พระไตรปิฎกอ่านง่าย เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ ๘๒. รัฏฐปาลสูตร เรื่องโลกพร่องอยู่เป็นนิตย์


๘๒. รัฏฐปาลสูตร เรื่องโลกพร่องอยู่เป็นนิตย์

ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นกุรุ พร้อมกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงนิคมของชาวกุรุชื่อถุลลโกฏฐิตะ พราหมณ์และคหบดีทั้งหลายชาวถุลลโกฏฐิตนิคม ได้สดับข่าวว่า พระสมณโคดมเป็นศากยบุตร เสด็จออกผนวชจากศากยะตระกูล ทรงจาริกไปในแคว้นกุรุ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงถุลลโกฏฐิตนิคม ท่านพระโคดมพระองค์นั้น มีกิตติศัพท์อันงามขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงรู้แจ้งโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก และหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ด้วยพระองค์เองแล้ว จึงประกาศให้ผู้อื่นรู้ตาม ทรงแสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น มีความงามในท่ามกลาง และมีความงามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน การได้พบพระอรหันต์ทั้งหลายเช่นนี้ เป็นความดีอย่างแท้จริง

ครั้งนั้น พราหมณ์และคหบดีชาวถุลลโกฏฐิตนิคม เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ บางพวกถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่สมควร บางพวกทูลสนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้วนั่ง ณ ที่สมควร บางพวกประณมมือไปทางพระผู้มีพระภาคประทับนั่งแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร บางพวกประกาศชื่อและโคตรในสำนักของพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่สมควร บางพวกก็นั่งนิ่งอยู่ ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พราหมณ์และคหบดีชาวถุลลโกฏฐิตนิคมเห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมกถา

รัฏฐปาลกุลบุตรขอบวช

ครั้งนั้น กุลบุตรชื่อรัฏฐปาละ เป็นบุตรของตระกูลชั้นสูงในถุลลโกฏฐิตนิคมนั้น นั่งอยู่ในบริษัทนั้นด้วย ขณะนั้นเอง รัฏฐปาลกุลบุตรได้คิดว่า ธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น เราเข้าใจว่า การที่ผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ครบถ้วน ดุจสังข์ขัด มิใช่กระทำได้ง่าย ทางที่ดีเราควรโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด

ครั้งนั้น พวกพราหมณ์และคหบดีชาวถุลลโกฏฐิตนิคม ผู้ที่พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญ แกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมกถาแล้ว ต่างชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ลุกจากที่นั่ง ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วจากไป ลำดับนั้น เมื่อพราหมณ์และคหบดีชาวถุลลโกฏฐิตนิคมจากไปไม่นาน รัฏฐปาลกุลบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น ข้าพระองค์เข้าใจว่า การที่ผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ครบถ้วนดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ข้าพระองค์ปรารถนาจะโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า รัฏฐปาละ มารดาบิดาอนุญาตให้เธอออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้วหรือ

รัฏฐปาลกุลบุตรกราบทูลว่า ยังมิได้อนุญาต พระพุทธเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า รัฏฐปาละ พระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่บวชให้กุลบุตรที่มารดาบิดายังมิได้อนุญาต

รัฏฐปาลกุลบุตรกราบทูลว่า ข้าพระองค์จักหาวิธีให้มารดาบิดาอนุญาต ให้ข้าพระองค์ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต พระพุทธเจ้าข้า

ครั้งนั้น รัฏฐปาลกุลบุตรลุกจากที่นั่ง ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคกระทำประทักษิณแล้ว เข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่แล้วกล่าวว่า คุณพ่อคุณแม่ ธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น ลูกเข้าใจว่า การที่ผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ครบถ้วน ดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ลูกปรารถนาจะโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ขอคุณพ่อคุณแม่โปรดอนุญาตให้ลูกออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด

เมื่อรัฏฐปาลกุลบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว มารดาบิดาของรัฏฐปาลกุลบุตรได้กล่าวว่า พ่อรัฏฐปาละ เจ้าเป็นลูกชายคนเดียว เป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของพ่อแม่ เจริญเติบโตมาด้วยความสุขสบาย ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี ลูกไม่รู้จักความทุกข์แม้แต่น้อย รัฏฐปาละ ลูกจงบริโภค จงดื่ม จงให้เขาปรนนิบัติ เมื่อลูกกำลังบริโภค กำลังดื่ม กำลังให้เขาปรนนิบัติอยู่ จงยินดีบริโภคกามไปพลาง ทำบุญไปพลางเถิด พ่อแม่จะไม่อนุญาตให้ลูกออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ถึงลูกจะตายพ่อแม่ก็ไม่ปรารถนาจะจากลูก เหตุไฉน พ่อแม่จักอนุญาตให้ลูกซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเล่า

แม้ครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๓ พ่อและแม่ก็พูดเช่นนี้ รัฐปาละ ก็ยืนยันกับพ่อและแม่เช่นนั้นเหมือนกัน

