คำนิยม
หนังสือ “SEEEM : ความท้าทายใหม่ของการศึกษาไทย”
วิจารณ์ พานิช
....................
วาทกรรม SEEEM ในหนังสือเล่มนี้เป็นคนละเรื่องกับวาทกรรม STEM ทั้งๆ ที่ รศ. ดร. สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ คิดคำ SEEEM ขึ้นมาจากความคิดเห็นแย้งกับ STEM ที่ใช้กันโดยทั่วไป ความเห็นแย้งนี้รุนแรงถึงขนาดเอา T ออกไป และเติม E เข้ามาสองตัว พร้อมกับนิยาม M เสียใหม่ด้วย
ผมมองว่า SEEEM สามารถใช้เป็นหลักการใหญ่ที่ครอบคลุมการเรียนรู้ในภาพรวมได้ ที่ฝรั่งเรียกว่าเป็น overarching concept แต่ STEM เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการพัฒนาความรู้ ทักษะ และจิตใจ ในระบบการศึกษา กล่าวให้เข้าใจง่ายคือ SEEEM เป็นเรื่องของ “ภาพรวม” ของการศึกษา แต่ STEM เป็นเพียง “ภาพย่อย” คือเพียง ๔ หมวดวิชา ในขณะที่ SEEEM ครอบคลุมเป้าหมายการเรียนรู้ทั้งหมด
ผมตีความว่า หนังสือ SEEEM : ความท้าทายใหม่ของการศึกษาไทย เล่มนี้ เป็นการบูรณาการวิธีจัดการเรียนรู้แบบ RBL (Research-Based Learning) ที่มีการเรียนแบบทำโครงงาน (Project-Based Learning) เข้ากับกระบวนการคิดแบบ SEEEM ดังนั้นอาจตีความได้ว่า หนังสือเล่มนี้อธิบายหลักการและรายละเอียดของ SEEEM-Based Learning
ที่น่าสนใจคือ มีการเชื่อมโยง SEEEM เข้ากับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ นำมาใช้เป็นฐานการคิดขยายจากหลักการ “สามเหลี่ยมมหัศจรรย์ของเพาะพันธุ์ปัญญา” (หน้า ๑๖๙) ที่ช่วยให้การเรียนผ่าน “โครงงานฐานวิจัย” ของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา มีความลุ่มลึกและเชื่อมโยงยิ่งขึ้น ช่วยให้ความจำกัดของ การเรียนรู้แบบทำโครงงาน ที่เดิมจำกัดอยู่ในการเรียนรายวิชาด้าน STEM เท่านั้น ขยายออกไปครอบคลุมเป้าหมายการเรียนรู้ภาพรวมของ “การเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ ๒๑” ได้
ข้อย่อหย่อน หรือข้อด้อย ของการศึกษาตามที่จัดอยู่ในปัจจุบันอย่างหนึ่งคือ อ่อนแอด้านการฝึกทักษะชีวิตให้แก่นักเรียน มีผลให้เด็กจำนวนมากพลาดพลั้งเสียท่าความเย้ายวนหลอกล่อของสภาพแวดล้อมที่หากินจากการหาผลประโยชน์ (โดยมิชอบในทางศีลธรรม) จากเด็ก หลักการตามในหนังสือ SEEEM : ความท้าทายใหม่ของการศึกษาไทย เล่มนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อเรียนรู้ ๑๒ ข้อ ในบทที่ ๘ จะช่วยเสริมความเข้มแข็งของทักษะชีวิตที่ต้องการ ที่ในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเรียกว่า “ภูมิคุ้มกัน” ให้นักเรียนรู้เท่าทันมายาต่างๆ ในสังคม
ไม่เฉพาะนักเรียนเท่านั้น ที่จะได้ประโยชน์จากการเรียนรู้ แนว SEEEM-Based Learning หรือ Sufficiency Economy-Based Learning นี้ ครู ผู้บริหาร ผู้ปกครองนักเรียน และผู้เกี่ยวข้อง ก็จะได้เรียนรู้ด้วย เพราะหลักการที่เสนอในหนังสือเล่มนี้คือ การเรียนจากการปฏิบัติ ตามด้วยการใคร่ครวญสะท้อนคิด
ท่านที่พยายามอ่าน และทำความเข้าใจหนังสือเล่มนี้จากการอ่าน จะพบว่าเข้าใจยาก แต่หากจับหลักการนำไปใช้ปฏิบัติ คือจัดการสอนแบบโครงงาน ที่นักเรียนทำโครงงานเป็นทีม และมีการใคร่ครวญไตร่ตรองร่วมกันเป็นระยะๆ ในระหว่างทำโครงงาน โดยใช้หนังสือเล่มนี้เป็นคู่มือ หรือ “คู่คิด” จะพบว่าหนังสือเล่มนี้อ่านเข้าใจง่าย รวมทั้งมีความลุ่มลึกและเชื่อมโยงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะความเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้ในโรงเรียนกับสภาพจริงในชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ และสภาพจริงในสังคมไทย และโลก
ตามหลักการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นใหม่ จากงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การเรียนรู้ (learning science) และงานวิจัยด้านประสาทวิทยาศาสตร์ (neuroscience) การเรียนรู้ไม่ได้เกิดจากการรับถ่ายทอดความรู้สำเร็จรูปมาจากภายนอกตัวเด็ก แต่เกิดจากการที่เด็กทำกิจกรรม และเก็บข้อมูลจากกิจกรรม มาตีความทำความเข้าใจเปรียบเทียบหรือเชื่อมโยงกับความรู้เดิม เกิดเป็นความรู้ใหม่ของตน สำหรับนำไปใช้ต่อยอดการเรียนรู้ต่อไป
หนังสือ SEEEM : ความท้าทายใหม่ของการศึกษาไทย เล่มนี้ จึงเป็น “คู่คิด” ที่ดีเยี่ยมของครู ผู้บริหารโรงเรียน และผู้เกี่ยวข้อง ในการจัดการเรียนรู้แบบ active learning ที่มีคุณภาพสูง ให้แก่เด็ก หากมีการนำไปใช้อย่างกว้างขวาง ก็จะเป็นตัวช่วย เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการฟื้นคุณภาพการศึกษาไทย ที่ทรงพลัง
จุดเด่น (และเป็นจุดด้อยไปพร้อมๆ กัน) ของหนังสือในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา ที่เขียนโดย รศ. ดร. สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ คือ การเขียนสไตล์ ใคร่ครวญสะท้อนคิดจากเหตุการณ์จริง หยิบยกเอาเรื่องราวในบ้านเมืองมาตีความชี้ประเด็นตามที่กำลังเดินเรื่อง ท่านผู้อ่านที่ “อิน” ไปกับการไหลของความคิด จะอ่านสนุกมาก แต่ท่านที่ไม่ “อิน” ก็จะรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้อ่านยาก
ผมจึงขอเสนอแนะ (ไม่ทราบว่าจะเป็นข้อเสนอที่ถูกหรือผิด) ให้คุณครูและผู้บริหารการศึกษาที่โชคดี มีโอกาสได้ใช้ประโยชน์หนังสือเล่มนี้ มีวิธีใช้ประโยชน์ที่ช่วยให้เกิดความสนุก คืออย่าพยายามทำความเข้าใจสาระหลักในหนังสือจากการอ่าน ให้ทำตรงกันข้าม คือมุ่งทำความเข้าใจจากการปฏิบัติของตนเองและของนักเรียน แล้วนำเอาการตีความของตนเองจากประสบการณ์จริงนั้นมาเปรียบเทียบ หรือบางครั้งเถียงกับ ดร. สุธีระ ตามข้อความในหนังสือ ผมคิดว่าวิธีใช้หนังสือแนวนี้จะให้ประโยชน์ในทางปฏิบัติ ประโยชน์ทางปัญญา และประโยชน์สร้างความสนุก ในการทำหน้าที่ครู และผู้บริหารการศึกษา มากกว่า
ในฐานะพลเมืองสูงอายุของไทย ที่ให้คุณค่าต่อเรื่องคุณภาพการศึกษา สูงกว่าเรื่องอื่นใด ต่อการมุ่งมั่นพัฒนาประเทศไทยสู่สภาพ ประเทศไทย ๔.๐ ผมขอแสดงความขอบคุณ รศ. ดร. สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ ที่มีความวิริยะ อุตสาหะ (และผมเดาว่า มีหฤหรรษ์ ด้วย) ในการเขียนหนังสือที่ทรงคุณค่าเล่มนี้ออกเผยแพร่ ผมเชื่อว่า หนังสือเล่มนี้ จะมีส่วนช่วยให้ศักดิ์ศรีของครูไทย ฟื้นกลับคืนมา
วิจารณ์ พานิช
๕ สิงหาคม ๒๕๖๑
ไม่มีความเห็น