25 กุมภาพันธ์ 2565
นับจากหลังรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่ถือเป็นการบุกเบิกเปิดศักราช "การกระจายอำนาจ" สมัยใหม่แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และผ่านเลย รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 จนมาถึงปัจจุบัน รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 นับได้ 24 ปีเศษ มีผลการศึกษามากมายเกี่ยวกับรายได้ของ อปท. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “การกระจายอำนาจทางการคลัง” (Fiscal Decentralization) ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2555 - 2565 ปัจจุบัน) ลองมาสำรวจ ผลการศึกษา การพัฒนารายได้ การจัดเก็บภาษี อปท. ดังกล่าว เพื่อทบทวนความจำกัน โดยเฉพาะในประเด็น “การลดความเหลื่อมล้ำ” (Inequality) ซึ่งมองมิติความเหลื่อมล้ำได้หลายมิติ เช่น ในมิติของ อปท. มิติของผู้กำกับดูแลและรัฐ มิติของประชาชน เป็นต้น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 “มาตรา 250 อปท.มีหน้าที่และอำนาจดูแลและจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ และตามมาตรา 250 วรรคสอง การจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะใดที่สมควรให้เป็นหน้าที่และอำนาจโดยเฉพาะของ อปท.แต่ละรูปแบบ หรือให้ อปท.เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการใด ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติซึ่งต้องสอดคล้องกับรายได้ของ อปท. ตามวรรคสี่ และกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับกลไกและขั้นตอนในการกระจายหน้าที่และอำนาจ ตลอดจนงบประมาณและบุคลากรที่เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจดังกล่าวของส่วนราชการให้แก่ อปท.ด้วย”
ซึ่งมีการถ่ายโอนจากส่วนกลางทั้ง 6 ภารกิจตามแผนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. พ.ศ.2543 ดังต่อไปนี้ (1) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (2) ด้านงานส่งเสริมคุณภาพชีวิต (3) ด้านการจัดระเบียบชุมชน/สังคมและการรักษาความสงบเรียบร้อย (4) ด้านการวางแผนการส่งเสริมการลงทุน พาณิชยกรรม และการท่องเที่ยว (5) ด้านการบริหารจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวิ่งแวดล้อม (6) ด้านศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณีและภูมิปัญหาท้องถิ่น
สรุปรายได้ท้องถิ่น
รายงานวิเคราะห์รายได้ของ อปท. (2564)
เป้าหมายสัดส่วนรายได้ อปท. ต่อรายได้สุทธิรัฐบาล (%)
ปี 2558 27.80
ปี 2559 28.16
ปี 2560 29.36
ปี 256129.42
ปี 2562 29.47
ปี 2563 29.43
ปี 2564 29.72
จะเห็นได้ว่า สัดส่วนรายได้ของ อปท.ต่อ รายได้สุทธิบาล ตั้งแต่ปี 2558- 2562 โดยเฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตาม พ.ร.บ.กำหนดแผนฯ คือ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 แต่ก็ยังอยู่ในสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อ เทียบกับระยะเวลาที่เริ่มมีการกำหนดสัดส่วนนี้ใน พ.ร.บ.กำหนดแผนฯ แต่หาก เทียบกับสัดส่วนของเป้าหมายที่ตั้งไว้กลับพบว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ทุกปี
ข้อสังเกต ตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 โดยสัดส่วนการพึ่งพิงเงินอุดหนุนของ อปท.ได้เพิ่มมากขึ้นจนมากกว่าร้อยละ 40 ของรายได้ของ อปท.คือ ร้อยละ 41.72 ในปี พ.ศ.2555 ร้อยละ 41.30 ในปี พ.ศ.2556 และร้อยละ 41.71 ในปี พ.ศ.2557
ปัญหาการคลังท้องถิ่นไทย 4 ประการ คือ (อัชกรณ์, 2555)
โดยศึกษาจากมุมมองของผู้บริหารเทศบาลในการพัฒนาการคลังในระดับ อปท.และนโยบายการกระจายอำนาจในประเทศไทย
ประการแรก รัฐ: ควรปรับปรุงเงินอุดหนุนให้แก่ อปท. เพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ อปท. รัฐควรปรับปรุงระบบเงินอุดหนุนท้องถิ่นเสียใหม่ โดยระบบเงินอุดหนุนท้องถิ่นในอนาคตควรมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์อย่างน้อย 3 ประการดังนี้
(1) ควรเป็นระบบเงินอุดหนุนที่จะช่วยลดความแตกต่างหรือสร้างความเท่าเทียมในทางการคลังระหว่าง อปท.ต่างๆ ได้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
(2) ควรเป็นระบบที่มีความโปร่งใสมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนหรือเป็นวิทยาศาสตร์สามารถตรวจสอบได้ และคำนึงถึงความจำเป็นของประชาชนมากกว่าความจำเป็นทางการเมือง เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการเมืองเรื่องการจัดสรรงบอุดหนุนระหว่างนักการเมืองระดับชาติและนักการเมืองท้องถิ่น
(3) ควรเป็นระบบที่ อปท.สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าในระดับหนึ่งว่า ในปีๆ ต่อไป อปท.จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลประมาณเท่าใด ทั้งนี้เพื่อให้ อปท. สามารถวางแผนการใช้งบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เกิดภาวะชะงักงันทางการคลังจนทำให้ท้องถิ่นไม่สามารถบริหารจัดการได้
ประการที่สอง รัฐ: ควรส่งเสริมให้ท้องถิ่นพัฒนาด้านรายได้ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลเองที่จะต้องกำหนดนโยบายอย่างจริงจังโดยเฉพาะการตรา พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงภาษีอื่นๆ เช่นภาษีสิ่งแวดล้อม เป็นต้น อันจะเป็นการขยายฐานภาษีและสร้างแหล่งรายได้ให้กับ อปท. นอกจากนี้ตัว อปท.เองก็ต้องดำเนินการจัดเก็บหรือประเมินภาษีอย่างตรงไปตรงมา มีการติดตามการจัดเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจรวมถึงการพัฒนาบุคคลากรด้านการจัดเก็บภาษีของท้องถิ่นให้มีความเข้าใจในความสำคัญของขั้นตอนต่างๆ รวมไปถึงเทคนิคและวิธีการจัดเก็บภาษีที่จะช่วยให้ท้องถิ่นมีรายได้จากแหล่งรายได้ที่มีอยู่อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งอาจรวมความถึงการที่ฝ่ายการเมืองท้องถิ่นต้องไม่แทรกแซงในกระบวนการจัดเก็บประเมินหรือขั้นตอนอื่นๆ ที่เป็นช่องโหว่อันนำไปสู่ความไร้ประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีเป็นต้น
อนึ่งในการหารายได้หรือแหล่งรายได้อื่นๆ ที่เป็นแหล่งรายได้ใหม่ๆ นั้นรัฐบาลมีส่วนสำคัญในการจัดการโครงสร้างและรูปแบบภาษี เพราะการจัดเก็บภาษีกระทบต่อสิทธิของประชาชน และเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนและกระทบต่อฐานทางการเมืองของนักการเมืองระดับชาติ ดังนั้นนอกจากความพยายามของท้องถิ่นเองแล้วรัฐบาลเองก็มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนารายได้ของ อปท.เช่นเดียวกัน
ประการที่สาม อปท.กับการพัฒนาด้านรายจ่ายของเทศบาล กล่าวคือการที่มีทรัพยากรอย่างจำกัดเป็นภาวะที่ท้าทายท้องถิ่น ที่จะต้องจัดบริการสาธารณะให้กับประชาชนอย่างครอบคลุมและทั่วถึงในเขตพื้นที่ของท้องถิ่นที่รับผิดชอบ ซึ่งมีความจำเป็นที่ท้องถิ่นต้องดำเนินการอย่างประหยัดและก่อให้เกิดประโยชน์แก่ท้องถิ่น โดยคำนึงถึงความประหยัดและคำนึงถึงการมีส่วนร่วมและการตรวจสอบจากภาคประชาชน และกลุ่มองค์กรชุมชนต่างๆ ในพื้นที่ ซึ่งอาจพิจารณาเพื่อปรับแนวทางการบริหารจาก อปท.อื่นๆ ที่จัดบริการสาธารณะได้ดี ภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณ ทั้งนี้สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้อาทิงานของศาสตราจารย์ จรัส สุวรรณมาลา (2548) เรื่องนวัตกรรมท้องถิ่น รวมถึงงานของสถาบันพระปกเกล้า (2551) ใน ถอดรหัสรางวัลพระปกเกล้า 50 และงานที่เกี่ยวข้องกับBest Practices ของ อรทัย ก๊กผล (2546) เป็นต้น
ประการที่สี่ สร้างสำนึกและปลูกฝังความเป็นพลเมืองเพื่อสร้างการปกครองท้องถิ่นให้เป็นการปกครองตนเองของประชาชนอย่างแท้จริง อีกทั้งเพื่อลดปัญหาการหลบหลีกและการเลี่ยงในการจ่ายภาษีให้แก่ อปท. ซึ่งบ่อยครั้งที่เจอปัญหาทางการเมืองโดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนและฝ่ายการเมืองท้องถิ่น รวมถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในการมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดสรรงบประมาณ ทั้งนี้ อปท.