บันทึกชุด สอนทักษะสร้างสรรค์ ฝึกนักเรียนให้คิดเป็นและคิดอย่างมีวิจารณญาณ นี้ ตีความจากหนังสือ Teaching Creative Thinking : Developing learners who generate ideas and can think critically (2017) เขียนโดย Bill Lucas และ Ellen Spencer ที่เป็นหนังสือว่าด้วยการคิดสร้างสรรค์ (critical thinking) แต่ตีความเชื่อมโยงออกไปกว้างขวางมาก และมีคำแนะนำภาคปฏิบัติ รวมทั้งมีตัวอย่างโรงเรียนที่ดำเนินการในแนวทางที่เสนอ ผมเขียนบันทึกชุดนี้ เพื่อร่วมขบวนการขับเคลื่อนหลักสูตรฐานสมรรถนะให้แก่สังคมไทย
ตอนที่ ๘ นี้ ตีความจากหนังสือบทที่ 5 Promising Practices : Some case studies ครึ่งแรกของบท ว่าด้วยโรงเรียนที่สอนการคิดสร้างสรรค์อย่างประสบผลสำเร็จ ๖ โรงเรียน แสดงวิธีการที่ครูใหญ่และครูดำเนินการให้นักเรียนได้พัฒนาขีดความสามารถควบคู่หรือบูรณาการไปกับการเรียนความรู้และทักษะ มีผลให้ในที่สุดโรงเรียนเกิดหารเปลี่ยนแปลงใหญ่ในระดับองค์กร
โรงเรียนมัธยม Rooty Hills ออสเตรเลีย
โรงเรียนนี้ตั้งอยู่ชานเมืองด้านทิศตะวันตกของนครซิดนีย์ รับนักเรียนจากย่านนั้น ซึ่งมีครอบครัวรายได้ต่ำรวมอยู่ด้วย เป็นโรงเรียนที่เน้นผลการเรียนที่เป็นเลิศ ทั้งด้านวิชาการและด้านการพัฒนาสมรรถนะ หรือขีดความสามารถ (คุณลักษณะ - capabilities) ของนักเรียน
โรงเรียนนี้ใช้ โมเดล ๕ มิติของการคิดสร้างสรรค์ (ดูบันทึกที่ ๓) มา ๕ ปีก่อนการเขียนหนังสือ Teaching Creative Thinking โดยใช้โมเดลนี้ในการวางแผนหลักสูตร จัดการเรียนรู้ และประเมินผลการเรียนรู้ หลักสูตรการศึกษาของประเทศออสเตรเลียมีลักษณะพิเศษจากประเทศอื่นๆ ที่เป้าหมายการเรียนรู้บูรณาการสาระวิชาและสมรรถนะเข้าด้วยกัน กำหนดให้พัฒนาการคิดสร้างสรรค์และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สมรรถนะส่วนบุคคลและเชิงสังคม ความเข้าใจเชิงจริยธรรม และความเข้าใจข้ามวัฒนธรรม ควบคู่ไปกับการเรียนรู้รายวิชา
โรงเรียนมัธยม รูที ฮิลล์ ได้ดัดแปลงเพิ่มเติมรายละเอียดของแผนผังของโมเดล ๕ มิติ ได้เป็น “วงล้อแห่งการสร้างสรรค์” (the creativity wheel) ดังรูป (๑) โดยเพิ่มเติม ๒ วงล้อด้านนอก บอกพฤติกรรมที่พึงประสงค์ให้นักเรียนได้ฝึก และวงนอกสุดบอกเครื่องมือฝึกการคิดที่ใช้เป็นประจำ (thinking routine ที่เอามาจาก Project Zero) และสร้างซี่ ๕ ซี่ขึ้นมาหนุน ๕ ส่วนของกงล้อ (๕ มิติ) ด้วยกลุ่มคำกริยาที่แสดงพฤติกรรมของมิตินั้นๆ ส่วนที่ต่อเติมนี้ มีประโยชน์ต่อการนำไปปฏิบัติมาก ทางโรงเรียนมีรูป creativity wheel ให้นักเรียนแต่ละคนได้ใช้สะท้อนคิดตรวจสอบการฝึกฝนตนเองอยู่ตลอดเวลา ช่วยให้มองเห็นเรียนรู้ของตนเอง (visible learning)
ครูใหญ่ Christine Cawsey สะท้อนคิดว่า ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญ ๓ ประการคือ (๑) การมีครูแกนนำและกลุ่มผู้นำโครงการ ที่ร่วมกันริเริ่มโครงการทดลองเล็กๆ ก่อน เพื่อสร้างความรู้ สำหรับนำไปใช้ดำเนินการทั้งโรงเรียนในภายหลัง และสร้างตำแหน่งครูผู้นำ ทำหน้าที่โค้ชในโครงการ (๒) การสร้างทีมเรียนรู้ของครู ครูทุกคนรวมทั้งผู้อำนวยการและฝ่ายบริหาร ต้องเป็นสมาชิกของทีมเรียนรู้หนึ่งทีม เพื่อดำเนินการวิจัยปฏิบัติการ (ใช้วิธีการของ Expansive Education Network) เสนอรายงานผลการวิจัยระหว่างปีหรือตอนสิ้นปี เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปใช้ทั้งโรงเรียน (๓) สร้างหลักสูตรที่ขับเคลื่อนขีดความสามารถ (capability-driven curriculum) เพื่อาชนะแรงเฉื่อยของ content-based curriculum ที่มีมานาน
โรงเรียนนี้ได้รับการยกย่องว่ามีความสำเร็จในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการศึกษาทั้งในระดับโลก และในระดับประเทศ (ออสเตรเลีย)
ข้อเรียนรู้สำคัญจากโรงเรียน รูที ฮิลล์ ได้แก่
โรงเรียน Thomas Tallis ลอนดอน
ไม่ว่าไปที่ไหนในโรงเรียน โธมัส ทัลลิส จะเห็นโปสเตอร์ Tallis Habits (๒) เต็มไปหมด ซึ่งเมื่ออ่านชื่อของแต่ละ habit ก็จะเห็นว่า คือ ๕ มิติของความคิดสร้างสรรค์นั่นเอง โรงเรียนนี้ได้เข้าร่วมเครือข่ายโรงเรียนพัฒนาวิธีการจัดการเรียนรู้และประเมินความสร้างสรรค์ในโรงเรียน ในปี ค.ศ. 2011 (๓) และได้ดำเนินการต่อเนื่องเรื่อยมาในฐานะส่วนหนึ่งของ Expansive Education Network
มีการปลูกฝังสมรรถนะ (ขีดความสามารถ) ทั้ง ๕ มิติ บูรณาการอยู่ในหลักสูตรทั้งหมด เน้นโฟกัสทีละมิติต่อครึ่งเทอม โดยให้นักเรียนประเมินความก้าวหน้าของสมรรถนะของตน
โปสเตอร์ Tallis Habits มีผลให้วาทกรรมให้ความสำคัญแก่ความสร้างสรรค์ควบคู่ไปกับการเรียนวิชาแพร่หลายในกลุ่มครูและนักเรียนครอบคลุมทั้งโรงเรียน ยกเว้นในสาขาด้านศิลปะ เขาไม่ได้ขยายความว่ามีเหตุผลอะไร
ปัจจัยเบื้องหลังความสำเร็จของโรงเรียน โธมัส ทัลลิส ได้แก่
ก่อนพิมพ์หนังสือ Teaching Creative Thinking ไม่นานโรงเรียน โธมัส ทัลลิส ได้ร่วมมือกับโรงเรียน รูที ฮิลล์ ดำเนินการวิจัยหาความสัมพันธ์ระหว่างวิธีการจัดการเรียนรู้กับแต่ละมิติของความสร้างสรรค์
ข้อเรียนรู้สำคัญจากโรงเรียน โธมัส ทัลลิส ได้แก่
โรงเรียนประถม Redlands เมืองเรดดิ้ง อังกฤษ
โรงเรียนประถม เรดแลนด์ส ตั้งอยู่ในชุมชนที่มึความหลากหลายด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรมสูงมาก นักเรียนพูดภาษาแม่ที่บ้านแตกต่างกันถึง ๔๐ ภาษา ทางโรงเรียนจึงใช้ปัจจัยนี้เป็นจุดแข็งให้นักเรียนได้เรียนรู้และเข้าใจความคิดของผู้อื่น
โรงเรียนประถม เรดแลนด์ส เน้นจัดการเรียนรู้เชิงรุก บนฐานคุณค่าและวิสัยทัศน์ ๓ ประการคือ
วิสัยทัศน์และคุณค่า ที่นำสู่วิถีปฏิบัติทั้งสามประการข้างต้น เชื่อมโยงกับชุมชนและภาคีอื่นๆ ช่วยให้นักเรียนของโรงเรียนประถม เรดแลนด์ส มีการพัฒนาความสร้างสรรค์และขีดความสามารถอื่นๆ โดยโรงเรียนส่งเสริมให้นักเรียน
โดยโรงเรียนช่วยเอื้อ
ข้อเรียนรู้สำคัญจากโรงเรียนประถม เรดแลนด์ส ในการทำให้การฝึกความคิดสร้างสรรค์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันในโรงเรียน ได้แก่
โรงเรียนประถม Brunswick East นครเมลเบิร์น ออสเตรเลีย
โรงเรียนประถม บรันสวิค อีสต์ (BPES) ตั้งอยู่ชานเมืองของนครเมลเบิร์น (๔) จัดการเรียนรู้แบบชุมชนเรียนรู้พื้นฐานคละอายุ (multi-age learning community) คือครูกับนักเรียน ป. ๑ - ๓ และ ป. ๔ – ๖ เรียนด้วยกัน ดำเนินการตามทฤษฎีการศึกษาหลายทฤษฎี ได้แก่ constructivism, Dewey, Reggio Emilia, และ Loris Malaguzzi เน้นผสมผสานการสอนกับการเรียนรู้เป็นเนื้อเดียวกัน เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน และระหว่างผู้เรียนด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติ
องค์กร VCAA (Victorian Curriculum Assessment Authority) ของ ออสเตรเลีย ได้พัฒนาหลักสูตรเน้นความสามารถ (capability-led curriculum) ขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ให้ดำเนินการทั่วทั้งหลักสูตร และข้ามหลักสูตร ที่โรงเรียนประถม บรันสวิค อีสต์ นำมาประยุกต์ใช้โดยเน้นที่สองขีดความสามารถ (สมรรถนะ) คือ ความเข้าใจด้านคุณธรรม กับการคิดอย่างมีวิจารณญาณและคิดสร้างสรรค์ ดำเนินการผ่านวิธีการตั้งข้อสงสัย (enquiry)
โรงเรียนประถม บรันสวิค อีสต์ ได้เข้าร่วมเป็นเครือข่ายเรียนรู้ร่วมกับอีก ๑๐ โรงเรียน สนับสนุนโดย Centre for Real-World Learning เพื่อทำวิจัยปฏิบัติการหาแนวทางจัดการเรียนรู้ผสมผสานระหว่างการพัฒนาสมรรถนะกับการพัฒนาความรู้และทักษะวิชาการ
โรงเรียนประถม บรันสวิค อีสต์ จัดระบบองค์กรโดยแบ่งออกเป็น “ชุมชนเรียนรู้” (learning community) แต่ละชุมชนเรียนรู้โฟกัสการตั้งคำถามต่อหลักการใหญ่ๆ เพื่อแสวงหาแนวทางเรียนรู้และประเมินสองสมรรถนะ คือ ความเข้าใจด้านคุณธรรม กับการคิดอย่างมีวิจารณญาณและคิดสร้างสรรค์ ขอยกตัวอย่างว่า มีชุมชนเรียนรู้หนึ่งตั้งคำถามเพื่อค้นหาตรวจสอบหลักการที่ว่า ประวิติศาสตร์ของมนุษย์ เป็นประวัติศาสตร์ของความเฉลียวฉลาด (ingenuity), นวัตกรรม (innovation), และการประดิษฐ์ (invention) โดยมีคำถามย่อยดังต่อไปนี้
กระบวนการตั้งคำถามและหาคำตอบนี้ดำเนินต่อเนื่อง ๒ ภาคการศึกษา เสริมด้วยกิจกรรมเวทีเสวนาเชิงปรัชญาสัปดาห์ละครั้ง เพื่อทำความเข้าใจมิติเชิงคุณธรรม และเรียนรู้ด้านการคิดสร้างสรรค์และคิดอย่างมีวิจารณญาณ
อีกชุมชนเรียนรู้หนึ่งไปเยี่ยมชม National Gallery of Victoria และใช้แนวทางฝึก “เห็น – คิด – สงสัย” (see – think – wonder) เพื่อช่วยให้นักเรียนทำความเข้าใจนิทรรศการ พัฒนาแนวคิดต่อเนื่อง และตั้งคำถามเพื่อเข้าใจความแตกต่างหลากหลาย
โรงเรียนประถม บรันสวิค อีสต์ ใช้ “แปดพลังวัฒนธรรม”(eight cultural forces) ในการจัด “การคิดในชีวิตประจำวัน” (thinking routines) ที่เสนอโดย Ron Ritchhart (๕) คือ ความคาดหวัง, ภาษา, เวลา, โมเดล, โอกาส, ทำเป็นประจำ, ปฏิสัมพันธ์, และสภาพแวดล้อม
ครูแกนนำของโรงเรียนบอกว่า นักเรียนได้เรียนวิธีตั้งข้อสงสัย สร้างความเชื่อมโยง และคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการคิดของตนเอง รู้จักฟังเพื่อน ผลัดกันพูดผลัดกันฟัง และร่วมมือกันทำงาน
ข้อเรียนรู้สำคัญจากโรงเรียนประถม บรันสวิค อีสต์ คือได้จารึกการคิดสร้างสรรค์และคิดอย่างมีวิจารณญาณเข้าในโรงเรียน ผ่านกลไกสำคัญคือ
โรงเรียนประถม Our Lady of Victories เมือง Keighley
เมือง Keighley อยู่เหนือเมือง แมนเชสเตอร์ นั่งรถไฟจากลอนดอนใช้เวลาราวๆ ๓ ชั่วโมง โรงเรียน Our Lady of Victories เป็นโรงเรียนคริสต์นิกายคาทอลิก ที่ประกาศตัวว่าเป็นโรงเรียนแห่งความสร้างสรรค์ ใช้หลักสูตรสร้างสรรค์ จัดการเรียนรู้บนฐานการปฏิบัติ (skills based) เน้นเรียนเป็นเรื่องๆ (theme-based) (๖)
โรงเรียน Our Lady of Victories เชื่อว่าการเรียนรู้เป็นการผจญภัย ที่นักเรียนได้มีโอกาสเผชิญสิ่งที่น่าพิศวง และน่ากลัว จัดการเรียนรู้เพื่อให้เด็กพัฒนาต่อยอดจากชั้นเด็กเล็ก และบนฐานความสนใจของตัวเด็กเอง แนวคิดนี้ใช้กับครูด้วย ครูจะจัด “สัปดาห์แห่งความพิศวง” (wonder week) หนึ่งครั้งต่อภาคการศึกษา โดยจัดภายใต้หัวข้อ (theme) หนึ่ง ตัวอย่างหัวข้อที่เคยจัดคือ การขี่ม้า เดอะ บีเทิ่ลส์ ฟุตบอลล์ ญี่ปุ่น เครื่องปั้นดินเผา เล่นกีต้าร์ เป็นต้น เป็นหัวข้อที่ครูกับนักเรียนร่วมกันกำหนด ร่วมกันวางแผน และร่วมกันจัด โดยที่กิจกรรมนี้มีสาระเชื่อมโยงกับสาระวิชาที่กำหนดในหลักสูตรแห่งชาติ และเอื้อต่อการเรียนรู้ฝึกฝนความสร้างสรรค์ รวมทั้งมีธรรมชาติเป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตร
หัวข้อการเรียนรู้ใน theme-based learning ต้องกว้างพอที่จะเอื้อให้เกิดการเรียนรู้การคิดสร้างสรรค์ในหลากหลายรายวิชา ตัวอย่างหัวข้อที่เพิ่งใช้คือ “ฉันพิศวง” กับ “ผ่านหน้าต่าง”
โรงเรียนจัดทัศนาจรเพื่อการเรียนรู้ไปยัง สก็อตแลนด์ ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ นักเรียนจะต้องเสนอผลงานของตนในบรรยากาศจริง ผ่านสื่อหลากหลายช่องทาง ได้แก่วิทยุ (โรงเรียนมีสถานีวิทยุของตนเอง), Photo Story 3, PowerPoint, podcast โดยสื่อผ่านเว็บไซต์ของโรงเรียน (๖) เป็นการนำผลงานจริงเข้าแลกเปลี่ยนเรียนรู้บนพื้นที่เรียนรู้เสมือน (virtual learning space)
นักเรียนได้รับการส่งเสริมให้เขียนบันทึกความสร้างสรรค์ (creative learning journal) เพื่อฝึกสะท้อนคิดจากประสบการณ์ตรงของตน โดยนักเรียนที่มีผลงานสร้างสรรค์ดีจะได้รับรางวัลเป็น ‘creative sticker’
สถานีวิทยุของโรงเรียน (Radio LV) เปิดกระจายเสียงทุกวันศุกร์เวลา ๑๕.๐๐ น. เสนอเรื่องขำขัน ข่าว รายงานจากทัศนาจรของนักเรียน บทกวี เพลง บทสัมภาษณ์ครู ผู้มายือน รวมทั้งผู้มีชื่อเสียง และที่สำคัญที่สุดผลงานของนักเรียน ผลงานที่ออกรายการวิทยุแล้วนี้ จะทำเป็น podcast เอาไปแขวนบนเว็บไซต์ของโรงเรียนด้วย จะเห็นว่า โรงเรียน Our Lady of Victories เน้นให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติเพื่อการเรียนรู้ในสถานการณ์จริง มีผลให้นักเรียนพัฒนาขึ้นมากในทักษะการพูด และทักษะไอซีที โรงเรียนกำลังดำเนินการประเมินผลการพัฒนาทักษะด้านการสร้างสรรค์
ข้อเรียนรู้สำคัญจากโรงเรียน Our Lady of Victories ได้แก่
โรงเรียน Duloe Church of England เมือง Liskeard
เมือง Liskeard อยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะอังกฤษ นั่งรถไฟจากลอนดอนใช้เวลาราวๆ ๔ ชั่วโมง เลยเมือง Exeter และ Plymouth โรงเรียน Duloe Church of England เป็นโรงเรียนประถม (๗) ประกาศตัวเป็น “โรงเรียนแห่งความสร้างสรรค์” มีคำขวัญว่า “การผจญภัยทางจิตใจ และความอบอุ่นของหัวใจ” (An adventure for the mind, and a home for the heart) เน้นทำงานใกล้ชิดกับครอบครัวและชุมชน เพื่อจัดการเรียนรู้แนวสร้างสรรค์ ที่สอดคล้องกับความต้องการ ความสนใจ และความกระตือรือร้น ของนักเรียนป็นรายคน
โรงเรียน Duloe Church of England ได้รับคัดเลือกเป็นหนึ่งใน ๕๔ โรงเรียนในอังกฤษที่ได้เข้าร่วม Creative Partnerships programme ระหว่างปี 2002 – 2011 แม้โครงการนี้สิ้นสุดแล้ว แต่โรงเรียน Duloe Church of England ยังคงดำเนินการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาความสร้างสรรค์อย่างจริงจัง
ที่นี่ครูได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวของตัวเองสูงมาก รวมทั้งได้รับการสนับสนุนให้กล้าเสี่ยง ครูสามารถออกแบบการเรียนรู้ให้เหมาะสมต่อความต้องการของศิษย์ได้ โดยคาดหวังว่าการจัดการเรียนรู้จะมีลักษณะแปลกใหม่ น่าตื่นเต้น ใช้โอกาสการเรียนรู้ใหม่ๆ และเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง
เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกการคิดสร้างสรรค์ โรงเรียน Duloe Church of England จัดโอกาสเรียนรู้ดังนี้
การเรียนรู้ที่ โรงเรียน Duloe Church of England เน้น whole-school theme approach ทำให้ครูต้องทำงานร่วมกันเพื่อกำหนดหัวข้อ (theme) ของเทอมถัดไป ที่จะใช้ทั่วทั้งโรงเรียน ตัวอย่างหัวข้อที่ตกลงและมีการใช้ไปแล้วเช่น “เราจะมีชีวิตรอดได้อย่างไรหากเราอยู่ในยุคหิน” นักเรียนชั้นเล็กต้องออกไปใช้ชีวิตอยู่นอกห้องเรียนสัปดาห์ละ ๑ วัน เป็นเวลา ๖ สัปดาห์ โดยต้องหาทางช่วยตัวเองในทุกเรื่อง นักเรียนจัดกลุ่มคละชั้น เพื่อคิดทำกิจกรรมเพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่กลุ่มคิดขึ้น เช่นเรื่องดนตรี การเต้นรำ ประติมากรรม การวาดภาพ การใช้ ICT ช่วยการเรียนรู้ เป็นต้น
นักเรียนจะทำงานเพื่อนำผลงานไปเสนอต่อเพื่อนๆ กลุ่มอื่นในช่วงบ่ายตามที่นัดกัน โดยแต่ละทีมต้องอธิบายว่าเกิดแนวคิดทำเรื่องนั้นมาอย่างไร อธิบายวิธีทำงาน และอธิบายความเชื่อมโยงกับชิ้นงานของเพื่อนๆ ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า เขาไม่เน้นโชว์ผลงาน แต่เน้นการอธิบายความคิด และวิธีทำงานฟันฝ่าเพื่อให้ได้ผลงานนั้น ซึ่งเป็นกระบวนการพัฒนาความสร้างสรรค์และสมรรถนะอื่นๆ
อีกมิติหนึ่งที่ โรงเรียน Duloe Church of England ให้ความสำคัญ คือการสร้างโอกาสให้พ่อแม่และคนในชุมชนได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้และการพัฒนาโรงเรียน เช่นเข้ามาเป็นทีมภายนอกทำหน้าที่จัด “วันสร้างสรรค์” (creative day) ที่จัดโดยคนภายนอกโรงเรียนทั้งหมด ความร่วมมือนี้นำไปสู่ความร่วมมืออื่นๆ อีกมากมาย
ประเด็นเชิงนโยบายสำคัญอีกประการหนึ่งคือการขยายโลกทัศน์ (horizon) ของนักเรียน ด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย กิจกรรมหลักคือทัศนาจร เพื่อให้นักเรียนได้มีประสบการณ์สัมผัสโลกภายนอก ทั้งประสบการณ์ที่จัดโดยโรงเรียน และที่จัดโดยองค์กรภายนอก นอกจากนั้นยังมีการเชื้อเชิญบุคคลภายนอกเข้ามาเล่าประสบการณ์ตรงของตนแก่นักเรียน หรืออาจเข้ามาช่วยจัดกิจกรรมใหญ่ ดังกรณีนักแสดงท่านหนึ่ง ที่เข้ามาในโรงเรียนในบทบาทของนักรบโรมันเมื่อสองพันปีก่อน นำไปสู่การจัดค่ายโรมันในป่าใกล้หมู่บ้าน ที่นักเรียนทั้งโรงเรียนแต่งกายเป็นชาวโรมันด้วยเครื่องแต่งกายที่ตนเตรียมเอง เมื่อนักเรียนเดินสวนสนามเข้าไปในป่าก็ตลึงพรึงเพริดกับสภาพของค่ายโรมัน ที่มีนักรบโรมัน และกรรมกรเคลติก (Celtic workers) เสมือนเมื่อสองพันปีก่อน นักเรียนใช้เวลาตลอดวันตั้งคำถาม หาคำตอบ สานเสวนา และสะท้อนคิดต่อกันและกัน
ข้อเรียนรู้สำคัญจากโรงเรียน Duloe Church of England คือกลยุทธเอื้อให้นักเรียนพัฒนาความสร้างสรรค์ใส่ตน ๖ แนวทาง คือ
หกโรงเรียนกรณีศึกษานี้มาจากอังกฤษและออสเตรเลีย เป็นตัวอย่างที่ดีของการจัดการโรงเรียนเพื่อเอื้อให้นักเรียนพัฒนาความสร้างสรรค์ เขาบอกว่าระบบการศึกษาภาพใหญ่ของออสเตรเลียเอื้อกว่าระบบของอังกฤษมาก เพราะระบบของอังกฤษมัวหลงหมกมุ่นกับผลลัพธ์การเรียนรู้ทางวิชาการเท่านั้น ทำให้เป้าหมายของการเรียนรู้แคบเกินไป ไม่ให้คุณค่าของการพัฒนาขีดความสามารถ (capabilities) หรือสมรรถนะ มากเท่าที่ควร
ในตอนต่อไปจะกล่าวถึงมาตรการระหว่างชาติ และมาตรการระดับชาติ เพื่อส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์
วิจารณ์ พานิช
๘ พ.ย. ๖๔
ไม่มีความเห็น