาศเช่นนั้นเพื่อเขาเถิด 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

ซัลมาน อัลฟาริซีย์ (ชาวเปอร์เชีย) และซุเฮบ อัรรูมีย์ (ชาวโรมัน)  ร.ฎ.679

เล่าจากอาอิช บิน อัมร์  ร.ฎ. ว่า แท้จริงอะบู ซุฟยานได้เดินผ่าน ซัลมานกับซุเฮบ อัรรูมีย์ และบิลาล ซึ่งอยู่กับคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขาได้กล่าวว่าสาบานต่ออัลลอฮ์ว่าดาบของ อัลลอฮ์ ไม่ได้บั่นคอศัตรูของอัลลอฮ์ตามหน้าที่ของมัน[432] อะบูบักรได้กล่าวว่าพวกท่าน กล่าวเช่นนี่แก่ผู้อาวุโส และหัวหน้าเผ่ากุเรชเชียวหรือ แล้วอะบูบักรก็ได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. ได้เล่าให้ท่านฟัง(ถึงเรื่องดังกล่าว) ท่านจึงได้กล่าวว่าโอ้อะบูบักร ท่านอาจทำให้พวกเขาโกรธ ถ้าหากท่านทำให้พวกเขาโกรธก็เท่ากับท่านได้ทำให้พระผู้อภิบาลของท่านโกรธ ต่อมา อะบูบักรได้มาหาพวกเขาอีก แล้วกล่าวว่าโอ้พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ทำให้พวกท่านโกรธ หรือ พวกเขาตอบว่า พวกเราไม่ได้โกรธ ขอพระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดประทานอภัยให้แก่ท่าน โอ้พี่ชายของข้าพเจ้า 

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงสวรรค์นั้นคิดถึง คนสามคน คือ อะลี อัมมาร และซัลมาน                                                                                     

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

เล่าจากซัลมาน อัลฟาริซิย์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ามาจากเมือง รอมะฮุรมุช[433]

เล่าจากเขา (ซิลมาน) ว่าแท้จริงมี (เจ้านาย) มากกว่าสิบคนที่ผลัดเปลี่ยนได้ตัวเขาไปจาก เจ้านายหนึ่งสู่เจ้านายหนึ่ง[434] และเล่าจากเขา (ซิลมาน) ได้กล่าวว่าช่วงระหว่างนบีอีซากับนบี มุฮัมมัด(ห่างกัน) หกร้อยปี รายงานหะดมทั้งสามโดยท่านมุคอร ในเรองการเข้าปีนครมะคนะห์ ของท่านนบ (ข.ล.)

อับดุลเลาะห์ บิน สลามชาวอิสรออีล  ร.ฎ.

เล่าจากสะอัด บิน อะบี วักกอส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินท่านนบี  ซ.ล. พูดถึงใครคนใดที่เดินอยู่ในหน้าผืนแผ่นดินนี้ว่าเขาเป็นชาวสวรรค์ นอกจากพูดถึงอับดุลเลาะห์ บินสลาม ผู้เล่าได้กล่าวว่า และในตัวเขาผู้นี้ที่โองการนี้ถูกประทานลงมาคือ “และมีพยานคน หนึ่งจากตระกูลอิสรออีลได้เป็นพยานยืนยัน (ถึงความจริงแท้) ของคัมภีร์ที่เหมือนกับอัลกุรอานนี้ [435]

เล่าจากกอยส์ บิน อุบาด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ร่วมอยู่ในวงหนึ่ง ในวงนั้นมี สะอัด บิน มาลิก และอิบนุ อุมัรรวมอยู่ด้วย ต่อมาอับดุลเลาะห์ บิน สลามได้เดินผ่านมา พวก เขาได้กล่าวขึ้นว่าชายคนนี้เป็นชาวสวรรค์ จากนั้นข้าพเจ้าได้ลุกขึ้นไปหาเขา แล้วกล่าวแก่เขาว่า แท้จริงพวกเขาได้กล่าวว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เขาได้กล่าวว่า ซุบฮานัลลอห์ ไม่สมควรที่พวกเขาจะ พูดในสิ่งที่พวกเขาไม่มีความรู้[436] ความจริงข้าพเจ้าได้ฝันเห็น เสาต้นหนึ่งถูกตั้งขึ้นในเขตสวน (เราเดาะห์) สีเขียว ที่หัวเสามีห่วง และที่โคนเสามีคนรับใช้อยู่ ได้มีผู้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า จงปีน ขึ้นไปบนเสานั้น ข้าพเจ้าจึงได้ปีนขึ้นไปจนข้าพเจ้าได้จับห่วงนั้น ต่อมาข้าพเจ้าได้เล่าความฝันนี้ ให้แก่ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า อับดุลเลาะห์จะตายในสภาพที่จับห่วงอันแน่นเหนียว และในบางรายงานว่าสวน(เราเดาะห์) นั้นคืออิสลามและเสานั้นคือ เสาของอิสลาม และห่วงนั้นคือ ห่วงอันแน่นเหนียว และจะยังคงจับห่วงนั้นไว้จนกว่าท่านจะตาย 

รานงานหะดีษทั้งสองโตยบุฅอรี และมุสลิม

เล่าจากอะบี บุรดะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้มายังนครมะดีนะห์ และได้พบกับ อับดุลเลาะห์ บิน สลาม เขาได้กล่าวว่า ขอเชิญท่านมาเป็นแขก ข้าพเจ้าจะเลิ้ยงอาหารท่านเป็น อาหารชะวีก[437] กับอินทผลัม และขอเชิญท่านเข้าในบ้านหลังหนึ่ง จากนั้นเขาได้กล่าวว่าแท้ จริงท่านอยู่ในผืนแผ่นดินที่ดอกเบี้ยมีอย่างแพร่หลาย ถ้าหากท่านมีกรรมสิทธิใดๆ อยู่ที่ชายคน หนึ่ง จากนั้นเขาได้มอบเป็นกำนัลแก่ท่านด้วยนํ้าหนักเท่าเส้นฟาง หรือนํ้าหนักเท่าเม็ดข้าวสาลี ท่านอย่ารับมันเพราะมันคือดอกเบี้ย 

รายเงานโดย บุคอรี

เมื่อความตายใกล้มาถึงมุอาซ บิน ญะบัล  ร.ฎ. ได้มีผู้กล่าวแก่เขาว่าโอ้อะบู อับดุรเราะห์มาน (ชื่อเล่นของมุอาซ) ได้โปรดสั่งเสียพวกเขา เขาได้กล่าวว่า พวกท่านจงจับข้าพเจ้าให้ลุกขึ้นนั่ง ภายหลังจากนั้นเขาได้กล่าวว่า แห้จริงความรู้และอีหม่าน (ความศรัทธา) นั้นอยู่ในที่ของมัน ผูใดแสวงหามันทั้งสอง เขาก็ได้พบมันทั้งสอง เขาได้กล่าวเช่นนั้นถึงสามครั้ง[438] จากนั้นได้ กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงแสวงหาความรู้ที่บุคคลสี่คน ที่อุไวมิร อะบี อัดดัรดาอฺ ที่ซัลมาน อัลฟาริซีย์ที่อับดิลเลาะห์ บิน มัสอูด และที่อับดิลเลาะห์ บิน สลาม ซึ่งเคยเป็นยะฮูดี และได้ เข้านับถืออิสลาม เพราะแห้จริงข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. กล่าวว่า แท้จริงเขาเป็น หนึ่งจากสิบคนที่จะอยู่ในสวรรค์

เล่าจากอับดิ้ลเลาะห์ บิน สลาม  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าขณะที่อุสมานกำลังจะถูกฆ่า ข้าพเจ้า ได้มาและเข้าไปหาเขา เขาได้ถามว่าอะไรนำท่านมา ข้าพเจ้าตอบว่าข้าพเจ้ามาช่วยเหลือ ท่าน อุสมานได้กล่าวว่าท่านจงออกไปหาประชาชนและจงขับไล่พวกเขาให้พ้นไปจากข้าพเจ้า เพราะแห้จริง การที่ท่านออกไปอยู่ข้างนอกนั้นจะเกิดผลดีแก่ข้าพเจ้ายิ่งกว่าที่ท่านอยู่ข้างใน ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ออกไป แล้วข้าพเจ้าก็ได้กล่าวว่าโอ้ประชาชนทั้งหลาย แห้จริงชื่อของข้าพเจ้าใน สมัยยาฮิลืยะห์ คือ ชื่อนั้น ชื่อนั้น[439] ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ตั้งชื่อให้ข้าพเจ้าว่า อับดุลเลาะห์ และได้มีหลายโองการจากคัมภีร์ของอัลลอฮ์  ซ.ล. ลงมาในเรื่องที่เกียวกับข้าพเจ้า และได้ลงมาเกี่ยวกับตัวข้าพเจ้าว่า “และมีพยานคนหนึ่งจากตระลูล อิสรออีลได้เป็นพยานยืนยัน (ถึงความจริงแท้) ของคัมภีร์ที่เหมือนกับอัลกุรอานนื้ แล้วเขาก็ศรัทธามัน แต่พวกท่านกลับ ทรนงตนแห้จริงอัลลอฮ์ไม่ทรงชื่นำแก่กลุ่มชนที่ฉ้อฉลทั้งมวล” ได้ลงมาเกี่ยวกับตัวข้าพเจ้าว่า “จงประกาศเถิด ย่อมเป็นการเพียงพอแล้วด้วยอัลลอฮ์ และผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในคัมภีร์ ของอัลลอฮ์[440] ที่เป็นพยานระหว่างเราและระหว่างพวกท่าน” แห้จริงพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. มีดาบที่ถูกเก็บไว้ในฝัก พ้นจากพวกท่าน และแท้จริงมวลมะลาอิกะห์ได้มาอยู่เคียงข้าง พวกท่านในเมืองของพวกท่านนี้ ซึ่งท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้พำนักอยู่ (ท่านทั้งหลายจง ยำเกรง) อัลลอฮ์ (ท่านทั้งหลายจงยำเกรง) อัลลอฮ์ ในตัวชายผู้นีที่ท่านทั้งหลายจะสังหาร เขา สาบานต่ออัลลอฮ์ ถ้าหากพวกท่านทั้งหลายสังหารเขาก็เท่ากับพวกท่านได้ขับไล่มะลาอิกะห์ เพื่อนบ้านของพวกท่าน และเท่ากับพวกท่านได้เปลือยฝักดาบของอัลลอฮ์ที่พ้นจากพวกท่าน ไปแล้ว และมันจะไม่ถูกใส่กลับเข้าฝักพ้นจากพวกท่านอีกเลยจนถึงวันกิยามะห์ พวกประชาชนได้กล่าวขึ้นว่าจงฆ่ายะฮูดี และจงฆ่าอุสมาน 

รายงานทะดีษทั้งสองโตยติรมิซี หะดีษแรกด้วย สายรายงานที่เศาะฮีหะห์ และทะดีษที่สองด้วยสายรายงานที่ฆอรีบ

อะบูฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.[441]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้ทล่าวว่าพวกเขากล่าวกันว่า ความจริงอะบีฮุรอยเราะห์ ได้รายงานหะดีษมากมาย และพระองค์อัลลอฮ์นั้นเป็นแหล่งที่นัดพบ[442] และพวก เขาได้กล่าวว่า พวกมุฮาญิรีนและพวกอันซอรเป็นอย่างไร จึงไม่ได้เล่าหะดีษเหมือนหะดีษของ อะบูฮุรอยเราะห์ และต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะได้บอกแก่พวกท่านถึงสาเหตุดังกล่าว แท้จริงพี่น้องของ ข้าพเจ้าจากพวกอันซอร การงานในผืนแผ่นดินของพวกเขาทำให้พวกเขายุ่ง และแท้จริงพี่น้อง ของข้าพเจ้าจากพวกมุฮาญิรีน การค้าในตลาดทำให้พวกเขายุ่ง ส่วนข้าพเจ้าเฝ้าติดตามท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. เพื่อให้อิ่มท้องของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะปรากฏตัวขณะที่พวกเขาไม่อยู่ ข้าพเจ้า จะจดจำขณะที่พวกเขาลืม ความจริงท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้พูดขึ้นในวันหนึ่งว่าใคร บ้างในพวกท่านจะปูผ้าห่มของเขา แล้วรับเอาจากคำพูดของข้าพเจ้าภายหลังจากนั้น เขาจะรวบ มันไว้กับอกของเขา และเขาจะไม่ลืมสิ่งใดที่เขาได้ยินอีกเลย ข้าพเจ้าจึงได้ปูผ้าห่มที่อยู่บนตัว ข้าพเจ้า จนกระทั่งเมื่อท่านพูดเสร็จ หลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงได้รวบมันขึ้นมายังอกของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าไม่เคยลืมสิ่งใดที่ท่านได้บอกแก่ข้าพเจ้าเลยหลังจากนั้น และถ้าแม้ว่าไม่มีสองโองการที่อัลลอฮ์ได้ประทานลงมาในคัมภีร์ของพระองค์แล้ว ข้าพเจ้าจะไม่เล่าสิ่งใดเลย

(สองโองการนั้นคือ) แท้จริงบรรดาผู้ที่ปกปิดสิ่งที่เราได้ประทานลงมาจากบรรดา หลักฐานต่างๆ และทางนำ...จนจบทั้งสองโองการ[443]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ชักชวนมารดาของข้าพเจ้า ให้เข้ารับนับลือศาสนาอิสลามในขณะที่ท่านยังเป็นผู้ตั้งภาคี ข้าพเจ้าได้ชักชวนท่านในวันหนึ่ง ท่านได้พูดให้ข้าพเจ้าได้ยินถึงเรื่องของท่านรอซูลุลเลาะห์ ด้วยสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ ข้าพเจ้า จึงได้ใปหาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ข้าพเจ้าร้องไห้ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอห์
 

ข้าพเจ้าได้ชักชวนมารดาของข้าพเจ้าให้เข้าสู่ศาสนาอิสลาม แต่เธอยังดื้อดึงต่อข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้ไปชักชวนเธอในวันนี้ เธอได้พูดให้ข้าพเจ้าได้ยินในเรื่องของท่านด้วยสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่พอใจ ดังนั้นขอท่านได้โปรดวิงวอนต่ออัลลอฮ์ให้ทางนำที่ถูกต้องแก่เธอด้วย ท่านนบีได้ กล่าวว่าข้าแด่พระองด่อัลลอฮ์ได้โปรดขึ้นทางนำแก่มารดาของอะบูฮูรอยเราะห์ด้วยเกิด ข้าพเจ้าได้กลับออกมาอย่างเป็นผู้ได้รับแจ้งข่าวดี ด้วยดำวิงวอนของท่านนบีของอัลลอฮ์  ซ.ล. เมื่อข้าพเจ้าเข้ามาถึงประตูบ้าน มารดาของข้าพเจ้าได้ยินเสียงเดินยํ่าเท้าของข้าพเจ้า จึงได้กล่าว ว่าจงหยุดอยู่ที่นั่น โอ้อะบู ฮุรอยเราะห์ และข้าพเจ้าได้ยินเสียงซู่ของนํ้า ผู้เล่า (อะบู ฮุรอย เราะห์) ได้กล่าวว่าเธอได้อาบนํ้า และได้สวมเสื้อโดยลืมผ้าคลุมศีรษะเพราะรีบ เธอได้ เปิดประตูออกมาแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากอัลลอฮ์ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า แท้จริงมุฮัมมัดเป็นบ่าวและเป็นศาสนพูตของ พระองด์ จากนั้นข้าพเจ้าได้กลับมาหาท่านนบี  ซ.ล. ข้าพเจ้าได้ร้องไห้เพราะความดีใจ ข้าพเจ้า ได้กล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ จงรับข่าวดีเถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์ได้รับดำวิงวอนของ ท่านแล้ว และได้ทางนำแก่มารดาของอะบี ฮุรอยเราะห์แล้ว ท่านได้ถวายดำสดุดีและสรรเสริญ พระองด่อัลเลาะห์แล้วกล่าวว่าดีแล้ว ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้โปรดวิงวอน ต่ออัลลอฮ์ให้พระองด่ทำให้ตัวข้าพเจ้าและมารดาของข้าพเจ้าเป็นที่รักของบรรดาบ่าวของ พระองด่ทิ่มีศรัทธาและทำให้พวกเขาเป็นที่รักของพวกเรา ท่านได้กล่าวว่าข้าแต่พระองด์ อัลลอฮ์ได้โปรดทำให้บ่าวน้อยๆ ของพระองด์ท่านคนนี้กับมารดาของเขา จงเป็นที่รักของบรรดาบ่าวของพระองด่ท่านที่เป็นผู้มีศรัทธา และได้โปรดทำให้บรรดาผ้มีศรัทธารักพวกเขา ดังนั้นจะไม่มีผู้ศรัทธาคนใดที่ถูกบังเกิดขึ้นมาที่ได้ยินเกี่ยวกับข้าพเจ้าโดยไม่ได้แลเห็นข้าพเจ้า นอกจากเขาจะต้องรักข้าพเจ้า[444] 

รายงานโดย มุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์  ) ได้กล่าวว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าว แก่ข้าพเจ้าว่า ท่านมาจากเผ่าใด ข้าพเจ้ากิตอบว่า จากเผ่าเดาส์ ท่านได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยพบเห็นใครคนใดจากเผ่าเดาส์ที่เขามีความดี[445]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าววว่าไม่มีใครที่รายงานหะดีษจากท่าน เราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. มากยิงกว่าข้าพเจ้า นอกจากอับดุลเลาะห์ บิน อัมร์ เพราะแท้จริงเขา เขียนส่วนข้าพเจ้าไม่ได้เขียน[446]
 

และมีผู้ถามอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า ทำไมท่านจึงมีชื่อเล่นว่า อะบูฮุรอยเราะห์ (พ่อของแมวน้อย) อะบู ฮุรอยเราะห์ตอบว่าข้าพเจ้าเคยเลี้ยงแพะให้แก่ครอบครัวของข้าพเจ้า และข้าพเจ้ามีแมวตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ข้าพเจ้าเคยเอามันไปไว้ที่ต้นไม้ในตอนกลางคืน และเมื่อถึงเวลากลางวัน ข้าพเจ้ากํจะอุ้มมัน เล่นกับมัน ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งชื่อเล่นให้ข้าพเจ้าว่า พ่อของ แมวน้อย[447]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้นำอินทผลัมหลายผลมา ยังท่านนบี  ซ.ล. แลัวข้าพเจ้ากล่าวว่าโอ้นบีของอัลลอฮ์ ได้โปรดวิงวอนต่ออัลลอฮ์ให้เกิดความเพิ่มพูนในอินทผลัมเหล่านี้ ท่านจึงได้รวบอินทผลัมเหล่านั้นไป และได้วิงวอนขอความเพิ่มพูนให้แก่ข้าพเจ้าในอินทผลัมเหล่านั้น แล้วกล่าวว่าท่านจงรับเอามันไป และจง เอามันใส่ไว้ในถุงเสบียงของท่านนี้ ทุกครั้งที่ท่านต้องการเอาสิ่งใดออกจากถุงเสบียง ท่านจงเอามือล้วงเข้าไปและหยิบออกมา ท่านอย่าเทมันออกมาหว่าน อะบู ฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่าภัยข้าพเจ้าได้บรรทุกอินทผลัมนั้นเท่านั้นเท่านี้ (หมายถึงจำนวนบรรทุก) ไปในหนทางของอัลลอฮ์และพวกเราได้รับประทานมัน และมันไม่เคยจากเอวของข้าพเจ้าเลย จนถึงวันที่อุสมานถูกสังหาร มันจงขาดตอนลง[448] 

รายงานหะดีษทั้งสี่โดย ติรมิซี

อะบู มูซา และอะบู อามิร อัลอัซอะรีย์  ร.ฎ.

เล่าจากอะบีมูซา  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าอยู่กับท่านนบี  ซ.ล. ขณะที่ท่านลงพัก อยู่ที่เยียะอุรอนะห์ซึ่งอยู่ระหว่างมักกะห์กับมะดีนะห์ โดยมีบิลาลอยู่กับท่าน จากนั้นได้มี อาหรับเร่ร่อนคนหนึ่งมาหาท่านแล้วกล่าวว่า ขอได้โปรดจัดการให้แก่ข้าพเจ้า สิ่งที่ท่านได้สัญญา ไว้แก่ข้าพเจ้า โอ้ มุฮัมมัด ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขาว่าจงรับข่าวดีเกิด อาหรับเร่ร่อนผู้นั้นได้กล่าวแก่ท่านว่า ท่านได้ให้ข้าพเจ้ามากแล้วจากคำว่าจงรับข่าวดี ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. จึงได้หันไปทางอะบูมูซาและบิลาล คล้ายสภาพของคนที่กำลังโกรธ แล้วท่านก็กล่าวขึ้นว่าแท้จริงชายผู้นี้ปฏิเสธข่าวดี   ดังนั้นท่านทั้งสองจงรับเอาไปเกิด ทั้งสองได้กล่าวว่า เราทั้งสองได้รับไว้แล้ว โอ้ ท่านรอซูลุลเลาะห์ ภายหลังจากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้เรียกให้นำเอาภาชนะใบหนึ่งชื่งมีนํ้าอยู่ในภาชนะนั้น ท่านได้ล้างมือของท่านทั้งสองข้างและ ล้างใบหน้าของท่านในภาชนะนั้น และได้บ้วนนํ้าลงในภาชนะนั้น[449] จากนั้นท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งสองจงดึ่มน้ำจากภาชนะนี้ และจงรดลงบนใบหน้าของท่านทั้งสองและคอของท่านทั้ง สอง และท่านทั้งสองจงรับข่าวดีเกิด เขาทั้งสองได้รับภาชนะนั้น และได้กระทำตามที่ท่านนบี  ซ.ล. ได้ใช้เขาทั้งสองให้กระทำ ต่อมาอุมมุ ซะละมะห์ได้เรียกคนทั้งสองมาจากหลังม่านว่า ท่านทั้งสองจงเหลือไว้ให้แก่มารดาของท่านทั้งสองด้วย จากสิ่งที่อยู่ในภาชนะของท่านทั้งสอง และเขาทั้งสองก็ได้เหลือไว้ให้แก่นางจากภาชนะนั้นส่วนหนึ่ง [450]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบี บุรดะห์  ร.ฎ. จากบิดาของเขาได้กล่าวว่า เมือท่านนบี  ซ.ล. ได้เสร็จภาระกิจจากสงครามฮุนัยน์ ท่านได้ส่งอะบู อามิรคุมทหารกองหนึ่งไปยังเอาตอส ต่อมาเขาได้ ไปพบกับคุรอยด์ บิน ซิมมะห์ จากนั้น ดุรอยด์ก็ถูกสังหาร และอัลลอฮ์ได้ให้พรรคพวก ของเขาฟายแพ้อะบู มูซาได้กล่าวว่า และท่านนบีได้ส่งข้าพเจ้าไปพร้อมกับอะบี อามิร ต่อมา ชายคนหนึ่งจากตระกูลยุซัม ได้ยิ่งธนูไปถูกเขาที่หัวเข่าของเขา และข้าพเจ้าได้ติดตามผู้ชายคนนั้นไป และได้สังหารเขา หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้กลับมาหาอะบู อามิร และได้ถอนลูกธนูออก จากหัวเข่าของเขา และนํ้าดื่มได้หมดไปจากเขาแล้ว อะบู อามิรจึงได้แต่งตั้งข้าพเจ้าให้เป็นผู้คุมกองทหารนั้น และได้กล่าวว่าท่านจงเดินทางไปหาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. และจงบอกสลามจากข้าพเจ้าแก่ท่าน และจงบอกแก่ท่านว่าให้ขออภัยโทษให้แก่อะบี อามิร อะบู อามิร มีชีวิตอยู่อีกเพียงเล็กน้อยก็ได้เสียชีวิตไป ขอพระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดให้ความเมตตาแก่เขา เมื่อข้าพเจ้าได้กลับไปหาท่านนบี  ซ.ล. ข้าพเจ้าได้เข้าไปหาท่าน ขณะที่ท่านกำลังอยู่บนเตียง ที่ขึงด้วยเชือกที่ทำจากใบอินทผลัม และมีที่นอนปูทับ โดยที่รอยเชือกเตียงยังติดอยู่ที่หลังของ ท่านนบี  ซ.ล. และสีข้างทั้งสองของท่าน ข้าพเจ้าจึงได้บอกแก่ท่านด้วยเรื่องของเราและ เรื่องของอะบี อามิร และคำขอร้องของเขาที่ขอให้ท่านนบีขออภัยโทษให้แก่เขา ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. จึงได้อาบนํ้าละหมาดแล้วยกมือทั้งสองข้างของท่านขึ้น จนข้าพเจ้าเห็นรอยขาวจากรักแร้ทั้งสองข้างของท่าน จากนั้นท่านได้กล่าวว่าข้าแต่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดอภัย ให้แก่บ่าวน้อยๆ ของพระองค์ท่าน คืออะบี อามิร ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดให้เขาในวันกิยามะห์ได้อยู่ในที่สูงกว่าส่วนใหญ่ของสรรพสิ่งที่พระองค์ท่านสร้างขึ้นหรือของมวลมนุษย์ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าแก่ข้าพเจ้าด้วย โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ขอท่านได้โปรดขออภัยโทษ ท่านนบี ซ.ล. จึงได้กล่าวว่าข้าแต่พระองค์อัลเลาะห์ได้โปรดอภัยให้แก่ อับคุลเลาะห์ บิน กอยส์ ในบาปกรรมของเขาและจงให้เขาได้เข้าในทางเข้าที่มีเกียรติในวันกิยามะห์ อะบุบุรดะห์ได้กล่าวว่าครั้งหนึ่งจากสองครั้งนั้น เป็นของอะบี อามิร และอีกครั้งหนึ่งเป็นของอะบีมูชา[451] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอะบี มูซา  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงข้าพเจ้ารู้จักเสียงของพวกอัชอะรีย์ด้วยอัลกุรอาน ขณะที่พวกเขาเข้าสู่เวลากลางคืน และข้าพเจ้ารู้จักที่พำนักของ พวกเขาจากเสียงของพวกเขาที่อ่านอัลกุรอานในเวลากลางคืน ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่เห็นที่พำนัก ของพวกเขาขณะที่ลงพำนักในเวลากลางวันก็ตาม[452] ส่วนหนึ่งจากพวกอัชอะรืย์มีผู้ที่มีวิฑยปัญญา เมื่อพบกับกองทหารม้าหรือผู้เล่าได้กล่าวว่า พบกับศัตรู เขาจะกล่าวแก่พวกนั้นว่า แท้ จริงบรรดามิตรสหายของข้าพเจ้าใช้พวกท่านให้คอยพวกเขาก่อน[453]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี มูซา) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงพวกอัชอะรืย์นั้น เมื่อเสบียงเหลือน้อยในยามสงครามหรืออาหารภายในครอบครัวของพวกเขาเหลือน้อยขณะอยู่ใน นครมะตีนะห์ พวกเขาจะนำเอาสิ่งที่พวกเขามือยู่มารวมกันในผ้าผืนเดียวกัน หลังจากนั้นก็ได้ แบ่งสิ่งที่รวบรวมได้ในหมู่พวกเขาในภาชนะเดียวอย่างเท่าเที่ยมกัน พวกเขาคือส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา[454] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี มูซา) ได้กล่าวว่าท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้า ว่า โอ้ อะบู มูซา แท้จริงท่านได้รับขลุ่ยเลาหนึ่งจากบรรดาขลุ่ยของวงศ์วานนบีดาวูด[455]

เล่าจากอะบี อามิร อัลอัซอะรีย์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า กลุ่มชนที่ดีที่สุด คือ พวกอัชอะรีย์ พวกเขาจะไม่หลบหนีในยามสงคราม และพวกเขาจะไม่ยักยอกพวกเขา เป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

ยะรีร บิน อับดุลเลาะห์ อัลบะยะลีย์  ร.ฎ.

เล่าจากยะรีร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ไม่เคยกีดกันข้าพเจ้า นับตั้งแต่ข้าพเจ้า ได้เข้านับลือศาสนาอิสลาม และท่านไม่เคยพบข้าพเจ้านอกจากท่านจะต้องยิ้ม และปรากฏว่า ในสมัยญาฮิลิยะห์ มีบ้านหลังหนึ่งเรียกว่า ซุลคอลาเซาะห[456] และมันเคยถูกเรียกว่าเป็น กะอฺบะห์ยะมะนียะห์ และกะอุบะห์ชามียะห์ ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านจะทำให้ข้าพเจ้าพ้นจาก คอลาเซาะห์ได้ไหม ข้าพเจ้าจึงได้ออกไปหามันพร้อมด้วยทหารม้าจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบคน จากเผ่าอะห์มัส[457] พวกเราได้เข้าทำลายมัน และได้สังหารคนที่ เราพบอยู่ในบ้านหลังนั้น จากนั้นพวกเราได้มาหาท่าน และได้รายงานให้ท่านทราบ ท่านได้วิงวอน ให้แก่พวกเราและแก่เผ่าอะห์มัส

และเล่าจากเขา (ยะรีร) ได้กล่าวว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า โอ้ยะรีร ขอได้ช่วยให้ข้าพเจ้าพันจาก ซุลคอลาเซาะห์ ซึ่งเป็นบ้านของคอชอัม ที่เคยเรียกว่า กะอฺบะห์ ยะมานียะห์ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ออกไปพร้อมกับทหารม้าจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบคน (แต่) ข้าพเจ้า ไม่สามารกนั่งบนหลังม้าได้ ข้าพเจ้าจึงได้บอกให้ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้ทราบเรื่องดังกล่าว ท่านได้เอามือของท่านตบที่หน้าอกของข้าพเจ้าแลัวกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์อัลเลาะห์ได้ โปรดให้เขาสามารกยืนหยัด  (อยู่บนหลังม้าได้) และได้โปรดให้เขาเป็นผู้ทางนำที่ได้รับทางนำ ยะรีรได้กล่าวว่า พวกเราได้ออกเดินทางและได้เผามันด้วยไฟ เราได้ส่งชายคนหนึ่งจากพวกเรา มีชื่อเล่นว่า อะบุอัรดอห์ ให้ไปแจ้งข่าวดีแก่ท่านนบี  ซ.ล. เขาได้มาถึงท่านนบีแล้วกล่าวแก่ ท่านว่า ข้าพเจ้าไม่ได้มาหาท่านจนกระทังได้ทิ้งมันไว้เหมือนอูฐเป็นขี้กลาก ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ขอความเพิ่มพูนและความมีมงคลให้แก่ม้าของเผ่าอะห์มัสและทหารของเผ่านั้น ห้าครั้ง 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ตาบิอีนที่ดีที่สุดคือ อุไวส์ อัลกอรอนีย์  ร.ฎ.[458]

เล่าจากอุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ กล่าวว่า แท้จริงตาบิอีนที่ดีที่สุดนั้นคือผู้ชายคนหนึ่งมีชื่อเรียกว่า อุไวส์ เขามีมารดา และตัว เขาเคยเป็นโรคด่าง ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงใช้เขาให้ขออกัยโทษให้แก่พวกท่าน

เล่าจาก อุซัยร์ บิน ญาบิร  ร.ฎ. ว่า แท้จริงชาว กูฟะห์ ได้เข้ามาหาท่านอุมัร ใน หมู่พวกเขามีผู้ชายคนหนึ่งจากบรรดาผู้ที่เคยดูถูก อุไวส์ อุมัร จึงได้กล่าวว่า มีใครบ้างในที่นี่ มาจากเผ่า กอรอนีย์ ต่อมาชายคนนั้นได้เข้ามา อุมัรจึงกล่าวว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงชายคนหนึ่งจะมาหาพวกท่านจากประเทศยะมัน มีชื่อเรียกว่า อุไวส์ เขาไม่ได้ ทิ้งไว้ที่ยะมัน นอกจากมารดาของเขา โดยเขาเคยเป็นโรคด่างมาก่อน เขาได้วิงวอนต่ออัลลอฮ์พระองค์ได้ให้โรคด่างหายไปจากเขานอกจากบริเวณหนึ่ง ขนาดเท่าเหรียญทองหรือเหรียญเงิน ดังนั้นใครจากพวกท่านที่ได้พบกับเขาจงขอร้องเขาให้ขออภัยโทษให้แก่พวกท่าน[459]

และเล่าจากเขา (อุซัยร์) ได้กล่าวว่า อุมัรนั้นได้ปรากฏว่าเมื่อมีทหารกองหนุนจากชาวยะมัน มาถึงยังเขา เขาจะถามพวกนั้นว่า มีอุไวส์ บิน อามิร อยู่ในหมู่พวกท่านไหม จนกระทั่ง เขาได้มาพบ อุไวส์ อุมิรจึงได้ถามว่า ท่านคือ อุไวส์ บิน อามิรหรือ เขาตอบว่า ใช่ครับ อุมัรถามว่า จากเผ่ามุร๊อด ภายหลังจากเผ่ากอรอน[460] ใช่ไหม เขาตอบว่าใช่ อุมัรถามว่า ท่าน เคยเป็นโรคด่างและท่านได้หายจากโรคนั้นนอกจากบริเวณหนึ่งขนาดเหรียญเงินใช่ไหม เขาตอบว่าใช่ อุมัรถามว่า ท่านมีมารดาไหม เขาตอบว่ามีครับ อุมัรจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. กล่าวว่า อุไวส์ บิน อามิร จะมาหาพวกท่านพร้อมกับทหารกองหนุนชาวยะมัน จากเผ่า มุร๊อด ภายหลังจากเผ่ากอรอน เขาเคยเป็นโรคด่างและได้หายจากโรคนั้น นอกจากบริเวณหนึ่งขึ้นาด เหรียญเงิน เขามีแม่ เขากตัญญต่อแม่ของเขาถ้าหากเขาสาบานเหนืออัลเลาะห์ พระองค์จะตอบสนอง เขา[461] ถ้าหากท่านมีความสามารกจะให้เขาขออภัยให้แก่ท่านแล้ว ให้ท่านจงกระทำเถิด ดังนั้นท่านจงขออภัยโทษให้แก่ข้าพเจ้าเกิด อุไวส์จึงใต้ขออภัยโทษให้แก่อุมัร ต่อมาอุมัรได้ถามอุไวส์ว่า ท่านต้องการจะ ไปไหน เขาตอบว่า กูฟะห์ อุมัรกล่าวว่า ข้าพเจ้าควรต้องเขียนหนังสือให้แก่ท่านไปมอบให้เจ้าหน้าที่ของ เมืองกูฟะห์ เขากล่าวว่า การที่ข้าพเจ้าอยู่ร่วมกับคนธรรมดาสามัญเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการมากกว่า ผู้เล่า (อุมัร) ได้กล่าวว่า เมื่อปีหน้าได้มาถึง มีผู้ชายคนหนึ่งจากผู้ที่มีเกียรติของชาวกูฟะห์ ได้มา ประกอบพิธีฮัจย์ อุมัรได้ถามเขาถึงอุไวส์ เขาตอบว่า ข้าพเจ้าได้ทิ้งเขาไว้ในบ้านเก่า ๆ เหมือน ของไร้ค่า อุมัรจึงเล่าหะดีษก่อนให้เขาฟัง เมื่อชายผู้นี้กลับไปก็ได้ไปหาอุไวส์ แล้วกล่าวว่า ได้โปรดขออภยโทษให้แก่ข้าพเจ้าด้วย อุไวส์กล่าวว่าท่านนั่นแหละเพิ่งกลับมาจากการเดินทางที่ดี จงขออภัยโทษให้แก่ข้าพเจ้า ชายผู้นั้นกล่าวว่า ได้โปรดขออภัยโทษให้แก่ข้าพเจ้า อุใวส์กล่าวว่า ท่านนั่นแหละเพิ่งกลับจากการเดินทางที่ดี จงขออภัยให้แกข้าพเจ้า อุไวส์ได้ถามว่า ท่านได้พบ กับอุมัรหรือ เขาตอบว่าใช่ อุไวส์จึงได้ขออภัยโทษให้เขา ต่อมาเมื่อประชาชนรู้เรื่องของเขา เขาจึงได้ออกเดินทางพเนจรไปบนหน้าแผ่นดิน 

รายงานหะดีษทั้งสามโดยมุสลิม

ตอนสุดท้าย กล่าวถึงเผ่าต่างๆ ของอาหรับ 688

อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า โอ้ มวลมนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าขึ้นจาก ชายหนึ่งและหญิง[462]หนึ่ง และได้บันดาลพวกเจ้าให้เป็นก๊กเป็นเหล่า เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้จักกัน แน่แท้ผู้มีเกียรติที่สุดในหมู่พวกเจ้า ณ พระองค์อัลเลาะห์คือผู้ที่มีความยำเกรงมากที่สุด แท้จริง อัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่ง ทรงเชี่ยวชาญยิ่ง

เล่าจากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ได้ทล่าวว่า คำว่า ก๊ก (ชุอูบ) นั้นคือเผ่าใหญ่ๆ และคำว่า เหล่า กอบาอิ้ล นั้นคือตระกูลต่างๆ และในบางตัวบทว่า ก๊กคือเชื้อสายที่ไกลออกไป ส่วน คำว่าเหล่านั้น คือเชื้อสายที่ใกล้กว่า 

รายงานโดย มุคอรี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์    ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านได้พบว่า มวลมนุษย์นั้นมีแหล่งกำเนิดต่าง ๆ กัน คนที่ดีที่สุดของพวกเขาในยุคญาฮิลียะห์ คือคนที่ดีที่สุด ของพวกเขาในยุคอิสลาม ถ้าหากพวกเขามีความเข้าใจในศาสนา[463] และท่านทั้งหลายจะได้พบ กับคนที่ดีที่สุดในกิจการนี้คือคนที่เกลียดมันอย่างที่สุด และท่านทั้งหลายจะพบคนชั่วที่สุดว่ามี สองหน้า ไปหาพวกนี้ด้วยใบหน้า (อย่าง) หนึ่ง และไปหาพวกโน้นด้วยใบหน้า (อีกอย่าง) หนึ่ง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความทะนงและ โอ้อวด มีอยู่ในพวกฟัดดาดีน คือพวกที่เป็นเจ้าของอูฐ[464] ส่วนความสงบมีอยู่ในพวกที่เป็น เจ้าของแพะ ความศรัทธาอยู่ในชาวยะมัน และวิทยะปัญญา อยู่ในชาวยะมัน[465]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ณที่นี้วิกฤติการ ต่างๆ จะมีมาทางด้านตะวันออก ความกักขฬะ และแข็งกระด้างของหัวใจมีอยู่ในพวกฟัดดาดีน คือพวกที่เป็นเจ้าของอูฐ อยู่ที่โคนหางอูฐและวัวในเผ่ารอบีอะห์และมุดอร

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า การศรัทธาอยู่ใน ซาวยะอัน การทรยศอยู่ทางตะวันออก ความสงบอยู่ในเจ้าของแพะ ความทะนงและแสดงความ ยิ่งใหญ่อยู่ในพวกฟัดดาดีน คือพวกเจ้าของม้าและอูฐ[466] 

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ฆิฟาร อัสลม อัชยะอ ยุไฮนะห์ บุซัยนะห์

 

 

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ตระกูลกุเรช พวก อันซอร ยุไฮนะห์ มุซัยนะห์ อัสลัม อัชยะอฺ และฆิฟาร เป็นคนรักของข้าพเจ้า พวกเขาไม่มีใครเป็นคนรักนอกจากอัลเลาะหและศาสนาาตของพระองคํ

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัสลัม อัลลอฮ์ ได้ให้ความปลอดภัยแก่พวกเขา ฆิฟาร อัลเลาะห์ ได้ให้อภัยแก่พวกเขา โปรดทราบข้าพเจ้า ไม่ได้พูดเช่นนั้นขึ้นเอง แต่อัลลอฮ์ที่ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้พูดเช่นนั้น[467] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม

และตัวบทของบุคอรี มุสลิม และติรมีซีว่า ฆิฟาร อัลลอฮ์ได้ประทานอภัยโทษแก่ พวกเขา และอัสลัมนั้น อัลลอฮ์ได้ประทานความปลอดภัยให้แก่พวกเขา อุซอยยะห์นั้นขัดขืน อัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์[468]

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกอันซอร ยุไฮนะห์ ฆิฟาร อัชยะอฺ และบุคคลทิ่มาจากตระกูลอับดิ้ลลาห์[469] เป็นคนรักของข้าพเจ้า โดย ไม่เกี่ยวกับมวลมนุษย์ และอัลลอฮ์ ภับศาสนทูตของพระองค์ก็เป็นคนรักของพวกเขา

รายงานหะดีษโดยมุสลิม และติรมิซี

และอักเราะอุ บิน ฮาบิส  ร.ฎ. ได้มาหาท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. แล้วกล่าวขึ้น ว่าความจริงพวกหัวขโมยที่ทำการลักขโมยบรรดาผู้เดินทางมาประกอบพิธีฮัจย์ได้ให้สัตยาบัน แก่ท่าน คือจากพวกอัสลัม ฆิฟาร มุซัยนะห์ และข้าพเจ้า (ผู้เล่า) คิดว่าเป็นยุไฮนะห์ ท่าน เราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านจงบอกข้าพเจ้าเกิด ถ้าหากว่าพวกอัสลัม ฆิฟาร มุซัยนะห์ และข้าพเจ้าคิดว่าเป็น ยุไฮนะห์ ดียิ่งกว่าตระกูลตะมีม ตระกูลอามิร อะสัด และฆอตอฟาน แล้วพวกเขาจะพินาศและขาดทุนอย่างนั้นหรือเขาตอบว่า (มิใช่เช่นนั้น) ครับ ท่านนบ จึงกล่าวว่า                                                                              สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า     ความจริงพวกเขาดีกว่าพวกนั้น[470] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

ตัวบทของบุคอรีและมุสลิมว่า อัสลัม ฆิฟาร และส่วนหนึ่งจากมุซัยนะห์ และยุไฮนะห์ หรือท่านได้กล่าวว่าและส่วนหนึ่งจากยุไฮนะห์และมุซัยนะห์นั้นมีความดี ณ พระองค์อัลลอฮ์ หรือท่านได้กล่าวว่าในวันกิยามะห์ยิ่งกว่าพวกอะสัด ตะมีม ฮะวาซิน และฆอตอฟาน

ตัวบทของมุสลิมและติรมีซีว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของมุฮัมมัดอยู่ในเงือมมือของพระองค์ว่า ฆิฟาร อัสลัม มุซัยนะห์ และส่วนหนึ่งจากบุคคลทิ่มาจากยุไฮนะห์ มีความดี ณ พระองค์อัลลอฮ์ ในวันกิยามะห์ ยิ่งกว่า อะสัด ตอยยิอุ และฆอตอฟาน

ตระกูลตะมีม เดาส์ และตอยยิอฺ 691

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ายังคงรักตระกูลตะมีม เพราะ สามประการที่ข้าพเจ้าได้ยินมาจากท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ข้าพเจ้าได้ยินท่านกล่าวว่า พวก เขาคือประชากรของข้าพเจ้าทิ่มีความเข้มแข็งต่อดัจญาล และขณะที่ทรัพย์ซะกาตของพวกเขาได้ มา ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่านี่คือทรัพย์ซะกาตทิ่มาจากพวกของเรา และได้ปรากฏ ว่ามีเชลยหญิงคนหนึ่งอยู่กับอาอิชะห์ ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เธอจงปล่อยหล่อน ให้เป็นอิสระ เพราะความจริงหล่อนเป็นถูกหลานของอิสมาอีล[471] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม 

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่า ตุไฟล์และสหายของเขาได้มาแล้วพูด ชื้นว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงพวกเดาส์ได้ทรยศและดื้อดึง ดังนั้นท่านจงวิงวอนต่ออัลเลาะห์ให้ความพินาศจงประสบกับพวกเขา และได้มีผู้กล่าวว่า พวกเดาส์ได้พินาศแล้ว ต่อมาท่านนบีได้กล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดทางนำที่ถูกต้องแก่ชาวเดาส์ และได้ โปรดนำพวกเขามา[472] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม 

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์  ) ได้กล่าวว่าขณะที่ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี  ซ.ล. ข้าพเจ้าได้กล่าวในระหว่างเดินทางว่า อะไรหนอทำให้เวลากลางคืนยาวนานเหลือเกินและช่าง เหน็ดเหนื่อย แต่มันก็ทำให้มีความสุขที่พ้นออกมาจากดินแดนที่ไม่มีศรัทธา และได้ปรากฏว่ามี ทาสคนหนึ่งเดินทางมาพร้อมกับข้าพเจ้าด้วยและได้หลบหนีไประหว่างทาง เมื่อข้าพเจ้าได้มาถึง ท่านนบี  ซ.ล. และได้ให้สัตยาบันแก่ท่าน ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่กับท่านนั้น บังเอิญทาสคนนั้นได้ โผล่เข้ามา ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า โอ้อะบู ฮุรอยเราะห์นี่คือทาสของท่าน ข้าพเจ้า จึงได้กล่าวว่าข้าพเจ้าขอปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ เพื่อพระองค์อัลเลาะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากอะดี บิน ฮาติม  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ามาหาอุมัร  ร.ฎ. เขาได้กล่าวแก่ ข้าพเจ้าว่า แท้จริงซะกาตครั้งแรกที่ทำให้ใบหน้าของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. และใบหน้าของ บรรดาอัครสาวกของท่านเบิกบานนั้นคือ ซะกาตของ ตอยยิอุ ซึ่งท่านเป็นผู้นำมอบแก่ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล.[473] 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม

และเล่าจากเขา (อะดี) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาอุมัร พร้อมด้วยบุคคลคณะหนึ่ง อุมัรได้เรียกพวกเขา ที่ละคน ที่ละคน และถามซื่อพวกเขา ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ท่านไม่รู้จัก ข้าพเจ้าหรือ โอ้ ท่านผู้นำของเหล่าผู้มีศรัทธา อุมัรกล่าวว่าแน่นอนข้าพเจ้ารู้จักท่าน ท่านเข้า รับศาสนาอิสลามขณะที่พวทเขาทรยศ ท่านผินหน้ามาขณะที่พวกเขาหันหลังให้ท่านปฏิบัติตาม สัญญาขณะที่พวกเขาผิดสัญญา และท่านยอมรับขณะที่พวกเขาปฏิเสธ อะดีได้กล่าวว่าดังนั้น ข้าพเจ้าก็จะไม่หวั่นไหวใดๆ 

รายงานโดยบุคอรีในเรื่องคณะของตอยยิอุ

ซะกีฟและตระกูลฮะนีฟะห์

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. ว่า พวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ลูกธนูของเผ่าซะกีฟ ได้เผาผลาญพวกเรา ดังนั้นท่านจงวิงวอนต่ออัลลอฮ์ใหัทำลายพวกเขา ท่านได้กล่าวว่า ข้าแด่ พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดทางนำแก่พวกชะกีฟ[474] และชาวอาหรับพเนจรคนหนึ่งได้มอบลูกอูฐตัวหนึ่งเป็นของกำนัลแก่ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ท่านได้มอบตอบแทนแก่เขาด้วยลูกอูฐหกตัว แต่เขาไม่พอใจ ท่านนบีได้ทราบข่าวนั้น ท่านได้กล่าวสรรเสริญพระองค์อัลลอฮ์ และได้กล่าวสดุดีพระองค์ จากนั้นท่านได้กล่าวว่า แท้จริงชายคนหนึ่งได้มอบลูกอูฐตัวหนึ่งเป็นกำนัลแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้ตอบแทนเขาด้วย ถูกอูฐหกตัว และเขายังคงไม่พอใจ แท้จริงข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่รับของกำนัลจากใครอีก นอก จากชาวกุเรซ หรืออันซอร หรือชะกีฟ หรือเดาส์

เล่าจากอิมรอน บิน ฮุซอยน์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี  ซ.ล. ได้เสียชีวิตไป โดย ท่านให้เกียรติแก่สามพวกคือ ซะกีฟ บะนี ฮะนีฟะห์ และบะนี อุไมยะห์

รายงานหะดีษทั้งสามโดยติรมิซี

ความประเสริฐของชาวอาหรับ และแคว้นฮิยาซ

เล่าจากยาบิร  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความแข้งกระด้าง ของหัวใจ และความกักขฬะอยู่ทางทิศตะวันออก ส่วนความศรัทธามีอยู่ในชาวฮิยาช[475] 

รายงานหะดีษโดยมุสลิม

เล่าจาก อุมมุ ซะรีก  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ประชาชน จะหนีจาก ดัจญาลจนกระทั่งไปติดภูเขา อุมมะ ซะรีกได้ถามว่า ชาวอาหรับอยู่ที่ไหนในวันนั้น โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านตอบว่า พวกเขามีจำนวนน้อย 

รายงานหะดีษโดยติรมิซี และมุสลิมในเรื่อง วิกฤฅิการต่าง ๆ

เล่าจากซะมุเราะห์  ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชามเป็นบิดาของ ชาวอาหรับ ยาหิเซ เป็นบิดาของโรมัน และฮามเป็นบิดาของชาว อะบิสีเนีย[476]

เล่าจากซัลมาน  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า โอ้ซัลมาน ท่านอย่าโกรธข้าพเจ้า และทิ้งศาสนาของท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอห์ ข้าพเจ้าจะโกรธท่านได้อย่างไร เพราะด้วยท่านนั่นแหละที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทางนำแก่พวกเรา ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านโกรธชาวอาหรับเท่ากับโกรธข้าพเจ้า

เล่าจากอุสมาน  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผูใดหลอกลวงชาวอาหรับ เขาจะไม่ได้เข้าอยู่ในการช่วยเหลือของข้าพเจ้า และความรักของข้าพเจ้าจะไม่ได้ ประสบกับเขา 

รายงานหะดีษทั้งสามโดยติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ว่าแท้จริง ท่านนบี  ซ.ล. ได้สั่งเสียไว้สามประการ ท่านได้กล่าวว่า พวกท่านจะขับไล่พวกมุชริกีน (พวกผู้ตั้งภาคี) ออกไปจากคาบสมุทรอาหรับ และท่านทั้งหลายจงให้ความคุ้มครองแก่คณะบุคคลที่เข้ามาเหมือนกับที่ข้าพเจ้าได้ให้ความคุ้มครองแก่พวกเขามาแล้ว และผู้เล่าได้หยุดนิ่งไม่เอ่ยถึงประการที่สามคล้ายกับเขาลืมและได้มีผู้กล่าวว่า ประการที่สามคือ ท่านทั้งหลายอย่ายึดเอาหลุมฝังศพของข้าพเจ้าเป็นสกานที่สักการะ[477] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อบนิ อับบาส) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า จะไม่มีสองทิศที่เป็น จุดมุ่งในการทำอิบาดะห์ภายในประเทศเดียวกัน[478] 

รายงานหะดีษโดยอะบูดาวูด ติรมิซี 

และอุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะต้องขับไล่ยะฮูดี และนะซอรอ ออกจากคาบสมุทรอาหรับ ข้าพเจ้าจะไม่ปล่อยให้ เหลืออยู่ในคาบสมุทรอาหรับนอกจากมุสลิม 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

ความประเสริฐของยะมันและ อุมาน

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์   ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ชาวยะมันได้มา พวกเขามีจิตใจอ่อนโยน ความศรัทธาอยู่กับชาวยะมัน ความเข้าใจในศาสนาอยู่กับชาวยะมัน และวิทยะปัญญาอยู่กับชาวยะมัน และในบางรายงานว่า ซาวยะมันได้มาหาพวกท่าน พวกเขามีหัวใจที่อ่อนโยนและจิตใจที่ใสสะอาด ความศรัทธาอยู่กับชาวยะมัน และวิทยปัญญาอยู่กับชาวยะมัน และหัวของการทรยศอยู่ทางด้านทิศตะวันออก[479]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

อะนัส บิน มาลิก ได้กล่าวว่า ถ้าหากพวกเราไม่ใช่เป็นชาว อัซดุ [480] พวกเราก็ไม่ใช่ เป็นมนุษย์

และเล่าจากเขา (อะนัส) จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัซดฺ เป็นราชสีห์ของอัลลอฮ์ ในหน้าพื้นแผ่นดินมวลมนุษย์ต้องการทำให้พวกเขาตกต่ำ แต่พระองค์อัลลอฮ์ไม่ยอมนอกจาก จะยกพวกเขาให้สูงขึ้น และยุคหนึ่งจะมาถึงมวลมนุษย์ ที่ผู้ชายคนหนึ่งจะกล่าวว่า โอ้ หวังว่า บิดาของข้าพเจ้าจะเป็นชาว อัชดฺ โอ้ หวังว่ามารดาของข้าพเจ้าจะเป็นชาว อัชดุ[481]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า อำนาจการปกครองอยู่ในหมู่พวกกุเรซ การตัดสินอยู่ในพวก อันซอร การ อะซาน อยู่ในพวก อะบิสิเนีย และความซื่อสัตย์อยู่ในพวก อัชดุ

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่า พวกเราอยู่กับท่านนบี  ซ.ล. ต่อมา ชายคนหนึ่งจากเผ่ากอยส์ ได้มาแล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ จงสาปแช่งพวก ฮิมกัร ท่านได้เบือนหน้าออกจากเขา ชายผู้นั้นได้มาหาท่านทางอีกด้านหนึ่ง ท่านก็ได้เบือนหน้าหนีจาก เขา ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ได้ให้ความเมตตาแก่พวกฮิมยัร[482] ปากของพวกเขา มีสลาม มือของพวกเขามีอาหาร พวกเขาเป็นพวกที่มีความซื่อสัตย์และศรัทธา

รายงานหะดีษทั้งสองโดยติรมิซี

เล่าจากอะบีบัรซะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านรอซูล้ลเลาะห์  ซ.ล. ได้ส่งชายคนหนึ่ง เป็นตัวแทนไปยังเผ่าหนึ่งจากบรรดาเผ่าต่าง ๆ ของชาวอาหรับ พวกนั้นได้ด่าประนามเขา และ ได้ตบตีเขา ต่อมาชายคนนั้นได้มาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. และได้บอกให้ท่านทราบ ท่าน ได้กล่าวว่า แท้จริงชาว อุมาน[483]นั้นถ้าหากท่านได้ไปหาพวกเขาจะไม่ด่าประนามท่าน และไม่ ตบตีท่าน 

รายงานโดยมุสลิม

ความประเสริฐของเปอร์เซีย[484]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ถ้าหากศาสนาอยู่ไกลถึงดาวลูกไก่ ก็จะมีชายคนหนึ่งจากเปอร์เซียไปหา หรือได้กล่าวว่า จากถูกหลานของชาวเปอร์เซีย จนกระทั่งเขา จะคว้ามันมา[485] 

รายงานโดยมุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่า พวกเราอยู่กับท่านนบี  ซ.ล. บังเอิญ ซูเราะห์ อัลยุมอะห์ ได้ประทานลงมา เมื่อท่านได้อ่านข้อความที่ว่า และกลุ่มอื่นๆ จากพวกเขา เหล่านั้น นี่งพวกเขายังไม่เคยติดต่อกับพวกเขามาก่อนเลย ชายคนหนึ่งได้ถามขึ้นว่า ใครคือพวก เขาเหล่านั้นที่ยังไม่เคยติดต่อกับพวกเรา โอ้ท่านเราะซูลุลลอห์ ท่านไม่ตอบชายผู้นั้น จนเขาได้ ถามขึ้นเป็นครั้งที่สองหรือครั้งที่สาม ท่านได้ตอบว่า ในหมู่พวกเรามี ซัลมาน อัลฟาริซี (ชาว เปอร์เซีย) จากนั้นท่านนบีไตัวางมือของท่านลงบนร่างของซัลมาน แล้วกล่าวว่า ถ้าหากการ ศรัทธาอยู่ถึงดาวถูกไก่ สุภาพบุรุษจากพวกเขาเหล่านั้นก็จะคว้ามันมาได้[486] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) ได้กล่าวว่า ได้มีการกล่าวถึงชนชาติที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ ที่ท่านนบี  ซ.ล. ท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าอยู่กับพวกเขาหรือบางส่วนของพวกเขา ไว้ใจได้ยิ่งกว่าที่ข้าพเจ้าอยู่กับพวกท่านหรือบางส่วนของพวกท่าน

รายงานหะดีษโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ฆอรีบ

ความประเสริฐของ ชาม[487]

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ข้าแด่พระองค์ อัลลอฮ์ได้โปรดประทานความเพิ่มพูนแก่เราในประเทศ ชาม ของเรา ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดประทานความเพิ่มพูนแก่เราในประเทศ ยะมันของเรา พวกเขาได้กล่าวว่า และในแคว้น นัจติ ของเรา ท่านได้กล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดประทานความเพิ่มพูนแก่เราใน ประเทศชามของเรา และได้โปรดประทานความเพิ่มพูนแก่เราในประเทศ ยะมันของเรา พวกเขา ได้กล่าวว่า และในแคว้น นัจติ ของเรา ท่านได้กล่าวว่า ที่โน่นมีแผ่นดินไหว และมีวิกฤติการ ร้ายแรง และที่แคว้น นัจดินั้น หรือได้กล่าวว่าจากแคว้นนัจดิ เขาของชัยฏอนจะโผล่ออกมา[488] 

รายงานโดยติรมิซี ในเรื่องนี้และบุคอรีในเรื่องวิกฤตการต่าง ๆ

ตัวบทของบุคอรีว่า ท่านได้กล่าวในครั้งที่สามว่า ที่โน่นมีแผ่นดินไหวและมีวิกฤติการร้ายแรง และเขาของไซดอนจะโผล่ออกมาที่นั่น

เล่าจากมุอาวิยะห์ บิน กุรเราะห์  ร.ฎ. จากบิดาของเขาจากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อชาวชามเสื่อมเสียก็จะไม่มีความดีในพวกท่าน จะยังมีคนกลุ่มหนึ่งจากประชากรของข้าพเจ้า ถูกช่วยเหลือ โดยจะไม่เป็นภัยกับพวกเขา ผู้ที่ทอดทิ้งพวกเขาจนถึงวันกิยามะห์[489]

เล่าจาก บะห์ซฺ ฮะกีม จากบิดาของเขาจากปู่ของเขา  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอห์ ท่านจะใช้ข้าพเจ้าให้ไปอยู่ที่ไหน[490]  ท่านได้กล่าวว่า ที่โน้น และ ได้ชี้มือไปทางชาม

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่าต่อไปจะมี ไฟออกมาจากทางด้านเมือง ฮัดรอเมาต์ ก่อนวันกิยามะห์ มันจะล้อมมวลมนุษย์ พวกเขาได้ ถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอห์ ท่านจะสั่งอะไรแก1พวกเราบ้าง ท่านได้กล่าวว่า ให้พวกท่านไปที่ชาม 

รายงานงานโดยติรมิซี ในเรื่องวิกฤตการต่าง ๆ

เล่าจาก เชด บิน ซาบิต ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราอยู่ที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. พวกเรากำลังรวบรวมอัลกุรอานจากแผ่นหนัง ท่านรอซูลุลเลาะห์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า โชคดีเป็นของชาม พวกเราถามว่า เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านตอบว่า เพราะ แท้จริงมวลมะลาอิกะห์ของพระผู้เป็นเจ้าที่มีความเมตตาได้ยื่นปีกออกคลุม ไว้

รายงานโดยติรมิซี ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

คำสั่งเสียของท่านนบี  ซ.ล. ให้ปฎิบัติต่อชาว มิสร์ (อียิปต์)

อัลลอฮ์ ตาอาลา ได้ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงเข้าสู่ มิสร์ อย่างมีความปลอดภัยเถิด หากอัลเลาะห์ทรงประสงค์” พระองค์อัลลอฮ์ผู้ยิงใหญ่ทรงมีสัจจะ

เล่าจากอะบี ซัรร์  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงพวก ท่าน จะได้ปกครองมิสร์ ซึงเป็นดินแดนที่มีต่าว่า กีร๊อต ถูกกล่าวขานในแผ่นดินแห่งนั้น เมื่อ พวกท่านได้พิซิตมัน ให้พวกท่านจงปฏิบัติด้วยดีแก่ชาวมิสร์ เพราะแท้จริงพวกเขามี พันธะ และเป็นเครือญาติ หรือท่านได้กล่าวว่า มีพันธะและเกี่ยวดอง เมื่อท่านพบชายสองคนทะเลาะกันในมิสร์ ด้วยเรื่องสถานที่ๆ จะวางก้อนอิฐ เพียงก้อนเดียว ให้ท่านจงออกจากมิสร[491] ผู้เล่า ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าใต้เห็น อับดุรเราะห์มาน บิน ซุรอห์บิล กับน้องชายของเขา คือ รอบีอะห์ ทะเลาะกันในเรื่องสถานที่ๆ จะวางก้อนอิฐเพียงก้อนเดียว ข้าพเจ้าจึงได้ออกมาจาก มิสร์[492]

และในบางรายงานว่า แท้จริงพวกท่านจะได้เข้าครอบครองพื้นแผ่นดินที่มีการกล่าวขาน คำว่า กิร๊อต ในแผนดินนั้น ดังนันให้พวกท่านจงสั่งเสียกันให้ปฏิบัติอย่างดีแก่ประชาชนในพื้นแผ่นดินนั้น เพราะพวกเขามิพันธะ และเป็นเครือญาติ 

รายงานโดยมุสลม

ความประเสริฐของประชากรมุฮำหมํด  ซ.ล.

อัลลอฮ์ตาอาลาได้ตรัสว่า “พวกท่านเป็นประชากรที่ดีที่สุดที่ถูกให้อุบัติชื้นมา เพื่อมวลมนุษย์ พวกท่านใช้ให้ทำความดี ห้ามจากสิ่งที่เป็นความชั่ว และพวกท่านศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และถ้าหากชาวคัมภีร์มิศรัทธา นั่นก็เป็นความดีแก่พวกเขาบางส่วนจากพวกเขาเท่านั้นที่เป็นผู้ ศรัทธาแต่ส่วนใหญ่ของพวกเขาเป็นพวกที่ชั่วร้าย”

เล่าจากอะบี มูซา  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เปรียบบรรดามุสลิม ยะฮูด และ น่าชอรอ[493] เหมือนชายคนหนึ่งที่ได้ว่าจ้างคนกลุ่มหนึ่งทำงานให้แก่เขาจนถึงเวลากลางคืน พวกนั้นทำงานไปได้ครึ่งวัน จึงได้กล่าวว่า พวกเราไม่มิความจำเป็นในค่าจ้างของท่าน ชายผู้นั้นจึงได้ว่าจ้างคนอีกกลุ่มหนึ่งแล้วกล่าวว่า จงทำงานให้ครบส่วนที่เหลืออยู่ของวัน โดยพวกท่าน จะได้รับตามเงือนไขที่ข้าพเจ้าได้ตกลงไว้กับพวกแรก พวกที่สองจึงได้ลงมือทำงาน จนกระทั่ง เมื่อถึงเวลาเย์น พวกเขาได้กล่าวว่า พวกเราเลิกทำงานแล้ว ชายผู้นั้นจึงไปว่าจ้างพวกที่สาม และพวกเขาได้ทำงานในเวลาที่เหลืออยู่ของวันนั้น จนกระทั่งตะวันตกและพวกเขาก็ได้รับค่า จ้างของทั้งสองพวกนั้นอย่างสมบูรณ์[494]

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงที่ เหลืออยู่สำหรับพวกท่านในสิ่งที่ได้ผ่านพันไปก่อนพวกท่านจากประชากรในยุคก่อนๆ เหมือนกับ ช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างละหมาด อัสร์ จนถึงตะวันตกพวกที่ศรัทธาในคัมภีร์เตาร๊อต ได้ถูกประทาน คัมภีร์เตาร็อตให้ พวกเขาได้ปฏิบัติตามคัมภีร์นั้นจนถึงครึ่งวัน พวกเขาก็หมดความสามารถ จึงถูกประทานผลบุญให้ หนึ่งกีร๊อต หนึ่งกีร๊อต ต่อมาพวกที่ศรัทธาในคัมภีร์ อินยีล ได้ถูก ประทานคัมภีร์ อินยีลให้พวกเขาได้ปฏิบัติไปจนถึงละหมาดอัสร์ จากนั้นพวกเขาก็หมดความ สามารก จึงถูกประทานผลบุญให้ หนึ่งกีร๊อต หนึ่งกีร๊อต ต่อมาภายหลังพวกเราได้ถูกประทาน คัมภีร์อัลกุรอาน พวกเราได้ปฏิบัติไปจนถึงตะวันตก และพวกเราก็ถูกประทานผลบุญให้ สอง กีร๊อต สองกีร๊อต พวกที่ศรัทธาในสองคัมภีร์นั้นได้กล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของเรา พระองค์ ท่านได้มอบให้แก่พวกนั้น สองกีร๊อต สองกีร๊อต แต่พระองค์ท่านได้มอบให้แก่พวกเราเพียง หนึ่งกีร๊อต หนึ่งกีร๊อต ทั้งที่พวกเราทำงานมากกว่า พระองค์อัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ได้ตรัสว่า เราได้ทุจริตสิ่งใดจากผลบุญของพวกท่านหรือ พวกเขาตอบว่าเปล่า พระองค์จึงได้ตรัส ว่า นั่นเป็นความโปรดปรานของเรา ที่จะมอบให้แก่บุคคลที่เราต้องการ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดยบุคอรี มาลิก อะห์มัด และติรมิซี

เล่าจากสะอัด  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล. ได้มุ่งหน้ามาจากที่สูง ในวันหนึ่ง ท่านได้ผ่านมัสญิดของตระถูลมุอาวิยะห์ท่านได้ละหมาดสองรอกาอัตและพวกเราได้ละหมาด พร้อมกับท่าน ท่านได้วิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของท่านเป็นเวลานานจากนั้นได้หันมาทางพวก เราแล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าได้ขอต่อพระผู้อภิบาลของข้าพเจ้าสามประการพระองค์ได้ประทานให้ แก่ข้าพเจ้าสองประการ และได้ยับยั้งข้าพเจ้าไว้หนึ่งประการ ข้าพเจ้าได้ขอต่อพระอภิบาลของ ข้าพเจ้าไม่ให้ทำลายประชากรของข้าพเจ้าด้วยความแห้งแล้ง พระองค์ได้ สนองคำขอของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ขอต่อพระองค์ไม่ให้ทำลายประชากรของข้าพเจ้าด้วยการจมนํ้า และในบางรายงาน ว่า ไม่ให้ศัตรูเข้าปกครองพวกเขาจากศัตรูที่เป็นฝ่ายอื่น พระองค์ได้สนองคำขอของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้ขอต่อพระองค์ไม่ให้ความทุกข์ยากของพวกเขาเกิดขึ้นระหว่างพวกเขากันเอง แต่ทานได้ยับยังไว้[495] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบู ดาวูด และติรมิซี

และตัวบทของอะบี ดาวูดว่า แท้จริงพระองค์อัลเลาะห์ได้ให้ความคุ้มครองพวกท่านจาก สามประการคือ นบีของพวกท่านจะไม่วิงวอนให้เกิดอันตรายกับพวกท่าน อันจะเป็นเหตุให้ พวกท่านพินาศทั้งหมด ฝ่ายโป้ปดมดเท็จจะไม่มีชัยชนะเหนือฝ่ายสัจธรรม และพวกเขาจะไม่มติบนความหลงผิด

เล่าจากอะบี มูซา  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า ประชากรของข้าพเจ้านี่[496] ถูกเมตตา ไม่มีการลงโทษเหนือพวกเขาในอาคิเราะห์ การลงโทษพวกเขาในโลกนี้คือ วิกฤติการร้ายแรง แผ่นตินไหว และการฆ่า 

รานงานโดยอะบู ดาวุด ตอบรอนี และฮากีม

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ จะบังเกิดให้แก่ประชากรนี้ ทุกๆ ต้นหนึ่งร้อยปี บุคคลที่จะมาปฏิรูปศาสนาซองพวกเขา ให้ แก่พวกเขา[497] 

รายงานโดยอะบู ดาวูด ฮากีม และบัยหะกี

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่า เปรียบประชากรของข้าพเจ้า เหมือนนํ้าฝน ไม่รู้ว่าตอนด้นหรือตอนปลายทิ่มีความดี 

รายงานโดยติรมิซีและฮากีม

ตัวบทของฮากิมว่า ประชากรของข้าพเจ้าเป็นประชากรที่ถูกเมตตา ถูกอภัยโทษ และ ถูกรับพิจารณาการกลับตัว (เตาบะห์)

เล่าจากอิบนิ อุมัร  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล. ได้กล่าวว่าแท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ให้ประชากร ของข้าพเจ้ารวมกัน หรือได้กล่าวว่า ประชากร[498]ของมุฮัมมัด  ซ.ล. บนความหลงผิด และ มือของอัลลอฮ์พร้อมอยู่กับคนหมู่มาก และผู้ใดปลีกตัวออกไปเขาก็ปลีกตัวออกไปสู่นรก[499] 

รายงานโดยติรมิซี ในภาควิกฤติการด่าง ๆ

 

image5


 


 

 


 

          1 คือซูเราะห์อัลฟาลักและอันนาสแล้วเป่า

[2] คือซูเราะห์อัลฟะลัก และอันนาส

[3] เพราะชุเราะห์ทั้งสองถูกประทานลงนาเพื่อให้ใช้ขอป้องกัน

[4] ผู้พูดคืออะบูสะอีด

[5] จำนวนสามสิบตัว

[6] คืออ่านซูเราะห์อัลฟาติฮะห์ เจ็ดจบโดยอ่านจบหนึ่งเป่าครั้งหนึ่ง

[7]หมายความว่า อนุญาตให้พวกท่านเอาค่าจ้างที่เกิดขึ้นด้วยคัมภีร์ของอัลลอฮ์ได้มาว่าจะในรูปของการเป่าคาถาหรืออ่านหรือเขียนหรือสอนหรืออื่นๆโดยอาศัยหลักฐานกว้างๆของหะดิษนี้ และนี่เป็นทรรศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ อะบูฮะนีฟะห์และอะห์มัดได้กล่าวว่า ไม่อณุญาตให้เอาค่าจ้างบนคัมภีร์อัลกุรอายนอกจากในเรื่องเป่าคาถาเพราะมีหะดิษระบุไว้ชัดเจนต่างกับอย่างอื่นที่ไม่มีหะดิษระบุไว้ เพราะอัลกุรอานนั้นเป็นอิบาดะห์ผลบุญของอิบาดะห์นั้นขึ้นอยู่กับพระองค์อัลลอฮ์ตะอาลา

[8] ชาวอาหรับในสมัยยาฮิลียะห์มีความเชื่อถ์อในสิ่งเหล่านี้ เชื่อถือในเรื่องโรคติดต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง เชื่อถือในเรื่องโชคลางโดยนิยมใช้นกเป็นสื่อโดยเชื่อว่าถ้านกบินมาทางด้านขวาเป็นลางดี ถ้ามาทางด้านซ้ายเป็นลางร้าย พวกเขาเชื่อถือในเรื่องดวงดาวว่ามีอิทธิพลทำให้ฝนตก และถือเอาเดือนซอฟัรเป็นเดือนต้องห้ามทำสงครามว่าเป็นเดือนต้องห้ามปีหนึ่งและอณุญาตปีหนึ่งสลับกันไป

[9] คือท่านได้กล่าวว่า ถ้าหากอูฐที่เป็นขี้กลากทำให้อูฐที่ดีๆติดโรคไปจากมันแล้ว อูฐตัวแรกที่เป็นขี้กลากนั้นติดโรคมาจากไหน อาหรับชนบทคนนั้นหยุดนิ่งไม่ตอบเพราะจำนนด้วยหลักฐาน

[10] คืออย่านำอูฐที่เป็นโรคมายังอูฐที่ดี เพราะจะเป็นเหตุให้ติดโรคล้มป่วยลงไปได้ ได้มีผู้กล่าวขึ้นว่านี่แหละคือโรคติดต่อ เมื่ออะบูฮุรอยเราะห์ได้เล่าหะดิษนี้จึงถูกคัดค้านและมีผู้กล่าวแก่เขาว่าท่านได้รายงานหะดิษที่ว่า ไม่มีโรคติดต่อ แล้วหะดิษนี้เป็นอย่างไร อะบูฮุรอยเราะห์โกรธและได้พูดเป็นภาษาอะบิซิเนียคล้ายกับเขาลืม อะบูซะลามะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าอะบูฮุรอยเราะห์ลืมหะดิษที่ว่าไม่มีโรคติดต่อหรือหะดิษหนึ่งหะดิษใดได้ยกเลิกหะดิษหนึ่งกันแน่

[11] คือไม่ให้ปะปนกับคนที่เป็นโรคเรื้อน

[12]  ท่านนบี ซ.ล.ได้ให้คำมั่นกับเขาในระยะไกล เนื่องจากเขาป่วยด้วยโรคเรื้อนและไม่ถือว่ามีการขัดแย้งกันระหว่างสามหะดิษ แรกที่ปฎิเสธโรคติดต่อ และระหว่าหะดิษหลังๆเพราะความหมายที่ว่า ไม่มีโรคติดต่อนั่นหมายถึงไม่มีโรคใดๆที่มันจะทำให้ติดต่อด้วยตัวมันเอง โดยมิใช่เป็นการกระทำของอัลลอฮ์ ดังผู้คนยุคญาฮิลิยะห์เชื่อถือ และหะดีษหลังๆ นั้นชี้แนะว่า ให้มีการป้องกันและออกห่างผู้ป่วยของเขาจะติดต่อไปยังคนข้างเคียง หรือติดต่อโดยไปสัมผัสกับผู้ป่วยด้วยการกำหนดของอัลลอฮ์ เพราะกลัวว่าจะเข้าใจไปว่า โรคนั้นติดต่อด้วยตัวมันเอง

[13] โชคร้ายในม้าคือ มันพยศ โชคร้ายในผู้หญิงคือรูปชั่วเป็นหมันไม่มีบุตร

[14]  เมื่อพวกเขาเปิดเผยให้ท่านนบี ซ.ล. ทราบว่า พวกเขาถือโชคลางจากบ้านหลังนั้น ท่านจึงใช้ให้พวกเขาย้ายบ้านเพื่อให้พ้นจากการเชื่อโชคลางและมองในแง่ร้าย

[15] ลางดีคือสิ่งบอกเหตุที่ดี เช่น ผู้ป่วยได้ยินคำว่า “ผู้ที่ปลอดภัย” มันเป็นสิ่งบอกเหตุให้รู้ว่าเขาจะหายป่วย เป็นต้น

[16] ท่านนบี ซ.ล.ชอบชื่อคนงานที่ดี และชื่อของตำบลที่ดี

[17] คือมันจะไม่ขัดขวางความตั้งใจของเขา แต่มันจะทำให้ลุล่วงไปได้

[18]       เป็นการกล่าวย้ำเพื่อให้ออกห่างไกลจากการถือโชคลางเพราะผู้ใดเชื่อถือว่าลางนั้นสามารถให้คุณให้โทษได้ก็เท่ากับเขาได้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์

[19] หมายความว่าญินได้ไปแอบฟังเรื่องราวต่างๆที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดจากมาลาอิกะห์และจะนำมากระซิบให้โหรที่เป็นคนรักของมันรู้ และโหรนั้นก็จะเอาเรื่องโกหกผสมเข้าไปเกินกว่าร้อยเรื่อง          

[20] หมายความว่า ญินได้ใปแอบฟังเรื่องราวต่างๆ ที่อัลเลาะห์ทรงกำหนดจากมะลาอิกะห์  และจะนำมากระซิบให้โหรที่เป็นคนรักของมันรู้และโหรนั้นก็จะเอาเรื่องโกหกผสมเข้าไป เก็นกว่าร้อยเรื่อง

[21] ผู้ใดได้ศึกษาเกี่ยวกับดวงดาวเหมือนกับเขาเรียนการกระทำคุณ เขายิ่งเพิ่มในการเรียนเกี่ยวกับดวงดาวมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งจมอยู่ในการกระทำคุณมากเท่านั้น บุคคลเช่นนี้ถูกประณามถ้าหากเขาเข้าใจว่า ดวงดาวนั้นมีอิทธิพลในจักรวาลเช่นดวงดาวนั้นมีอิทธิพลทำให้ฝนตก ดวงนี้ทำให้เกิดพายุ ดวงโน้นทำให้แห้งแล้งข้าวยากหมากแพงเป็นต้น ส่วนการรู้จักดวงดาวต่างๆเพื่อให้เกิดแนวทางในการรู้จักพระผู้บังเกิดคืออัลลอฮ์หรือรู้จักเวลา รู้จักทิศกิบลัต รู้จักเดือนต่างๆรู้ทิศที่จะใช้เดินทางเหล่านี้ไม่อยู่ในข้อห้าม แต่กลับเป็นสิ่งที่ศาสนาเรียกร้องอีกด้วย พระองค์อัลลอฮ์ได้ตรัสว่า และพวกเขาจะได้ทางนำด้วยดวงดาวต่างๆ

22  พราะบัญญัติศาสนาห้ามเชื่อถือโหรทำนาย ห้ามร่วมสังวาสขณะมีประจำเดือนและทางทวารหนัก ที่ว่านี้ถ้าหากเขาถือว่าฮาล้าล ถ้ากระทำโดยไม่ถือว่าฮาลาลหะดิษนี้เป็นเป็นการเตือนให้ออกห่างไกลจากสิ่งดังกล่าว เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นบาปใหญ่นอกจากกระทำเป็นประจำ

 

 

[23] ที่ว่านี้หหากเขาเห็นว่าเป็นสิ่งฮาลาล ถ้าเขาไม่ถือว่าเป็นสิ่งฮาล้าลหะดิษนี้ก็เป็นการขู่ และสัญญาลงโทษอย่างรุนแรง

[24] คือ เคยมีนบีท่านหนึ่งจากบรรดานบีเคยขีดเขียนเพื่อทำนาย ดังนั้นผู้ใดที่การขีดเขียนของเขาตรงกับความจริงก็อนุญาตให้ เขาขีดเขียน พอทำนายให้ ผู้ไดที่ไม่ตรงกับความจริงก็ไม่อนุญาตให้นบีท่านนี้บางกระแสว่าคือนบีอิดรีส บางกระแสว่าคือดานิยาล (อ.ล.) ท่านเคยขีดเขียนที่พื้นทรายด้วยคำสั่งของอัลลอฮ์หรือด้วยการดลใจของพระองค์ บัดนี้การขีดเขียน พอทำนายได้ศูนย์หายไปแล้ว ไม่อนุญาตให้เชื่อถือผู้ที่อ้างตนว่ามีความรู้ด้านนี้

[25] เพื่อเอาลางดี ลางร้ายจากการบินขึ้นไปของมัน

[26] ไม่ว่าจะเป็นการถือโชคลางด้วยสิ่งใด ๆ

[27] ซึ่งเป็นการทำนายอย่างหนึ่งของชาวอาหรับ

[28] การกระทำสิ่งใดจากทั้งสามอย่างนี้ถือว่าฮารอม และการเชื่อถือก็ฮารอม

[29] ในความฝัน เพราะการกระทำในสิ่งเหล่านั้นจิตใจจะไม่ปลอดภัยจากการผูกพันกับมัน ซึ่งจะกลายเป็นการตั้งภาคีแบบแฝงเร้น แต่ พวกเขาเหล่านั้นมอบหมายทุกสิ่งทุกอย่างไว้กบพระองค์อัลลอฮ์มั่นใจในพระองค์ของข้าพเจ้า 

[30] เพราะการกระทำในสิ่งเหล่านั้นจิตใจจะไม่ปลอดภัยจากการผูกพันกับมัน ซึ่งจะกลายเป็นการตั้งภาคีแบบแฝงเร้น แต่ พวกเขาเหล่านั้นมอบหมายทุกสิ่งทุกอย่างไว้กบพระองค์อัลลอฮ์มั่นใจในพระองค์

[31]คาถาในรูปแบบของญาฮิลิยะห์

[32] หมายความว่า เพียงพอแล้วที่เธอจะใช้คาถาที่ท่านนบ ซ.ล. ได้สอนไว้ให้นี้

[33] ถ้าหากเขาได้กระทำการดังกล่าวโดยลืมนึกถึงอัลลอฮ์

[34] ถ้าหากหัวใจของเขาผูกพันอยู่กับสิ่งนั้น

[35] พระองค์อัลลอฮ์ได้เอาลญณูาว่า อ้าทากพวกเขามขวิตขนขาวไปจนได้พบกบมุฮำทม้ด ซ.ล. พวกเขาจะด้องศรทธา ต่อมุอำหมดและให้ความช่วยเหล่อเขา บรรดานบได้ให้สญญาน

[36]         ค่าว่า อัลกอรน์ (ที่แปลว่า ศตวรรษ) นั้น นกวิชาการบางท่านว่า แปดสิบปี บางท่านว่า หนึ่งร้อยยี่สิบปี บางท่านว่า

หนึ๋งร้อยปี เพราะท่านนบีได้กล่าวแก่ชายคนหนึ่งว่าท่านจงมีชีวิตอยู่ตลอด กอรน์ ปรากฎว่าชายคนนั้นมอายุยนหนึ่งร้อยปี ความหมายของหะดีษนั้ก็คือ ข้าพเจ้าเป็นส่วนที่ดีของประชาชนในรุ่นต่าง ๆ แต่ละรุ่นแต่ละรุ่นจนถึงรุ่นที่ดีที่สุดที่ข้าพเจ้าได้

ปรากฎขึ้น

[37]         หมายกวามว่าท่านนบี ซ.ล. เป็นคนแรกที่ร้องขอสิทธิ์ในการช่วยเหลือประชาชาติในวันกิยามะห์ และเป็นคนแรกที่ได้ รับสนองตอบ

[38]         คือท่านนบี ซ.ล. จะได้รับคำสรรเสริญจากมวลมนุษย์ทั้งหมด ขณะที่ท่านได้สิทธิ์ในการช่วยเหลือ

[39]         ที่ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนั้ไม่ใช่เป็นการอวดอ้างและไม่ใช่เป็นการยกตัวเอง แต่ข้าพเจ้าพูดตามความจริงเท่านั้น

[40]          กินานะห์ เป็นชื่อบรรพบุรุษคนหนิ่งของท่านนบี ซ.ล. หมายความว่าท่านนบี ซ.ล. นั้นถูกคัดเลือกจากตระกูลที่ดี จาก เผ่าที่ดี จากก๊กที่ดี ท่านจึงเป็นสิ่งประเสริฐที่สุด

[41]          คือก่อนเป่าวิฌญาณเข้าร่างอาดัม อ.ล.

[42]         “คอลีล คือมิตรแท้

[43]         ท่านนบ ซ.ล. เป็นบุคคลแรกที่ได้เข้าสวรรค์และปะะชากรของท่านขนประชากรของท่านก็ได้เข้าสวรรค์เช่นกัน

[44]        ยังคงมีสถานที่เหลืออยู่แห่งหนึ่งใน เราเดาะห์ ที่ฝังศพของท่านนบี ซ.ล. ขนาดเท่าหลุมศพ และมันจะเป็นที่ฝังคพ ของนบีอีซา อ.ล.

[45]คือผู้ที่มาเป็นคนสุดท้าย หลังจากบรรดานบีต่างๆ ดังนั้นชื่อของท่านนบี ซ.ล. ตามรายงานของเรานี้มีเจ็ดชื่อคือ มุฮัมมัด อะห์มัด อัลมาฮีย์ อัลฮาซิร อัลฮากิม นบียุตเตาบะห์ นบียุรเราะห์มะห์ ดังนี้ไม่ขัดกับรายงานที่ว่า ท่านนบี ซ.ล. มีชื่ออื่นนอกจากนี้อีก

[46]         รายงานต่าง ๆ เหล่านั้ไม่ขัดกันเพราะเมื่อท่านหวีผมจะยืดลงเรี่ยไหล่ และเมื่อท่านปล่อยไว้โดยไม่หวีผมก็จะหดสั้น บางครั้งถึงติ่งหู บางครั้งเกินกว่านั้น และบางครั้งกีต่ำกว่านัน

[47]        หะดีษนี้ชี้ว่าอนุญาตให้ปล่อยผมและหวีแสก แต่การหวีแสกนั้นประเสริฐกว่าเพราะท่านนบี ซ.ล. ได้เลือกกระทำในตอนหลัง

[48]        คือขาวและมีแสงแวววับ

[49]        ละหมาดแรกคือละหมาด ดุห์ริ

[50]      ในหะดีษนอนุญาตให้พูดคุยในมัสญิดด้วยคำพูดที่ศาสนาอนุญาต

[51]        เพื่อพิจารณาใคร่ครวญ

[52]        ทั้งสามคือ ญิบรีล มีกาอีล และอิสรอฟีล

[53]        ท่านได้นอนอยู่ในมัสญิดระหว่างชายสองคนคือ ลุงของท่านคือ ฮัมซะห์ และลูกลุงของท่านคือยะอฟัร ร.ฎ.

[54]          คือ ฮะลีมะห์ ชะอุดียะห์

55          คือเป็นพยานแก่มวลผู้ศรัทธาและเป็นพยานปรักปร่าพวกผู้ทรยศ

[56]          คือศาสนาของอิบรอฮีม อ.ล. ที่คดงอด้วยการตั้งภาคีและบูชารูปเคารพ ในช่วงเวลาที่วางเว้นจากศาสนทูต

[57]         ชายผู้นั้นไม่ได้ใช้พวกพ้องของเขาให้เข้านับถือศาสนาอิสลาม เพราะต้องการของขวัญ แต่ไต้ปรากฎแก่พวกเขาว่าท่าน นบี ซ.ล. เป็นนบีที่แท้จริงเพราะท่านจะให้โดยไม่กลัวความยากจน ซึ่งข้อนี้จะไม่เกิดจากผู้ใดนอกจากบุคคลที่ไต้รับการยืนยัน ด้วยมัวะอญิซาด และเต็มเปี่ยมต้วยความมั่นใจในสัญญาขององค์พระผู้อภิบาล

[58]        คือปศุสัตว์หนึ่งร้อยตัว ต่อมาได้ให้อีกหนึ่งร้อยตัว และอีกหนึ่งร้อยตัว

[59]        คือท่านทั้งหลายไม่ต้องตกใจกลัว ที่โน่นไม่มีสิ่งที่น่าตกใจ

[60]    อะนัส บุตร มาลิก บิดาของเขา (มาลิก) ได้เลยชี้วิตขณะเขายังเยาว์วัย     มารดาของเขาไต้แต่งงานใหม่กับอะบีตอลฮะห์

[61]         งานที่ท่านนบซ.ล. ไดผ่อนปรนให้คือ กิยามุลลัยล์ (ลุกขํ้นทำอบาดะห์ในเวลากลางคืน) ตลอดทั้งคืน นอกจากใน เดือน เราะมะฎอน

[62]         คือพวก ขาไม่ชอบและปลีกตัวออกจากงานที่ไห้รับการผ่อนปรนนั้น แต่กลับทุ่มเทให้กับการทำอบาดะห์มากยิ่งขึ้น

[63]    เช่นพระองส์อัลลอฮ์ได้ทำลายประชากรของนบีนัวห์และมูซา อ.ล.

[64]    คือม็ขนาดเท่ากับกระดุมที่ขัดกับฺห่วงของกระโจมที่พัก ชงใหญ่กว่ากระคุมเสื้อ

[65]    รายงานต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ขัดกันเพราะทุกคนรายงานดามที่ฅนแลเห็น ตราประทับบบนร่างของห่านนบี ซ.ล. เป็นปุ่มฃนาดเท่าไข่นกพิราบมีเม็ดเล็กๆ สีแดง หรือขนสีแดงขึ้นอยู่บนนั้นตั้งอยู่บนเนินของไหล่ซ้าย

[66]     นักบวชคนนั้นชื่อ ยัรยีส มีฉายาว่า บะฮีรอ

[67]     การสุหญูดของต้นไม้คือการเอนลำต้นเบื้องหน้าท่าบบี ซ.ล. และการสุหญูดของก้อนหินคือการหมุนเบื้องหน้าท่าน

[68]     คือท่านนบีมุฮัมมัด ซ.ล.

[69]       และได้ปิดข่าวท่านนบีตามคำแนะนำของนักบวชที่ได้ให้การต้อนรับพวกเขา

[70]       หะดีษไม่ขัดก้บหะดีษแรกเพราะก้อนหินนั้นเคยกล่าวสลานก่อนการแต่งตั้ง ดังนั้นการกล่าวสลามหลังการแต่งตั้งยิ่งสมควรมากกว่า

[71]         เพราะท่านอุมัรเป็นบุคคลหนึ่งจากบรรดาบุคคลที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ด้วยสิ่งที่เป็นสัจธรรม

[72]         คือ สว๊าด บุตร กอริบ

[73]         เมื่ออุมัรถามเขา จึงรู้ว่าเขาเป็นโหรทำนาย

[74]          หมายความว่าข้าพเจ้าไม่เคยเห็นผู้ใดที่ผู้ชายมุสลิมจะได้ยินสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดเหมือนในวันนี้

[75]          คือความสิ้นหวังของมันจากการแอบฟัง และหัวคมำเพราะถูกขว้าง ต้วยอุกาบาต

[76]          หมายถึงชาวอาหรับที่เลี้ยงอูฐ และญินจะต้องเป็นบริวารของพวกเขาในเรื่องศาสนา ความหมายของหะดีษนี้ก็คือ ท่านไม่ได้ มองดู ญินและสิ่งที่เกิดขึ้นกับมัน จากความยุ่งเหยิงที่นบีที่เป็นชาวอาหรับไต้ถูกบังเกิดขึ้นมาและต่อไปทั้งญินและมนุษย์ขจะต้อง ศรัทธาต่อเขาหรือ

[77]                    หมายถึง ญิบรีล อ.ล.

[78]                    หมายถึงความฝันที่เป็นความจริง เหมือนกับแสงอรุฌที่เกิดขึ้นทุกวัน

[79]                     คือถ้ำที่อยู่ในภูเขาฮิรออ ห่างจากนครมักกะห์ประมาทเสามไมล์

[80]      คือแสวงหาให้แก่มวลมนุษย์ สิ่งที่ไม่คยมี เช่น ความดงาม การช่วยเหลือเกื้อกูล และมรรยาทอันประเสริฐ

[81]      นามูส คือสื่อของพระเจ้า

[82]       หะดืษ ยาบิรนี้และหะดีษ อาอิชะห์ ที่าด้กล่าวมาก่อนาม่ข้ดกํน เพราะ “ขาอํขยุฮั้ลมุดต่ดชร” หัน เป็นวะอข แรกท ลงมาในตำแหน่งรอชู้ล ส่วน “อกเราะอ” เป็นวะอีย์แรกที่ลงมาในตำแหน่งนบ

[83]       อายุของท่านนบี ซ.ล. นับตั้งแต่เกิคจนเสียชีวิต หกสิบสามปีจันทรคติ และเวลาที่ทำหน้าที่ศาสนทูตนับตั้งแต่ได้รับ คำสี่งจนเสียชีวิตเป็นเวลายี่สิบปีจันทรคติ

[84]       ไม่ขัดกับหะดีษก่อนเพราะหะดีษนี้ได้นับปีเกิดและปีตายเข้าไปด้วย ส่วนหะดีษก่อนนับเฉพาะปีที่สมบูรณ์เท่านั้น

[85]         อิสรออฺ คือการเดินทางยามค่ำของท่านนบี ซ.ล. จากมัสญิดฮารอมมักกะห์ ไปยังมัสญิดอักซอ ที่ไบตุ้ลมักดิส ส่วนการเดินทางจากภาคพื้นดินขึ้นสู่เบื้องบนจนได้เข้าเฝ่าพระผู้เป็นเจ้านั้นเรียกว่า เมียะอราจ และการเดินทางทั้งสองภาคนี้ใช้เวลา เพียงคืนเดียวเท่านั้น

[86]         คืออยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น

[87]                 ผู้ที่ปฏบัติการนี้คือ ญิบรีล มีกาอีล และอิสรอฟืล และครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่ สามครั้งได้กระทำก่อนหน้านี้คือ ขณะที่ท่าน อยู่กับ ฮะลิมะห์ อัซซะอดิยะห์ แม่นมหนึ่งครั้ง ขณะบรรลุศาสนภาวะหนึ่งครั้งและ เมื่อได้รับตำแหน่งอีกหนึ่งครั้ง เพื่อเป็น การเพิ่มความใสสะอาดด้วยอิหม่านและวิทยปัญญา

88 ไบด้ลมะอฺมุร คืออาคารหนั้งอยู่ในฟ้าชั้นท่เจ็ดจะม่มะลาอิกะห์ มาทำพธึอิจย์ทุกว้น จะมมะลฺาอิกะห์จำนวนเจ็ดหม่น เข้าไปทำละหมาดในอาคารน พวกเขาจะออกมาโดยไม่กส้บเข้าไปอิก นํ่เป็นหล้กฐานว่ามะลาอิกะห์นั้นม่จำนวนมากจนไม่ม่ผู้ใด ทราบได้นอกจากอ้ลเลาะห์เท่านั้น และในฟ้าทุกชั้นนั้นจะม่อาการหนั้งเพอใด้ชาวฟ้าแต่ละชั้นได้ทำพธอิจย์ อาคารแรกอยู่ในฟ้า ชั้นฑี๋หนั้งม่ขอว่า ไบด้ลอิๆ(ชะห์ และอาคารสุดด้ายอยู่ในฟ้าชั้นทึ๋เจ็ดคือ ไบด้ล มะอฺมูร และทุกอาคารจะตั้งอยู่ตรงเก*บ ไบด้ล เลาะห์ เพอใหฺขาวดนได้ทำพธอ่จย์

[89]       ชดรอตุ้ล มุนตะฮา คือไฟ้หญ่ด้นหนั้งที่ว่ชาการของสรรพสํ่งนั้งหลายจะต้นอยู่ฑต่นไม่น และจะไม่ม่ผู้ไดผ่านไปได้นอกจาก

ท่านนบ ซ.ล.        ความใหญ่ของด้นได้นั้ด้ฑํ่ฃ้บฃี๋พาหนะจะเดนทางรอนแรมไปเป็นเวลาหนั้งร้อยปีก็ไม่สามารถพนจากร่มเงาของ

ม่นได้

[90]       อะข้ร เป็นชั้อเม่องหนั้ง หมายถงผลของมนม่ขนาดใหญ่เท่าโอ่งทึ๋ทำจากเม่องฮะขร

[91]       คือเส์ยงปากกา ทึ๋บนท่กสภาวการณ์ต่างๆ

       [92]           ด้วยการละหมาดสองรอกาอ่ตในตอนเข้าและสองรอกาอิดในตอนเข็น แต่พวกเขาก็ไม่ม่ความสามารถ

[93]            เป็นคำประกาศจากอัลเลาะห์ ตาอาลา

[94]              ชะนูอะห์เป็นชื่อเผ่าหนึ่งที่มึรูปร่าง ได้สัดส่วนสวยงาม

95              การอพยพในที่นี้หมายกงการอพยพของท่านนบี ซ.ล. พร้อมด้วยอะบีบกร์ ร.ด. จากนกรมักกะห์สู่นครมะดินะห์

[96]        ชอแกวนหนํ่งของประ ทศยะมนอยู่ชายฝังทะเล ห่างจากนครม้กกะห์ประมาณหาไมล์

[97]        คือนลวงทาให้แท่มวลมนุษย์ สืงท่ไม่ คยม เช่นความดงาม การช่วย หลอ กอกลทนเป็นต้น

[98]       อะบูบักร์ได้คงอยู่ในควานอารักขาของอัลเลาะห์จนได้อพยพไปพร้อมกับท่าบนบี ซ.ล.

[99]          การสาบานด้วยบิดามารดานี้เป็นความนิยมของชาวอาหรับในยุค ญาฮิลิยะห์ และยุคต้นของอิสลาม ต่อมาได้ถูกยกเลิก ด้วยหลักการของอิสลามทึ๋ไม่อนุญาตให้สาบานด้วยสิ่งอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์

[100]         ยะมามะห เป็นชื่อเมืองหนึ่งในประเทศยะมัน ฮะยัร เป็นชื่อเมืองหนึ่งในประเทศบะห์เรน

[101]         คือพวกเราได้ย่างแกะตัวหนึ่งและได้ใส่ลงในกระสอบ

  1.    และบางรายงานว่า หล่อนได้ฉีกผ้าคาดเอวออกลองชิ้น ชิ้นหนึ่งผูกเสบียง อีกชิ้นหนึ่งผูกปากถุง ดังนั้นหล่อนจงถูกตั้ง นามว่า “หญิงผู้เป็นเจ้าของผ้าคาดเอวสองชิ้น”

[103]           เพื่อทำให้น้ำนมบริสุทธิ์และขจัดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ออกไป

[104]           เขาชื่ออับดุลเลาะห์ บุตร อุรอยกิฅ

[105]           ด้นะน์ของแต่ละกนคืออูฐหนั้งรอยด้ว

[106]       สุรอเกาะห์แกล้งพูดบ่ายเบี่ยงว่าเจิกพวกที่เดนทางอยู่ที่ชายทะเลว่าเยินคนนั้นคนนกีเพอเบนควานสนใจของพวกนั้น

ไปทางอนโดยหว่งเอารางว่ลค่าทํวแต่เพยงผู้เดียว

[107]       เพอช่อนเรํนไม่ให้พรรคพวกของเขาแลเหีน

[108]      ผลการเสี่ยงทายที่ออกนาคือไม่ทำอนตรายท่านนบ (พ-ล.) และสาวกจะเยินผลดีแก่เขานากกว่า

[109]             สิ่งที่บรรทุกมาจาก ค็อยบัรคือ อินทผลัมแห้งและองุ่นแห้ง ที่ทำใหผู้ขนบรรทุกมา เกิดความยากได้เป็นของตนเอง

[110]          แต่ได้ถูกระบุนามแก่ผู้อื่นว่า เขาคือ อับดุลเลาะห์ บุตร รอวาฮะห์

[111]      คือ สุรอเกาะห์นั้นในตอนเช้ามุ่งมั่น-ที่จะทำลายท่านนบี ซ.ล. แต่ในตอนเย็นกลับ เปลี่ยนเป็นให้ความช่วยเหลือและพยายามป้องกันท่าน

[112]          คือให้ลงพักที่ กุบาอฺ ในวันจันทร์ และได้พำนักอยู่กับพวกเขา เป็นเวลาสืบห้าวัน

[113]          เป็นการแสดงออกถึงความดีใจและพร้อมที่จะให้ความช่วย หลอแก่ท่านนบี ซ.ล.

[114]         อะบูไอยูบผู้นี้อยู่ในตระถูล นัจยาร เผ่าของ ซัลมา บุตรสาว อ้มร์ บุตร นาสิก บุตร นัจยาร ซํ่งเป็นมารดาของ อับดุลมุตตอลิบ ลุงของท่านนบ ซ.ล.

[115]        ได้แก่ ยะอฺฟัร บุตร อะบีตอลิบ และภรรยาคือ อัสมาอ บุตรสาว อุเมส และอีกพวกหนึ่งจากชาวมักกะห์ และอะบู ไอยูบ อัลอัชอะรีย์ และพี่ชายอีกสองคนชองเขา และพวกของเขาอีกกลุ่มหนึ่งจากประเทคยะมัน

[116]        คือจากบุคคลพี่ไม่ได้อพยพไปอะบิสิเนีย

[117]            เพราะอยากฟังคำพูดของท่านนบี ซ.ล. ที่เกี่ยวกับพวกเขา

[118]            หนึ่ง วัสก์ (เอาชุก) ประนาฌ สองร้อยสื่สิบลิฅร

[119]            ตอยยิอฺ เป็นช่อเผ่าหนึ่ง ในประ ทศยะมัน ภูเขาทํ้งสองลูกนั๊นชื่อ อะยา และ ชัลมา

[120]     โดยการเอาจั่นของอินทผลัมติวผู้ไปใส่ในจั่นของอินทผลัมตัวเมืย เพื่อให้เกสรหลุดร่วงไปผสมกัน และมันก็จะติดลุก

[121]     เหมือนกับคนอื่นที่มืความคิดเห็นส่วนตัวทั้งถูกและผิด

[122]     เพราะเรื่องของดุนยาอาศัยการฝึกฝนและประสบการณ์เป็นหลัก พวกท่านจึงมืความรู้ ยิ่งกว่าขาพเจ้า

[123]     เซารออฺ เป็นชื่อสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ที่นครมะดินะห์ ใกล้ตลาดหรือใกล้มัสญิด

[124]          ถึง มัวะอยิชาต อันยิ่งใหญ่นี้

[125]       คือใช้ศรษะห้นพทางขวาครั้งหนิ่งทางซ้ายครั้งหนิ่งคล้ายYJดอ้นใคงคนหนิ่ง

[126]      ร่ทราะห์ เป็น มองที่มืกษํตรข์เป็นชาวอาหรํบแต่อยู่ใต้ปคควอ5ของอาณ1พั1รเบ่0น่*ย

[127]      กิซรอ บุตร ธุรนุช คือ ฉ้กรพรรดของเปอร์เชย

[128]         ความปลอดภัยมีอยู่โดยทั่วไปในสมัยคือลิฟะห์ทั้งสิ่และหลังจากนั้นเช่นในสมัยของ อุมาร บุตร อับดุลอะซีซ ความ ปลอดภัยได้คลุมทั่วทั้งภูมิภาค

[129]         ทุกสิ่งที่ท่านนบี ซ.ล. ได้บอกไว้นั้น อะดีย์ บุตร ฮาติมได้พบแล้วในขณะที่เขามีชีวิตอยู่นอกจากความเฟ้อของทรัพย์สิน ถึงขนาดที่กล่าวซึ่งจะเกิดขึ้นในสม้ยของนบอีซา อ.ล. แต่ส่วนหนึ่งได้เกิดขึ้นแล้วในสมัย อุมัร บุตร อับดุลอะซีซ

[130]         เพราะการคุกคามของพวกกเรชที่กระทำต่อมุสลิมนั้นถึงที่สุดแล้ว

[131]         ซอนอาอฺ เป็นเมืองหลวงของประเทศยะมัน อัดร่อเมาส์ เป็นชี่อเมืองหนึ่งในประเทศยะมัน อยู่ห่างจากชอนอาอฺ เป็น ระยะเดินทางมากกว่าสิ่วัน หรือความมุ่งหมายในที่นี้หมายถึงเมืองซอนอาอฺ ที่อยู่ในประเทศชาม ที่มีความห่างไกลอย่างยิ่ง

[132]         หมายความว่าจะไม่มีผู้ไดมีชีวิตอยู่อืกหลังจากหนึ่งร้อยปีได้ผ่านพ้นไป

[133]         คำอธิบายหะดีษนึ้ได้ผ่านมาแล้วในเรื่อง นิกะห์

[134]         พวกเหล่านี้คือนักปกครองที่กดขี่และพวกคนเลวที่รีดนาทาเร้น

[135]         และได้เป็นไปตามที่ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวได้อาณาจักรฃองจักพรรดิ์ทั้งสองถูกพิชิตในสมัย คอลิฟะห์ อุมัร และมุสลม ได้ทรัพย์ ฆอนีมะห์ เป็นจำนวนมากซึ่งไม่มีผู้ไดรู้จำนวนนอกจากอัลลอฮ์ เท่านั้น

[136]         คือขาพเจ้าไม่ได้กล่าวว่าพวกท่านทั้งหลายจะตั้งภาคต่ออลเลาะห์ แต่ข้าพเจ้ากล่าวว่าพวกท่านจะแก่งแย่งกันและต่อสู้กันในเรื่อง ดุนยานี้ หะดีษนี้เฅือนใหํระวังวิกฤติการในเรื่องทรัพข์สมบัติ ที่มีความร้ายแรงเป็นอันดับสองรองจากเรื่องผู้หญิง

[137]        ข้าพ จ้าได้เห็นวิกฤตการและการฆ่า เกิดขึ้นในบ้านเรือนของพวกท่าน เหมือนฝนตก ทั่วทุกบ้าน

[138]        คำวิงวอนของนบีสุลัยมาน อ.ล. คือ "ข้าแด่พระผู้อภบาลของข้าฯ ได้โปรดอภัยโทษให้ข้าฯ และได้โปรดมอบอำนาจ การปกครองให้แก่ข้าฯชึ๋งจะไม่คู่ควรกับใครอีกหลังจากข้าฯ"

139                เป็นการเพิ่มเกียรติให้แก่นบี

[140]               คือถูกเสนอให้เลือกระหว่างโลกนี้กับอาคิเราะห์ ในขณะที่ท่านกล่าวเช่นนั้น

[141]              คือก่อนที่ท่านจะรู้ว่าท่านเป็น มนุษย์ที่ประเสริฐสุด หรือเพราะท่านถ่อมตน และต้องการยกย่องนปี อิบรอฮีมในฐานะ เป็นบรรพบุรุษของท่านและเป็น คอลีล ของอัลเลาะห์

[142]              ก่อดูม เป็นชื่อสถานที่แห่งหนึ่ง

[143]              ครั้งแรกที่ท่านได้กล่าวแก่พรรคพวกของท่านว่า “ขาฯป่วย” ทั้งที่ท่านไม่ได้ป่วย ครั้งที่สองคือที่ท่านได้กล่าวว่า “รูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาเป็นผู้กระทำ” ทั้งที่ท่านเป็นผู้กระทำเอง

[144]              ท่านกล่าวขณะที่พรรคพวกของท่านได้ชักชวนท่านใด้ออกไปร่วมในงานฉลองที่พวกเขาจัดขึ้นแต่ท่านปฎิเสธโดยใช้คำพูด ดังกล่าว

[145]              ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวนเป็นการโกหกแต่เพียงภายนอกเท่านั้น แต้ที่จริงแล้วไม่ถือว่าเป็นการโกหก

(704) ตามคำดำรัสฃองอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “ท่านทั้งหลายจงขอความช่วยเหลือ โดยอาศัยความอดทนและละหมาดเถิด"

[147]             เพื่อเป็นคนรับใช้

[148]             ลูกหลานของน้ำฝน คือชาว อาหรับที่เรียกเช่นนั้น เพราะชีวิตของพวกเ ขาต้องพึ่งพาน้ำฝนอยู่มาก บรรพบุรุษของชาวอาหร้บคือ นบีอิสมาอีล บุตร นบีอิบรอฮีมที่เกิดจาก พระนาง ฮายัร

[149]          เนื่องจากได้ยินเสียงอันรุนแรงในวันกิยามะห์

[150]          คือ ไบตุลมักดิส ขณะนั้น นบีมูซายังอยู่ที่ทุ่ง ติห์ ใกล้ภูเขาฏูร สาเหตุที่นบีมูชาต่อย มะสะกุ้ลเมาต์ เพราะเข้าบ้านของ ท่านในร่างของมนุษย์โดยไม่ได้รับอนุญาตนบีมูซาจึงคิดว่าเป็นคนร้าย และทำร้ายเอาดังกล่าว

[151]          หลังจากนั้นได้ไปร่วมชุมนุมกับบรรดานบีที่ไบตุลมักดิสเพื่อคอยต้อนรับท่านนบี ซ.ล. และจากนั้นวิญญาณของท่านได้ ไปปรากฎในฟ้าชั้นที่หกและได้โต้ตอบทบท่านนบี ซ.ล. ในเรื่องขอให้ลดหย่อนจำนวนละหมาดฟัรดู

[152]                ด้วยบุตรคนหนึ่งจากความโปรดปรานและเมตตาของพระองค์

[153]               นบีทั้งหมดเป็นพี่น้องกันเพราะทั้งหมดเป็นลูกหลานของ อาดัม อ.ล. และมีศาสนาเดียวกันคือ อิสลามแม้จะต่างมารดา กันก็ตาม

[154]        ท่านนบไอยูบเคยเป็นคนรารวยทั้งทรัพย์สมบัติและลูก ต่อมาพระองค์อัลเลาะห์ได้ทดลองโดยให้ทั้งสองสิ่งนั้นหายไปเป็น เวลาเจ็ดป็ แต่ท่านได้แสดงควานอดทน เป็นอย่างดี

[155]        คำอธิบายในเรื่องนี้มีอยู่อย่างกว้างขวางในหนังสือตัฟซีร

[156]         ที่ท่านกล่าวนก่อนที่จะมีวะฮีย์ลงมาว่า การลงโทษนั้นเป็นการล้างบาป

[157]         สื่งที่ยังไม่รู้แน่ชัดก็คือ ซุลกอรไนน์ และ อุเซซ นั้น เป็นนบีใช่หรือไม่แต่ทั้งสองนั้นนับถือศาสนาอิสลามอย่างแน่นอน ท่านนบีได้กล่าวในตอนแรกว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า ตุบบะอฺ นั้นถูกสาปแช่งหรอไม่” หมายถึงเป็นกาฟิร หรือไม่ แต่หะดีษยืนยันว่า เขาเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม

[158]               เครื่องหมายของพวกเขาคือใบหน้าของพวกเขามีราศีปรากฎอยู่ทั้งโลกนี้และอาคิเราะห์

[159]               ความหมายที่ว่า “ในศตวรรษของข้าพเจ้า" หมายถึงบรรดาอัครสาวกของท่านคือบรรดาบุคคลที่ได้พบเห็นท่านและศรัทธา ต่อท่าน พวกเขาเป็นประชาชนที่ดีที่สุด รองลงไปก็ได้แก่ตาบิอีนคือบรรดาผู้ที่ได้พบกับอัครสาวก รองลงไปอึกขั้นหนึ่งก็คือบรรด ผู้ที่ได้พบกบฅาบอึน

[160]               หมายความว่าหลังจากนั้นจะปรากฎมีบุคคลเหล่านี้คือคนที่ไม่มีความระมัดระวังในการให้การเป็นพยานในการสาบาน แล: การกิน

[161]                 หมายถึงพวกที่ไม่มีความระมัดระวังในเรื่องเหล่านึ้

[162]          ต่อไปจะถึงยุคสมัยหนึ่งที่คนพวกหนึ่งจะออกทำสงครามพวกเขาจะขอความช่วยเหลือจากอัครสาวกคนหนึ่ง และพวกเขาก็จะได้รับชัยชนะด้วยอัครสาวกท่านนั้น และจะถึงอีกยุคหนึ่งที่พวกเขาจะขอความช่วยเหลือจากตาบิอีน ยุคต่อไปด้วยผู้ที่ พบก้บตาบิอีน และยุคต่อไปด้วยผู้ที่พบกับผู้ที่พบกับตาบิอีน และพวกเขาก็ได้รับชัยชนะ เพราะบุคคลเหล่านั้นใกล้ชิดกับท่าน นบี ซ.ล.

  1.                เช่นการให้เกียรติแก่บุคคลทั้งสองและเป็น มัวะอฺญิซาต ของท่านนบี ซ.ล.

[164]                   จากความิพนาศของจักรวาลและวันกิยามะห์

[165]                   จากวกฤตการและความแตกแยก

[166] จากการฟ่าตามอารมณ์และขิงดชง ด่นในเรื้องดุนยา

[167] คือพวกที่ได้ให้สํตยาบันในวิกฤติการฮุใดปึยะห์ ว่าจะร่วมกันต่อสู้กับพวก มุชริกีน จนสิ้นใจ

[168]                คือเป็นเป้าโจมตีด้วยคำพูด ของพวกท่าน

[169]                โดยให้เกิดความพินาศครั้งยิ่งใหญ่

[170]                การที่ท่านนบี ซ.ล. เลือกนี้ไม่มีผู้ใด เข้าใจนอกจากอะบูบักร์ เพราะเหตุนี้ท่านจึงร้องไห้

        [171]                คอลีล เป็นตำแหน่งที่ใกล้ชิดอัลเลาะห์มากที่สุดเปรืยบได้เหมือนมิตรสนิท

        [172]                  หมายความว่าความเป็นพี่น้องและความรักระหว่างเรามั่นคงที่สุด คือถูกอุดไม่ให้ทะลุผ่านมัสญิด

[173]             ด้วยคำพูดที่รุนแรง

[174]             คือยกโทษให้

[175]             ด้วยควานกลัวว่าจะเกิดอันตรายกั้บอาทั้งคุกเข่าสงล้อนใอพท่านนบ (ช-อ-)

[176]             สถานที่แห่งหนึ่งอขู่ขานนครมะดนะห์

[177]              คือพวกทกล่าวว่าท่านนบ ซ.ล. เส์ขช่ว่ต

[178]              หมายกงใน ดุนยาน แต่ท่านดายเพยงครั้งเดยวเท่าน์น

[179]              เป็นสถานที่ประขุมของชาวอ่นขอร พวกเขาไห้ปรกบาหารอกนและม่มฅให้ สะอด บุตร อุบาดะน์ ห*วหห้าของตระกูล ขาอดะห์ เป็น คือลฟ่ะน์ ส่วนคนอน ๆเห็นว่า ตำแหน่งคือล่ฟะห์ควรม่ผู้ดำรงตำแหน่งสองกน จากพวกอ่นชอรหนึ่งคนและ พวกมุฮารรนหนึ่งคน แต่พวกมุอายรนไม่เห็นห้วยโดยอะบูบกร์ไห้กล่าวว่า พวกเราเป็นผู้นำและพวกท่านเป็นผู้ช่วยเหลอ เพราะ ชาวทเรชเป็นชนชาวอาหรับที่ประเสรฐยงและม่เกขรต่สูง

[180]           ได้แก่ บลาล เชด บุตร ฮารษะห อามร บุตร ฟุไฮเราะห์ อะบูฟุไกฮะห์ ทาสของ ชอฟวาน บุตร อุไมขะห์ และ อุไบต์ บุตร เซต อ้ลฮะบะชข์ บางท่านเปลี๋ยน อะบุฟุไกฮะท่ เป็น อ่มมาร บุตร ยาชร ส่วนผู้หญิงสองคนนั้นคือ คือดยะท่ หรออุมบุ ไอมํน หรอ ชุไมยะท่ พวกเขาเหล่านี่เขนพวกทเข้านํบสอคาสนาอสลามก่อนคนอน ๆ คนแรกฑึ๋เข้าน้บสอคาสนาอสลาม จากบรรดาผู้ชายคือ อะบูท่กร์ และคนแรกจากบรรดาผู้หญิงคือ คือดขะห์

[181]           นี่เป็นการบอกเหตุว่าจะมืการขํดแย้งก่นในด่าแหน่งคือล่ฟะห์

[182]                อะบูบักร์ เป็นคนแรกจากประชากรของเจ้าที่เข้าสวรรค์ ถัดมาก็อุมัร อุสมานและอะลี อันดับต่อไปก็ได้แก่ที่เหลืออยู่ จากจำนวนสืบคนที่ได้รับแจ้งข่าวดีว่าได้เข้าสวรรค์

(830) คืออะบูบักร์จะปรากฏพร้อมท่านนบี ซ.ล. ที่บ่อน้ำรวมทั้งอุมัร อุสมาน และอะลี จะนั่งอยู่คนละมุมบ่อคอยต้อนรับผู้ ที่จะมาดื่มน้ำจากประชากรของท่านนบี ซ.ล.

[184]                ศาสนาของอุมัรมั่นคงมาก

[185]              คือถูกใช้ ให้พูดด้วยการดลจิตของอัลลอฮ์ก่อนที่จะปรากฎสิ่งนั้นขึ้น

[186]              เพราะพวกหล่อนเกิดความกลัวและเฅรียมฅัวจะออกไป

[187]              หมายความว่าขอใด้ท่านมความสุขตลอดไป

[188]              หมายความว่า ชัยฏอนจฺะด้องเลี่ยงไปเดินทางอื่นไม่กล้าเผชิญกับท่าน

[189]              ผู้หญิงคนนั้นคือ อุมมุซุไลฆ์ ในขณะนั้นเธอยังมีชิวิตอยู่

[190]               คือละหมาดหลังอะซานและละหมาดหลังอาบน้ำละหมาด

[191]               ท่านได้กล่าวแก่ท่านนบื ซ.ล. โดยมีพวกกุเรช อยู่ที่กะอะบะห์ ว่า ท่านควรเอา มะก่อมอิบรอฮีม เป็นสถานที่ละหมาด อัลกุรอานได้ถูกประทานลงมาว่า “ท่านทั้งหลายจง เอามะก่อมอิบรอฮีมเป็นสถานที่ละหมาด” และในเรื่องการคลุมอย่างมิดชิด ท่านได้กล่าวแก่ท่านนบี ซ.ล. ว่า ท่านควรใช้ภรรยาของท่านให้คลุมอย่างมิดชิด เพราะมีทั้งคนดีและคนชั่วมองดูหล่อน อายะห์ ใน เรื่องการคลุมอย่างมิดชิดจึงได้ถูกประทานลงมา และในเรื่องเชลยศึกสงครามบัดร์ อุมรได้แนะนำท่านนบื ซ.ล. ให้สังหาร เชลยศึกทั้งหมด อะบูปกร์ได้แนะนำให้ เอาค่าไถ่ ท่านนบี ซ.ล. ได้ทำตามคำแนะนำของอะบูบักร์ อายะห์ อัลกุรอานได้ถูก ประทานลงมาตรงตามความเห็นชอบอุมร คือ “ไม่สมควรที่นบีคนหนึ่งจะมีเชลยศึกจนกว่าจะได้สังหารอย่างมากมายในหน้าพื้น แผ่นดิน พวกท่านปรารถนาทรัพข์สินในดุนยา และอัลเลาะห์ปรารถนาอาคิเราะห์ และพระองค์อัลเลาะห์ทรงพิชิตยิ่งทรงเชี่ยวชาญยิ่ง" คำที่ว่า สามเรื่องนี้ไม่ขัดกับที่ว่าเขามีความเห็นตรงกับพระผู้อภิบาลของเขามากกว่าสามเรื่อง เช่น เขาได้ห้ามท่านนบี ซ.ล. ละหมาดให้แก่ศพของคนหห้าไหว้หล้งหลอก อัลกุรอานได้ถูกประทานลงมาว่า “ท่านอย่าละหมาดให้แก่คนใดจากพวก เขาที่เสียชีวิต ตลอดไป”

[192]                 ปรากฎว่าเรื่องต่างๆ ที่อัลกุรอานได้ถูกประทานลงมาตรงกับความเห็นของอุมัรมีถึงสืบห้าเรื่อง

193                แท้จริงผู้ที่สามารถทำให้มนุษย์พูดได้ย่อมสามารถทำใท้ส้ตว์พูดได้เช่นเดียวกัน นี่เป็นการเพิ่มพูน เกียรติของอะบุบักร และอุมัร เพราะทั้งสองท่านได้มีศรัทธาอย่างรวดเร็วในสิ่งเร้นลับ

[194]                 คืออะล บุตร อะบีตอลิบ มุฮัมมัด บุตร ฮะนะฟืยะห์ เป็น บุตร ของอะลีที่เกิดจาก เคาละห์ บุตรสาว ยะอะฟัร จาก ตระกูล ฮะนะฟิยะห์

[195]             หลังจากอาบน้ำและห่อเรียบร้อยแล้ว

[196]             นี่เป็นหลักฐานว่าบุคคลนั้งสองเป็นผู้มีเกียรติและมีตำแหน่งสูง

[197]             คือคนที่มีวัยเกินสามสิบปีขึ้นไปจนถึงห้าสืบปี

[198]             อะบุบักร์ และอุมัรนั้น เปรืยบเสมือนหูและตาของท่านนบี ซ.ล.

199          ทั้งนี้เพราะความใกล้ซิดและสนิทสนมของคนทั้งสองกับท่านนบี ซ.ล.

[200]            คือสถานที่แห่งใหม่ระหว่างมักกห์กับมะดินะห์

                               201      หลังจากอุมัรได้ประกาศตนเข้ารับนับถือศ่าสนาอิสลาม

            [202]    อาส บุตร วาอิล อัซซาห์มีย์ ผู้นี้เป็นบิดาของ อัมร์ บุตร อาส ที่เป็นคนที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากในกลุ่มของเขา

                        203    บุคคลทั้งสองนี้ อุมัร ได้ใช้ให้ไปอิรัก เพื่อคำนวณรายได้บำรุงท้องถิ่นและ พอคำนวณรายได้ค่าคุ้มครองคนต่างศาลนา ที่อขู่ในรัฐอิสลาม ทั้งสองได้เดินทางไปและได้ปฎิบัติงานตามที่ได้รับมอนหมายและได้เดินทางกลับมาด้วยควานปลอดภัย

           [204]   คือข้าพเจ้าจะให้ความอุปถัมภ์แก่พวกหล่อนอย่างพอเพียง

[205]       ให้แก่ใบตุ้ลมาล ที่เขาได้ เอามาใช้ก่อน

[206]        เพาาะเสียใจที่อุมัรต้องจากไป

[207]      อบตุรเราะห์มาน บุตร เอาฟ้ ได้กล่าวแก่ อุสมานและอะลี ว่าใครจากท่านทั้งสองที่จะสละสิทธิ์จากตำแหน่งคอลิฟะห์นี้

[208]      คือพวกท่านจะมอบเรื่องการแต่งตั้งคอลิฟะห์นี้ให้แก่ข้าพเจ้าไหม

[209]                คือชาวเมืองมะดินะห์ก็ได้เข้ามาให้สัตยาบันแก่ อุสมาน และมืรายงานมาว่า อับดุรเราะห์มานได้เลือกอุสมานให้ดำรง ตำแหน่งคือลิฟะห์ ตามคำเสนอแนะของสะอัด

[210]                อุสมาน บุตร อัฟฟาน บุตร อาส บุตร อุไมยะห บุตร อบตี ชำช์ บุตร อับดิมะนาฟ ซึ่งเป็นปู่ลำดับที่สามของท่าน นบี ซ.ล. อยู่ใน ผ่ากุเรช

[211]              อันได้แก่วิกฤตการที่มีสาเหตุมาจากเครือญาติของท่านที่ท่านแต่งตั้งพวกเขาให้ไปทำหน้าที่สำคัญๆ ตามหัวเมืองต่างๆ เพราะเข้าใจว่าพวกนั้นมีความยุติธรรมและมีความและมีความบริสุทธิ์ จนผลสุดท้ายวิกฤตการนี้ทำให้ท่านต้องถูกสังหาร

[212]              และในบางรายงานว่า ความจริงพวกท่านทั้งหลายทราบดีว่าพวกเราเคยพูดกันในสมัยนบี ซ.ล. ถึง อบู บักร อุมัร อุสนาน และอะลี หมายถึงตำแหน่งคอลีฟะห์จะเรียงลำดับตามนี้

[213]             อัลวะลีด เป็นน้องชายร่วมมารดาของอุษมาน ท่านได้แต่งตั้งให้เขากูฟะห์ หลังจากปลด สะอัดออกจาก ตำแหน่งประชาชนได้พากันวิพากษ์วิจารณ์ตัว อัลวะลีด เพราะเขาได้ทำความผิดร้าย และยังเลยไปวิพากษ์วิจารณ์ อุสนาน อีกด้วยเพราะนิ่งเฉยไม่ห้ามปรามและลงโทษ

[214]                ที่ตอบไปเช่นนํ้นเพราะเข้าใจว่าเขาจะพูดเรื่องอื่นแต่ต่อมาท่านก็เสียใจ

[215]                ครั้งแรกไป อะบิสิเนีข และคร้งที่สองไปนครมะดินะห์

[216]                ว่ามีความประพฤติเลวทรามและเขาไม่ถูกลงโทษ

[217]                หมายถึง บทบัญญิตและคำ สั่งสอนของท่านนบี ซ.ล. ได้มีมาสู่ข้าพเจ้าเหมือนกับมีมาสู่หญิงสาวที่อยู่ใต้ผ้าคลุม

[218]                บ่อน้ำ รูมะห์ ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องการอุทิศถาวรวัตถุ (วักฟ์)

[219]                กองทหารแห่งความยากลำบากคือกองทหารที่ยกไปในสงกรามตะนูก เพราะเป็นยามที่ขาดแคลน อุสมานได้บริจาก หนึ่งพันเหรียญทอง ม้าห้าสิบตัว และอูฐเก้าร้อยห้าสิบตัว

[220] ชื่อ ยะชืร บุตร บิชร์

[221] ที่กล่าวเข่นนั้นเพราะ:คิดว่าอุมัรคงมีความคิดเห็นตรงกับเขาในการโจมตีอุสนาน

[222] ด้วยคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า “ขอยืนยันว่าแท้จริงพระองค์อ้ลเลาะห์ได้อภัยให้พวกเขา แท้จริงพระองค์อัลเลาะห์ทรงอภัยยิ่งทรงขันติยิ่ง”

[223]                ท่านนบิ ซ.ล. ได้ออกคำสั่งให้ อุสมาน อยู่ที่ที่นครมะดินะห์ กับ อุซามะห์ บุตร เซด เพื่อคอยดูแลภรรยาของเขาชื่อ รุกอยยะห์ บุตรสาวของท่านนบี ซ.ล. ชึ่งกำลังป่วย ต่อมาท่านนบี ซ.ล. ได้ส่งเซต บุฅร ฮาริซะห์ ให้มาแจ้งข่าวดรแก่เขาว่า ฝ่ายมุสลิมได้รับชัยชนะ โดยเขาจะได้รับผลบุญและส่วนได้เท่ากับผู้ออกทำสงคราม บัดร์ รุกอยยะห์ ไต้เสียชีวิตขณะที่ เชด เดินทางมาถึง

[224]                 เมื่อพวก มุชรีกีน กุเรช ได้ขัดขวางท่านนบี ซ.ล. และบรรดาอัครสาวกของท่านไม่ให้เข้านครมักกะห์เพื่อปฎิบัติพิธีอุมเราะห์ ท่านนบี ซ.ล. เห็นว่าควรจะส่งคนที่ดีที่สุดจากบรรดาอํครสาวกไปยังพวกกุเรช เพื่อชี้แจงให้พวกนั้นทราบว่าจุด ประสงค์ที่ท่านมา เพอต้องการปฎิบัติพิธือุมเราะห์ ไม่ใช่มาทำสงคราม ท่านนบีจึงได้ส่งอุสมานไปหาพวกเขา ต่อมาได้มีข่าวลือว่า พวกกุเรชกำส่งเตรียมตัวจะทำสงครามกับมุสลิม ดังนั้นมุสลิมจึงได้เตรียมตัวทำสงคราม และได้มีการให้สัตยาบันดังกล่าว ขณะที่อุสมานไม่อยู่ ด้วยเหตุนี้ท่านนบื ข.ล. จึงกล่าวว่า “แท้จรีงอุสมานกำส่งอยู่ในภารกิจชองอัลลอฮ์และศาสนทูตชองพระองค์ 

[225]   หวังว่าความแคลงใจที่ท่านมีต่ออุสมานนั้นจะหายไป ด้วยค่าตอบเหล่านี้

[226]             สัญญาณนั้นก็คือ การทดลองจากพระองค์อัลเลาะห์ประการนื้

[227]             ผู้บรรยายไม่ได้บรรยายให้ทราบว่าบุคคลทั้งสองเป็นใคร เป็นการปกปีดเหนือบ่าวของอัลเลาะห์ตาอาลา

[228]                คือได้ย้ำคำว่า “พวกเขาได้เป็นพยานยืนยันแก่ข้าพเจ้าแล้ว" ถึงสามครั้ง

[229]               ชายผู้นี้หมายถึง อุสมาน

[230]               เสื้อตัวนี้หมายถึงตำแหน่งคอลีฟ่ะห์

[231]               หมายความว่าทุกสํ่งทึ๋อุสมานได้กระทำหลังจากวันนี้ เขาจะได้รับการอภัย

[232]        คือ นอกจากสิทธิ์ของคำปฏิญาณตน หมายความว่า เมื่อได้ยอมรับด้วยการกล่าวคำปฎิญาณทั้งสองแล้ว ก็จะได้รันการคุ้มครองทั้งเลือดเนื้อและทรัพย์สิน จะละเมิดใดๆ ไม่ได้นอกจากโดยสิทธิ์ของอิสลามเช่น การลงโทษและการยึดเอาทนัพย์ ซะกาต เป็นต้น

[233]        คือด้วยชื่อเล่นว่า อะบุตตุรอบ นี้

[234]        คือไม่ได้นอนในบ้าน เพราะทะเลาะกับข้าพเจ้า

[235]        คนนั้นคือ สะหัล ผู้เล่าหะดีษนี้

[236]                อะบุตตุรอบ คือผู้ที่กระทบดิน

[237]                ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังระลึกถึงคำพูดของท่านนบี ซ.ล. ที่พูดถึง เขา ข้าพเจ้าจะไม่ด่าเขาดลอดไป

[238]                หะดีษทั้งสามนี้พูดถึงอะลี ท่านนบี ซ.ล. จะไม่พูดถึงใครในทำนองนี้

[239]   สาเหตุที่ท่านนบี ซ.ล. กล่าวหะดีษนี้ก็เพราะ อุชามะห์ บุตร เซดได้กล่าวแก่อะลีว่า ท่านไม่ใช่เป็นคนรักของข้าพเจ้า แต่คนรักของข้าพเจ้าคือท่านรอซูลุล ลาะห์ ซ.ล. เมื่อท่านนบี ซ.ล. ได้ยินดังนั้น จึงได้กล่าวหะดีษนี้

[240]   อะลีเป็นเด็กคนแรกที่เข้านับถือศาสนาอิสลาม ส่วนอะบุบักร์ เป็นผู้ชายคนแรกที่นับถือศาสนาอิสลาม

[241]   คือสนามแห่ง เมืองกูฟะห์

[242]   ผู้ที่พระองค์อัลเลาะห์ ได้นำมาข่มขู่พวก เขา และบุคคลที่พระองค์อัลเลาะห์ได้ทดสอบหัวใจของ เขาด้ยอิหม่าน คืออะลี บุตร อะบีตอลิบ

[243]   ท่านนบี ซ.ล. ได้เบือนหน้าหนืจากคำร้องเรียนของพวกเขาในตัวอะลี เพราะที่ปรากฎแก่ท่านนั้นสิ่งที๋อะลีได้กระทำไม่ใช่เป็นสิ่งเลวร้าย ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วท่านจะต้องริบค่าร้องเริยน

[244]    คนหน้าไหว้หลังหลอกจะไม่ริกอะลีเพราะอะลีเป็นปรปักษ์กับเขา ส่วนผู้ที่มิควรที่รทจะไม่ชิงชังอะลีเพราะเหมือนกันกับเขา

[245]   เป็นประเพณีของขาวอาหรับเมื่อมีการละเมิดสัณูณูา หรือจัดทำสัณูณูา หริอประนีประนอมจะไม่มีใครสามารถดำเนินการ ในสิ่งเหล่านี้นอกจากผู้เป็นหัวหน้า หรือณูาติที๋ใกล้ชิดในอันดับรองลงไป

[246]     การสถาปนาความเป็นพี่พ้องกันนี้เกิดขํ้นหลังจากอพยพโดยท่านนบี ซ.ล. ได้สถาปนาความเป็นพี่พ้องกันระหว่าง มุฮาญิรีน กับพวก อันซอร เพี่อเพี่มความผูกพันและความรักระหว่างคนทั้งสองพวก

[247]     ปรากฎว่า อะลี ร.ฎ. นั้นอยู่ในใจของท่านรอชูล้ลเลาะห์ ซ.ล. ตลอดเวลา

[248]     ผู้ใดที่ประการนี้เป็นคุณสมบัติของเขาแล้วการกระทำต่างๆ ของเขาจะต้องถูกรับพจารณา เพราะเป็นธรรมดาของเขา ที่จะต้องกระทำในสิ่งที่เป็นความพึงพอใจของลัลเลาะห์และรอซูลของพระองค์ แม้มนุษย์จะไม่รู้ก็ตาม

[249]     หมายความว่าพระองค์อัลเลาะห์ใช้ข้าพเจ้าใพ้ซุบซิบกับเขา

[250]     หมายความว่าไม่อนุญาตให้ผู้ใดเดินในมัสญิดนบี ในสภาพมี ยุนุบ นอกจากท่านนบี ซ.ล. และอะลี เพราะคนทั้งสองมีตำแหน่งที่สูงส่ง

[251]                    ในหะดษนท่านนบี ซ.ล. ได้วงวอนขอให้อะลีมอายุยืนยาวและกลัวว่าอะลีจะได้รับอันตราย

[252]                    หะดีษนี้ชี้ให้เห็นว่าอะลี  ร.ฎ. เป็นบุคคลที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงรักยิ่ง

[253]                    สัจธรรมจะอยู่กับอะลี  ร.ฎ. เสมอเป็นไปตามคำวิงวอนของท่านนบี ซ.ล.

[254]                    อิบนุ อับดิล บัรร์ ได้รายงานโดยใช้สำนวนว่า “ช้าพเจ้าเป็นนครแห่งความรู้ และอะลีคือประตู แห่งนครนั้น

255                      อัครสาวกสืบท่านที่ได้รับข่าวดีด้วยสวรรค์คือ อะบุบักร อุมัร อุสมาน อะลี ตอลฮะห์ ซุเบร สะอัด บุตร อะบีวักกอส อับดุรเราะห์มาน บุตร เอาฟ์ อะบู อุไบดะห์ และสะอีด บุตร เซด ร.ฎ.

[256]                      คือเรียกร้องให้ออกทำสงคราม

[257] คือวันที่พวกอาหรับผนึกกำลังกันเข้าทำศึกกับท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ที่เรียกว่าศึก คอนดัก

[258] ท่านรอชูธุลเลาะห์ ซ.ล. ได้เรียกข้าพเจ้าด้วยการรวมเอาบิดามารดาของท่านไว้ด้วยกันเป็นการยกย่องและให้เกียรติข้าพเจ้า

[259]    คือสั่นสะเทือนจนมีหินกลิ้งตกลงมา

[260]    คือหลังจากได้รับบาดแผลในสงคราม อุฮุด เขาทั้งสองได้สนองคำเรียกร้องของอัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์ เขาทั้งสองได้เดินทางติดตามพวกกุเรซไปจนถึง ฮัมรออุลอะซัด

[261]    ชํ่งเกิดระบาดขํ้นในปีที่ สามสืบเอ็ด

[262]    ชายอีกคนหนึ่งคือฮาริษ บุตร ฮะกัม น้องขาย มัรวาน บุตร ฮะกัม บุตร อะบิล อาส บุตร อุไมยะห์ คนทั้งสองกล้า พูดก้บ อุสมาน เพราะเป็นญาติใกล้ชิดกัน

[263]    ยัรมูก ชื่อสลานที่แห่งหนึ่งในประเทศชามได้เกิดสงครามขนาดใหญ่ขึ้นในตอนต้นสมัย คอลีฟะห์ อุมัรระหว่างมุสลิม กับโรมัน โดยฝ่ายมุสลิมได้ร้บชัยชนะ

[264]       ซึ่งเป็นสงครามที่ต่อสู้ก้นระหว่างฝ่ายอะลี กับ อาอิชะห์ และซุเบร อยู่ก้นฝ่ายอาอิชะห์

[265]       ที่เป็นการแสดงให้รู้ว่ากำหนดความตายของเขานั้นใกล้ลงแล้ว

[266]       ท่านนบี ซ.ล. ได้ให้ความสนใจกับ อัสมาอ์ เพราะ อัสมาอ์ เป็นพี่สาวของอาอิชะห์ แต่งงานกัน ซุเบรซึ่งเป็นคนหนึ่ง ที่ไดรับการแจ้งข่าวดีด้วยสวรรค์

[267]       คือฅอลฮะห์ บุตร อุไบดิลลาท์ บุตร อุสมาน บุตร อัมร์ บุตร กะอับ บุตร สะอัด บุตร ไตม์ บุตร มุรเราะห์ บุตร กะอับ มีปู่ทวดคนเดียวกันกับท่านนบี ซ.ล. คือ มัรเราะห์ บุตร กะอับ

[268]       บางวันนั้นคือ ในสงคราม อุฮุด

[269]       และมันได้เป็นความภูมิใจอันยิ่งใหญ่ของเขา

[270]     คือได้บนบานไว้ว่าจะต่อสู้ในวิถีทางของอัลเลาะห์จนสิ้นใจ และเขาได้ถูกฆ่าตายในสงครามแห่งอูฐ

 

[271]       คือ     สะอัด บุตร มาลิกบุตร อุไฮน์ บุตร อับดิมะนาฟ บุตร ซะห์เราะห์บุตร กิลาบ บุตร             มุรเราะห์ มีปู่ทวดคนเดียวกันกับท่านนบี ซ.ล. คือ กิลาบ บุตร มุรเราะห์

[272]     หะดีษนี้ก่อนจากโองการนี้ถูกประทานลงมาคือ และพระองค์อัลเลาะห่จะพิทักษ์คุ้มครองท่านจากมวลมนุษย์" เมื่ออายะห์นื้ได้ถูกประทานลงมาท่านก็เลิกการมียามคุ้มกัน

[273]     เพราะเขาไค้เข้านับถือศาสนาอิสลามโดยการแนะนำของอะบุบักร์ และก่อนจากบุคคลทั้งสองน้ก็มีเพียงท่านนบี ซ.ล. ดังนั้นเขาจึงเป็นหนึ่งในสามของผู้ที่เข้านับถือศาสนาอิสลาม

[274]     ดังนั้น สะอัดจึงเป็นคนหนึ่งที่พระองค์อัลเลาะห์ไค้สนองคำขอของเขา

[275]     ผู้ใดที่ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวถึงเขาในทำนองนี้ย่อมแน่เหลือเกินว่าเขามีตำแหน่งที่สูงและสำคัญยิ่ง

[276]     เขาชื่อ อามิร บุตร อับดิลลาห์ บุตร ยัรรอห์ บุตร ฮิลาล บุตร อุไฮบ์ บุตร ดอบบะห์ บุตร ฮาริษ บุตร ฟิหร์ บุตร มาลิก มีปู่ทวดคนเดียวกับท่านนบี ซ.ล. คือ ฟิหร์

[277]     นัจรอน เป็นชื่อ เมืองหนึ่งในประเทศ ยะมัน

[278]      หากชาวยะมันในที่นี้เป็นพวกเดียวกับชาว นัจรอน ในหะดีษก่อน ก็เป็นเรื่องเดียวกัน หากเป็นคนละพวกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

[279]      ความหมายที่ว่าพวกเขาเหล่านี้อยู่ในสวรรค์ หมายถึงพวกเขาได้เข้าสวรรค์อย่างแน่นอนโดยไม่ต้องถูกลงโทษก่อน

[280]      เพราะตำแหน่งของพวกเธอสูง

[281]      อาอิชะห์ได้พูดกับ นัจล์ บุตร อับดุรเราะห์มาน บุตร เอาฟ์

[282]         คือ    สะอีด บุตร เซด บุตร อัมร์ บุตร นุไฟล์ เป็นบุตรลุงของอุมัร บุตร คอตฅ๊อบ และเป็นสามีน้องสาวของ อุมัร คือ ฟาติมะห์ อุมมุ ยะมีล บุตรสาวของ ค๊อตต๊อบ

[283]      อะบุ้ลอะอฺวัร คือสะอีด บุตร เซด ผู้เล่าหะดีษนจากท่านนบี ซ.ล.

[284]      สะอีด บุตร เซด ผู้นี้ได้แต่งงานกับ น้องสาวของอุมัร ต่อมาทั้งเขาและภรรยาได้เข้านับถือศาสนาอิสลามก่อนอุมัร ต่อ มาเมื่ออุมัรทราบข่าวจึงได้เข้ามาหา คนทั้งสองได้จับสะอีดผูกด้วยเชือกเหมือนเชลยศึกได้กระทืบและทุบตีเขา ภรรยาของเขาซึ่ง เป็นน้องสาวของอุมัรได้เข้าขัดขวางจึงถูก อุมัร ตบหน้าเลือดไหล สะอีดได้บรรยายสภาพที่เขาถูกอุมัรทรมาน ด้วยคำพูดดงกล่าว

[285]  เมื่อสะอีดเข้าใจค่าว่าเครือญาฅิ “อัลกุรบา” ว่าหมายถึงวงศ์สาคนาญาติของทานนบี ซ.ล. ทั้งหมดซึ่งคุมทั้งเผ่ากุเรซ ที่มีศรัทธา และไม่มีศรัทธา อิบนุ อับบาสได้กล่าวว่านึ๋ไม่ใข่ความมุ่งหมาย แต่ความมุ่งหมายที่แท้จริงก็คือ ข้าพเจ้าจะไม่ขอค่าจ้างจากพวก ท่านเป็นค่าการเผยแพร่ศาสนาเว้นแต่จะขอความเกี่ยวพันทาแกรกญาติที่มีอยู่ระหว่างข้าพเจ้ากับพวกท่าน และพวกเขาก็คือ บรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อท่านนบี ซ.ล. และเป็นอัครสาวกของท่าน

[286]          ห่างจาก ยัวฮ์ฟะห์ ประมาณ สามไมล์

[287]          ทูตของพระผู้อภิบาลในที่นี้หมายถืงความตาย

288  คือ อัลกุรอาน และครอบครัวของท่านนบี ซ.ล. ที่เรียกว่าหนักเพราะนั้ทั้งสองนั้นมีควานยิ่งใหญ่และภารกิจในสิฑธิ์ของทั้งสองนั้นเป็นIรื่องหนัก

[289] เขาได้ถามถึงคนในครอบครัวของท่านที่ห้ามรับ ซะกาต อันได้แก่ อับบาสและวงศ์วานของเขาและได้แก่อะลี ยะอฺฟัร์ และอะกีลทั้งสามเป็นบุตรของอะบีตอลิบและวงศ์วานของพวกเขา พวกเขาทั้งหมดที่เป็นลูกหลานของ ฮาชิม ที่ นี่เป็นทรรศนะ ของนักวิชาการส่วนมาก อิหม่ามชาฟิอีได้กล่าวว่า คนในครอบครัวของท่านนบี ซ.ล. ที่ห้ามรับชะกาต คือถูกหลานของฮาชิม และลูกหลานของ มุตตอลิบ เพราะมีหะดีษหนึ่งกล่าวว่า แห้จริงลูกหลานของฮาชิม และถูกหลานของมุตตอลิบเป็นสิ่งเดียวกัน

[290]         เพราะเขาเป็นต้นตอของท่านนบี ซ.ล. ตามที่ปรากฏแก่สายตาและท่านนบีเป็นกิ่งก้านของเขา ต้นตอและกิ่งก้านย่อมมาจากธาตุ เดียวกัน

[291]         เป็นการให้เกียรติแก่พวกเขา อับบาสเป็นผู้มีความประเสริฐใหญ่หลวงเพราะเป็นลุงของท่านนบี ซ.ล. และเป็นคนในครอบครัวของท่าน

[292]     หมายความว่าข้าพเจ้าไม่เคยเห็นความแปลกประหลาดเช่นการหัวเราะหลังการร้องไห้เลย

[293]     หะคืษนไม่ข้ดกับหะดีษก่อนที่ว่าสิ่งที่ทำให้ฟาติมะห์ หัวเราะคือท่านนบืให้บอกนางว่าเป็นคนแรกจากครอบครวของท่าน ที่เสียชีวิตหลังจากท่าน เพราะอาจเป็นไปไห้ว่า มืการบอกข่าวที่น่ายินดีหลายครั้ง

[294]     คือทรัพย์ที่ให้จากยะฮูดีบะนีกุรอยเดาะห์ บะนี น่าดีร และที่ให้จากคอยบัรและจากหัวเมืองต่างๆ ของ อุรอยนะห์

[295]       หมายความว่า วงค์วานของมุฮัมมัด อันได้แก่ญาติที่ใกล้ชิดและบรรดาภรรยาของท่านจะได้รับค่าใช้จ่ายที่พอเพียงจาก ทรัพย์นี้

[296]       ทั้งสองเป็นบุตรของอะลีที่เกิดกับฟาติมะห์ บุตรสาวของท่านนบี ซ.ล. หะซัน มีชื่อเล่นว่า อะบูมุฮัมมัดเกิดในปี ฮิจเราะห์ ที่สาม เสียชีวิตที่นครมะดินะห์โดยถูกยาพิษ ในปีที่ ห้าสืบ ท่านมีอายุได้สี่สิบเจ็ดปี ทุเซ็นมืชื่อเล่นว่า อะบูอับดุลลาห์ เกิด ในเดือนชะอฺบานปีฮิจเราะห์ที่สี่ เสียชีวิตในฐานะ ชะฮีด ที่ กัรบลาอฺ ประเทศอิรัคในปีที่หกสืบเอ็ด ท่านมีอายุได้ห้าสิบเจ็ดปี

[297]       ชาวอิรัคคนหนึ่งได้ถามอิบนุอุมัร ถึงคนที่ครองเอียะห์รอมเมื่อเขาได้ฆ่าแมลงวันตัวหนึ่งตายเขาจำเป็นจะต้องปฎิบัติอย่างไร และในรายงานที่สอง ได้ถามถึงเลือดยุงที่ถูกเสี่อผ้า อิบนุอุมัรได้ประจานเขาเพราะเขาถามถึงเรื่องเล็กน้อย ทั้งๆ ที่พวกเขาได้ กระทำเรื่องที่เป็นอันตรายยิ่งนั่นคือการฆ่า ฮูเซ็น ซึ่งท่านนบีได้กล่าวถึงฮุเซ็น และพี่ชายของเขาว่า คนทั้งสองขณะที่อยู่ใน โลกนี้สำหร้บข้าพเจ้าแล้วเหมือนโหระพา ที่น่าดม

[298]                    และการไกล่เกลี่ยนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ขณะเมื่อเกิดการขัดแย้งขึ้นระหว่างหะซัน กับ มุอาวิยะห์ ใน เรื่องตำแหน่งคอลิฟะห์ โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีผู้ให้การสนับสนุนเป็นจำนวนมาก หะซันเป็นผู้เหมาะสมแก่ตำแหน่งคือลีฟะห์มากกว่าเพราะเป็นคนในครอบครัวของผู้ดำรงตำแหน่งคอลีฟะห และมุสลีมให้สัตยาบันร่วมทำสงครามเพื่อตำแหน่งนี้ถึงสี่หมื่นคน ทั้งที่เป็นอย่างนี้ หะซันก็ได้สละตำแหน่งคอลีฟะห์ให้แก่ มุอาวิยะห์ เพื่อรักษาเลีอดของมุสลีม

[299]                   หะซันเหมือนกับท่านนบี ซ.ล. ในด้านรูปร่าง อุปนิสัย และความประพฤติ

[300]       เมื่อหะเซนถูกฆ่าตายชะฮีด พวกนั้นได้นำศีรษะฃองท่านมายัง อุบัยดิลลาห์ บุตร ชืยาดชึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าเมือง กูฟะห์ โดยได้รับการแต่งตั้งจากฝ่ายของยะชืด บุตร มุอาวิยะห์ เขาได้ใช้ไม้ถือของเขาเขี่ยจมูกและตาของท่าน พร้อมกับกล่าวว่า ข้าพเจ้า ไม่เคยเห็นความสวยงามเหมือนเช่นนั้นมาก่อน เซด บุตร อัรกอมได้กล่าวแก่เขาว่า จงยกไม้ของท่านขึ้นความจริงข้าพเจ้าแลเห็น ปากของท่านรอชุล้ลเลาะห์อยู่ที่ปากของเขา เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขี้นในปีที่หกสิบเอ็ด หลํงจากนั้นอ็กเพยงปีเดียว อุบัยดิลลาห์ บุตร ชืยาด ก็ถูกฆ่าตายพร้อมด้วยสมัครพรรคพวกของเขาศีรษะของพวกเขาได้น่ามาสู่กูฟะห์ ต่อมาได้มีงูตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไป ตามศีรษะของพวกนั้นจนในที่สุดได้เลื้อยเข้าไปในจมูกของ อุบัยคิลลาห์เข้าไปหยุดอยู่ในนั้นขั่วครู่หนึ่งจึงได้กลับออกมาและ เข้าไปในจมูกของเขาอ็ก งูได้กระทำอยู่อย่างนั้นสามครั้งต่อหน้าประชาชนชึ่งได้แสดงความประหลา

[301]       หมายถึงเป็นผู้งดงามที่สุดของชาวสวรรค์ทั้งรุปร่างและเกียรติ

302 โดยที่ทั้งสองเป็นคนรักของท่านนบี ซ.ล. อํลเลาะห์จึงรักคนทั้งสองตามที่ท่านนบีรักและได้ตอบสนองคำวิงวอนของท่านนบี

[303]       หะชันมีส่วนคล้ายกับท่านนบี ซ.ล. มากที่สุดในส่วนบนของร่างกายตั้งแต่ช่วงอกถึงศีรษะของท่าน และกุเซนเหม์อน กํบนบ๊มากที่สุดในส่วนล่างของร่างกายคือตั้งแต่ช่วงสะดือถึงปลายเท้าของท่าน

[304]      หมายความว่าเมื่อไหร่เจ้าจะไปอยู่กับท่านนบี ซ.ล.

[305]     มะลาอิกะห์ก็มีความคิดถึงท่านนบี ซ.ล. เหมือนเช่นมวลมนุษย์และสรรพสิ่งต่างๆ ที๋คิดถึงท่านนบี

[306]    หะดีษนี้ชํ่ให้เห็นถึงความรักฃองท่านนบี ซ.ล. ที่มีต่อคนทั้งสอง

[307]     และในชั่วโมงนั้นข้าพเจ้าจะมีความเศร้าใจอย่างที่สุด

[308]    ฮิกมะห์ คือวิชาที่มืประโยชน์และ:การปฏิบัติตามวิชานั้น อีหม่ามชาฟิอีได้กล่าวว่า ฮิกมะห์คือ ซุนนะห์ ของท่านนบี ซ.ล.

[309]     คือได้โปรดสอนให้เขามีความเข้าใจในศาสนา

[310]       หะดีษนี้ชี้อีกว่าอนุญาตให้ขี่สัตว์ได้มากว่า หนึ่งคนถ้าหากสัตว์นั้นมีความสามารถ

[311]       เซดผู้นี้มาจากตระกล บะนีกัลบ์ ถูกจับเป็นเชลยในสมัยญาฮิลิยะห์ ฮะกีม บุตร ฮิชามได้ซื้อมามอบให้แก่น้าสาวของเขา คือ คอดิญะห์  ร.ฎ. และต่อมาคอดิญะห์ได้ยกให้แก่ท่านนบึ ซ.ล. ท่านได้ปล่อย เขาเป็นอิสระและเลี้ยงดู เป็นบุตรบุญธรรม

[312]       เซค บุตร ฮาริซะห์ ไม่ยอมกลับไปอยู่กับครอบครัวของท่านในฐานะเป็นอิสระชนและเป็นผู้นำแต่ท่าน เลือกอยู่กับท่าน นบี ซ.ล. และนั่นเป็นความเห็นที่ดีที่สุด

[313]       คือ อุซามะห์ บุตร เซด บุตร ฮาริซะห์ ซึ่งได้กล่าวมาท่อนหน้านี้แล้ว เขาได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในบ้านท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. เขาเป็นผู้มีมรรยาทสุง มีความกล้าหาญ และมีความบริสุทธิ์ใจเช่นเดียวกับบิดาของเขา

[314]       อุซามะห์ บุตร เซด พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดปรานเขาโดยให้เขาได้เข้านับถือศาสนาอิสลาม และท่านนบีได้โปรดปรานเขาโดยการปลดปล่อยบิดาของเขาคือ เซด บุตร ฮาริซะห์ เป็นอิสระ

[315]       ท่านนป็ ซ.ล. ต้องกาวจะเช็ดขี้มูกของอุซามะห์ ออกไป ในขณะที่เขาป่วย ท่านนบีได้ปฎิบัติแก่เขาเหมือนเด็กคนหนึ่ง จากลูกหลานของท่าน

[316]      บิลาล ต้องการออกสู่สมรภูมิภายหลังจากท่านนบี ซ.ล. ได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่อะบูบักร์ ได้ห้ามเขาและขอร้องใหเขา ทำหน้าที่อะซาน ต่อไปเหมือนเช่นเดิม บิลาลจึงได้พูดด้วยคำพูดดังกล่าว

[317]      หมายถึงท่านจะละหมาดภายหลังอาบน้ำละหมาดทุกครั้ง

[318]     มุสอ้บ ผู้นี้ท่านนบี ซ.ล. ได้ส่งเขาไปยังนครมะดินะห์หลังจากการให้สัตยาบันที่ อะกอบะท์ครั้งที่สอง เพื่อสอนชาวมะดินะห์ให้อ่านอัลกุรอาน และสอนวิธีละหมาด มีผู้กล่าวว่า เขาเป็นผู้นำละหมาด ญุมอะห์ เป็นครั้งแรกที่นครมะดินะห์ก่อน การอพยพ และท่านถูกฆ่าตาย ชะฮีด ในสงความอุฮุด

[319]                 อิชคิช เป็นชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่งซึ่งรู้จักกันอย่างแพร่หลาย

[320]                 อับคุลเลาะห์ บุตร อุมัร มืชื่อเล่นว่า อะบู อับดิรเราะห์มาน มารดาชื่อไซหนับหรือ รอบิเตาะห์ บุตรสาวมัชอูน เป็น น้องสาวของ อุสมาน บุตร มัชอูน อับดุลเลาะห์ได้เข้าสู่ศาสนาอิสลามพร้อมกับบิดาของเขาที่นครมักกะห์ในขณะเยาวัย ได้ อพยพพร้อมกับบิดาของเขา และได้ออกทำสงครามทุกสมรภูมินอกจากสมรภูม บัดร์ เพราะยังเป็นเด็กอยู่ อับคุลเลาะหเกิดใน ปีที่ สามหลังการได้รับตำแหน่งของท่านนบี และเสียชีวิตในปีที่ เจ็ดสืบสาม มีอายุได้แปดสืบสามปี

[321]                 เขาทั้งสองของบ่อน้ำคือเสาสองต้นที่ตั้งอยู่ริมบ่อเพื่อแขวนลูกรอก

[322]                 คือ ชาลิม บุตร อับดุลเลาะห์

[323]  เพราะการฝันว่าบินนั้นเป็นสี่งที่ดีและฝันว่าได้เข้าสวรรค์ก็เป็นความดีอีกประการหนึ่ง

[324] อับดุลเลาะห บุตร มัสอูด ได้เข้านับถือศาสนาอิสลามในยุค คนแรกๆเขาเป็นคนหนึ่งจากจำนวนุหกคนแรกที่เข้านับถือศาสนาอิสลาม เขาได้อพยพสองครั้ง ได้เข้าร่วมในสงคราม บัดร์ และฮุไดบียะห์ ท่านรอซูล้ลเลาะห์ ซ.ล. ได้ร้บรองว่าเขาได้สวรรค์ เขาเสียชึวิฅในปีที่ 32 มีอายุได้ หกสืบปี ศพถูกฝังที่ บะเกียะอ

[325] คือจงยึดถือ อัลกุรอานจากสี่คนนี้เพราะพวกเขาจดจำและมีความแม่นขำกว่าคนอื่นๆ

[326] เช่นชื่อเล่นของอับดุลเลาะห์ บุตร มัสอูด

[327] เขาคือ อะบุด ดัรดาอุ  ร.ฎ.

[328] ผู้ทำหน้าที๋ถือสิ่งเหล่านี้ให้แก่ท่านนบี ซ.ล. คือ อับดุลเลาะห์ บุตร มัสอูด

[329] คือ อัมมาร บุตร ยาซีร

[330] กอ อุไซฟะห์ บุตร ยะมาน

[331] หมายความว่าเหมือนกับที่ อับดุลเลาะห์ บุตร มัสอูด ได้อ่านนั้นท่านนบื ซ.ล. ไค้อ่านให้ข้าพเข้าฟังแด่พวกชาม เกือบทำ ให้ข้าพเข้ากลับไปอ่านตามการอ่านของพวกเขาซึ่งมืประโยคที่ว่า “วะมาก่อละกอซซะกะรอวั้ล อุนซา” ชึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ทั้งสองการอ่านนถูกต้อง แต่ทุกฝ่ายได้ยึดถือตามที่ตนได้ยินมา

[332] เขาเป็นคนหนึ่งจากจำนวนสืบคนที่ได้รับแจ้งข่าวดีว่าเป็นชาวสวรรค์

[333] คือเขาเป็นผู้ที่จดจำคัมภีร์ อินยิล และคัมภีร์ อัลกุรอาน

[334] จบอายะห์คือ “ต่อมาพวกเขามีความยำเกรงและมีศรัฑธา ต่อจากนั้นพวกเขามีความยำเกรงและทำความดี และพระองค์ อัลลอฮ์ทรงรักผู้ทำความดี”

[335] ความมุ่งหมายของทะดีษนี้ก็คือ ให้ปฎิบัติตามคนทั้งสองภายหลังจากบรรดาคอลิฟะห์ทั้งสี่

[336] แต่เป็นเพราะการแต่งตั้งต้องกระทำโดยการปรึกษาหารือกัน คนอื่น ๆ จึงไม่ยอมรับอับดุลเลาะห์ บุตร มัสอูดในการเป็น ผู้นำทัพเพราะเขามีร่างเล็กและไม่ใช่เป็นชาวกุเรซ ส่วนเซด และอุซามะห์ พวกเขายอมรับให้เป็นผู้นำทัพตั้งที่ไม่ใช่เป็นชาวกุเรช เพราะเขามาจากครอบครัวของท่านนบี ซ.ล.

[337] คือชาลิม บุตร เมียะกอล เคยเป็นทาสของซัลมาหรือ อัมเราะห์ ภรรยาของอะบีฮุไซฟะห์ ต่อมาหล่อนได้ปล่อยเขาเป็นอสระ และอะบุฮุไซฟะห์ได้เอาเขามาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม

[338] มารดาของเขาชื่อ สุไมยะห์ ครอบครัวของเขาได้เข้านับถือศาสนาอิสลามในยุคต้นๆ และได้ถูกทำทรมานต่างๆอย่างรุนแรงโดย สุไมยะห์ต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของ อะบุยะฮัล ท่านนบี ซ.ล. ได้เดินผ่านพวกเขาขณะถูกทำทรมาน ท่านได้กล่าวว่า “จงอดทนเถิดวงศ์วานของยาชิร สัญญาของพวกท่านคือสวรรค์"

339 คือพวกของมุอาวิยะห์ ที่ต่อต้านอะลีและกองทหารของเขา อัมมารได้รวมอยู่ในกองทหารของอะลี ในสงครามชิฟฟิน และได้ถูกสังหารในสงครามนี้

[340] เขาไต้เข้านับถือศาสนาอิสลาม ในช่วงสงบศึก ฮุไดบียะห์ปีที่แปดพร้อมกับ คอลิด บิน วาลีด

[341] ความหมายที่ว่าประชาชนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงประชาชนโดยทั่วๆ ไปแต่หมายถึงประชาชนกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ คือพวกที่เข้านับถือศาสนาอิสลามเพราะพ่ายแพ้สงคราม

[342] คือเป็นคนหนึ่งทึ๋มืศรัทธาหลังจากที่เข้ายึดมักกะห์

[343] ชื่อสถานทที่แห่งหนึ่งอยู่ในแผ่นดิน ยุซาม

[344] คืออย่าให้หญิงที่รำพันและไฟติดตามข้าพเจ้าไปยังหลุมฝังศพ

[345] เขาไห้เข้านับถือศาสนาอิสลามในช่วงสงครามฮุาดัยบืยะห์ เขาได้แสดงความเด็ดเดี่ยวให้ประจกษ์ในทุกที่ มุอฺตะห์ ใน สงครามเสียศาสนา และในการเข้าปลดปล่อย ชามและอิรัค เขาเสียชีวิตที่ อิมส์ ในปีที่สิบเอ็ดมีอายุสี่สืบกว่าปี

[346] ท่านนบี ซ.ล. ไห้แจ้งข่าวการเสียชีวิตของบุคคลเหล่านี้ก่อนที่ผู้แจ้งข่าวจะมาถึง และนี่เป็น มัวะอญิซาตหนึ่งของ ท่านนบี ซ.ล.

[347] หมายถึงเป็นผู้มีความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่เปรียบดุจดังดาบของอัลลอฮ์ที่จะประกาศตชัยชนะเหนือศัตรูของพระองค์

[348] เขาได้เข้านับถือศาสนาอิสลามพร้อมกับบิดาและมารดาของเขาในปีที่ท่านนบี ซ.ล. ได้เข้าปลดปล่อยนครมักกะห์ มุอาวิยะห์ เคยกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เข้านับถือศาสนาอิสลานในวัน อุดัยบิยะห์ แต่ข้าพเจ้าได้ปกปีดอิสลามของข้าพเจ้าเอาไว้ในครอบครัว

ขำพเจ้าทราบ จนกระทั่งพวกเขาได้เข้านับถือศาสนาอิสลานในวันปลดปล่อยมักกะห์ มุอาวิยะห์เป็นคนเขียน วะฮีย์คนหนึ่งของ ท่านนบี ซ.ล. และเคยเป็นผู้ปกครองเมืองชามให้แก่คอลิฟะห์ อุมัรและอุสมานเป็นเวลายี่สิบปี และได้ดำรงตำแหน่งคอลิฟะห์ หนึ่งจาก หะซัน จนถึงปีที่หกสิบ เขาเสียชึวิต ที่ดามัสกัด ในปีที่หกสิบ มีอายุได้ แปดสิบสองปีหรือเจ็ดสิบแปดปี 

349 มุอาวิยะห์ได้ละหมาดอิชาอุ และละหนาด วิตร์ หลังละหมาดอิชาอุ เพืยงหนึ่งรอกาอัด กุเรบทาสของอิบนุอับบาสได้ คัดค้านการกระทำของมุอาวิยะห์ และได้กล่าวแก่อินนุ อิบบาสว่า ท่านจะไม่พูดกับมุอาวิยะห์ หรือ ที่เขาละหนาด วิตร เพียง หนึ่งรอกาอัดเท่านั้น อิบนุ อิบบาสได้กล่าว ท่านอย่าปฎิเสธเขาเพราะความจริงเขาเป็นผู้ที่มีควานเข้าใจในศาสนาและเขาได้ทำถูกต้องตามซุนนะห์แล้ว

[350] หะดีษนี้ชี้ว่าตำแหน่งหน้าที่จะเป็นของมุอาวิยะห์ และไม่ขัดกับเหตุการณ่ที่เกิดขึ้นระหว่างอะลีกับมุอาวิยะห์ แม้ว่าอะลี จะเป็นฝ่ายถูกแด่มุอาวิยะห์ก็ใช้หลักการวินิจฉัยซึ่งอาจผิดและอาจถูกได้ และไม่อนุญาตให้วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ เพราะพวก เขาล้วนเป็นอัครสาวกของท่านนบี ซ.ล. อุมัร อิบนุ อิบดิลอะซีซเคยตอบผู้ที่มาถามเขาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้ระหว่างอาลีกับ มุอาวิยะห์ว่า นั้นเป็นเลือดที่พระองค์อัลเลาะห์ได้ให้มือของพวกเราสะอาดจากเลือดนั้น ดังนั้นเราอย่านำลิ้นของเราเข้าไปวิพากษ์ วิจารฌ์ในเลือดของพวกเขา

[351] คือผู้รายงานหะดษจากอิบนิอับบาส

[352] กอชายที่เป็น คนหน้าไหว้หลังหลอก

[353] คือไม่อนุญาตให้ออกนอกบ้านเว้นแต่ไห้รับอนุญาตหรือมีความจำเป็น

[354] คือบาป

[355] โองการต่างๆ ของอัลลอฮ์ คือ อัลกุรอาน และวิทยปัญญาคือ ซุนนะห์ของท่านนบี

[356] เหมือนกับมารดาของพวกเขาในเรื่องห้ามแต่งงานและในเรื่องการยกย่องให้เกียรติ แต่ไม่อนุญาตให้มองดูและอยู่กันตามลำพัง

[357] คอดิญะห์เป็นภรรยาคนแรกของท่านนบี ซ.ล. ลูกทั้งหมดของท่านนบี ซ.ล. เกิดกับพระนางคอดิญะห์ไดแก่ กอเซ็ม อับดุลเลาะห์ ซึ่งมีฉายาว่าตอยยิบ และตอฮีร ไซหนับ รุกอยยะห์ อุมมุกัลโซม และฟาติมะห์ ส่วนบุตรของท่านที่ชื่อ อิบรอฮีม นั้นเป็นบุตรที่เกิดจากมาริยะห์ ตัลกับติยะห์ ขณะที่คอดิญะห์มีชึวิตอยู่นั้นท่านนบี ซ.ล. ไม่ไค้แต่งงานกับหญิงอื่นเลย

[358] อาอชะห์มีความหึงหวงคอิดญะห์ในตัวท่านนบี ซ.ล. เพราะท่านพูดถึงคอดิญะห์อยู่เสมอและรักคอดิญะห์มาก ทั้งที่อาอิชะห์ เองก็ไม่เคยเห็นคอดิญะห์เพราะคอดิญะห์เสียชีวิฅก่อนที่ท่านนบี ซ.ล. จะแต่งงานกับอาอิชะห์ เป็นเวลาถึงสามปี

[359] คำว่าหรืออาหารหรือเครื่องดื่มเป็นความสงสยของผู้เล่า

[360] มรยัม เป็นหญิงที่ดีที่สุดในยุคของนวง ส่วนคอดิญะห์เป็นหญิงที่ดีที่สุดของประชาชาตินี้

[361] ฮาละห์ เป็นน้องสาวของคอดิญะห์ และเป็นภรรยาของรอเบียะอุ บุตร อ้บดํ๋ล อุซซา ซึ่งเป็นบิดาของอะบุลอาส บุตร รอเบียะอฺ ผู้เป็นสามีของ ไซหนับ  บุตรสาวของท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.

[362] หมายถึงหญิงที่ฟันหลุดหมดปาก เหลือแต่ เหงือกแดง

[363] ท่านนบีโกรธ ที่อาอิชะห์ได้กล่าวเช่นนั้น จึงได้พูดขึ้นว่า ข้าพเจ้าจะไม่พูดถึงคอดิญะห์อีกต่อไปหลังจากนี้นอกจากจะ พูดถึงแก่เรื่องดีๆ เท่านั้น

[364] หมายความว่า สุภาพสตรีที่ท่านนี้ก็พอเพียงแก่ท่านแล้วที่จะเป็นตัวแทนของบรรดาผู้หญิงที่มีความประเสริฐ

[365] เป็นผ้าไหมสืเขียวซึ่ง ญิบรีล ได้นำมาให้ท่านนบี ซ.ล. ขณะที่ท่านนอนหลับพร้อมกับมีรูปของสุภาพสตรีท่านหนึ่งอยู่ในผ้าไหมนั้น 

[366] และในช่วงนี้ท่านได้แต่งงานก้บ เซาดะห์ บุตรสาว ซัมอะห์

[367] คือพักอยู่ชานนครมะดินะห์

[368] คือร่วมเล่น เปลอยู่ด้วยกัน

[369] คือจากบ้านของพวกเรา

[370] คือท่านรอซูลุลเลาะห์ได้เข้ามาหาข้าพเจ้าในตอนสายของวันนั้น ชึ่งทำให้ข้าพเจ้าตกใจมาก

[371] ซะรีด เป็นขออาหารชนิดหนึ่งประกอบด้วยขนมปังป่นกับน้ำชุป นี่เป็นการเปรียบเทียบในยุคนั้น

[372] คือในสภาพที่หลังของท่านพิงอยู่กับอกของเธอ

[373] คือเนื่องจากอายและยำเกรงท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล.

[374] ส่วนตัวของมุฮัมมัดนั้นอยู่กับเธอเสมไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ใด

[375] อุมนุชะละมะห์ มีชื่อจรงว่า ฮินด์ เธอได้อพยพครั้งแรกไปอะบิสิเนียพร้อมกับสามีคนแรกของเธอ ชื่ออะบูซะละมะห์ ต่อมาได้อพยพเป็นครั้งที่สองไปยังนครมะดินะห์ เมื่ออะบุซะละมะห์เสียชีวิฅท่านนบี ซ.ล. ได้แต่งงานกับเธอ

[376] ความมุ่งหมายคือประนามการหยุดอยู่ในตลาดนอกจาก เท่าที่จำเป็นเพราะตลาดเป็นสนามของชัยฏอน ที่มีการโกหก หลอกหลวง และการทุจริตต่อ เพื่อนมนุษย์

[377] อุมมุซะละมะห ได้ เห็นญิบรีลคุยอยู่กับท่านนบี ซ.ล. เมื่อท่านถาม เธอว่า เขาเป็นใครเธอเข้าใจว่า จะเป็นใครใปไม่ได้นอกจาก เดียะห์ยะห์ อัลกัลย์ เพราะบางครั้งญิบรีลจะแปลงมาในรูปของเขา

[378] คือ ไชหนบ บุตร ยัวฮ์ช เคยเป็นภรรยาของ เชด บุตร ฮาริษะห์ แต่ทั้งสองไม่ลงรอยกัน เมื่อ เซดได้หย่าขาดจากหล่อน และหมดกำหนดกักตัวแล้ว ท่านนบี ซ.ล. ได้แต่งงานกับหล่อน เพื่อปลอบใจ เพราะหล่อนได้แต่งงานกับ เซดตามคำสั่งของ ท่านนบี ซ.ล. แต่หล่อนเห็นว่าตัวเองมีเกียรติสูงกว่าเซตจึงมาลงรอยกัน

[379] เมื่อท่านนบี ซ.ล. เสียชีวิตปรากฎว่าผู้ที่ติดตามท่านไปคือ ไซหนับ บุตร นัวฮช์ จึงปรากฏว่าความหมายที่ว่ามือยาวในที่นี้คือ การบริจาคทาน เพราะซัยหนับชอบทำทาน

[380] ซอฟิยะห์          เคยตกเป็นเชลยศึกและหล่อนอยู่ในส่วนแบ่งของท่านนบี ซ.ล. ต่อมาท่านได้ปล่อยหล่อนและได้แต่งงานกับหล่อน

[381] เป็นบุตรสาวของนบีคือนบีฮารูน อ.ล. และลุงของเธอก็เป็นนบีคือนบีมูซา อ.ล. และเธอยังเป็นภรรยาของนบี คือ นบีมุฮัมมัด ซ.ล.

382 อุมุไอมันเคยเป็นทาสหญิงของอามีนะห์ มารดาของท่านนบีซ.ล. และไค้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของท่านนบี โคยการรับ มรดก ต่อมาท่านไค้ปล่อยหล่อนเป็นอิสระ และไค้แต่งงานหล่อนกับเซดบุตร ฮาริฃะห์ และไค้มีบุตรกับเซคหนึ่งคนคือ อุซามะห์ และ ปรฺากฎว่าท่านนบี ซ.ล. ให้ความเคารพนับถือหล่อนเหมือนนับถือมารดาของท่านเอง ท่านเคยเรียก อุมมุ ไอมันว่า มารดาของฉันหลังจากมารดาของฉัน

383 เมื่อท่านนบี ซ.ล. ไม่ดื่มอาจเป็นเพราะท่านถือศีลอดหรือท่านไม่ต้องการดื่ม หล่อนไค้ขึ้นเสียงกับท่าน แสดงให้เห็นว่า ท่านนบีให้ความนับถือหล่อนมาก

384 นี่แสดงให้เห็นว่าหล่อนมีตำแหน่งทางค้านวิชาการสูง

385 อุมน ซุไลม์ ชื่ออัลฆุไมซออุ บุตรี มิลฮาน เป็นมารดาของอะนัส ร.ฎ.

386 และเคยเข้าไปพบ อุมมุฮะรอมน้องสาวของเธอเพื่อปลอบใจคนทั้งสองเพราะคนทั้งสองมาจากตระกูลบะนี นัจญาร ทั้งสองมีศักดิ์เป็นน้าสาวของท่านนบี ซ.ล. ขณะที่พวกพ้องของเธอไค้เข้านับถือศาสนารอิสลามเธอก็ไค้เข้านับถือพร้อมกับพวก

ของเธอ สามีของเธอคือ มาลิกไม่พอใจจึงไค้เดินทางไปประเทศ ชาม และไค้เสียชีวิตในสภาพเป็นคนนอกศาสนา ต่อมา อะบูตอลฮะห์ไค้มาสู่ขอเธอ และเธอไค้กล่าวว่าข้าพเข้าจะไม่ยอมแต่งงานกับเขาจนกว่าเขาจะเข้านับถือศาสนาอิสลาม และการนับถือศาสนาอิสลามของเขาจะเป็นสืนสอดแก่ข้าพเจ้า อะบูตอลฮะห์ไค้เข้านับถือศาสนาอิสลามและทั้งสองก็ไค้แต่งงานกัน

387 ความหมายของชาว อันซอรในที่นี้หมายถึง ชาวนครมะดินะห์

[388] คืออยู่กับหญิงนั้นจนเสร็จธุระของหล่อน

[389] คือจะไปอาศัยอยู่ในบ้านเมืองของพวกเขา

[390] พระองค์อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า “และบรรดาผู้ที่ล่วงหน้ามาก่อนเป็นรุ่นแรกจากมวลผู้ยพยพ(มุฮาญิรีน) และมวลผู้ให้การช่วยเหลือ(อันซอร) และบรรดาผู้ที่ติดตามพวกเขาด้วยความดีงาม แน่นอนอัลเลาะห์ย่อมพอพระทัยต่อพวก เขาและพวกเขา ก็พึงพอใจในพวะองค์ และพระองค์ทรงเฅรียมบรรดาสวรรค์ไว้แก่พวกเขา ซึ่งมัธารน้ำหลากสายไหลอยู่ ณ เบื้องใต้ของมัน พวกเขาเข้าอยู่ในนั้นโดยตลอดไป

[391] คือจ่ายค่าโสหุ้ยเป็นค่ารถนาและดูแล

[392] โดยเรียกบริวารของพวกเขาว่าเป็นชาวอันซอรไปด้วย เพื่อให้เขาอยู่ในกำสั่งเสียที่ใช้ให้ปฎิบัติแก่พวกเขาด้วยดี

[393] ชาวอันซอร ลูกหลานของเขา และบริวารของพวกเขา ได้รับการอภัยโทษ

[394] เพราะเขาอยู่ในตระกูล บะนีซาอิคะห์ ซึ่งอยู่ในล่าดับที่สิ่

[395] และพวกเรากล้วว่าท่านนบีจะเสียขืวิต เนื่องจากท่านกำลังป่วยอยู่ในขณะนั้น

396 หมายความว่าเป็นที่เก็บความลับ และเป็นที่เก็บรักษาสิ่งที่ท่านได้รับความไว้วางใจ

[397] พวกเขาไม่ยอมรับนอกจากจะต้องมอบใหกับพวกมุฮาญิรึนด้วย แต่ท่านนบี ซ.ล.มีไม่พอที่จะมอบให้ทั้งพวก อันชอร และ มุฮาญิรีน ท่านจงใช้พวกเขาให้มีความอดทนเมีอพวกเขาเห็นคนอื่นสำอัญกว่าตนเอง

[398] กอ สะอัด บุตร มุราช บุตร นวะอมาน เป็นห้วหน้าเผ่าเอาส์ เหมีอนเช่นที่ สะ;อัด บุตร อุบาดะห์ เป็นหัวหน้าเผ่า ค๊อซรอจ

[399] บัลลังก์และผู้แบกบัลลังก์มีความปิติ ในการมาของวิญญาณของเขา

[400] มะลาอิกะห์จะแบกศพของคนที่ดีบางคน และนี่ไม่ใช่เป็นการตำาหนิศพที่หนัก

[401] พวกยะฮูดี ตระกูล บะนี กุรอยเฎาะห์ กับท่านนบี ซ.ล. เคยมีสัญญาต่อกันต่อมาพวกยะฮูดีได้ละเมิดสัญญาในสงคราม คอนดัก ท่านนบีได้ส่งกองทหารไปล้อมพวกนั้นไว้เป็นเวลายี่สืบท้าวัน ในที่สุดพวกเขายอมออกจากป้อมเพื่อใท้สะอัด บุตร มุอ๊าช ทำการตัดสินพิพากษา ซึ่งขณะนั้น เขากำลังป่วยอยู่ในมัสยิดเนื่อง จากพิษลูกธนูที่เขาถูกยิงในสงคราม คอนดัก ท่านนบี ซ.ล. ได้ส่งคนไปตามเขามา และเขาได้ทำการตัดสืนดังกล่าว หลังจากใคร่ครวญและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

[402] เขาเป็นลุงของ สะอัด บุตร มุอาซ ที๋กล่าวมาแล้ว

[403] นี่เป็น มัวะอฺยิช๊าต ของท่านนบซ.ล.และเป็น กะรอมาต (เกียรติ) ของอัครสาวกของท่าน

