My Education: การทำงานที่ถูก Check Up ตลอดเวลา
ด้วยความเป็นคนที่อยากพิสูจน์ความคิดของตนเอง
อาจารย์ผู้ใหญ่หลายท่านชวนให้ทำงานด้วย หลายที่หลายแห่ง แต่ก็ปฏิเสธ อยากกลับมาอยู่บ้านกับแม่ และสร้างงานด้วยตนเอง ตอนนั้นจำได้ว่ากลับมารายงานตัว มีผู้บริหารท่านหนึ่งถามว่า “ดอกเตอร์จะมาทำอะไรได้ในองค์กรเล็กๆ ไปอยู่ที่อื่นไม่ดีกว่าเหรอ” ตอนนั้นตอบท่านกลับไปว่าจะสร้างงานขึ้นมาเอง ไปอยู่ที่อื่นก็คงจะดี เพราะมีโอกาสทำ ผศ.รศ.หรือ ศ.ได้
ในช่วงนั้นถือเป็นความโชคดีที่ได้รับความกรุณาจากท่านอาจารย์ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ที่ให้โอกาสได้เรียนรู้ KM และเริ่มได้รู้จักคำว่า R2R สมัยนั้นปี 2548 ที่กลับมาทำงานที่ยโสธรจึงตั้งปณิธานในใจว่าจะนำเครื่องมือสองอย่างนี้มาใช้ที่บ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง และเพื่อทดสอบความคิดความเชื่อของตนเองในเรื่องการนำความรู้มาสู่การปฏิบัติ ถ้าเป็นอาจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัยหรืออยู่ในสถาบันการศึกษาจะไม่มีโอกาสได้ทำ เพราะจะถูกควบคุมด้วยหลักสูตรการเรียนการสอนที่เป็นระบบ แต่ถ้าอยู่หน่วยงานบริการเราจะสามารถออกแบบสิ่งต่างๆ ตามความคิดและจินตนาการได้ เพราะอยู่ในสถานการณ์จริง
ประสบการณ์การทำงาน
มาทำงานช่วงแรกถูกตรวจสอบเรื่องรายได้ เพราะในช่วงนั้นอาจารย์ผู้ใหญ่ชวนไปร่วมเป็นคณะกรรมการดำเนินงาน R2R ประเทศไทยโดยมี สวรส.เป็นเจ้าภาพหลักในการขับเคลื่อน แต่การตรวจสอบดังกล่าวก็ไม่ได้พบว่ามีรายได้อะไรเพิ่มเข้ามามีแต่หนี้สินมากมายที่เกิดจากการไปเรียน ต่อมาอีกไม่นานผู้บริหารท่านใหม่ย้ายมาถูกเรียกไปพบและมีคำสั่งห้ามไม่ให้ไปเป็นวิทยากรที่ไหน จึงได้เล่าเรื่องนำเรียนให้ที่ประชุม R2R สมัยนั้นและท่านอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านทราบว่าไม่สามารถทำงานร่วมได้เพราะต้นสังกัดสั่งห้าม ตอนนั้นมีการมอบหมายอย่างไม่เป็นทางการจากท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ให้ “กะปุ๋มขับเคลื่อน Happiness R2R” ยังไม่ทันได้ทำอะไรมากมายนัก ผู้บริหารท่านนั้นก็ถูกสั่งย้ายไปรับตำแหน่งที่เติบโตขึ้น ผู้บริหารท่านใหม่ที่มาโชคดีที่เป็นลูกศิษย์รุ่นแรกที่คณะแพทยศาสตร์ มอ.ของท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ ท่านผู้บริหารท่านนี้เรียกไปคุยและเล่าว่า ท่านอาจารย์ผู้ใหญ่ได้คุยด้วยเพื่อหาช่องทางให้กะปุ๋มได้ทำงานรับใช้สังคมและประเทศชาติแบบคล่องตัวขึ้น
นับว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีของชีวิต แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น มีผู้บริหารระดับรองลงมา ได้มาถกเถียงกันในห้องผู้อำนวยการด้วยอารมณ์โทสะที่รุนแรงและขอสั่งห้ามว่า “ไม่ให้ดอกเตอร์กะปุ๋มนำ R2R มาใช้ในโรงพยาบาล ถ้าโรงพยาบาลไม่ผ่าน HA ถือว่าเป็นเพราะดอกเตอร์กะปุ๋ม” ในตอนนั้นถือว่าเป็นยุคมืดของตนเองและเกิดการเรียนรู้การทำงานแบบ Informal แบบใช้กลยุทธ์คลื่นใต้น้ำ และป่าล้อมเมือง ถูกเช็คถูกตรวจสอบการมาทำงาน และไม่อนุมัติให้ไปเป็นวิทยากร แต่ตัวเองก็ใช้การลา มีจำนวนวันลาเท่าไรก็ใช้จนหมด จนสามารถนำคนในพื้นที่อื่นทำ R2R จนประสบผลสำเร็จ
แล้วคำครหาใหม่ก็เกิดขึ้น “ดอกเตอร์กะปุ๋มไม่เคยช่วยองค์กร ไปช่วยแต่ที่อื่น” ก็ตั้งคำถามกับตนเองหลายครั้งกับความอึดอัดใจในการทำงาน แต่ก็อดทนเพราะมีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนและมั่นคง สถานการณ์เริ่มดีขึ้นเพราะผู้บริหารระดับรองท่านนั้นถูกปลดออกจากตำแหน่งและย้ายไปที่อื่น การขับเคลื่อน R2R ก็เริ่มคล่องตัวขึ้นบ้างก็ไม่ได้ดีมากมายนัก
กระแสคลื่นใหม่มีมาให้ทดสอบจิตใจ “สิ่งที่ดอกเตอร์กะปุ๋มพาผู้คนทำไม่ใช่ R2R” ก็งง แต่ในตอนนั้นก็เพียงแค่รับรู้ อดทน และก้าวเดินอย่างมั่นคงต่อในวิถีของตนเอง
ในแต่ละช่วงเวลาคนหนึ่งจากไปตัวเป็นตัวแทนที่คอย Check Up เรื่องดอกเตอร์กะปุ๋มก็มีมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย มาทบทวนดูก็ตลอดสิบปีที่ทำงานอยู่ที่นี่ คอยเช็คว่าเราแอบหนีราชการหรือไม่ อยู่ที่ไหน ทำอะไร ตัวเองก็พยายามออกสื่อ Social ทุกวันว่าทำอะไรที่ไหนอย่างไร จนเกิดความสงสัยในตนเองว่า “ถ้าคนที่เขาแอบหนีราชการเขาจะกล้าโพสต์ Social หรือเปล่า ตัวเองนี้ก็โพสต์ซะจนไม่มีความลับส่วนตัว” แต่ก็มิวายมีคนคอยตรวจสอบ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีพอให้รำคาญใจ
ถามว่าเบื่อไหม ... เบื่อ
โกรธไหม... โกรธ
รำคาญใจไหม...รำคาญใจ
อยากโต้ตอบไหม...อยาก
แต่...ก็อดทน เพราะคิดการณ์ใหญ่ยิ่งกว่าจะมาสนใจกับอุปสรรคขัดขวางเหล่านี้
เคยมีคนมาเล่าว่า “ไม่มีใครยอมรับดอกเตอร์นะ”
ในใจตนเองก็สะท้อนออกมาว่า แค่คนยอมรับหนึ่งคนและสร้างประโยชน์ให้กับบ้านเกิด สังคม และประเทศชาติได้ก็คุ้มแล้ว ไม่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากคนทุกคน
และก็ไม่ใช่คนทุกคนที่จะเสน่หาเรา
“คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ” ยังคงใช้ได้ทุกกาลเวลา
ดังนั้นจิตใจจึงไม่ทดท้อ ยังคงมั่นคงในการทำสิ่งต่างๆ ที่ตนเองทำ
“ทำคนเดียวก็ทำ” ดั่งกระรอกน้อยวิดน้ำในมหาสมุทร ที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้กำลังใจเสมอ
เรื่องราวเช่นนี้ไม่เคยได้บันทึกไว้
การนำมาเขียนถอดบทเรียน ไม่ใช่เรื่องบ่น แต่อยากให้เป็นแรงบันดาลใจกับใครอีกหลายๆ คนที่ท้อถอย ให้เปลี่ยน Mindset ใหม่ที่มีต่อการทำงาน เพราะสำหรับตนเองนั้น สอนตัวเองเสมอว่า “การทำงานคือการปฏิบัติธรรม” ถ้าอยากได้ธรรมะ หรือรู้เข้าใจในธรรมะ ก็ต้องลงมือปฏิบัติ ไม่ใช่การไปนั่งเฝ้านอนเฝ้าพระอริยะสงฆ์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ แต่คือ การปฏิบัติเอาเอง ลงมือเอาเอง และเรียนรู้เองภายใต้คำสอนหลักธรรมนั้น
การทำงานการใช้ชีวิต จึงเป็นวิถีของการฝึกฝนธรรมะให้เกิดขึ้นในชีวิตและจิตใจเราอย่างแท้จริง โจทย์จริงที่ทำให้เกิดปัญญาคือ ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสถานการณ์จริงของชีวิต แล้วเราสามารถนำหลักศีลและธรรมมาใช้ได้มากน้องเพียงใด เกิดปัญญาหรือไม่ สามารถก้าวผ่านด้วยใจที่สงบเย็นและเบิกบานได้หรือไม่
#บันทึกความคิด
#SelfReflection
#KaPoomLife
22-09-61
แวะมาให้กำลังใจคนทำงานค่ะดร.กะปุ๋ม
พี่แก้วเคยถูกบ่นเช่นกันค่ะ แต่เราเท่านั้นจะรู้ว่า เราทำเพื่อองค์กรทั้งภายใน ภายนอกค่ะสู้ๆๆนะคะ พี่แก้วทำแบบนี้จนเกษียณค่ะ
สุดยอดของหมู่มารเลยนะคะ. ขอให้ชนะทุกอย่างค่ะ