หนังสือ แฮร์มัน เฮสเสอะ บนเส้นทางแสวงหา ... คืนสู่ตน สะกิดให้ผมใคร่ครวญ โดยตั้งคำถามว่า หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยเรื่องคน เรื่องภายในของคน หรือภาวะของความเป็นมนุษย์ อย่างน้อยก็มนุษย์จำพวกหนึ่ง ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ไหลไปตามกระแสสังคมในยุคนั้น ผมตั้งคำถามว่า แฮร์มัน เฮสเสอะ ไม่มองสังคมภาพรวมเลยหรือ จึงค้น Google และอ่านประวัติของท่านใน Wikipedia (1)
ประวัติของท่านในวิกิพีเดียสนุกไม่แพ้นวนิยายที่ท่านเขียน หรือกล่าวใหม่ว่า ส่วนหนึ่งของนิยายคือชีวิตของท่านเอง ... ชีวิตของกบฏ เขากบฏต่อพ่อแม่และกติกาสังคมเมื่ออายุ ๑๕ ที่จริงแม่สังเกตตั้งแต่ลูกชายคนนี้อายุ ๔ ขวบแล้วว่า เขาเป็นเด็กที่มีพลังประหลาดอยู่ภายใน
ผมตีความว่าพลังพิเศษของ Hermann Hesse คือผัสสะที่ละเอียดอ่อนต่อสิ่งรอบตัว และความสามารถในการเสนอออกมาเป็นข้อเขียนและภาพวาด ท่านเป็นกวี นักเขียน และศิลปินวาดภาพ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมปี 1946
มองอีกมุมหนึ่ง ท่านคือนักแสวงหาตนเอง นักเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง ดังข้อความเรื่อง ชีวิตใหม่เริ่มขึ้น ในหนังสือหน้า ๗๔ “ในชีวิตผม ก็เช่นเดียวกับชีวิตคนส่วนใหญ่ มีจุดวิกฤตของการเปลี่ยนจากลักษณะทั่วไป เป็นลักษณะเฉพาะ ซึ่งเป็นสถานแห่งความน่ากลัวกับความมืด ความสับสนกับความโดดเดี่ยว ซึ่งวันทั้งวันอยู่กับความเฉื่อยเนือยกับความว่างเปล่าอันสุดบรรยาย แล้วค่ำคืนจะเกิดดาวดวงใหม่บนฟากฟ้า และตาดวงใหม่ด้านในผม” อ่านแล้วผมบอกตัวเองว่า กวีบรรยาย Transformative Learning ได้สละสลวยอย่างนี้เอง
มุมมองของนักแสวงหาต่อพระเจ้าน่าสนใจมาก “... พระเจ้าของเราชื่ออาบรั๊กซัส และเป็นทั้งพระเจ้ากับซาตาน มีโลกสว่างกับโลกมืดในตัวเอง อาบรั๊กซัสไม่ปฏิเสธความคิดใดๆ หรือความฝันใดๆ ของแก ... แต่เขาจะทิ้งแกไปทันทีที่แกกลายเป็นคนสมบูรณ์และสามัญ เขาจะทิ้งแกไปหาหม้อใบใหม่เพื่อปรุงความคิดของเขาในนั้น” (หน้า ๕๐๘) ผมตีความหมายว่าความดีกับความชั่วอยู่ด้วยกัน พระเจ้าจะเข้าสิงคนที่จิตอ่อนแอ เมื่อจิตแข็งแรงพระเจ้าจะละไป ไม่ทราบว่าผมตีความถูกหรือไม่ แต่การอ่านวรรณกรรมดีตรงที่คนอ่านต่างคนมีสิทธิ์ตีความต่างกันได้ ไม่มีถูกผิด มีแต่มุมมองและวิธีมองหรือตีความ
“เมื่อแกเกลียดคนคนหนึ่ง มันคือแกเกลียดบางสิ่งบางอย่างในตัวเขา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตัวแกเอง สิ่งที่ไม่เป็นส่วนหนึ่งของเราจะไม่สะเทือนเรา” (หน้า ๕๑๒)
“สิ่งที่เราเห็น เป็นสิ่งเดียวกับที่อยู่ด้านในเรา ไม่มีความเป็นจริงใดๆ นอกจากสิ่งที่อยู่ภายในเรา นั่นคือเหตุที่คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นจริงดังที่เป็น เพราะพวกเขาถือว่าภาพของโลกภายนอกเป็นของจริง และไม่เคยให้โอกาสโลกด้านในตนเองได้แสดงตัวเอง ... ทางที่คนส่วนใหญ่เดินนั้นง่าย แต่ทางของเรายากเย็น แต่เราก็จะไป”
ชีวิตมนุษย์ไม่เหมือนกัน มีมิติที่ซับซ้อนแตกต่างกัน แสวงหาความหมายในชีวิตแตกต่างกัน แต่ที่ เฮอร์มัน เฮสเสอะ แสวงหาคือตัวตนของตนเอง ที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร และยิ่งกว่านั้น ตัวตนที่ค้นหามันเปลี่ยนตัวตนได้เสียอีก
ขอขอบคุณ นพ. เนตร รามแก้ว บรรณาธิการสำนักพิมพ์ คนบ้าหนังสือที่กรุณาส่งหนังสือมาให้
วิจารณ์ พานิช
๑๑ ก.พ. ๖๓
ไม่มีความเห็น