ไม่ควรมองอะไรเพียงด้านเดียวแล้วตัดสิน
ดร.ถวิล อรัญเวศ
สรรพสิ่งในโลกนี้ ย่อมจะมีเป็นคู่กันเสมอ เช่น มีดี ก็มีชั่ว
มีคนรวย มีคนยากจน มีคนสวยมาก หล่อมาก และก็มีคนสวยน้อย
หล่อน้อย มีมืด มีสว่าง มีขาวมีดำ มีนินทา มีสรรเสริญเยินยอ
มีลาภ มีเสื่อมลาภ มียศ มีเสื่อมยศ มีสุชและก็มีทุกข์
เวลาเราได้รับชมรับฟังหรือได้ยินได้ฟัง หรือพบเห็นการนำเสนอข่าวที่ตื่นเต้น เ
ร้าใจ และมีเพียงถ้อยคำสั้น ๆ ซึ่งถ้าเป็นเรื่องที่ดี และเป็น
ความจริง ก็คงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่จริง เป็นเพียง
การนำเสนอข่าวเพื่อก่อให้เกิดความตื่นอกตื่นใจน่าติดตาม ก็อาจจะ
ก่อให้เกิดความเสียหายได้
เราเห็นอะไร อาจจะไม่ถูกใจ ไม่สบอารมณ์ตนเอง ก็อย่าเพิ่งไป
ตัดสินว่าดีไม่มีที่ติ หรือเลวจนไม่อาจจะให้อภัยได้ เป็นต้น
ฉะนั้น โบราณ ท่านจึงสอนให้มองอะไรไม่ควรมองเพียงด้านเดียวควรมองหลายๆ ด้าน
โดยเฉพาะนักบริหารถ้าไปเชื่อลูกน้องเพียงคนใดคนหนึ่ง ก็คงไม่ถูกต้องนัก
แม้แต่เรื่องนี้พระพุทธองค์ก็เคยตรัสสอนไว้แล้วในหลักกาลามสูตรหรือสูตรว่าด้วยการจะเชื่ออะไร
อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเชื่อง่าย ๆ ต้องพิสูจน์ให้ได้ข้อเท็จจริงก่อนจึงเชื่อ
ดังที่ว่า
“สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น
สิบตาเห็น ไม่เท่ามือคลำ
สืบมือคลำ ไม่เท่าได้ทำเอง”
ข้อเสียของการมองอะไรเพียงด้านเดียว
การมองอะไรเพียงด้านเดียว แล้วด่วนสรุป จะก่อให้เกิด
ความเห็นที่ไม่ลงรอยกันได้ ถ้ามีความเห็นที่ไม่ตรงกันแล้วไซร้ ก็จะก่อให้
เกิดความแตกแยกของคนในองค์กร หรือในสังคมได้ โดยเฉพาะถ้า
เรื่องที่มองนั้น ไม่เป็นความจริงแล้ว ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายได้
เรื่องนี้ ขอยกนิทานปรัมปราซึ่งได้เล่ากันสืบ ๆ กันมาว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังพระราชาพระองค์หนึ่ง
ทรงนึกสนุกขึ้นมา จึงตรัสสั่งให้เจ้าหน้าที่พระราชวังประชุมคนตาบอด
ในเขตพระนครและโดยให้นำคนตาบอดมาประมาณ ๑๒ คน
คนตาบอดเมื่อได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ก็ดีใจที่จะได้มีโอกาสเข้าวัง
เมื่อคนตาบอดมาพร้อมกันแล้ว พระราชาจึงทรงสั่งให้เจ้าหน้าที่
จัดแบ่งคนตาบอดออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ ๒ คน รวม ๖ กลุ่ม
โดยให้แต่ละกลุ่มจับเพียงเฉพาะอวัยวะส่วนใด ส่วนหนึ่งของช้างเท่านั้น
จากนั้น พระราชาจึงเรียกคนตาบอดทุกกลุ่มมาพร้อมกันแล้วให้
คนตาบอดแต่ละกลุ่ม บรรยายลักษณะของช้างตามที่ตนได้รับรู้มา
คนตาบอดในแต่ละกลุ่มบอกลักษณะของช้างแตกต่างกันออกไป
ขึ้นอยู่กับอวัยวะของช้างที่พวกเขาได้สัมผัสมา ๖ กลุ่ม
พวกที่คลำปลายหางช้าง บอกว่าช้างเหมือนไม้กวาด
พวกที่คลำลำตัวช้าง ก็บอกว่าช้างเหมือนยุ้งข้าว
พวกที่คลำงวงช้าง ก็บอกว่าช้างเหมือนง่อนไถ
พวกที่คลำหูช้าง บอกว่าช้างเหมือนกระด้ง
พวกที่คลำหัวช้าง บอกว่าช้างเหมือนหม้อ
พระราชาจึงตรัสถามพร้อมกันอีกครั้งหนึ่งว่า
ที่แท้จริงแล้วช้างมีลักษณะเป็นอย่างไรกันแน่
คนตาบอดต่างถกเถียงกันใหญ่ว่า ลักษณะที่กลุ่มของตนได้กราบทูลต่อพระราชาถูกต้องแล้ว
เพราะคลำมากับมือเลย และไม่ได้คลำเพียงคนเดียว คลำ ๒ คน และก็คลำตั้ง ๒-๓ ครั้ง จนมั่นใจแล้ว
คนตาบอดต่างคนต่างก็ไม่ยอมกัน ยังยืนยันความคิดของตน สุดท้ายไม่มีใครฟังใคร
คนตาบอดจึงได้ชกต่อยกันชุลมุน
พระราชาจึงทรงพระสรวลด้วยความพึงพอพระราชหฤทัยเป็นยิ่งนัก
เรื่องคนตาบอดคลำช้างจึงถือเป็นข้อคิดได้ว่า การมองอะไรเพียง
ด้านเดียว ยังไม่เพียงพอ เพราะทำให้เกิดความเข้าใจผิดพลาดได้ใน
องค์รวมที่แท้จริง เพราะสิ่งที่มองด้านเดียวจะได้ข้อเท็จจริงด้านเดียว
ข้อเท็จจริงที่สมบูรณ์ต้องมองหลาย ๆ ด้าน และมองให้เห็น
ความเชื่อมโยงกันในหลายมิติจึงจะทำให้ได้ข้อมูลชัดเจน
การมองเพียงด้านเดียว เมื่อนำข้อเท็จจริงมาแลกเปลี่ยนกัน
ถ้าต่างฝ่ายต่างยืนยันกันโดยไม่ตรวจสอบให้ข้อเท็จจริงแล้ว ย่อม
ก่อให้เกิดข้อทะเลาะวิวาทกันได้
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “คนทั้งหลายที่มองอะไรเพียง
ด้านเดียว ย่อมถือข้อขัดแย้งทะเลาะวิวาทกัน”
ฉะนั้น จึงควรลดการมองจากด้านเดียวมามองหลายด้าน จะทำให้
ได้ข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้น และช่วยลดข้อขัดแย้งได้ เมื่อลดข้อขัดแย้งได้
ย่อมจะก่อให้เกิดความสุขสงบได้ในครอบครัว ในสังคมและในประเทศชาติ
และคนในองค์กรก็จะไม่แตกความสามัคคี
สรุปข้อคิด
คนเราไม่ควรจะมองอะไรเพียงด้านเดียวแล้วด่วนนำมาตัดสิน
เพราะจะก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงได้ ฉะนั้น
นักบริหาร จึงควรมีข้อมูลหลายด้านเพียงพอก่อนจะวินิจฉัยสั่งการออกไป
และจะทำให้ข้อวินิจฉัยสั่งการไปนั้น ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายได้ และ
ประการสำคัญคนในองค์กรหรือในสังคมจะไม่แตกแยกกันเพราะ
ความเห็นไม่ลงรอยกันนั้นเอง ท้ายที่สุดขอฝากข้อคิดดังนี้
ก่อนจะเชื่อ สิ่งใด ให้พิสูจน์
ก่อนจะพูดให้ยั้งคิดวินิจฉัย
ก่อนจะทำ กิจการ งานใดใดให้ดี
คิดให้ ถ้วนถี่ จึงจะเกิดผลดีตามมา
---------------------
ไม่มีความเห็น