กรณีเขื่อนเซเปียนแตก ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กลายเป็นอีกหนึ่งโศกนาฏกรรมอันชวนสลดใจ กระนั้นก็ก่อให้เกิดภาพอันทรงพลังของจิตอาสา หรือจิตสาธารณะอย่างไร้พรมแดนด้วยเช่นกัน
ผมและทีมงาน ทั้งที่เป็นนิสิตและเจ้าหน้าที่ รวมถึงผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ก็มิได้ดูดาย-เย็นชาต่อชะตากรรมที่ว่านั้น โดยเฝ้ามองและครุ่นคิดในเวลาอันจำกัดเพื่อนำพาไปสู่สิ่งที่พึงช่วยเหลือได้ ทั้งโดย “เรา” เอง และการเชื่อมประสานไปยังสายธารจิตอาสา –
ใต้ฟ้าเดียวกัน
สะเทือนขวัญหม่นไหม้
ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติขาดไม่ได้
จึงหลอมใจโอบกอดเป็นหนึ่งเดียว
ในมุมของผม – ผมและน้องๆ เครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม และเครือข่ายนิสิต ๙ ต่อ Before After เคลื่อนตัวเรื่องนี้ในวิถีที่เราถนัด หรือพูดง่ายๆ ก็คือเคลื่อนตัวในวิถีที่เรามีพลังพอที่จะทำได้ เริ่มต้นจากการออกเพจสื่อสารแสดงความเสียใจและส่งกำลังใจ รวมถึงการขอรับบริจาคทั้งที่เป็นเงินทองและข้าวของเครื่องใช้ฯ
ก็ด้วยเพจที่ว่านั้น ทำให้มีชาวบ้านจากอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม ที่เพจประชาสัมพันธ์ของเครือข่ายฯ จึงนำข้าวของต่างๆ มาบริจาคไว้ที่กองกิจการนิสิต เพื่อให้เราได้นำส่งไปยังจุดหมายปลายทาง
ถัดจากนั้นเราก็จับมือผนึกใจกับ คุณสตังค์ จรงค์ศักดิ์ รองเดช เจ้าของรายการภัตตาคารบ้านทุ่งอันลือชื่อและเป็นหนึ่งในทีมงานผู้ริเริ่มก่อตั้งกลุ่มคนจิตอาสาในชื่อ “๙ ต่อ Before After” ก็ตัดสินใจทำงานนี้ร่วมกัน รวมถึง ดร.ประจวบ จันทร์หมื่น ศิษย์เก่า “มมส” ก็มาช่วย ด้วยการระดมทุนผ่านเวทีปฐมนิเทศนิสิตใหม่ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม และวันที่ 1 สิงหาคม 2561 ณ อาคารพลศึกษา
การระดมทุนที่ว่านี้ จะว่าไปแล้วก็คือกระบวนการปักหมุดชีวิตแก่นิสิตใหม่ (น้องใหม่) ให้ตระหนักถึงบทบาทและหน้าที่ของการเป็นพลเมืองของสังคมไทย-สังคมโลก ที่สัมพันธ์กับอัตลักษณ์นิสิตที่กล่าวว่า “ผู้ช่วยเหลือสังคมและชุมชน”
หรือแม้แต่ค่านิยมการเป็นนิสิต MSU FOR ALL (พึ่งได้) อันหมายถึง พึ่งพาตนเองได้ และเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ –
เป็นธรรมดากระมังครับ เรื่องจิตอาสา-จิตสาธารณะ บ่อยครั้งเราก็ต้องเรียนรู้จากกระแสหลักของสังคม โดยเฉพาะเรื่องภัยพิบัติ เพราะนั่นคือกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นกระบวนการขับเคลื่อนงานอาสาสมัครที่ไร้พรมแดนของความเป็นชาติ หรือแม้แต่การถามทักถึงรากแห่งความคิดที่ว่าด้วยการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้ค่า-รู้ความหมาย ครอบคลุมไปถึงต้นน้ำของการป้องกันภัยพิบัติ มิใช่ให้ค่าความสำคัญแต่เฉพาะ “หน้างาน” (กลางน้ำ) ที่กระโจนลงไปช่วยเหลือ พอผ่านพ้นวิกฤตก็ปล่อยผ่านเลยไปทั้งกระบวนการปลายน้ำ (เยียวยา) และต้นน้ำอันหมายถึงการป้องกัน
