นสพ. บางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ ๕ กรกฎาคม๒๕๖๑ ลงเรื่อง Nouniversal health care is America’s loss เขียนโดย GwynneDyer ในหน้า ๙ (๑) ให้ข้อเท็จจริงที่ตบหน้า ปธน. ทรัมป์
เหตุเกิดเมื่อคนอังกฤษเดินขบวนเรียกร้องรัฐบาลให้ตั้งงบประมาณเพิ่มแก่ระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศ ปธน.ทรัมป์ จึงใช้โอกาสนี้ “เบิ้ล” พรรคเดโมแครต ว่าระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้าของอังกฤษกำลังล้มละลาย
ผู้เขียนบอกว่าระบบสุขภาพอเมริกันใช้เงินร้อยละ ๑๖ ของ จีดีพี ในขณะที่ตัวเลขของอังกฤษคือ ๘.๔ ต่างกันเกือบเท่าตัว แต่สุขภาพโดยเฉลี่ยของคนอังกฤษดีกว่าของคนอเมริกันอย่างเทียบกันไม่ติด เท่ากับ ทรัมป์พยายามปกป้องระบบที่ไร้ประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ของธุรกิจ
วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๐๑๘ เป็นวันครบรอบ ๗๐ปีของระบบ NHSหรือระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้าของอังกฤษ ที่เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม๑๙๔๘ โดยมีการปรับปรุงพัฒนาเรื่อยมา แต่ตอนนี้ผู้คนรู้จากหลายข้อมูลหลักฐานว่างบประมาณที่รัฐจัดสรรให้แก่ระบบนี้น้อยเกินไป จึงมีขบวนการเรียกร้องให้เพิ่มงบประมาณ ซึ่งรัฐบาลก็สัญญาว่าจะเพิ่มให้ปีละ๓.๔% ใน ๔ ปีข้างหน้า
ผู้เขียนชี้ว่า ในปี ค.ศ. ๑๙๔๘ ปีเดียวกันนั้นเอง ในกระแสอุดมการณ์หลังสงคราม (โลกครั้งที่ ๒)ได้เกิด ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ขึ้น เป็นอุดมการณ์ของการเคารพสิทธิมนุษยชน และระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้าก็เป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์นี้ ...อุดมการณ์การจัดระบบสังคมเพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์
แต่พรรครีพับลิกันของสหรัฐอเมริกาสมาทานอุดมการณ์ตลาดเสรี ต้องการให้ระบบสุขภาพเป็นส่วนหนึ่งของระบบตลาดเสรี บริการสุขภาพอยู่ใต้อุดมการณ์ตลาดเสรีเพื่อกำไรสูงสุด รัฐบาลสหรัฐฯจึงต้องจ่ายงบประมาณถึงร้อยละ ๑๖ (บางแหล่งข้อมูลบอกว่ากว่าร้อยละ ๑๗) ของจีดีพี ให้แก่ระบบตลาดและประชาชนอเมริกันได้รับบริการสุขภาพที่ด้อยกว่าประเทศที่รายได้อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
ประเทศไทยเราเริ่มระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้าในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ โดยพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๔๕ ลงวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน๒๕๔๕ ระบบนี้หากบริหารไม่ดีเสี่ยงต่อการใช้จ่ายเงินมาก เป็นภาระด้านการเงินการคลัง ต้องมีระบบข้อมูลและระบบวิจัยเพื่อตรวจสอบความคุ้มค่า และพัฒนาระบบ โชคดีที่เรามี สปสช., สวรส., IHPP, HITAP, สสส., องค์กรตระกูล ส และวงการวิจัยสุขภาพ คอยทำหน้าที่ดังกล่าว และแน่นอนกระทรวงสาธารณสุขก็มีบทบาทสำคัญด้วย
ประเทศไทยใช้เงินเพียงประมาณร้อยละ ๖ของ จีดีพี ด้านสุขภาพ ที่น่าห่วงคือค่าใช้จ่ายที่ประชาชนจ่ายเองในการซื้ออาหารและผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพเพิ่มขึ้นมาก ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เกือบทั้งหมดสูญเปล่า ไม่เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพแต่อย่างใดเลย และในบางกรณีเป็นโทษ มีกรณีเสียชีวิตดังที่เป็นข่าว
วิจารณ์ พานิช
๑๐ ก.ค. ๖๑
ไม่มีความเห็น