มารดาบิดาไม่อนุญาตให้บวช

ครั้งนั้น รัฏฐปาลกุลบุตรคิดว่า มารดาบิดาไม่อนุญาตให้เราออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแน่ จึงนอนบนพื้นอันไม่มีเครื่องปูลาด ณ ที่นั้นเอง ด้วยตั้งใจว่า เราจักตาย หรือจักได้บวชก็ที่ตรงนี้แหละ เขาจึงไม่บริโภคอาหารตั้งแต่ ๑ มื้อ ๒ มื้อ ๓ มื้อ ๔ มื้อ ๕ มื้อ ๖ มื้อ จนถึง ๗ มื้อ

ครั้งนั้น มารดาบิดาของรัฏฐปาลกุลบุตร ได้กล่าวอ้อนวอนถึง ๓ ครั้ง แต่รัฐปาละก็ยังนอนนิ่งเฉยอยู่

เพื่อนช่วยอ้อนวอนขออนุญาตให้บวช

ครั้งนั้น พวกเพื่อนของรัฏฐปาลกุลบุตร พากันเข้าไปหารัฏฐปาลกุลบุตรถึงที่อยู่แล้ว ได้กล่าวอ้อนวอนเช่นนั้นถึง ๓ ครั้ง แต่รัฐปาละกุลบุตร ก็ยังนอนนิ่งเฉยอยู่

ลำดับนั้น พวกเพื่อนของรัฏฐปาลกุลบุตร พากันเข้าไปหามารดาบิดาของรัฏฐปาลกุลบุตรถึงที่อยู่แล้วกล่าวว่า คุณพ่อคุณแม่ รัฏฐปาลกุลบุตรนี้ นอนบนพื้นที่ไม่มีเครื่องปูลาด ณ ที่นั้นเองด้วยตั้งใจว่า เราจักตาย หรือจักได้บวชก็ที่ตรงนี้แหละ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ยอมให้รัฏฐปาลกุลบุตรออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เขาจักตาย ณ ที่ตรงนั้นแน่ แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่อนุญาตให้รัฏฐปาลกุลบุตรออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต คุณพ่อคุณแม่ก็ได้เห็นเขาแม้บวชแล้ว หากรัฏฐปาลกุลบุตรจักไม่ยินดีในการออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เขาจะมีทางไปที่ไหนอื่นเล่า ก็จักกลับมาที่บ้านนี้นั่นเอง ขอคุณพ่อคุณแม่จงอนุญาตให้รัฏฐปาลกุลบุตรออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด

มารดาบิดากล่าวว่า ลูกทั้งหลาย พ่อแม่อนุญาตให้รัฏฐปาลกุลบุตรออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตได้ แต่เขาบวชแล้วต้องมาเยี่ยมพ่อแม่บ้าง

ต่อมา พวกเพื่อนพากันเข้าไปหารัฏฐปาลกุลบุตรถึงที่อยู่แล้วได้กล่าวว่า เชิญลุกขึ้นเถิด รัฏฐปาละเพื่อนรัก คุณพ่อคุณแม่อนุญาตให้เพื่อนออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว แต่เพื่อนบวชแล้วต้องมาเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ของเพื่อนบ้าง

รัฏฐปาลกุลบุตรบวชและบรรลุพระอรหัต

ครั้งนั้น รัฏฐปาลกุลบุตรลุกขึ้นบำรุงร่างกายให้เกิดกำลังแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มารดาบิดาอนุญาตให้ข้าพระองค์ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรงให้ข้าพระองค์บวชเถิด

รัฏฐปาลกุลบุตรได้บรรพชาอุปสมบทแล้วในสำนักของพระผู้มีพระภาค ครั้งนั้น เมื่อท่านรัฏฐปาละอุปสมบทแล้วไม่นาน พอได้กึ่งเดือน พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในถุลลโกฏฐิตนิคมตามความพอประทัย เสด็จจาริกไปทางกรุงสาวัตถี เสด็จเที่ยวจาริกไปตามลำดับจนถึงกรุงสาวัตถี ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ครั้งนั้น พระรัฏฐปาละหลีกออกไปอยู่รูปเดียว ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่ ไม่นานนักก็ทำให้แจ้งประโยชน์ยอดเยี่ยมอันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ที่เหล่ากุลบุตรผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป

พระรัฏฐปาละได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย

ครั้งนั้น พระรัฏฐปาละเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาจะไปเยี่ยมมารดาบิดา ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตข้าพระองค์

พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการกำหนดใจของพระรัฏฐปาละด้วยพระหฤทัยแล้ว ทรงทราบชัดว่า รัฏฐปาลกุลบุตรไม่สามารถที่จะบอกลาสิกขากลับมาเป็นคฤหัสถ์อีกแล้ว ลำดับนั้น พระองค์จึงตรัสว่า รัฏฐปาละ เธอจงกำหนดเวลาที่สมควร ณ บัดนี้เถิด

ต่อจากนั้น พระรัฏฐปาละลุกจากอาสนะถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วเก็บงำเสนาสนะถือบาตรและจีวร จาริกไปทางถุลลโกฏฐิตนิคม เที่ยวจาริกไปตามลำดับจนถึงถุลลโกฏฐิตนิคมแล้ว ได้ยินว่า พระรัฏฐปาละพักอยู่ ณ พระราชอุทยานชื่อมิคจีระ ของพระเจ้าโกรัพยะ ในถุลลโกฏฐิตนิคมนั้น ครั้นเวลาเช้า พระรัฏฐปาละครองอันตรวาสกถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังถุลลโกฏฐิตนิคม ขณะเที่ยวบิณฑบาตในถุลลโกฏฐิตนิคมตามลำดับตรอก ได้เข้าไปจนถึงนิเวศน์ของบิดาของตน

เวลานั้น บิดาของพระรัฏฐปาละกำลังให้ช่างกัลบกสางผมอยู่ที่ซุ้มประตูกลาง ได้เห็นพระรัฏฐปาละกำลังมาแต่ไกลแล้วได้กล่าวว่า พวกสมณะโล้นเหล่านี้ บวชลูกชายคนเดียวผู้เป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของเรา

ครั้งนั้น พระรัฏฐปาละไม่ได้รับทาน ไม่ได้รับคำตอบที่บ้านบิดาของท่านเอง ที่แท้ได้แต่คำด่าเท่านั้น ครั้งนั้น ทาสหญิงของญาติของพระรัฏฐปาละกำลังจะทิ้งขนมกุมมาสค้างคืน พระรัฏฐปาละได้กล่าวกับทาสหญิงของญาตินั้นว่า น้องหญิง ถ้าจะทิ้งสิ่งนั้น ก็จงใส่ในบาตรของอาตมานี้เถิด

ขณะที่ทาสหญิงของญาติของท่านกำลังเกลี่ยขนมกุมมาสค้างคืนนั้นลงในบาตร ก็จำเค้ามือ เท้า และน้ำเสียงของพระรัฏฐปาละได้

พระรัฏฐปาละฉันขนมบูด

ครั้งนั้น ทาสหญิงของญาติของพระรัฏฐปาละ ได้เข้าไปหามารดาของพระรัฏฐปาละถึงที่อยู่แล้วได้กล่าวว่า คุณนายเจ้าขา โปรดทราบเถิดว่าพระรัฏฐปาละบุตรของคุณนายกลับมาแล้ว

มารดาของพระรัฏฐปาละกล่าวว่า หนูเอ๋ย ถ้าเธอพูดจริง ฉันจะปลดปล่อยเธอให้เป็นไท มารดาของพระรัฏฐปาละ เข้าไปหาบิดาของพระรัฏฐปาละถึงที่อยู่แล้วได้กล่าวว่า เดชะบุญ ท่านคหบดี ท่านรู้ไหม ได้ยินว่า รัฏฐปาลกุลบุตรกลับมาแล้ว

เวลานั้น พระรัฏฐปาละนั่งพิงฝาเรือนแห่งหนึ่งฉันขนมกุมมาสค้างคืน โยมบิดาเข้าไปหาพระรัฏฐปาละถึงที่อยู่แล้วได้ถามว่า อะไรกัน พ่อรัฏฐปาละ ลูกฉันขนมกุมมาสค้างคืนหรือ ลูกควรไปเรือนของตน มิใช่หรือ

พระรัฏฐปาละตอบว่า คหบดี อาตมภาพผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต จะมีเรือนแต่ที่ไหน อาตมภาพไม่มีเรือน อาตมภาพได้ไปเรือนของโยมมาแล้ว ในเรือนนั้น อาตมภาพไม่ได้รับทาน ไม่ได้รับคำตอบเลย ได้แต่คำด่าอย่างเดียว

บิดากล่าวว่า มาเถิด ลูกรัฏฐปาละ พวกเราจะไปเรือนด้วยกัน

พระรัฏฐปาละกล่าวว่า อย่าเลย คหบดี วันนี้อาตมภาพฉันอิ่มแล้ว

บิดากล่าวว่า พ่อรัฏฐปาละ ถ้าเช่นนั้น ขอท่านจงรับนิมนต์ฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้เถิด

พระรัฏฐปาละรับนิมนต์โดยดุษณีภาพแล้ว ลำดับนั้น บิดาของพระรัฏฐปาละทราบอาการที่พระรัฏฐปาละรับนิมนต์แล้ว จึงเข้าไปยังนิเวศน์ของตนแล้ว ให้ขนเงินและทองมากองเป็นกองใหญ่ ให้เอาเสื่อลำแพนปิดไว้ แล้วเรียกภรรยาเก่าของพระรัฏฐปาละมากล่าวว่า มาเถิดแม่สาวๆ ทั้งหลาย พวกเธอเคยแต่งตัวด้วยเครื่องประดับสำรับใดแล้ว จึงเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของรัฏฐปาลกุลบุตรเมื่อครั้งก่อน จงแต่งตัวด้วยเครื่องประดับนั้นเถิด

ครั้งนั้น เมื่อล่วงราตรีนั้นไป บิดาของพระรัฏฐปาละได้สั่งให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉันอย่างประณีตไว้ในนิเวศน์ของตน แล้วใช้คนไปบอกเวลาแก่พระรัฏฐปาละว่า พ่อรัฏฐปาละ ได้เวลาแล้ว ภัตตาหารสำเร็จแล้ว

ครั้นเวลาเช้า พระรัฏฐปาละครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังนิเวศน์ของบิดาท่านเองแล้ว นั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้แล้ว บิดาของพระรัฏฐปาละ สั่งให้เปิดกองเงินกองทองนั้น แล้วได้กล่าวกับพระรัฏฐปาละว่า พ่อรัฏฐปาละ ทรัพย์กองนี้เป็นส่วนของแม่ กองโน้นเป็นส่วนของพ่อ ส่วนอีกกองหนึ่งเป็นของปู่ ทั้งหมดนี้เป็นของลูกผู้เดียว ลูกสามารถที่จะใช้สอยสมบัติไปและทำบุญไปก็ได้ มาเถิด พ่อรัฏฐปาละ ลูกจงลาสิกขาออกมาเป็นคฤหัสถ์ ใช้สอยสมบัติ และทำบุญไปเถิด

พระรัฏฐปาละตอบว่า คหบดี ถ้าท่านพึงทำตามคำของอาตมภาพได้ ท่านพึงให้คนขนกองเงินกองทองนี้  ใส่เกวียนแล้วให้เขาเข็นไปทิ้งไว้ที่กลางกระแสแม่น้ำคงคาเถิด  ข้อนั้นเพราะเหตุไร  เพราะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส มีทรัพย์นั้นเป็นเหตุ จักเกิดขึ้นแก่ท่าน

ลำดับนั้น พวกภรรยาเก่าของพระรัฏฐปาละ จับที่เท้าคนละข้างแล้ว ได้ถามพระรัฏฐปาละว่า หลวงพี่ นางอัปสรพวกไหนเล่าเป็นต้นเหตุให้หลวงพี่ประพฤติพรหมจรรย์

พระรัฏฐปาละตอบว่า น้องหญิง เราไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะเหตุแห่งนางอัปสรทั้งหลาย

ภรรยาเหล่านั้นเสียใจว่า รัฏฐปาละผู้ลูกเจ้าเรียกพวกเราว่า น้องหญิง จึงล้มสลบอยู่ ณ ที่นั้น ครั้งนั้น พระรัฏฐปาละได้กล่าวกับบิดาว่า คหบดี ถ้าท่านจะถวายอาหารก็จงถวายเถิด อย่าให้อาตมภาพลำบากเลย

บิดากล่าวว่า ฉันเถิด พ่อรัฏฐปาละ ภัตตาหารสำเร็จแล้ว ต่อจากนั้น บิดาของพระรัฏฐปาละได้อังคาสพระรัฏฐปาละด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีต ถวายให้ฉันจนอิ่มหนำด้วยมือของตน

พระรัฏฐปาละแสดงธรรม

ครั้งนั้น พระรัฏฐปาละฉันเสร็จละมือจากบาตรแล้วได้ยืนกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

                   โยมจงดูอัตภาพอันวิจิตร มีกายเป็นแผล

ที่คุมกันอยู่ กระสับกระส่าย

เป็นที่ดำริของชนเป็นอันมาก ไม่มีความยั่งยืนมั่นคง

                       โยมจงดูรูปอันวิจิตรด้วยแก้วมณีและกุณฑล

มีกระดูกอันหนังหุ้มห่อไว้ งามด้วยผ้า

                       เท้าที่ย้อมด้วยครั่งสีสด หน้าที่ไล้ทาด้วยจุรณ

พอจะหลอกคนโง่ให้หลงใหลได้

แต่จะหลอกคนผู้แสวงหาฝั่ง(คือนิพพาน)ไม่ได้

                       ผมที่ตบแต่งเป็นลอนดังตาหมากรุก

ตาที่เยิ้มด้วยยาหยอด พอจะหลอกคนโง่ได้

แต่จะหลอกคนที่แสวงหาฝั่งไม่ได้

                       กายที่มีสภาพเปื่อยเน่าเป็นธรรมดา

ซึ่งตกแต่งแล้วเหมือนกล่องยาหยอดตาใหม่

อันงดงามพอจะหลอกคนโง่ได้

แต่จะหลอกคนผู้แสวงหาฝั่งไม่ได้

                       ท่านเป็นดั่งพรานเนื้อวางบ่วงไว้

แต่เนื้อไม่ติดบ่วง

เมื่อพรานเนื้อกำลังคร่ำครวญอยู่

เรากินเหยื่อแล้วก็หลีกไป

ลำดับนั้น พระรัฏฐปาละยืนกล่าวคาถาเหล่านี้แล้ว จึงเข้าไปยังพระราชอุทยานมิคจีระของพระเจ้าโกรัพยะ แล้วนั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง

ครั้งนั้น พระเจ้าโกรัพยะรับสั่งเรียกนายมิควะมาตรัสว่า มิควะเพื่อนรัก ท่านจงทำความสะอาดพื้นที่อุทยานมิคจีระ เราจะไปชมพื้นที่อุทยานที่สะอาด

นายมิควะทูลรับสนองพระราชดำรัสแล้ว เมื่อกำลังทำความสะอาดพื้นที่พระราชอุทยานมิคจีระอยู่ ได้เห็นพระรัฏฐปาละนั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโกรัพยะถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูลว่า

ขอเดชะ พระราชอุทยานมิคจีระของพระองค์สะอาดแล้ว และในพระราชอุทยานนั้น มีกุลบุตรชื่อรัฏฐปาละผู้เป็นบุตรแห่งตระกูลชั้นสูงในถุลลโกฏฐิตนิคมนี้ ที่พระองค์ทรงสรรเสริญอยู่เสมอๆ เธอนั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง

พระเจ้าโกรัพยะตรัสว่า มิควะเพื่อนรัก ถ้าเช่นนั้น บัดนี้ ควรจะไปที่อุทยาน พวกเราจะเข้าไปหาพระคุณเจ้ารัฏฐปาละในบัดนี้เลย

ครั้งนั้น พระเจ้าโกรัพยะรับสั่งว่า ของเคี้ยวของบริโภคที่จัดเตรียมไปยังอุทยานนั้น ท่านทั้งหลายจงแจกจ่ายให้หมดเสียเถิด แล้วรับสั่งให้จัดยานพาหนะคันงามๆ หลายคัน ทรงขึ้นพาหนะคันงาม เสด็จออกจากถุลลโกฏฐิตนิคมด้วยยานพาหนะคันงามๆตามเสด็จ ด้วยราชานุภาพอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อทรงเยี่ยมพระรัฏฐปาละ เสด็จไปจนสุดทางที่ยานพาหนะจะไปได้ จึงเสด็จลงจากยาน เสด็จพระราชดำเนินไปด้วยพระบาทพร้อมด้วยบริษัทชั้นสูง เข้าไปหาพระรัฏฐปาละถึงที่อยู่ แล้วได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว ได้ประทับยืน ณ ที่สมควรได้รับสั่งว่า นิมนต์พระคุณเจ้ารัฏฐปาละนั่งบนเครื่องลาดนี้เถิด

พระรัฏฐปาละถวายพระพรว่า มหาบพิตร อย่าเลย เชิญพระองค์ประทับนั่งเถิด อาตมภาพนั่งที่อาสนะของอาตมภาพดีอยู่แล้ว

พระเจ้าโกรัพยะ จึงประทับนั่งบนที่ประทับที่ข้าราชบริพารจัดถวาย แล้วได้ตรัสกับพระรัฏฐปาละว่า

ความเสื่อม ๔ ประการ

พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ ความเสื่อม ๔ ประการนี้ ที่คนบางพวกในโลกนี้ประสบเข้าแล้ว ย่อมโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

ความเสื่อม ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ

๑. ความเสื่อมเพราะชรา                      ๒. ความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้

๓. ความเสื่อมจากทรัพย์สมบัติ              ๔. ความเสื่อมจากญาติ

ความเสื่อมเพราะชรา เป็นอย่างไร คือ คนบางคนในโลกนี้เป็นคนแก่ คนเฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ เขาพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้ เราเป็นคนแก่แล้ว เป็นคนเฒ่าแล้วเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นผู้ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ การที่เราจะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติที่ยังไม่ได้ หรือการที่เราจะทำทรัพย์สมบัติที่ได้แล้วให้เพิ่มพูนขึ้น ไม่ใช่ทำได้ง่ายเลย ทางที่ดี เราควรโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด เขาประสบกับความเสื่อมเพราะชรานั้นแล้ว จึงโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต นี้เรียกว่า ความเสื่อมเพราะชรา

ส่วนพระคุณเจ้ารัฏฐปาละ บัดนี้ก็ยังหนุ่มแน่น ผมดำสนิท เป็นหนุ่มอยู่ในวัยแรกเริ่ม ไม่มีความเสื่อมเพราะชรานั้นเลย พระคุณเจ้ารัฏฐปาละรู้เห็นหรือได้ฟังอะไร จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต (๑)

ความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้ เป็นอย่างไร คือ คนบางคนในโลกนี้ มีความเจ็บไข้ มีทุกข์ เจ็บหนัก เขาพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้ เราเป็นคนมีความเจ็บไข้ มีทุกข์ เจ็บหนัก การที่เราจะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติที่ยังไม่ได้ หรือการที่เราจะทำทรัพย์สมบัติที่ได้แล้วให้เพิ่มพูนขึ้น ไม่ใช่ทำได้ง่ายเลย ทางที่ดี เราควรโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด เขาประสบกับความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้นั้น แล้วจึงโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต นี้เรียกว่าความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้

ส่วนพระคุณเจ้ารัฏฐปาละ บัดนี้เป็นผู้มีสุขภาพ มีโรคาพาธน้อย ประกอบด้วยไฟธาตุที่ย่อยอาหารสม่ำเสมอดี ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก ไม่มีความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้นั้นเลย พระคุณเจ้ารัฏฐปาละรู้เห็นหรือได้ฟังอะไร จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต (๒)

ความเสื่อมจากทรัพย์สมบัติ เป็นอย่างไร คือ คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีสมบัติมาก ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นของเขา ถึงความสิ้นไปโดยลำดับ เขาพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เมื่อก่อน เราเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีสมบัติมาก ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นของเรา ถึงความสิ้นไปโดยลำดับแล้ว การที่เราจะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติที่ยังไม่ได้ หรือการที่เราจะทำทรัพย์สมบัติที่ได้แล้ว ให้เพิ่มพูนขึ้น ไม่ใช่ทำได้ง่ายเลย ทางที่ดี เราควรโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด เขาประกอบด้วยความเสื่อมจากทรัพย์สมบัตินั้น จึงโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต นี้เรียกว่า ความเสื่อมจากทรัพย์สมบัติ

ส่วนพระคุณเจ้ารัฏฐปาละ เป็นบุตรของตระกูลชั้นสูงในถุลลโกฏฐิตนิคมนี้ ไม่มีความเสื่อมจากทรัพย์สมบัตินั้น พระคุณเจ้ารัฏฐปาละรู้เห็นหรือได้ฟังอะไร จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต (๓)

ความเสื่อมจากญาติ เป็นอย่างไร คือ คนบางคนในโลกนี้ มีมิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตเป็นอันมาก ญาติเหล่านั้นของเขาถึงความสิ้นไปโดยลำดับ เขาพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เมื่อก่อน เรามีมิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตเป็นอันมาก พวกญาติของเรานั้นถึงความสิ้นไปโดยลำดับ การที่เราจะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติที่ยังไม่ได้ หรือการที่เราจะทำทรัพย์สมบัติที่ได้แล้วให้เพิ่มพูนขึ้น ไม่ใช่ทำได้ง่ายเลย ทางที่ดี เราควรโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด เขาประสบกับความเสื่อมจากญาตินั้น จึงโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต นี้เรียกว่า ความเสื่อมจากญาติ

ส่วนพระคุณเจ้ารัฏฐปาละมีมิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตเป็นอันมากในถุลลโกฏฐิตนิคมนี้ ไม่มีความเสื่อมจากญาติเลย พระคุณเจ้ารัฏฐปาละรู้เห็นหรือได้ฟังอะไรจึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต (๔)

พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ ความเสื่อม ๔ ประการนี้ ที่คนบางพวกในโลกนี้ประสบเข้าแล้ว จึงโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต พระคุณเจ้ารัฏฐปาละไม่มีความเสื่อม ๔ ประการนั้นเลย พระคุณเจ้ารัฏฐปาละรู้เห็นหรือได้ฟังอะไรจึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

ธัมมุทเทส ๔ ประการ

พระรัฏฐปาละถวายพระพรว่า มหาบพิตร ที่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงแสดงธัมมุทเทส ๔ ประการ ที่อาตมภาพรู้ เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

ธัมมุทเทส ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ

๑. โลกอันชรานำไป ไม่ยั่งยืน ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

๒. โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นอิสระ ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

๓. โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไป ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

๔. โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้วจึงได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

มหาบพิตร พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงแสดงธัมมุทเทส ๔ ประการนี้ ที่อาตมภาพรู้ เห็นและฟังแล้ว จึงได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

พระเจ้าโกรัพยะตรัสถามว่า ท่านพระรัฏฐปาละกล่าวว่า โลกอันชรานำไป ไม่ยั่งยืน เนื้อความแห่งภาษิตนี้ จะพึงเห็นได้อย่างไร

พระรัฏฐปาละถวายพระพรว่า มหาบพิตร พระองค์ทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นว่าอย่างไร พระองค์เมื่อมีพระชนมายุ ๒๐ พรรษาก็ดี ๒๕ พรรษาก็ดี ทรงศึกษาอย่างคล่องแคล่วในเรื่องช้างก็ดี เรื่องม้าก็ดี เรื่องรถก็ดี เรื่องธนูก็ดี เรื่องอาวุธก็ดี ทรงมีกำลังพระเพลา ทรงมีกำลังพระพาหา ทรงมีพระวรกายสามารถฝ่าศึกสงครามมาแล้ว มิใช่หรือ

พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ บางครั้งโยมยังเข้าใจว่ามีฤทธิ์ ไม่เห็นใครเสมอด้วยกำลังของโยมเลย

มหาบพิตร แม้บัดนี้ พระองค์ก็ยังมีกำลังพระเพลา มีกำลังพระพาหา มีพระวรกายสามารถฝ่าสงครามได้เหมือนอย่างเดิมหรือ

พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ ข้อนี้หามิได้ บัดนี้ โยมแก่แล้ว เจริญวัยแล้ว เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับแล้ว วัยของโยมล่วงไป ๘๐ ปีแล้ว บางครั้ง โยมคิดว่า จักก้าวเท้าไปทางนี้ ก็ไพล่ก้าวไปทางอื่นเสีย

มหาบพิตร พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงหมายถึงเนื้อความนี้ จึงตรัสธัมมุทเทสประการที่ ๑ ว่า โลกอันชรานำไป ไม่ยั่งยืน ที่อาตมภาพรู้ เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ คำว่า โลกอันชรานำไปไม่ยั่งยืน พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้ดีแล้ว พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ เป็นความจริง โลกอันชรานำไปไม่ยั่งยืน

ในราชตระกูลนี้ มีหมู่พลช้าง หมู่พลม้า หมู่พลรถ และหมู่พลเดินเท้า ที่จักย่ำยีอันตรายของโยมได้ พระรัฏฐปาละกล่าวว่า โลกไม่มีผู้ต้านทานได้ ไม่เป็นอิสระ เนื้อความแห่งภาษิตนี้ จะพึงเห็นได้อย่างไร

มหาบพิตร พระองค์เคยประชวรหนักบ้างไหม

พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ โยมเคยเจ็บหนักอยู่ บางครั้ง พวกมิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตแวดล้อมโยมอยู่ด้วยสำคัญว่า พระเจ้าโกรัพยะจักสวรรคตในบัดนี้ พระเจ้าโกรัพยะจักสวรรคตในบัดนี้

มหาบพิตร พระองค์ได้มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตที่มหาบพิตรจะขอร้องว่า มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตผู้เจริญของเราทั้งหมดที่มีอยู่ จงมาช่วยแบ่งเวทนานี้ไป โดยช่วยเราให้ได้เสวยเวทนาเบาลง หรือว่าพระองค์เท่านั้น จะต้องเสวยเวทนานั้น

พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ หามิได้ มีแต่โยมเองเท่านั้นจะต้องเสวยเวทนานั้น

มหาบพิตร พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงหมายถึงเนื้อความนี้ จึงตรัสธัมมุทเทสประการที่ ๒ ว่า โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นอิสระ ที่อาตมภาพรู้ เห็นและได้ฟังแล้วจึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ คำว่า โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นอิสระ พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้ดีแล้ว พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ เป็นความจริงโลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นอิสระ (๒)

ในราชตระกูลนี้ มีเงินและทองอยู่ที่พื้นดินและในอากาศมากมาย พระคุณเจ้ารัฏฐปาละกล่าวว่า โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไป เนื้อความแห่งภาษิตนี้ จะพึงเห็นได้อย่างไร

มหาบพิตร บัดนี้ พระองค์เอิบอิ่ม พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ประการ บำเรอพระองค์อยู่ ฉันใด พระองค์จักได้สมพระราชประสงค์ว่า แม้โลกหน้า เราจักเป็นผู้เอิบอิ่ม พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ประการ บำเรอตนอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน หรือว่าชนเหล่าอื่นจักปกครองทรัพย์สมบัตินี้ ส่วนพระองค์ก็จักเสด็จไปตามยถากรรม

พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ บัดนี้ โยมเอิบอิ่มพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ประการบำเรอตนอยู่ ฉันใด โยมก็จักไม่ได้ตามประสงค์ว่า แม้ในโลกหน้า เราจะเป็นผู้เอิบอิ่ม พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ประการ บำเรอตนอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน ที่แท้ชนเหล่าอื่นจักปกครองทรัพย์สมบัตินี้ ส่วนโยมก็จักไปตามยถากรรม

มหาบพิตร พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงหมายถึงเนื้อความนี้ จึงตรัสธัมมุทเทสประการที่ ๓ ว่า โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไป ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ คำว่า โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไป พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้ดีแล้ว พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ เป็นความจริงโลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไป (๓)

พระรัฏฐปาละกล่าวว่า โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา เนื้อความแห่งภาษิตนี้ จะพึงเห็นได้อย่างไร

มหาบพิตร พระองค์ทรงปกครองแคว้นกุรุอันอุดมสมบูรณ์อยู่ มิใช่หรือ

ใช่แล้ว พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ โยมปกครองแคว้นกุรุอันอุดมสมบูรณ์อยู่

มหาบพิตร ราชบุรุษของพระองค์ที่แคว้นกุรุนี้เป็นที่เชื่อถือได้ เป็นคนมีเหตุผล มาจากทิศตะวันออก เข้ามาเฝ้าพระองค์แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะมหาราชเจ้า พระองค์ควรทรงทราบว่าข้าพระองค์มาจากทิศตะวันออก ในทิศนั้น ข้าพระองค์ได้เห็นชนบทใหญ่ มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ มีประชากรมาก มีพลเมืองหนาแน่น ในชนบทนั้นมีหมู่พลช้าง หมู่พลม้า หมู่พลรถ หมู่พลเดินเท้า มีสัตว์ที่มีเขี้ยวงามาก มีเงินทองทั้งที่ยังไม่ได้หลอมและที่หลอมแล้วเป็นจำนวนมาก ในชนบทนั้น สตรีเป็นผู้ปกครอง พระองค์สามารถรบชนะได้ด้วยกำลังพลประมาณเท่านั้น ขอพระองค์จงไปรบเอาเถิด มหาราชเจ้า พระองค์จะทรงทำอย่างไรกับชนบทนั้น

พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ พวกโยมก็ไปรบเอาชนบทนั้นมาครอบครองเสียนะซิ

มหาบพิตร ราชบุรุษของพระองค์ที่แคว้นกุรุนี้เป็นที่เชื่อถือได้ เป็นคนมีเหตุผลมาจากทิศตะวันตก มาจากทิศเหนือ มาจากทิศใต้ มาจากสมุทรฟากโน้น เข้ามาเฝ้าพระองค์ แล้วกราบทูลอย่างเช่นเดียวกัน ขอพระองค์จงไปรบเอา พระองค์จะทรงทำอย่างไรกับชนบทนั้น

พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ พวกโยมก็ไปรบเอาชนบทนั้นมาครอบครองเสียนะซิ

มหาบพิตร พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงหมายถึงเนื้อความนี้ จึงตรัสธัมมุทเทสประการที่ ๔ ว่า โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ที่อาตมภาพรู้ เห็นและได้ฟังแล้วจึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

พระเจ้าโกรัพยะตรัสว่า พระคุณเจ้ารัฏฐปาละ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏคำว่า โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา นี้พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้ดีแล้วพระคุณเจ้ารัฏฐปาละ เป็นความจริง โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา (๔)

พระรัฏฐปาละได้กล่าวเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว ได้กล่าวคาถาประพันธ์อื่นอีกต่อไปว่า

อาตมาเห็นผู้คนที่มีทรัพย์ในโลก

ได้ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแล้ว

ไม่ยอมให้ใคร เพราะความหลง

ได้ทรัพย์แล้ว เก็บสะสมไว้

และปรารถนากามคุณยิ่งๆ ขึ้นไป

พระราชาทรงกดขี่ ช่วงชิงเอาแผ่นดิน

ทรงครอบครองแผ่นดินซึ่งมีสมุทรสาครล้อมรอบ

ตลอดสมุทรสาครฝั่งนี้ ยังไม่ทรงพอ

ยังปรารถนาจะครอบครองสมุทรสาครฝั่งโน้นอีก

ทั้งพระราชาและคนอื่นเป็นจำนวนมาก

ยังไม่ปราศจากตัณหา ก็เข้าถึงความตาย

ยังไม่เต็มตามที่ต้องการเลย ก็ละทิ้งร่างกายไป

เพราะความอิ่มด้วยกามไม่มีในโลก

หมู่ญาติพากันสยายผม คร่ำครวญถึงคนที่ตายนั้น

และพูดว่า ทำอย่างไรหนอ พวกญาติของเราทั้งหลายจึงจะไม่ตาย

แต่นั้น ก็นำศพนั้นซึ่งห่อผ้าไว้ แล้วยกขึ้นสู่เชิงตะกอนแล้วช่วยกันเผา

ศพนั้นถูกเขาใช้หลาวแทงเผาอยู่

ละโภคทรัพย์ มีแต่ผ้าผืนเดียว

เมื่อคนจะตาย ญาติ มิตร หรือสหายก็ช่วยไม่ได้

ทายาททั้งหลายก็ขนทรัพย์สมบัติของเขาไป

ส่วนสัตว์ที่ตายไปก็ย่อมไปตามกรรม

เมื่อตายไป ทรัพย์ไรๆ คือ

บุตร ภรรยา ทรัพย์ ข้าวของ เงินทอง

และแว่นแคว้นก็ติดตามไปไม่ได้

ทรัพย์ช่วยคนให้มีอายุยืนไม่ได้

ทั้งช่วยคนให้ละความแก่ก็ไม่ได้

นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตนั้นว่าน้อยนัก

ไม่ยั่งยืน มีความแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา

ทั้งคนมั่งมี และคนยากจนก็ย่อมประสบเช่นนั้น

ทั้งพาลและบัณฑิตก็ประสบเหมือนกันทั้งนั้น

คนพาลนั่นแหละถูกเหตุแห่งทุกข์กระทบเข้า

ย่อมหวั่นไหวเพราะความเป็นคนโง่

ส่วนบัณฑิตถูกกระทบเข้าก็ไม่หวั่นไหว

เพราะเหตุนั้น  ปัญญาเท่านั้นเป็นเหตุบรรลุนิพพาน

ซึ่งเป็นที่สุดแห่งภพในโลกนี้ จึงประเสริฐกว่าทรัพย์

ก็เพราะยังไม่ได้บรรลุที่สุด คนพาลทั้งหลายจึงทำแต่กรรมชั่ว

ในภพน้อยใหญ่เพราะความเขลา

ผู้ทำกรรมชั่ว ต้องเวียนว่ายตายเกิด

อยู่ในสังสารวัฏร่ำไป

คนมีปัญญาน้อย เมื่อเชื่อคนที่ทำกรรมชั่วนั้น

ก็ย่อมเวียนว่ายตายเกิดร่ำไป

โจรผู้ทำกรรมถูกเขาจับได้ตรงทาง ๓ แยก

ย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตน ฉันใด

หมู่สัตว์ผู้ทำกรรมชั่วตายไปแล้ว ย่อมเดือดร้อนในโลกหน้า

เพราะกรรมของตน ฉันนั้น

เพราะกรรมทั้งหลายที่งดงาม

น่าปรารถนาชวนให้รื่นรมย์ใจ

ย่อมย่ำยีจิตโดยสภาวะต่างๆ ฉะนั้น

อาตมาเห็นโทษในกามคุณทั้งหลายจึงได้บวช มหาบพิตร

สัตว์ทั้งหลายทั้งหนุ่มทั้งแก่ พอร่างแตกสลาย

ก็ล่วงไปเหมือนผลไม้สุกงอมร่วงหล่นไป

มหาบพิตร อาตมาเห็นความไม่เที่ยงแม้นี้ จึงได้บวช

ความเป็นสมณะที่ปฏิบัติไม่ผิดนั่นแหละ ประเสริฐกว่า

ดังนี้

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ เรื่องที่ ๒ รัฏฐปาลสูตร

หมายเลขบันทึก: 680579เขียนเมื่อ 16 สิงหาคม 2020 20:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม 2020 20:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท