โพสต์โดย ศ. นพ. เกษม วัฒนชัย ผมรับมาเผยแพร่ต่อ
“เคยสงสัยว่าชีวิตเราผิดปกติหรือเปล่านะ แต่อ่านเรื่องนี้จบแล้ว...มีคำตอบชัดเจน เกิดแรงบันดาลใจและเติมพลังในชีวิตที่เป็นอยู่ และรู้สึกซาบซึ้ง กตัญญูรู้คุณ ในความเสียสละของครูบาอาจารย์ทุกท่านที่ทำงานเพื่อพระศาสนา
ตลอดกาลยาวนานผ่านมา...จนถึงมือเราในวันนี้”
..................
Csoma de Koros
ไม่ใช่แค่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หรือความรู้ทางการแพทย์เท่านั้น ที่ได้มาจากความเสียสละ กล้าเสี่ยงอันตราย ความรู้ทางแขนงอื่นก็เหมือนกัน รวมทั้งความรู้ทางพุทธศาสนาด้วย
.
ความรู้ทางพุทธศาสนาที่ตกทอดมาถึงเราทุกวันนี้ ที่สำคัญๆ ก็เกิดจากการอุทิศตัว
ของผู้คนจำนวนไม่น้อย ไม่ใช่เฉพาะพระ ไม่ใช่เฉพาะนักบวช แต่ยังมีอีกเยอะเลย รวมทั้งฝรั่งด้วย
...
เมื่อ ๒๐๐ ปีก่อนมีหนุ่มฮังกาเรียนคนหนึ่ง ชื่อโชมา เดอ โคโรส (Csoma de Koros) เขาอยากรู้ว่า
รากเหง้าของชนเผ่าฮังกาเรียนอยู่ที่ไหน เขาเชื่อว่า อยู่แถวเอเชียกลาง เขาจึงออกสำรวจเพื่อพิสูจน์สมมติฐานนี้
เขาเดินทางด้วยเท้าจากฮังการี ซึ่งอยู่ในยุโรปไปถึงเอเชียกลาง ถึงแล้วก็ไม่พอใจแค่นั้น เขาเดินทางต่อไปจนถึงอินเดีย
.
เท่านั้นไม่พอ ยังต่อไปอีกจนไปถึงลาดัก ที่นั่นเขาบังเอิญเจอวัดทิเบต เขาเกิดสนใจภาษาทิเบตขึ้นมา แล้วยิ่งมารู้ว่าวัดทิเบตวัดนั้นมีคัมภีร์ทิเบตเยอะมาก เขาจึงเปลี่ยนเป้ามาเรียนภาษาทิเบต จากเดิมไม่มีความรู้อะไรเลย เริ่มจากศูนย์ มาเรียนภาษาทิเบตจากลามะแก่ๆ คนหนึ่ง
.
เขาทุ่มเทมากกับการเรียนภาษาทิเบตทั้ง ๆ ที่ไม่มีความรู้มาก่อน ลามะก็พูดภาษาฮังกาเรียนหรืออังกฤษไม่ได้ ตำราและคู่มือก็ไม่มี เรียกว่าไม่มีอะไรเลยที่ช่วยการเรียนภาษาทิเบตและอ่านคัมภีร์ทิเบต แต่เขาไม่ย่อท้อ เขาใช้เวลาเป็นปีๆ ในการศึกษา
โดยอยู่อย่างยากลำบากมาก เพราะว่าลาดักไม่มีอะไรที่สะดวกสบาย อัตคัดไปแทบทุกอย่าง ยิ่งฤดูหนาวด้วยแล้ว ลำบากมาก ทุกวัน ตั้งแต่เช้ามืดเขาก็ตื่นขึ้นมาอ่านคัมภีร์ทิเบต หนาวก็หนาว แถมไม่มีไฟผิงให้ความอบอุ่นด้วย ต้องเอาผ้าหนา ๆ คลุมตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็อ่านหนังสืออย่างจริงจังจนค่ำ กินก็ไม่ค่อยได้กินเท่าไหร่ เพราะอาหารอัตคัด
.
เวลานอนเขาก็นอนกับพื้น ไม่ได้นอนบนเตียงหรือฟูก วันทั้งวันเขาไม่ได้ทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือ และเมื่อรู้ภาษาทิเบตแล้วเขาก็เริ่มอ่านคัมภีร์ทิเบต ซึ่งยากมากและเป็นภาษาโบราณ
.
เขาทำอย่างนี้ทุกวัน เช้ามืดตื่นขึ้นมา ก็ศึกษา ค้นคว้า แปลคัมภีร์จนค่ำแล้วก็นอน ตื่นเช้าก็ลุกขึ้นมาทำงาน กลางวันแม้จะมีแดดเขาก็ไม่เคยออกไปรับแดดเพื่อให้ตัวเองอบอุ่น ขลุกอยู่กับหนังสือ เที่ยวก็ไม่เคยเที่ยว ไม่มีอะไรดึงดูดความสนใจของเขานอกจากคัมภีร์ทิเบต
...
ตอนหลัง… เมื่อเขาอ่านภาษาทิเบตได้แตกฉาน เขาก็เขียนตำราไวยากรณ์ทิเบต แล้วก็ทำพจนานุกรมทิเบต-อังกฤษ เป็นฉบับแรกของโลก
...
เท่านั้นยังไม่พอ เขายังอุตสาหะแปลคัมภีร์ทิเบต ซึ่งในวัดนั้นมีเป็นร้อยๆ ผูกเลย เขาคร่ำเคร่งมาก ทั้งวันทำแต่งานแปล โดยไม่สนใจทำอะไรอย่างอื่นเลย อยู่แต่ในกระท่อมคนเดียวทั้งวันทั้งคืน ทำอย่างนี้เป็นปีๆ ใช้ชีวิตเหมือนกับนักบวช
.
ฝรั่งที่มาเห็นบอกว่าเขาอยู่เหมือนฤาษี ไม่ทำอย่างอื่นเลย
.
คนอึ่นมีความสุขกับการกิน ดื่ม เที่ยว เล่น แต่เขาไม่สนใจเลย อยู่อย่างเรียบง่าย แต่อัตคัดในสายตาของคนอื่น แถมกินอาหารมังสวิรัติเป็นส่วนใหญ่ด้วย เหล้าก็ไม่แตะเลย
.
หลังจากอ่านคัมภีร์ทิเบตในวัดนั้นจนไม่เหลือ เมื่อทราบว่าที่กัลกัตตามีคัมภีร์ทิเบตมากมาย จากการสะสมของฝรั่งที่เป็นนักวิชาการ แต่อ่านคัมภีร์เหล่านั้นไม่ออก เขาก็รับคำชวนไปกัลกัตตา ไปเพื่ออะไร ไปเพื่ออ่านและแปลคัมภีร์ทิเบต แล้วก็เก็บตัวเหมือนเดิม ทั้งวันทั้งคืน อยู่อย่างนั้นเป็นปี ๆ
...
ชีวิตของเขาน่าสนใจมาก เช่นเดียวกับผลงานของเขาก็มีความสำคัญมาก เพราะว่างานแปลของเขาทำให้โลกรู้ว่า
คัมภีร์ทิเบตล้วนแปลมาจากคัมภีร์สันสกฤตในอินเดีย รวมทั้งทำให้พบในเวลาต่อมาว่า ศาสนาพุทธในทิเบต
มีที่มาหรือมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอินเดีย
.
อันนี้เป็นความรู้ใหม่มาก เพราะ ๒๐๐ ปีก่อน ไม่มีใครรู้ว่าพุทธศาสนาเคยเจริญรุ่งเรืองที่อินเดีย เพราะว่าพุทธศาสนาสูญหายไปเกือบพันปี ไม่มีคนรู้เลยว่าพุทธคยาคืออะไร สถานที่สําคัญของพุทธศาสนา โดยเฉพาะสังเวชนียสถานทั้งสี่แต่ก่อนไม่มีใครรู้ว่ามีความสำคัญทางพุทธศาสนา ใคร ๆ รวมทั้งคนอินเดีย ก็คิดว่าเป็นศาสนสถานของฮินดู ส่วนคัมภีร์ทางพุทธศาสนาไม่ว่าภาษาบาลีหรือสันกฤตก็สูญหาย หรือถูกทำลายจนแทบไม่เหลือ
.
ผู้คนเวลานั้นแม้กระทั่งคนอินเดีย ไม่รู้เลยว่าพุทธศาสนาเคยประดิษฐานตั้งมั่นในอินเดียมานานนับพันปี
.
แต่ผลงานของ โชมา เดอ โคโรส รวมทั้งของฝรั่งอีกหลายคน โดยเฉพาะชาวอังกฤษ ซึ่งแม้จะไม่ใช่นักวิชาการอาชีพ
แต่ก็อุทิศตนให้กับการศึกษาค้นคว้า จนทำให้โลกได้รู้ว่าอินเดียเคยมีพุทธศาสนา ที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อน ซึ่งต่อมาได้แพร่ไปยังหลายประเทศในเอเชีย รวมทั้งทิเบต เนปาล พม่า ลังกา และไทย
รวมทั้งรู้ในเวลาต่อมาว่า พุทธศาสนามีพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา ต่อมาก็รู้เพิ่มขึ้นมาว่าพระพุทธเจ้ามาจากตระกูลศากยวงศ์ มีบิดาชื่อสุทโธทนะ ประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาในอินเดีย รวมทั้งพุทธประวัติ เรารู้ได้เพราะว่า คนเหล่านี้ซึ่งมี เดอ โคโรส เป็นหนึ่งในนั้น
...
ดังนั้นเดอ โคโรสจึงเป็นคนที่มีความสำคัญต่อพุทธศาสนามาก ที่น่าสนใจคือ เขาไม่ได้นับถือพุทธศาสนาเลย เขาไม่ได้เป็นชาวพุทธ แต่สาเหตุที่เขาอุทิศตนเกือบทั้งชีวิตให้กับคัมภีร์ทิเบต ก็เพราะเขาเห็นคุณค่าของคัมภีร์ทิเบต ซึ่งในสายตาของเขา
เป็นขุมทรัพย์ที่ล้ำค่าในทางวิชาการและวรรณกรรม เรียกว่าเป็นขุมทรัพย์ที่ล้ำค่าของมนุษยชาติก็ได้ แล้วเขาก็มีความสุขที่จะนำขุมทรัพย์นี้มาเปิดเผยให้โลกรับรู้
..
อันนี้เป็นตัวอย่างของคนที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อทำสิ่งที่มีค่าอีกทั้งมีความสุขกับการทำสิ่งนั้นนับเป็นแบบอย่างของคนที่ทำงานด้วยฉันทะ แสดงให้เห็นถึงพลังของฉันทะ เรื่องนี้สำคัญเพราะทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อยมองว่า จะทำอะไรต้องมีตัณหาเป็นแรงจูงใจ เช่น อยากมั่งมี อยากมีชื่อเสียง จึงจะมีแรงทำงาน ถ้าทำด้วยแรงจูงใจอย่างอื่นจะไม่เกิดผลเท่าไหร่
.
แต่ว่า เดอ โคโรส เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าฉันทะนั้นมีพลังมาก ฉันทะทำให้เกิดการทุ่มเท อุตสาหะ ทำให้คนเราทำสิ่งยากให้สำเร็จได้
เป็นเพราะเดอ โคโรสทำงานด้วยฉันทะ เขาไม่ได้สนใจชื่อเสียง ไม่ได้สนใจเงินตอบแทน เขาจึงทำงานอย่างทุ่มเท โดยอยู่อย่างสมถะมาก เป็นเพราะทำด้วยใจรักเขาจึงสร้างสรรค์ผลงานที่ล้ำค่าให้แก่พุทธศาสนาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นชาวพุทธ เขาไม่ได้ทำด้วยศรัทธาแต่ทำด้วยใจรักล้วน ๆ
...
เดอ โคโรสยังเป็นตัวอย่าง ที่ชี้ให้เห็นว่าความสุขไม่จำเป็นต้องเกิดจากการเสพจากการกิน ดื่ม เที่ยว หรือเกิดจากการมีทรัพย์ มีชื่อเสียง ผู้คนมักจะคิดว่าความสุขเกิดจากการเสพ เกิดจากการมีการได้ หรือเกิดจากสิ่งเร้า แต่ว่าคนอย่างเดอ โคโรส บอกเราว่า ความสุขเกิดจากการทำก็ได้ เขามีความสุขทั้งที่ชีวิตของเขาดูเหมือนจืดชืดมาก
อีกทั้งยังอัตคัดขัดสน แต่เขามีความสุข มีความสุขที่ได้ศึกษาค้นคว้าและแปลคัมภีร์ โดยไม่มีอะไรอย่างอื่นมาทำเขาเขวได้
ไม่ว่าอาหารอร่อย สถานที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เหล้ายา เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ทำให้เขามีความสุขได้เลย
เขามีความสุขและหลงใหลกับงานของเขา จนไม่สนใจอย่างอื่นเลย
เสื้อผ้าหน้าผมก็ไม่สนใจ แม้กระทั่งอาบน้ำเขาก็แทบไม่ได้ทำ เพราะว่าจะทำให้เขาเสียเวลา มีเวลาน้อยลงกับการทำงานที่ตนรัก แบบอย่างสำหรับชาวพุทธ
.
คนเราถ้าเข้าถึงความสุขจากการทำสิ่งที่ตนรักหรือมีคุณค่า ย่อมสร้างสรรค์สิ่งดีงามได้มากมาย รวมทั้งสามารถมีชีวิตที่เรียบง่ายไม่เรียกร้องต้องการจากคนอึ่น จนนำไปสู่การเบียดเบียนหรือแก่งแย่งแข่งดีกัน
...
เดอ โคโรส ไม่ได้นับถือพุทธ แต่ดูจากวิถีชีวิตและคุณภาพจิตของเขาแล้ว นับว่าเป็นชาวพุทธแท้ๆ เลย อีกทั้งยังมีชีวิตเรียบง่ายเหมือนพระเลย เหล้าก็ไม่แตะ เนื้อก็กินน้อยมาก อยู่อย่างสมถะ ทุ่มเทเพื่อการแปลคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชาวพุทธมาก
ชาวพุทธในญี่ปุ่นถึงกับยกย่องเดอ โคโรส ให้เป็นพระโพธิสัตว์เลยทีเดียว ซึ่งก็สมควร เพราะแม้เขาจะเป็นชาวคริสต์
แต่ชีวิตและงานของเขาคู่ควรกับการเป็นชาวพุทธอย่างยิ่ง จะว่าไป งานแปลของเขา นับเป็นการภาวนาอย่างหนึ่ง เขาภาวนาด้วยการแปลหนังสือช่วยทำให้เขามีสมาธิ มีจิตใจที่สงบ และยินดีในชีวิตที่เรียบง่าย
....
“อุทิศตนเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง”
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๕
......................................................................
ไม่มีความเห็น