เองจำเป็นต้องแสดงศักยภาพในการจัดบริการสาธารณะ ที่ทำให้ประชาชนเห็นว่าท้องถิ่นเองมีการจัดเก็บภาษีเพื่อนำภาษีเหล่านั้น กลับคืนสู่ประชาชนในรูปแบบของการจัดบริการสาธารณะที่ดีและมีความคุ้มค่า ทั้งนี้ อปท.เองจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการที่มีความโปร่งใส เป็นที่ไว้ใจของประชาชนว่าภาษีที่ประชาชนจ่ายไปนั้นมีความคุ้มค่าต่อการใช้จ่ายของ อปท. ซึ่งนับเป็นภาวะที่ท้าทายของท้องถิ่นในการสื่อสารและสร้างความเข้าใจต่อประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งในกระบวนการจัดทำงบประมาณควรคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนเป็นฐานในการปกครองและสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นต่อไป จากผลการศึกษาที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งที่สะท้อนมุมมองของผู้บริหาร อปท. ทั้งนายกเทศมนตรีและปลัดเทศบาล ซึ่งผู้เขียนเสนอแนะให้ใช้ประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นท้าทายด้านการคลังท้องถิ่นของการปกครองท้องถิ่นไทยและการกระจายอำนาจในประเทศไทยในทศวรรษหน้า ซึ่งน่าจะเป็น “ทศวรรษแห่งการปฏิรูปการกระจายอำนาจและการคลังท้องถิ่น” ในอีกขั้นหนึ่งภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 อีกทั้งข้อเสนอที่กล่าวมาข้างต้น อาจจะพอเป็นประโยชน์อยู่บ้างต่อการพัฒนาการปกครองท้องถิ่นไทย ผู้เขียนเชื่อว่าแม้เสียงสะท้อนเหล่านั้นจะเป็นเพียงข้อสนเทศบางประการหรือทัศนคติที่อาจจะดูว่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไปบ้าง แต่ในทางวิชาการเราไม่อาจละเลยเพิกเฉยต่อเสียงสะท้อนที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้ เพราะนั่นอาจจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของ อปท.ในระยะยาวต่อไป
ปัญหาการบริหารการคลังของ อปท.ในประเทศไทย 4 ประการ ดังนี้ (วิทยา, 2559)
(1) ปัญหาความไม่สมดุลกันระหว่างจำนวนบุคลากรกับปริมาณงาน ซึ่งทำให้บุคลากรทางการคลังมีภาระงานมากเกินไป อีกทั้งบุคลากรทางการคลังของ อปท.ยังขาดความกระตือรือร้น ขาดความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงานเพราะมีความรู้ที่ไม่ตรงกับสายงาน ซึ่งมักเกิดขึ้นจากข้อบกพร่องที่มาจากกระบวนการคัดเลือกและสรรหาส่งผลให้ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานต่ำลงนอกจากนี้ยังขาดการพัฒนาความรู้และทักษะใหม่ๆ
(2) ปัญหาทางด้านโครงสร้างรายได้และรายจ่าย รายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีลักษณะพึ่งพารายได้จากรัฐบาลที่เป็นสัดส่วนที่สูงมาก ทำให้ อปท.ขาดความเป็นอิสระในการตัดสินใจทางการคลังในการจัดบริการสาธารณะเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ส่วนโครงสร้างรายจ่ายนั้นในการตัดสินใจมีการจัดสรรรายจ่ายส่วนใหญ่เพื่อรายจ่ายประจำ ซึ่งสอดคล้องกับ ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ และกอบกุล รายะนคร (2552, หน้า 13) ที่กล่าวว่า ปัญหาด้านงบประมาณและรายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบลจำนวนมากมีรายได้น้อยและมีปัญหาด้านการคลังโดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนตำบลที่มีขนาดเล็กและประชากรน้อย ทำให้ต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนและภาษีที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐในสัดส่วนที่สูงเกินไปและขาดความเป็นอิสระ
(3) การปฏิบัติงานของ อปท.ถูกกำกับโดยระเบียบที่กำหนดมาจากส่วนกลางและถูกควบคุมการบริหารจากหลายหน่วยงาน ทำให้ระเบียบการปฏิบัติเหล่านั้นมีลักษณะการปฏิบัติงานเหมือนระบบราชการทั่วไปที่มีความล่าช้า ขาดบุคลากรที่เหมาะสมในการปฏิบัติงานการคลัง ซึ่งประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้านการคลังในภาพรวมไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ขาดประสิทธิภาพในการจัดทำข้อมูลทางการคลัง ทำให้การปฏิบัติงานคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกิดความล่าช้าจัดเก็บรายได้ไม่เต็มที่ การให้บริการไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ ซึ่งสอดคล้องกับ ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ และกอบกุล รายะนคร (2552, หน้า 13) ที่กล่าวว่า อปท.ยังต้องประสบกับปัญหาความล่าช้าในการเบิกจ่ายเงิน ทำให้การวางแผนและการทำงานของท้องถิ่นต้องล่าช้าตามไปด้วย
(4) มีการขัดแย้งกันระหว่างวิธีการตรวจสอบระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติงานคลังของ อปท. ทำให้การปฏิบัติงานคลังต้องมีภาระงานมากขึ้น ประชาชนยังมีส่วนร่วมในการตรวจสอบต่ำ เนื่องจากคระกรรมการร่วมในการตรวจสอบเรื่องต่างๆ มักเป็นคนที่มีความใกล้ชิดกับผู้บริหารของ อปท. ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นตัวแทนของประชาชนต่ำ ซึ่งสอดคล้องกับ ไตรรัตน์ โภคพลากรณ์ (2552) ที่ศึกษาเรื่อง ทุนทางสังคมกับการบริหารการคลังของ อปท. กรณีองค์การบริหารส่วนตำบลท้ายกะปิ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรีและองค์การบริหารส่วนตำบล จังหวัดลพบุรี พบว่าความสำเร็จขององค์การบริหารส่วนตำบลที่สามารถได้รับรางวัลธรรมาภิบาลจะต้องมีทุนทางสังคมสูงพอสมควร กล่าวคือ จะต้องอาศัยผู้นำและทีมงานทุนมนุษย์และการมีส่วนร่วม การให้การรับรู้ร่วมกันและการให้ความช่วยเหลือแก่ชุมชนโดยรวมทั้งหมดและความเต็มใจในการเสียภาษีของประชาชน ดังนั้น หากประชาชนเต็มใจในการเสียภาษี มีทุนทางสังคมในการมีส่วนร่วมก็ทำให้เกิดความสำเร็จในการบริหารการคลังในส่วนการจัดเก็บรายได้ของเทศบาลได้รูปแบบการบริหารการคลังของ อปท. 4 รูปแบบคือ
(1) การพัฒนาระบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานการคลังของ อปท. ซึ่งการบริหารการคลังของ อปท.ควรมีความพร้อมในด้านบุคลากรทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ
(2) การพัฒนาระบบการบริหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น อปท. ควรมีการวางแผนในการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ได้วางไว้ และควรจัดให้มีวัสดุอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานให้มีความพร้อมครบถ้วนและใช้ปฏิบัติงานได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะก่อให้เกิดความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ขณะเดียวกัน อปท.ควรนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการปฏิบัติงานให้มากที่สุด ควรมีการจัดสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานให้เหมาะสม มีการดำเนินงานอย่างรวดเร็วและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างครบถ้วนและควรมีการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึงและเข้าใจได้ง่าย
(3) การสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารการคลังท้องถิ่น การปฏิบัติงานคลังควรยึดถือตามระเบียบที่กำหนดไว้ มีความโปร่งใสในการบริหาร มีการทำงานตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ มีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนอย่างครบถ้วนในลักษณะที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมา ประชาชนหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลและสามารถตรวจสอบการปฏิบัติงานการคลังของ อปท.ได้
(4) การมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารการคลังของ อปท. ควรมีการกระจายอำนาจให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารมากขึ้นในรูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน “แบบการประชุมสภาเมือง” ที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ และนำเอาข้อเสนอไปปรับปรุง กำหนดทิศทางการดำเนินงานการกำหนดนโยบายทางการคลังของเทศบาล แล้วจัดให้มีการแสดงความคิดเห็นอีกในรอบต่อๆ ไป และในกระบวนการคัดเลือกตัวแทนประชาชนเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมกับการบริหารการคลังของ อปท.ในรูปแบบต่างๆ นั้น ควรสะท้อนถึงความเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแต่ละเรื่องอย่างชัดเจนจากที่กล่าวมาข้างต้น สอดคล้องกับ กชกร เอ็นดูราษฎ์ (2547, หน้า 11) ได้ให้แนวคิดใกล้เคียงกับ Harring Emerson โดยตัดทอนบางข้อลง และสรุปองค์ประกอบของประสิทธิภาพไว้ 4 ข้อด้วยกัน คือคุณภาพของงาน (Quality) จะต้องมีคุณภาพสูง คือผู้ผลิตและผู้ใช้ได้ประโยชน์คุ้มค่าและมีความพึงพอใจปริมาณงาน (Quantity) งานที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นไปตามความคาดหวังของหน่วยงานเวลา (Time) คือเวลาที่ใช้ในการดำเนินงานจะต้องอยู่ในลักษณะที่ถูกต้องตามหลัก การเหมาะสมกับงานและทันสมัยค่าใช้จ่าย (Costs) ในการดำเนินการทั้งหมดจะต้องเหมาะสมกับงาน และวิธีการคือจะต้องลงทุนน้อยและได้กำไรมากที่สุด และสอดคล้องกับ ธงชัย สมบูรณ์ (2549, หน้า 9) ที่กล่าวว่า การบริหารงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรในบรรดาปัจจัยทางการบริหารที่รู้จักโดยทั่วไป 4 ประการที่เรียกว่า “4M” ได้แก่ คน (man) เงิน (money) วัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรกล (material and machines) และการจัดการ (management) โดยที่ทรัพยากรเหล่านี้จะมีอยู่ในแต่ละองค์กรในปริมาณที่จำกัดแตกต่างกัน ดังนั้น ผู้บริหารที่มีศักยภาพจะต้องสามารถจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ในองค์กรในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผล และประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร โดยธรรมชาติแล้วทรัพยากรที่มีความสำคัญที่สุดในทรัพยากรทั้ง 4 คือ คนหรือทรัพยากรมนุษย์ (human resource) เพราะคนหรือมนุษย์มีสติปัญญา มีความสามารถและมีศักยภาพในการใช้ปัจจัยอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และบรรลุความสำเร็จได้ตามเป้าหมายขององค์กรที่ตั้งไว้
อปท.ควรมีรูปแบบการบริหารการคลัง 3 ประการ ดังนี้ (วิทยา, 2559)
(1) กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกขั้นตอนตั้งแต่การวางแผนงานทางการคลัง การปฏิบัติทางการคลัง การตรวจสอบทางการคลัง และการร่วมรับผลประโยชน์
(2) สร้างภูมิคุ้มกันด้วยหลักธรรมาภิบาลและการส่งเสริมบทบาท การส่งเสริมบรรยากาศ การส่งเสริมความมั่นคง การส่งเสริมการเตรียมความพร้อมและยกระดับการพัฒนาคุณภาพให้แก่ประชาชนนอกจากนี้ อปท.ต้องมีความสามารถในการจัดบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมศักยภาพในการประสานงานกับหน่วยงานภายนอก ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน และส่งเสริมจิตสาธารณะ
(3) การพัฒนาระบบการบริหารในระดับมหภาคของ อปท. การพัฒนาองค์กรให้มีสภาพบรรยากาศที่ดี การจัดสถานที่ทำงานให้เหมาะสมกับภาระงาน หน้าที่ของบุคลากร การประยุกต์ใช้เทคนิคการบริหารที่เหมาะสมเพื่อให้การปฏิบัติงานสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น การพัฒนาบุคลากรไปสู่การบริหารจัดการคลังอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะต้องมีการพัฒนาทั้งทักษะการทำงาน ความรู้ และพัฒนาทางด้านจิตใจ
มาตรการทางด้านการคลังด้านการจัดเก็บภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ควรมีการดำเนินการ 5 ด้าน ได้แก่ (สมหมาย, 2561)
(1) การปฏิรูปภาษี
(2) ประเภทภาษีต่างๆ ควรมีการทบทวนมาตรการการลดหย่อนต่างๆ รวมทั้งการเข้าถึงข้อมูลของบุคคลที่สามและข้อมูลการทำธุรกรรมต่างๆ
(3) การปรับปรุงกฎหมายภาษีอากรให้เหมาะสมกับสถานการณ์และเป็นปัจจุบัน
(4) การทบทวนมาตรการภาษี โดยมีการวิเคราะห์และการประเมินผลกระทบของมาตรการเพื่อให้เป็นไปตามหลักความเป็นธรรมและความสามารถในการเสียภาษี
(5) ด้านอื่นๆ เช่น การพัฒนาเจ้าหน้าที่ให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงไป การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี การส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านภาษีให้แก่ประชาชน
โดยสรุป ความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาที่มีหลากมิติและมีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดีระบบภาษีเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลไกในการบริหารประเทศ ภาษีจึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ดังนั้น การวางแผนและการดำเนินการร่วมกันของหลายภาคส่วนในสังคมจึงมีความสำคัญ เช่น การบูรณาการเชิงนโยบาย การบูรณาการการทำงานการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากร เป็นต้น จึงจะทำให้ประเทศไทยสามารถขจัดความเหลื่อมล้ำได้อย่างถาวร
ผลการศึกษา อบต.บุ่งหวาย 6 ประการ คือ (สิริพัฒถ์และจิรศักดิ์, 2561)
(1) ปัญหาความไม่ชัดเจนของกฎหมาย
(2) กิจการบางประเภทไม่จัดเก็บภาษี
(3) การบริหารจัดการขาดรูปแบบตามที่กฎหมายกำหนด
(4) ระบบแผนที่ภาษีทะเบียนทรัพย์สินไม่สมบูรณ์
(5) เจ้าหน้าที่ขาดความรู้ด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ
(6) ผู้ประกอบการบางรายไม่เข้าใจกฎหมาย
สำหรับข้อเสนอแนะ อบต.บุ่งหวาย 9 ประการ ได้แก่ (สิริพัฒถ์และจิรศักดิ์, 2561)
(1) ปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่
(2) จัดทำประมาณการรายรับจากยอดทะเบียนคุมผู้เสียภาษี
(3) นำระบบแผนที่ภาษีทะเบียนทรัพย์สินใช้ในการจัดเก็บ
(4) ปรับปรุงฐานข้อมูลแหล่งที่มาของรายได้ให้เป็นปัจจุบัน
(5) กำหนดราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางให้ครอบคลุม
(6) จัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินพื้นที่ต่อเนื่องและส่วนควบ
(7) ตรวจสอบที่ดินเป็นรายแปลงและแจ้งผลประเมินให้เจ้าของที่ดินชำระภาษี
(8) จัดทำข้อมูลป้ายในทะเบียนทรัพย์สินให้เป็นปัจจุบัน
(9) แจ้งประเมินคำสั่งทางปกครองให้ระบุระยะเวลาสำหรับการใช้สิทธิอุทธรณ์
สภาพปัญหาทางการคลังของ อปท.ในปัจจุบัน 7 ประการ (สุพัฒน์จิตร, 2563)
ที่ถือเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดสำหรับการปกครองท้องถิ่น สรุปประกอบไปด้วย
(1) ปัญหาเชิงนโยบาย เกิดจากการที่รัฐบาลกำหนดนโยบายในการบริหารการพัฒนาประเทศ ที่ถ่ายโอนภารกิจหน้าที่ให้แก่ท้องถิ่น โดยที่ อปท.เดิมทีก็มีภารกิจในการพัฒนาท้องถิ่นและจัดบริการสาธารณะแก่ประชาชนในท้องถิ่น เมื่อรัฐถ่ายโอนภารกิจลงสู่ท้องถิ่นทำให้ท้องถิ่นมีภารกิจเพิ่มมากขึ้น บุคลากร งบประมาณในการดำเนินงานตามภารกิจไม่เพียงพอและไม่สามารถบริหารและพัฒนาท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพ เพราะว่า อปท.ไม่สามารถจัดบริการสาธารณะและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างทั่วถึง
(2) ปัญหาด้านโครงสร้างรายได้ของ อปท. โครงสร้างรายได้ของ อปท.ไทยยังคงมีการพึ่งพิงรายได้จากส่วนกลางเป็นสัดส่วนที่สูง ในขณะที่รายได้ที่จัดเก็บเองของ อปท.มีสัดส่วนที่ต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนรายได้ของรัฐบาล จากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้ท้องถิ่นต้องพึ่งพิงเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ทั้งเงินอุดหนุนทั่วไปและเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ อย่างไรก็ตามการจัดสรรเงินอุดหนุนของรัฐบาลให้แก่ อปท.ยังพบว่ามีปัญหาเช่นเดียวกัน
(3) ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการคลังของท้องถิ่น ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะคือ (1) ความไม่สมดุลทางการคลังด้านแนวตั้ง (2) ความไม่สมดุลทางการคลังด้านแนวนอน (3) สุขภาพทางการคลังท้องถิ่น
(4) ปัญหาความสามารถของ อปท.ในการบริหารการคลัง ในประเด็นนี้ผู้เขียนสรุปปัญหาออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านการบริหารการคลัง ชี้ให้เห็นว่า อปท.ส่วนใหญ่การขาดความเป็นอิสระทางการคลังด้านการกำหนดรายได้ของตนเอง เป็นต้น (2) ด้านบุคลากร เกิดจากการขาดแคลนบุคลากร เจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานในการดำเนินการจัดเก็บภาษี และขาดความรู้ความเข้าใจข้อกฎหมายและการตีความกฎหมายข้อปฏิบัติในการจัดเก็บภาษีของท้องถิ่น และ (3) ด้านประชาชนผู้เสียภาษี ประชาชนผู้เสียภาษีพยายามเลี่ยงภาษีที่ประชาชนมีหน้าที่จ่ายภาษี เป็นต้น
(5) ปัญหาเรื่องการจัดสรรรายได้ของ อปท.
(6) ปัญหาการจัดสรรรายจ่ายของ อปท.
(7) ปัญหาด้านกฎหมายเกี่ยวกับการคลังท้องถิ่น สามารถสรุปได้ 4 ประเด็น ได้แก่ (1) ไม่มีกฎหมายที่รองรับการกำหนดแหล่งรายได้ของ อปท.ที่ชัดเจน (2) การขัดแย้งกันของกฎหมายที่กำหนดรายได้ให้แก่ อปท. (3) การบังคับใช้กฎหมาย และ (4) แหล่งรายได้ที่กฎหมายกำหนดให้ อปท.จัดเก็บเองได้ส่วนใหญ่เป็นรายได้ที่มาจากภาษีฐานแคบ
ข้อเสนอแนะแนวทางที่จะทำให้ อปท. ในทุกระดับมีความเข้มแข็งทางการคลัง 5 ประการ ดังนี้ (สุพัฒน์จิตร, 2563)
(1) ควรมีการส่งเสริมการพัฒนารายได้ให้ อปท. โดยการเชื่อมโยงกับรัฐบาล เพราะรัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบายและถ่ายโอนภารกิจหน้าที่ให้ อปท. เป็นผู้ดำเนินการ ทั้งนี้ นโยบายที่ได้รับการถ่ายโอนต้องเน้นการพัฒนารายได้อย่างจริงจัง อีกทั้งรัฐบาลควรขยายฐานภาษีและกำหนดแหล่งรายได้ให้กับท้องถิ่น เช่น ภาษีการท่องเที่ยวอาจจัดเก็บจากธุรกิจที่พักสนามบินบริษัทท่องเที่ยว (ปี 2564-2565 มีการกล่าวถึง “ภาษีเหยียบแผ่นดิน” ที่จะเก็บจากนักท่องเที่ยว) ฯลฯ นอกจากนี้ รัฐบาลควรให้แรงจูงใจทางภาษีแก่สถานธุรกิจในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ให้เงินสนับสนุนเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมของท้องถิ่น (คือด้าน Soft Power) ตลอดจนการนำภาษีการท่องเที่ยวมาจัดตั้งเป็นกองทุน เพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถมีแหล่งรายได้ในการจัดเก็บเพิ่มมากขึ้น รวมถึงแหล่งรายได้อื่นๆ หรือแหล่งรายได้ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น
(2) รัฐบาลควรออกกฎหมายเพื่อรองรับการกำหนดแหล่งรายได้ของท้องถิ่นให้มีความชัดเจน อปท. สามารถออกข้อบัญญัติในการจัดเก็บภาษี และการกำหนดบทลงโทษกับผู้ค้างชำระภาษี เนื่องจากกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีท้องถิ่นนั้นมีหลายฉบับการที่จะปรับให้มีความเหมาะสมหรือปรับให้เหมาะกับสภาพบริบทของพื้นที่กล่าวคือ การออกกฎหมายเพื่อการจัดเก็บรายได้ที่เป็นรายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บเอง ต้องมาจากกฎหมายที่ท้องถิ่นออกข้อบัญญัติเอง แต่ต้องไม่ใช่กฎหมายที่บัญญัติไว้มาอย่างยาวนานหรือยังไม่มีการปรับปรุงเพื่อนำมาใช้ในการจัดเก็บภาษีในปัจจุบันนอกจากนี้ รัฐบาลควรมีการตรากฎหมายขึ้นมาใหม่ เช่น ประมวลกฎหมาย อปท. และกฎหมายรายได้ของท้องถิ่น ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขความสับสนในการปฏิบัติตามกฎหมาย จุดอ่อนของ กฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมาย เป็นต้น
(3) อปท. ต้องมีการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับระบบการบริหารจัดการองค์กรและปรับเปลี่ยนทัศนคติในกระบวนการทำงานของผู้บริหารท้องถิ่นและบุคลากรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในการพัฒนารายได้ของท้องถิ่นเช่น การพัฒนาบุคลากร เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารการจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพบุคลากรสามารถตีความกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ เกี่ยวกับการคลังท้องถิ่นได้ ผู้บริหารท้องถิ่นต้องสร้างความเป็นต้นแบบการเป็นนำที่ดีและสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากร
(4) อปท. ต้องให้ความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นในฐานะผู้เสียภาษีให้ชำระภาษีตามหน้าที่ของตน โดยไม่เลี่ยงการเสียภาษี ทั้งนี้การแก้ไข้กระทำได้โดยให้ประชาชนเข้ามามีบทบาทในการจัดทำงบประมาณตั้งแต่เริ่มต้นรวมถึงการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเกี่ยวกับรายได้และรายจ่ายต่างๆ ให้ประชาชนผู้เสียภาษีได้ทราบว่า เงินภาษีอากรที่ตนจ่ายไปนั้น อปท.ได้นำไปพัฒนาท้องถิ่น ผ่านโครงการหรือกิจกรรมใด เพราะเหตุใดและประโยชน์ที่จะได้รับจากการกระทำดังกล่าวมีอะไรบ้าง ด้วยการกระทำข้างต้นผลที่เกิดขึ้น คือจะช่วยทำให้การเลี่ยงภาษีของประชาชนลดน้อยลง รวมทั้งจะช่วยให้ลดจำนวนผู้เลี่ยงภาษีลง ทั้งนี้ เพราะการเลี่ยงภาษีจะทำให้ตนต้องแบกรับภาระแทนประชาชนที่เลี่ยงภาษี นอกจากนี้ ให้มีการจัดทำมาตรฐานการปฏิบัติงานการตรวจสอบภายในที่จะเป็นประโยชน์ต่อการติดตามกำกับ ควบคุม และประเมินผลสำเร็จในการปฏิบัติงานอันจะนำไปสู่การปรับปรุง พัฒนากระบวนการปฏิบัติงานเพื่อลดการเลี่ยงภาษีให้น้อยลง
(5) ควรมีการกำหนดอัตราภาษีค่าธรรมเนียมในการใช้บริการสาธารณะของ อปท.ให้มีความชัดเจน เช่นเดียวกับ สหรัฐอเมริกาที่มีการพัฒนารายได้ โดยที่ อปท.ยังคำนึงถึงการเข้าถึงบริการสาธารณะของประชาชนในทุกกลุ่มอย่างเสมอภาคกัน อีกทั้งกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมได้ 3 รูปแบบ คือ (1) รูปแบบแรก การจัดเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราที่เท่ากับต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดให้บริการ (2) รูปแบบที่สอง การจัดเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราที่เท่ากับต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดให้บริการสำหรับประชาชนบางกลุ่ม แต่สำหรับประชาชนบางกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก และองค์กรไม่แสวงหากำไร จัดเก็บในอัตราที่ต่ำกว่าต้นทุนค่าใช้จ่าย และ (3) รูปแบบที่สามการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราที่ต่ำกว่าต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมนั้นอาจมีความแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาการให้บริการสาธารณะ กลุ่มผู้ใช้บริการ หรือจำนวนผู้ที่ใช้บริการ
ระเบียบกฎหมาย
แนวทางการปฏิบัติในการต่ออายุใบอนุญาต ตามพระราชกฤษฎีกาการกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาต ชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต พ.ศ.2564 และพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม, http://www.dla.go.th/upload/document/type2/2021/11/26394_2_1635845670203.pdf?time=1635854918928
ข่าว
นายกเวียงเชียงแสน ประกาศ ยกเลิกคณะกรรมการบริหารท่าเรือเวียงเชียงแสน ออกยกชุด หลังพบขัดต่อกฎหมาย โดย สราวุธ คำฟูบุตร, ข่าวเด็ด, 15 ธันวาคม, 2564, https://www.77kaoded.com/news/big/2211223
หมดสภาพ!! เมื่อ.ผ.ว.จ.ชร.ไม่รับอุทธรณ์ คำสั่ง นายกปลดบอร์ดท่าเรือ ชส., โดย สราวุธ คำฟูบุตร, ข่าวเด็ด, 15 มกราคม 2565, https://www.77kaoded.com/news/big/2227340
อ้างอิง
ปัญหาการคลังท้องถิ่นไทย:บทสะท้อนจากมุมมองของผู้บริหารเทศบาล โดย อัชกรณ์ วงศ์ปรีดี 2 ในวารสารวารสารการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2555, https://www.tci-thaijo.org/index.php/ppmjournal/article/download/23361/19943
การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 - 2557, รายงานทางวิชาการสำนักงบประมาณของรัฐสภา (ฉบับที่ 7/2558), สิงหาคม 2558,
ปัญหาการบริหารการคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทย (Problems in Financial Administration of Local Government Organizations in Thailand) โดย รองศาสตราจารย์ ดร.วิทยา จิตนุพงศ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ใน Vol.6 No.2 (July–December 2016), https://www.thachang-nyk.go.th/UserFiles/File/041158/KM...LPA4.4.2(2).pdf
แนวทางการจัดเก็บภาษีของรัฐเพื่อการแก้ปัญหาเกิดความเหลื่อมล้ำและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ, โดย สมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ สรรพากรภาค 4 กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 60 ประจำปีการศึกษา พุทธศักราช 2560 - 2561,
แนวทางการพัฒนาการจัดเก็บภาษีขององค์การบริหารส่วนตำบลบุ่งหวายอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี (The Development Guidelines for the Tax Collection of Bung Wai Sub-District Administrative Organization, Warin Chamrap District, Ubon Ratchathani Province) โดย สิริพัฒถ์ ลาภจิตร และจิรศักดิ์ บางท่าไม้ ในวารสารคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ Vol.20 Special Issue (September-October) 2018-JHSSRRU, https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/download/152385/111217/
การคลังท้องถิ่น: สภาพปัญหา และแนวทางแก้ไข โดย สุพัฒน์จิตร ลาดบัวขาว, วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563), https://so05.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal/article/download/157525/165720/
รายงานวิเคราะห์รายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฉบับที่ 13/2564, สำนักงบประมาณของรัฐสภา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parbudget/ewt_dl_link.php?nid=991
ไม่มีความเห็น