ระหว่างอ่านหนังสือ Facilitating Evaluation : Principles in Practice (2018) เขียนโดย Michael Quinn Patton เพื่อเขียนบันทึกชุด Developmental Evaluation สะดุดใจที่หน้า ๒๒๙ – ๒๓๑ หัวข้อ Surfacing Assumptions เขียนโดย Hallie Preskill ที่เมื่ออ่านแล้วผมจึงตระหนักว่า คนเราอยู่กับสมมติฐานหรือข้อสมมติ มากกว่าอยู่กับความจริง
กล่าวใหม่ว่า คนเราพอใจที่จะอยู่กับมายาคติ มากกว่าพอใจอยู่กับความจริง เพราะการค้นหาความจริงมันยุ่งยากสำหรับชีวิต
สรุปอย่างนี้อาจจะผิด
สมมติฐานหมายถึงสิ่งที่เป็นที่ยอมรับว่าเป็นความจริง ใหรือมั่นใจว่าจะเกิด โดยไม่มีข้อพิสูจน์ เน้นคำว่า “โดยไม่มีข้อพิสูจน์” นะครับ
ในการคิด ตัดสินใจ หรือกระทำการใดๆ มนุษย์เราต้องกำหนดสมมติฐานขึ้นใช้เป็นฐาน ที่เราต้องศึกษาเล่าเรียน ก็เพื่อทำให้สมมติฐานของเราอยู่บนฐานความเป็นจริงให้มากที่สุด รวมทั้งเป็นความจริงในมิติที่ลึกและเชื่อมโยง ซึ่งจะทำให้ผิดพลาดน้อย หรือไม่รุนแรง
สมมติฐานที่ใช้ในชีวิตประจำวันของเรา เป็นเรื่องไม่ซับซ้อนนัก หรือไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ปล่อยๆ ไปได้ อย่างเวลาคุยกับลูกๆ ในหลายกรณีผมจับได้ทันทีว่าสมมติฐานของลูกกับของผมไม่ตรงกัน จึงตัดสินใจต่างกัน แต่เป็นเรื่องไม่คอขาดบาดตาย จึงปล่อยๆ ไป ไม่จำเป็นต้องโต้แย้งให้เสียบรรยากาศ
ยิ่งกับภรรยา หลังแต่งงานได้สามเดือน ผมก็ตระหนักว่า เธอกับผมมีสมมติฐานในเรื่องต่างๆ ไม่ตรงกันมากมาย ที่ไม่จำเป็นต้องทำให้ตรงกันก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข หากมันก่อความขัดแย้ง เราก็สามารถแก้ได้ด้วยความรัก รักกันมากจนมีลูกตั้ง ๔ คน สมัยนี้หากขัดแย้งกัน ก็แก้ได้ด้วยอารมณ์ขัน
ในชีวิตส่วนตัว รู้เท่าทันสมมติฐานได้ เราก็สบายใจ มีชีวิตที่ดีได้โดยไม่โดนสมมติฐาน หรือสิ่งที่เป็นกึ่งจริงกึ่งลวง ครอบงำ
มนุษย์เราจำเป็นต้องสร้างสมมติฐานขึ้นมาใช้เป็นฐานคิด ฐานปฏิบัติ หากเป็นงานสำคัญ เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องของผลประโยชน์สาธารณะ เราต้องระมัดระวังในการใช้สมมติฐาน คือต้องหาข้อมูลหลักฐาน หรือข้อพิสูจน์ มายืนยันว่าสมมติฐานนั้นคือความจริง และเป็นความจริงที่อยู่บนฐานของคุณธรรม ความดี ความงาม
กลายเป็นการกระทำบนฐานความจริง ความดี ความงาม ใครมีวัตรปฏิบัติในชีวิต ในสภาพนี้ได้ก็จะมีชีวิตที่ดี เป็นที่เชื่อถือ เป็นชีวิตอุดม
แต่เราก็มี ๒ อุปสรรคใหญ่ในชีวิตกันทุกคน ในการดำรงชีวิตอุดม
อุปสรรคแรกคือ การระบาดใหญ่ของมายาคติในสังคม ดูเสมือนว่า ยิ่งอารยะธรรมมนุษย์มีความเจริญก้าวหน้า โรคระบาดของมายาคติความหลอกลวงในสังคมก็ยิ่งรุนแรง ดังที่เราเห็นๆ อยู่จากโซเชี่ยลมีเดีย การโฆษณา และจากการเมือง
แต่นั่นยังเป็นอุปสรรคที่เป็นรอง เพราะอุปสรรคที่สองอยู่ภายในตัวเราเอง และยึดครองพื้นที่อย่างแน่นหนาขจัดยาก สิ่งนั้นคือกิเลสตัณหา ที่เข้าครอบครองจิตใจ ทำให้สมมติฐานบิดเบี้ยว จากฤทธิ์ของ โลภะ โทสะ โมหะ และ โกธะ หากเราไม่หมั่นชำระจิตใจด้วยการตั้งจิตมั่นและใคร่ครวญ มารร้ายทั้งสี่จะกินลึกเข้าไปในสมองชั้นในของเรา และกำกับการคิดอย่างเร็วที่เป็นฐานของพฤติกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้ชีวิตของเราตกอยู่ใต้บังคับบัญชาของมารร้ายโดยไม่รู้ตัว และในหลายกรณี อย่างหลงว่าดี
ชีวิตที่ดี เป็นชีวิตที่ต้องจัดการสมมติฐานส่วนตน และส่วนรวม ให้สมมติฐาน (assumption) เข้าใกล้หรือซ้อนทับกับความเป็นจริง (fact) และความดี ความงาม ให้มากที่สุด
นี่คือมิติหนึ่ง ของชีวิตแห่งการเรียนรู้
วิจารณ์ พานิช
๗ พ.ย. ๖๓
ไม่มีความเห็น