๙๘๒. ภาพ..จากความทรงจำอันยาวนาน


แปลงผักของเพื่อนที่อยู่ข้างเคียง ความงดงามแตกต่างกันจนสิ้นเชิง ยิ่งเมื่อมองจากภาพทางอากาศ คือยืนดูที่หน้าต่างบนชั้นสองของอาคารเรียน มองลงมาจะเห็นผักในแปลงของผมขึ้นเป็นหย่อมๆ ไม่เต็มพิกัดหรือจัดเต็มเหมือนแปลงของเพื่อนๆ

         ผมเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร..หลายท่านคงคิดว่าผมจะรำพึงรำพันถึงความก้าวหน้าในชีวิต กับยศตำแหน่งหน้าที่การงาน ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

    ผมกำลังจะพูดถึงความสำเร็จที่มาเยือน สู่ขั้นสูงสุด ณ จุดหนึ่งของชีวิต ในท่ามกลางงานบริหารระคนงานสอน กับละครแห่งชีวิตครูในช่วงสุดท้าย..

    ที่ผมได้มีโอกาสสัมผัสกับความสุขกับกิจกรรมการ”ปลูกผัก”ในโรงเรียน กิจกรรมการเรียนรู้ที่มีเด็กเป็นศูนย์กลางและเป็นผู้ช่วยครู ที่ผมอยากให้แปลงผักเป็นแหล่งเรียนรู้

        ปัจจุบัน..ผมคิดว่าได้ทำสำเร็จแล้วอย่างเป็นรูปธรรม ก้าวข้ามผ่านความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน อีกทั้งเป็นภาพที่ฉายความต่อเนื่องและสม่ำเสมอ..

        ย้อนไปในเบื้องลึกซึ่งนานมาก ผมยังจำได้เมื่อครั้งเรียนประถมปลาย ไม่รู้ทำไมผมถึงผูกพันกับวิชาเกษตร..ทั้งที่ทำคะแนนได้ไม่ค่อยดีนัก ตอนนั้นผมตัวเล็กมากจับจอบก็ไม่ค่อยจะไหว..

        ขุดดินทำแปลงเกษตรหลังโรงเรียนวัดท่าเกวียน ในผืนดินที่ติดกับป่าช้า แปลงเกษตรผมไม่เคยสวยงามเหมือนเพื่อน แต่ผมก็ลงทุนลงแรงและพึงพอใจที่ทำสำเร็จ..

        ผักที่ครูให้ผมปลูกมีอยู่ไม่กี่อย่าง ที่จำได้ก็มีผักกาด กวางตุ้ง คะน้าและถั่วฝักยาว เพื่อนผมที่เป็นลูกชาวนาชาวสวนมีปุ๋ยติดมือมาใส่ในแปลงเกือบทุกสัปดาห์ ผมได้แต่มองตาปริบๆ

        แต่ผมก็รดน้ำทุกวัน ยกเว้นเสาร์อาทิตย์ที่พ่อกับแม่จะไม่ให้ไปโรงเรียน เพราะเป็นห่วงที่ผมจะต้องเดินไปไกล เช้าวันจันทร์จึงพบว่าผักซึมเศร้าเฝ้ารอทักทายผม

        ผิดกับแปลงผักของเพื่อนที่อยู่ข้างเคียง ความงดงามแตกต่างกันจนสิ้นเชิง ยิ่งเมื่อมองจากภาพทางอากาศ คือยืนดูที่หน้าต่างบนชั้นสองของอาคารเรียน มองลงมาจะเห็นผักในแปลงของผมขึ้นเป็นหย่อมๆ ไม่เต็มพิกัดหรือจัดเต็มเหมือนแปลงของเพื่อนๆ

        ตอนนั้น..จำได้ว่าไม่ได้คิดอะไรมาก ถึงแม้ว่าจะได้คะแนนน้อยก็ตาม แต่จิตสำนึกจะคอยย้ำให้เตือนตนอยู่เสมอ..ว่าการปลูกผักเป็นเรื่องง่าย แต่เจ้ายังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรนะ...

        พอมีโอกาสไปเรียนวิชาชีพครู ก็ไม่ได้เลือกเรียนวิชาเอกเกษตร เนื่องจากครอบครัวไม่มีที่ดินทำกิน เรียนครูจบแล้วเดินทางไปเป็นครูที่อีสาน ก็ไม่ได้ทำแปลงเกษตรกับนักเรียน เพราะโรงเรียนอยู่ในท้องถิ่นที่ค่อนข้างแห้งแล้ง

        แต่ก็แปลกใจอยู่บ้าง ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมบ้านนักเรียน หรือตามครูใหญ่ไปกินสาโทที่หัวคันนาท้ายหมู่บ้าน จะพบสระน้ำและในบริเวณใกล้สระน้ำนั้น ผมเห็นชาวบ้านปลูกผักได้งามมาก เขาปลูกกันหลากหลายชนิด ไม่มีการฉีดยาฆ่าแมลงและปลูกกันทั้งปี

        ประสบการณ์ในช่วงเวลานั้น ทำให้ผมอยากมีที่ดินเป็นของตัวเอง อยากลงมือปลูกผักอย่างจริงจังสักครั้ง เหมือนต้องการแก้มือหลังจากล้มเหลวมาตลอดตอนที่เรียนชั้นประถมฯ

        เกือบ ๒๐ ปีที่ผ่านพ้น..จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ลงมือ แต่ความกระตือรือร้นก็มิได้กระโดดหนีไปไหน เกษตรอินทรีย์ที่พอเพียงยังอยู่ในใจ และดีใจที่ได้ยินว่าเมืองไทยจะได้เป็น”ครัวโลก”ยิ่งเคลิ้มไปยกใหญ่

        วันที่ได้มาสู่รั้วโรงเรียนเล็ก วันนั้น..รู้เลยว่าฝันจะเป็นจริงเพราะมองเห็นสระน้ำ มองเห็นใบไม้ที่กำลังผลัดใบ ปี ๒๕๕๑ นักการภารโรงจะเกษียณ ผมเลยไหว้วานให้ท่านช่วยทำแปลงผักให้เป็นที่ระลึก...

        ต่อมา..ก็มีโอกาสเรียนรู้จากครูและเพื่อนผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตร บอกถึงวิธีการเตรียมดิน ตากดิน การใส่ปุ๋ยคอก และความเหมาะสมของการปลูกผักในแต่ละช่วงเวลา..

        ผมได้เรียนรู้การทำปุ๋ยหมักใบไม้ เมื่อย่อยสลายกลายเป็นดิน ยังต้องคลุกเคล้ากับมูลวัวผสมกับน้ำหมักชีวภาพ และเวลาปลูกผักยังต้องรดด้วยน้ำหมักผักผลไม้อีกด้วย

         วันนี้..ภาพความทรงจำอันยาวนานเริ่มลบเลือน ย้ำเตือนตัวเองให้ถอดบทเรียนนำสู่ตัวเด็กให้มากที่สุด เพื่อให้เด็กรักงาน รักเกษตรและทานผักปลอดสารพิษเป็นประจำ

ชยันต์  เพชรศรีจันทร์

๒๐  สิงหาคม  ๒๕๖๒

หมายเลขบันทึก: 666064เขียนเมื่อ 20 สิงหาคม 2019 22:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 สิงหาคม 2019 22:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท