ตอนที่ 1 ลมหายใจของเทพเจ้า (Breath of God)


ได้เวลาไปต่อ เข็นกระเป๋าออกมากจากโรงแรมไปสนามบิน เพื่อเดินทางไป Surabaya โดย Airasia kul-sub 12.45-14.25 สนามบินที่นี่ใช้คนน้อยมาก คือทุกอย่างเป็นการทำเอง กดเองจากตู้อัตโนมัติ ซันจัดการทำ mobile check in แล้วไปยิง QR code จากโทรศัพท์ที่ตู้อัตโนมัติเพื่อ print boarding pass และ bag tag ออกมา เอา tag ติดกระเป๋าเอง แล้วก็เอากระเป๋าไปชั่งน้ำหนักและโหลดกระเป๋าเอง เข้าสนามบิน ผ่าน ตม และ รอขึ้นเครื่อง ใช้เวลาบิน 2 ชั่วโมง 20 นาทีก็ถึงสนามบิน Surabaya เวลาที่ประเทศอินโดนีเซีย ช้ากว่าประเทศมาเลเซีย 1 ชั่วโมง (เวลาที่อินโด เท่ากับเวลาที่ประเทศไทย)

ที่ ตม ประเทศอินโดนีเซีย เจ้าหน้าที่จะถามเล็กน้อยว่า มาทำไร พักที่ไหน ดังนั้นควรเอาคนที่รู้เรื่องทริปมากที่สุดเข้า ตม เป็นคนแรก เพราะเวลาเค้าถามว่า มากันกี่คน ก็ทำการผายมือไปยังคนในกลุ่ม ทุกคนก็จะไม่ถูกถามอีกแล้ว

รับกระเป๋าเสร็จแล้ว ออกมาแลกเงินเสียก่อน ได้เรท 100 dollar = 1.450.000 idr (ถ้าใช้แบงค์ย่อยแลก จะได้เรท 100 usd = 1.400.000 idr) คืองงกับหลักเลขเงินมาก มันเยอะเกิ๊นนน ไม่คุ้นเคย ตอนนี้มีเงินในกระเป๋าประมาณ 20 ล้าน

คุณ Arif ส่งคุณวิลลี่ มารับพวกเรา คุณวิลลี่พูดภาษาอังกฤษเก่งมาก ส่วนน้องอีกคนที่มาช่วยขับรถ พูดอังกฤษไม่ได้เลย นี้เป็นรถที่เราใช้กัน ตลอด 3 วันในการเดินทาง ซันเข้าไปช่วยน้องเค้ายกกระเป๋าเข้ารถ

เข้ารถได้ก็เริ่มเดินทาง เค้าพาเราแวะที่ซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อของกินและกาแฟก่อน

เข้าไปซื้อของในซุปเปอร์กันก่อนเลย

ของที่นี่ถูกมาก แต่กาแฟไม่อร่อยเท่าใดนัก เริ่มเดินทางยาวๆ ประมาณบ่าย 3 ครึ่ง เพื่อไปยังเมือง Probolinggo ที่เราจะพักกันคืนนี้สำหรับเตรียมตัวไปเยือนภูเขาไฟโบรโม่ ระหว่างทางคุณวิลลี่พาเราแวะกินอาหารเย็นให้เรียบร้อย ก่อนที่จะพาเข้าโรงแรม เป็นร้านอาหารเหมือนบ้านเรา

ต่อด้วยไอติม คือ กินแหลก

ค่าเสียหายมื้อแรก 2 แสนกว่า คิดเป็นเงินไทย 494.50 บาท เรากะค่าอาหารมามื้อละ 2 แสน เจอร้านแรกชักเริ่มหนักใจ เงินจะพอไหมเนี่ย

อิ่มแล้วก็เดินทางกันต่อ โดยเส้นทางปีนขึ้นที่สูงไปเรื่อยๆ เราจะเข้าไปที่นี่กัน

ใกล้ๆ ถึง เห็นอีกอีเว้นท์ละคือ ไฟไหม้ป่ายาวเป็นสายเหมือนบ้านเรา ภาพนี้ไม่ต้องตกใจ คือเป็นการ Zoom แต่ไฟมองไกลๆ นี่ไหม้เป็นสายเลย บนเขา

วิลลี่บอกเราว่า พรุ่งนี้เราน่าจะไปที่ Kingkong view point เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ view point ที่นิยมไปกันชื่อว่า panajakan คนจะมากกว่า ไป Kingkong คือจะเห็นเหมือนกัน แต่คนน้อยกว่า ซึ่งพวกเราก็ ok

ถึงที่พักประมาณ 2 ทุ่ม อากาศหนาวแล้ว ที่พักของเราชื่อ Bromo Permai Hotel อยู่หมู่บ้าน Cemoro Lawang ใช้ passport 1 ฉบับในการ check in ห้องพักไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่ค่อยสะอาด ห้องน้ำก็มีกลิ่น แต่ amazing เครื่องทำน้ำอุ่นของเค้ามาก คือกว่าจะหาที่เปิดเจอ พอกดเปิดปุ๊บ ไฟจากแก๊สก็จะลุกพรึ่บบบบ เผาหม้อต้มที่น้ำผ่าน กลายเป็นน้ำอุ่น แต่ความแรงของน้ำปานประหนึ่งชลประทานน้ำหยด ต้องทำใจให้ชุ่มเย็นเวลาอาบน้ำนะจ๊ะ

คุณวิลลี่นัดเราตี 3 เค้าบอกว่า ตี 2 ครึ่งเค้าจะมามอร์นิ่งเคาะจ้า ตามเวลานัดเป๊ะ เราก็เตรียมพร้อมออกมากันตอนตี 3 ด้วยอุปกรณ์กันหนาวเต็ม steam คราวนี้เค้าต้องเปลี่ยนรถเป็น jeep เพราะเส้นทางไปค่อนข้างลำบาก แต่ก่อนไปวิลลี่บอกกับเราว่า Kingkong view point ที่เราจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้น และ Penajakan view point ที่คนไปรอชมวิวกันเยอะๆ ถูกไฟไหม้เมื่อคืน ตอนนี้ก็เลยปิด เราต้องเปลี่ยนเป็นไปชมวิวกันที่ Love hill แทน ซึ่งอยู่ตำแหน่งที่ต่ำกว่า นั่นไง ว่าละตั้งแต่เห็นไฟไหม้ป่าเมื่อคืน ว่าต้องมีไรแน่ๆ ก็ต้องตามนั้น

รถ Jeep ที่รอรับนักท่องเที่ยว จอดเรียงกันเป็นแนวเชียว ขณะนี้เวลาตี 3

นี้เป็นคันที่จะพาพวกเราไป

เข้ารถได้ก็ออกเดินทาง มีรถนักท่องเที่ยวมากทีเดียว คืออารมณ์ตอนนั้นตื่นเต้น ตาแตก ไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด แม้ว่าจะได้นอนนิดเดียว

ทางเข้าคือที่นี่ Bromo Tender Semaru National Park

เดินทางต่อไปที่ Love hill เจอนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร วิลลี่ก็พยายามอธิบายว่าพระอาทิตย์จะขึ้นจากตรงไหน ทิศไหน แต่งงมาก ช่างมัน จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปอีกพอสมควร จับจองที่นั่งเพื่อรอดูวิว ที่กะเอาว่า น่าจะเป็นจุดที่ดี อากาศตอนนั้นหนาวเย็น พอลมมาก็ยิ่งยะเยือก ดีนะที่เตรียมไปพร้อมทั้งผ้าพันคอ ถุงมือกันหนาว

รอแล้วก็รอ แสงก็ค่อยๆ มา คนยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปกันใหญ่

เริ่มสวยละ

คือด้วยว่าระดับที่เราอยู่ไม่ค่อยสูงมาก วิวที่ได้มาก็เลยประมาณนี้ ขนาดนี้ก็ว่าสวยแล้วนะ ถ้าสูงกว่านี้จะขนาดไหน แบบมีทะเลหมอกรอบๆ ภูเขาไฟด้วย จินตนาการเอาเองไปก่อน นึกในใจว่า (ใครทำไฟไหม้ป่าฟะเมื่อคืน)

สุดท้ายก็ได้วิวนี้มา พอไหวอยู่ ต้องใช้ skill ขั้นเทพ ถึงจะได้ภาพที่ไม่มีคน 555

เทคนิคคือ ปีนลงไปนิดนึง ถ้าจะให้ดี เก็บขยะแถวนั้นด้วย

อ้ะ ทู้กคน หันมา

สองคนพี่น้อง หน้าตา block เดียวกัน

ดูวิวกัน ถ่ายรูปจนหนำใจ เสร็จแล้วก็เดินลงมาตามบันไดเดิม มีห้องน้ำบริการด้วย ค่าฉี่ 2000 idr ก็เข้ากันให้เรียบร้อย จากนั้นมองหาวิลลี่ ซึ่งเค้าก็รอเราอยู่แล้วเพื่อพากลับไปรถ jeep เดินทางต่อไปที่ bromo creator หรือปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่นั่นเอง ก่อนไปที่นั่น เค้าพาเราแวะ Whispering sand ก่อน เป็นดินทรายดำๆ ลวดลายแปลกตา คล้ายๆ wave ของโทนเสียงกระซิบ ที่นี่ไม่มีอะไรเป็นที่จอดถ่ายรูปเฉยๆ

แดดนี่ มาแรงมาก หน้างี้ พัง

แวะถ่ายรูป แล้วก็ไปต่อ รถ jeep จะจอดก่อนถึงปากปล่องภูเขาไฟประมาณ 2 กิโลเมตร เค้าจะมีอาณาเขตอยู่ คือถัดจากรถ ไม่ขี่ม้า ก็เดินเด้อ

มีอาหารขาย แต่ไผจะกิน ต้องรีบไปถึงปากปล่องก่อน

ซึ่งเราก็เลือกขี่ม้า นี่คิดมาจากเมืองไทยละว่า ต้องม้าแน่นอน จะได้เดินน้อยลงหน่อย

และแดด ก็แรงส์

ม้าเค้าก็ค่อยๆ เดินนะ

ที่เหลือ เค้าไม่ขี่ม้า เดินตามมาก็แล้วกันจ้า

จากที่รถจอด Jeep จะต้องเดินไปยังปากปล่อง ช่วงแรกก็จะเดินทางราบๆ แต่ช่วงก่อนถึงทางขึ้นปากปล่อง ทางก็จะชันมาก เราเลือกขี่ม้าไป ที่เหลือเค้าพลังเยอะ เดินไปกัน ค่าม้าที่นี่ให้เดินไปนิดหน่อยแล้วค่อยต่อ ได้ราคาไปกลับ 100.000 idr (ประมาณ 230 บาท) เราว่าคุ้มละ เซฟขา ม้าของเราชื่อร็อคกี้ แต่ๆ พลาดตรงที่ เราไม่ได้เอา mask ออกมากจากกระเป๋าเป้ก่อนขึ้นม้า คือ ฝุ่นเยอะมาก บางขณะจะมีลม และฝุ่นจากการเดินวิ่งของม้า คือแบบว่า เต็มหน้าเต็มหัว ว่างั้น

ขี่ม้าขึ้นมาจึงถึงทางขึ้น เจ้าของม้าเค้าจะให้กระดาษชื่อเค้าให้เราไว้ คือเค้าจะรอจนกว่าเราจะลงมา แล้วรับเรากลับ จากนั้นค่อยจ่ายเงิน ลงจากม้ามาได้ก็นั่งรอพวกก่อน น่าจะใกล้ถึงกันละ สักพักพวกก็มาถึง เดินขึ้นไปเลย ทางนี้ มีบันได

คนขึ้นลงตลอดเวลา เราก็ปีนบันได ตามคนไปเรื่อยๆ อากาศเป็นแดดบางๆ (จริงเหรอ) และลมเย็นๆ

บันไดทุกขั้น ฉาบไปด้วยฝุ่นสีดำ!!!

บรรยากาศบนปากปล่องภูเขาไฟ มีเสียงครืนครืนตลอดเวลาพร้อมกับพ่นควันออกมากเป็นกลิ่นกำมะถันหรือไข่เน่า ไม่พูดพล่ามทำเพลง จก mask ออกมาใส่กัน

Breath of God หรือลมหายใจของเทพเจ้า แบบนี้นี่เอง

มีอากงเอาช่อดอกไม้มาขาย ตอนแรกว่าจะไม่ซื้อ อากงก็มาถามอีก ก็เลยต่อเค้า ต่อไปต่อมา ได้ราคา 30.000 ต่อ 2 ช่อ (ประมาณ 69 บาท) ไม่รู้ดอกไม้อะไร รู้แต่ว่าสวยดี ช่วยเค้าซื้อ แบ่งซันช่อนึง แล้วก็เอาโยนลงไปยังปากปล่องเป็นการสักการะแก่เทพเจ้า

อากงคนนี้แหละ

เราไม่ค่อยกล้าเดินไปมา กลัวตก ปักหลักรอพวกอยู่แถวๆ นั้น แต่บางคนก็ไปเดินขอบๆ

อยู่จนหนำใจแล้วก็ลงมา รู้สึกคนอื่นเขาลงมากันหมดแล้ว ดูคนลงบันไดบางตา

ลงมาก็ยังไม่เลิกถ่ายรูป

เจ้าของม้ารอเราอยู่ เราก็ขึ้นม้ากลับ ขากลับไม่พลาดละ พร้อมทั้งแว่นกันแดดและ mask ฝุ่นทำไรชั้นไม่ได้นาจารอบนี้

ตรงนี้เป็นประตูทางขึ้น ม้าจะรออยู่บริเวณนี้

มีวัดฮินดูอยู่ระหว่างทางกลับไปที่ Jeep และเราไม่ได้แวะเช่นกัน

มีขายของระหว่างทางขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า เราไม่ได้แวะซื้อ

กลับมาถึง Jeep จ่ายเงินค่าม้า รอพวกลงมากันครบ แล้วก็ไปต่อที่ Savana ที่นี่ก็ไม่มีไร เป็นจุดถ่ายรูป วิวเป็นภูเขาไฟ พื้นสีสวยๆ ละก็ไม่เห็นจะมีทุ่งหญ้า ก็ไหนๆ ก็มาละ แวะให้ครบตามที่ตั้งใจไว้ ได้รูปสวยๆ กลับมากัน

กลับถึงโรงแรมประมาณ 9.30 น. กินอาหารเช้าแล้วก็รีบไปอาบน้ำสระผมเก็บของเพื่อ check out แล้วไปน้ำตกกัน ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ขอเก็บน้ำตกไว้เล่าบันทึกหน้านะคะ

ขอบคุณภาพสวยๆ จาก ซัน กิตติ และวรพจน์

หมายเลขบันทึก: 656401เขียนเมื่อ 25 ตุลาคม 2018 18:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 ตุลาคม 2018 22:35 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

น่าเที่ยวมากเลยครับ เห็นภาพแล้วตื่นตาตื่นใจมากชีวิตนี้จะได้ไปสักครั้งไหมน้อ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท