เดือนนี้ (สิงหาคม ๒๕๖๓) นักเรียนและนักศึกษาจำนวนมาก กำลังออกมาเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง หนึ่งในข้อเรียกร้องของน้องเยาวชนคือ การเปลี่ยนแปลงการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงขณะนี้ ... คำถามไม่ใช่ทำไมต้องเปลี่ยน เพราะผู้ใหญ่ผู้รู้เองก็พูดเรื่องเปลี่ยนแปลงมานานแล้ว แต่คำถามคือ จะเปลี่ยนตรงไหนก่อน เริ่มยังไง ภายใต้ "โมเมนตัม" ที่กำลังทำอยู่ตอนนี้
"โมเมนตัมการศึกษา" คือปัญหาหนักที่สุด
"โมเมนตัม" เป็นศัพท์เฉพาะทางฟิสิกส์ หมายถึง มวลคูณกับความเร็ว คำนี้มีขึ้นเพื่ออธิบายพลังงานสะสมในทุกสิ่งอย่างที่กำลังเคลื่อนที่ ถ้ามีโมเมนตัมมากก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น ๆ
ถ้าเปรียบกับการศึกษาไทย "มวล" น่าจะเปรียบได้กับขนาดของคนในวงการศึกษาที่มีมากกว่า ๖ แสนคน ประชากรกว่า ๗๐ ล้านค้น ถือว่ามีขนาดใหญ่มาก ดังนั้นจึงไม่อาจที่จะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนฟินแลนด์ที่มีประชากรทั้งประเทศเพียง ๘ ล้านคนเท่านั้น ... นักวิชาการหรือนักการเมืองที่จะทำแบบนั้นโปรดพิจารณา...
ส่วน "ความเร็ว" เป็นปริมาณเวกเตอร์ที่มีทั้งขนาดและทิศทาง โดยเฉพาะ "ทิศทาง" เพราะการศึกษาไทยมีตัวกำหนดทิศทางไว้หลายประการที่ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนได้โดยง่ายเลย เช่น
สิ่งที่กำหนด "ความเร็วทางการศึกษา" น่าจะเป็นปัญหาเรื่องคุณภาพและประสิทธิภาพของทั้งระบบ ทั้งกระบวนทัศน์ บุคลากรด้านการศึกษา และการจัดการงบประมาณด้านนี้ เอาแค่เรื่องกระบวนทัศน์ทางการศึกษา ก็พบว่า เป็นการศึกษาที่ฝึกมาให้คนส่วนใหญ่เป็นทาสในระบบทุนนิยมแล้ว ในระบบทุนนิยม ความรู้และทักษะ ๕ ประการต่อไปนี้ คือสิ่งที่ต้องมี ได้แก่ การผลิต->การแปรรูป->การขาย->การทำธุรกิจ->และการลงทุน แต่หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน แทบจะไม่ได้ปลูกฝังทักษะเหล่านี้อย่างจริงจังเลยแม้แต่อย่างเดียว ... แต่ก่อนเคยมีการสอนทักษะการผลิตและการแปรรูปในวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตและคหกรรมบ้าง ตอนนี้เอาไปซ่อนไว้และไม่มีการสอนอย่างจริงจัง
การปฏิรูปการศึกษาต้องเริ่มที่ตรงไหน เริ่มยังไงก่อน
การปฏิรูปการศึกษาครานี้ ยุคที่โควิด-พิสูจน์แล้วว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงคือหนทางที่ถูกต้อง เป็นหนทางแห่งการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ต้องเริ่มที่การสร้างสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ที่ยั่งยืน บนพื้นฐานภูมิปัญญาและอาชีพของตน
ผมจะค่อย ๆ คุยกับครูและผู้อำนวยการที่มีความคิดความเห็นคล้าย ๆ กันนี้ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรมในโรงเรียนในชนบท ....
ผมประเมินว่า ในจำนวนนักเรียน ๑๐ คน ในโรงเรียนชนบท มีเพียง ๒ คนเท่านั้นที่เหมาะกับหลักสูตรที่กำลังสอนกันอยู่ อีก ๘ คนที่เหลือคือลูกชาวนา ชาวบ้าน ที่ไม่มีทางได้รับความเท่าเทียม พวกเขาเหล่านั้น จะยังคงเป็นทาสทุนนิยมต่อไป ไม่มีอะไรสามารถปลดแอกได้ ...
ไม่มีความเห็น