ก็นานเท่าไหร่แล้วที่ COVID-19 ระบาด ...ฉันก็ใช้ Mask แค่สองครั้งเอง
ทำไมไม่ใช้?
ไม่ใช่ mask ไม่พอ แต่พอมีความรู้อยู่บ้างว่า ควรใช้กรณีไหน
เพราะชีวิตการทำงานของฉันไม่ได้สัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง และมีข้อมูลของการระบาดอยู่ รวมถึงหลักการบริหารความเสี่ยง หรือ RM และความรู้ของการจัดการทรัพยากรที่เหมาะสม
ฉันจึงไม่ค่อยเดือนร้อนว่าจะต้องใช้ Mask ... #ใช้อย่างสาเหตุสมผล ส่วนเรื่องคอรัปชั่น เมื่อเข้าไปศึกษาราชกิจจานุเบกษา ก็เข้าใจอยู่ แหล่งผลิตและวัตถุดิบในการผลิตก็มีข้อจำกัด เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ทั่วโลก ส่วนการคอรัปชั่นนั้นก็มีอยู่ทุกยุคสมัย แน่ใจได้อย่างไรว่าถ้าเป็นอีกทีมมาบริหารประเทศจะไม่มีคอรัปชั่น...คนคอยแหย่ยุยงให้ชาติขาดความสามัคคีก็พอรู้ back ground กันอยู่บ้าง และเวลามีการแชร์อะไรมาก็ตามรอย tracer ไปดูแหล่งต้นตอการโพสต์ สังเกตอุปนิสัย พฤติกรรมคนโพสต์ว่าเป็นเช่นไร
ฉันไม่ใช่คนโลกสวย
ฉันรู้ว่าโลกนี้โสมมขนาดไหน ตั้งแต่เกิดมาดูโลก ก็ไม่เห็นรัฐบาลไหนดี คนด่ารัฐบาลก็มักจะเป็นกลุ่มเดิมๆ จมอยู่กับอดีตยุคนั้นยุคนี้ ส่วนนักเรียนนักศึกษาฉันก็ไม่แน่ใจว่าพวกเธอเหล่านั้นซึมซับความทุกข์ยากของผู้คน ประชาชน ราษฏรจริงหรือเปล่า ออกค่าย ทำกิจกรรมอาสาเพื่อสังคมหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ อาจจะเป็นเปอร์เซ็นต์เล็กน้อยมาก
ความรับผิดชอบขั้นพื้นฐานยังทำไม่ได้ โดยเฉพาะรับผิดชอบต่อชีวิตตนเองยังไม่ได้เลย ผลักภาระของชีวิตเบียดเบียนคนอื่น ฉันไม่แน่ใจว่า ความเข้าใจเรื่องเสรีภาพและประชาธิปไตยของเขากับของฉันตรงกันหรือไม่
ฉันรู้แต่ว่า ชีวิตฉันฉันต้องจัดการตนเองได้ก่อน โดยเฉพาะในยุคต่ำตมที่พร้อมกรูกันไปด่ากันอย่างไม่มีเหตุมีผล ระงับอารมณ์ ระงับวาจาไม่ได้...ถ้อยความเต็มไปด้วยมลพิษคลื่นจิตที่วุ่นวาย และพร้อมใส่ร้ายป้ายสีจนถึงฆ่ากันได้อย่างง่ายดาย
วันๆ ก็ทำงานมิได้ว่างพอที่จะไปขุดค้นความชั่วใครมาประจาน คิดแต่หาหนทางว่า จะทำอย่างไร ผู้คนจะเข้าถึงกระบวนการคิดแบบโยนิโสมนสิการ หรือ critical thinking, systematic thinking ได้
ทำอย่างไร ความสงบสุขจะเกิดขึ้นในสังคม ตราบเท่าที่ยังมีการด่ากราดกันอยู่ ยุยงความเกลียดชังให้โหมโรงกันอยู่ ความสงบสุขย่อมไม่มี...เปลี่ยนยุคสมัยใหม่ ก็ยั่วยุเกลียดชังกันใหม่ วนเวียนไปมิมีที่สิ้นสุด
...
เห็นด้วยครับ … การซึมซับความทุกข์ของส่วนรวม ของชนคนรุ่นหลัง คือ จุดอ่อนของระบบโซเชียล…