3. มหาวิทยาลัยได้อะไรจากการเป็นเครือข่ายของ UKM
3.1 มหาวิทยาลัยมหิดล นำเสนอโดย รศ.วีรพงศ์ ปรัชชญาสิทธิกุล รองอธิการบดีฝ่ายนโยบายและแผน กล่าวว่า หลังจากที่มหาวิทยาได้ร่วมกับสมาชิกเครือข่ายได้ 2 ปี ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าหาวิทยาลัย นั้น เป็นสถาบันแห่งความรู้ซึ่งทุกคนให้การยอมรับและแต่ละมหาวิทยาลัยก็มีความเป็นมา มีบริบทที่แตกต่างกันไป ดังนั้นถ้าเราเอาการจัดการความรู้เข้าไปช่วยส่งเสริมการจัดการความรู้นั้นให้แน่นหนา มีบริบทที่จะดำเนินการให้ดีขึ้น จะทำให้มหาวิทยาลัยไทยมีบทบาทในการพัฒนาสังคม พัฒนาประเทศ พัฒนาคนรุ่นเยาว์ ให้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในการจัดการความรู้ ซึ่งมีข้อดีดังนี
1) เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของอาจารย์ ต้องยอมรับว่าการเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแต่ละคนจะมีความรู้เฉพาะด้าน แล้วนำความรู้ที่ตนมีมาเล่าสู่กันฟัง จึงเกิดบรรยากาศการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน อันเป็นประโยชน์อย่างมากในการที่จะนำความรู้ที่ได้เหล่านั้นไปสอนนักศึกษาที่เราคาดหวังว่าจะให้เป็นคนดีเพื่อไปรับใช้สังคม ที่จะได้มีความรู้หลากหลายสำหรับบูรณาการและปรับใช้ให้อยู่ได้อย่างมีความสุขในสังคมเป็นคนดีมีจริยธรรม คุณธรรม มีความรู้รอบด้าน
2) เสริมการบริหารในองค์กร ในการก่อเกิดและบริบทของมหาวิทยาลัยที่แตกต่างกัน มีผลต่อการบริหาร เช่น มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นมหาวิทยาลัยที่มีบุคลากรกว่า 20,000 คน แต่ละคณะจะมีบุคคลากรที่แตกต่างกันตั้งแต่ 30 – 10,000. คน หากเป็นภาควิชาก็จะแตกต่างกันตั้งแต่ 3 – 400 คน หรือ หากเป็นนักศึกษาก็จะมีตั้งแต่คณะละ 10,000 – 40,000. คน ซึ่งแตกต่างกันค่อนข้างมาก การเรียนรู้ และการบริหารจัดการก็จะแตกต่างกันออกไปตามโครงสร้างขององค์กร ดังนั้นเมื่อหน่วยงานต่างๆ ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันก็จะได้แนวทางในการพัฒนาองค์กรของตนเอง
3) เสริมการบริหารนอกองค์กร การเป็นสมาชิกเครือข่าย UKM สามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชนนักปฏิบัติ (CoP) ของแต่ละชุมชน (มหาวิทยาลัย) ทำให้ได้เทคนิคต่างๆ ในการพัฒนา และแนวทางการบริหารของแต่ละสถาบัน และการเป็นเครือข่าย UKM น่าจะทำประโยชน์อย่างยิ่งต่อบริบทของมหาวิทยาลัยไทย มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาของประเทศ เยาวชนอย่างแท้จริง
3.2 มหาวิทยาลัยนเรศวร ผศ.วิบูลย์ วัฒนาธร รองอธิการบดี ฝ่ายวิจัย และพัฒนามหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่ามหาวิทยาลัยนเรศวรนั้น ได้อะไรที่หลากหลาย เช่น
1) ได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ กล่าวคือการได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ในการนำสังคมไทยไปสู่สังคมอุดมปัญญาโดยใช้กระบวนการ KM เมื่อเป็นสมาชิก UKM ก็ได้มีเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในแต่ละมหาวิทยาลัย ทั้งความรู้ที่ชัดแจ้ง และความรู้ที่อยู่ในตัวคน ซึ่งในมหาวิทยาลัยมักจะให้ความสำคัญกับความรู้ที่ชัดแจ้ง และมักจะลืมความรู้ที่อยู่ในตัวคนซึ่งไม่ค่อยให้ความสำคัญ ทั้งๆ ที่เป็นความรู้ที่มีประโยชน์มาก เมื่อมีกระบวนการ KM เข้ามาทำให้เราสามารถเสริมสร้างศักยภาพของตนเองให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในการนำความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) มาเป็นพลังในการทำงานได้เป็นอย่างดี
2) มีวิสัยทัศน์ร่วมกัน มหาวิทยาลัยได้กำหนดทิศทาง และมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน (โดยใช้ Model ปลาทู) รู้ว่าในอนาคตมหาวิทยาลัยควรที่จะเดินทางไปทางไหน ตลอดทั้งการยกระดับความรู้ และการจัดการด้านความรู้ เพื่อสร้างคลังความรู้ ให้เกิดขึ้นในองค์กรอนาคต 20 – 30 ปีข้างหน้า
3) งานในองค์กรดีขึ้น เมื่อคนในองค์กรมีการพัฒนาด้านการจัดการความรู้ก็ส่งผลให้องค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ คุยกันด้วยความเป็นเหตุเป็นผล
3) การทำ KM Work Shop สำหรับงานวิจัยในมหาวิทยาลัย
ให้ไปสู่การประกันคุณภาพการศึกษา เพื่อส่งเสริมการผลิตบัณฑิต และงานวิจัยให้มีคุณภาพ ทั้งระดับคณะและมหาวิทยาลัย