นั่งเครื่องบินในตอนกลางวันกับกลางคืนนั้นได้อารมณ์ต่างกัน
ถ้าจะถามผมว่าชอบแบบไหน ก็คงจะตอบยาก เพราะมันมีสิ่งที่น่าสนใจที่ไม่เหมือนกัน อย่างเช่นการบินตอนเช้า (เขียนซะอย่างกับว่าเป็นคนขับเสียกระนั้น) ผมจะมองทิวทัศน์ด้านล่าง แล้วเปรียบเทียบกับแผนที่ในสมอง มานั่งเดาว่ามันคือที่ไหน บางครั้งฟ้าเปิดมากจนสามารถมองเห็นปากแม่น้ำแถวๆอำเภอปะเหลียน จังหวัดตรังจากน่านฟ้าสงขลาได้เลย ผมยังชอบมองสมุย มองเกาะแตน เกาะมัดสุม หรือกระทั่งมองไปไกลๆบนเส้นขอบฟ้าเพื่อหาเพื่อนร่วมเดินทาง
ส่วนการเดินทางช่วงแสงมืดนั้น มันมี ๒ ข่วงเวลา คือทไวไลท์และช่วงมืดสนิท
จะว่าไป ช่วงทไวไลท์นี่มันเป็นสุดยอดของความสวยบนท้องฟ้าเลยนะครับ สีต่างๆในเฉดแดงส้มไล่ลงมาจนเป็นฟ้า คราม และค่อยๆดำมืด มันดูคลาสสิกมาก มันจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมในช่วงบินลงใต้ ผมจึงยึดแถว K เอาไว้ตลอดกาล
เมื่อคืนนี้ผมขึ้นกรุงเทพฯช่วงดึก มองลงข้างล่างไม่เห็นกระทั่งแสงไฟ นั่นคงเพราะเมฆเต็มท้องฟ้า
ผมรู้สึกอึดอัดในท้อง กำลังสงสัยว่าน่าจะเป็นเพราะอาหารมื้อกลางวัน อาการอืดแน่นท้องเริ่มมีตั้งแต่ช่วงเย็น คล้อยมาจนค่ำและขึ้นเครื่องก็ยิ่งอืด จนกระทั่งกลายมาเป็นอาการปวดท้อง
อาการปวดมันมาเป็นช่วงๆ ผมเริ่มมีเหงื่อซึม
เวลาปวดมากๆสักทีหนึ่งก็จะจิกขาจิกนิ้วกลั้นเอาไว้
มันปวดมาก
ผมคลำชีพจร เพราะรู้สึกว่ามันเต้นแผ่วๆและช้าลง
ถึงตรงนี้ ยามที่อาการปวดมันแสนจะรุนแรง ผมคิดถึงเธอคนนั้น
.......................
“ครูขา ไผ่อยู่เวรกับครูนะคะ ตอนนี้หนูอยู่ ER คนไข้ไม่ได้ฝากครรภ์คลอดลูกมาจากบ้าน ตอนนี้รกค้าง คนไข้ตกเลือดและกำลังช็อก กำลังให้น้ำเกลืออยู่และจะพาไปล้วงรกในห้องผ่าตัดนะคะ” เธอรายงานมาทางโทรศัพท์ขณะที่ผมกำลังเดินไปรับเวรในห้องคลอดพอดี
“จัดการเลย อย่าลืมเรื่องจองเลือดไว้ด้วย เดี๋ยวผมจะเข้าไปรอในห้องผ่าตัดเลยก็แล้วกัน” แล้วผมก็เลี้ยวไปห้องผ่าตัดในทันที
เพียงอึดใจ เธอคนนั้นก็ถูกเข็นมาในห้องที่ผมรออยู่ บนรถเข็นเปียกชุ่มไปด้วยเลือด คนบนเตียงตัวซีดเหมือนไก่ต้ม เสาข้างตัวรถเข็นมีน้ำเกลือแขวนมา ๒ ด้าน มีถุงเลือดแขวนมา ๑ ถุง
“คนไข้เริ่มไม่รู้สึกตัว” วิสัญญีพยาบาลตะโกนบอกพวกเราในห้องให้รับทราบ
ผมขนลุก เพราะไม่อยากให้มีการปั๊มหัวใจกันตั้งแต่รับเวร ที่สำคัญ คนไข้คนนี้จะตายไม่ได้
“น้อง extern รีบวิ่งไปคลังเลือด เอาเลือดมาตอนนี้ เดี๋ยวนี้” เสียงหมอปุ่นตะโกนออกไป เธอเพิ่งเสร็จจากการผ่าท้องคลอดอยู่ห้องหนึ่ง และกำลังจะออกจากการอยู่เวร แต่เมื่อเห็นพวกเรากำลังชุลมุน เธอก็รีบเข้ามาช่วยทันที
“ความดัน ๖๐/๔๐ ชีพจร ๘๔ ค่ะอาจารย์ เดี๋ยวจะใส่ท่อช่วยหายใจเลยนะคะ” ทันทีที่คนไข้ถูกเคลื่อนย้ายร่างกายมาอยู่บนเตียงผ่าตัด หมอดมยาก็บอกให้ทุกคนในห้องรับทราบ
ผมรู้สึกแปลกใจ ที่ทำไมคนไข้ตกเลือดจนช็อก แต่กลับมีชีพจรเต้นช้ากว่าที่ควรจะเป็น ตัวซีดขนาดนี้ หัวใจน่าจะเต้นสัก ๑๓๐ ครั้งขึ้นไป
หรือว่าเธอกำลังจะตาย!
“อาจารย์จะ sign in ก่อนมั้ย” เสียงพยาบาลผ่าตัดถามมา
“ไม่ครับ ผมยังไม่รู้จักชื่อคนไข้เลย แต่คนนี้ผมจะล้วงรกทางช่องคลอดนี่แหละ รีบๆเลยครับ เออ..ที่สำคัญ คนนี้ไม่ได้ฝากครรภ์มาเลย เราไม่ทราบผลเลือดนะครับ ทุกคนระวังตัวกันด้วย” โดยปกติ กระบวนการ sign in มีความสำคัญมากๆในการตรวจสอบความถูกต้องทุกอย่างก่อนดมยาสลบ เป็นต้นว่า คนไข้ชื่อ นามสกุลอะไร วินิจฉัยอะไร จะทำอะไร แต่ตอนนี้มันวิกฤติ คนไข้กำลังจะตาย ผมจึงขออนุญาต sign in แบบรวบรัดที่สุด
หมอไผ่เพิ่งเข้ามาถึงหลังจากที่คนไข้เริ่มถูกดมยาสลบแล้ว เธอหอบแฮก
“ขอโทษค่ะ หนูวิ่งไปผิดห้อง” คนไข้ถูกเข็นมาทางซ้าย ไผ่วิ่งไปห้องผ่าตัดทางขวาสุดโถงทางเดิน....
“เอ่อ..ครูขา หนูยังติดต่อสามีเค้าไม่ได้เลยค่ะ ไม่มีญาติมากับคนไข้เลย” เธอแจ้งให้ผมทราบ
“เออ..ไม่เป็นไร ตอนนี้เราต้องจัดการกับภาวะวิกฤตินี้ให้เรียบร้อยก่อน” ผมบอกหมอไผ่ให้เริ่มกระบวนการล้วงรกในทันทีที่เขาแต่งชุดผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยและคนไข้เข้าสู่ภาวะสลบไปแล้ว
เรายกขาคนไข้ให้อยู่ในท่าขึ้นขาหยั่ง ทันใด เลือดไหลพรวดออกมาอีกราวเกือบ ๕๐๐ ซีซี ผมยังคงแปลกใจ ทำไมเสียงหัวใจของคนไข้จากเครื่องวัดสัญญาณชีพมันเต้นไม่เร็วอย่างที่ควรจะเป็น
“ครูขา ไผ่สอดมือเข้าไปในมดลูกไม่ได้ มันแปลกๆค่ะ” ไผ่หันมามองหน้าผมหลังจากที่เธอได้สอดฝ่ามือเข้าไปในช่องคลอดโดยใช้สายสะดือเป็นตัวนำเข้าไป จากนั้นฝ่ามือจะต้องดันผ่านปากมดลูกเข้าไปในมดลูกแล้วทำการเซาะและล้วงเอารกออกมา
“ถอยมา” ผมออกคำสั่งและเริ่มทำการล้วงรกด้วยตัวเอง และในทันใดที่ฝ่ามือของผมล้วงเข้าไปในช่องคลอดก็ถึงบางอ้อ รกมันลอกออกมาแล้วแต่ปากมดลูกมันรัดแน่นมาก มันรัดรกเอาไว้ทั้งอัน ทำให้รกมันคลอดตามออกมาไม่ได้
“แคร้มพ์” ผมบอกหมอดมยาให้รับทราบ รับทราบว่าปากมดลูกมันหดรัดแน่นไป เขาจะได้ปรับการดมยาสลบให้ลึกลงไปอีก
เมื่อรู้สึกว่า รกราวสักครึ่งอยู่ในกำมือ ผมจึงค่อยๆออกแรงดึงช้าๆ ช้าๆ ช้าๆ ที่ต้องช้า เพราะหากมันขาดออกสักส่วนหนึ่ง การรักษามันก็จะยากขึ้นไปอีก และเพียงอึดใจมันก็ค่อยๆไหลตามออกมา จนกระทั่งรกทั้งอันคลอดออกมาได้
“ออกแล้ว” ผมตะโกนบอกหมอดมยาอีกรอบ เพื่อเขาจะได้เริ่มฉีดยาให้มดลูกหดรัดบีบตัวอย่างรวดเร็ว มันจะช่วยลดการตกเลือดอีกรอบ ผมรีบสอดมือเข้าข่องคลอดอีกรอบ ใช้นิ้วมือสอดล้วงเข้าไปในมดลูกพลันกวาดไปทั่วโพรงมดลูกเพื่อตรวจสอบว่าไม่มีเศษรกเหลือค้างอยู่
หมอปุ่นอยู่ข้างๆจึงรีบวางหัวอัลตราซาวนด์ลงบนหน้าห้องตรวจดูซ้ำอีกครั้ง
“ดูเรียบดีค่ะจารย์” เธอบอก
“เลิกนะครับ เสร็จแล้ว ระวังเรื่องการตกเลือดอย่างเดียว” ผมบอกทีมดมยาสลบแล้วหันไปหาคุณหมอ extern
“คุณหมอคลึงมดลูกคนไข้ต่อเนื่องไปนะครับ อยู่กับคนไข้คนนี้จนถึงกระบวนการส่งออกจากห้องผ่าตัด เฝ้าจนกว่าจะแน่ใจว่าเธอปลอดภัย” ผมบอกลูกศิษย์
มันก็ดูเรียบร้อยดี เสียเหงื่อกันแต่เช้า ผมเข้าใจกระบวนการตอบสนองของร่างกายเธอในทันทีที่ได้ล้วงรก
เธอช็อกจากการเสียเลือด หัวใจควรเต้นเร็วระรัว
แต่ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากการบีบตัวของมดลูกโดยมีรกคั่นอยู่นั้น มันทำให้การตอบสนองของร่างกายผิดเพี้ยนไป หรือว่าเธอกำลังจะ “ทนพิษบาดแผลไม่ไหว” (อันที่จริงมันมีชื่อทางการแพทย์เรียกว่า vagovagal reflex นั่นคือ เมื่อมีความเจ็บปวดรุนแรง โดยเฉพาะความเจ็บปวดจากอวัยวะภายใน ระบบประสาทจะสั่งให้หัวใจเต้นช้าลง และความดันโลหิตต่ำลงอย่างรวดเร็ว)
เป็นอย่างนี้กระมัง
ใช่ เรารู้ว่าเธอเกือบตาย แต่นั่นก็ยังมีเรื่องที่น่าสนใจเพิ่มมาอีกหน่อย ที่มาที่ไปของเธอคนนี้มีความรันทดซ่อนอยู่อีกมาก
เธอตั้งครรภ์ด้วยความไม่พร้อม
เธอถูกคนรักทิ้งไป ทิ้งไปทั้งๆที่รู้ว่าเธอท้อง และทิ้งไปทั้งๆที่มีลูกอยู่อีก ๒ คน และมีอายุน้อยทั้งคู่
เธอคิดจะทำแท้ง แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจไม่ไปทำ เพราะกลัวบาป
เธอไม่ได้ไปรับบริการฝากครรภ์เพราะต้องทำงานหาเลี้ยงชีพทุกวัน
เธอมีน้ำเดิน และเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็คลอดลูกออกมา
เธอกรีดร้องด้วยความตกใจ บอกให้ลูกตัวเล็กทั้งคู่วิ่งไปบอกคนข้างบ้านให้มาช่วย ในข่วงเสี้ยวเวลานั้นที่เธอรู้สึกสมเพชตัวเองและลูกเสียเหลือเกิน
เธอได้ยินเสียงรถของกู้ชีพมาไกลๆ เลือดมันออกมากจนผ้าถุงชุ่มไปด้วยเลือด มันดูเจิ่งนองอยู่บนพื้นบ้านนั้น
เธอรู้สึกปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง มันปวดมากยิ่งกว่าการคลอดลูก มันปวดมากที่สุดในชีวิต
เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งปวด ทั้งใจหวิว แล้วสติของเธอก็ดับลง
นี่กระมัง ที่เขาบอกกันว่า “ทนพิษบาดแผลไม่ไหว”
เธอโชคดีที่เธอรอดมาได้
เธอยังคงต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเลี้ยงลูกทั้ง ๓ คนต่อไป
.....................
ผมยังคงปวดท้องรุนแรง คลำชีพจรแล้วรู้สึกว่ามันเต้นช้าลง เหงื่อซึม
“ผู้โดยสารรับเครื่องดื่มมั้ยคะ” น้องลูกเรือคนสวยส่งเสียงถามมา
“ขอกาแฟครับ” ผมตอบออกไป
ผมรับกาแฟร้อนๆส่งกลิ่นหอมฉุย บรรจงเป่าให้ไอความร้อนมันฟุ้งออกมา และทันใดนั้น
“ฟู่.........” ผมเอียงตัวแล้วค่อยๆบรรจงปล่อยให้ลมปริมาณหนึ่งมันออกจากตูดอย่างช้าๆ ไร้เสียงและเสมือนหนึ่งไร้ที่มา พินิจแล้วว่า ตอนที่กาแฟส่งกลิ่นหอมนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด
หัวใจผมกลับมาเต้นในอัตราปกติอีกครั้ง ความอึดอัดที่อดกลั้นมาตั้งแต่เครื่องเริ่มทะยานขึ้นมันถูกปลดเปลื้อง
โชคดี มันไม่มีกลิ่น
กาแฟห๊อมมม หอม
ธนพันธ์ ชูบุญเกือบทนพิษบาดแผลไม่ไหว
๑๑ กย ๖๑
แหมอาจารย์คะ ลุ้นคนไข้ล้วงรกก็ลุ้นมากแล้ว
นึกว่าอาจารย์จะ Shock บนเครื่องบินจนน้องแอร์ได้ CPR
แต่ … คนอื่นแถวนั้นอาจจะบอกว่า กลิ่นกาแฟเที่ยวนี้แปลกกว่าทุกครั้งก็ได้นะคะ ^_,^