รายงานสรุปการให้เหตุผลทางกิจกรรมบำบัด จากกรณีศึกษาที่ศูนย์กายภาพบำบัด(เชิงสะพานสมเด็จปิ่นเกล้า)
กรณีศึกษา ด.ช.พัด (นามสมมติ) อายุ 9 ปี Dx: Microcephaly วัน เดือน ปีเกิด : 6 กรกฎาคม 2553
ผู้ดูแลหลัก : แม่
อาการแสดง : ไม่สามารถพูดเป็นคำ ได้แค่ออกเสียง เข้าใจสิ่งที่ได้ยินแต่ไม่ทั้งหมด ข้อต่อผิดรูป มี fluctuating muscle tone ไม่สามารถควบคุมรยางค์ในการใช้งานได้ มีการกะแรงที่ไม่เหมาะสมและมีช่วงสมาธิสั้น ไม่รู้จักการรอคอย วอกแวกง่าย
การศึกษา : ไม่ได้เข้าศึกษาในสถาบันการศึกษา
ความต้องการของผู้ดูแล (Need) : ผู้รับบริการสามารถช่วยเหลือตนเอง และเข้าใจคำสั่งเบื้องต้นได้
จุดแข็ง (Strengths) :
ปัจจัยขัดขวาง : เนื่องจากตามคิวของคลินิก สามารถมาฝึกได้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมงเท่านั้นส่งผลให้ผู้รับบริการไม่ได้รับการฝึกอย่างเต็มที่
Diagnostic clinical reasoning
(*) อ้างอิง https://www.icd10data.com/ICD10CM/Codes/Q00-Q99/Q00-Q07/Q02-/Q02
Procedural clinical reasoning : เนื่องจากในกรณีศึกษานี้ได้รับการทำกิจกรรมบำบัดมาเป็นเวลา 6 ปี ทำให้นักศึกษาไม่ได้ลงในส่วนของการประเมินจริง แต่จากข้อมูลของโรคและอายุของเด็ก สิ่งที่นักศึกษาจะทำในกระบวนการทางกิจกรรมบำบัดหากได้มีโอกาสประเมิน คือ เริ่มจากการสัมภาษณ์ผู้ปกครองและประเมินองค์ประกอบในการทำกิจกรรมด้านต่างๆของผู้รับบริการ เพื่อนำไปสู่การวางแผนการรักษาและข้อควรส่งเสริมหรือระมัดระวังต่อไป โดยอ้างอิงตามความสามารถของผู้รับบริการในปัจจุบัน เนื่องจากตัวโรคไม่สามารถประเมินความสามารถตามพัฒนาการเพียงอย่างเดียวได้ ซึ่งเริ่มจากการประเมินได้แก่
ประเมินองค์ประกอบในการทำกิจกรรมด้านการรับความรู้สึก โดยจะประเมิน 3 ด้าน คือ
ประเมินองค์ประกอบในการทำกิจกรรมด้านระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Neuromusculoskeleton) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้สามารถเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายได้ โดยสิ่งที่จะประเมินในหัวข้อนี้ ได้แก่
ประเมินองค์ประกอบในการทำกิจกรรมด้านการเคลื่อนไหว (Motor) ซึ่งจำเป็นต้องใช้การคลื่อนไหวเพื่อไปทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การเล่น โดยการเคลื่อนไหวที่จะประเมินในผู้รับบริการมีดังนี้
ประเมินองค์ประกอบในการทำกิจกรรมด้านสติปัญญา ความคิด ความเข้าใจ (Cognitive Integration and Cognition) โดยการให้คำสั่งง่ายๆกับผู้รับบริการ แล้วดูความเข้าใจ เช่น มา หยุด ไม่ เอา ปล่อย และยังประเมินช่วงความสนใจด้วยการจับเวลาที่ผู้รับบริการให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม
ประเมินองค์ประกอบในการทำกิจกรรมด้านจิตใจ อารมณ์ และทักษะทางสังคม (Psychological Components and Psychosocial skill) โดยการซักถามผู้ดูแล เช่น การแสดงออกที่บ้านกับคลินิก การตอบสนองเวลาดีใจ เสียใจ หิว หรือการสังเกต เช่น สีหน้าเมื่อเห็นว่าแม่ผู้รับบริการเดินเข้ามา
เมื่อประเมินครบทุกองค์ประกอบ แล้วก็จะเข้าสู่การรวบรวมปัญหา และวิเคราะห์ เพื่อที่จะนำไปสู่การวางแผนการทำกิจกรรมบำบัดที่สอดคล้องกับข้อมูลของผู้รับบริการที่ได้จากการประเมิน รวมถึงคิดวิธีการประเมินผลหลังการทำกิจกรรมบำบัดว่าเป็นไปตามเป้าประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งปัญหาสำคัญที่พบจะเป็นด้านการสื่อสารโดยเป้าประสงค์ที่ได้วางไว้คือ
Interactive clinical reasoning : มีการใช้ RAPPORT (Therapeutic Relationship)
ในการพูดคุยสร้างปฏิสัมพันธ์โดยเมื่อพบกับผู้รับบริการเป็นครั้งแรกได้มีการเข้าไปสร้างปฏิสัมพันธ์ด้วยการเข้าไปเล่นกับผู้รับบริการ รวมถึงมีการปรับโทนเสียงและสีหน้าที่ดูเป็นมิตรเนื่องจากผู้รับบริการเป็นเด็ก และไม่สามารถพูดคุยได้ เพื่อเป็นการสร้างความคุ้นเคยให้กับผู้รับบริการ และเนื่องจากผู้รับบริการได้รับผลกระทบจากตัวโรค ส่งผลให้ผู้รับบริการมีพัฒนาการที่ไม่สมวัย ทำให้ยังไม่สามารถเข้าใจและพูดคุยได้ จึงได้มีการเข้าไปพูดคุยสร้างปฏิสัมพันธ์กับแม่ของผู้รับบริการซึ่งเป็นผู้ดูแลหลัก อย่างเข้าใจและไม่ตัดสิน เพื่อที่จะได้รู้ถึงข้อมูลสุขภาพต่างๆของผู้รับบริการ ทั้งข้อมูลโรค ประวัติการคลอด ประวัติการรักษา การทำกิจวัตรประจำวันและกิจกรรมการดำเนินชีวิตต่างๆ รวมไปถึงข้มูลต่างๆ ที่จะทำให้นักศึกษามีความเข้าใจความคิด ความรู้สึก อารมณ์ และความต้องการของผู้รับบริการและผู้ดูแลได้
การประยุกต์ใช้กรอบอ้างอิงร่วมกับการให้บริการทางกิจกรรมบำบัด Conditional Reasoning
จากการที่ครอบครัวของผู้รับบริการมีการให้ความสำคัญและต้องการให้ผู้รับบริการสามารถช่วยเหลือตัวเองและสามารถเข้าใจคำสั่งเบื้องต้นได้ จึงได้มีการนำข้อมูลที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของผู้รับบริการ อาการที่แสดง บุคคลที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลปัจจัยส่งเสริมและขัดขวาง ตั้งเป้าประสงค์ และวางแผนการรักษาเรื่องการฝึกการสื่อสารภายใต้การใช้กรอบอ้างอิงทางกิจกรรมบำบัด เนื่องจากปัญหาด้านการสื่อสารจะไปขัดขวางการทำกิจกรรมต่างๆของผู้รับบริการที่ควรได้ทำ เช่น การเล่น การเข้าสังคม ดังนั้น การสื่อสารจึงเป็นเป้าประสงค์ที่ถูกตั้งขึ้น โดยให้ผู้รับบริการใช้สิ่งของที่ผู้รับบริการคุ้นเคยและใช้เป็นประจำมาสอนคำศัพท์ผู้รับบริการซ้ำๆให้เกิดการเรียนรู้ เช่น จานข้าว ผู้บำบัดก็สอนผู้รับบริการว่านี่คือจานข้าว พร้อมกับดึงความสนใจจากผู้รับบริการด้วยการใช้ของเล่นที่มีสีและเสียงให้ผู้รับบริการมองตาม(เป็นการใช้sensory-base stimulation) เนื่องจากในข้อมูลผู้รับบริการนั้นสามารถหันตามเสียงได้ โดยระหว่างการฝึกก็ให้ผู้ดูแลซึ่งเป็นแม่ของผู้รับบริการลองทำไปด้วย พร้อมกับให้เป็น Home Program กลับไปทำเองที่บ้าน เพื่อเพิ่มระยะเวลาที่ผู้รับบริการจะได้เรียนรู้ โดยใช้กรอบอ้างอิง Developmental FoR เพื่อดูว่าผู้รับบริการมีระดับพัฒนาการอยู่ในช่วงไหน แล้วต้องฝึกแบบใดให้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการของผู้รับบริการ และใช้กรอบอ้างอิง NDT FoR เนื่องจากผู้รับบริการมีความตึงตัวของกล้ามเนื้อที่ไม่คงที่ จึงใช้กรอบอ้างอิงนี้ในการปรับความตึงตัวของกล้ามเนื้อผู้รับบริการก่อนทำการฝึก และใช้Behavioral frame of reference ในการปรับพฤติกรรมชองผู้รับบริการ โดยอาจให้รางวัลเมื่อผู้รับบริการทำกิจกรรมสำเร็จ สุดท้ายมีการใช้ Teaching and Learning FoR ในการสอนผู้รับบริการในการฝึกการสื่อสาร รวมถึงใช้ในการสอนแม่ของผู้รับบริการถึงวิธีการที่จะนำไปฝึกผู้รับบริการที่บ้าน
สรุปความก้าวหน้าของกรณีศึกษาผ่าน SOAP NOTE ครั้งที่1
S : เด็กชายพัด อายุ 9 ปี Dx.Microcephaly ผู้ดูแลหลักซึ่งเป็นแม่มีความต้องการให้ลูกช่วยเหลือตนเองทั้งหมดและสื่อสารได้
O : ผู้รับบริการไม่สามารถพูดคุยสื่อสาร ข้อต่อบริเวณขาผิดรูป อยู่ไม่นิ่ง ขาดการจดจ่อในการทำกิจกรรม เดินไม่ได้ เคลื่อนย้ายตนเองโดยใช้มือ 2 ข้างยกตัวไปตามพื้น ชอบนำมือเข้าปาก ยกแขน 2 ข้างให้แม่อุ้มเมื่อเห็นแม่เดินเข้ามา
A : ผู้รับบริการมี Occupational Deprivation จากการขาดโอกาสเข้าร่วมทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตที่จำเป็นเนื่องด้วยความพิการ , มี Sensory Awareness มีการตระหนักรู้ถึงสิ่งเร้า , Delayed Development , มี fluctuating muscle tone , Short attention span (1 Min), ไม่สามารถควบคุมรยางค์แขนในการทำกิจกรรมได้
P : Improve attention span โดยใช้ sensory-base stimulation
ฝึกการสื่อสารคำง่ายๆจากสิ่งของที่ผู้รับบริการใช้จริง
ให้ความรู้แม่ของผู้รับบริการเกี่ยวกับตัวโรคเกี่ยวกับความสามารถของผู้รับบริการที่สามารถฝึกได้
ให้ Home Program กับแม่เพื่อกลับไปฝึกผู้รับบริการที่บ้าน
แนะนำการส่งไปฝึกเดินเข่ากับนักกายภาพบำบัด
สรุปความก้าวหน้าของกรณีศึกษาผ่าน SOAP NOTE ครั้งสุดท้าย
S : เด็กชายพัด อายุ 9 ปี Dx.Microcephaly ผู้ดูแลหลักซึ่งเป็นแม่มีความต้องการให้ลูกช่วยเหลือตนเองได้บ้างและเข้าใจคำสั่งเบื้องต้นได้ ผู้รับบริการส่งเสียงที่ไม่มีความหมายเมื่อให้ทำกิจกรรมเป็นเวลานาน
O : ผู้รับบริการไม่สามารถพูดคุยสื่อสาร ข้อต่อบริเวณขาผิดรูป อยู่ไม่นิ่ง แต่สามารถให้ความร่วมมือทำกิจกรรมได้นานกว่าครั้งแรก เดินไม่ได้ เคลื่อนย้ายตนเองโดยใช้มือ 2 ข้างยกตัวไปตามพื้น สามารถยืนเข่าได้ มีการเคลื่อนตัวไปหาตุ๊กตาที่ผู้รับบริการถือมาทุกครั้ง เอามือเข้าปากน้อยลง
A : ผู้รับบริการมี Sensory Awareness มีการตระหนักรู้ถึงสิ่งเร้า , Delayed Development , มี fluctuating muscle tone , Short attention span (แต่เพิ่มจากครั้งแรกเป็น3 Min), ไม่สามารถควบคุมรยางค์แขนในการทำกิจกรรมได้
P : Improve attention span โดยใช้ sensory-base stimulation
ฝึกทักษะการสื่อสารเบื้องต้นจากสิ่งของที่ใช้จริงด้วยจำนวนคำที่เพิ่มขึ้น
ให้กิจกรรมกระตุ้นการยืนเข่าผ่านการเล่นเพื่อส่งเสริมการฝึกเดินเข่าจากการฝึกกับนักกายภาพบำบัด
ให้ Home Program กับแม่เพื่อกลับไปฝึกผู้รับบริการที่บ้าน
Pragmatic Reasoning
อ้างอิง
(1) http://www.smj.ejnal.com/e-jou...
(2) หนังสือกิจกรรมบำบัดในผู้รับบริการเด็ก : การประเมินทางคลินิก ผู้เขียน รองศาสตราจารย์สร้อยสุดา วิทยากร
Story telling
การที่ได้ทราบว่าจะต้องไป observe กรณีศึกษาของเด็กชายพัด ในครั้งแรก มีความกังวลอย่างมากเนื่องจากไม่เคยเจอผู้รับบริการที่เป็น Microcephaly มาก่อน ทำให้ต้องมีการไปศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับตัวโรคเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่ค่อยได้พบบ่อยมากนัก และเมื่อถึงวันที่ต้องไปสังเกตผู้รับบริการที่คลินิกกิจกรรมบำบัด พี่ที่เป็นเจ้าของเคสได้ลองให้นักศึกษาเล่นกับผู้รับบริการ เพื่อฝึกการสร้างสัมพันธภาพกับผู้รับบริการ ก็พบว่าผู้รับบริการยังไม่ยอมเล่นและให้ความร่วมมือกับนักศึกษา เนื่องจากนักศึกษาเป็นบุคคลที่ไม่คุ้นเคยกับผู้รับบริการ พี่ที่เป็นเจ้าของเคสจึงได้มีการแนะนำวิธีที่จะทำให้ผู้รับบริการมีปฏิสัมพันธ์ ด้วยการที่ให้เราได้ใช้เวลากับผู้รับบริการเยอะๆเพื่อสร้างความคุ้นเคย แต่ในขณะเดียวกัน นักศึกษาก็ยังมีโอกาสได้พูดคุยกับแม่ของผู้รับบริการซึ่งเป็นผู้ดูแลหลัก ซึ่งในการพูดคุยครั้งแรกอาจจะยังไม่ได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากนักเนื่องจากเวลาที่จำกัด อีกทั้งยังต้องมีการสร้างปฏิสัมพันธ์กับแม่ของผู้รับบริการ โดยการบอกว่านักศึกษาเป็นใครมาจากที่ไหน และมีวัตถุประสงค์ในการขอสัมภาษณ์ข้อมูลเพื่ออะไร เพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับแม่ของผู้รับบริการต่อนักศึกษากิจกรรมบำบัดด้วย จนเวลาผ่านไป นักศึกษาก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นระหว่างการเข้าไปสังเกต และเก็บข้อมูลจากผู้รับบริการ โดยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นมีทั้งการเปลี่ยนแปลงของผู้ดูแลซึ่งก็คือ แม่ของผู้รับบริการ การเปลี่ยนแปลงของผู้รับบริการ และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวนักศึกษา กล่าวคือ แม่ของผู้รับบริการรู้ถึงวิธีการดูแลและส่งเสริมพัฒนาการของผู้รับบริการ และยังมีความเข้าใจทั้งตัวโรคและความสามารถที่ผู้รับบริการจะพัฒนาไปถึงได้มากขึ้น ส่วนความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากผู้รับบริการ คือ ผู้รับบริการมีความร่วมมือในการฝึกดีขึ้น มีการได้รับการฝึกที่หลากหลายและมีความยากมากขึ้น แต่ยังคงอยู่ในระดับความสามารถของผู้รับบริการ ในขณะนั้นอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้นักศึกษาเชื่อว่าถ้าได้รับการฝึกไปเรื่อยๆ ถึงแม้อาจจะใช้เวลานานแต่ผู้รับบริการก็จะมีความสามารถเพิ่มขึ้นได้ตามลำดับแน่นอน สุดท้ายคือ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อตัวนักศึกษา คือการที่ได้ไปสัมผัส และเรียนรู้ในกรณีศึกษานี้ ทำให้นักศึกษามีความเข้าใจในตัวโรค และรู้ถึงวิธีการเข้าหาผู้รับบริการมากขึ้น มีความคิดที่เป็นระบบมากขึ้น และที่สำคัญคือทำให้นักศึกษารู้จักการหาเหตุผลมาประกอบการทำกิจกรรมต่างๆที่ได้ทำร่วมกับผู้รับบริการ ซึ่งจะสามารถนำไปปรับใช้ได้อีกในอนาคต
ไม่มีความเห็น