การดูแลสุขภาพวัยผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่องที่บ้านและในชุมชน
อ. สายฝน อินศรีชื่น
ประชากรสูงอายุ ถือเป็นกลุ่มวัยที่มีการใช้บริการด้านสุขภาพมากที่สุดเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ส่งผลทำให้เกิดความเจ็บป่วยบ่อย ในทางเดียวกันการดูแลสุขภาพวัยผู้สูงอายุเพื่อลดความเจ็บป่วยจึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
การสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันการเจ็บป่วยในผู้สูงอายุ
การสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันการเจ็บป่วยในผู้สูงอายุตามแนวคิดแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ( Health Belief Model) มีรายละเอียด ดังนี้
แนวทางในการสร้างเสริมสุขภาพในผู้สูงอายุได้แก่
1.การให้คำแนะนำการดูแลสุขภาพด้านต่าง ๆ เช่น
- การรับประทานอาหาร
ผู้สูงอายุควรได้รับอาหารครบ 5 หมู่ ที่มีปริมาณพอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย เนื่องจากอาหารแต่ละหมู่มีความสำคัญต่อร่างกาย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด หรือ หวาน มัน เค็ม เพราะมีความเสี่ยงทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด
- การออกกำลังกาย
ผู้สูงอายุควรออกกำลังกายสม่ำเสมอครั้งละ 20 – 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยต้องมีการอบอุ่นร่างกาย (warm up) ก่อนการออกกำลังกาย และ ควรมีการผ่อนคลายหลังการออกกำลังกาย (Cool down) การออกกำลังกายนอกจากจะช่วยเรื่องของการเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อ ยังช่วยในเรื่องการทรงตัว และทำให้เกิดความสุขจากการหลั่งสาร endrophine จากต่อมใต้สมอง
- การงดเหล้า งดบุหรี่
เนื่องจากเหล้า และบุหรี่ทำหเกิดผลเสียแก่ร่างกายในหลายด้าน ได้แก่ การสูบบุหรี่ทำให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพอง ความดันโลหิตสูง การดื่มสุรา จะทำให้เกิดการกดประสาทส่วนกลางทำให้มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ขาดการยับยั้งชั่งใจ การตัดสินใจไม่ดี ความทรงจำไม่ดี
- การระมัดระวังอุบัติเหตุโดยเฉพาะการหกล้ม
เนื่องจากในผู้สูงอายุมีความผิดปกติหลายด้าน เช่น ปัญหาการได้ยิน ประสาทสัมผัสต่างๆเสื่อม การควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบการทำงานไม่สัมพันธ์กัน และบางรายก็เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนท่าทาง ทำให้มีปัญหาในการขยับตัว ลุก นั่ง หรือยืน รวมทั้งปัจจัยสิ่งแวดล้อมอื่นๆก็ส่งผลเช่นเดียวกัน เช่น แสงสว่าง พื้นที่ลื่น สิ่งกีดขวางทางเดิน
- การไม่ใช้ยาที่ไม่จำเป็น
เนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีโรคร่วมกันหลายโรค จึงใช้ยาหลายชนิดในการรักษาและควบคุมอาการ ทำให้เกิดโอกาสเสี่ยงของการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา (drug interaction) การเปลี่ยนแปลงทางด้านเภสัชพลศาสตร์ที่กระตุ้นให้เกิดจากยาได้ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของผู้สูงอายุส่งผลต่อการใช้ยา ได้แก่
1) การดูดซึมยา (drug absorption) พบว่าผู้สูงอายุมีพื้นที่ผิวของเยื่อบุลำไส้ลดลง เลือดที่ไปเลี้ยงระบบทางเดินอาหารลดลง ส่งผลให้มีการหลั่งกรดเพื่อย่อยน้อยลง ลำไส้มีการเคลื่อนไหวลดลง ทำให้ยาเกิดการดูดซึมลดลง
2) การกระจายตัวของยา (drug distribution) พบว่าผู้สูงอายุมีปริมาณน้ำในร่างกายลดลงแต่มีเนื้อเยื่อไขมันเพิ่มขึ้น ทำให้ยาที่ละลายในน้ำมีการกระจายตัวน้อยลง ระดับยาในเลือดจึงสูงกว่าปกติจนอาจเกิดอันตรายได้ เช่น ยาขับปัสาวะ ส่วนยาที่ละลายได้ดีในไขมันก็จะกระจายตัวได้มากขึ้นตามปริมาตรเนื้อเยื่อไขมัน ทำให้ค่าครึ่งชีวิตของยานานขึ้น ยาจึออกฤทธิ์ได้นานกว่าปกติ และเกิดการสะสมของยาได้ เช่น ยากลุ่มdiazepam, lidocaine รวมทั้งในผู้สูงอายุยังพบว่ามีระดับอัลบูมินในเลือดลดลง ทำให้ยาบางตัวที่มีฤทธิ์จับตัวกับโปรตีนในระดับสูงอยู่ในรูปอิสระมากขึ้น ส่งผลให้ยาออกฤทธิ์นานขึ้น เช่น phenytoin
3) กระบวนการเปลี่ยนแปลงยา (metabolism) ผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลงของมวลตับ และการไหลเวียนของเลือดมายังตับลดลง ส่งผลให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงยาในผู้สูงอายุลดลง ทำให้ค่าครึ่งชีวิตของยายาวนานขึ้นจึงเกิดการสะสมของยา ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงยา จะมีการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลยาที่ละลายในไขมัน และผ่านเข้าไปในเซลล์ ทำให้เป็นโมเลกุลละลายในน้ำ และขับออกทางไต ดังนั้นตำแหน่งแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงยาคือ สมอง ปอด ลำไส้ ซึ่งมีเอนไซม์ในการเปลี่ยนแปลงยา (Oxidation metabolism) คือ cyntochrome P450 (CYP450) monooxygenase system
4) การเปลี่ยนแปลงที่กระบวนการขับยา (elimination) พบว่าผู้สูงอายุมี ปริมาณเลือดไปเลี้ยงที่ไตลดลง อัตราการกรองที่หน่วยไตลดลงจึงทำให้การขับของเสีย (creatinine clearance ) ลดลง ดังนั้นในผู้สูงอายุจึงควรให้ความรู้เรื่องยา ให้ทราบถึงชนิด ขนาด ฤทธิ์ของยา ผลข้างเคียงของยา วิธีใช้ให้ชัดเจน และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่ไม่จำเป็น
2. การฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่เป็นปัญหาในผู้สูงอายุ
เนื่องจากการฉีดวัคซีนเป็นการลดความรุนแรง และป้องกันการเกิดโรคอย่างมีประสิทธิภาพตามคำแนะนำการให้วัคซีนป้องกันโรคสำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. 2557 ได้แนะนำวัคซีนที่ควรฉีด (Recommended vaccine) ในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 65 ปีขึ้นไปไว้คือ
1) วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก (Tetanus vaccine) และคอตีบ (Diphtheria vaccine)โดยพบว่าภูมิคุ้มกันโรคบาดทะยักมีแนวโน้มลดลงในช่วงอายุ 15-30 ปี การให้วัคซีนทุก 10 ปี ช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันดีขึ้น และในปัจจุบันพบการระบาดของโรคคอตีบในบางพื้นที่ของประเทศไทย โดยมีรายงานถึงการเกิดในกลุ่มผู้สูงอายุ ในผู้สูงอายุจึงควรมีการให้วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักและโรคคอตีบ (tetanus diphtheria toxoid :Td) ทุก 10 ปี แทนการให้วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก ( tetanus toxoids: TT) เพียงชนิดเดียว
2) วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย (Inactivated influenza vaccine) ในผู้สูงอายุพบว่า จะมีอัตราการเจ็บป่วย การเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สูง และมีอัตราการเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สูงที่สุดในผู้สูงอายุ การเกิดอุบัติการณ์จะมีตลอดปีแต่เพิ่มมากในช่วงฤดูฝน การให้วัคซีนในประเทศไทยจึงควรเริ่มให้ก่อนช่วงฤดูฝน การให้วัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามชนิดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่คาดว่าจะระบาดในปีนั้น(seasonal influenza) และแม้ว่าเชื้อไข้หวัดใหญ่จะเป็นสายพันธุ์เดิมของวัคซีนที่เคยฉีดก่อนหน้านี้ก็จำเป็นต้องฉีดทุกปี ปีละ 1 ครั้ง
3) วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี (Hepatitis B vaccine) วัคซีนให้ความคุ้มครองจากการติดเชื้อตับอักเสบบีเป็นระยะยาวถึงตลอดชีวิต ผู้สูงอายุควรได้รับการฉีดวัคซีนนี้ ยกเว้นบุคคลที่เกิดภายหลังปี พ.ศ.2535 มีความประสงค์จะฉีดวัคซีน โดยที่ไม่ทราบประวัติการรับวัคซีนที่ชัดเจน ให้ฉีดวัคซีน 1 เข็ม แล้วตรวจ AntiHBs antibody ภายหลังการฉีดวัคซีน 2-4 สัปดาห์ หากพบว่าระดับภูมิคุ้มกันสูงกว่า 10 IU/ml แสดงว่าร่างกายมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอีก
4) วัคซีนวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดโพลีแซคคาไรด์ (23-valent pneumococcal polysaccharide vaccine12 ; PCV 23) และชนิดคอลจูเกต (13-valent pneumococcal conjugate vaccine; PCV-13) เชื้อนิวโมคอคคัส (S.pneumoniae) เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อที่รุนแรงในผู้สูงอายุ เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด และการติดเชื้อที่เยื้อหุ้มสมอง
วัคซีน PCV-23 พบว่าการใช้วัคซีนจะสามารถลดการติดเชื้อรุนแรงและมีความคุ้มทุนในการใช้วัคซีนป้องกันโรคในผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี โดยแนะนำให้ฉีด 1 ครั้ง ในช่วงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไป
วัคซีน PCV-13 ซึ่งเป็นวัคซีนที่ตอบสนองต่อการสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีในผู้สูงอายุ แต่ระดับภูมิคุ้มกันจะลดลงภายหลังการฉีดวัคซีนประมาณ 5-10 ปี ให้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 เข็ม ในผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
3. การตรวจสุขภาพประจำปี
การตรวจสุขภาพ เพื่อตรวจหาสาเหตุความเจ็บป่วยใดๆ ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกในผู้สูงอายุมีความจำเป็น ทำให้สามารถค้นพบปัญหาสุขภาพบ่อยที่พบในวัยสูงอายุได้ ดังนี้
3.1 โรคที่อาจตรวจพบได้ในผู้สูงอายุจากซักประวัติ ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ การใช้ยาอย่างไม่เหมาะสมจนเกิดผลข้างเคียง การไม่สามารถที่จะออกไปพบปะสังคมกับผู้อื่น ภาวะหกล้มซ้ำซ้อน ภาวะทุพโภชนาการ
3.2 โรคที่อาจตรวจพบจากการการตรวจร่างกาย ได้แก่
- ความดันโลหิตสูง จากการวัดความดันโลหิตที่ต้นแขน
- มะเร็งเต้านม จากการตรวจเต้านม
- ภาวะประสาทหูเสื่อมจากอายุ หูชั้นนอกอุดกั้นจากขี้หูปริมาณมาก ภาวะประสาทหูเสื่อมจากการได้ยินเสียงดังมากซึ่งพบได้จากการตรวจหู
- โรคต้อกระจก โรคต้อหิน ภาวะประสาทจอรับภาพเสื่อม ภาวะสายตาสั้น หรือยาวผิดปกติ
- โรคผิวหนัง เช่น เชื้อราที่ผิวหนัง ผื่นแพ้ยา ภาวะผิวแห้ง มะเร็งผิวหนัง
- โรคเกี่ยวกับเหงือกและฟัน เช่น ฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือมะเร็งในช่องปาก
- โรคเกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์ในสตรี เช่น มะเร็งปากมดลูกซึ่งผู้สูงอายุสตรีที่ไม่เคยได้รับการตรวจเซลล์ของปากมดลูกก็ควรได้รับการตรวจอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ถ้าปกติติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี สามารถลดความถี่ของการตรวจเป็นทุก 3 ปี
3.3 โรคที่ตรวจพบจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่
- ภาวะโลหิตจาง
- ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ
- โรคเบาหวาน
- โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยการตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระ
- ต่อมไทรอยด์ทำงานลดลง
- ความผิดปกติของเกลือแร่ในกระแสเลือด โดยเฉพาะผู้ใช้ยาขับปัสสาวะหรือยาแก้ปวดข้อ
3.4 การตรวจสุขภาพจิต
ผู้สูงอายุในชุมชนอาจพบ 2 ภาวะคือ ภาวะซึมเศร้า (Depression) และภาวะสมองเสื่อม(Dementia)
ซึ่งจำเป็นต้องซักประวัติอย่างละเอียดทั้งจากตัวผู้สูงอายุเอง ญาติ และผู้ดูแลใกล้ชิด การตรวจชนิดนี้ญาติหรือตัวผู้สูงอายุต้องเล่าถึงอาการทางจิตเวชด้วย จึงต้องพิจารณาเป็นแต่ละรายบุคคล
การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุด้านร่างกายและจิตใจ
การดูแลผู้สูงอายุเน้นที่จะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ร่วมกับส่งเสริมให้
ผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมต่างๆได้ตามที่สภาพร่างกาย จิตใจ และเวลาเอื้ออำนวย โดยยึดหลัก 11 อ. เพื่อสุขภาพกายใจที่ดี ดังนี้
ไม่มีความเห็น