หนังสือ คู่มือการเจรจาต่อรองเพียงเล่มเดียวที่คุณต้องการ (The Only Negotiating Guide You’ll Ever Need) เป็นหลักการทั่วไปสำหรับผู้เริ่มต้น ที่ให้คำแนะนำแบบตรงไปตรงมา
แนวทางการเจรจาต่อรอง
Negotiating Guides
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
[email protected]
2 พฤศจิกายน 2562
บทความเรื่องแนวทางการเจรจาต่อรอง ( Negotiating Guides) นำมาจากหนังสือเรื่องThe Only Negotiating Guide You'll Ever Need - 101 Ways to Win Every Time in Any Situation ประพันธ์โดย Peter B. Stark และ Jane Flaherty จัดพิมพ์โดย Crown Business เมื่อ 2017/06
ผู้ที่สนใจบทความนี้แบบ PowerPoint (PDF file) สามารถ Download ได้ที่ https://www.slideshare.net/maruay/negotiating-guides
เกี่ยวกับผู้ประพันธ์
Peter B. Stark เป็นนักประพันธ์หนังสือขายดีที่สุด ที่ปรึกษา ผู้บรรยาย และประธานบริษัท Peter Barron Stark เขาได้ร่วมประพันธ์หนังสือหลายเล่ม เช่น Everyone Negotiates , The Competent Leader , Lifetime Leadership , และ Why Leaders Fail
Jane Flaherty เป็นที่ปรึกษาอาวุโส ผู้ฝึกสอนให้กับบริษัท Peter Barron Stark และมีประสบการณ์กว่ายี่สิบห้าปีในการฝึกอบรมทั่วโลก เธอเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับและเป็นผู้ฝึกสอนเรื่องการเจรจาต่อรอง
เกริ่นนำ
หนังสือ คู่มือการเจรจาต่อรองเพียงเล่มเดียวที่คุณต้องการ ( The Only Negotiating Guide You’ll Ever Need ) เป็นหลักการทั่วไปสำหรับผู้เริ่มต้น ที่ให้คำแนะนำแบบตรงไปตรงมา
ดังนั้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นในการเจรจาต่อรอง ไม่ว่าต้องการใช้สำหรับการเจรจาต่อรองกับภรรยาเพื่อจะไปออกรอบกอล์ฟ หรือต่อรองราคาในการซื้อของบริเวณสนามหญ้าหรือหน้าโรงรถในวันหยุด ที่เจ้าของบ้านขายแบบถูก ๆ ( garage sale)
การเจรจาต่อรองเป็นทุกอย่างในชีวิต
ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมีการเจรจาต่อรองภายใต้เงื่อนไขหนึ่ง ๆ อยู่ตลอดเวลา เช่นการขอร้องให้นำขยะไปทิ้ง การจราจรบนทางด่วนในชั่วโมงเร่งด่วน การกำหนดเวลานัดหมายกับลูกค้า ไปจนถึงการตัดสินใจเลือกรายการโทรทัศน์ที่จะดูกับครอบครัวของคุณ ทุกแง่มุมของชีวิตของคุณ จะอยู่ในรูปแบบของการเจรจาต่อรอง ส่วนที่ 1 ของหนังสือ : นักเจรจาต่อรองที่ชำนาญ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า “พวกเราส่วนใหญ่ มีส่วนในการเจรจาต่อรองในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตตามปกติในแต่ละวัน”
ดังนั้น กลยุทธ์การเจรจาต่อรอง ควรได้รับการพิจารณาว่า "เป็นวิธีการเชิงบวก ในโครงสร้างของกระบวนการสื่อสาร"
กล่าวอีกนัยหนึ่ง Gerard I. Nierenberg ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น“บิดาแห่งการฝึกอบรมเรื่องการเจรจาต่อรอง ” โดยนิตยสาร Forbes กล่าวว่า “เป้าหมายในการเจรจาต่อรองคือ เน้นชนะร่วมกัน”
ผลลัพธ์การเจรจาสี่อย่างที่เป็นไปได้
การเจรจาต่อรองใด ๆ จบลงด้วยหนึ่งในสี่ของผลลัพธ์ที่เป็นไปได้คือ
1. Lose-Lose: การสูญเสียทั้งสองฝ่าย เป็นผลลัพธ์ที่ไม่มีใครต้องการ
2. Win-Lose: เป็นผลลัพธ์ที่ทุกคนหวังอย่างลับๆ ว่า คุณจะจบลงด้วยการชนะ
3. Win-Win: ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เป็นผลลัพธ์เมื่อความต้องการของทั้งสองฝ่ายตรงกัน
4. No Outcome: ไม่มีผลลัพธ์ คือทุกอย่างยังคงเป็นอยู่เหมือนตอนเริ่มต้น
ข้อสำคัญสามประการเพื่อสร้างผลลัพธ์แบบ ชนะ-ชนะ
1. หลีกเลี่ยงการเจรจาที่แคบลงจนเหลือประเด็นเดียว ( Avoid narrowing the negotiation down to one issue)
2. ตระหนักว่าคู่เจรจาของคุณ ไม่ได้มีความต้องการแบบเดียวกันกับที่คุณต้องการ ( Realize that your counterpart does not have the same needs and wants you do)
3. อย่าคิดว่าคุณรู้ความต้องการของคู่เจรจาของคุณ ( Do not assume you know your counterpart’s needs)
ข้อที่ 1. หลีกเลี่ยงการเจรจาให้แคบลงจนเหลือประเด็นเดียว
ไม่ว่าคุณจะเจรจากับคู่ครองหรือคนขายของ การมุ่งเน้นไปที่ปัญหาเดียว คือหนึ่งในสิ่งที่แย่ที่สุดที่คุณสามารถทำได้ในระหว่างการเจรจา มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้เกิดการแพ้-ชนะ
ไม่ว่าเรื่องการเจรจาใด ๆ จะมีประเด็นใดที่ต้องพิจารณาอีกมาก และยิ่งมีประเด็นมากขึ้น ก็จะมีโอกาสมากขึ้นที่จะทำให้กลายเป็น win-win
ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังซื้อของและต่อรองราคาเพียงอย่างเดียว มีโอกาสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะสูญเสียการต่อรองเรื่องราคา อย่างไรก็ตาม หากคุณนำเรื่องอื่น ๆ มาเจรจาต่อรองเพิ่มเติม (วันส่งมอบ การผ่อน การอัพเกรด การรับประกัน การฝึกอบรม และการสนับสนุน) คุณอาจได้รับข้อตกลงที่ดีขึ้น
ส่วนที่น่าสนใจคือ ทุกสิ่งที่อยู่ในวงเล็บด้านบน มีผลกับ “ราคา” โดยรวมของผลิตภัณฑ์ แต่ถึงกระนั้น ในการเจรจาส่วนใหญ่ ผู้คนมักทำประเด็นให้แคบลงไปจนถึงหนึ่งเดียว
ข้อที่ 2. ตระหนักว่าคู่เจรจาของคุณไม่ได้มีความต้องการแบบเดียวกันกับคุณ
ทุกอย่างนอกเหนือจากทัศนคตินี้ ย่อมนำไปสู่สถานการณ์ แพ้-ชนะ
อย่าเริ่มการเจรจากับแนวคิดที่ว่า กำไรของคุณคือการสูญเสียของคู่เจรจาหรือในทางกลับกัน ประการแรก การตลาดไม่เคยมีเหตุผลหรืออะไรที่เรียบง่ายเช่นนั้น และประการที่สอง มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดี ที่จะจบลงด้วยการเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ข้อที่ 3. อย่าคิดว่าคุณรู้ความต้องการของคู่เจรจาของคุณ
ไม่ควรคิดว่า คู่เจรจาของคุณมีความต้องการเช่นเดียวกับคุณ และก็สำคัญเช่นกัน ที่คุณมีโอกาสที่จะไม่เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของเขา/เธอ
เป็นเรื่องปกติ ที่ผู้เจรจาอาจจะทำผิดพลาด เพราะบางครั้งคุณคิดว่า ได้รู้คำตอบล่วงหน้าทุกอย่างชัดเจนแล้ว
ตัวอย่างเช่น ผู้ขายอาจคิดว่า ผู้ซื้อต้องการซื้อสินค้าหรือบริการในราคาต่ำสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่จะเกิดอะไรขึ้น หากความต้องการที่แท้จริงของเขา/เธอ เป็นคุณภาพหรือสถานภาพ?
นั่นเป็นการพลาดโอกาสสำหรับผลลัพธ์แบบ “ win-win” นั่นเอง!
องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดสามข้อในการเจรจาต่อรอง
Stark และ Flaherty แจ้งให้ทราบว่าเป็นเรื่องของเวลา (ระยะเวลาที่เกิดการเจรจา) ข้อมูลข่าวสาร (ยิ่งคุณมีมากเท่าไรยิ่งดี)และ อำนาจ (ซึ่งมีหลายรูปแบบ) 1. เวลา
เช่นเดียวกับสิ่งส่วนใหญ่ในชีวิต ที่ดูเหมือนจะยึดมั่นในหลักการของพาเรโต้ ผลลัพธ์ของคุณมากกว่าร้อยละ 80 ในการเจรจา ตกลงกันได้ในช่วงร้อยละ 20 สุดท้ายของเวลา หากคุณต้องการนำเวลามาใช้ในระหว่างการเจรจา ทำตามคำแนะนำง่ายๆเหล่านี้
1. มีความอดทน (Have patience )
2. ยืนกราน (Be persistent )
3. ทำอย่างรวดเร็วเมื่อทำได้ (Move quickly when possible )
4. ตระหนักว่าการกำหนดเวลาเส้นตายสามารถเปลี่ยนแปลงได้ (Realize deadlines can be moved, changed, or eliminated )
5. รู้กำหนดเวลาของคู่เจรจา (Know your counterpart’s timeline )
6. ทำให้เวลาเป็นประโยชน์สำหรับคุณ (Make time work for you )
2. ข้อมูลข่าวสาร
ยิ่งคุณรู้เรื่องในการเจรจาต่อรองมากเท่าใด ผลลัพธ์ก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น ถ้าคุณรู้น้อยก็มีโอกาสที่คุณจะเป็นฝ่าย "แพ้"
การเจรจาไม่ใช่เหตุการณ์ แต่เป็นกระบวนการที่เริ่มต้นนาน ก่อนที่จะพบเจอแบบตัวต่อตัว จงเตรียมตัวให้พร้อม
ค้นหาทุกสิ่งที่คุณต้องการ จากใครก็ตามที่มีข้อเท็จจริงและสถิติ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนของคุณ ญาติของคุณ เพื่อนร่วมงาน หรือคนรู้จักกับคู่เจรจาของคุณ ท่องอินเทอร์เน็ต ตรวจสอบไฟล์ที่เก็บไว้อย่างถาวร และอย่าลืมว่า คู่เจรจาของคุณอาจทำเช่นเดียวกัน
3. อำนาจ
“อำนาจมีหลายประเภท ที่มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ของการเจรจาต่อรอง เพราะถ้าคุณมีอำนาจแต่ไม่ได้ใช้ ก็จะไม่เพิ่มคุณค่าในการเจรจา”
1. ตำแหน่งหน้าที่ (Position )
2. ความรู้ความเชี่ยวชาญ (Knowledge of expertise )
3. ลักษณะเฉพาะตัว หรือจริยธรรม (Character or ethics )
4. รางวัล (Rewards )
5. การลงโทษ (Punishment )
6. เพศ (Gender )
7. ความอ่อนแอ (Powerlessness )
8. ความมีเสน่ห์ หรืออำนาจส่วนบุคคล (Charisma or personal power )
9. ขาดความสนใจ หรือความปรารถนา (Lack of interest or desire )
10. ความบ้าคลั่ง (Craziness )
กฎห้าข้อของอำนาจ
นอกเหนือจากการใช้อำนาจแล้ว มีกฎห้าข้อของอำนาจเช่นกันคือ
1. ไม่มีใครที่ครองอำนาจได้ทั้งหมด ( Seldom does one side have all the power )
2. อำนาจมีทั้งจริงและแบบชัดเจน ( Power may be both real and apparent )
3. อำนาจขึ้นกับการยอมรับ ( Power exists only to the point at which it is accepted )
4. ความสัมพันธ์ของอำนาจเปลี่ยนแปลงได้ ( Power relationships can change )
5. ควรทดสอบอำนาจว่ามีจริง ( Power should be tested )
ผู้เจรจาต่อรองสามประเภท
1. ฉลาม: ไม่มีผลลัพธ์อื่นนอกจากผลชนะ-แพ้ พวกเขาไม่เต็มใจที่จะจบลงด้วยการพ่ายแพ้ พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกที่ยากลำบาก และคิดว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่จะชนะด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมด นั่นเป็นสาเหตุที่พวกเขาแล้วมุ่งเน้นไปที่ “การฆ่า”
2. ปลาคาร์ป : อาศัยอยู่ในโลกที่ยากลำบาก เป้าหมายสุดท้ายของพวกเขาคือไม่ต้องการชนะ แต่ต้องการลดความสูญเสีย พวกเขาเผชิญหน้ากับความหวาดกลัว และอยู่กับความคิดที่ว่า พวกเขาจะต้องทำอย่างหนักเพื่อรักษาสิ่งที่พวกเขามีอยู่ เมื่อต้องเผชิญกับปลาฉลาม ปลาคาร์ปมักจะอยู่ฝ่ายแพ้
3. ปลาโลมา: เป็นผู้เจรจาต่อรองที่ดีที่สุด เพราะพวกเขาอาศัยอยู่ในโลกที่อุดมสมบูรณ์ พวกเขามีความคิดว่า มีผลลัพธ์ที่แตกต่างกันมากมายไม่ใช่เพียงสองประการ (แพ้หรือชนะ) พวกเขามีความยืดหยุ่น และสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ นอกจากนี้ พวกเขาจะลองทุกอย่าง เช่นว่ายน้ำรอบ ๆ แทนการเผชิญหน้า แต่ถ้าถูกท้าทายจากฉลาม พวกเขาสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและเด็ดเดี่ยว พวกเขายังให้อภัยได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ดังนั้นหากคู่เจรจาคือฉลาม แสดงสัญญาณของความร่วมมือใด ๆ ปลาโลมาก็มีความสามารถในการเปลี่ยน จากการตอบโต้อย่างรวดเร็วเป็นกลยุทธ์ความร่วมมือมากขึ้น
ส่วนที่สองของหนังสือ: 101 กลยุทธ์เพื่อการเจรจาต่อรองที่ประสบความสำเร็จ
เป็นการนำเสนอกลวิธีในแต่ละรูปแบบ ที่มีคำอธิบายเกี่ยวกับชั้นเชิงพร้อมตัวอย่าง
การอธิบายกลวิธีทั้ง 101 รายการ จะเกินขอบเขตของการสรุปนี้ ดังนั้นมีสามตัวอย่างที่เป็นบทเรียนสำคัญ คือ
1. นั่นเป็นข้อเสนอที่ดีที่สุดของคุณแล้วหรือ ? (Is That Your Best Offer?)
2. ว้าว! คุณต้องล้อเล่นแน่ ๆ! ( Wow! You’ve Got to Be Kidding!)
3. นำสิ่งในอนาคตมาต่อรอง ( Giving Up a Future Draft Choice)
ชั้นเชิงการเจรจาต่อรอง: 1. นั่นคือข้อเสนอที่ดีที่สุดของคุณแล้วหรือ ?
เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการฝึกฝนทักษะการเจรจาต่อรองของคุณ ให้เริ่มถามด้วยคำถามนี้จากพนักงานขายจนเป็นนิสัย
“คุณจะประหลาดใจว่า พวกเขาจะลดราคาลงได้อีก หรือคุณอาจจะได้รับประโยชน์พิเศษ จากการถามคำถามง่าย ๆ นี้”
ลองทำ และดูว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร!
ชั้นเชิงการเจรจาต่อรอง: 2. ว้าว! คุณต้องล้อเล่นแน่ ๆ!
“นักเจรจาต่อรองที่ประสบความสำเร็จ มักทำได้ดีในการแสดงความประหลาดใจ”
และนี่คือวิธีที่พวกเขามักจะแสดงความประหลาดใจนั้น มันอาจดูไร้สาระ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว มันมีผลกระทบจริง ๆ มันทำให้คู่เจรจาของคุณถามตัวเองว่า "เขารู้อะไร (ที่ฉันไม่รู้)" แม้ว่าเขาจะรู้ว่า มันเป็นแค่กลลวงก็ตาม
ในความเป็นจริง การไม่ทำท่าทางประหลาดใจเมื่อมีการพูดถึงราคาหรือเงื่อนไข อาจส่งผลให้บางสิ่งที่คุณไม่ต้องการ นั่นคือคู่เจรจาของคุณได้ประโยชน์จากคุณ
ชั้นเชิงการเจรจาต่อรอง: 3. การนำสิ่งในอนาคตมาต่อรอง
ทุกคนที่เฝ้าดูการคัดเลือกตัวนักกีฬาอาชีพในแต่ละรอบของ NBA รู้ว่ามันหมายถึงอะไร คือการที่เราได้รับสิ่งที่ต้องการมากขึ้น ในขณะที่ยอมสละบางสิ่งบางอย่างในอนาคต
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอยากดูเกมฟุตบอลคืนนี้จริง ๆ แม้ว่าคุณจะสัญญากับแฟนสาวของคุณว่า จะพาเธอไปที่ร้านอาหารที่ดี คุณอาจจะเสนอข้อตกลงนี้กับเธอ “หากคุณให้ฉันดูเกมฟุตบอลวันนี้ ฉันจะพาคุณออกไปทานอาหารสามครั้งในช่วงสัปดาห์หน้า”
เราไม่รับประกันว่ามันจะใช้งานได้ผล แต่ก็คุ้มค่ากับการทดลองทำดู!
สรุป
คุณอาจต้องการคำแนะนำในเรื่องการเจรจาต่อรองอื่น ๆ อีก นอกเหนือจากหนังสือเล่มนี้ แต่เรารู้สึกว่า หนังสือเล่มนี้ คือสิ่งที่คุณจะกลับมาทบทวนเสมอ เพราะหนังสือเล่มนี้ทำหน้าที่เหมือนเป็นหนังสือเรียน (ส่วนแรก) และสารานุกรม (ส่วนที่สอง) **************************************