การเป็นประเทศพัฒนาแล้วมีหลายมิติ ไม่ใช่แค่ด้านเศรษฐกิจและการทหารเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศเท่านั้น ยังต้องสร้างกลไกเพื่อความมั่นคงภายในประเทศ และความมั่นคงภายในใจคน
บทความเรื่อง China says it will be a “museum power” in 2035 ในนิตยสาร The Economist สะท้อนความรอบคอบของผู้บริหารประเทศจีน
ในฐานะนักเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ ผมชื่นชมประเทศจีนตามข่าวนี้มาก แต่ข่าวในสื่อฝรั่งย่อมต้องกระแนะกระแหนจีน เพราะพัฒนาขึ้นมาล้ำหน้าเขา จึงใส่ subtitle ว่า Build big, show little คือสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ใหญ่โต แต่มีสิ่งของจัดแสดงน้อย
ตามในข่าวบอกว่าจีนสร้างพิพิธภัณฑ์เพิ่มสัปดาห์ละ ๕ แห่ง บทความบอกว่าในปี ค.ศ. 2000 จีนมีพิพิธภัณฑ์ ๑,๒๐๐ แห่ง สิ้นปี 2020 มีเกือบ ๖ พันแห่ง เขาบอกว่าแม้ส่วนใหญ่เป็นพิพิธภัณฑ์ของรัฐ โดยรัฐแถลงนโยบายการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ชัดเจน เช่นบอกว่า ถึงปี 2035 เน้นพิพิธภัณฑ์ Belt and Road Initiatives, Great Wall, Grand Canal ซึ่งสะท้อนเป้าหมายโปรปะกันดาทางการเมือง แต่ก็มีพิพิธภัณฑ์เอกชนออกมาท้าทายสังคมด้วย เช่น พิพิธภัณฑ์ internet violence จัดโดยกลุ่มผู้หญิง ที่สะท้อนภาพการรังแกผู้หญิงผ่านทางอินเทอร์เน็ต ในฮ่องกงมีพิพิธภัณฑ์แล็กๆ จัดแสดงการปราบปรามการต่อต้านรัฐบาลที่จตุรัสเทียนอันเหมิน เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๓๒ ซึ่งตั้งได้ไม่นานก็ถูกปิด
เป็นบทความที่บอกว่า จีนใช้พิพิธภัณฑ์เป็นที่แสดงแสนยานุภาพ หรือแสดงผลงานของรัฐบาล ซึ่งไม่ว่ารัฐบาลหรือผู้มีอำนาจประเทศไหนๆ ก็ทำกันทั้งนั้น คือไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ แต่ผมก็พบว่าในประเทศตะวันตก เขาใช้พิพิธภัณฑ์เป็นที่เรียนรู้สำหรับคนทุกวัย และพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่เน้นกระตุ้นความคิดคน ให้มองโลกมองสังคมในมุมมองใหม่ๆ
วิจารณ์ พานิช
๒๘ พ.ค. ๖๔
ไม่มีความเห็น