ผมพานักเรียนบางส่วน ที่ไม่ได้เป็นนักกีฬาของโรงเรียน ไปทำงานที่แปลงนา เดินชมต้นไม้ใบหญ้า จบลงที่การถอนหญ้าใกล้ๆกับดงปอเทืองริมคันนา
จากนั้น..ผมก็พาไปอ่านหนังสือ พบว่ามีเด็กสามคน เรียนอยู่ชั้น ป.๓ อ่านคล่องมาก ผมก็เลยให้สอนเพื่อนและน้องที่อ่านกระท่อนกระแท่น ผมสังเกตเห็นความน่ารักที่เพื่อนสอนเพื่อนและพี่สอนน้อง
ครูธุรการเดินมาบอกผม “ผอ.คะ ศึกษานิเทศก์มาค่ะ” ผมเหลือบดูนาฬิกา ก็เห็นว่า ๑๕ นาฬิกาพอดิบพอดี..ศน.เขาจะมาสอบการอ่านการเขียนที่ชั้น ป.๑
ในโครงการนิเทศติดตามและเร่งรัด ของ สพฐ.ศธ.ที่อยากเห็นพัฒนาการด้านการอ่านเป็นพิเศษ โดยเริ่มต้นกันที่ชั้น ป.๑ และใช้เครื่องมือประเมินการอ่านการเขียนที่เขตสร้างขึ้นเฉพาะกิจ..
เป้าหมายก็เพื่อสำรวจประสิทธิภาพการอ่านของโรงเรียนในสังกัด และกระตุ้นให้ครูเห็นความสำคัญของการอ่านการเขียน..งานนี้..เป็นไปด้วยความสมัครใจไม่บังคับ โรงเรียนใดพร้อม ก็ยื่นคำขอให้ศน.นำเครื่องมือมาวัดได้เลย..
จริงๆเปิดเรียนมา ๓ เดือน คงยังไม่พร้อมหรอก แต่ผมอยากรู้ว่าเด็กอยู่ในจุดไหน ต้องแก้ไข หรือพัฒนาอะไรต่อไป..ก็เลยให้ผู้ปกครองนั่งรอรับเด็กจนถึงเวลา ๑๖.๒๐ น.
ป.๑..สมัยนี้จึงไม่ธรรมดา เมื่อก่อนก็บอกว่าเทอมแรกให้เตรียมความพร้อม อ่านไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยไปเร่งตอนอยู่ ป.๓ – ๔ ก็ได้..
ผมเคยเห็นด้วย เพราะเห็นว่าเพิ่งขึ้นมาจากชั้นอนุบาล จะอะไรกันนักกันหนา แต่ความคิดนี้ไม่มีแล้ว..ต้องอ่านมาตั้งแต่ชั้นอนุบาลและต้องอ่านทุกวัน..
การอ่าน..คือเครื่องมือในการสื่อสาร คือทักษะพื้นฐานในการเรียนรู้ที่สำคัญยิ่ง เด็กอยู่ในท้อง จะฟังแม่อ่านหนังสือ เด็กอนุบาลดูรูปภาพแล้วก็อ่านไปกับครู
ครูต้องสร้างบรรยากาศให้เด็กรักการอ่านก่อน ให้รู้สึกรักหนังสือและอยากอ่าน มีความอยากรู้อยากเห็น ถ้าครูจะประเมินก็ดูเพียงความสนใจของเด็กก็พอ
ป.๑..ก็เหมือนกัน ครูอย่ามุ่งมาดคาดหวังอย่างเอาเป็นเอาตาย เพียงเพราะว่าจะมีใครมาประเมิน จริงๆก็เป็นแค่เพียงการประเมินตนเองเท่านั้น
สาระสำคัญอยู่ที่กระบวนการหรือเส้นทางที่จะไปสู่การรักการอ่านของเด็ก ป.๑ เด็กไม่อยากอ่าน..ถ้าครูไม่พาอ่าน..เด็กจะไม่อ่าน..ถ้าครูไม่สอนวิธีการสะกดคำ และจะล้มเหลวหรือไม่สนุกเลย ถ้าเด็กไม่รู้จักพยัญชนะและสระเดี่ยว อะ อา อิ อี เอ แอ.....
เด็ก ป.๑ เป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก อยากรู้อยากเห็น อยากจด อยากจำ..ครูทำเรื่องการอ่านให้ง่ายให้สนุกสนาน แล้วการเขียนแบบที่ไม่มีตัวสะกดจะตามมาเอง..
เมื่อรากฐานการเรียนรู้อยู่ที่การอ่าน ถ้าอ่านไม่ได้ หรือไม่รักที่จะอ่าน เด็กจะมีปัญหาการเรียนในทุกวิชาในชั้น ป.๕ – ๖ ผมหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะผมอยู่ในโรงเรียนขนาดเล็ก ครูไม่ครบชั้น เทคโนโลยีไม่ทันสมัย..ก็เลยเชื่อว่า..การอ่าน..จะช่วยได้
ป.๑ – ๒ ให้อ่านแบบไม่ต้องมีเงื่อนไข ไม่ต้องไปกดดัน ผมพยายามเสริมแรงเด็กอยู่เสมอ อ่านได้อ่านดีเอารางวัลไป เพื่อกระตุ้นให้เขามีกำลังใจ อยากจะมาอ่านให้เราฟัง
ก่อนกลับบ้าน..เด็กมารายงานผมว่า“หนูอ่านได้คะแนนเต็ม ๑๐ เลยค่ะ” “ผมเขียนได้หมดทุกคำเลยครับ”ผมรู้สึกดีใจก็จริง แต่ก็คิดว่าถนนสายนี้ยังอีกยาวไกลนัก
แต่..ก็ไม่ได้รู้สึกท้อหรือคิดว่ามันเป็นงานยาก เพราะเด็กก็เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ปอเทือง..ตกหล่นอยู่ที่ใด ..ถ้าน้ำดีดินดี ก็งอกงามง่ายดายและเติบโตเร็ว
ความชุ่มชื้นของดินและการเอาใจใส่ของคนปลูกที่คอยเฝ้าดูแลและชื่นชมปอเทือง เปรียบได้กับคุณครูที่คอยใกล้ชิดผู้เรียน..สนับสนุนช่วยเหลือให้เขาพากเพียรเรียนรู้ ครูคอยซ่อมเสริมเมื่อมีปัญหา และพัฒนาจนกว่าเด็กจะก้าวถึงฝั่ง
มิใช่..อ่านเพื่อการประเมินและเอาคะแนน ปอเทืองกว่าจะเติบโตแน่นหนาก็ยังต้องใช้เวลา..เช่นเดียวกัน
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๒
ไม่มีความเห็น