สคส. โดย HPON จัดการอบรม Service Design โดยมีทีม BH Academy นำโดยคุณภัทรา ศรีสุวัฒนาสกุล เป็นวิทยากร คุณมริน เปรมปรี แห่ง สคส. สรุปนำมาเผยแพร่ ดังต่อไปนี้
อบรมเชิงปฏิบัติการ“Service Design”
วันที่ 26 กรกฎาคม 2562 เวลา 08.30 – 16.00 น.
ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ห้อง GIMINI ชั้น 2
ทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมกิจกรรม
วิทยากรให้ผู้เข้าร่วมเลือกภาพหน้าคนที่สะท้อนบุคลิกของตัวเอง 1 ภาพ แล้วนำไปหาเพื่อนที่ไม่รู้จักเพื่อแนะนำชื่อ ชื่อเล่น งานที่ทำ ทำความรู้จักคนอื่นๆในห้องประชุม เวียนหาเพื่อนคนใหม่เพื่อทำความรู้จักกันต่อๆไป (ให้เวลาผู้เข้าร่วมได้ทำความรู้จัก พูดคุยกัน)
เรียนรู้ตัวอย่างการทำ Service Design ในแต่ละหน่วยงานของบำรุงราษฎร์และการนำไปใช้
ตั้งแต่ปี 2014 บำรุงราษฎร์เริ่มใช้ Service design โดย TCDC มาสอนให้ จนตอนหลังได้พัฒนามาทำเอง ปกติหลักสูตรนี้ใช้เวลา 2 วัน
ตัวอย่างการทำงานของ พยาบาล ในการพูดคุยกับคนไข้ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในการพูดคุยกับคนไข้ ออกแบบขั้นตอนการพูดคุยกับคนไข้ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน คือ
- 1. การสำรวจ
- 2. การประเมินความเจ็บปวด
- 3. ดูการขับถ่าย
- 4. ดูสิ่งแวดล้อม การปรับเตียง ให้คนไข้อยู่สบาย
- 5. การวางแผนและแจ้งว่าจะกลับมาอีกครั้งเมื่อไร
ทำความเข้าใจในแต่ละขั้นตอนของ Service Design
Service Design คือ
- การสร้างสรรค์ กระบวนการเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการหรือแก้ปัญหาผู้บริโภค/ลูกค้า
- ไม่ได้จำกัดแค่การออกแบบ แต่ยังครอบคลุมไปถึงการวิเคราะห์ พัฒนาปรับปรุงการบริหารให้ดีขึ้นด้วย
ตัวอย่าง
- Blood Contamination ทำปากกาที่มีแทบสีเรียงแจกพยาบาลไว้ใช้และเพื่อไว้ดูวิธีการเรียงตามสี
- โปสเตอร์ภาพเรื่องการพับแขนหลังเจาะเลือด
- วิธีการใส่หน้ากากเครื่องช่วยหายใจอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดแผลกดทับที่ใบหน้า โดยมีการทดลอง เป็นงานวิจัย และส่งประกวดที่ต่างประเทศ
- ทดลองน้ำยาที่จะช่วยให้ไม่เกิดแผลกดทับ
- Journey of Service Implement
- Service Blueprint
2018 บำรุงราษฎร์เริ่มทำ Service Design เอง
เริ่มทำจาก 34 แผนก โดยจัด W.S. แบบย่อให้กับคนทำงาน เริ่มทำเมื่อเดือน ก.พ.ปีที่แล้ว แล้วมีการจัดเวที แชร์กันโดยทำในทุกเดือน เป็น Lunch meeting ผลออกมาได้มาทั้งหมด 130 ไอเดีย และได้นำไปใช้จริง 100%
Business Center
- เคยมีกรณีที่บำรุงราษฎร์ช่วยต่อ VISA ให้กับคนไข้ เนื่องจากมีคนไข้ต่างชาติเยอะ ปรากฏว่ามีคนนอกมาขอทำด้วย คิวยาวมากจนไม่ไหว จึงมีการเสนอทางออกคือ เก็บเงินคนที่ไม่ใช่คนไข้ และขายการตรวจสุขภาพ และขายบริการอื่นๆ ระหว่างรอ
- ปัญหาเรื่องคิว ใช้วิธีจัดนัดคิวให้ มีใบนัดให้ โดยให้เหมาะกับเวลาของธรรมชาติลูกค้าแต่ละกลุ่ม
Digestive Disease Center
- ปัญหาคนไข้รอคิวนานมาก ใช้การนำเก้าอี้มาวางหน้าห้องตรวจสำหรับคิวที่ใกล้แล้ว
GI/Broncho Endoscopy and Eye Clinic
- ปัญหาคนไข้ที่ต้องอดอาหารรอคิวส่องกล้องต้องถ่ายท้องออกให้หมด ทำให้คนไข้หิวไม่อยากไปซื้ออาหารที่โรงอาหาร จึงแก้ด้วยการจัดให้มีอาหารว่างไว้ให้
- รสชาติของยาระบายไม่อร่อยทำให้คนไข้ไม่อยากกิน แก้โดยผสมให้เครื่องดื่ม
Medical Clinic 2
- ปัญหาเรื่องคิวล่ามที่จะเข้าไปแปลภาษาในห้องคนไข้ แก้โดยให้การทำป้ายสีของล่ามแต่ละชาติเพื่อเสียบหน้าห้องขณะที่ให้บริการอยู่ในห้องนั้นๆ ทำให้รู้ว่าล่ามอยู่ในห้องและเป็นล่ามชาติอะไร
Surgical Clinic
- คนไข้ไม่ต้องการให้เรียกชื่อเสียงดัง แก้ด้วยการทำใบบอกลักษณะคนไข้ จุดเด่นของคนไข้ช่วยทำให้เจ้าหน้าที่หาคนไข้ได้เจอ โดยไม่ต้องเรียกชื่อเสียงดัง
All Department
- การพูดคุยกับคนไข้หลากหลายชาติ แก้โดยการมีบทสนทนาสั้นๆ ที่เป็นคำสั้นๆที่ต้องใช้บ่อย 7 ภาษา เพื่อไว้ให้พนักงานได้สื่อสารกับคนไข้ชาติต่างๆ เป็นการสร้างความประทับใจให้กับคนไข้ ตอนนี้มีพัฒนาไปอยู่ในแอปพลิเคชันให้กับพนักงานแล้ว
ปี 2019 มีการทำต่ออีก
Business Center
- ให้ความรู้กับคนไข้เรื่องวันหมดอายุของ VISA
Orthopedic
- คนไข้ไม่ได้รับการแจ้งเวลารอคอยที่ชัดเจน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ที่ทราบรายละเอียดล่าสุด อยู่กับแพทย์ในห้องตรวจ แก้โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย
คำถามผู้เข้าร่วม
ถาม : การเลือกคนที่จะมาอบรม และทำวง Service Design ควรเลือกหัวหน้างานไหม
ตอบ : คนที่จะคิดได้ดีที่สุดคือคนหน้างาน ซึ่งคนหน้างานที่จะเลือกมาต้องเป็น Change agent ดูที่ทัศนคติ
ถาม : ความต้องการและ ลักษณะของลูกค้าที่จะเอามาวิเคราะห์ เอามาจากไหน
ตอบ : ใช้ persona ในการคิด ช่วงบ่ายจะได้ลองทำกัน
คุณภัทรา : ขอขอบคุณ SCB เนื่องจากได้ไปดูงานเรื่อง Agile แล้วได้นำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับ Service Design เป็นประโยชน์มากๆ
ทำความเข้าใจกับเครื่องมือที่ใช้ใน Service Design
Design Thinking
- 1. Empathize : การทำความเข้าใจลูกค้า
- 2. Define : กรอบปัญหา /กำหนดปัญหาให้ชัดขึ้น แคบลง
- 3. Ideate : คิดหาแนวทางแก้ไขโดยคิดออกมาหลายๆ แบบ
- 4. Prototype : เลือกและลองทำออกมา
- 5. Test : นำไปทดลองใช้จริง
ประวัติที่มาแนวคิด Design Thinking มาจาก สองพี่น้อง บ. IDO โดย
มองความต้องการของมนุษย์เป็นหลัก และนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้อย่างเหมาะสม โดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง Human Center ของการคิด
“โลกธุรกิจเปลี่ยนจากปลาใหญ่กินปลาเล็ก เป็น ปลาเร็วกินปลาช้า”
ตัวอย่างกลุ่มศิษย์เก่า D school คือ การผลิต Embrace เครื่องอบเด็กอ่อนที่เคลื่อนที่ได้ สะดวกใช้ที่บ้านและทุกที่ได้
ฝึกปฏิบัติการลองทำ Service Design และตอบคำถาม
Design Thinking Journey
ให้ผู้เข้าร่วมลงมือทำเป็นกลุ่ม โดย กำหนดว่าลูกค้าของเราคือใครแล้วเริ่มคิดตามกระบวนการ
-
1. Empathize มีเป้าหมายคือ ทำความรู้จักลูกค้าจนเห็นปัญหาของเขา สาเหตุของปัญหานั้น (ทุกข์ ต้นเหตุแห่งทุกข์) Pain point, insight, persona โดยการเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย การเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือ การเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย เป็นกระบวนการสำคัญในการทำ Service Design โดยใช้การสังเกต Observe หรือการลองเป็นกลุ่มเป้าหมาย
การเลือกกลุ่มเป้าหมายที่จะนำมาออกแบบ ให้เราเลือก Extreme User ทั้งสองด้านในด้านที่ดีที่สุดและแย่ที่สุด โดยเราจะต้องหาข้อมูล คือ
- 1. เขามักจะพูดอะไร
- 2. เขาทำอะไร
- 3. เขาคิดอะไร
- 4. และเขารู้สึกอย่างไร
ตัวอย่างของ persona บุคลิกลักษณะ เช่น ขี้บ่น จู้จี้ เอาแต่ใจ ขี้รำคาญ
เทคนิคในการที่จะเข้าไปหาข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายเพื่อหา Pain point เริ่มจากแนะนำตัว ทำความรู้จัก สร้างความไว้วางใจ ถาม และทวน (คำถามต้องไม่ชี้นำ ไม่เป็นคำถามปลายปิด)
- สร้างความไว้วางใจ
- กระตุ้นให้เกิดการเล่าเรื่อง
- อย่าถามนำ ชี้นำ
- เงียบและตั้งใจฟัง
Tips คือ
- ต้องร่าง Customer Journey คร่าวๆ เพื่อรู้กระบวนการ
- ระบุ Pain point
- วางแผนในการ Empathize โดยแบ่งหน้าที่ในการถามให้ชัดเจน
-
2. Define การตั้งกรอบปัญหา (หนทางดับทุกข์) เอาข้อมูลมาสังเคราะห์เพื่อหาความต้องการของลูกค้า โดยให้เปลี่ยน Pain point ให้เป็น Needโดย Need ไม่ควรเป็นคำนาม แต่ควรเป็นคำกริยา
-
3. Ideate ให้คิดไอเดียในการแก้ปัญหา โดยให้เสนอคนละ 3 ไอเดีย แล้วให้แชร์ไอเดียกัน แล้วเลือกไอเดียที่จะคิดต่อออกมา แล้วคิดชื่อโปรเจ็คนี้คืออะไร และคิด
- วัตถุประสงค์
- กระบวนการ/ขั้นตอน
- อุปกรณ์/ผู้เกี่ยวข้องที่จะใช้
- และ Before and After คืออะไร
-
4. Prototype เป็นการเอาไอเดียออกมาทำให้เป็นรูปธรรม จับต้องได้ ตอนทำออกมาต้องทำแบบง่ายและเร็ว เช่นการวางเลย์เอาท์ของมินิมาร์ท ก็ใช้กระดาษวาดเลย์เอาท์ออกมา หรือลองใช้ลังกระดาษมาวางเพื่อทดสอบมุมมองของลูกค้า
-
5. Test เอาลงไปทดลอง และสามารถนำกลับมาวนลูปทำตั้งแต่ข้อ 1 ได้อีกครั้ง
สรุป การทำ Empathize ต้องระวังที่จะไม่คิดแทนลูกค้า เราต้องเอาข้อมูลจริงจากลูกค้า และเมื่อทำ Prototype นำไปทดลองแล้ว จะกลับมาทำ Empathize อีกรอบก็ได้ โดยการทำ Prototype ต้องทำให้เร็ว ให้มีผลลัพธ์ออกมาให้เร็ว และเมื่อเรานำไปทดลองเราต้องยอมรับ Feedback
โดยดูว่า
- อะไรที่เขาชอบ อะไรที่ต้องแก้ไข
- ลูกค้างงกับไอเดียไหน
- ลูกค้ามีข้อเสนอแนะอะไร
ผมมองว่า Service Design เป็นเครื่องมือ KM อย่างหนึ่ง จุดเด่นคือ เความรู้ของผู้รับบริการมาใช้สร้างมูลค่า (และคุณค่า) ด้วย เป็น KM ที่ช่วยฝึกผู้ให้บริการจากหลายหน่วยให้รวมตัวกันคิด คิดหาทางให้บริการที่ลูกค้าพอใจ
วิจารณ์ พานิช
๒๖ ส.ค. ๖๒