หนังสือ ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของลุ่มแม่น้ำน่าน พ.ศ. ๒๓๙๘ - ๒๕๐๔ เขียนโดย ธีรพร พรหมมาศ และ วิลุบล สินธุมาลย์ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยชุด ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยในปริทรรศประวัติศาสตร์ ที่มี ดร. วินัย พงศ์ศรีเพียร เป็นหัวหน้าโครงการ เป็นเอกสารลำดับที่ ๑๒ ของโครงการ
การเปลี่ยนแปลงใหญ่มี ๓ ช่วงคือ
- หลังสนธิสัญญาเบาวริง พ.ศ. ๒๓๙๘ เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพ เป็นระบบค้าเสรี เกิดการเกษตรส่งออก โดยเฉพาะข้าว ทำให้ลุ่มน้ำน่านตอนล่างบริเวณจังหวัดพิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์เป็นแหล่งปลูกข้าว อุตสาหกรรมโรงสี ส่วนกิจการป่าไม้ดำเนินการโดยคนต่างชาติ โดยก่อนหน้านั้นสินค้าสำคัญจากลุ่มน้ำน่านคือ เกลือ ไม้ท่อน และเหล็กน้ำพี้ การเปลี่ยนรบบการค้าอันเนื่องจากสนธิสัญญาเบาวริง ทำให้เกิดชนชั้นนายทุน (ชาวต่างชาติและชาวจีน) ชนชั้นแรงงาน (ชาวพื้นเมือง) กับคนในบังคับของต่างชาติคืออังกฤษกับฝรั่งเศส (ขมุ ตองสู้ เงี้ยว ข่า) และต่อมาเมื่อมีการเลิกทาส เกิดแรงงานเสรี
- หลังเปลี่ยนระบบการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. ๒๔๓๗ ชนชั้นสูงเปลี่ยนจากเจ้านายชั้นสูงในล้านนา เป็น “กลุ่มคนกลุ่มใหม่ในล้านนา” (น. ๘๓) ได้แก่ มิชชันนารีอเมริกัน ข้าราชการอังกฤษ นักธุรกิจต่างชาติ และข้าราชการไทย กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีความหลากหลายขึ้น
- หลังทางรถไฟไปถึงพิษณุโลกในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ทำให้แหล่งชุมชนย้ายจากริมแม่น้ำมาอยู่ริมทางรถไฟ (และต่อมาย้ายมาอยู่ริมถนน) กิจการค้ารุ่งเรืองยิ่งขึ้น เพราะขนส่งสะดวกกว่าทางเรือ ช่วงนี้เองเกลือทะเลจากจังหวัดชายทะเลขึ้นไปตีตลาดเกลือจากบ่อเกลือในจังหวัดน่าน ทางรถไฟนี้มีผลให้กิจการค้าของลุ่มน้ำน่านใกล้ชิดกรุงเทพ แทนสภาพเดิมที่ใกล้ชิดกับมะละแหม่งของพม่า
ในทุกช่วง เราจะเห็นบทบาทของพ่อค้าหรือนักธุรกิจชาวจีน แม้ว่าในช่วงรัฐบาลจอมพล ป. จะมีการกีดกัน ชาวจีน
ผมได้เรียนรู้ว่าสมัยรัฐบาลจอมพล ป. มีการตั้งรัฐวิสาหกิจเพื่อทำลายการผูกขาดของต่างชาติ (น. ๙๐) และมีการก่อตั้ง โรงเรียนฝึกหัดครูประกาศนียบัตร จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ เข้าใจว่าขณะนี้คือ มรภ. อุตรดิตถ์
ได้เรียนรู้ว่า ก่อนสนธิสัญญาเบาวริง เมืองน่านเป็นศูนย์กลางการค้า โดยมีสินค้าจากต่างเมือง ๓ แหล่งหลักคือ (๑) จากกรุงเทพ (๒) จากเชียงตุง ยูนนาน (๓) จากมะละแหม่ง
ขอขอบคุณ ดร. วินัย พงศ์ศรีเพียร เมธีวิจัยอาวุโส สกว. ที่กรุณามอบหนังสือเล่มนี้
วิจารณ์ พานิช
๒๑ พ.ค. ๖๔