[404] คือคอยติดตามรับใช้ท่านนบี ซ.ล. เหมือนเป็นองค์รักษ์

[405] คือ สะอัด บุตร สะอีด อัลเอาซีย์ ที่กล่าวนเป็นความเช้าใจของอะนัส

[406] ชื่อ เซด บุตร สะหัล บุตร ฮะรอม เสียชีวิตในปีที่ห้าสิบเอ็ด เขาเคยถือศีลอดเพียงเล็กน้อยในสมัยที่ท่านนบีมีชีวิตอยู่ เนื่องจากออกทำสงครามมาก เมื่อท่านนบี ซ.ล. เสียชีวิตเขาได้ทำการถือศีลอดตลอดทั้งปี นอกจากวันอีดทั้งสองเท่านั้น

[407] ทั้งนี้เนื่องจากเคลิมหลับไป นี่เป็นความโปรดปรานของอัลเลาห์เพื่อการพักผ่อน

[408] คืนอูฐ คือคืนที่ท่านนบีได้ซื้ออูฐตัวหนึ่งจากญาบิร และญาบิรได้ตั๋งเงื่อนไขว่าเขาจะต้องขี่อูฐตัวนั้นจนถึงนครมะดินะห์ และการขออภํยโทษได้เกิดขึ้นในคืนนั้น

[409] สิทธิของมันคือใช้มันทำสงคราม

[410] คำวิงวอนแรกคือให้มทร่พข์สมบ่ตมาก คำวิงวอนที่สองคือให้มสูกหสานมาก ส่วนคำวิงวอนที่สามถูกเก็บไว้ในอาคิเราะห์

[411] นี่เป็นคำชุดหยอกล้อของท่านนบี ซ.ล. ที่เป็นความจริงเพราะมนุแย์ทุกคนมีสองหู และปรากฎว่าท่านนบี ซ.ล. มก หยอกล้อกํบอ้ครสาวกของท่านโดขใข้คำชุดที่เป็นความจริง

[412] กำส์งถูกฟันจากฝ่ายเคียวกันเพราะเข้าใจผิด

[413] หมายความว่าถ้าหากเขาวิงวอนขอต่อพระองค์อ้ลเลาะห์แล้วพระองค์จะตอบสนองคำวิงวอนของเขา

[414] เขาเป็นนักกวีของท่านนบี ซ.ล. ที่ทำหน้าที่ป้องกันท่านนบีด้วยการใช้คำกวี

[415] คล้ายเป็นการตำหนที่เขาทำเช่นนั้น

[416] คือจงประณามพวก มุชริกีน โดนมีญิบรีลคอยให้ความช่วยเหลือท่าน

417 การลิ้มเนื้อมนุษย์ คือการนินทา แต่อาอิชะห์ก็ไม่เคยนินทาผู้ใด เมื่ออัซซานพูดจบลงอาอิชะห์ได้กล่าวแก่เขาว่า แต่ท่าน ไม่ได้เป็นเช่นนั้น โดยที่ความจริงฮัซซานเคยเป็นคนหนึ่งจากกลุ่มบุคคลที่กล่าวหาอาอิชะห์ และในบั้นปลายของชีวิตตาของเขาบอด ด้วยเหตุนี้อาอิชะห์ จึงได้ตอบมัสรูกด้วยคำพูดที่จะกล่าวต่อไป

[418] บุตรสาวของ มัคซูม คือฟาติมะห์ บุตร อัมร์ บุตร อาอิช บุตร อิมรอน บุตร มัคซูม เคยเป็นภรรยาของ อับดุล มุตตอลิบและมีบุตรกับเขาสามคนคือ อับดุลเลาะห์ บิดาของท่านนบิ ซ.ล. อะบูตอลิบ และซุเบร

[419] ด้วยคำกวี ที่คงอยู่เป็นนิรนดร์

[420] คือทางด้านที่สูงของนครมักกะห์

[421] ปรากฏว่าเหตุการณ์นี้เกิดในอุไดบิยะห์ขณะที่พวกมุชริกูน ห้ามมิให้ฝ่ายมุสลิมเข้านครมักกะห์เพี่อประกอบพิธี อุมเราะห์

[422] คือไม่มีใครจะต่อสู้ได้

[423] คือท่านนบี ซ.ล.ได้สถาปนาความเป็นพี่น้องกันระหว่างพวกผู้อพยพ(มุฮาญิรีน)จำนวนหนึ่งร้อยห่าสืบคนกับพวกอันซอร จำนวนหนึ่งร้อยห้าสืบคนก่อนเกิดสงคราม บัดร์ ห้าIดือน ความนุ่งหมายของการสถาปนาควานเป็นพี่นองกันนก็คือ ได้สัญญาซึ่งกันและกันว่าจะช่วยเหลือสัจจธรรม ช่วยเหลืออัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์และไห่ควานร่วนมือกันทั้งด้านทาง โลกและศาสนา

[424] สีเหลืองที่ติดอยู่ที่ตัวเขาคือเครื่องหอมที่คู่บ่าวสาวใข้ในพิธีแต่งงาน

[425] ที่จะให้ความช่วยเหลือเพื่อนร่วมสาบานของตนโดยไม่มีข้อแม้ไม่ว่าจะ  เป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด

[426] น้องชายของเขาชื่อ อุเนส

      [427] กำพูดที่ไม่ใช่โคลงกลอนคือ อัลกุรอาน

[428] เพราะกลัวอันตรายจากฝ่าย กุเรช

[429] หลังจากอะลีได้เชื้อเชิญเขาไปที่บ้าน

[430] โดยนำเขาไปบ้านในคืนที่สาม

[431] คือข้าพเจ้าจะขนชิดกำแพงเหมือนกำลังปัสสาวะ

[432] การที่ซัลมานกับพวกได้กล่าวถ้อยคำเช่นนั้น เนื่องมาจากท่าทีการต่อต้านมุสลิมอ่ย่างรุนแรงของ อะบู ซุฟยาน ก่อนจะเข้า นับถือศาสนาอิสลาม และเหตุการณ์คร์งนิ้เกิดฃึ้นก่อนอะบูซุฟยานเข้านับถือศาสนาอิสลาม  เพราะอยู่ในช่วงสงบศึก ภายหลัง จากการเจรจาที่ฮุไดบียะห์ ดังนั้น เมื่ออะบูบักรได้พูดเป็น เชิงตำหนิพวกเขา ท่านนบี ซ.ล. จงชี้แนะให้เขาแสดงความอ่อน โยนต่อพวกเขา เพราะเกียรติฃองพวกเขา ณ พระองค์อัลเลาะห์

433 ชื่อเมืองหนิ่งในเปอร์เซีย

[434] นั่นคือในขณะที่เขาเป็นกาเฟรมะยูซีนั้น บิดาของเขามีตำแหน่งเป็นหัวหห้ากลุ่มของเขา ต่อมาเขาได้หลบหนีจากบิดา เพื่อแสวงหาอิสลาม เขาได้ไปอาศัยอยู่กับนักบวชคนแล้วคนเล่าได้ศึกษาคัมภีร์เตาร๊อตและอินยิล จนนักบวชคนสุดท้ายได้ชี้แนะ ให้เขาว่านบีมุฮัมมัด ซ.ล. ได้ปรากฏขึ้นแล้ว เขาจงได้ขออาศัยขาวอาหรับออกเดินทาง เมื่อถึงวาดีกุรอ เขาได้ถูกขายให้ เศรษฐีชาวยิว และถูกขายทอดไปเรื่อยๆ จนตกเป็นทาสของชาวยิวคนหนิ่งในตระกลบะนีกุรอยเดาะห์ และได้ถูกน่าตํวมาส่นคร มะดินะห์ เมื่อเขาได้เห็นท่านนบี ซ.ล. และเห็นครองหมายการเป็นนบี จงได้เข้า นับถือศาสนาอิสลาม และได้ขอคำสัญญา ไถ่ตัวจากการเป็นทาสด้วยราคาทองคำน้ำหนักสี๋สิบออนซ์  และต้องปลูกต้นอินทผลัมอิก 300 ต้น ท่านนบี ซ.ล. และบรรดา อัครสาวกได้ ให้การช่วยเหลือเขาในการไถ่ตัว  และปลูกต้นอินทผลัม ในที่สุดซัลมานก็เป็นอิสระได้ติดตามท่านรอซูลุลเลาะห์ไปทั่วทุกแห่ง และพำนักอยู่ในนครมะดีนะห์จน เสียชิวิตในปีที่สามสิบหก มอายุได้ 250 ปี

[435] อ่บดุล ลาะแบุตรลลามไดไทการขนย่นว่าอ่ลกุรอาน มาจากอ่ล ลาะห์เป็นการรนย่นของผู้รูไนก่มภีร์ก่อน ๆ การรนย่นนส่ง พลอนใหญ่หลวง โดขเฉพาะอย่างยํ่งพระองค์อํล ลาะห์ไดพจารฌานำมาเป็นหล้กฐาน และเป็นโองการหนึ่งทึ่ถูกอ่าน

[436] นเป็นการก่อมดน องข้อมาน ท่อเพราะเขาขงไม่ใารานนพ้ค์หหี่ร้นรกงว่หา าเป็นาทว*อวรรค์กนหนึ่งจากไนลIIกนกี่ก่านพน ซ.ล. ร้นรอง

[437] ชะวีก เป็นชื่ออาหารชนิดหนึ่งของชาวอาหรับ

[438] หมายความว่า ความรู้และความศรัทธานั้น มืพว้อมอยู่เสมอที่จะสนองตอบแก่ผู้ที่ต้องการ และขวนขวาย

[439] ขอของเขาในสมัยญาฮิลิยะห์คือ ฮุชอยน์

[440] ผู้มีความรู้ความเข้าใจในคัมภีว์ของอัลเลาะห์ในที่นี้คือ อับดุลเลาะห์ บุตรสลาม

[441] เขามีชื่อในสมัยญาฮิลิยะห์ว่า อับดุชำช์ หรือ อับดุอัมร์ และมีชื่อเรียกหลังจากนับถือศาสนาอิสลามแล้วว่าอับดุลเลาะห์ หรืออับดุรเราะห์มาน บุตร ซอกร์ ชื่อหลังนี้เป็นชื่อที่ถูกต้องที่สุด อะบู ฮุรอยเลาะห์ได้เข้านับถือศาสนาอิสลามในปีที่เกิดสงคราม คอยบัร และได้ร่วมในศึกคอยบัรพร้อมกับท่านนบี ซ.ล. เขาได้ติดตามรับใช้ท่านนบี ทั้งในยามปกติและออกเดินทาง เพียงเพีอให้มีอาหารประทังชีพ เป็นคนใฝ่หาความรู้และแนวทางที่ถูกต้องจนตาย วันหนึ่งท่านนบี ซ.ล. เห็นเขาอุ้มแมวตัวเล็กๆ มาโดยชุกไว่ในแขนเสี่อ ท่านนบีจึงถามเขา เขาได้ตอบว่า นี่คือลูกแมว โอ้..ท่านรอชุอุ้ลเลาะห์” ท่านนบีจึงกล่าวขึ้นว่า "นั่งลง โอ้พ่อถูกแมวน้อยๆ" และคำนี้ได้กลายเป็นชื่อเล่นของเขาตลอดมา และเป็นที่รู้จักยิ่งกว่าชื่อจริงของเขาเสียอืก หะคีษที่อะบู ฮุรอยเราะฮ์ รายงานมึทั้งหมด ห้าพันสามร้อยหกสืบสี่หะดีษ เขาตายที่นครมะดินะห์ในปีที่ห้าสิบเก้า มีอายุได้ เจ็ดสิบแปดปี ศพฝังอยู่ที่ บะเกียะอ์ The Baqi Cemetery)

[442] คือพระองค์จะสอบสวนข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าโกหกในการรายงาน

[443] ข้อความโดยสมบูรณ์ของโองการทั้งสองคือ “แท้จริงบรรดาผู้ที่ปกปีดสี่งที่เราได้ประทานลงมาจากบรรดาหลักฐานต่างๆ และทางนำ ภายหลังจากเราได้แจ้งมันไว้แก่มวลมนุษย์ในคัมภร์พวกเขาเหล่านั้นอัลลอฮ์ทรงสาปแช่ง และบรรดาผู้สาปแช่ง ก็จะสาปพวกเขาด้วย นอกจากบรรดาผู้สารภาพผิด และประพฤติความดีและเปิดเผยอย่างชัดแจ้ง (ในสี่งที่ตนรู้มาจากคัมภีร์) แน่นอนพวกเขาเหล่านั้น เราจะรับคำสารภาพผิดของเขา และเราเป็นผู้รับการสารภาพยิ่ง” อัลบะกอเราะห์

[444] หะดีษนี้ขี้ให้เห็นว่า พระองค์อัลเลาะห์ได้รับคำวิงวอนของท่านนบี ซ.ล. และตอบสนองให้อย่างรวดเร็ว ทั้งในครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง และนี่เป็นมัวะญิซาตอย่างหนึ่งของท่าน

[445] เนื่องจากเผ่าเดาส์ ซึ่งไม่ปรากฏเป็นที่รู้จักว่าเป็นเผ่าที่มีศีลธรรมดี ก่อนนี้เผ่านี่จะเข้านับถือศาสนาอิสลาม

[446] อะบู ฮุรอยเราะห์ เขียนหนึ่งสือไม่เป็น ส่วนอบดุลเลาะห์ บุตร อัมร์ บุตรอัลอาส นั้นเขียนทุกสิ่งที่เขาไดํยินจากท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ด้วยเหตุนี่เขาจึงเป็นผู้รายงานหะดีษมากกว่าอะบู ฮุรอยเราะฮ์

447 เช่นเดียวกันกับที่นบีเรียกฃฌะที๋เห็นแมวชุกอยู่ในแขนเสื้อของเขา

[448] ความเพิ่มพูนขาดตอนลงเพราะฟิตนะห์ที๋เกิดขึ้น

[449] เพื่อให้เกิดมงคลในน้ำที่อยู่ในภาชนะ

[450] หะดีษนี้ชี้ให้เห็นถึงความประเสริฐอันใหญ่หลวงของอะบี มูชา และบิลาล

[451] คือคำวิงวอนครั้งหนึ่งให้แก่อะบูอามีร และอีกครั้งหนึ่งให้แก่อะบูมูชา

[452] บ้านเรือนของพวกเขารู้จักได้ในเวลากลางคืน เพราะมีการอ่านอัลกุรอานกันมากซึ่งต่างไปจากบ้านเรือนอื่นๆ

[453] ที่กล่าวอย่างนั้นกับฝ่ายศัตรู เพราะต้องการเจรจาประนีประนอม หรือทำให้ฝ่ายศตรูเข้าใจผิดว่าต้องการเจรจาประนีประนอน และในคำพูดเช่นนั้นเป็นกลยุทธที่ทำให้ฝ่ายศัตรูเข้าใจว่าฝ่ายมุสลิมยังมีทหารอีกมากที่จะตามมา อาจทำให้ฝ่ายศัตรูเกิดความกลัว และเลิกรบ

[454] หมายความว่า พวกเขาจะแบ่งสิ่งของกันอย่างเสมอหน้าไม่ว่าผู้นั้นจะมีของมาร่วมมากหรือน้อยก็ตาน เนื่องจากมีความเมตตา และสงสารคนที่ยากจนในหมู่พวกเขา

[455] สาเหตุที่ท่านนบี ซ.ล. พูดเช่นนั้น เนื่องจากท่านไค้เดินในเวลากลางคืน และไค้ยินอะบู มูซาอ่านอัลกุรอานด้วยเสียง อันไพเราะ ท่านจึงหยุดฟังด้วยความพอใจครู่หนึ่งและท่านไค้เดินต่อไป รุ่งเข้าท่านได้เล่าให้อะบู มูซาทราบและได้พูดคำพูด ดังกล่าวนั้น และมีในบางรายงานว่า : อะบู มูซาได้กล่าวว่า “ถ้าหากข้าพเจ้ารู่ว่าท่านฟัง โอ้...ท่านรอซูลุลเลาะห์ ข้าพเจ้าจะค้อง อ่านให้ดีที่สุค"

[456] คื้อบ้านของ คอชอัม อยู่ในประเทศยะมันในบ้านหลังนั้นมีรูปบูชาที่ประชาชนพากันกราบไหว้นอกจากอัลลอฮ์

[457] อะห์มัส คือเผ่าของยะรีร  ร.ฎ.

[458] เขาเป็นชายที่มี่คุณธรรมบำเฟ็ญแต่ความดี เขาเป็นชาวยะมัน อยู่ในยุคท่านนบี ซ.ล. เขาศัรทธาต่อนบีแต่ไม่เคยพบ กับท่าน

[459] เพราะคำวิงวอนของเขาพระองค์อลเลาะค์ทรงรับ

[460] กอรอนเป็นแขนงหนึ่งของ มุร๊อด เพราะ กอรอนเป็น บุตร รูมาน บุตร นายิยะห์ บุตร มุรอด

[461] หนายความว่าถ้าหากเขาวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์พระองค์จะตอบสนองเขา โดยเร็ว

[462] คือ อาดัม กับ เฮาวาอฺ

463 ผู้ที่มีความเข้าใจในศาสนาเป็นผู้ที๋ดีที๋สุด

[464] ความหยิ่งยะโสและความทะนงมีมากในพวกเจ้าของอูฐที่ส่งเสียงดังขณะพวกเขาไล่ต้อนอูฐ

[465] ควานเข้าใจในศาสนาและวิทยะปัญญาอยู่กันชาวยะมันมากกว่าชาวเมืองอื่นๆ เพราะความสะอาดในจิตใจของเขามีมากกว่าจึงเหมาะสมที่จะเป็นที่รองรับวิทยะปัญญา

[466] หะดีษนี้ระบุว่าเจ้าของวัวและม้าก็เป็นพวก ฟัดดาดี้นด้วย

[467] พวกเหล่านํ้นเ เนที่รักของอั้ลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ยิ่งกว่า เผ่าอื่นๆ เพราะพวกเขาไม่ได้ต่อสู้ทำสงครามกับ ท่านนบี ซ.ล. แต่พวกเขาได้มาสู่ศาสนาอิสลามอย่างสันติและเป็นผู้ยอมปฎิบัติตาม

[468] อุซอยยะห์ คือแขนงหนึ่งของตระกูลบะนี ซุไลม์ พวกเขาได้ขัดขืนอัลลอฮ์และศาสนาทูตของพะองค์ ด้วยการทำลายสัญญาและสังหารนักท่องจำอัลกุรอาน ที่บ่อน้ำ มะอูนะห์

[469] จากตระกูล อับดิลลาห์คือจากตระกูลอับดุลอุซซา

[470] พวกเขาแม้ว่าบางคนจะเป็นฃโมยลักข้าวของ ของพวกที่เดินทางมาประกอบฟิธ๊ฮัจญ์ แต่พวกเขาก็ยังดีกว่าเผ่าอื่นๆที่ได้ต่อสู้ทำสงครามกับท่านนบี ซ.ล. ในวาระแรกแม้ว่าพวกเขาจะเข้านับถือศาสนาอิสลามในวาระต่อมาก็ตาม

[471] คำพูดนี้ยืนยันได้ว่าชาวอาหรับมีสองแผนกคือ อาหรับฮิยาซ เป็นลูกหลานของอืสมาอืล อ.ล. และอาหรับยะมันเป็นลูกหลานกอห์ตอน ซึ่งอขู่ในยุคก่อน อืสมาอืล

[472] และต่อมาพวกเขาได้เข้านับอือศาสนาอิสลามอย่างสันติ

[473] ซะกาตของพวกตอยยิอ์ ที่อะดีเป็นผู้นำมานั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านนบี ซ.ล. และอัครสาวกมีความภูมิใจเพราะเป็นส่ง แสดงว่ามืผู้ศรัทธาในอิสลามมาก

[474] ปรากฎเหตุการณ์นึในสงครามฮุนัยน์

[475] เพราะต้นกำเนิดของความศัรทธานั้นมาจาก ฮิยาซ เนื่องจากท่านนบี ซ.ล. และบรรดาอัครสาวกของท่านเป็นขาว ฮิยาซ และจากพวกเขาเหล่านั้นที่ความศรฑธาได้กระจายออกไปทั่วพื้นแผ่นดิน

[476] ซามเป็นบิดาของชาวอาหรับในคาบสมุทรอาหรับทั้งหมด ยาฟิซ เป็นบิดาของโรมันซึ่งอยู่ทางด้าน เหนือ และ ฮาม เป็น บิดาของพวกอะบิสิเนีย ซึ่งอยู่ทางด้านใต้และครอบคลุมถึงซูดาน มนุษย์ทั้งหมดภายหลังน้ำท่วมโลกนต้นกำเนิดมาจาก ชาม ฮาม และ ยาฟิซ ซึ่งเป็นบุตรของนบ นัวห์ อ.ล.

[477] หมายความว่าท่านทั้งหลายอย่า เคารพสักการะหลุมฝังศพฃองข้าพเจ้า เหมือนเคารพสักการะรูปบูชา

[478] หมายความว่าไม่สมควรที่จะปล่อยให้มีสองศาสนาคงอยู่ในคาบสมุทรอาหรับ

[479] คือต้นตอของวิกฤตการ  และความงมงายจะมาจากทางด้านนั้น

[480] อัซด์เป็นแขนงทนํ่งของชาวยะมันในที่นี้หมายถึง อัซดิชะนูอะห์ ไม่ใช่ อัชดิอุมาน

[481] ความกล้าหาญ ความมีศัรทธาและรักษาตัวจากความชั่วมีอยู่ในชาวยะมัน

[482] ฮิมยัร เป็นขื่อเผ่าหนึ่งอาศัยอยู่ในประเทศยะมัน ท่านนบี ซ.ล. ไม่ได้สาปแช่งเขาแต่ท่านได้เมตตาและสรรเสริญพวกเขา เพราะพวกเชาขอบการทักทายด้วยสลามและชอบเลี้ยงอาหาร

[483] อุมานเป็นชื่อเมืองหนึ่งในประเทศยะมัน เป็นกนละชื่อกับ อัมมาน ซึ่งเป็นเมืองหลวงชองประเทศจอแเดนในปัจจุบัน

[484] ชาวเปอร์เซียไม่ใช่ชาวอาหรับเป็นชนชาติที่อาคัยอยู่ทางด้านตะวันออกของอ่าวเปอร์เซีย

[485] ความหมายในที่นี้มุ่งเอาแต่เฉพาะ ซัลมานเท่านั้น

[486] ความนุ่งหมายในที่นี้คือ ชาวคอรอชานเท่านั้น

[487] ขามเป็นดินแดนที่มีมงคลเป็นถิ่นพำานักของบรรดานบี และบรรดาคนที่ดีๆ

[488] หมายความว่า ต้นตอของการทรยศ การหลงผิดและวิกฤตการร้ายแรงต่างๆ อยู่ที่ นัจดีด้วยเหตุนท่านนบี ซ.ล. จึงไม่ ขอพรใด้

[489] ท่านบุคอรี และ อิบนุ้ลมะดีนีได้กล่าวว่า พวกนี้คือพวกนักวิชาการหะคีษ

[490] หมายถึงในขณะที่เกิดวิกฤตการร้ายแรง

[491] คำว่า กีร๊อฅ เป็นมาตราวัดคือเป็นส่วนหนี่งของฟัดดาน และเป็นส่วนหนี่งของเหรียญเงินและเหรียญทองเป็นคำที่ใช้กัน ในหมู่ขาวอิยิปต์โบราณ คำว่าพันธะคือศรัทธาต่อคัมภีร์ อินญิล และเตาร๊อฅ คำว่าเครือญาติและเกี่ยวดองหมายถึง ความเป็น ญาติกับอิลมาอีล อ.ล. เพราะมารคาของท่านคือ ฮายัร มาจากชาวอิยิปต่นี้

[492] ข้าพเจ้าหมายลง อะบู ซัรร์ หรือผู้นี้รายงานต่อจากเขา

[493] ก้บบรรดานบีของพวกเขา

[494] นี่เป็นข้อเปรียบเทียบของมุสลมที่ตอบสนองคำเชิญชวนของมุฮัมมัด ซ.ล. และเป็นข้อเปรียบเทียบของยะฮูดี และ นะชอรอนี่เปลี่ยนแปลงแก้ไขและทรยศต่อท่านนบี ซ.ล.

[495] ด้งนั้นการฃัดแย้งกันของประชากรนี้จึงมีอยู่ฅลอดไปจนถงวันกิยามะห์

[496] หมาขกงประชากรที่มอผู่ในสมัยฃองท่านนบี ซ.ล. หรือหมายถึงประชากรทั้งหมด

[497] ด้วยการเผยแพร่หลักการศาสนาโดยการสอนหรือเรียบเรียงตำราหรือนำพาประชาชนให้ปฎิบัติศาสนา

[498] หนานความว่า ในประชากรทั้งหมดนั้นมีควานดี

[499] หมายความว่า เมื่อนักวิชาการของประชาชนนี้ได้มีมติกันบนสิ่งหนึ่งสิ่งนั้นก็ถือว่าเป็นสัจธรรมเพราะมือของอัลเลาะห์ จะเกาะกุมอยู่ ที่คนส่วนใหญ่ ส่วนผู้ที่ปลีกตัวออกไปคือผู้ที่หลงผิด และที่พำนักของเขาคือขุมนรก

หมายเลขบันทึก: 703763เขียนเมื่อ 9 กรกฎาคม 2022 14:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 สิงหาคม 2022 18:26 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท