วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๔ (วันหยุด) ผมเข้าร่วม “การอบรมเชิงปฏิบัติการ แผนงานพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ ปี ๒๕๖๕ – ๒๕๖๗” ของ กสศ. ทางออนไลน์
กระบวนการมี ๔ กิจกรรม ตั้งแต่ ๘.๓๐ ถึง ๑๖.๐๐ น. การทำงานแยกกลุ่มเป็น ๓ กลุ่ม กลุ่มละ ๙ - ๑๑ คน โดยกระบวนการแรกเป็นการสอบทานเป้าประสงค์ทั้ง ๘ ข้อ ที่สำนักครูกำหนดไว้ มีโจทย์ให้สมาชิกกลุ่มจัดลำดับความสำคัญของเป้าประสงค์ ที่เมื่อผมอ่านเป้าประสงค์ทั้ง ๘ ก็เกิดชื่อบันทึกนี้ ที่สะท้อนวิธีมองเรื่องคุณภาพการศึกษา และเรื่องกลยุทธการดำเนินการเพื่ยกระดับคุณภาพการศึกษาของผม
ผมคิดว่าเรื่องการศึกษา และการยกระดับคุณภาพการศึกษาเป็นเรื่องซับซ้อน (complexity) ปัจจับต่างๆ เชื่อมโยงถึงกัน และมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกันอย่างซับซ้อนและเป็นพลวัต การทำความเข้าใจเป้าประสงค์ทั้ง ๘ ข้อ จึงไม่ใช่การคิดแบบแยกส่วน ต้องเป็นการคิดทำความเข้าใจความเชื่อมโยง และโยงสู่การปฏิบัติและผลของการปฏิบัติ
เป้าประสงค์ทั้ง ๘ เขียนไว้อย่างกว้างๆ มีความคลุมเครือสูง ซึ่งมองในมุมหนึ่ง ก็เหมาะสำหรับกิจกรรมที่มีความซับซ้อนและเป็นพลวัตสูง เพราะเปิดช่องให้มีการตีความ ดังกิจกรรมในวันนี้ ผมมองว่า คุณค่าอยู่ที่การร่วมกันตีความ จากเป้าประสงค์ ๘ ข้อ สู่การปฏิบัติ และร่วมกันตีความผลของการปฏิบัติให้ชัดเจน เอาไว้เป็นเข็มทิศนำทางการปฏิบัติที่ซับซ้อน และจะต้องมีการปรับตัวตลอด ๓ ปี
คนที่มีวิธีคิดแบบผม จึงไม่สามารถทำตามคำสั่งของการประชุมช่วงที่ ๑ ได้ คือไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญของเป้าประสงค์ ๘ ข้อได้ แต่สามารถร่วมตีความเป้าประสงค์แต่ละข้อ โยงสู่การปฏิบัติ และผลของการปฏิบัติ ที่วิทยากรกระบวนการเรียกว่าตัวชี้วัด (KPI – key performance indicators)
ผมเกิดคำถามต่อตัวเองว่า KPI มีไว้เพื่ออะไร หากมีคนตอบว่า เอาไว้ทำงานให้บรรลุผล ผมก็จะคิดต่อทันทีว่า ท่านผู้นั้นทำงานแบบใช้ Single-loop learning คือหาทางปรับวิธีทำงานให้บรรลุผลที่กำหนดไว้ตายตัว
แต่ผมอยากฝึกตนเอง และผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง ทำงานแบบใช้ Double-loop learning คือใช้การทำงานและผลที่เกิดขึ้น ตอบคำถามว่า มีทางทำให้ได้ผลดีกว่า KPI ที่คิดไว้ในตอนแรกได้ไหม คือเมื่อบรรลุ KPI งานต้องยังไม่จบ ยังต้องคิดหาทางตั้ง KPI ใหม่ที่มีคุณค่ายิ่งกว่าเดิม
ดังนั้น ตอนอภิปรายกันเรื่องเป้าประสงค์ ๘ ข้อ เพื่อจัดลำดับความสำคัญนั้น เป้าหมายหลักของผมจึงไม่ได้อยู่ที่ผลงานจัดลำดับ แต่อยู่ที่การได้รับฟังซึ่งกันและกัน และทำความเข้าใจเป้าประสงค์เหล่านั้นในมิติที่ลึก และเมื่อถึงตอนคุยกันเรื่อง KPI ก็เช่นเดียวกัน ผมไม่ได้ทำความเข้าใจเพื่อการบรรลุ KPI แต่ต้องการหาทางทำให้ KPI มีระดับคุณค่า หรือระดับคุณภาพ และหาทางส่งเสริมให้เกิดผลงานคุณค่าสูง หรือคุณภาพสูง
การคิดแบบ either … or … เป็นรูปแบบวิธีคิดแบบลดทอนความซับซ้อน (reductionism) ผมไม่สมาทานแนวคิดนี้มาตั้งแต่เด็ก
วิจารณ์ พานิช
๑๐ ธ.ค. ๖๔
Thank you for sharing this. Sharing means ‘open-source’ so we can all learn.
I read ‘การคิดแบบ either … or … เป็นรูปแบบวิธีคิดแบบลดทอนความซับซ้อน (reductionism)’ and thought about ‘quantum theories’ (in ‘my’ non-math simple words: things can assume any state while interacting with other things [in its system environment] until such time when a measurement/assessment of the system is made). Applying a quantum style of thinking would mean allowing ‘all probabilities’ for all ‘factors’ until such time that a decision has to be made. Then constraints would put limits on possibilities of states [or value range].