-มันไม่ใช่ชีวิต, สุขภาพ, และเศรษฐกิจที่ถูกท้าทายโดยเชื้อโรคที่นำมาสู่ความตายเท่านั้น
-เผด็จการรวมอำนานของจีนก็ต้องรับการท้าทายนี้เช่นกัน
ย้อนไปเมื่อวันที่ 21 มกราคม ปีที่แล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง บอกกับการรวมตัวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงว่า พวกเขาต้องการกันปัญหาจาก “หงส์ดำ” และ “แรดสีเทา” นี้ให้ได้ ซึ่งหงส์ดำ และแรดสีเทานี้ทำให้ระบอบการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์อ่อนแอลงท่ามกลางเศรษฐกิจที่อ่อนล้าลง
ในตอนนั้น การที่สีใช้สัตว์เป็นอุปลักษณ์ก่อให้เกิดการอภิปรายระหว่างผู้สังเกต ที่ตีความว่าเขากำลังเตือนถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่มีรูปแบบหลากหลาย “หงส์ดำ” คือเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ แต่ส่งผลกระทบต่อตลาดแบบลึกซึ้ง ในขณะที่ “แรดสีเทา” คือความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนมาก แต่พวกเขาเลือกที่จะไม่สนใจ
หนึ่งต่อมา อุปลักษณ์แบบสัตว์ป่าที่พูดถึงอันตรายต่อประเทศเหมือนดั่งลักษณะเชิงพยากรณ์ที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
นักวิทยาศาสตร์และพวกหมอได้ชี้ให้เห็นแล้วว่าค้างคาวมีโอกาสแพร่เชื้อโคโรนาไวรัส ไวรรัสนี้เกิดขึ้นจากตลาดเปียก (wet market) ซึ่งซื้อขายพวกสัตว์ป่า ในเมืองอู่ฮั่น จังหวัดเหอเป่ย
มีการเชื่อกันว่าพวกค้างคาวที่ได้รับเชื้อจากสัตว์อื่นๆเป็นตัวนำไวรัสมาสู่คน
การห้ามซื้อขายสัตว์ป่าทุกชนิดเป็นสิ่งที่ผู้นำจีนไม่อยากทำมากที่สุด การควบคุมโคโรนาไวรัสเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับหนึ่งของพวกเขา
มีเหตุผลที่ดีหลายประการที่ประธานาธิบดีสีกล่าวเมื่อวันจันทร์ว่าการแพร่ระบาดของไวรัส และการควบคุมไวรัส ทำให้ชีวิตและสุขภาพของจีนดีขึ้น และยังส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคมของจีน รวมทั้งส่งสารผู้คนภายนอกด้วย
กล่าวกันอีกแง่หนึ่งคือ วิกฤตการณ์ทางสาธารสุขของจีนสามารถสั่นคลอนการปกครองของพรรค และทำลายความเชื่อของคนจีนเรื่องการเผด็จการรวบศูนย์อำนาจ ที่ผู้นำจีนทั้งหลายพยายามจะมีเพื่อการเป็นเศรษฐกิจลำดับที่สองของโลก
ประธานาธิบดีสีเป็นประธานในการประชุมเมื่อวันจันทร์กับเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน กับสภาการปกครองสูงสุดของประเทศเพื่ออภิปรายการควบคุมโรค และคำพูดที่เสนอโดย ซินหัวว่าผู้นำตระหนักถึงการแพร่ระบาด และพูดว่า “มันเป็นการทดสอบที่หนักสำหรับเมืองจีน และความสามารถในการปกครอง พวกเราจะสรุปสถานการณ์ และเรียนรู้เกี่ยวกับมัน” หลังจากเริ่มอย่างเชื่องช้า รัฐบาลจีนได้ใช้ยาแรง หรือมาตรการขั้นเด็ดขาดในการควบคุมการแพร่ของเชื้อโรค เมืองหลายเมืองในหูเป่ย รวมทั้งอู่ฮั่นด้วย ที่เป็นแหล่งการระบาด ที่มีประชากรประมาณ 10 ล้านคน ได้ถูกปิด และตอนนี้ในเมืองบางเมือง เช่นซินเจียงก็ถูกปิดเช่นกัน ในวันศุกร์ มีคนตายที่เกิดจากไวรัส ที่มีรายงานก็ประมาณ 636 เป็นอย่างน้อย และมีคนติดเชื้อประมาณ 30,000 คน น้อยกว่าการระบาดของโรคซาร์ ที่เกิดการติดเชื้อเมื่อปี 2002-2003 โรคซาร์นี้ฆ่าคนเกือบ 800 คน
ในขณะที่ไวรัสตัวใหม่แพร่กระจายได้มากกว่าโรคซาร์ แต่ดูเหมือนมันจะฆ่าคนได้น้อยกว่า เปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตของโรคซาร์ประมาณ 10% มี 2% กับคนที่ติดเชื้อโคโรนาไวรัสที่ตาย
ยิ่งไปกว่านั้น ประสบการณ์จากการแพร่โรคซาร์แสดงให้เราเห็นว่า ความรุนแรงและการแพร่เชื้อของไวรัสมีโอกาสจะน้อยลงได้ หากมีอากาศที่อุ่นขึ้น
แต่รัฐบาลจีนประสบกับการแพร่เชื้อในระยะเวลาอันใกล้ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่รู้ว่าไวรัสเผยแพร่ได้อย่างไร และไม่มีวัคซีนยับยั้งเชื้อ การกระตุ้นให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน และหลีกเลี่ยงที่สาธารณะจึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุด
แต่วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ยาก เพราะคนจำนวน 10 ล้านต้องกลับมาที่เมืองใหญ่หลายเมืองหลังจากตรุษจีน ซึ่งแน่นอนว่าต้องขยายไปเป็น 1 อาทิตย์
เฉพาะเมืองปักกิ่ง เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคาดการณ์ว่ามีคนประมาณ 8 ล้านคนจะกลับมาที่เมือง ระหว่างสัปดาห์ที่ผ่านมาและอีกหลายสัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวด้วยว่า คนที่เดินทางกลับถูกรังเกียจจากอพาร์ทเม้น อันเนื่องมาจากความไม่พอใจหรือความโกรธ
นอกจากนี้การหายไปของหน้ากากอนามัยและสิ่งที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ผักและเนื้อในเมืองหลายส่วนก็ก่อให้เกิดความขุ่นเคืองด้วยเช่นกัน
เมื่อรัฐบาลกระตุ้นให้ผู้คนทำงานที่บ้านหรือที่โรงงานเพื่อควบคุมการติดเชื้อ แต่ปัญหาที่หนักอึ้งก็คือเศรษฐกิจจีน และนัยยะของมันต่อเศรษฐกิจโลก ในปี 2018 ประเทศจีนมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ 28 % ในเศรษฐกิจโลก จากข้อมูลที่เป็นทางการ
แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ย้อนกลับนี้จะปรากฏในไตรมาสที่ 1 เมื่อจีนประสบกับการแพร่เชื้อไวรัสใน 2 เดือนแรก โดยปกติแล้ว ความเจริญทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกจะต่ำที่สุด เพราะมีปีใหม่ แต่จะกระโดดขึ้นในไตรมาสถัดไป ปักกิ่งเริ่มต้นด้วยการใส่เงินในเศรษฐกิจ และ มีโครงการที่ตัวล่อต่อไป
อย่างไรก็ตาม มีไวรัสกระจายอยู่ใน 20 ประเทศ และประเทศเหล่านี้จะหยุดจีนไว้เพื่อการกักโรค โดยการห้ามบินไปจีนและกีดกันนักท่องเที่ยวจีน บทบาทของจีนในการค้านาๆชาติ และเป็นตัวเล่นหลักในอุปทานการค้าโลกกำลังถูกทดสอบอย่างเข้มข้น
บริษัทฮุนได ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถอันดับ 5 ของโลก ประกาศถึงการตัดสินใจว่าจะลดการผลิตลง ที่โรงงานในเกาหลีใต้ เพราะว่ามันต้องอาศัยชิ้นส่วนรถยนต์จากประเทศจีน
หลายบริษัทกำลังย้ายการผลิตจากประเทศจีน เพราะการสงครามการค้าระหว่างจีนและอเมริกา หากการแพร่กระจายเชื้อไวรัสจะไม่ถูกจำกัดลง การย้ายฐานการผลิตคงดำเนินต่อไป
หลายประเทศ เช่น อเมริกา และออสเตรเลียกำลังอพยพคนจากฮูเป่ย อังกฤษและฝรั่งเศสแนะนำคนของตนให้ออกจากประเทศ เพื่อกันการติดเชื้อ
แต่สิ่งที่ผู้นำจีนกลัวที่สุดคือการปิดบังในระยะเริ่มแรกในเรื่องการแพร่ระบาดจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอาจทำให้คนในแผ่นดินใหญ่โกรธระบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่พรรคก็เป็นได้ ตั้งแต่ประธานาธิบดีสีก้าวสู่อำนาจปี 2012 เครื่องมือในการโฆษณาของพรรคทำให้ประชาชนเชื่อว่าเผด็จการของพรรคทำให้ประเทศมีความเข้มแข็งทั้งทางเศรษฐกิจ, การทหาร, และเทคโนโลยี ดังจะเห็นได้จากรถไฟความเร็วสูง, การใช้ปัญญาประดิษฐ์ที่ทันสมัย, ความทะเยอทะยานด้านอากาศ, เรือบรรทุกเครื่องบิน, และโครงการสายไหมที่ทำเงินให้ประมาณล้านล้านหยวน เพราะการสร้างโครงสร้างพื้นฐานจากเอเชียถึงแอฟริกา
แต่การแพร่ระบาดแสดงให้เห็นถึงความไม่เพียงพอของการสาธารณสุข และกลไกการช่วยเหลือฉุกเฉิน เมื่อเร็วๆนี้หมอและนางพยาบาล ที่ทำงานในเมืองอู่ฮั่น จังหวัดเหอเป่ย ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก และมีการตายเกิดขึ้น ประสบกับภาวการณ์ขาดหน้ากากอนามัยและชุดป้องกันเชื้อโรค
ข่าวเศร้าในวันพฤหัสเรื่องการเสียชีวิตของ Li Wenliang ที่เป็นหมอที่เมืองอู่ฮั่น ที่ถูกเตือนโดยตำรวจเรื่องเชื้อไวรัส และติดเชื้อ กำลังร้องไห้บนโซเชี่ยลมีเดีย
หลังจากที่กลัวความโกรธจากสาธารณะ ผู้นำจีนจึงประกาศเรื่องข้อบกพร่องและการทำผิด และสัญญาถึงการรักษาชีวิตและสุขภาพเป็นเรื่องเร่งด่วน
เป็นเรื่องไม่ยากที่จะจินตนาการถึงเมื่อการระบาดได้บังเกิดขึ้น ภาวะผู้นำของจีนคือการใช้อำนาจแบบเผด็จการในการขับเคลื่อนทรัพยากรของชาติราวกับจะกำจัดไวรัสที่ฆ่าคนได้กระนั้นแหละ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่หูเป่ยยอมรับการถูกตำหนิ และถูกลงโทษจากการรับมือไวรัสได้ช้าไปโดยรัฐบาลกลางที่ปักกิ่ง ก็เหมือนกับการแพร่ระบาดของโรคซาร์เมื่อ 17 ก่อนแบบนั้นแหละ
แต่เมื่อถึงตอนนี้ความเชื่อและความมั่นใจในระบบพรรค และความสามารถในการปกครองคงมีเสียงบ่นที่วุ่นวายมากขึ้น
แปลและเรียบเรียงจาก
Wang Xiangwei. Coronavirus: what Xi fears most is Chinese turning on the Communist Party.
ไม่มีความเห็น