๗๙๘. ความเหงา..ทำให้แกร่งและเก่งขึ้น..


มองว่าสุขหรือทุกข์ เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับชีวิตทุกชีวิต ไม่มีใครในโลกนี้ที่ชีวิตจะมีแต่สุขหรือทุกข์ล้วนๆ สุขบ้างทุกข์บ้างเป็นเรื่องธรรมดา อยู่ที่เราให้ความสำคัญและยึดติดกับมันมากน้อยแค่ไหน? พูดง่ายๆว่า ถ้าคุณคิดว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องใหญ่ มันก็จะใหญ่จริงๆ แต่ถ้ามองให้มันเล็ก มันก็เล็กได้ ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ที่เราให้ค่าหรือไม่ให้ค่าเท่านั้น

          ครูผู้สอนคงเคยคิดแปลกใจว่าทำไมไม่เห็นผมไปไหนเลย อยู่โรงเรียนทั้งวัน ตั้งแต่เช้ายันเย็น ตอนนี้ก็คงหายแปลกใจแล้วก็เป็นได้ เพราะผมก็ปฏิบัติเช่นนี้มานานมาก จะไม่อยู่โรงเรียนเฉพาะวันที่มีประชุมผู้บริหารเท่านั้น

          แม่ครัว..ผู้ซึ่งเป็นกรรมการโรงเรียนด้วย เราจะคุยกันทุกวัน ผมจะไปสำรวจตรวจครัว สอบถามเมนูอาหารประจำวัน แม่ครัวถามผมว่า “เหงาไหม ผอ.?” “ครับ”  ผมยิ้มๆ เพราะไม่เข้าใจคำถามและไม่รู้ตัวเองว่า..ตอนนี้เหงาหรือไม่เหงากันแน่..

          “เห็น ผอ.ไม่ค่อยได้ไปไหน อยู่แต่โรงเรียน ไม่เบื่อเหรอ” “อ๋อ ไม่เหงาและก็ไม่เบื่อเลยครับ งานเยอะเลย”

          ผมเดินไปตรวจงานก่อสร้างอาคารเรียน คนงานผู้หญิงมีอายุแล้ว ยิ้มทักทายด้วยอารมณ์ดี “ผอ.มีวันหยุดกับเขาบ้างไหม? วันเสาร์อาทิตย์ก็เห็นมาตรวจงาน..สงสัยชีวิตมีแต่บ้านกับโรงเรียน..”

          ผมอึ้งเลย..นึกในใจว่าหน้าตาเราคงดูเหงาหรือไม่ก็เอาการเอางาน คนจึงได้ทักแบบนี้. แล้วจริงๆเราเป็นยังไง...?

          ผมเคยเหงา..แต่ไม่ถึงกับหดหู่เศร้าสร้อย และก็ไม่มีอาการเซื่องซึมด้วย ตอนที่เหงา ก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ทรมานใจและไม่ได้รู้สึกว่ารังเกียจความเหงาแต่อย่างใด..

          ตอนที่ปลูกบ้านใหม่ๆ บ้านอยู่ในสวนที่เปลี่ยวมาก มีอยู่หลังเดียวในละแวกนั้น ตอนเย็นต้องรีบกลับเข้าบ้าน ค่ำมืดแล้วก็ไม่อยากไปไหน

          เพื่อนบ้านก็ไม่มี เพื่อนที่มีก็อยู่ไกล และเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆก็ไม่จำเป็นต้องเจอกันทุกวัน จนกลายเป็นความเคยชิน คือเหงาจนชิน จนไม่รู้สึกว่ามันเหงา

          ความเหงา..กลายเป็นความเพลิดเพลินโดยไม่รู้ตัว เมื่อมาอยู่โรงเรียนขนาดเล็ก ต้องทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ผู้บริหาร เป็นครูธุรการ เป็นครูผู้สอนและภารโรง..แต่ก็ไม่ทำให้บุคลิกและหน้าตาผ่อนคลายจากความเหงาไปได้..

          งาน..ไม่เปิดโอกาสให้เป็นตัวของตัวเอง บางครั้งอาจต้องรีบเร่งและรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้คั่งค้างและต้องให้เรียบร้อย ตรงตามกำหนดเวลา

          เศษเสี้ยวของความเหงา ในบ้านกลางสวน มีคุณค่าต่อชีวิตของผมมาก ความเหงาในตอนนั้น ทำให้ผมได้ทบทวนและค้นหาความสนใจใคร่รู้ของตนเอง ที่สำคัญคือทำให้ผมหันมาอ่านหนังสือ และต่อมาก็ทำให้อยากเขียน..จนต้องทำเป็นงานเสริมอย่างที่ทุกท่านเห็นอยู่นี้

          จริงๆ คนชอบอ่านหนังสือ ชอบเขียนหนังสือ ควรต้องเป็นคนเหงาด้วย เพราะมันต้องใช้ความเงียบ ใช้สมาธิอย่างมาก อ่านและเขียนที่ไหนก็ไม่เหมือนในบ้าน

          บางคน “กลัวเหงา” ทำอะไรคนเดียวไม่เป็น น่าสงสารมาก ชีวิตไม่มีอิสระจากการลงมือทำอะไรหรือไปไหนมาไหนตามใจตัวเอง ต้องผูกติดกับใครคนใดคนหนึ่งตลอดเวลา คนที่เข้าใจและไม่กลัวเหงา จะรู้ว่ามีความสุขมาก ถ้าเราได้อยู่กับตัวเองและได้มีโอกาส “พูดคุย”กับตัวเองบ้าง..

          หลายคนตีค่า “ความเหงา”ของตนและคนอื่นว่าเป็น “ความทุกข์” แต่คนที่เหงาเป็น และเห็นคุณค่าของความเหงา..จะมองอีกแบบหนึ่ง

          มองว่าสุขหรือทุกข์ เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับชีวิตทุกชีวิต ไม่มีใครในโลกนี้ที่ชีวิตจะมีแต่สุขหรือทุกข์ล้วนๆ สุขบ้างทุกข์บ้างเป็นเรื่องธรรมดา อยู่ที่เราให้ความสำคัญและยึดติดกับมันมากน้อยแค่ไหน?

          พูดง่ายๆว่า ถ้าคุณคิดว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องใหญ่ มันก็จะใหญ่จริงๆ แต่ถ้ามองให้มันเล็ก มันก็เล็กได้ ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ที่เราให้ค่าหรือไม่ให้ค่าเท่านั้น

          ใครจะคิดอย่างไรก็ตาม ผมเองเปลี่ยนความคิดมานานแล้วว่า ความเหงาไม่ใช่ความทุกข์ ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย ความเหงามีประโยชน์ช่วยสร้างงานได้

          ผมโชคดีแล้วที่กล้าเหงา เพราะความเหงา..ทำให้ผมแกร่งและเก่งขึ้น..

ชยันต์  เพชรศรีจันทร์

๑๙  กันยายน  ๒๕๖๑

 

 

หมายเลขบันทึก: 653157เขียนเมื่อ 19 กันยายน 2018 20:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 กันยายน 2018 20:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท