ดูประเด็นย่อ และรายชื่อวิทยากรได้ที่ (๑) เป้าหมายของการประชุม ๗๕ นาทีนี้คือ ให้ผู้ปฏิบัติ (actors) หลากหลายบทบาทได้มาบอกว่าตนจะทำ/ไม่ทำอะไร แต่เมื่อเห็นผู้พูด ๔ คน มาจากกระทรวงสาธารณสุข ๑ คน (ญี่ปุ่น) จากกระทรวงการคลัง ๑ คน (อัฟริกาใต้) กระทรวงต่างประเทศ ๒ คน (จอร์เจียและไทย) ผมรู้สึกผิดหวัง
ท่านทูต วิทวัส ศรีวิหค ของไทยเป็นผู้เปิดประเด็นอย่างดีเยี่ยม ว่าการดำเนินการ UHC ที่ดีมี ๖ มิติ ได้แก่ (๑) แต่ละประเทศต้องออกแบบระบบของตัวเอง ลอกเลียนไม่ได้ (๒) ภาวะผู้นำต้องเลยกระทรวงสาธารณสุข เป็นระบบ UHC ของรัฐบาล ของประชาชน (๓) มีกฎหมายหนุน (๔) มีระบบสาธารณสุขมูลฐานที่เข้มแข็ง (๕) มีการจัดการที่ได้ผล (๖) มีโครงสร้างพื้นฐานด้านบริการที่ดี ได้แก่กำลังคนด้านสุขภาพ และอื่นๆ
มีการเสนอความเห็นว่าระบบ UHC ที่ดี ต้องแยกระหว่างระบบให้บริการกับระบบซื้อบริการ ที่เรียกว่า provider – purchaser split ซึ่งประเทศไทยเราเป็นเช่นนั้น คือตั้ง สปสช. ขึ้นมาทำหน้าที่ purchaser ใช้วิธีจัดการที่ซับซ้อน มีตัวแทนของฝ่ายต่างๆ ทั้งฝ่ายวิชาการ ฝ่ายผู้ให้บริการ และฝ่ายผู้รับประโยชน์ มานั่งอยู่ในกลไกกำกับดูแล กระทรวงสาธารณสุขเหลือหน้าที่นโยบาย และให้บริการ การเปลี่ยนแปลงที่ให้คุณค่ายิ่งใหญ่นี้ ก้าวหน้าและยั่งยืนอยู่ได้โดยวงการสุขภาพไทยต้องจ่ายแพงมาก คือเกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นภายในระบบสุขภาพเอง หรือกล่าวตรงๆ ระหว่างหมอกับหมอด้วยกันเอง
การแย่งชิงอำนาจระหว่างมนุษย์เป็นเรื่องธรรมดา ขึ้นกับว่าใครคิดเพื่อตนเองหรือกลุ่มตนมากกว่า กลุ่มใดเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่า
ผู้แทนจากญี่ปุ่นบอกว่า ในระยะเวลา ๖๐ ปีที่ประเทศญี่ปุ่นมี UHC มีการปรับระบบหลายครั้ง บางครั้งก็ได้ผลดี บางครั้งก็ไม่ดี จากผู้อภิปรายท่านอื่น สรุปได้ว่า หลักการคือต้องมีการวิจัยระบบสุขภาพช่วยหนุนการปรับตัว หรือพัฒนาระบบ UHC เพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพ
หลักการที่สำคัญคือ ต้องเป็นระบบที่โปร่งใส และต้องมีการประยุกต์ใช้ Health Informatics สมัยใหม่ ในการจัดการระบบ และประชาชนต้องเป็นเจ้าของระบบ
วิจารณ์ พานิช
๓ ก.พ. ๖๓
ไม่มีความเห็น