จากคำจำกัดความของคำว่า “ศึกษา” ที่ผมเคยกล่าวไว้แล้วว่ามาจากภาษาบาลีว่า “สิกขา” และภาษาสันสกฤตว่า “สิกฉา” ที่แปลมาเป็นภาษาไทยว่า ศึกษา มีรากศัพท์ที่แปลว่า การพัฒนาตนเอง
เพราะฉะนั้น ถ้าแปลหัวเรื่องก็จะได้ความว่า การพัฒนาตนเองเพื่อชีวิต ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญ ในการพัฒนาคุณภาพคนทั้งในระดับปัจเจก และในระดับกลุ่ม
ตามรากศัพท์ดังกล่าวข้างต้น เราจึงต้องมาไล่ดูว่า การพัฒนาตนเองเพื่อชีวิตนั้นมีอยู่กี่ด้าน ซึ่งก็น่าจะประกอบด้วย ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และจิตวิญญาณ
ด้านร่างกาย ก็น่าจะประกอบด้วย ความแข็งแรง สมบูรณ์ สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก ที่น่าจะเกิดขึ้นจากการใช้ส่วนประกอบของร่างกายต่างๆ อย่างสมบูรณ์และเป็นปกติ ทำให้ระบบร่างกาย ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตและคุณภาพชีวิต
ด้านจิตใจ ก็ควรจะพัฒนาระดับความคิดที่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างเป็นปกติทั้งในส่วนตัวเอง การปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆในสังคม และการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
ด้านจิตวิญญาณ ก็ควรจะพัฒนาระดับความสามารถของจิตในการควบคุมพฤติกรรมให้เหมาะสมเพื่อการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพ ทั้งในระดับปัจเจก ระดับครัวเรือน และผลกระทบต่อสังคม ซึ่งสามารถเชื่อมโยงได้ให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี เพื่อชีวิตตนเองและผู้อื่น
จากหลักการทั้ง 3 ข้อข้างต้น จึงน่าจะเป็นหลักการสำคัญในการพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อชีวิต ที่สามารถทำให้ทุกคนที่ปฏิบัติ มีชีวิตที่ดี และยั่งยืน ตามสมควร ทีนี้เราลองมาดูซิครับว่าเรามีระบบการศึกษาในส่วนใดบ้างแล้ว และยังขาดในส่วนใด ทั้ง
เมื่อทราบถึงโครงสร้างและระบบการทำงานแล้ว เราต้องมาไล่ดูว่า
แล้วเราจึงมาแบ่งว่า งานต่างๆที่มีอยู่นั้น ใครมีความสามารถอะไร ใครจะรับงานใดไปทำ และยังขาดงานอะไรที่ยังไม่มีคนทำ เมื่อทำได้เช่นนี้ เราก็จะสามารถพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อชีวิต โดยเอาชีวิตของผู้ขาด “การศึกษา” เป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เอาคนที่ทำ หรือระบบการศึกษาเป็นตัวตั้ง มิเช่นนั้น ก็จะเป็น
แต่ ไม่ใช่การศึกษาเพื่อชีวิตของผู้ยังขาด “การศึกษา”
ลองดูนะครับ ว่าท่านที่นำเสนออยู่ทุกวันนี้นั้น กำลังพัฒนาการศึกษาเพื่อชีวิตของใครกันแน่ กี่เปอร์เซ็นต์
และผมหวังว่าจะไม่ใช่คำตอบที่พัฒนาชีวิตของ “นักการศึกษา” เพียงอย่างเดียวนะครับ
ขอบคุณครับ
อาจารย์คะหนูกำลังคิดเช่นกันคะว่า การศึกษาไทยเปิดโอกาสให้คนไทยได้ศึกษาเรียนรู้อย่างทั่วถึงจริงหรือ และศึกษาได้ตรงประเด็นหรือเปล่า เปิดการศึกษาเพื่ออะไร หากสำหรับข้าราชการ หรือคนทำงาน ที่ควรจะศึกษาควบคู่กับการทำงานเพื่อการพัฒนางานไม่ใช่พัฒนาดีกรีการศึกษาของตนเอง แต่ ก็จำกัดด้วยเวลา ที่จะต้องศึกษาให้จบ และ ค่าลงทะเบียนที่แพงลิปลิ่ว (เงินเดือนยิ่งสูงอยู่เชียว) หากจะศึกษาให้ตรงกับวิถีชีวิต เพื่อไม่ให้การศึกษาพรากคนไปจากท้องถิ่น ก็ยังไม่ชัด เห็นยิ่งเรียนยิ่งอยู่ไกลบ้าน ยิ่งเกิดปัญหาด้านร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณกันมากขึ้น ยิ่งเห็นชาวตะวันตกมาเรียนแบบวิถีชีวิตเดิมของบ้านเราแล้ว กลัวว่าอีกไม่กี่ปีเราต้องไปเรียนแบบวิถีชีวิตของบรรพบุรุษเราจากชาวตะวันตกซะเนี่ย ขอขอบคุณอาจารย์นะคะที่เปิดช่องทาง ให้โอกาสระบายความในใจที่อั้นอยู่เต็มเปี่ยม
คุณก้ามปูครับ
ด้วยความยินดีครับ
ผมพยายามหาประเด็นร้อนๆมาคุยอยู่แล้วครับ
ขอบคุณที่มาแลกเปลี่ยนครับ
อาจารย์พินิจครับ
ดูซิครับผมเอาใจลูกค้าขนาดไหน
ขอเปลี่ยนชื่อก็ยอมทันทีเลยครับ