ทางรอดของมหาวิทยาลัยในยุคปัจจุบันคือ ต้องทำงานพิสูจน์ตน ว่ามีคุณค่าคุ้มต่อการที่สังคมจะเลี้ยงดู มิฉนั้น มหาวิทยาลัยนั้นจะค่อยๆ ผอมลงๆ มี "โรค" รุมเร้า จนล้มหายตายจากไป
ในสังคมยุคปัจจุบัน ความเป็นมหาวิทยาลัย ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีความมั่นคงยั่งยืนอีกต่อไป การพิสูจน์ตน ว่าทำประโยชน์ (give) มากกว่าเรียกร้องผลประโยชน์ (take) เท่านั้น ที่จะช่วยให้มหาวิทยาลัยดำรงอยู่ได้
จึงเกิดกระแสหรือการขับเคลื่อนเพื่อเปลี่ยนแปลงมหาวิทยาลัยขึ้นทั่วโลก ที่สำคัญคือ กระแส “หุ้นส่วนสังคม” (engagement) เพื่อขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยให้ทำงานวิชาการแนวหุ้นส่วนสังคม ซึ่งหมายความว่าในยุคนี้ ภาควิชาการต้องเข้าไปทำงานในภาคชีวิตจริง (real sector) ด้วย
เพื่อทำหน้าที่นี้ได้อย่างมีผลงานคุณภาพสูง คนมหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนชุดความคิด และเปลี่ยนพฤติกรรม
เปลี่ยนจากอหังการ์ ในความทรงภูมิความรู้ สู่ความอ่อนน้อมถ่อมตน ว่าความรู้ที่ตนมี มีข้อจำกัด ยังต้องการเรียนรู้จากการนำความรู้นั้นไปทดลองใช้ในการปฏิบัติงานจริง ซึ่งต้องการหุ้นส่วนในภาคชีวิตจริง
ทักษะในการติดต่อสานสัมพันธ์ในลักษณะ “หุ้นส่วน” (partner) ที่มีความเท่าเทียมกัน จึงมีความสำคัญยิ่ง ซึ่งหมายความว่า ต้องคุยทำความเข้าใจความต้องการ และกิจกรรมของแต่ละฝ่าย นำไปสู่การคุยความร่วมมือกัน ไม่ใช่คุยกันว่า ฝ่ายภาคชีวิตจริงต้องการให้ฝ่ายมหาวิทยาลัยสนองความต้องการของตนอย่างไร เท่านั้น
ใน ๔ ภารกิจหลัก (สร้างคน สร้างความรู้ ร่วมพัฒนา ธำรงความดีงาม) ของมหาวิทยาลัย ภารกิจใหญ่ที่สุดในปัจจุบันคือ สร้างคน ภารกิจสร้างคนต้องทำร่วมกับหน่วยงานหุ้นส่วนในภาคชีวิตจริง เพราะเราต้องการสร้างคนไปทำงานและดำรงชีวิตในภาคชีวิตจริง ซึ่งการเรียนเฉพาะในรั้วมหาวิทยาลัยไม่เพียงพอเสียแล้ว มหาวิทยาลัยจึงต้องเอาจริงเอาจังในการแสวงหาหุ้นส่วนหรือคู่ร่วมมือในการสร้างคน (เดิมเรียกว่า ผลิตบัณฑิต) ซึ่งผมตีความว่า เป้าหมายสำคัญที่สุดคือ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนโดยการประยุกต์ใช้ความรู้เชิงทฤษฎี และใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflection) ทำความเข้าใจทฤษฎีจากการปฏิบัติ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ หรือเกิดการพัฒนาสมรรถนะ ในมิติที่ลึก และรอบด้าน (holistic) คือได้ทั้งความรู้ ทักษะ และได้พัฒนาคุณลักษณะ (character) ไปในตัว การเรียนรู้ที่ลึกและครบด้านเช่นนี้ ไม่มีทางเกิดได้ หากผู้เรียนได้เรียนเฉพาะภายในรั้วมหาวิทยาลัย
คุณธรรมสำคัญของการเป็น “หุ้นส่วน” (partner) คือ การคำนึงถึงผลประโยชน์ของหุ้นส่วน คนมหาวิทยาลัยจึงต้องมีทักษะในการเจรจาความร่วมมือกับหุ้นส่วนในภาคชีวิตจริง โดยการไต่ถามความต้องการลึกๆ ที่หากมั่นใจว่าความร่วมมือนั้นจะช่วยให้เขาบรรลุความต้องการ อีกฝ่ายยินดีลงทุน หรือลงแรง เพื่อบรรลุความต้องการนั้น ไม่ใช่แค่ต้องการแบบอยากได้มาฟรีๆ ซึ่งจะเป็นหุ้นส่วนที่ไม่จริงจัง ไม่แน่นแฟ้น ไม่คงทน
ย้ำว่า มหาวิทยาลัยต้องการหุ้นส่วนที่เอาจริงเอาจังต่อเป้าหมายของการเป็นหุ้นส่วนนั้น ไม่ใช่หุ้นส่วนลอยๆ แค่ฝ่ายมหาวิทยาลัย ไปถามความต้องการเพียงครั้งเดียว เพื่อเอามาเขียนลงในเอกสารหลักสูตรเพื่อให้ผ่านขั้นตอนที่ฝ่ายมีอำนาจกำหนด
มหาวิทยาลัยจึงต้องการการเปลี่ยนชุดความคิดของคนมหาวิทยาลัย ในการทำงานวิชาการ รวมทั้งต้องมีการพัฒนาทักษะของการเป็นหุ้นส่วนที่ดี ที่มีคุณค่าสูง เป็นที่ยกย่องเชื่อถือของคู่ร่วมมือ ชุดความคิดและทักษะดังกล่าว เป็น “ขุมทรัพย์” (assets) สำคัญ เพื่อการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนต่อเนื่องของมหาวิทยาลัยในยุค disruptive เพราะในอนาคตอันใกล้ รัฐจะมีกำลังน้อยลงในการจัดสรรเงินสนับสนุนมหาวิทยาลัยแบบให้ฟรีอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทรัพยากรหล่อเลี้ยงมหาวิทยาลัยจะมาจากคู่ร่วมมือในภาคชีวิตจริงมากขึ้นเรื่อยๆ มหาวิทยาลัยใดปรับตัวได้เร็ว ก็จะเริ่มมีแหล่งทรัพยากรที่หลากหลาย และมีรายได้จากคู่ร่วมมือในภาคชีวิตจริงมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งมีทักษะสร้างและสั่งสมความรู้จากการทำงานร่วมกับภาคชีวิตจริงเพิ่มขึ้น ความมั่นคงยั่งยืนของมหาวิทยาลัยนั้น จะสูง
มหาวิทยาลัยใด ปรับตัวตามแนวทางนี้ไม่ได้ หรือไม่สนใจปรับตัว ก็จะถูกพลังของ disruptive forces บีบ ให้ค่อยๆ ฝ่อและสลายตัวไป
ผมได้แรงบันดาลใจเขียนบันทึกนี้ จากการเตรียมตัวไปประชุมสภาวิทยาเขตหาดใหญ่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิจารณ์ พานิช
๙ ก.ค. ๖๒
บนเครื่องบินไทยสมายส์ จากกรุงเทพไปหาดใหญ่
ไม่มีความเห็น