แม่: นี่ต้นอะไรเนี่ย
ลูก: ต้นจากครับ
แม่: ชื่อไม่เป็นมงคลแบบนี้เขาไม่ให้ปลูกหน้าบ้าน
ลูก: ชื่อไม่เป็นมงคลตรงไหน
แม่: ก็คำว่า “จาก” หมายถึง “ตาย”
ลูก: มีบ้านตระกูลไหนที่ไม่ได้ปลูกต้นจากหน้าบ้าน และบ้านตระกูลนั้นยังไม่มีคนตายบ้าง?
แม่: …?…. (ยังไงก็ไม่โอเค)
………………………..
แม่: ต้นแก้วข้างบ้านหายไปไหนแล้ว
ลูก: ขนไปไว้ที่ขนำแล้ว
แม่: อาวทำไมล่ะ
ลูก: แม่จำไม่ได้หรือที่แม่บอกว่า “รก” หน้าบ้าน ผมก็เลยบอกว่า ตั้งไว้ข้างบ้านก่อนเดี๋ยวค่อยขนไปไว้ที่ขนำ
แม่: ทำไม? ปลูกต้นจากไว้หน้าขนำ (ในท่อน้ำที่ทำไว้ปลูกพืชน้ำ)
ลูก: ก็ไม่รู้จะไปปลูกที่ไหน
แม่: เขาไม่ให้ปลูกหน้าบ้าน
ลูก: ทำไม?
แม่: มันไม่เป็นมงคล
ลูก: ไม่เป็นมงคลอย่างไร?
แม่: ชื่อไม่เป็นมงคล
ลูก: ….?…. นี่คือมงคลที่สุดแล้ว พระพุทธเจ้าบอกให้นึกความตายทุกวินาทีด้วยซ้ำ
แม่ขึ้นรถขับออกไป
ลูกคิดในใจ “ตั้งแต่แม่ไปทำงานอาสาในชุมชน ดูเหมือนสิ่งที่คนพูดกันในกลุ่มชาวบ้าน แม่จะเชื่อมากๆ และนำมาบอกลูกที่แม่ส่งไปเรียนพยาบาลจนจบให้ทำตาม เช่น ต้องพยายามดื่มน้ำอุ่นไว้นะ เพื่อฆ่าเชื้อโควิด ต้องดื่มน้ำขิงนะ จะช่วยได้ เป็นต้น เดี๋ยวนี้แม่จะสรรหาพืชมงคลตามคำชาวบ้านมาปลูกข้างบ้านเยอะแยะเชียว การปลูกต้นไม้เป็นส่งที่ดี แต่การกล่าวนะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ๓ จบ พร้อมกับ กล่าวคำขอถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็น ”ที่ระลึก (สรณะ)" นั้น แล้วมองว่าพืชมงคล/ต้นไม้ให้โชคลาภ อาจจะไม่สอดคล้องกับ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิฯลฯ สักเท่าไร
………………………………
ต้นเรื่องนี้เอง จึงเป็นที่มาของ “ตาย” ที่เคยได้ยินพระพูดให้ฟังถึง “มรณสติ” อันมีประโยชน์ต่อการมีชีวิต เมื่อพยายามค้นคว้าข้อมูล มีเนื้อหาเกี่ยวกับมรณสติจำนวนไม่น้อย ในที่นี้จะแปลเนื้อหาจำนวนหนึ่งจากคัมภีร์พระไตรปิฎกจากภาษาคัมภีร์เป็นภาษาทั่วไปด้วยการเก็บความและถอดศัพท์เป็นความหมาย จากปฏิปทาสุตรที่ ๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ ข้อ ๑๗๐
ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นาทิก ทรงสอบถามเหล่าพระว่า “นี่พวกเราผู้เห็นความน่ากลัวในการเวียนว่ายตายเกิด (ภิกษุ) ทั้งหลาย การระลึกถึงความตาย (มรณสติ) ที่ใครๆอบรมเรียนรู้แล้ว (ภาวิตา พหุลีกตา) จะมีผลานิสงส์มากเลยนะ..พวกเธอยังอบรมกันอยู่หรือเปล่า?”
ภิกษุ: “ยังอบรมเรียนรู้อยู่ครับ”
พระพุทธเจ้า: "เธอเรียนรู้กันอย่างไรหรือ?
ภิกษุ: “ในการระลึกถึงความตายนั้น ผมคิดในใจว่า ”เออนะ เราอยู่ได้แค่วันหนึ่งคืนหนึ่งเท่านั้น จึงควรใคร่ครวญคำสอนของพระพุทธเจ้า เรานั้นได้ปฏิบัติตามคำสอนไว้เป็นอันมากแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมระลึกถึงความตายครับ"
ภิกษุ (รูปต่อมา) : "ผมคิดในใจว่า “ เออนะ เราอยู่ได้เพียงครึ่งวัน จึงควรใคร่ครวญคำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ปฏิบัติตามคำสอนไว้มากแล้ว…”
ภิกษุรูปต่อๆมา ต่างช่วยกันแจงสิ่งที่ตนปฏิบัติ เช่น อาจมีชีวิตอยู่ได้แค่อาหารมื้อหนึ่ง อาจอยู่ได้แค่กลืนกินข้าวได้สักสี่ห้าคำ อาจอยู่ได้แค่กลืนข้าวได้คำเดียว อาจอยู่ได้แค่หายใจเข้าออกหายใจเข้า หรือหายใจเข้าและหายใจออกเท่านั้น …นี่คือสิ่งที่พวกผมระลึกถึงความตายอยู่ครับ
นอกจากนั้น ในคำสอนที่ว่าด้วยเรื่อง “คืนเดียวก็งามได้” (ภัทเทกรัตตสูตร/ผู้มีราตรีเดียวเจริญ) พระพุทธเจ้าได้สอนเหล่าพระไว้อย่างน่าสนใจว่า
บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว และไม่ควรคาดหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สิ่งใดที่ล่วงไปแล้วก็คือล่วงไปแล้ว สิ่งใดยังมาไม่ถึงก็คือยังมาไม่ถึง
ผู้ใดเห็นธรรมในปัจจุบัน/ที่เป็นปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่นไม่คลอนแคลนในธรรมนั้น ผู้นั้นควรบำเพ็ญธรรมนั้นให้แจ่มแจ้ง
บุคคลควรมีความเพียรพยายามซะตั้งแต่วันนี้เลย ใครล่ะจะรู้ว่า ความตายจะมีในวันถัดไป เพราะ ไม่มีวันซะหรอกที่จะขอผลัดความตายต่อราชาแห่งความตายที่มีพวกพวกมากนั้น
ผู้รู้ที่มีความสงบ เรียกขานคนที่มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืน ทำอย่างนั้นอยู่เป็นปกติว่า ผู้มีราตรีเดียวเจริญ
จากการที่พระพุทธเจ้าบอกว่า การระลึกถึงความตายบ่อยๆมีผลานิสงส์ คำถามคือ อะไรคือผลดีที่เกิดขึ้นจากการระลึกถึงความตายบ่อยๆ คำตอบที่เป็นคุณธรรมเชิงลึกมีอยู่ในเนื้อหาข้างต้นแล้ว กล่าวคือ “ทำให้เราไม่ประมาท” ในการที่ยังมีชีวิต
อย่างไรก็ตาม ในหนังสือทางแห่งความบริสุทธิ์ (คัมภีร์วิสุทธิมรรค) แต่งโดยพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านได้เสนอให้เห็นความตายใน ๒ แบบคือ ตายแบบทั่วไปคือสิ้นอายุและหมดบุญ และตายแบบเฉพาะคือกรรมตัดรอน เช่น การถูกฆ่า เป็นต้น
ในการระลึกถึงความตายนั้น ให้แต่ละคนคิดอยู่เสมอว่า ความตายจักมีแก่เราแน่ๆ ความตายเหมือนเพชฌฆาตที่วางคมดาบประชิดคออยู่ ชีวิตมีความตายเป็นที่สุด …คนที่ระลึกถึงความตายเสมอๆนี้ จะละความคลั่งไคล้ในชีวิต ไม่มีความตระหนี่ เมื่อถึงคราวที่ต้องตายจะไม่มีความสะดุ้งกลัวและไม่หลงคราวจะต้องตาย ตลอดถึงการสัมผัสคุณธรรมที่สูงกว่านั้น (อ่านรายละเอียดใน พระพุทธโฆสเถระ. วิสุทธิมรรค แปลโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร). กรุงเทพฯ: บริษัท ธนาเพรส จำกัด.หน้า ๓๙๗-๔๑๐)
จึงมีเหตุผลที่จะบอกว่า ต้นจากไม่ใช่สิ่งอัปมงคล หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่สิ่งเป็นมงคลคือธรรมที่พระพุทธเจ้าเสนอแนะให้แต่ละคนค้นหาตามศักยภาพแห่งตน
นอกจากนั้น สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าต้นไม้คือ เราจะค้นหาธรรมของพระพุทธเจ้าจากต้นไม้อย่างไรต่างหาก
…………………..
แต่มันไม่ง่ายหรอกนะสำหรับผู้มีกิจธุระมากและไม่ได้เจียดเวลาให้กับธรรม
ไม่มีความเห็น