จะว่าไปแล้ว งานครั้งนี้ผมไม่ได้มีบทบาทอะไรมาก เต็มที่คือขานรับในสิ่งที่นิสิตอยากทำ นอกจากนั้นก็นำระบบไปรองรับการทำงานของนิสิต ประสานวิทยากร ประสานเจ้าของงาน/เวที ขออนุญาตผู้บริหาร เพื่อให้นิสิตได้ทำงานในแบบ “อิงระบบ” มิใช่ตกหลุมดำไปติดกับดักของ “ระบบ”
แต่ทั้งปวงนั้น ถึงแม้จะยังไม่ใช่ช่วงเปิดเทอม ยังไงเสียก็ถือว่านิสิตสามารถขับเคลื่อนงานได้อย่างน่าชื่นใจ กล่าวคือ พวกเขาระดมแกนนำมาช่วยกันได้ในจำนวนอันพอเหมาะ ทั้งที่มาจากนิสิตทั่วไปและสังกัดองค์กร เช่น ชมรมยุวกาชาด ชมรมเดินตามรอยเท้าพ่อ
และที่สำคัญ คือ ทำงานในแบบ ใจนำพาศรัทธานำทาง –
ผมยืนยันว่าไม่ได้เข้าไปทำงานฝังตัวในแบบกินนอนร่วมหัวจมท้ายกับนิสิต ทว่าก็เฝ้ามองและกำกับดูแลในลักษณะของ “โค้ช” หรือ “พี่เลี้ยง” ที่ดำเนินไปในลักษณะ “พูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่เป็นเพื่อน” มีบางจังหวะต้องโบยตีแบบ "แดกดิบ" ตรงไปตรงมาเมื่อเห็นว่าพวกเขาเหมือนจะทะลุกรอบจนเกินงาม
ขณะที่ บางครั้งครา ก็ปลอบปลุกเมื่อเห็นว่าเหนื่อยล้า
แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ผมและทีมงานได้เกื้อหนุนบนหน้าตักของหน้าที่และพันธกิจทางใจก็คือบริหารจัดการเรื่องคำสั่งไปราชการ จัดหายานพาหนะและค่าน้ำมันเชื้อเพลิงหนุนเสริมพวกเขาอย่างเต็มที่ เพราะตระหนักอย่างหนักแน่นว่า “พวกเขาคือผู้แทนมหาวิทยาลัย มิใช่คนนอกระบบที่ไร้ราก ไร้สังกัด”
ซึ่งก็โชคดีมาก ทั้งผู้บริหารและทีมงานอันเป็นเจ้าหน้าที่ต่างเข้าใจและเห็นใจในสถานการณ์ทั้งหมด โดยต้องยอมรับว่าแท้จริงนั้น ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราทั้งหมดกำลังกรำงานเรื่อง "ประชุมเชียร์รับน้อง" อย่างหนักหน่วง
ใช่ครับ – เราใช้เวลาทำงานเรื่องนี้ไม่กี่วัน
เราเริ่มงานวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 จวบจนเวลา 03.00 น.ของวันที่ 3 สิงหาคม 2561 เครือข่ายนิสิตจิตอาสาทำดีเพื่อสังคมฯ และเครือข่ายฯ จำนวน 23 คน ก็ออกเดินทางจากมหาวิทยาลัยฯ เพื่อช่วยเหลือพี่น้อง สปป.ลาว ที่ประสบอุทกภัย
การเดินทางครั้งนี้ เราทำงานภายใต้อีกแนวคิด คือ "๙ ต่อ ทำดีเพื่อพ่อ ทำดีเพื่อแผ่นดิน” อันหมายถึงการทำกิจกรรมจิตอาสาที่ต่อยอดมาจากในหลวงรัชกาลที่ 9 “พ่อผู้เป็นต้นแบบของจิตอาสา” ที่ทำให้ผมและน้องๆ ได้จัดตั้งเป็นเครือข่ายขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้
ผมยืนยันว่า กิจกรรมครั้งนี้ต่อยอดจากการปฐมนิเทศนิสิตใหม่สู่การรับใช้สังคม เสมือนการ “รับน้องสร้างสรรค์” ไปในตัว เพียงแต่นิสิตชั้นปีที่ 1 ไม่ได้ลงพื้นที่ด้วยตนเอง เพราะอยู่ระหว่างการเข้าร่วมกิจกรรมหลักในมหาวิทยาลัย เพื่อเตรียมตัวสู่การเปิดภาคเรียน
ทีมงานฯ ทั้งหมดเดินทางถึงคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในราวๆ เกือบจะ 09.00 น. เพราะนั่นคือศูนย์ประสานงานในเรื่องนี้ ซึ่งก็ใช้เวลาจัดเตรียมข้าวของต่างๆ จนถึงเวลา 10.00 น. จึงออกเดินทางไปมอบข้าวของทั้งหมด ณ ด่านพรมแดนถาวรช่องเม็ก ตำบลช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีมหาวิทยาลัยจำปาสัก เป็นผู้แทนมารับมอบฯ
กระบวนการเหล่านี้ ให้เวลาไม่นานนัก เพราะส่วนใหญ่นิสิตของเราจัดแยกหมวดหมู่ไว้อย่างเสร็จสรรพแล้ว โดยเฉพาะเสื้อผ้านั้น มีการคัดแยกแล้วว่าชุดไหนของเด็ก-ของผู้ใหญ่ แต่ที่ใช้เวลาก็เพราะว่าต้องระดมแรงขนย้ายถ่ายเทในภาพรวมช่วยกัน รวมถึงรอการยืนยันจากเครือข่ายจิตอาสาที่จะข้ามฝั่งมาจาก "จำปาสัก"
การจัดกิจกรรมครั้งนี้ ประกอบด้วยการส่งมอบเงินสดจำนวน 10,000 บาท และเครื่องอุปโภคบริโภคมูลค่า 28,317 บาท เป็นต้นว่า
จวบจนบัดนี้ ผมยังไม่ได้จัดเวทีพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนิสิตที่ทำเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม ส่วนหนึ่งเพราะติดพันกับงานประจำในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ที่อะไรๆ ก็ดูเหมือนจะรุงรังอยู่มากนั่นเอง และลึกๆ อีกเรื่องก็คืออยากเปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้ทบทวน AAR การเรียนรู้ด้วยตนเองเสียก่อน
แต่ที่แน่ๆ ผมได้คุยกับแกนนำ 2-3 คนในประเด็นที่เกี่ยวข้อง อาทิ นิยามที่แท้ของวาทกรรมผมที่ว่า “ใจนำพาศรัทธานำทาง” ที่มีนัยสำคัญว่าแท้ที่จริงแล้ว มนุษย์ก็ใช่ว่าจะมีเสรีภาพไปเสียทุกเรื่อง เพราะเราต่างล้วนยังเป็นสัตว์สังคม
หรือแม้แต่การชวนพวกเขาขบคิดเรื่องอำนาจการตัดสินใจของงานอาสาสมัครที่ผูกยึดโยงอยู่กับโครงสร้าง วิธีการทำงานกับเครือข่าย วิถีการบริหารจัดการทรัพยากรขององค์กร–มหาวิทยาลัยฯ รวมไปถึงทรัพยากรที่ผู้คนได้บริจาคส่งมอบเข้ามา ฯลฯ
และที่แน่ๆ งานครั้งนั้น ออกเดินทางจากมหาวิทยาลัยมหาสารคามในราวตี 3 กลับถึงมหาวิทยาลัยฯ หลังเที่ยงคืนในวันถัดมา
เรียกได้ว่าหนักหน่วงอยู่ค่อนข้างมาก
นี่ไม่ใช่แค่รับบริจาคเงินทองและข้าวของเครื่องใช้แล้วเอาไปส่งมอบผ่านเครือข่าย หากแต่หมายถึงการเรียนรู้ที่จะคัดแยกสิ่งของ เรียนรู้ที่จะประสานงานเครือข่าย เรียนรู้ที่จะคัดกรองคนเข้าร่วม เรียนรู้ที่จะอดตาหลับขับตานอน และอื่นๆ อีกจิปาถะ ที่ไม่ใช่รับของมาแล้วเอาไปบริจาคให้เสร็จๆ แต่นี่ยังมีกระบวนการเรียนรู้อะไรเยอะแยะเต็มไปหมด
รวมถึงการนั่งพบปะเสวนากับผู้หลักผู้ใหญ่ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้รู้ถึงบริบทและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง
ดังนั้น กิจกรรมทั้งปวงนี้ คืออีกหนึ่งกระบวนการบ่มเพาะคนดีผ่านงานอาสาสมัครบนฐานกระแสหลัก หรือวิกฤตของสังคมที่ท้าทายต่อการเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง และเชื่อว่าหากตกผลึก หรือหยั่งรากในจิตใจได้แล้ว แม้จะไม่มีภัยพิบัติใด นิสิตก็พร้อมเสมอในการที่จะขับเคลื่อนสังคมในเรื่องอื่นๆ หรืออย่างน้อยก็บริหารจัดการตัวเองเพื่อลดทอนการเป็นภาระของคนอื่นและสังคม
ผมรู้ว่าพวกเขาเหนื่อย แต่ก็มั่นใจว่าพวกเขาจะมีความสุขกับการงานที่ว่านั้น และสัมผัสได้ว่า ที่สุดแล้ววิกฤตในบางเรื่องเกิดขึ้นมาก็เพราะโลกต้องการสอนให้คนเรารักกัน เป็นรักที่ไร้พรมแดนในทางเชื้อชาติ และรักที่จะทำงานในแบบ “ใจนำพาศรัทธานำทาง” บนฐานของความเป็น “ทีม”
ผมรู้ว่าพวกเขาเหนื่อย เพราะทำงาน หรือแม้แต่ต้องเดินทางข้ามวันข้ามคืนไปกลับก็ร่วมๆ พันกิโลเมตร ไหนต้องลุยงานร่วมกับเครือข่ายที่เพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งแรก ไหนต้องกินนอนบนรถ พักชำระร่างกายในวัด แวะทานข้าวข้างถนน หรือแม้ตลาดสดในตัวเมืองระหว่างเส้นทาง
เช่นเดียวกับการเชื่อว่าพวกเขา (โดยเฉพาะแกนนำ) จะเรียนรู้ “ระบบ” การทำงานในแบบ “อิงระบบ” เพราะยังไงเสียเมื่อจบออกไปแล้ว พวกเขาก็ยังต้องอยู่ในโครงสร้างใดโครงสร้างหนึ่งที่มีระบบ-วัฒนธรรมองค์กรให้เรียนรู้และยึดปฏิบัติ
กระนั้นก็ยังอยากจะสรุปว่า ขอบคุณทุกๆ คนที่เป็นส่วนหนึ่งกับเรื่องอันดีงามในครั้งนี้
ขอบคุณครับ
หมายเหตุ
เขียน : พุธที่ 15 สิงหาคม 2561
ภาพ : เครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม
ขอชื่นชมค่ะ ทั้งทำด้วยตนเอง-ทำเป็นเยี่ยงอย่าง-พาทำ-ขยายวง สร้างคนดีมีใจสาธารณะ
“ซอมเบิ่งอยู่เด้อ”อิ่มใจ เมื่อได้อ่านเรื่องราวจิตอาสาของ มมส. งดงาม ส่งต่อ
สุดยอดค่ะ ทุกเรื่องราวเรียนรู้ได้เสมอ
ผู้นำนักกิจกรรมทำโน่น นั่น นี่ … จบไปเป็นผู้นำสังคมในระบบย่อยใดหนึ่ง ๆ แววผู้นำฉายฉานเสมอละค่ะ ดีใจกับน้อง ๆ ที่มาจากสถาบันที่หล่อหลอมให้ใส่ใจสังคมและไม่ทิ้งรากเหง้าที่มานะคะ
สวัสดีครับ อ.ดารนี ชัยอิทธิพร
ผมเองก็ภูมิใจในตัวนิสิตมากอยู่เหมือนกัน ขณะทำงานก็มีอุปสรรคเยอะแยะมาก ต้อง “โค้ช” พวกเขาแบบ “โหด-ฮา” ผสมปนเปไป
เพราะบางจังหวะ ต้องเน้นหนักหน่อย กลัวเดินเร็ว และวิ่งเร็วเกินงาน ครับ 555
สวัสดีครับ คุณครูยอด
เมื่อไหร่จะมีวงนำนิสิต-นักศึกษามาคุยงาน “จิตอาสา” กันบ้าง นี่คืออีกหนึ่งความท้าทาย นะครับรอๆ
สวัสดีครับ พี่หมอ ธิ
ทุกสิ่งอย่างต้องยกให้นิสิตและเครือข่ายเลยครับ ผมแค่กระตุ้นวิธีคิดและกระบวนการระหว่างทางเท่านั้น แต่ยืนยันได้ว่า ที่ทำทุกวันนี้ มันมากกว่าหน้าที่ ถึงแม้จะอิงอยู่กับหน้าที่ก็รู้สึกตัวดีว่ามันเป็นเรื่องจิตใจของเราเองด้วยครับ