ผมคิดถึงช่วงเวลาในวันนั้น..มันเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ บอกตัวเองว่า..ถ้าเดินทางผิด..จะผิดตลอด จึงคิดใคร่ครวญอย่างรอบด้าน..
เพราะวันนั้น..สอบเข้าสู่ตำแหน่ง “ผู้ช่วยหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอ..”ได้ลำดับที่ ๑ เป็นตำแหน่งบริหาร..สำนักงาน..ที่ปัจจุบันตำแหน่งนี้ไม่มีแล้ว...
ครูรุ่นใหม่แทบจะไม่รู้จัก เมื่อโครงสร้างการศึกษาเปลี่ยนแปลงคนที่มีตำแหน่งนี้..ก็จะมีตำแหน่งใหม่ เป็น “รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา..”
บางท่าน..เป็นรองฯ จนเกษียณ ถ้าสอบ ผอ.เขตไม่ได้ หรือไม่ยอมไปสอบกับเขา...
ผมสละสิทธิ..โดยใช้เวลาคิดไม่กี่ชั่วโมง คนที่สอบได้ที่ ๒ ก็เลยขึ้นมาแทนที่ ปัจจุบันเขาคนที่สอบได้ที่ ๒ นี้ ได้ก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่ง ผอ.เขตพื้นที่ฯ กินเงินเดือนระดับ ๙ เป็นที่เรียบร้อย
ที่ผมหวนคิดคำนึง ใช่ว่าจะเสียดายหรือเสียใจ เปล่าเลย ขอบคุณแรงดลใจที่ทำให้ผมคิดได้และมีวันนี้..วันที่ก้าวมาไกลเกินฝัน...เพราะวันที่เรียนจบ..ก็แค่อยากเป็นครูเท่านั้น
วันนั้น..บอกตัวเองว่า..ถ้าไป..ได้เป็นใหญ่แน่นอน..แต่ต้องห่างไกลจากครอบครัว ต้องใช้ชีวิตอยู่กับการประชุมอบรมสัมมนา....ผมจึงคิดว่าถ้าจะพัฒนาตนเองจริงๆ..อาจจะไม่ต้องมีตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นก็ได้
ผมเองก็ไม่ได้ศึกษาจบด้านบริหาร..เรียนมาทางด้านการสอน..ดังนั้นการเลือกที่จะอยู่ใน “โรงเรียน” ถูกต้องแล้ว
ในปีเดียวกัน..ที่ไม่ได้ไปเป็นผู้ช่วยหัวหน้าการประถมฯ ผมก็สอบได้อาจารย์ใหญ่..ให้กำลังใจตัวเองในทันทีว่า..ผมมีโรงเรียนเป็นของตัวเองแล้ว..และก็ได้เป็นใหญ่ในองค์กรเหมือนกัน
แม้จะมีเพื่อนร่วมงานไม่มาก แต่ก็มีนักเรียนให้ดูแล ภายในอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาล มีปริมาณงานให้ทำไม่จบสิ้น อยากทำอะไรก็ได้ทำ ได้เรียนรู้งานอยู่ทุกวัน..
ต่อมา..ได้มีการปรับปรุงและกำหนดตำแหน่งใหม่ ได้เป็น “ผู้อำนวยการโรงเรียน” ผมเลือกอยู่โรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีเด็กนักเรียน ๔๙ คน
ความรู้สึกเหมือนว่าได้ก้าวหน้า มีตำแหน่งการงานที่ยิ่งใหญ่ขึ้น คือได้สอนหนังสือทั้งวัน บางวันสอนตั้งแต่ ป.๑ – ป.๖ ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งจะเป็นใหญ่เป็นโต..คือเติบโตไปพร้อมๆกับโรงเรียน
ผมได้ขยับขยายภาระงานไปจนถึงงานภารโรง..อย่างจริงจังและเชี่ยวชาญในระดับหนึ่ง บางวันถึงขนาดงานล้นมือ บำรุงรักษาอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมไม่ทัน ก็ต้องไปจ้างวานผู้ปกครองมาช่วย...จนถึงทุกวันนี้
วันนี้..ภาพเก่าๆยังวนไปวนมา..เมื่อผมมีโอกาสสอนซ่อมเสริม..การอ่านสะกดตัวผสมคำแก่นักเรียนชั้น ป.๑..รู้สึกทึ่งในความสามารถของตัวเองเหลือเกิน..
ขณะที่สอนก็เหลือบมองคนตัดหญ้าที่ปฏิบัติงานอยู่รอบๆอาคารเรียน...ที่เขาตัดหญ้าจนโล่งเตียน มองดูสะอาดตาและเป็นระเบียบเรียบร้อย..
หลายคน..มีความเห็นว่า ปล่อยไปก่อนเถอะ..ฃ่วงนี้หน้าฝนก็ย่อมจะมีต้นหญ้าขึ้นรกรุงรังบ้างเป็นธรรมดา ดินดำน้ำชุ่มแบบนี้หนีไม่พ้นต้นหญ้าอยู่แล้ว...
แต่ผมไม่เคยชินที่จะคิดได้เช่นนั้น..และการไม่มีภารโรงก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำอะไรไม่ได้ เมื่อผมยังเป็นใหญ่ในโรงเรียน ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบ คือต้องทำให้สถานที่ราชการเรียบร้อยและเป็นปัจจุบันตลอด ๒๔ ชั่วโมง
เมื่อนึกถึง..แก่นธรรมที่ต้องนำโรงเรียนเข้าสู่หลักการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักการพื้นฐานหรือภาระงานที่ต้องทำให้ได้คือ การทำโรงเรียนให้ร่มรื่น สะอาดและสวยงาม
มิใช่เพื่อต้อนรับแขก..แต่ถ้ามันจะทำใครต่อใครแปลกใจที่ทำได้...มันก็ดีมิใช่หรือ?
วันนี้..ผมจึงคิดว่า..หากเราคิดจะเป็นใหญ่ เราก็จะสามารถได้เป็นใหญ่ ถ้าเราคิดอยากเป็นอะไร เราก็จะเป็นสิ่งนั้นได้..ก็เพราะ..
เรารู้จักแสวงหา มิใช่ เพราะเรานั่งรอคอย..
เรารู้จักฝึกฝนตนจนเชี่ยวชาญ มิใช่ เพราะโอกาสมาถึง..
เรารู้จักเรียนรู้จนมีขีดความสามารถ มิใช่ เพราะโชคช่วยที่ได้รู้จักและปรนนิบัติเจ้านาย..
ทุกสิ่งที่จะเป็นไปจึงอยู่ที่เราเข้าใจว่า..”ลิขิตฟ้าหรือจะสู้..ลิขิตตน..”
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๖ ตุลาคม ๒๕๖๓
ไม่มีความเห็น